ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า
ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า
ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย
คืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า" ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า
Gloria in Excelsis Deo
ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด
สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย
8) 8)
ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย
คืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า" ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า
Gloria in Excelsis Deo
ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด
สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย
8) 8)
อ่าครับ - -"
มีนักวิทยาศาสตร์-ประวัติศาสตร์ที่ไหนซักที่ เคยบอกไว้ว่า
พระเยซูเจ้าประสูติตอนช่วงกลางๆของฤดูร้อน
คิดไปคิดมา ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วยังงัย? ผมว่าไม่สำคัญหรอกว่าพระองค์จะเกิดจริงๆตอนไหน แค่ให้เราให้ความสำคัญกับวันใดวันหนึ่งของปี ให้เป็นวันแห่งความรักและการให้เพื่อเทิดทูนเกียรติพระองค์ก็พอแล้วเนอะ :D
มีนักวิทยาศาสตร์-ประวัติศาสตร์ที่ไหนซักที่ เคยบอกไว้ว่า
พระเยซูเจ้าประสูติตอนช่วงกลางๆของฤดูร้อน
คิดไปคิดมา ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วยังงัย? ผมว่าไม่สำคัญหรอกว่าพระองค์จะเกิดจริงๆตอนไหน แค่ให้เราให้ความสำคัญกับวันใดวันหนึ่งของปี ให้เป็นวันแห่งความรักและการให้เพื่อเทิดทูนเกียรติพระองค์ก็พอแล้วเนอะ :D
คริสต์มาส
อ.กีรติ บุญเจือ
วันคริสต์มาส คือวันที่ 25 ธันวาคม ส่วน คืนคริสต์มาส คือคืนวันที่ 24 ธันวาคม ตรงนี้ต้องชี้แจงดีๆกับเพื่อนต่างศาสนา มิฉะนั้น จะสับสน
ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เลยว่าพระเยซูประสูติวันใด เดือนใดและปีใด แม่พระน่าจะจำได้ แต่สาวกมิได้สนใจถามและจดจำ จึงมิได้บันทึกไว้ในพระวรสาร
เราจึงรู้เพียงแต่ว่าทรงเริ่มเทศนาเมื่ออายุได้ 30 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 33 ปี ระหว่างอยู่กับสาวก คงไม่เคยจัดเลี้ยงฉลองวันเกิดกันเลยกระมัง
ปีเกิดนั้น คำนวณเอาตามการอยู่ในตำแหน่งของออกัสติส เฮโรดและควีรีเนียส ซึ่งคลาดเคลื่อนไป 4 ปี ถ้านับเคร่งจริงๆ ปี ค.ศ.2001 นี้ ควรเป็นปี ค.ศ. 2005 แล้ว
เพื่อเลี่ยงความสับสน บางคนเสนอให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นศักราชสากล (ศ.ก.) เช่น ปีนี้เป็นปี ศ.ก.2001 (ภาษาอังกฤษว่า Common Era C.E.2001) มีคนเริ่มใช้แล้วในภาษาอังกฤษ
ส่วน 25 ธันวาคม นั้น เชื่อกันมาว่าเป็นวันฉลองสุริยเทพ ผู้ชนะเสมอ (Sol invictus) ซึ่งเป็นเทพสงครามช่วยให้ชาวโรมันรบชนะเสมอ
แต่นักประวัติศาสตร์พบหลักฐานเก่ากว่านั้นว่า ได้มีการฉลองวันแม่พระรับสาร 25 มีนาคมมาก่อนแล้ว ที่เอาวันที่ 25 มีนาคมก็เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันที่พระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์ให้โคจรรอบโลก
พระเจ้าน่าจะทรงวางดวงอาทิตย์แรกเกิดไว้ที่เส้นศูนย์สูตร แล้วให้เริ่มเคลื่อนวงโคจรขึ้นมาทางเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ พระเจ้าเจ้า น่าจะทรงจัดการให้พระบุตรมารับร่างกายเป็นมนุษย์ในวันครบรอบปีสร้างโลก น่าจะเหมาะที่สุด
คริสตชนดั้งเดิมคิดกันอย่างนั้นเป็นเอกฉันท์ เราจึงฉลองวันแม่พระรับสารหรือวันปฏิสนธิ์นฤมลทินของพระเยซูวันที่ 25 มีนาคม มาจนทุกวันนี้
แม่พระทางอุ้มท้อง 9 เดือนบริบูรณ์ จึงให้ประสูติกาลวันที่ 25 ธันวาคม ที่ตรงกับวันฉลองสุริยเทพถือเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นวันที่ยุโรปหนาวที่สุดของทุกปี
อ.กีรติ บุญเจือ
วันคริสต์มาส คือวันที่ 25 ธันวาคม ส่วน คืนคริสต์มาส คือคืนวันที่ 24 ธันวาคม ตรงนี้ต้องชี้แจงดีๆกับเพื่อนต่างศาสนา มิฉะนั้น จะสับสน
ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เลยว่าพระเยซูประสูติวันใด เดือนใดและปีใด แม่พระน่าจะจำได้ แต่สาวกมิได้สนใจถามและจดจำ จึงมิได้บันทึกไว้ในพระวรสาร
เราจึงรู้เพียงแต่ว่าทรงเริ่มเทศนาเมื่ออายุได้ 30 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 33 ปี ระหว่างอยู่กับสาวก คงไม่เคยจัดเลี้ยงฉลองวันเกิดกันเลยกระมัง
ปีเกิดนั้น คำนวณเอาตามการอยู่ในตำแหน่งของออกัสติส เฮโรดและควีรีเนียส ซึ่งคลาดเคลื่อนไป 4 ปี ถ้านับเคร่งจริงๆ ปี ค.ศ.2001 นี้ ควรเป็นปี ค.ศ. 2005 แล้ว
เพื่อเลี่ยงความสับสน บางคนเสนอให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นศักราชสากล (ศ.ก.) เช่น ปีนี้เป็นปี ศ.ก.2001 (ภาษาอังกฤษว่า Common Era C.E.2001) มีคนเริ่มใช้แล้วในภาษาอังกฤษ
ส่วน 25 ธันวาคม นั้น เชื่อกันมาว่าเป็นวันฉลองสุริยเทพ ผู้ชนะเสมอ (Sol invictus) ซึ่งเป็นเทพสงครามช่วยให้ชาวโรมันรบชนะเสมอ
แต่นักประวัติศาสตร์พบหลักฐานเก่ากว่านั้นว่า ได้มีการฉลองวันแม่พระรับสาร 25 มีนาคมมาก่อนแล้ว ที่เอาวันที่ 25 มีนาคมก็เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันที่พระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์ให้โคจรรอบโลก
พระเจ้าน่าจะทรงวางดวงอาทิตย์แรกเกิดไว้ที่เส้นศูนย์สูตร แล้วให้เริ่มเคลื่อนวงโคจรขึ้นมาทางเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ พระเจ้าเจ้า น่าจะทรงจัดการให้พระบุตรมารับร่างกายเป็นมนุษย์ในวันครบรอบปีสร้างโลก น่าจะเหมาะที่สุด
คริสตชนดั้งเดิมคิดกันอย่างนั้นเป็นเอกฉันท์ เราจึงฉลองวันแม่พระรับสารหรือวันปฏิสนธิ์นฤมลทินของพระเยซูวันที่ 25 มีนาคม มาจนทุกวันนี้
แม่พระทางอุ้มท้อง 9 เดือนบริบูรณ์ จึงให้ประสูติกาลวันที่ 25 ธันวาคม ที่ตรงกับวันฉลองสุริยเทพถือเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นวันที่ยุโรปหนาวที่สุดของทุกปี
ไม่ใช่ ศาสตราจารย์ กีรติ บุญเจือ หรือครับ
ผมชอบผลงานของคุร กีรติ มากเลยครับ ผลงานของเขาเรื่องปรัชญา ศาสนาอะไรนำเสนอมาได้น่าสนใจ ทุกเรื่องเลย ชอบผลงานของเค้าทุกชิ้นมากเลยครับ
ผมชอบผลงานของคุร กีรติ มากเลยครับ ผลงานของเขาเรื่องปรัชญา ศาสนาอะไรนำเสนอมาได้น่าสนใจ ทุกเรื่องเลย ชอบผลงานของเค้าทุกชิ้นมากเลยครับ
พระเยซูคือใคร?

บางคนบอกว่าพระองค์เป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ บางคนบอกว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง บางคนบอกว่าพระองค์เป็นจอมมุสา หรือถึงกับบอกว่าพระองค์เสียสติ หลายล้านคนยกย่องพระองค์ว่าเป็น พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าคนเขาจะคิดอย่างไรกับพระองค์ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าพระองค์เป็นจุดศูณย์กลางของประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ข้อมูลจากพระคริสตธรรมบอกว่าพระเยซูประสูตรจากหญิงพรหมจรรย์ ดำเนินชีวิตโดยไม่เคยทำบาป สั่งสอนทั่วปาเลสไตน์เป็นเวลาประมาน 3 ปี ถูกตรึงบนกางเขน และเป็นขึ้นจากความตายหลังจากถูกฝัง 3 วัน พระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่ามีคนกว่าห้าร้อยคนได้เห็นพระองค์หลังจากการเป็นขึ้นจากความตายนี้ มนุษย์ธรรมดาจะดำเนินชีวิตอย่างนั้นได้อย่างไร ? การอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำ การวายพระชนม์บนกางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และการเสด็จสู่สวรรค์ ล้วนบ่งบอกว่าพระองค์ต้องไม่ใช่ผู้นำธรรมดาแน่
หลายร้อยปีก่อนพระเยซูประสูตร ศาสดาพยากรณ์ต่างก็ได้ทำนายการเสด็จลงมาของพระองค์ พระคัมภีร์เดิม ซึ่งเขียนโดยหลายคนในช่วงเวลา 1500 ปี ประกอบด้วยคำพยากรณ์กว่า 300 พยากรณ์ รายละเอียดของคำพยากรณ์เหล่านี้บังเกิดตามที่ได้ทำนายไว้แล้วทั้งนั้น ทั้งนี้รวมทั้งการประสูตรที่อัศจรรย์ ชีวิตที่ปราศจากบาปของพระองค์ การวายพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตาย
พระเยซูทรงอ้างว่าพระองค์มีอำนาจที่จะอภัยบาปได้ ขับผีได้ และสามารถกำหนดอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาลได้ นอกจากนั้นยังทรงอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า
การอ้างเช่นนี้ทำให้ผู้นำทางศาสนาและการเมืองในสมัยนั้นเป็นเดือดเป็นแค้นยิ่งนัก พวกเขาได้ฝังพระองค์ในอุโมงค์ และอีก 3 วันต่อมา พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย
การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูนี้ทำให้ศาสนาคริสต์ต่างจากศาสนาอื่นๆในโลกสิ้นเชิง และที่จริงแล้ว ความน่าเชื่อถือของศาสนาคริสต์อยู่ตรงที่การพิสูจน์ถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็เท่ากับเป็นการเชื่อลมๆแล้งๆ ผู้คนก็ไม่มีความหวังหลังจากได้เสียชีวิตบนโลกนี้ แต่ถ้าการเป็นขึ้นจากความตายนี้เป็นจริง เราก็จะต้องต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับความรักและการอภัยบาป
ตลอดศตวรรษที่แล้วมา นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่หลายคนซึ่งได้ศึกษาถึงการพิสูจน์เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายนี้ และได่เชื่อว่าเป็นจริง และพวกเขายังคงเชื่ออยู่ทุกวันนี้ว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่
สำหรับท่าน พระเยซูเป็นผู้ใด ?
คำตอบแก่คำถามนี้จะเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณบนโลกนี้และในนิรันดร์กาล จงเสาะหาการรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว และค้นหาว่าพระองค์ประทานอะไรให้บ้างในการดำเนินชีวิต

บางคนบอกว่าพระองค์เป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ บางคนบอกว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง บางคนบอกว่าพระองค์เป็นจอมมุสา หรือถึงกับบอกว่าพระองค์เสียสติ หลายล้านคนยกย่องพระองค์ว่าเป็น พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าคนเขาจะคิดอย่างไรกับพระองค์ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าพระองค์เป็นจุดศูณย์กลางของประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ข้อมูลจากพระคริสตธรรมบอกว่าพระเยซูประสูตรจากหญิงพรหมจรรย์ ดำเนินชีวิตโดยไม่เคยทำบาป สั่งสอนทั่วปาเลสไตน์เป็นเวลาประมาน 3 ปี ถูกตรึงบนกางเขน และเป็นขึ้นจากความตายหลังจากถูกฝัง 3 วัน พระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่ามีคนกว่าห้าร้อยคนได้เห็นพระองค์หลังจากการเป็นขึ้นจากความตายนี้ มนุษย์ธรรมดาจะดำเนินชีวิตอย่างนั้นได้อย่างไร ? การอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำ การวายพระชนม์บนกางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และการเสด็จสู่สวรรค์ ล้วนบ่งบอกว่าพระองค์ต้องไม่ใช่ผู้นำธรรมดาแน่
หลายร้อยปีก่อนพระเยซูประสูตร ศาสดาพยากรณ์ต่างก็ได้ทำนายการเสด็จลงมาของพระองค์ พระคัมภีร์เดิม ซึ่งเขียนโดยหลายคนในช่วงเวลา 1500 ปี ประกอบด้วยคำพยากรณ์กว่า 300 พยากรณ์ รายละเอียดของคำพยากรณ์เหล่านี้บังเกิดตามที่ได้ทำนายไว้แล้วทั้งนั้น ทั้งนี้รวมทั้งการประสูตรที่อัศจรรย์ ชีวิตที่ปราศจากบาปของพระองค์ การวายพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตาย
พระเยซูทรงอ้างว่าพระองค์มีอำนาจที่จะอภัยบาปได้ ขับผีได้ และสามารถกำหนดอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาลได้ นอกจากนั้นยังทรงอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า
การอ้างเช่นนี้ทำให้ผู้นำทางศาสนาและการเมืองในสมัยนั้นเป็นเดือดเป็นแค้นยิ่งนัก พวกเขาได้ฝังพระองค์ในอุโมงค์ และอีก 3 วันต่อมา พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย
การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูนี้ทำให้ศาสนาคริสต์ต่างจากศาสนาอื่นๆในโลกสิ้นเชิง และที่จริงแล้ว ความน่าเชื่อถือของศาสนาคริสต์อยู่ตรงที่การพิสูจน์ถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็เท่ากับเป็นการเชื่อลมๆแล้งๆ ผู้คนก็ไม่มีความหวังหลังจากได้เสียชีวิตบนโลกนี้ แต่ถ้าการเป็นขึ้นจากความตายนี้เป็นจริง เราก็จะต้องต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับความรักและการอภัยบาป
ตลอดศตวรรษที่แล้วมา นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่หลายคนซึ่งได้ศึกษาถึงการพิสูจน์เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายนี้ และได่เชื่อว่าเป็นจริง และพวกเขายังคงเชื่ออยู่ทุกวันนี้ว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่
สำหรับท่าน พระเยซูเป็นผู้ใด ?
คำตอบแก่คำถามนี้จะเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณบนโลกนี้และในนิรันดร์กาล จงเสาะหาการรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว และค้นหาว่าพระองค์ประทานอะไรให้บ้างในการดำเนินชีวิต
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 6:37 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบยากมาก สำหรับแกะหลง
ทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านาย เป็นมหาปุโรหิต เป็นเมษโปดกที่พอพระทัยของพระบิดา เป็นพี่ ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งที่พักพิง ฯลฯ

พี่พีพี เพิ่มเติม
มีสองคำ ที่พี่น้องคริสตังอาจจะไม่เข้าใจ
มหาปุโรหิต= มหาสมณะ
เมษโปดก= ลูกแกะ เช่นบอกว่า พระเยซูคือเมษโปดกของพระเจ้า
คำนี้ใช้เฉพาะพระเยซูคริสต์ ไม่ใช้กับพวกเรา ;D
ทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านาย เป็นมหาปุโรหิต เป็นเมษโปดกที่พอพระทัยของพระบิดา เป็นพี่ ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งที่พักพิง ฯลฯ

พี่พีพี เพิ่มเติม
มีสองคำ ที่พี่น้องคริสตังอาจจะไม่เข้าใจ
มหาปุโรหิต= มหาสมณะ
เมษโปดก= ลูกแกะ เช่นบอกว่า พระเยซูคือเมษโปดกของพระเจ้า
คำนี้ใช้เฉพาะพระเยซูคริสต์ ไม่ใช้กับพวกเรา ;D
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 6:40 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การอ้างของพระเยซู ?

การอ้างของพระเยซู
พระเยซูเองทรงอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และหลายคนก็ยอมรับเช่นนั้น พระองค์ได้ตรัสว่า " เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน " (ยน.10:30) นอกจากนั้นพระองค์ยังอ้างว่าพระองค์เป็นทางเดียวไปสู่พระเจ้า : " เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา " (ยน.14:6) พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นทางหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ว่าเราสามารถยอมรับสิ่งที่พระเยซูได้อ้างไว้ได้หรือไม่ ? ประจักษ์พยานที่ชัดเจนที่ทำให้สามารถสรุปได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถึงการเป็นขึ้นมาจากความตาย
ท่านอัครฑูตเปาโลได้บันทึกว่า " พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นบ่งไว้ด้วยฤทธานุภาพ คือการเป็นขึ้นมาจากความตายว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า "(รม.1:4) ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์เป็นจริง สิ่งต่างๆที่พระองค์อ้าง การอัศจรรย์ต่างๆ ตลอดจนการที่พระองค์บอกว่าพระคัมภีร์เดิมเชื่อถือได้ ก็เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้ สิ่งพวกนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
เหตุผลประการแรกที่พระเยซูเป็นทางเดียวสู่พระเจ้าคือพระองคอภัยบาปและประทานชีวิตนิรันดร์(ยน.10:28) ไม่มีศาสดาผู้ใดกล้าอ้างว่าได้ทำเช่นนั้น โปรดตรองดูหน่อยครับ !
ทุกคนต่างถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์เพราะความบาป ตามมาตราฐานของพระเจ้า คนบาปต้อง้รับโทษบาปด้วยความตาย หรือจะต้องหาใครสักคนที่ไม่มีบาปติดตัวชดใช้หนี้บาปแทนเขา (ฮบ.9:14,22) พระเยซูเท่านั้นที่เต็มใจและสามารถทำเช่นนี้ได้ ดังที่พระองค์ได้วายพระชนม์บนกางเขน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระเยซูจึงเป็นทางเดียวไปสู่พระเจ้า

การอ้างของพระเยซู
พระเยซูเองทรงอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และหลายคนก็ยอมรับเช่นนั้น พระองค์ได้ตรัสว่า " เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน " (ยน.10:30) นอกจากนั้นพระองค์ยังอ้างว่าพระองค์เป็นทางเดียวไปสู่พระเจ้า : " เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา " (ยน.14:6) พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นทางหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ว่าเราสามารถยอมรับสิ่งที่พระเยซูได้อ้างไว้ได้หรือไม่ ? ประจักษ์พยานที่ชัดเจนที่ทำให้สามารถสรุปได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถึงการเป็นขึ้นมาจากความตาย
ท่านอัครฑูตเปาโลได้บันทึกว่า " พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นบ่งไว้ด้วยฤทธานุภาพ คือการเป็นขึ้นมาจากความตายว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า "(รม.1:4) ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์เป็นจริง สิ่งต่างๆที่พระองค์อ้าง การอัศจรรย์ต่างๆ ตลอดจนการที่พระองค์บอกว่าพระคัมภีร์เดิมเชื่อถือได้ ก็เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้ สิ่งพวกนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
เหตุผลประการแรกที่พระเยซูเป็นทางเดียวสู่พระเจ้าคือพระองคอภัยบาปและประทานชีวิตนิรันดร์(ยน.10:28) ไม่มีศาสดาผู้ใดกล้าอ้างว่าได้ทำเช่นนั้น โปรดตรองดูหน่อยครับ !
ทุกคนต่างถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์เพราะความบาป ตามมาตราฐานของพระเจ้า คนบาปต้อง้รับโทษบาปด้วยความตาย หรือจะต้องหาใครสักคนที่ไม่มีบาปติดตัวชดใช้หนี้บาปแทนเขา (ฮบ.9:14,22) พระเยซูเท่านั้นที่เต็มใจและสามารถทำเช่นนี้ได้ ดังที่พระองค์ได้วายพระชนม์บนกางเขน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระเยซูจึงเป็นทางเดียวไปสู่พระเจ้า
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พระเยซูคริสต์:
“พระเยซู” เป็นพระนามจริงของพระบุตรพระเจ้า ผู้มารับสภาพมนุษย์แปลว่า “พระผู้ช่วยให้รอด” คำว่า “คริสต์” เป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “พระเมสสิยาห์” ผู้ช่วยให้รอดที่พันธสัญญาเดิมสัญญาไว้ และเป็นผู้ที่ชาวยิวตั้งตาคอยมานาน เป็นชื่อตำแหน่งไม่ใช่นามสกุล คำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูสามารถสรุปในชื่อตำแหน่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
���พระเยซูผู้รับใช้ของพระเจ้า มัทธิวให้ตำแหน่งนี้กับพระเยซูซึ่งมาจากคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ลักษณะของผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ถ่อมใจ อ่อนสุภาพ ผู้ที่นำความยุติธรรมมาสู่โลกนี้ได้ปรากฏในชีวิตของพระเยซูอย่างสมบูรณ์ขระพระเยซูตรัสว่า พระองค์มา “เพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” พระองค์ทำหน้าที่ของผู้รับใช้พระเจ้า คือทนทุกข์ทรมานเพื่อรับโทษบาปของมนุษย์ดังที่อิสยาห์ได้บรรยายไว้ (มธ. 12:15-21; อสย. 42:1-4; 52:13-53:12 ฯลฯ ; มก. 10:45)
���พระเยซูเชื้อสายของดาวิด ทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวการประสูติของพระเยซู บอกมารีย์ว่าพระเจ้าให้ลูกชายของเธอเป็นกษัตริย์ “อย่างดาวิดบรรพบุรุษของท่านเป็น” ตามเชื้อสายมนุษย์แล้ว พระเยซูเป็นลูกหลานกษัตริย์ดาวิด ตำแหน่งนี้ระบุว่าพระเยซูคือผู้ที่ทำให้ความหวังของชาติยิวสัมฤทธิผล มัทธิวจึงใช้ตำแหน่งนี้กับพระเยซูในประโยคแรกของพระกิตติคุณมัทธิวซึ่งให้รสชาติแบบยิวมากที่สุด เป็นตำแหน่งที่ชาวยิวใช้เมื่อพวกเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ “โฮซันนาแก่ราชโอรสดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (ลก. 1:32; ยน. 7:42; มธ. 1:1; 21:9)
���พระเยซูบุตรกษัตริย์ นี่คือชื่อที่พระเยซูใช้เรียกตัวเองบ่อยที่สุด และช่วยให้เรารู้จักพระองค์มากขึ้น พระเยซูยืมวลีนี้จากนิมิตของดาเนียลที่เห็น “ท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์” แต่ท่านผู้นั้นมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าถาวรเป็นนิตย์ ดาเนียลบอกว่า “ราชอาณาจักรของท่านเป็นราชอาณาจักรนิรันดร์” พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้ร้อยเปอร์เซนต์ พระองค์นับตัวเองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งในฐานะที่เป็น “บุตรมนุษย์” พระองค์มาเพื่อรับใช้มนุษย์ และสละชีวิตเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมาน...ถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” ในฐานะบุตรมนุษย์ พระเยซูชนะความบาปและความตายแล้ว และจะเสด็จกลับมาด้วย “ฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก” (ดนล. 7:13-14; มก. 10:45; ลก. 9:21-22; 21:25-28)
���พระเยซูพระบุตรพระเจ้า ขณะที่พระเยซูรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดนมีเสียงประกาศมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” อีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเยซูจำแลงพระกายบนภูเขาเสียงนั้นร้องบอกอีกว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” ยอห์นอธิบายวลีนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เป้าหมายของชีวิตพระเยซูคือทำให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดากับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” พระเยซูสถิตอยู่กับพระบิดาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้าและปราศจากบาป พระองค์จึงสามารถใช้หนี้บาปทั้งหมดแทนมวลมนุษย์ทุกยุคและปัจจุบันเรามีพระเยซูผู้ชอบธรรมทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้าให้เรา (มก. 1:11; ลก. 9:35; ยน. 1:14; 10:30; 17; รม. 1:3-4; ฮบ. 7:25; 1 ยน. 1-2:2)
���พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระกิตติคุณสาวกมักเรียกพระเยซูว่าพระองค์เจ้าข้า ซึ่งมีความหมายว่าเจ้านาย แต่หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย คำนี้ให้ความหมายใหม่ เช่น โธมัสถึงกับอุทานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” เมื่อเห็นพระเยซูผู้คืนพระชนม์ด้วยตาตนเอง นี่เป็นคำที่ชาวยิวใช้เรียกพระเจ้า คริสเตียนสมัยแรกแสดงความเชื่อโดยประกาศว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ในจดหมายฟีลิปปีเปาโลกคอยวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในวันนั้น “ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซูและเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดา” (ลก. 5:8; ยน. 20:28; 1 คร. 12:3; ฟป. 2:6-11
“พระเยซู” เป็นพระนามจริงของพระบุตรพระเจ้า ผู้มารับสภาพมนุษย์แปลว่า “พระผู้ช่วยให้รอด” คำว่า “คริสต์” เป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “พระเมสสิยาห์” ผู้ช่วยให้รอดที่พันธสัญญาเดิมสัญญาไว้ และเป็นผู้ที่ชาวยิวตั้งตาคอยมานาน เป็นชื่อตำแหน่งไม่ใช่นามสกุล คำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูสามารถสรุปในชื่อตำแหน่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
���พระเยซูผู้รับใช้ของพระเจ้า มัทธิวให้ตำแหน่งนี้กับพระเยซูซึ่งมาจากคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ลักษณะของผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ถ่อมใจ อ่อนสุภาพ ผู้ที่นำความยุติธรรมมาสู่โลกนี้ได้ปรากฏในชีวิตของพระเยซูอย่างสมบูรณ์ขระพระเยซูตรัสว่า พระองค์มา “เพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” พระองค์ทำหน้าที่ของผู้รับใช้พระเจ้า คือทนทุกข์ทรมานเพื่อรับโทษบาปของมนุษย์ดังที่อิสยาห์ได้บรรยายไว้ (มธ. 12:15-21; อสย. 42:1-4; 52:13-53:12 ฯลฯ ; มก. 10:45)
���พระเยซูเชื้อสายของดาวิด ทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวการประสูติของพระเยซู บอกมารีย์ว่าพระเจ้าให้ลูกชายของเธอเป็นกษัตริย์ “อย่างดาวิดบรรพบุรุษของท่านเป็น” ตามเชื้อสายมนุษย์แล้ว พระเยซูเป็นลูกหลานกษัตริย์ดาวิด ตำแหน่งนี้ระบุว่าพระเยซูคือผู้ที่ทำให้ความหวังของชาติยิวสัมฤทธิผล มัทธิวจึงใช้ตำแหน่งนี้กับพระเยซูในประโยคแรกของพระกิตติคุณมัทธิวซึ่งให้รสชาติแบบยิวมากที่สุด เป็นตำแหน่งที่ชาวยิวใช้เมื่อพวกเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ “โฮซันนาแก่ราชโอรสดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (ลก. 1:32; ยน. 7:42; มธ. 1:1; 21:9)
���พระเยซูบุตรกษัตริย์ นี่คือชื่อที่พระเยซูใช้เรียกตัวเองบ่อยที่สุด และช่วยให้เรารู้จักพระองค์มากขึ้น พระเยซูยืมวลีนี้จากนิมิตของดาเนียลที่เห็น “ท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์” แต่ท่านผู้นั้นมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าถาวรเป็นนิตย์ ดาเนียลบอกว่า “ราชอาณาจักรของท่านเป็นราชอาณาจักรนิรันดร์” พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้ร้อยเปอร์เซนต์ พระองค์นับตัวเองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งในฐานะที่เป็น “บุตรมนุษย์” พระองค์มาเพื่อรับใช้มนุษย์ และสละชีวิตเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมาน...ถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” ในฐานะบุตรมนุษย์ พระเยซูชนะความบาปและความตายแล้ว และจะเสด็จกลับมาด้วย “ฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก” (ดนล. 7:13-14; มก. 10:45; ลก. 9:21-22; 21:25-28)
���พระเยซูพระบุตรพระเจ้า ขณะที่พระเยซูรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดนมีเสียงประกาศมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” อีกครั้งหนึ่งเมื่อพระเยซูจำแลงพระกายบนภูเขาเสียงนั้นร้องบอกอีกว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” ยอห์นอธิบายวลีนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เป้าหมายของชีวิตพระเยซูคือทำให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดากับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” พระเยซูสถิตอยู่กับพระบิดาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้าและปราศจากบาป พระองค์จึงสามารถใช้หนี้บาปทั้งหมดแทนมวลมนุษย์ทุกยุคและปัจจุบันเรามีพระเยซูผู้ชอบธรรมทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้าให้เรา (มก. 1:11; ลก. 9:35; ยน. 1:14; 10:30; 17; รม. 1:3-4; ฮบ. 7:25; 1 ยน. 1-2:2)
���พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระกิตติคุณสาวกมักเรียกพระเยซูว่าพระองค์เจ้าข้า ซึ่งมีความหมายว่าเจ้านาย แต่หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย คำนี้ให้ความหมายใหม่ เช่น โธมัสถึงกับอุทานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” เมื่อเห็นพระเยซูผู้คืนพระชนม์ด้วยตาตนเอง นี่เป็นคำที่ชาวยิวใช้เรียกพระเจ้า คริสเตียนสมัยแรกแสดงความเชื่อโดยประกาศว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ในจดหมายฟีลิปปีเปาโลกคอยวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในวันนั้น “ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซูและเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดา” (ลก. 5:8; ยน. 20:28; 1 คร. 12:3; ฟป. 2:6-11
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 6:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พระเมสสิยาห์
ทั้งคำ “พระเมสสิยาห์” และ “พระคริสต์” มีความหมายเดียวกันคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม” เมสสิยาห์เป็นคำฮีบรู ส่วนคริสต์เป็นคำกรีก
ตลอดประวัติศาสตร์อันผันผวนของอิสราเอล ชาวยิวเริ่มมีความหวังว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ยิ่งใหญ่มาตั้งอาณาจักรสากลและถาวรขึ้น พอถึงสมัยพระเยซูชาวยิวจำนวนมากต่างตั้งตาคอยวันนั้น ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำสอนและการอัศจรรย์เมื่อได้ยินคำสอนและการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ พวกเขาก็ถามว่า “เขาเป็นพระเมสสิยาห์หรือเปล่า”
พันธสัญญาใหม่ระบุชัดว่าคริสตชนยุคแรกยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ขณะพระเยซูรับบัพติศมา พระเจ้าเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( พระจิต ) และฤทธิ์อำนาจลงมาบน (เจิม) พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ภายหลังพระเยซูยกคำพยากรณ์ของอิสยาห์มาใช้กับตัวพระองค์เองว่า “ถึงเวลาแล้วที่พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยคนของพระองค์ให้รอด” แต่พระเยซูเองหลีกเลี่ยงที่จะเรียกตนเองว่าพระเมสสิยาห์เพราะชาวยิวมักเข้าใจคำนี้ไปในทางการเมือง มีที่เดียวในพระกิตติคุณที่บันทึกว่า พระองค์ประกาศถึงตัวเองว่าเป็นพระเมสสิยาห์ คือตรัสกับหญิงสะมาเรียผู้น่าสมเพชที่บ่อน้ำเมื่อเปโตรยอมรับว่า พระเยซูทรง “เป็นพระเมสสิยาห์” พระองค์ก็กำชับเขาทันทีว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับผู้อื่น เพราะพระองค์ต้องการสาวกแท้ พระองค์มิใช่คนประเภทที่ชอบปลุกระดมมวลชนเพื่อหาชื่อเสียงให้ตัวเอง เมื่อผู้นำชาวยิวเริ่มบีบคั้นพระเยซูด้วยการซักไซ้ไล่เลียงขณะไต่สวนว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านว่าถูกแล้ว” มหาปุโรหิตถือว่าคำตอบนี้ลบหลู่พระเจ้าอย่างแรง จึงโกรธจนหน้ามืด คณะลูกขุนจึงมีมติว่า พระเยซูสมควรรับโทษถึงตาย
แต่พันธสัญญาใหม่ระบุชัดว่า คำวินิจฉัยของศาลยิวผิดพลาด เพราะพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ และพระเจ้าพิสูจน์ข้อนี้โดยชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากตาย ดังที่เปโตรเทศนาในวันเพ็นเทคอสต์ว่า “ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์” (ฉธบ. 18:15-22; สดด. 2; 45:6-7; 72; 110; อสย. 9:2-7; 11; 42:1-9; 49:1-6; 52:13-53:12; 61:1-3; ยรม. 23:5-6; 33:14-16; อสค. 34:22-25; ดนล. 7; ศคย. 9:9-10; มธ. 1:18, 22-23; 16:16, 20; 26:63; มก. 8:27-30; 14:61-64; ลก. 2:11, 26; ยน. 4:25-26; 7:26-27, 31, 41-42; 9:22; กจ. 2:36; 3:20-21; 4:26-28; 10:38; 18:28; 26:22-23)
ทั้งคำ “พระเมสสิยาห์” และ “พระคริสต์” มีความหมายเดียวกันคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม” เมสสิยาห์เป็นคำฮีบรู ส่วนคริสต์เป็นคำกรีก
ตลอดประวัติศาสตร์อันผันผวนของอิสราเอล ชาวยิวเริ่มมีความหวังว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ยิ่งใหญ่มาตั้งอาณาจักรสากลและถาวรขึ้น พอถึงสมัยพระเยซูชาวยิวจำนวนมากต่างตั้งตาคอยวันนั้น ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำสอนและการอัศจรรย์เมื่อได้ยินคำสอนและการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ พวกเขาก็ถามว่า “เขาเป็นพระเมสสิยาห์หรือเปล่า”
พันธสัญญาใหม่ระบุชัดว่าคริสตชนยุคแรกยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ขณะพระเยซูรับบัพติศมา พระเจ้าเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( พระจิต ) และฤทธิ์อำนาจลงมาบน (เจิม) พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ภายหลังพระเยซูยกคำพยากรณ์ของอิสยาห์มาใช้กับตัวพระองค์เองว่า “ถึงเวลาแล้วที่พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยคนของพระองค์ให้รอด” แต่พระเยซูเองหลีกเลี่ยงที่จะเรียกตนเองว่าพระเมสสิยาห์เพราะชาวยิวมักเข้าใจคำนี้ไปในทางการเมือง มีที่เดียวในพระกิตติคุณที่บันทึกว่า พระองค์ประกาศถึงตัวเองว่าเป็นพระเมสสิยาห์ คือตรัสกับหญิงสะมาเรียผู้น่าสมเพชที่บ่อน้ำเมื่อเปโตรยอมรับว่า พระเยซูทรง “เป็นพระเมสสิยาห์” พระองค์ก็กำชับเขาทันทีว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับผู้อื่น เพราะพระองค์ต้องการสาวกแท้ พระองค์มิใช่คนประเภทที่ชอบปลุกระดมมวลชนเพื่อหาชื่อเสียงให้ตัวเอง เมื่อผู้นำชาวยิวเริ่มบีบคั้นพระเยซูด้วยการซักไซ้ไล่เลียงขณะไต่สวนว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านว่าถูกแล้ว” มหาปุโรหิตถือว่าคำตอบนี้ลบหลู่พระเจ้าอย่างแรง จึงโกรธจนหน้ามืด คณะลูกขุนจึงมีมติว่า พระเยซูสมควรรับโทษถึงตาย
แต่พันธสัญญาใหม่ระบุชัดว่า คำวินิจฉัยของศาลยิวผิดพลาด เพราะพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ และพระเจ้าพิสูจน์ข้อนี้โดยชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากตาย ดังที่เปโตรเทศนาในวันเพ็นเทคอสต์ว่า “ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์” (ฉธบ. 18:15-22; สดด. 2; 45:6-7; 72; 110; อสย. 9:2-7; 11; 42:1-9; 49:1-6; 52:13-53:12; 61:1-3; ยรม. 23:5-6; 33:14-16; อสค. 34:22-25; ดนล. 7; ศคย. 9:9-10; มธ. 1:18, 22-23; 16:16, 20; 26:63; มก. 8:27-30; 14:61-64; ลก. 2:11, 26; ยน. 4:25-26; 7:26-27, 31, 41-42; 9:22; กจ. 2:36; 3:20-21; 4:26-28; 10:38; 18:28; 26:22-23)
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
สำหรับเจี๊ยบพระเยซูคริสต์คือ ผู้ประทานชีวิตในโลกหน้าให้ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ฮะ ::)
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
สำหรับผม เหรอ พระเยซูเป็นใครผมไม่รุ้จะอธิบายยังไงดี เพราะรู้สึกยิ่งใหญ่มากๆๆๆๆ แต่สำหรับผม ผมขาดพระองค์ไม่ได้ ผมเคยเป็นคนที่ไม่รู้จักพระองค์ แต่ตอนนี้ผมรู้จักพระองค์แล้ว ผมจะไม่ทิ้งพระองค์ไปหาสิ่งอื่นอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมขาดพระองค์ ผมจะพยายาม ทำดี(ถึงแม้บางทีจะเผลอทำชั่ว แต่ก็จะพยายามทำดี) ทำให้ดีที่สุด
โลหิตช่วยชีวิต

"ความจริงนั้น ตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้วก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย " (ฮบ.9:22)
ในหนังสือ "สรรสาระ" (Reader Digest) ได้เล่าว่า การบริจาคเลือดของเราแต่ละครั้งสามารถช่วยผู้อื่นได้ถึง 3 คน
โดยปกติ เลือดที่ได้จากการบริจาค จะถูกคัดแยกออกเป็นสามส่วนคือ
เม็ดเลือดแดง
เกล็ดเลือด
น้ำเหลือง (plasma)
และเลือดที่ได้รับการบริจาคแต่ละคนจะนำไปช่วยเหลือคน 3 คนดังนี้
คนป่วยโรคโลหิตจาง หรือเสียเลือดจากสาเหตุต่างๆ จะรอดชีวิตเพราะเม็ดเลือดแดง
คนป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ จะรอดเพราะ เกล็ดเลือด
คนป่วยที่มีปัญหาเลือดไม่แข็งตัว (เช่นโรค ฮิโมฟิเลีย เอ / โลหิตไหลไม่หยุด) จะรอดเพราะ น้ำเหลือง !
ดังนั้น ถ้าเราควรจะขอบคุณคนที่บริจาคโลหิต ที่ช่วยชีวิตคนป่วยได้ 3 คน (ฉันใด) เราก็ยิ่งสมควรจะขอบคุณ พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงสละโลหิต ของพระองค์บนไม้กางเขน ช่วยชีวิตคนมากกว่า 3 ,000 ล้านคนทั่วโลก ฉันนั้น จริงไหมครับ ?
" เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย "
โลหิตช่วยชีวิต
"ความจริงนั้น ตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้วก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย " (ฮบ.9:22)
ในหนังสือ "สรรสาระ" (Reader Digest) ได้เล่าว่า การบริจาคเลือดของเราแต่ละครั้งสามารถช่วยผู้อื่นได้ถึง 3 คน
โดยปกติ เลือดที่ได้จากการบริจาค จะถูกคัดแยกออกเป็นสามส่วนคือ
เม็ดเลือดแดง
เกล็ดเลือด
น้ำเหลือง (plasma)
และเลือดที่ได้รับการบริจาคแต่ละคนจะนำไปช่วยเหลือคน 3 คนดังนี้
คนป่วยโรคโลหิตจาง หรือเสียเลือดจากสาเหตุต่างๆ จะรอดชีวิตเพราะเม็ดเลือดแดง
คนป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ จะรอดเพราะ เกล็ดเลือด
คนป่วยที่มีปัญหาเลือดไม่แข็งตัว (เช่นโรค ฮิโมฟิเลีย เอ / โลหิตไหลไม่หยุด) จะรอดเพราะ น้ำเหลือง !
ดังนั้น ถ้าเราควรจะขอบคุณคนที่บริจาคโลหิต ที่ช่วยชีวิตคนป่วยได้ 3 คน (ฉันใด) เราก็ยิ่งสมควรจะขอบคุณ พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงสละโลหิต ของพระองค์บนไม้กางเขน ช่วยชีวิตคนมากกว่า 3 ,000 ล้านคนทั่วโลก ฉันนั้น จริงไหมครับ ?
" เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย "
:'( :'( :'(

"ความจริงนั้น ตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้วก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย " (ฮบ.9:22)
ในหนังสือ "สรรสาระ" (Reader Digest) ได้เล่าว่า การบริจาคเลือดของเราแต่ละครั้งสามารถช่วยผู้อื่นได้ถึง 3 คน
โดยปกติ เลือดที่ได้จากการบริจาค จะถูกคัดแยกออกเป็นสามส่วนคือ
เม็ดเลือดแดง
เกล็ดเลือด
น้ำเหลือง (plasma)
และเลือดที่ได้รับการบริจาคแต่ละคนจะนำไปช่วยเหลือคน 3 คนดังนี้
คนป่วยโรคโลหิตจาง หรือเสียเลือดจากสาเหตุต่างๆ จะรอดชีวิตเพราะเม็ดเลือดแดง
คนป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ จะรอดเพราะ เกล็ดเลือด
คนป่วยที่มีปัญหาเลือดไม่แข็งตัว (เช่นโรค ฮิโมฟิเลีย เอ / โลหิตไหลไม่หยุด) จะรอดเพราะ น้ำเหลือง !
ดังนั้น ถ้าเราควรจะขอบคุณคนที่บริจาคโลหิต ที่ช่วยชีวิตคนป่วยได้ 3 คน (ฉันใด) เราก็ยิ่งสมควรจะขอบคุณ พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงสละโลหิต ของพระองค์บนไม้กางเขน ช่วยชีวิตคนมากกว่า 3 ,000 ล้านคนทั่วโลก ฉันนั้น จริงไหมครับ ?
" เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย "
โลหิตช่วยชีวิต
"ความจริงนั้น ตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้วก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย " (ฮบ.9:22)
ในหนังสือ "สรรสาระ" (Reader Digest) ได้เล่าว่า การบริจาคเลือดของเราแต่ละครั้งสามารถช่วยผู้อื่นได้ถึง 3 คน
โดยปกติ เลือดที่ได้จากการบริจาค จะถูกคัดแยกออกเป็นสามส่วนคือ
เม็ดเลือดแดง
เกล็ดเลือด
น้ำเหลือง (plasma)
และเลือดที่ได้รับการบริจาคแต่ละคนจะนำไปช่วยเหลือคน 3 คนดังนี้
คนป่วยโรคโลหิตจาง หรือเสียเลือดจากสาเหตุต่างๆ จะรอดชีวิตเพราะเม็ดเลือดแดง
คนป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ จะรอดเพราะ เกล็ดเลือด
คนป่วยที่มีปัญหาเลือดไม่แข็งตัว (เช่นโรค ฮิโมฟิเลีย เอ / โลหิตไหลไม่หยุด) จะรอดเพราะ น้ำเหลือง !
ดังนั้น ถ้าเราควรจะขอบคุณคนที่บริจาคโลหิต ที่ช่วยชีวิตคนป่วยได้ 3 คน (ฉันใด) เราก็ยิ่งสมควรจะขอบคุณ พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงสละโลหิต ของพระองค์บนไม้กางเขน ช่วยชีวิตคนมากกว่า 3 ,000 ล้านคนทั่วโลก ฉันนั้น จริงไหมครับ ?
" เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย "
:'( :'( :'(
ผู้ไม่เคยได้ยินพระเยซู?
ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระคริสต์?
มันมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อว่า พระเจ้าผู้ประทานพระบุตรของพระองค์ย่อมใส่ใจประชาชนมากมากกว่าเราแน่ (2ปต.3:9) พระองค์ปราถนาให้ทุกคนได้มีความสัมพันธุ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ (1ทธ.2:4) พระคัมภีร์สอนว่าทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าบ้าง และพระองค์ได้ใส่มโนธรรมในใจมนุษย์ (รม.1:19,20) ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการสนองตอบต่อข้อมูลในใจนี้

ใครก็ตามที่มีความจริงใจที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจะประทานข้อมูลที่เขาจำเป็นต้องทราบ กรณีของนายร้อยชาวโรมัน ชื่อคอร์นิเลียส ผู้ซึ่งมีความจริงใจแสวงหาพระเจ้า พระธรรมกิจการในพระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่าเปโตรถูกส่งออกไปเพื่อไปบอกแก่เขาว่าจะได้รับความรอดได้อย่างไร (กจ.10:17-35)
หลายคนอาจถามว่า " เหตุใด พระเจ้าที่มีความรักจึงส่งบางคนลงนรก " ถ้าจะให้ยุติธรรมดีแล้ว คำถามควรจะเป็น " เหตุใดพระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์และยุติธรรมจึงยอมให้คนบาปไปสวรรค์ " ประเด็นน่าจะอยู่ตรงที่ว่า แต่ละคนต้องตัดสินใจเองว่าต้องการไปสวรรค์หรือลงนรก
พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์และยุติธรรม ถ้าพระองค์ให้แต่ความรักอย่างเดียวโดยไม่มีมาตราฐาน เราก็จะคิดว่าพระองค์เหยาะแหยะ อ่อนแอ ไม่สมควรแก่การเคารพ พระองค์ก็จะไม่เป็นพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม ถ้าพระองค์จัดการกับเราอย่างยุติธรรมอย่างเดียว เราทุกคนต้องลงนรกหมด เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีบาปเหมือนพวกเรา โดยการวายพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ (พระบุตรของพระเจ้า )เพือบาปของเรา ก็เท่ากับว่าเป็นการรักษามาตราฐานความบริสุทธฺ์ของพระเจ้า และขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดช่องทางให้ทุกคนได้มีโอกาศมีความสัมพันธุ์ส่วนตัวกับพระองค์
คุณจะตัดสินใจอย่างไรในเมื่อพระคริสต์ได้ยอมสละชีพเพือให้บาปของคุณได้รับการอภัย และเสนอตัวที่จะเข้ามาในชีวิตของคุณ และเริ่มมีความสัมพันธุ์กับคุณเป็นส่วนตัว และเปลี่ยนชีวิตคุณ ?
นอกจากนั้นแล้ว ภายหลังที่คุณได้รับการอภัยบาป คุณจะทำอย่างไรที่จะให้คนอื่นซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพระคริสต์ได้รับทราบด้วย พระคริสต์สั่งให้เราเป็นพยานฝ่ายพระองค์ "...ในเยรูซาเลม ยูดาห์ และสุดปลายแผ่นดินโลก"(กจ.1:8) คุณพร้อมหรือยังที่จะตอบคำถามนี้ ?ิี
ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระคริสต์?
มันมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อว่า พระเจ้าผู้ประทานพระบุตรของพระองค์ย่อมใส่ใจประชาชนมากมากกว่าเราแน่ (2ปต.3:9) พระองค์ปราถนาให้ทุกคนได้มีความสัมพันธุ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ (1ทธ.2:4) พระคัมภีร์สอนว่าทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าบ้าง และพระองค์ได้ใส่มโนธรรมในใจมนุษย์ (รม.1:19,20) ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการสนองตอบต่อข้อมูลในใจนี้

ใครก็ตามที่มีความจริงใจที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจะประทานข้อมูลที่เขาจำเป็นต้องทราบ กรณีของนายร้อยชาวโรมัน ชื่อคอร์นิเลียส ผู้ซึ่งมีความจริงใจแสวงหาพระเจ้า พระธรรมกิจการในพระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่าเปโตรถูกส่งออกไปเพื่อไปบอกแก่เขาว่าจะได้รับความรอดได้อย่างไร (กจ.10:17-35)
หลายคนอาจถามว่า " เหตุใด พระเจ้าที่มีความรักจึงส่งบางคนลงนรก " ถ้าจะให้ยุติธรรมดีแล้ว คำถามควรจะเป็น " เหตุใดพระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์และยุติธรรมจึงยอมให้คนบาปไปสวรรค์ " ประเด็นน่าจะอยู่ตรงที่ว่า แต่ละคนต้องตัดสินใจเองว่าต้องการไปสวรรค์หรือลงนรก
พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์และยุติธรรม ถ้าพระองค์ให้แต่ความรักอย่างเดียวโดยไม่มีมาตราฐาน เราก็จะคิดว่าพระองค์เหยาะแหยะ อ่อนแอ ไม่สมควรแก่การเคารพ พระองค์ก็จะไม่เป็นพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม ถ้าพระองค์จัดการกับเราอย่างยุติธรรมอย่างเดียว เราทุกคนต้องลงนรกหมด เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีบาปเหมือนพวกเรา โดยการวายพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ (พระบุตรของพระเจ้า )เพือบาปของเรา ก็เท่ากับว่าเป็นการรักษามาตราฐานความบริสุทธฺ์ของพระเจ้า และขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดช่องทางให้ทุกคนได้มีโอกาศมีความสัมพันธุ์ส่วนตัวกับพระองค์
คุณจะตัดสินใจอย่างไรในเมื่อพระคริสต์ได้ยอมสละชีพเพือให้บาปของคุณได้รับการอภัย และเสนอตัวที่จะเข้ามาในชีวิตของคุณ และเริ่มมีความสัมพันธุ์กับคุณเป็นส่วนตัว และเปลี่ยนชีวิตคุณ ?
นอกจากนั้นแล้ว ภายหลังที่คุณได้รับการอภัยบาป คุณจะทำอย่างไรที่จะให้คนอื่นซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพระคริสต์ได้รับทราบด้วย พระคริสต์สั่งให้เราเป็นพยานฝ่ายพระองค์ "...ในเยรูซาเลม ยูดาห์ และสุดปลายแผ่นดินโลก"(กจ.1:8) คุณพร้อมหรือยังที่จะตอบคำถามนี้ ?ิี
ความหวังใจในสภาพอมะตะ
ความรู้สึกที่ซ่อนภายในบอกให้เรารู้ว่าหลังจากที่ตายไปแล้วย่อมมีอะไรต่อไปอีกต่อจากชีวิตบนโลกนี้
ความรู้สึกที่ว่านี้มาจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า
ความรู้สึกที่ซ่อนภายในบอกให้เรารู้ว่าหลังจากที่ตายไปแล้วย่อมมีอะไรต่อไปอีกต่อจากชีวิตบนโลกนี้
ความรู้สึกที่ว่านี้มาจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า
เอามาจาก
http://www.kingforever.com/main/2004/10/post_3.html
เวลาเอาจากที่อื่นมา ถ้าให้เครดิตเขาได้ก็ให้ด้วยนะครับ
http://www.kingforever.com/main/2004/10/post_3.html
เวลาเอาจากที่อื่นมา ถ้าให้เครดิตเขาได้ก็ให้ด้วยนะครับ
ตอนล๊อคอิน ถ้าจำระหัสไม่ได้ มันจะมีให้กดนะครับ แล้วเขาจะแจ้งระหัสใหม่ให้คุณทางอีเมล์ เอาเป็นว่าผมลบแอคเค้าท์ที่ชื่อว่าไบเบิ้ลออกไปนะครับ
แล้วก็ ถ้าคุณจะก๊อปบทความใครมา ช่วยลงเครดิตให้ด้วย และไม่ต้องก๊อปเขามาทั้งเวบแบบนี้นะครับ
แล้วก็ ถ้าคุณจะก๊อปบทความใครมา ช่วยลงเครดิตให้ด้วย และไม่ต้องก๊อปเขามาทั้งเวบแบบนี้นะครับ
คนเดียวกันหมดเลยครับ *ggProd Pran เขียน:
Stars กับ เจ้าของกระทู้คือ TaTa and Wong Lee Hom คนเดียวกันหรือเปล่า
เพราะเมื่อเช้า เจ้าของกระทู้คือ Bible
ขออภัยจู้จี้นิดหนึ่ง คุณเป็นทีมเวบมาสเตอร์คงพอเข้าใจนะคะ
พระเจ้าทรงอวยพรค่ะ ;D
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
*no1ฟ้าคราม เขียน: พระเยซูเจ้าเป็นความรักค่ะ
ตอบสั้นๆ
แต่ดูครอบคลุมดี
เหอๆๆ
และพระองค์ทรงรักเราด้วย
เชิญอ่านเรื่องอื่นๆได้ที่ http://www.febcthailand.org วันคริสต์มาส วันเกิดของพระเยซูคริสต์ เหตุผลใหญ่ ๆ ที่คนทั่วโลกระลึกถึง และเฉลิมฉลองเพราะ
1. พระเยซูคริสต์ชนะความตาย เป็นหลักสำคัญของพระคัมภีร์ทีเดียว หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็อยู่กับสาวกอีกสี่สิบวัน แสดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ และการเป็นพระเจ้าตามที่พระคัมภร์พยากรณ์ไว้
2. พระเยซูคริสต์ชนะอำนาจของมารซาตาน มีคนบาปคนเจ็บ คนเป็นอัมพาต มาหาพระองค์ พระองค์รักษาเขาให้หาย และอภัยบาปกับเขา
3. พระเยซูคริสต์อยู่กับเราตลอดเวลา "เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" พระองค์อยู่กับเราในรูปของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สายตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณของเราเอง ด้วยการอธิษฐาน ที่เราสามารถบอกกับพระองค์ในทุกสิ่ง พระองค์ทรงฟังและจะตอบคำอธิษฐานของเราทุกเรื่อง
ในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป คริสต์มาสก็เป็นการย้ำเตือนถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อคุณ และสำแดงความเป็นพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไป
ปีนี้เทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ คุณอาจจะได้รับบัตรอวยพร ได้รับของขวัญ
แต่มีของขวัญอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะอยู่กับคุณตลอดไป และให้ความหวังใจ กำลังใจที่แท้จริงสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกนี้ให้ รวมทั้งโลกหน้า เราก็จะอยู่กับพระองค์บนสวรรค์อย่างแน่นอนเพราะพระองค์สัญญาไว้ และทำสำเร็จแล้วด้วยการชนะความตาย
คุณผู้อ่านครับ พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญที่สมบูรณ์ เป็นของขวัญที่มาจากสรรค์ คุณสามารถรับของขวัญได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
เพียงเปิดใจ วางใจ ให้พระองค์เข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา สิทธิต่าง ๆ ที่พระองค์ทำ เราก็จะได้รับ อย่างสมบูรณ์ในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน
ดังเช่นพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก
จงมาหาเรา และเราจะให้ท่าน ทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข
แก้ไขล่าสุดโดย stars เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 10:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ขอนำมารวมกันนะคะ
เพราะเนื้อหาคล้ายกัน
คราวหน้าถ้าเนื้อหาสอดคล้องกันกระทู้ที่มีอยู่แล้ว
ไม่ต้องตั้งกระทู้ใหม่นะคะ
เตือนครั้งที่ 1
Little Lamb
Defender of Laws
เพราะเนื้อหาคล้ายกัน
คราวหน้าถ้าเนื้อหาสอดคล้องกันกระทู้ที่มีอยู่แล้ว
ไม่ต้องตั้งกระทู้ใหม่นะคะ
เตือนครั้งที่ 1
Little Lamb
Defender of Laws
พระองค์ทรงห่วงใยเราอยู่เสมอ :) ;)

คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ;)

คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ;)
แก้ไขล่าสุดโดย stars เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 11:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พระองค์ประสูติในหน้าหนาวไม่ใช่หรือครับวันที่ 25 ธันวาคม เสียชีวิตวัน ศุกร์ที่ 13 ไม่ใช่หรือครับ ??? ???
แก้ไขล่าสุดโดย stars เมื่อ เสาร์ ก.พ. 12, 2005 11:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
สามารถอ่านได้ที่ http://www.geocities.com/alumniccc/christian/christian.htm ;)
พระกำเนิดของพระเยซู
เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้นเดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้วก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่ามารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอหมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า

"โยเซฟบุตรดาวิดอย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลยเพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชายแล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่าเยซูเพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้าซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่าดูเถิดหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งและเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล(แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)" ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้นคือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้วและโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู

อยู่มาคราวนั้นมีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัวเมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮมแคว้นยูเดียด้วยเพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้วเพื่อจะขึ้นทะเบียนและนางมีครรภ์
เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่นก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร นางจึงประสูติบุตรชายหัวปีเอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้าเพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาและพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขาและเขากลัวนัก ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลยเพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลายคือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสตเจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลายคือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า"
ในทันใดนั้นมีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุดส่วนบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น" เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้วพวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่าให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟและพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า ครั้นเขาได้เห็นแล้วจึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่ คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยินและได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว
พระกำเนิดของพระเยซู

เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้นเดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้วก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่ามารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอหมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า

"โยเซฟบุตรดาวิดอย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลยเพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชายแล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่าเยซูเพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้าซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่าดูเถิดหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งและเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล(แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)" ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้นคือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้วและโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู

อยู่มาคราวนั้นมีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัวเมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮมแคว้นยูเดียด้วยเพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้วเพื่อจะขึ้นทะเบียนและนางมีครรภ์
เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่นก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร นางจึงประสูติบุตรชายหัวปีเอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้าเพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาและพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขาและเขากลัวนัก ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลยเพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลายคือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสตเจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลายคือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า"
ในทันใดนั้นมีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุดส่วนบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น" เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้วพวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่าให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟและพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า ครั้นเขาได้เห็นแล้วจึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่ คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยินและได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ขอนำมารวมกันนะคะ
เพราะเนื้อหาคล้ายกัน
คราวหน้าถ้าเนื้อหาสอดคล้องกันกระทู้ที่มีอยู่แล้ว
ไม่ต้องตั้งกระทู้ใหม่นะคะ
เตือนครั้งที่ 2
Little Lamb
Defender of Laws
เพราะเนื้อหาคล้ายกัน
คราวหน้าถ้าเนื้อหาสอดคล้องกันกระทู้ที่มีอยู่แล้ว
ไม่ต้องตั้งกระทู้ใหม่นะคะ
เตือนครั้งที่ 2
Little Lamb
Defender of Laws