ชีวประวัติ นักบุญ ราฟคา (Saint Rafqa)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Arttise
โพสต์: 1197
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 08, 2024 7:38 pm

รูปภาพ

🖤 สถานที่เกิด & วัยเด็กของท่าน

นักบุญราฟคาเกิดที่เมือง Himlaya ภูเขาเลบานอน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1832 ท่านเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายมารอไนต์คาทอลิก บิดาชื่อ Mourad Saber el-Chobok el-Rayess และมารดาชื่อ Rafqa Gemayel เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1832 ท่านรับศีลล้างบาปและใช้ศาสนนามชื่อ “Boutroussieh” (ชื่อ เปโตร ในเวอร์ชั่นผู้หญิง) บิดา-มารดาของท่านสอนให้ท่านรู้จักความรักของพระเจ้าและการสวดภาวนาประจำวัน

ในปีค.ศ. 1839 เมื่อท่านอายุได้ 7 ขวบ นักบุญราฟคาได้สูญเสียมารดาอันเป็นที่รักของท่าน บิดาของท่านต้องประสบกับความยากจน ดังนั้นเขาจึงส่งท่านไปที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย🇸🇾 ในปีค.ศ. 1843 เพื่อทำงานให้กับ Assad Badawi ซึ่งมีเชื้อสายเลบานอนเป็นเวลา 4 ปี นักบุญราฟคาได้กลับบ้านในปีค.ศ. 1847 และพบว่า บิดาของท่านได้แต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีกคนชื่อ Kafa

นักบุญราฟคาเป็นคนสวย , น่ารัก , อารมณ์ดี และบริสุทธิ์ มีน้ำเสียงสุขุม ป้าของท่านต้องการให้ท่านแต่งงานกับลูกชายของเธอ ในขณะที่แม่เลี้ยงของท่านต้องการให้ท่านแต่งงานกับพี่ชายของเธอ ดังนั้นความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น นักบุญราฟคารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ท่านจึงสวดภาวนาต่อพระเจ้า และท่านเลือกที่จะเข้าสู่ชีวิตในอาราม แทนที่จะใช้ชีวิตแต่งงาน

🖤 อารามแม่พระแห่งการปลดปล่อย (Our Lady of Deliverance Monastery)

(ค.ศ. 1859 - 1871)

นักบุญราฟคาขอร้องพระเจ้าให้ช่วยให้ท่านบรรลุความปรารถนาของท่านเอง ดังนั้นท่านจึงเดินทางไปที่อารามแม่พระแห่งการปลดปล่อย ใน Bikfaya บนภูเขาเลบานอนเพื่อบวชเป็นแม่ชี เมื่อท่านเข้าไปในวัดของอาราม ท่านรู้สึกเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีและปิติสุข ขณะที่มองและสวดภาวนาต่อหน้าไอคอนแม่พระแห่งการปลดปล่อย มีเสียงของพระเจ้าเชิญชวนให้ท่านอุทิศตนและตรัสกับท่านว่า “ลูกจะได้เป็นแม่ชี” คุณแม่อธิการยอมรับท่านให้บวชโดยไม่ได้ซักถามใดๆ และท่านก็ได้เข้าไปในอาราม นักบุญราฟคาปฏิเสธที่จะกลับบ้านเมื่อพ่อและแม่เลี้ยงของท่านมาที่อารามเพื่อห้ามปรามการบวชและขอร้องให้ท่าสนเลือกชีวิตแต่งงาน

นักบุญราฟกาทำการศึกษาชีวิตในอาราม และในวันฉลองนักบุญยอแซฟเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1861 ท่านได้สวมเสื้อคลุมนักบวช เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1862 นักบุญราฟคาได้รับกล่าวคำปฏิญาณเป็นแม่ชีที่อาราม Ghazir บนภูเขาเลบานอน นักบุญราฟกาอาศัยอยู่กับแม่ชี Mary Gemayel ศาสนกิจของอาราม Ghazir ซึ่งดำเนินการโดยคณะเยสุอิต (Jesuits) จุดประสงค์หลักของอาราม คือ ให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิงหากพวกเธอต้องการเข้าร่วมคณะ Saint Mary นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว นักบุญราฟกายังรับผิดชอบงานในครัว ซึ่งก็คือ การจัดเตรียมอาหารและเสิร์ฟอาหารให้กับทางอาราม

ในขณะที่ท่านอยู่ในอาราม Ghazir บนภูเขาเลบานอน ท่านได้ศึกษาภาษาอาหรับ , การคัดลายมือ และการคำนวณ และในปีค.ศ. 1860 นักบุญราฟกาถูกส่งไปที่หมู่บ้าน Deir el-Kamar บนภูเขาเลบานอน เพื่อสอนคำสอนแก่บรรดาเด็ก ระหว่างที่ท่านอยู่ที่หมู่บ้าน Deir el-Kamar ท่านได้เห็นเหตุการณ์นองเลือดในหมู่บ้าน ซึ่งนักบุญราฟกาเห็นด้วยตาของท่านเองว่า มีคนจำนวนมากถูกฆ่าตาย ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญพอที่จะซ่อนเด็กไว้ใต้ผ้าคลุมของเธอและช่วยชีวิตเขาจากความตาย นักบุญราฟกาใช้เวลาเกือบ 1 ปีในหมู่บ้าน Deir el-Kamar บนภูเขาเลบานอน จากนั้นท่านก็กลับไปที่อาราม Ghazir บนภูเขาเลบานอน

ในปีค.ศ. 1863 ตามคำสั่งของอธิการของท่าน นักบุญราฟกาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนของคณะสงฆ์ในเมือง Byblos บนภูเขาเลบานอน ซึ่งท่านใช้เวลากว่า 1 ปีในการให้การศึกษาและส่งเสริมศรัทธาแก่บรรดาเด็กผู้หญิง ในช่วงต้นปีค.ศ. 1864 ท่านถูกย้ายจากเมือง Byblos บนภูเขาเลบานอนไปยังเมือง Maad บนภูเขาเลบานอน ตามคำขอของ Antoun Issa ผู้โอบอ้อมอารี ในเมือง Maad บนภูเขาเลบานอน นักบุญราฟกากับแม่ชีอีกท่านหนึ่งใช้เวลา 7 ปีในการก่อตั้งโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่บรรดาเด็กผู้หญิง

🖤 คณะเลบานอนมารอไนต์ (Lebanese Maronite Order)

รูปภาพ
ตราสัญลักษณ์คณะเลบานอนมารอไนต์ (Lebanese Maronite Order)

(ค.ศ. 1871-1914)

1) อารามนักบุญ Simon El-Qarn ในเมือง Aito ภาคเหนือของประเทศเลบานอน :

ขณะที่อาศัยอยู่ในเมือง Maad บนภูเขาเลบานอน และหลังจากเกิดปัญญาในคณะ Saint Mary ในปีค.ศ. 1871 นักบุญราฟกาเข้าไปในวัดนักบุญจอร์จ และขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และท่านได้ยินเสียงเรียกท่านว่า “ลูกจะได้เป็นแม่ชี” ในขณะที่นักบุญราฟกากำลังสวดภาวนา ท่านเห็นภาพนิมิตของนักบุญจอร์จ , นักบุญซีโมน และนักบุญอันตนผู้ยิ่งใหญ่ บิดาของบรรดาฤาษี ซึ่งบอกกับท่านว่า “จงเป็นแม่ชีในคณะเลบานอนมารอไนต์”

หลังจากที่ได้เห็นนิมิตนี้ นาย Antoun Issa ได้ช่วยให้นักบุญราฟกาเดินทางออกไปได้โดยสะดวก และย้ายท่านจากเมือง Maad บนภูเขาเลบานอนไปยังอารามนักบุญ Simon el-Qarn ในเมือง Aito ภาคเหนือของประเทศเลบานอน ท่านได้รับการยอมรับให้บวชทันที และสวมชุดนักบวชเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 และได้ปฏิญาณตนเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1872 และได้รับชื่อใหม่ว่า “แม่ชี Rafqa” ตามชื่อมารดาของท่าน

แม่ชีราฟกาใช้เวลา 26 ปีในอารามนักบุญ Simon el-Qarn ในเมือง Aito ภาคเหนือของประเทศเลบานอน ในระหว่างปี ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1897 ท่านเป็นแบบอย่างให้กับแม่ชีท่านอื่นๆ โดยการระลึกถึงกฎเกณฑ์ต่างๆของคณะ , การสวดภาวนา , การใช้ชีวิตอย่างสมถะ , การเสียสละ และการทำงานอย่างสุขุม

ในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ค.ศ. 1885 ท่านได้เข้าไปในวัดของคอนแวนต์ แล้วเริ่มสวดภาวนาขอให้พระเจ้าทำให้ท่านได้เป็นส่วนหนึ่งของพระมหาทรมาน พระเจ้าทรงตอบสนองทันทีและประทานความเจ็บปวดที่แสนสาหัสในหัวของท่าน และความเจ็บปวดลามไปถึงดวงตาของท่าน ความพยายามทั้งหมดที่จะรักษาท่านล้มเหลว และคุณแม่อธิการจึงตัดสินใจส่งท่านไปที่เมืองเบรุต (Beirut) ประเทศเลบานอน🇱🇧 เพื่อรับการรักษา ขณะที่แม่ชีราฟคากำลังเดินผ่านวัดนักบุญ John-Marc ในเมืองบิบลอส (Byblos) บนภูเขาเลบานอน ท่านสังเกตเห็นแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่ง และท่านจึงบอกให้เขาตรวจรักษาท่าน

ระหว่างการตรวจรักษา แพทย์ชาวอเมริกันดึงดวงตาขวาของท่านหลุดออกโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วอาการเจ็บปวดก็ลามไปที่ดวงตาซ้ายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การตรวจล้มเหลว แม่ชีราฟคาจึงกลับไปที่อารามของท่าน ซึ่งท่านต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดดวงตาอย่างรุนแรงเป็นเวลา 12 ปี และท่านยังคงอดทน , สุขุม , สวดภาวนาด้วยความชื่นชมยินดี และแบ่งปันความเจ็บปวดของท่านให้กับพระเยซู

2) อารามนักบุญ Joseph Al-Dahr ในเมือง Jrabta บนภูเขาเลบานอน :

เมื่อคณะเลบานอนมารอไนต์ตัดสินใจสร้างอารามนักบุญ Joseph Al-Dahr ในเมือง Jrabta บนภูเขาเลบานอน ในปีค.ศ. 1897 แม่ชี 6 ท่านจากอารามนักบุญ Simon El-Qarn ในเมือง Aito ภาคเหนือของประเทศเลบานอน ถูกส่งไปที่อารามแห่งใหม่ภายใต้การดูแลของแม่ชี Ursula Doumit จากเมือง Maad บนภูเขาเลบานอน แม่ชีราฟคาเป็นหนึ่งในแม่ชี 6 ท่านที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยสร้างอารามแห่งใหม่

ในปีค.ศ. 1899 แม่ชีราฟคาสูญเสียการมองเห็นที่ดวงตาข้างซ้ายและเริ่มตาบอด ทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้ง แม่ชีราฟคาใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยอาการตาบอดสนิท ท่านมีอาการปวดข้างลำตัวอย่างแสนสาหัส และร่างกายมีสภาพอ่อนแอ นอกจากนี้ สะโพกและขาข้างขวาของท่านยังหลุดออกจากกัน กระดูกไหล่ของท่านเปลี่ยนตำแหน่ง และกระดูกสันหลังก็โผล่จนมองเห็นได้ชัด

เนื้องด้วยใบหน้าของแม่ชีราฟคาที่ยังคงสดใสและเปล่งประกาย กับมือของท่านที่ยังคงอยู่ครบ ท่านจึงสามารถถักถุงเท้าและเสื้อผ้าได้ และขอบคุณพระเจ้าเสมอที่ทรงช่วยมือของท่านไว้ และทำให้ท่านได้เป็นส่วนหนึ่งของพระมหาทรมานของพระองค์

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1914 นักบุญราฟคาได้จากไปอย่างสงบ ใช้ชีวิตด้วยการสวดภาวนา , รับใช้ และทนทุกข์ โดยอาศัยพระมารดาของพระเจ้ากับนักบุญยอแซฟในการปกป้องและชี้นำความคิดและการกระทำตลอดช่วงชีวิตของท่านบนโลก ท่านถูกฝังในสุสานของอาราม

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 ร่างของท่านถูกย้ายไปที่สักการสถาน (Shrine) ที่อื่นในอาราม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเคสการประกาศเป็นบุญราศีของท่านเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1925 และการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นนักบุญของท่านเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1938

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1984 ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า หรือวันเปนเตกอสเต (Pentecost) พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 (Pope John Paul II) มีพระราชกฤษฎีกาอนุมัติอัศจรรย์ของ Elizabeth Ennakl ซึ่งว่ากันว่า ได้หายจากโรคมะเร็งมดลูก จนหายสนิทในปี ค.ศ. 1938 ณ หลุมฝังศพของนักบุญราฟคา ซึ่งได้ถูกประกาศออกมา

รูปภาพ
พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 (Pope John Paul II) มีพระราชกฤษฎีกาอนุมัติอัศจรรย์ของ Elizabeth Ennakl ซึ่งว่ากันว่า ได้หายจากโรคมะเร็งมดลูก จนหายสนิทในปี ค.ศ. 1938 ณ หลุมฝังศพของนักบุญราฟคา ซึ่งได้ถูกประกาศออกมา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1984 ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า หรือวันเปนเตกอสเต (Pentecost)

🖤 การประกาศเป็นบุญราศี & การประกาศเป็นนักบุญ

พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศให้ท่านเป็น ดังนี้

• ได้รับการสถาปนาเป็นผู้น่าเคารพ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1982

• ได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1985

• เป็นแบบอย่างในการเคารพศีลมหาสนิทในปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2000

• ได้รับการสถาปนาเป็นเป็นนักบุญสำหรับพระศาสนจักรทั้งหมด (ทั้งจารีตตะวันตก - โรมันคาทอลิก และจารีตตะวันออก) เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2001

• ประกาศวันฉลองในวันที่ 23 มีนาคม ของทุกปี

รูปภาพ

CR. : http://saintcharbel.net.au/st-rafqa/

⛪ كنيسة سيدة النجاة (อารามแม่พระแห่งการปลดปล่อย - Our Lady of Deliverance Monastery)
📍 Google Maps
https://maps.app.goo.gl/d9t1oThmNbwhab8 ... eview.copy

👍 เพจ
https://www.facebook.com/profile.php?id ... tid=LQQJ4d

รูปภาพ

⛪ دير مار سمعان، أيطو (อารามนักบุญ Simon El-Qarn เมือง Aito - Monastery of St Simon El-Qarn in Aito)
📍 Google Maps
https://maps.app.goo.gl/DuDoJNGRotJtVMU ... eview.copy

👍 เพจ
https://www.facebook.com/aytorafqa?mibextid=LQQJ4d

รูปภาพ

⛪ القديسة رفقا (อารามนักบุญ Joseph Al-Dahr ในเมือง Jrabta บนภูเขาเลบานอน - Saint Joseph monastery Al-Dahr in Jrabta, Mount Lebanon หรือ St Joseph Monastery - tomb of Ste Rafqa)
📍 Google Maps
https://maps.app.goo.gl/Giuy5Bn8RddK6rC ... eview.copy

🖥️ เว็บไซต์
https://mobile.beitrafqa.org

👍 เพจ
https://www.facebook.com/BeitRafqa?mibextid=LQQJ4d

รูปภาพ

รูปภาพ

🇱🇧 มารอไนต์คาทอลิก - หลายปีที่จาก แต่ไม่เคยพลัดพรากสันตะบิดร
https://www.facebook.com/share/5nriLCwR ... tid=WC7FNe

รูปภาพ

ปล. หากมีการแปลผิดพลาดประการใด หรือข้อมูลผิดพลาด แอดมินก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #ชีวประวัติ #นักบุญราฟคา #แม่ชี #นักบวช #ฤาษี #นักพรต #อาราม #พระมหาทรมาน #พระเจ้า #ประวัติศาสตร์ #เลบานอน #ประเทศเลบานอน #คาทอลิกตะวันออก #มารอนไนต์ #มารอนไนต์คาทอลิก #นักบุญ #อัศจรรย์ #catholic #SaintRafqa #nun #EasternCatholic #maronite #lebanon

CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/mVsfxU ... tid=WC7FNe
Arttise
โพสต์: 1197
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 08, 2024 9:07 pm

มารอไนต์คาทอลิก - หลายปีที่จาก แต่ไม่เคยพลัดพรากสันตะบิดร
.
ใครที่ศึกษาเรื่องตะวันออกกลาง อาจพอคุ้นชื่อ "มารอไนต์" (Maronites) กันมาบ้างล่ะ เคยสงสัยมั้ยครับว่าพวกเขาเป็นใคร? และทำไมผมถึงตั้งหัวเรื่องแบบนี้? วันนี้เดี๋ยวจะมาเล่าให้ทุกท่านอ่านกัน
.
กลุ่มมารอไนต์เป็นคริสเตียนกลุ่มหนึ่งสังกัดนิกายคาทอลิก (คาทอลิกจารีตตะวันออก) มีต้นกำเนิดจากนักบุญมารอน (St. Maron) นักพรตชาวซีเรียซึ่งมีชีวิตช่วงศตวรรษที่ 4-5
.
ตำนานว่านักบุญมารอนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ออกเทศนาและทำการอัศจรรย์มากมาย จึงมีลูกศิษย์และผู้ติดตามเยอะ เมื่อท่านเสียชีวิต เหล่าลูกศิษย์ก็เดินหน้าพันธกิจท่านต่อ นำชาวฟินิเชียนแถบนั้นที่ยังเป็นเพแกนให้กลับใจ กลุ่มคริสเตียนที่ติดตามนักบุญมารอนและลูกศิษย์จึงได้ชื่อว่า "มารอไนต์" จากชื่อท่านนี่เอง
.
มารอไนต์ขึ้นกับอัครบิดรแห่งอันติออก (Patriarch of Antioch) และมีศูนย์กลางในซีเรีย แต่เมื่ออัครบิดรอธานาซิอุสที่ 2 สิ้นพระชนม์ในปี 609 อัครบิดรองค์ถัดมาได้ประทับที่คอนสแตนติโนเปิลแทน เพราะแถบซีเรียวุ่นวายมาก โดยเฉพาะสงครามระหว่างไบแซนไทน์กับเปอร์เซีย
.
กลุ่มมารอไนต์ที่ขาดผู้นำเป็นเวลานาน จึงเลือกอัครบิดรแห่งอันติออกขึ้นปกครองเองในปี 685 ชื่อท่านจอห์น มารอน (John Maron) ถือเป็นผู้นำศาสนจักรมารอไนต์คนแรก โดยมีพระสันตะปาปาเซอร์จีอุสที่ 1 รับรอง และหลังมุสลิมเข้ายึดครองตะวันออกกลาง พวกเขาจึงอพยพไปยังหุบเขาในเลบานอนที่ปลอดภัยกว่าแทน
.
มารอไนต์ผ่านการข่มเหงเบียดเบียนอย่างยาวนาน ทั้งพวกมัมลุกจากอียิปต์และออตโตมัน แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ก่อนได้รับการคุ้มครองอุปถัมภ์จากฝรั่งเศส จนทุกวันนี้ มารอไนต์คาทอลิกได้กลายเป็นศาสนจักรที่มีอิทธิพลต่อเลบานอนมากที่สุด มีศาสนิกราว 3.4 ล้านคนทั่วโลก
.
ทีนี้ก็มาถึงคำถาม ทำไมผมถึงตั้งหัวเรื่องแบบนี้? ก็เพราะมารอไนต์ถือตนว่าเป็นศาสนจักรตะวันออกเดียวที่ "ไม่เคยแยกกับพระสันตะปาปาแห่งโรม" แค่ขาดการติดต่อไปเฉยๆ นับตั้งแต่อิสลามเข้ายึดครองตะวันออกกลาง แล้วยืนยันว่าตนเองยังคงอยู่กับพระสันตะปาปาแห่งโรมอีกทีตอนพวกครูเสดมาถึง จะเห็นได้ว่ามารอไนต์ไม่มีศาสนจักรคู่ขนาน ไม่มีมารอไนต์ออร์โธด็อกซ์ ทั้งกลุ่มอยู่กับโรมหมด
.
และแม้เคยถูกกล่าวหาว่าไปเข้ากับโมโนธีไลต์ - Monothelitism แต่ยังกังขากันอยู่ และทางมารอไนต์ออกมายืนยันตลอดว่าไม่เคยสังฆกรรมใดๆกับลัทธินอกรีต ยังคงนบนอบพระสันตะปาปาแห่งโรมและยึดมั่นในหลักความเชื่อที่ถูกต้องเสมอมา
.
มารอไนต์ใช้พิธีกรรมจารีตซีรีแอกตะวันตก (West Syriac Liturgy) แต่เนื่องจากติดต่อกับโรมันคาทอลิกมานานมาก มารอไนต์จึงรับอิทธิพลจารีตละตินมากที่สุดในบรรดาคาทอลิกตะวันออกทั้งหมด เช่น การใช้หมวกสูง (mitre) ของบิชอปแบบเดียวกับโรมันคาทอลิก แผ่นปังแบบไร้เชื้อ รวมถึง Devotion ต่างๆ เช่น สายประคำแบบละติน พระหฤทัย การเฝ้าศีลมหาสนิท เป็นต้น
.
ในภาพที่ผมทำมา ด้านซ้ายมีนักบุญของมารอนไนต์ 3 องค์ ดังนี้
1. คนผู้หญิงชื่อนักบุญราฟคา (St. Rafqa) เป็นแม่ชีผู้รับทรมานอย่างพระคริสต์
2. คนขวาชื่อนักบุญนีมาตุลลอฮ์ คาซซาบ (St. Nimatullah Kassab) เป็นนักพรต องค์อุปถัมภ์กรุงเบรุต เมืองหลวงเลบานอน
3. คนล่างซึ่งถือว่าเป็นที่รู้จักมากที่สุด ชื่อนักบุญชาร์เบล มาคลุฟ (St. Charbel Makhlouf) เป็นนักพรตเช่นกัน มีชื่อเรื่องชีวิตศักดิ์สิทธิ์และการอัศจรรย์รักษาโรค

ทั้งสามได้รับสถาปนาโดยพระสันตะปาปาทั้งหมด และเป็นที่เคารพของชาวมารอไนต์มาก
.
สำหรับนิกายคาทอลิกแล้ว มารอไนต์นับว่าเป็นประจักษ์พยานอย่างหนึ่ง ถึงการมีเอกภาพระหว่างศาสนจักรตะวันตกและตะวันออก ที่ยังคงสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จึงเหมาะสมแล้วแก่การตั้งหัวเรื่องว่า "หลายปีที่จาก แต่ไม่เคยพลัดพรากสันตะบิดร"
.
/AdminMichael

รูปภาพ

หมายเหตุ :
Monothelitism = ลัทธินอกรีตที่เชื่อว่าพระเจ้ามีสองธรรมชาติ แต่มีจิตใจของความเป็นพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีจิตใจความเป็นมนุษย์ - ถูกประณามไปในสภาสังคายนาสากลแห่งคอนสแตนติโนเปิลครั้งที่ 3 ปี 681

CR. : ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา
https://www.facebook.com/share/5nriLCwR ... tid=WC7FNe
ตอบกลับโพส