8 เกาะติดวิกฤติโลกผ่านพระคัมภีร์และนอสตาดามุส (71-80)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 13, 2025 8:55 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 71 )

✴️ สัญญาณ​เตือน​แก่มนุษยชาติ​ (B) ✴️
วิธีการของสวรรค์คือให้ความกระจ่างเพียงเท่าที่จำเป็น ปีศาจนรกกำลังออกเพ่นพ่าน และ
ทำสงครามอย่างเต็มที่กับผู้มีใจศรัทธา ด้วยเหตุนี้​พระตรีเอกภาพ และพระนางมารีย์จึงเตือนเรา
ล่วงหน้าอย่างชัดเจน
บาปที่ถูกเปิดเผย สัญญาณเตือนจะแสดงบาปของเรา​ เช่นเดียวกับที่​ ดอเรียนเกรย์ได้เห็น
สถานภาพของชีวิตของเขาเพียงแต่ไม่ใช่บนผืนผ้าใบแต่เป็นในจิตวิญญาณของตนเอง นี่คือ
“การแก้ไขจิตสำนึกของชาวโลก” พระวรสาร​บอกไว้นานแล้วว่า​ พระเยซูจะส่งพระจิตมาเพื่อ​
“พิพากษาบาปของโลก” หากเราไม่สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ในขณะนี้​ เราก็จะเข้าใจได้ใน
ขณะนั้นด้วยอานุภาพของสัญญาณเตือน
บาป การขัดขืนของเราที่เป็นคนที่เปี่ยมด้วยความรัก เช่นที่พระเจ้าทรงเป็น เป็นสาเหตุของ
การ​กระทำ การตัดสินใจ และทัศนคติที่ขาดความรักมากมาย สิ่งเหล่านี้จะปรากฏชัดเมื่อแสงสว่าง
ของพระผู้เป็นเจ้าสาดส่องลงมาบนวิญญาณของเรา จิตสำนึกของเราจะสว่างไสวไปในขณะนั้น
และเปิดเผยการหลอกลวงตนเอง ซึ่งเรามักใช้แก้ตัวอยู่บ่อยครั้ง​ ดึงเอาซากความทรงจำ ซึ่งไม่เคย
ได้รับการฟื้นฟูด้วยความรักออกมา​ แสดงให้เราเห็นความเท็จที่เราบอกแก่ตนเอง และการโอนอ่อน
ต่อบาปของเรา
ด้วยสัญญาณเตือนนี้ เรามิอาจหลบซ่อนจากตัวเองได้อีก​ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำจะปรากฏ
ต่อสายตาทั้งหมด เพียงในชั่วพริบตา​ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า สายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทะลุทุก
สิ่งจนถึงก้นบึ้งของสิ่งที่เป็นความลับที่สุด เราจะเห็นความเป็นสากลอย่างแท้จริงของสวรรค์ โดย
ปราศจากอุปสรรคของสีผิว เผ่าพันธุ์หรือความเชื่อ​ พระองค์จะทรงทำให้เรารู้ว่า​ พระองค์ทรงเห็นเรา
เป็นอย่างไร​ และสิ่งใดในตัวเราที่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย​ เราจะเข้าใจสถานะนิรันดรของตนเอง​
และแสงสว่าง หรือความมืดของวิญญาณของเรา ในชั่วขณะหนึ่งเราจะต้องเป็นทุกข์ถึงบาปของเราเอง
ทุกข์ที่ต้องแยกไปจากพระเป็นเจ้า ทุกข์ของไฟชำระ หรือนรก​ เราจะได้เห็นทุกสิ่ง ไม่ว่าเราจะต้องการ
หรือไม่ก็ตาม​ เราจะได้เห็นการตัดสินใจของเราที่เหี้ยมโหด ดื้อรั้น และปราศจากความปราณี เวลาต่างๆ
ที่เราเหยียบย่ำความรู้สึกของผู้อื่นอย่างโหดร้าย เวลาที่เรามักได้ในทรัพย์สินของผู้อื่น ริษยาในโชคดี
และชื่นชมในความล้มเหลวของผู้อื่น​ เมื่อนั้น เราจะต้องร่ำร้องด้วยความทุกข์โศกเศร้า​ เมื่อพระผู้เป็นเจ้า
ทรงเผยให้เราเห็นการละเลย การปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ กิจการและแผนงานที่เราไม่ยอมกระทำ
เราจะได้ยินพระองค์ตรัสแก่เราว่า “เจ้าเบียดเบียนเราทำไม?”
สัญญาณเตือนนี้คือ พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการเตือนนี้เราจะได้รู้ว่า เรายังไม่เป็นอย่างที่
พระองค์ทรงต้องการ น้ำพระทัยของพระองค์คือให้เราเป็นเช่นเดียวกับพระองค์​ และเข้าใกล้ชิดพระองค์​
บาปเป็นอุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่กีดขวางเราจากความสุขอันสมบูรณ์เป็นนิรันดร์ บาปของเราจะถูกเผย
ให้เห็นด้วยสัญญาณเตือน มิใช่เพื่อแก้แค้น​ เพราะความแค้นมิใช่เป็นคุณสมบัติของดวงหฤทัยของพระองค์
แต่เพราะความรักและพระเมตตา
คาราบันดัล คือกุญแจ​ สัญญาณเตือนคือเครื่องหมายสำหรับอนาคต เป็นจุดหักเหครั้งสำคัญในประวัติ
ศาสตร์ของโลก และคงจะเป็นเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกกาลสมัย การแยกทะเลแดง​ และมานนา
จากสวรรค์ เป็นความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า​เพื่อชน​กลุ่มน้อย​ๆ แต่สัญญาณเตือน จะครอบคลุมไป
ทั่วโลก และปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ จะเป็นความช่วยเหลือที่สำคัญกว่า เพราะจะส่งผลกระทบกว่า เพราะจะส่ง
ผลกระทบต่อชาย​ หญิง และเด็กทุกคนบนโลกมนุษย์​ สัญญาณเตือนจะเตรียมใจประชากรโลก เพื่อรับสาร
จากพระวจนะ และเตรียมตัวทุกคนเพื่อรับพระเยซู และชีวิตจากพระองค์ ด้วยสัญญาณเตือนนี้เราจะตระหนัก
ถึงบาปของตนเอง เราจะรู้ว่าเราต้องการพระผู้ไถ่ หากเราไม่ตระหนักถึงบาปของเรา เราก็ย่อมจะไม่เข้าใจว่า
เราต้องการพระเยซู​ ​และการอภัยโทษของพระองค์มากเพียงไร
สัญญาณเตือนเป็นความช่วยเหลือโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า​ สัญญาณเตือนนี้แสดงถึงความรักอันลึกล้ำ
ที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ไม่เคยเลยที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำการใดโดยตรง และทั่วถึงเช่นนี้เพื่อทำให้ทุกคน
ในโลกได้รับรู้ในบาปของตนต่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์​ ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์
ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งใดด้วยฤทธานุภาพ ความเที่ยงตรง อย่างฉับพลันเช่นนี้
แต่เวลากำลังจะหมดไปแล้ว ยุคปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง และเราได้รับคำสัญญาว่าจะได้ยุคใหม่แห่ง
สันติภาพ สัญญาณเตือนจะเป็นเครื่องหมายชัดเจนประการแรก ที่จะบ่งว่ายุคเก่ากำลังจะสิ้นสุดลง พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ทรงปรารถนาให้เราอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ยอมกลับใจทันเวลา​ พระองค์ไม่ทรงเคยปรารถนาให้วิญญาณของ
ลูกน้อยๆ ของพระองค์แม้แต่ดวงเดียวต้องพินาศไป
เราได้เลือกทางของเราแล้ว​ และในอดีตเราก็ไม่ได้เลือกทางแห่งมหากางเขน (การยอมสู้ทนความยาก
ลำบาก-สนธิ) ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาเพื่อทำให้เห็นอันตรายเด่นชัดขึ้น​ เพื่อเผยโฉม
ของความชั่วในยุคปัจจุบัน และเพื่อเปิดโปงโอกาสความชั่วร้ายของ​ “ความรู้แจ้ง”​ เท็จเทียม​ หากโลกไม่
ต้องการรับฟังความจริง​ และลูกน้อยๆ​ ของพระบิดากำลังถูกลวงให้หลงทาง แต่ด้วยพระบารมี​ และฤทธานุภาพ​
พระองค์เองจะทรงบังคับให้เรารับฟัง และด้วยสัญญาณเตือนนี้​ พระองค์จะทรงปัดเป่าความเท็จ และคำลวง
ซึ่งซาตานใช้บดบังแสงสว่างแห่งพระวรสาร

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 13, 2025 9:00 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 72 )

✴️ สัญญาณ​เตือน​แก่มนุษยชาติ​ (C) ✴️
ผู้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในนิมิตคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนป่วยที่ไม่ประสงค์จะแสดงตัว และ
อาศัยอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ได้รับสารในปี​1990 - 1992 ซึ่งให้ความกระจ่าง
ในลักษณะของสัญญาณเตือน ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวัง และความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์
ทรงกล่าวแก่เธอว่า “ผู้ที่อยู่ในพระหรรษทานของเราไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เมื่อสัญญาณเตือนมาถึง เมื่อไร
ลูกจึงจะเรียนรู้เสียทีว่า ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักของเรา? ลูกไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นของความ
รักของเราเลยหรือ? ยังจะมีผู้ใดยิ่งใหญ่กว่าเราอีกหรือ? ทำไมลูกจึงแสวงหาจากที่อื่นๆ​ เล่า? เข้ามาสู่
อ้อมแขนของเราเถิด
“นี่คือเวลาหนึ่งเดียวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มนุษย์จะได้มี
โอกาสนึกเช่นเดียวกับเวลาใกล้จะตาย​ นี่คือเมตตากิจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา”​ เมื่อมนุษย์เผชิญหน้า
กับบาปในชีวิตของเขา เวลานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา เราจะฟื้นฟูทุกอย่างได้​ แต่เขาจะต้องขอร้อง เรา
จะอภัยโทษทั้งหมดได้ แต่เขาจะต้องสำนึกผิด​ เราจะรับทุกคนกลับมาสู่ดวงใจของเรา แต่เขาจะต้องเป็น
ผู้หันกลับมาเอง”​
“...ความเขลาที่เกาะกุมมนุษยชาติอยู่ ทำให้ทุกคนไม่อาจเข้าใจความหนักหนา (ของบาปในโลก)
ดังนั้น ผลลัพธ์จึงต้องสมดุลกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่แต่องค์เดียวเพื่อรอความรุ่งโรจน์แห่งมหา
ทรมานของเรา ซึ่งหมายความว่า ในอีกไม่ช้า เผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งหลายจะป็นประจักษ์พยานถึงการตรึง
กางเขนของเราอีกครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นทุกคนจะเข้าใจถึงความทุกข์มหาศาลที่พระบิดาของเราต้องขานรับ”
องค์​พระบิดาได้ตรัสลงมาจากท้องฟ้า​ “ประชากรของเราได้ลืมเราแล้ว​ เราจะดับดวงอาทิตย์เป็นเวลา​
3 ชั่วโมง คนจะพากันออกจากบ้านเรือนของตนอย่างสับสนวุ่นวาย จะไม่อาจปลอบโยนคนบางคนได้เลย
สายโทรศัพท์จะไม่พอใช้ แม้แต่พระสงฆ์ก็จะเป็นทุกข์เสียใจ จงสวด​สายประคำ ​สิ่งนี้สำคัญมาก พวกเขาจะ
ต้องจำศีลอดอาหารอีกครั้งหนึ่ง​ มนุษย์จะต้องยอมสละตนเอง​ เปลี่ยนแปลงชีวิต และชดเชยบาป​(ชดใช้กรรม)
ทั้งหมดของตน ผู้ที่อยู่ร่วมกันโดยไม่ได้แต่งงานจะต้องแยกบ้านกัน​ ความเกินเลยทั้งสิ้นจะต้องยุติลง คนติด
ยาเสพติดจะหายได้โดยอาศัยพระหรรษทานของเราเพียงอย่างเดียว”​
“สัญญาณเตือนนี้จะเกิดขึ้นตอนบ่ายสองโมง เธอรู้วันที่ท้องฟ้าจะกลับมืดครึ้ม โลกทั้งโลกจะอยู่ในสภาพ
สับสนอลหม่าน การทำลายล้างครั้งใหญ่จะอยู่ในใจของมนุษย์​ ผู้คนจะคิดไปว่า โลกกำลังถึงกาลอวสานแล้ว
ใครมีบาปมากก็กลัวมาก บาปของโลกช่างหนักหนาสากรรจ์ยิ่งนัก จนว่าไม่มีอะไรจะมาทัดทานไว้ได้อีกแล้ว
สัญญาณเตือนจะต้องเกิดขึ้น อย่าได้คลางแคลงใตแม้แต่น้อยนิด เราได้เคยบอกเธอไว้แล้ว​ ขณะที่เธอไม่คาด
คิดนั่นเอง เธอจะเห็นกางเขนในท้องฟ้า”​
เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่างๆ​ แล้ว​ สรุปได้ว่า จะเกิดมืด 2 ช่วง ช่วงแรกจะเกิดตอน สัญญาณเตือน
เป็นเวลา​ 3 ชั่วโมง และในช่วงที่ 2 จะเกิดตอนมีการลงทัณฑ์ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
สัญญาณเตือนกำลังจะเกิดขึ้น​ คริสตีนา กัลลาเกอร์ ได้รับรู้ว่าชาวโลกจะได้สัญญาณเตือนผ่านทางเครื่อง
หมายอย่างหนึ่ง หากเครื่องหมายนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ การลงทัณฑ์จะเกิดตามมา “เครื่องหมายอย่างหนึ่งจะปรากฏ
ขึ้น ทุกคนในโลกจะรู้สึกได้ภายในจิตใจ และรู้ว่าสิ่งนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า​ และจะเห็นตัวเองเช่นที่เป็นอยู่อย่าง
แท้จริง ผู้ที่เชื่อจะต้องสวดภาวนาเพื่อที่คำภาวนาของเราจะได้ถูกนำไปใช้​ และทำให้ทุกคนตอบสนองเครื่อง
หมายนั้น และจะได้รับความรอดสู่พระอุระของพระเจ้า แม่พระจำต้องอาศัยพวกเราที่มีความเชื่อให้สวดภาวนา
เพื่อผู้อื่น ซึ่งตกอยู่ในความมืดจะได้รับพระหรรษทานและกลับใจ”
“เราจะต้องไม่คิดเพียงแต่จะสวดภาวนาเพื่อวิญญาณของเราเอง​ และเพื่อญาติและเพื่อนๆ เท่านั้น เราต้อง
ภาวนา และชดเชยบาปเพื่อทุกคน​ เพราะนั่นคือหน้าที่ของผู้มีความเชื่อทั้งหลาย ในฐานะบุตรของพระผู้เป็นเจ้า
และอวัยวะหนึ่งในพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า เมื่อเราตอบสนองต่อพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า เราก็
อาจช่วยผู้อื่น ซึ่งไม่อาจช่วยตนเองในขณะนั้น ให้พวกเขารอดพ้นได้”​
คริสตีนา กัลลาเกอร์ เชื่อว่าเครื่องหมายเหนือธรรมชาตินี้อยู่ไม่ไกลเลย เธออธิบายว่า “ฉันรู้สึกได้ภายใน
ตัวของฉัน ฉันรู้สึกได้ว่ามันกำลังมาด้วยความเร็วสูงทีเดียว”​
เธอเชื่อว่าทุกสิ่งที่เธอได้เห็น จะเกิดก่อนสิ้นศตวรรษนี้

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 13, 2025 9:08 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 73 )

✴️ ปาฏิหาริย์​ครั้ง​ใหญ่​และ​เครื่อง​หมายถาวร​ (A) ✴️
ที่คาราบันดัล วันที่ 8 สิงหาคม​1961 ขณะที่เด็กทั้ง 4 กำลังอยู่ใน​ภวังค์ ณ บริเวณสวนสนนั้น ท่าน
บาทหลวง หลุยส์ อันดรู ก็อยู่ในบริเวณ​นั้นด้วย เด็กทั้งสี่ได้กล่าวว่า​ ท่านบาทหลวงได้เห็นปาฏิหาริย์ครั้ง
ใหญ่นี้ล่วงหน้า​ หลังจากเหตุการณ์เข้าภวังค์ครั้งนี้ คอนชิต้าก็ได้พยายามที่จะแพร่ข่าวนี้​ ไม่ว่าทั้งการพูด
ชี้แจงด้วยตนเอง หรือด้วยการขีดเขียนถึงปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่​นี้ว่าจะต้องเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับ
สัญญาณเตือนอย่างแน่นอน
คอนชิต้ารู้วันที่แน่นอนว่าจะเกิดวันใด แล้วเธอจะแจ้ง 8 วันก่อนที่จะเกิดปาฏิหาริย์นี้
ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าที่ฟาติมา​ จะมองเห็นได้ไปทั่วหมู่บ้านคาราบันดัลซึ่งแวดล้อมด้วยภูเขา
จะเกิดในวันพฤหัสบดี เวลา 20.30 น.​เป็นวันฉลองมรณสักขีหนุ่มที่มีความศรัทธาต่อศีลมหาสนิทเป็น​พิเศษ​
ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะประจวบกับเหตุการณ์สำคัญและนำความชื่นชมยินดีมาสู่พระศาสนจักร
(เข้าใจว่าคงจะเป็นการคืนดีกันระหว่างนิกาย​ออร์โธดอกซ์​ โปรเตสแตนต์​ และคาทอลิก​-สนธิ)
ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะกินเวลาประมาณ 10 -​ 15 นาที
ณ สวนสนก็จะมีเครื่องหมายอันหนึ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป ซึ่งก็เป็นเครื่องหมายอันนี้เองที่จะเป็นปรากฏ
การณ์ประหลาดมหัศจรรย์​ ซึ่งเราสามารถที่จะถ่ายภาพหรือถ่ายวิดีโอได้ ไม่จำเป็นที่เด็กทั้งสี่จะต้องอยู่ที่
นั้น​เมื่อเกิดปาฏิหาริย์ เพราะพระเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้ด้วยการเสนอจากแม่พระมารีย์
ผู้ป่วยที่อยู่ ณ ที่นั้นจะหายจากโรคอย่างปาฏิหาริย์และผู้ไม่เชื่อจะกลับ​ใจ
สมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงเห็นปาฏิหาริย์นี้ไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ ณ ที่ใด
หลังจากปาฏิหาริย์ครั้งนี้หากโลกยังไม่กลับใจ พระเป็นเจ้าจะส่งการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่ลงมา​
ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะเป็นการทดสอบถึงความละเมียดละไมขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพระแม่มารีย์
สำหรับโลกทั้งมวล
แม่พระเปิดเผยถึงปาฏิหาริย์อย่างเพียงพอที่เราจะเตรียมรับเหตุการณ์นี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งปี
หลังจากสัญญาณเตือน ไม่มีใครู้วันที่แน่นอน นอกจากคอนชิต้าขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก
คนนับล้านจะสามารถมองเห็นปาฏิหาริย์ได้ในวันนั้น เพราะคาราบันดัลที่อยู่ท่ามกลางเนินเขา ซึ่ง
มีรูปทรงเหมือนโรงมหรสพที่บรรจุคนจำนวนมาก ซึ่งจะเดินทางมายังสถานที่ห่างไกลนี้ คนจำนวนมาก
จะมาชุมนุมกันที่หมู่บ้านนี้จากทุกหนทุกแห่ง และทุกคนที่สามารถมาถึงเนินเขาเหล่านี้ก็จะได้เห็นภาพนิมิต
แห่งความปิติยินดี ซึ่งได้ส่งบาทหลวงหลุยส์ขึ้นสู่สวรรค์ หลังจากที่ท่านได้เห็นนิมิตแห่งปาฏิหาริย์นี้
ปาฏิหาริย์จะเกี่ยวกับศีลมหาสนิท การเน้นการสักการะศีลมหาสนิทที่คาราบันดัลนั้นหนักแน่นมาก​
และหากปาฏิหาริย์จะเกี่ยวข้องกับศีลมหาสนิทแล้ว ก็จะสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
คาราบันดัล แม่พระเปิดเผยว่าปาฏิหาริย์จะเกิด ณ เวลา 20.30 น. ของวันพฤหัสบดีระหว่างวันที่ 8-16 เดือน
มีนาคม เมษายน หรือพฤษภาคม ซึ่งเป็นฉลองมรณสักขีผู้เยาว์แห่งศีลมหาสนิทองค์หนึ่ง เราจะต้องพร้อม
ที่จะรับข้อพิสูจน์จากพระผู้เป็นเจ้าโดยอาศัยปาฏิหาริย์นี้ ว่าศีลมหาสนิทคือศูนย์กลางชีวิตในพระศาสนจักร
และว่าพระเยซูทรงประทับอยู่อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท เราควรจะรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ให้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่
จะทำได้
แม่พระบอกแก่ “บุตรที่รักทั้งหลายของพระนาง”​ ผ่านทางคุณพ่อกอบบีและมอบข้อมูลบางอย่าง
ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ว่า “ในชั่วยามที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสูญสิ้นนั้นทุกสิ่งก็จะถูกกอบกู้โดยอาศัย
ความรัก อันเปี่ยมด้วยเมตตาของพระบิดา ซึ่งจะเห็นได้จากปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ของดวงหฤทัยของ
พระเยซูในศีลมหาสนิท”
ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับพระศาสนจักรนั่นคือ จะยืนยันความจริงว่าพระหรรษทานทั้งปวงผ่านมาทางพระ
กายทิพย์ของพระคริสต์เจ้า คือ​ พระศาสนจักรและมนุษย์ทุกคนจะต้องติดตามไม่เพียงแต่องค์พระเยซูเท่านั้น​
แต่จะต้องเข้ามาในพระศาสนจักรของพระองค์ และยอมรับกฎระเบียบ คำสั่งสอน และศีลศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ปาฏิหาริย์จึงจะเกิดขึ้นอย่างเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์อันสำคัญของพระศาสนจักร กำหนดเวลา
ของพระเป็นเจ้าก็คือกำหนดเวลาของพระศาสนจักร และอาญาสิทธิ์ของพระศาสนจักรก็จะได้รับการยืนยัน
และรับรองด้วยเหตุการณ์ของพระศาสนจักร​ และปาฏิหาริย์ที่จะปรากฏขึ้นในวันเดียวกัน และอาจจะในเวลา
เดียวกัน​ พระสันตะปาปาจะทรงได้เห็นปาฏิหาริย์นี้ ไม่ว่าพระองค์จะทรงอยู่ในสถานที่ใดในขณะนั้นก็ตาม​
ปาฏิหาริย์จะเกี่ยวข้องกับพระนางมารีย์​ ปาฏิหาริย์จะสำแดงความรุ่งโรจน์ของพระมารดาของพระเป็นเจ้า
เพื่อที่คริสตชนทั้งมวลจะยุติการคัดค้านบทบาทของพระนางในพระกายทิพย์​ของพระคริสต์เจ้า และถวาย
เกียรติแด่พระนางเช่นที่พระเป็นเจ้าเองทรงมอบให้​ ชาวโลกจะเริ่มถวายเกียรติ​ และคารวะดวงหทัยนิรมล
ของพระนางมารี​ย์​ตามที่พระนางสมควรได้รับ อาศัยปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญนี้คนเป็นจำนวนมากจะเริ่มรัก
“สันตะมารีอา มารดาพระเจ้า”
ความเป็นมารดาอันสูงส่ง แม่พระกล่าวแก่มารีโอมองต์ว่า “ความชั่วของมนุษย์จะพยายามทำลายแผน
การของแม่ แต่ฤทธิ์​อำนาจที่องค์พระเป็นเจ้าเองประทานให้แม่นั้น ยิ่งใหญ่เหนือความชั่วร้ายทั้งหลายใน
โลกนี้​ ความดีย่อมชนะความชั่ว จงจำสิ่งนี้ไว้เสมอ เพราะมันจะทำให้ลูกมีกำลังใจ​ เมื่อลูกรู้และระลึกถึงสิ่งนี้
ซาตานและพลพรรคของมันไม่อาจขัดขวางชัยชนะของแม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักสักเพียงไร เพราะ
องค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในยุคนี้ ลูกโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคนี้
ซึ่งเป็นยุคแห่งพระเมตตาและความรัก ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับโอกาสอันวิเศษเช่นนี้ ที่จะสำนึกผิดจากความชั่ว
อันแสนจะฉกาจฉกรรจ์​ ลูกจะรู้ได้จากเครื่องหมายบนท้องฟ้า ซึ่งก็คือ ตัวของแม่เอง​ เวลามาถึงแล้ว สำหรับ
การกลับใจอย่างฉับพลันของมหาชน สิ่งนี้จะสำเร็จไปโดยอาศัยการหลั่งไหลของพระหรรษทานมายังโลก
จากพระหัตถ์ของพระเจ้าผ่านทางแม่ เพื่อจุดประสงค์นี้ สิ่งนี้จะเป็นชัยชนะของดวงหทัยนิรมลของแม่ที่
พูดถึงที่ฟาติมา (22 กุมภาพันธ์ 1987)”
ฤทธานุภาพ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเพื่อการกลับใจของชาวโลกทั้งมวล​ พระเยซูเองทรงยืนยันเรื่องนี้
แก่คอนชิต้าที่คาราบันดัล พระองค์ตอบคำถามของเธอเกี่ยวกับการกลับใจของรัสเซียโดยทรงย้ำว่า
“ปาฏิหาริย์​นั้นไม่ใช่เพียงเพื่อการกลับใจของชาวโลกทั้งมวล​ และดังนั้นทุกคนจะรักดวงหทัยของเราทั้งสอง”
(ดวงพระทัยของพระเยซูและแม่พระ)

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 7:56 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 74 )

✴️ ปาฏิหาริย์​ครั้ง​ใหญ่​และ​เครื่อง​หมายถาวร​ (B) ✴️
จากพระวาจาของพระองค์ดูเหมือนว่าปาฏิหาริย์จะแสดงให้เราเห็นว่าดวงพระทัยของพระเยซู
และพระนางมารีย์นั้นสนิทสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเพียงไร เป็นเสมือนสัญลักษณ์อันจะนำมาซึ่งสันติภาพ​
ซึ่งควรจะรวมดวงใจของทั้งสองไว้ด้วยกัน ปาฏิหาริย์นี้คงจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธิดาผู้หลงทาง-
สวรรค์ คือ ประเทศรัสเซีย
เมื่อปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว​ มนุษยชาติจะต้องเปลี่ยนแปลง หรือมิฉะนั้นก็จะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
ครั้งใหญ่ที่สุดของโลก คือ การลงทัณฑ์​ นอกจากมนุษย์จะรับฟังสารของปาฏิหาริย์นี้ การลงทัณฑ์จะต้อง
เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ปาฏิหาริย์นี้จะเป็นเสมือนการจุดชนวนการลงทัณฑ์ จะต้อง
เกิดขึ้นหากเราไม่ดับไฟชนวนนั้นด้วยการสำนึกบาป
ผู้ที่กลับลงมาจากภูเขาในคาราบันดัล จะได้เห็นพระสิริโรจนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วจะกระตือ
รือร้นที่จะป่าวประกาศพระสิริโรจนาการของพระองค์ให้ชาวโลกได้รู้พระสิริรุ่งเรืองแห่งซีออน พระสิริ
รุ่งเรืองแห่งการเสด็จมาครั้งใหม่ขององค์พระจิตเจ้า ซึ่งพระสันตะปาปาจอห์น ที่ 23​ ทรงวอนขอเมื่อทรง
เปิดสังคายนาวาติกันครั้งที่​ 2 และที่พระสันตะปาปาพอล ที่ 6 ทรงวอนขออีกครั้ง เมื่อทรงปิดสังคายนานั้น
จะหลั่งไหลท่วมท้นพระศาสนจักรและโลกทั้งมวล ดังนั้นจะเป็นไปตามที่พระเยซูทรงเผยแก่คอนชิต้า​
“ทุกคนจะรักดวงหทัยของเราทั้งสอง”
เครื่องหมายถาวร​ เครื่องหมายถาวรที่แม่พระสัญญาไว้ว่าจะปรากฏที่คาราบันดัล ภายหลังการเกิด
ปาฏิหาริย์ที่ “สวนสน”​ ใกล้หมู่บ้าน​ ลักษณะของเครื่องหมายถูกเผยไว้น้อยมาก​ เรารู้เพียงรายละเอียดต่อ
ไปนี้คือ​ เครื่องหมายนี้จะคงอยู่ที่สวนสนจนถึงวาระสุดท้ายของโลก เราอาจมองเห็นได้ ถ่ายรูปถ่ายทีวีได้​
แต่จะสัมผัสไม่ได้ และไม่มีใครสามารถอธิบายได้ด้วยการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
เครื่องหมายนี้จะเตือนเราตลอดไป ให้ระลึกถึงอัศจรรย์ครั้งใหญ่ซึ่งจะมีศูนย์กลางอยู่ ณ ที่นั้น ทุกคน
ที่ต้องการก็อาจไปที่คาราบันดัลภายหลังเกิดปาฏิหาริย์ และพิจารณาเครื่องหมายได้ เครื่องหมายนี้จะ
เตือนเราว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกชาวโลกให้สำนึกบาป และเพราะมันจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสิ้นโลก
มันจึงจะย้ำว่าโลกนี้จะต้องสิ้นสุดลงในวันหนึ่ง
เครื่องหมายนี้จะดึงดูดความสนใจของเราไปยังความจริงว่า​ พระเป็นเจ้าทรงกระทำสิ่งหนึ่งให้เห็นได้
บนภูเขาลูกนี้ เช่นที่พระองค์เคยกระทำบนภูเขาซีนาย ภูเขาคาร์เมล์​ ภูเขาซีออน และภูเขากัลวารีโอ​
เพื่อเรียกประชากรของพระองค์ ปุโรหิตยุคโบราณได้ตั้งพระแท่นและอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
ถึงประสบการณ์ของพวกเขากับพระเจ้าในสถานที่นั้นๆ ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะการเสด็จ​
มาของพระองค์​ที่คาราบันดัล ก็จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงตั้งเครื่องหมาย
ของพระองค์ในสวนสนเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงกิจการไถ่กู้โลกปัจจุบันของพระองค์
เครื่องหมายนี้จะเรียกร้องเราสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ชาวอิสราเอลถูกเตือนอยู่ตลอดเวลาโดย เมฆไฟ ซึ่ง
เรียกว่าพระสิริแห่งเชคีนาห์​(SHEKINA) ที่ลอยอยู่เหนือพลับพลา ว่าพระเจ้าสถิตกับพวกเขา และกำลัง
นำพวกเขาไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์และแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์​ เครื่องหมายนี้จะอยู่กับเราเช่นเดียวกับเมฆแห่งพระ
สิริของพระเจ้านั้น​ เพื่อเตือนเราว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังนำเราไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ และพระองค์
จะไม่ทรงอดทนต่อการบูชาพระเจ้าเทียมเท็จของประชากรของพระองค์
เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ครั้งนี้ มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นจดหมายที่​ คอนชิต้า​ได้เขียนไปถึงโจอี้​ โลมานจีโน
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1964 ใจความว่า​ “โจอี้ที่รัก วันนี้ที่สวนสนแม่พระได้กระซิบในใจฉันให้มาบอกเธอว่า
​ ในวันเกิดปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่นั้น เธอจะได้รับดวงตาใหม่”​ ถึงแม้โจอี้จะรู้ว่าตาพิการของเขาจะรักษาให้หาย
ไม่ได้แล้ว แต่จดหมายของคอนชิต้า ในปี 1964 นั้นทำให้เขาเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะมองเห็น คอนชิต้าย้ำใน
จดหมายต่อไปว่า​ “สิ่งแรกที่โจอี้จะเห็นก็คือ ปาฏิหาริย์ ซึ่งพระบุตรของพระแม่จะทรงแสดงโดยการเสนอ
ของแม่พระ และนาทีนั้นเขาจะมองเห็นตลอดไป”​
โจอี้เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1931 ใกล้บรุคลิน นิวยอร์ก เมื่ออายุได้ 16 ปี ขณะโจอี้กำลังสูบลมยาง
รถบรรทุกน้ำแข็งและถ่าน ยางก็เกิดระเบิดใส่หน้า ยางพุ่งเข้าที่ตาทั้งสองข้างตัดประสาทดมกลิ่น
และสายตาของเขา
คอนชิต้ายังกล่าวสรุปอีกว่า​ “แม่พระบอกว่า หลังจากโป๊ปจอห์น​ที่ 2 แล้วยังเหลือโป๊ปอีก 3 พระองค์
​(คือ พอลที่ 6 จอห์น พอลที่ 1 จอห์น​พอลที่ 2-สนธิ) แล้วจะสิ้นยุค แต่ไม่ใช่สิ้นโลก”​
โดชูเล่ ฝรั่งเศส มักดาเลนา เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1924 ในนอร์มังดีฝรั่งเศสและเป็นมารดาของ
บุตร 5 คน เธอไม่ใช่คนเคร่งศาสนา​ แต่ในปี​ 1970 ขณะอยู่ในโบสถ์เธอเล่าว่า​ “มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งฉัน
อธิบายไม่ได้​ ฉันรู้สึกอ่อนแรงเหมือนฉันกำลังเมาด้วยความปีติยินดี และมีความสุขราวกับว่าฉันได้ค้นพบ
โลกอีกโลกหนึ่ง”​ เมื่อเธอกลับถึงบ้านเธอรู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความยินดี และนี่
คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเหนือธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งได้ประสบขณะที่ดำเนินชีวิตตาม
ปกติ ระหว่างปี 1972 - 1974 เธอได้เห็นนิมิตถึงเหตุการณ์ในอนาคต ในวันที่ 1 มีนาคม 1974 พระเยซูตรัส
แก่เธอว่า “จงบอกพระศาสนจักรว่า​ เธอจะต้องฟื้นฟูสารแห่งสันติภาพของเธอต่อโลกทั้งมวล​ เพราะเวลานี้
วิกฤติแล้ว ซาตานกำลังบงการโลก​ มันล่อลวงจิตให้หลง​ ทำให้มนุษย์สามารถทำลายมนุษยชาติได้ภายใน
ชั่วขณะเดียว หากมนุษย์ไม่ต่อต้านมัน เราจะปล่อยให้มันลงมือ และจะเกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดนับ
ตั้งแต่น้ำท่วมโลก และจะเกิดก่อนสิ้นศตวรรษนี้ ทุกคนที่มาสำนึกผิดที่เชิงมหากางเขนอันรุ่งเรืองจะรอด​
ซาตานจะถูกทำลาย หลังจากนั้นก็จะมีแต่สันติสุขและความชื่นชมยินดี
ดูเหมือนว่าเราอาจได้เห็นการสำแดงถึงมหากางเขนบนท้องฟ้า ซึ่งจะเป็นพระหรรษทานพิเศษ หรือ
สัญญาณเตือนอันยิ่งใหญ่เบื้องต้น​ ก่อนจะถึงจุดสุดยอดของการลงทัณฑ์ และเมื่อเกิดความมืดในวันที่​ 4
กรกฎาคม​ 1975 พระเยซูตรัสแก่มักดาเลนาว่า “จงเข้าใจให้ดีในยุคก่อนน้ำท่วมโลกนั้น​ มนุษย์ไม่ได้คาด
หมายสิ่งใดเลย จนกระทั่งน้ำท่วมพัดพาพวกเขาไป แต่ในวันนี้ลูกได้รับคำเตือนแล้ว ลูกกำลังอยู่ในอยู่ใน
ยุคที่เราเคยพูดถึงว่า “บนโลกนี้จะเกิดภัยพิบัตินานาชนิด ความชั่วคือสาเหตุของความทุกข์และความอด
อยาก​ ชนชาติต่างๆ จะต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน จะเกิดลางบอกเหตุ​ ปรากฏการณ์ต่างๆ ในท้องฟ้า
และบนโลก ฉะนั้นจงเตรียมให้พร้อม​ เพราะความทุกข์ครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เลยนับแต่กำเนิดโลกมาตราบจนทุกวันนี้ และจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเลย​ “เราขอบอกลูกว่า เยาวชนรุ่นนี้จะไม่
ล่วงลับไปก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่จงอย่ากลัว​ เพราะดูซิบนท้องฟ้า​ เครื่องหมายแห่งบุตรมนุษย์ซึ่งมักดาเลนา
ได้เห็นส่องสว่างจากตะวันออกไปถึงตะวันตก สำหรับพวกลูกผู้เป็นผู้นำของพระศาสนจักรนั้น เราขอบอก
ความจริงว่า ด้วยมหากางเขนซึ่งถูกตั้งขึ้นไว้เหนือโลกนั้น ชนชาติต่างๆ จะรอด พระบิดาได้ส่งเรามาเพื่อ
ช่วยเหลือ​ และเวลามาถึงแล้วที่เราจะต้องหลั่งความเมตตาของเราลงในดวงใจมนุษย์”​
คำทำนายและเครื่องหมายมากมายเหล่านี้ ยังบอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูด้วย
พระเยชูทรงบอกมักดาเลนาในวันที่ 3 พฤษภาคม 1974 ว่า “มหากางเขนอันรุ่งเรือง หรือเครื่องหมายแห่ง
บุตรมนุษย์ คือ การประกาศถึงการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองของพระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนชีพ”

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:02 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 75 )

✴️ ก่อนจะถึงหนึ่งพันปีแห่งสันติสุข​ (A) ✴️
เกี่ยวกับ หนึ่งพันปีแห่งสันติสุขในอาณาจักรของพระเยซู​ ระหว่าง​Parousia ครั้งที่ 2 กับ Parousia
ครั้งที่ 3 นั้น มีการตีความต่างกันดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง บอกว่า ในระหว่างหนึ่งพันปีแห่งสันติสุขนั้น พระเยซู​จะเสด็จมาบนโลก ด้วยเนื้อหนังมังสา
ที่มองเห็นได้เหมือนบุคคลทั่วไป​ และจะประทับ ณ นครหลวงแห่งหนึ่ง​ อาจจะเป็นเป็นเยรูซาเล็มหรือวาติกัน​
พร้อมด้วยสถาบันกษัตริย์หรือรัฐบาล เช่นเดียวกับประมุขทั้งหลายในโลก
กลุ่มที่สอง กลุ่มนี้ตีความโดยอาศัยการอ้างอิงพระคัมภีร์หลายบท​ ดังนี้ : พระเยซูจะทรงยังอยู่ ณ ท้องฟ้า
นภากาศเพื่อจะได้ รวบรวมคนของพระองค์จากฟากฟ้า​ ดังมีเขียนไว้ในพระ​วร​สารของท่านมัทธิว​ บทที่ 24:27-31
ดังนี้ : เพราะว่าแสงฟ้าแลบย่อมเปล่งประกายความสว่างจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกฉันใด ในเวลาที่
เรากลับมายังโลกนี้​ ก็จะเป็นประจักษ์แก่ตาของมนุษย์ฉันนั้น มีซากศพที่ไหนฝูงแร้งก็จะอยู่ที่นั่น
เมื่อเวลาแห่งการกดขี่ข่มเหง​ การคุกคาม​ และความทุกข์ยากเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์ก็จะ
ดับมืดลง​ ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง​ และดวงดาวทั้งปวงก็จะร่วงหล่นจากฟากฟ้า บรรดาสรรพสิ่งที่มีอำนาจครอบ
ครองในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน และในที่สุด จะมีนิมิตหมายปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเป็นสัญญาณแห่งการมา
ของเรา เวลานั้นโลกทั้งโลกจะเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ทำบาป และประชาชาติทั้งปวงจะเห็นเรามา
ในหมู่เมฆอย่างมีสง่าราศีและทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ เราจะส่งทูตสวรรค์ของเราออกไปทั่วจักรวาล ทูตสวรรค์
เหล่านั้น จะเป่าแตรเสียงดังกึกก้อง และจะรวบรวมผู้ที่เราเลือกสรรไว้ทุกหนทุกแห่งในโลก
พระเยซูทรงรวบรวมคนจากใต้บาดาล จากสถานชำระบาป ดังมีเขียนไว้ในจดหมายของท่านเซ็นต์พอล
ใน 1 เธสะโลนิกา บทที่ 4:13 ดังนี้ : พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ที่จะแจ้งให้ท่านรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
กับคริสตชน เมื่อเขาตายไปแล้วว่าเป็นอย่างไร เพื่อว่าท่านจะไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจดุจคนทั้งหลายที่ไม่มีความ
หวัง เพราะเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซู​ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาอีก เราก็ย่อมเชื่อมั่นได้ด้วยว่า
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา พระเจ้าจะทรงนำคนทั้งปวงที่มีความเชื่อต่อพระองค์ซึ่งล่วงลับ (หลับ) ไปแล้ว
กลับมากับพระองค์ด้วย
พระองค์จะทรงรวบรวมจากแผ่นดินโลก ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วยเนื้อหนังมังสา ดังใน 1 เธสะโลนิกา บทที่​4:15-17
ดังนี้ : “ตามที่พระเจ้าทรงสอนนั้นมีความว่า ในวาระที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมานั้น เราทั้งหลายผู้ซึ่งมีชีวิต
อยู่จนกระทั่งถึงวาระนั้น จะได้ขึ้นไปอยู่กับพระองค์ก่อนบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็หามิได้ ทั้งนี้ เพราะพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงอันกึกก้อง​ และเสียงกู่ร้องของ​มหาเทพ​ และเสียงแตรดังกัมปนาท
ของพระเจ้า ปลุกคริสตชนที่ล่วงลับไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาก่อน ต่อจากนั้น​ พระองค์จะทรงรับเรา ผู้ซึ่งยังคงมีชีวิต
อยู่จนถึงวันนั้น ให้ขึ้นไปอยู่กับพระองค์ในหมู่เมฆบนท้องฟ้า พร้อมกับคริสตชนเหล่านั้น และจะอยู่กับพระองค์
เสมอไป เหตุฉะนั้น จงปลอบใจกันด้วยข่าวดีนี้เถิด
ส่วนบนโลกนั้น จะมีปฏิบัติการแห่งการชำระล้าง เหมือนเช่นน้ำมหาวินาศในสมัยโนอาห์​ ดังมีบันทึก
ในพระวรสารนักบุญมัทธิว​ บทที่ 24:37-41 ดังนี้ : ก่อนหน้าที่ผู้คนในสมัยโนอาห์จะถูกน้ำท่วม พวกเขาหลงใหล
อยู่แต่การจัดงานเลี้ยง การกินดื่มและการแต่งงานโดยปราศจากการระวังระไว คนเหล่านั้นไม่เชื่อว่าจะมีภัยพิบัติ
อันร้ายแรงเกิดขึ้นแก่พวกตน​ ตราบจนกระทั่งถูกน้ำท่วมกวาดล้างจนสูญสิ้นไป สภาพความเป็นอยู่ของผู้คน และ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในสมัยของโนอาห์เป็นฉันใด​ ในวาระที่เรากลับมายังโลกนี้ ก็จะเป็นฉันนั้น
ในเวลานั้น ชายสองคนที่กำลังทำงานในไร่นาอยู่ด้วยกัน เราจะรับไปหนึ่งคน​ และละไว้หนึ่งคน​ หญิงสองคน
ที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน เราจะรับไปหนึ่งคน และละไว้หนึ่งคน
และหลังจากนั้น ผู้ที่รอดเหลืออยู่จะกลับมาเพื่อสืบลูกสืบหลานต่อไปในโลก และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง พระเยซู​
พร้อมด้วยบริวารจะเสด็จสู่สวรรค์​ ส่วนบนโลกอาณาจักรทางจิตวิญญาณของพระองค์คือ พระศาสนจักรคาทอลิก
จะคงอยู่ต่อไปในสภาพที่แตกต่างกว่าแต่ก่อน​ เพราะว่าบัดนี้พระองค์ได้ชนะโลกแล้ว จากโลกที่กบฏ โลกที่
ไร้ศรัทธา ดังที่ในวันเปนเตกอสเต (วันพระจิตเสด็จลงมา) พระองค์ได้ชนะซาตาน พร้อมกับความชั่วร้ายของมัน
และในที่สุด พระองค์จะชนะเนื้อหนังสา พร้อมกับความไม่เที่ยงและความตายของมัน ดังที่ท่าน​เซนต์​พอล และ
พระคัมภีร์หลายบทได้เน้นถึงปัจจัยเหล่านี้ไว้แล้ว และยังได้กล่าวถึงชัยชนะต่างๆ​ เหล่านี้ด้วย ดังจะหยิบยกพระ
วรสารของท่านจอห์น ที่ว่า พระองค์ได้ชนะมารซาตาน ดังนี้ : บัดนี้ถึงเวลาพิพากษาโลกแล้ว ถึงเวลาที่ผู้เป็นเจ้า
ของแห่งโลกนี้จะต้องถูกกำจัดออกไป​ (จอห์น 12:31)
พระองค์จะทรงมีชัยชนะต่อโลก​ ดังมีพรรณนาไว้ในพระธรรมวิวรณ์ บทที่​ 19 พระองค์ทรงพ่นพระแสง
อันคมกริชออกมาจากพระโอษฐ์เป็นอาวุธ​ที่ใช้ปราบปรามประชาชาติทั้งปวง พระองค์จะปกครองมวลมนุษย์
ด้วยคทาเหล็​ก

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:08 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 76 )

✴️ ก่อนจะถึงหนึ่งพันปีแห่งสันติสุข​ (B) ✴️
และสุดท้าย พระองค์จะทรงมีชัยต่อความตาย ดังมีเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 15:24-26 ดังนี้ : ต่อจากนั้น
ก็จะถึงวาระสุดท้าย เมื่อพระคริสต์ทรงปราบปรามราชาหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ หรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงจนราบ
คาบแล้ว พระองค์ทรงมอบอาณาจักรของพระองค์ให้กับพระเจ้าพระบิดา ทั้งนี้ เพราะพระคริสต์จะทรงปก
ครองแผ่นดินของพระองค์​ ตราบจนกระทั่งพระองค์ทรงปราบศัตรูทั้งหลายของพระองค์ให้สยบอยู่ใต้พระ
บาทของพระองค์จนหมดสิ้น​ รวมทั้งศัตรูสุดท้าย คือความตาย​ ซึ่งจะต้องถูกกำจัดให้พินาศสิ้นไปเช่นกัน
(ชนะความตาย แปลว่า จะไม่ตาย)
สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกมีความเห็นแย้งกับกลุ่มที่หนึ่งอย่างแน่นอน ส่วนการตีความของกลุ่ม
ที่สองเป็นของบาทหลวงเปนาซา
พระเยซู​ทรงมอบภารกิจเป็นทางการให้แก่บรรดาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรในการเฝ้าดูแล
และเทศนาสั่งสอนถึงสัจธรรม​ และในขณะเดียวกันองค์พระจิตก็ทรงหลั่งพระพรของพระองค์ระดับที่รองลง
มาแก่ส่วนอื่นๆ ที่รองลงมาทั่วพระศาสนจักรด้วย​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นพิเศษ เช่น
โปรดให้สามารถทำนาย​ หรือรักษาโรคได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งในอดีตกาลและในปัจจุบันก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่า
ปัจจุบันมีขบวนการมากมายที่ได้รับพรพิเศษจากพระจิต ที่ป่าวประกาศถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูว่า
ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์มิใช่เสด็จ​มาเพื่อพิพากษาครั้งสุดท้าย แต่เป็นการพิพากษาระหว่างกลางเหมือนคราว
เกิดน้ำมหาวินาศท่วมโลกสมัยโนอาร์ เป็นการชำระล้างความชั่ว พระองค์เสด็จมาคั่นกลาง ก็เพื่อจะตระเตรียม
โลกให้พร้อมสำหรับอาณาจักรสวรรค์ด้วยแท้จริงในวาระสุดท้าย ดังที่บรรยายอย่างสดสวยไว้มากมายจาก
บรรดาประกาศกในอดีตโดยเฉพาะท่านอิสยาห์
อย่างเช่นพระเยซูได้ตรัสแก่พระศาสนจักรผ่านผู้หนึ่ง มีชื่อว่า​ Maria Valtorta (เราหวังให้พวกท่านจงเชื่อ
ถ้อยคำเหล่านี้ที่สั่งในฐานะพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพ​ ซึ่งสามารถบัญชาทุกสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
ดังที่ได้เคยบัญชาบรรดา​ปิตาจารย์​และบรรดาประกาศก ถึงสิ่งซึ่งต้องละเว้นที่จะกระทำ และสิ่งที่จะต้องเชื่อ
หรือสิ่งที่จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อจะได้เป็นประชากรที่จะได้รับเลือกสรรของพระองค์ เราขอสั่งให้พวกท่านเชื่อ
ต่อกิจการที่เป็นความคิด​ การกระทำ แ​ละแสดงออกของเรา​ นอกจากนี้ ยังขอให้เชื่อถึงคำพูดและการ​กระทำ
ของพระมารดาของเรา​ และของอัครสาวกทั้ง 12 และใครก็ตามที่ปฏิบัติการใดในนามของเรา​ พวกท่านจง
ปฏิบัติสิ่งที่เรามอบให้ด้วยความสบายใจเถิด เป็นสิ่งที่ถูกต้อง​ และเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ)
บทความที่บันทึกที่ผ่าน Maria Valtorta นี้ เป็นการวิจารณ์พระธรรมวิวรณ์อย่างชัดเจน เป็นการเตรียม
สำหรับ Parousia ครั้งที่ 2 ซึ่งเข้ามาใกล้แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีสาส์นมากมายจากแม่พระไปยังขบวนการสงฆ์ของแม่พระผ่านเครื่องมือของพระนางก็คือ
บาทหลวง สเตฟาโน กอบบี​ ซึ่งเป็นขบวนการยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งได้ปลุกเร้าพลังและความกระตือรือร้นไป
ทั่วพระศาสนจักร ทั่วทุกทวีป กระชับมือกันเป็นแถวยาวล้อมรอบวีรสตรีผู้เป็นจอมทัพสวรรค์​ เพื่อจะได้ราวีกับ
เจ้าซาตาน และสมุนของมันในโลก จนกระทั่งสามารถเหยียบหัวมันได้อย่างเด็ดขาด​ และดังนี้ ก็จะเป็นการ
เตรียมโลกถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ขององค์​พระผู้เป็นเจ้า
การปรากฏมาของแม่พระที่เมดจูกอเรีย (Medjugorje) ในบอสเนียมากกว่า 14 ปี แม่พระได้ปรากฏ
มาพบเด็ก 6 คน เพื่อจะสอนว่าการปฏิบัติศาสนกิจในละแวกวัดควรจะกระทำด้วยศรัทธาและสม่ำเสมอ​
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังสักเพียงไรก็ตาม
ท้ายที่สุด พระเยซูปรากฏองค์มาพบหญิงผู้หนึ่ง ชื่อมักดาเลนา​ แห่งเมืองโดซูเล่ ฝรั่งเศส เธอเป็นตัวแทน
ของ​ มักดาเลนา​ ผู้สำนึกบาป​ในพระ​วรสารที่ได้แสดงความกล้าหาญอย่างยอดเยี่ยม ตามพระเยซูผู้แบกกางเขน
ไปถึงเขากัลวารีโอ ยอมสู้ทนต่อการต่อต้านเหยียดหยามภายใต้กางเขนดีกว่าบรรดาอัครสาวกเสียอีก เธอยอม
สู้อยู่เคียงคู่กับพระนางมารีอา ผู้ร่วมไถ่บาป​ พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์อ​ย่างชัดเจน
พร้อมด้วยกรณีแวดล้อมที่เป็นการบอกใบ้ไปในตัว พระองค์ทรงปรารถนาให้เราเตรียมตัวต้อนรับพระองค์
ด้วยคำภาวนาและการใช้โทษบาป
ต่อไปนี้ เป็นสาส์นจากเบื้องบนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาส์นนี้มาจากผู้ที่ได้สงวนไว้กับตน ซึ่งอำนาจที่จะตัดสินถึง
เวลาแห่งการเสด็จกลับมาของพระเยซู ผู้นั้นคือ พระบิดาเจ้าสวรรค์ (จากหนังสือ “Dio e gli uomini” พระเจ้า
และมนุษย์ สำนักพิมพ์ SEGNO 1994)
“เราเป็นบิดาของบรรดาบุตรของเรา และมนุษย์ทุกคนที่ไม่ยอมรับเราเป็นบิดาก็คือ พวกขโมย​ ลองดู
เหตุการณ์อัปยศที่มีต้นหตุจากการจับเด็กเรียกค่าไถ่ซิ มันเป็นความผิดที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ซึ่งมีต้นหตุมา
จากพ่อแม่ จากเด็กและจากสังคม​ และมันมิใช่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันนี้หรือ ที่มีการจับเด็กของพระเจ้าไป ซึ่งดู
เหมือนทำให้เข้าใจไปว่า​ เด็ก​ๆ เหล่านั้นไม่มีพ่อ​ หรือว่าพ่อของพวกเขาไม่รักเด็กๆ เหล่านั้นหรือไม่​เป็นห่วง
พวกเรากระนั้นหรือ? เด็กๆ เหล่านี้ต้องสู้ทนกับอคติอันฉกาจฉกรรจ์​ ​ผู้ที่กระทำดังนี้กับเด็กเหล่านี้
ควรที่จะได้รับโทษอย่างหนัก

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:13 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 77 )

✴️ ก่อนจะถึงหนึ่งพันปีแห่งสันติสุข​ (C) ✴️
ใช่แล้ว พระสงฆ์ของเราจำนวนมากควรเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ในพระพรแห่ง
ความเป็นสงฆ์ของพวกเขา และเราขอบอกแก่พวกเขา ดังนี้ :
เพื่อนที่รัก น้องที่รัก ผู้ถวายตัวที่รัก เราได้คอยมาเป็นเวลานานแล้ว​ และยังอยากจะคอยทุกโมงยาม
หากจำเป็น เพื่อว่าพระสงฆ์ของเราจะได้กลับมาหาเราเสียใหม่ พวกเขาจะปรนนิบัติเราดังที่เราปรารถนา
ดังที่เราคู่ควรและดังที่เราพอใจในการรับใช้ของพวกเขา
เราได้คอยมาเป็นเวลาหลายปี และยังอยากที่จะคอยต่อไป​ เพื่อให้คนของพระศาสนจักร จะได้เป็นห่วง
ในบรรดาบุตรของพระเจ้า​ และจะได้ชักนำพวกเขามาสู่หนทางแห่งอาณาจักรสวรรค์
เราได้คอยมาเป็นเวลาหลายปี และยังอยากจะคอยต่อไปอีก เพื่อให้คนของพระศาสนจักร หันกลับ
มาปฏิบัติภารกิจของพวกเขาในความเชื่อคาทอลิก ในความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกอันศักดิ์สิทธิ์
พระศาสนจักรที่สืบต่อมาจากอัครสาวก​ ในความเชื่อของพระเยซูคริสต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้า
เราได้คอยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และยังอยากจะคอยต่อไปอีก​ เพื่อให้มนุษยชาติทั้งมวลเป็นสากล​
เพราะความเชื่อแต่อย่างเดียวเท่านั้นที่คู่ควรแก่การชื่นชม
เราได้คอยมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และยังอยากจะคอยต่อไปอีก เพื่อให้พระศาสนาคาทอลิกกลับมา
เป็นสิ่งอ้างอิงเสียใหม่ว่า พวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้า​ และให้ทุกคนเคารพในพระบัญญัติของพระเจ้าด้วย
ความยำเกรง ด้วยความศรัทธา​ และด้วยความรัก
เราได้คอยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว​ และยังอยากจะคอยต่อไปอีก​ เพื่อให้กฎของเรามีความสำคัญเหนือกว่า
กฎของรัฐบาล เพื่อให้ความปรารถนาของเราเป็นความปรารถนาของบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ความรักผลิต
มาบนแผ่นดินโลก และเพื่อให้แผ่นดินนี้มีแต่นักบุญชาย นักบุญ​หญิง​ เท่านั้น​
เราได้คอยและยังอยากจะคอย​ แต่เราได้ตัดสินใจว่า เวลาแห่งการรอคอยนี้สิ้นสุดเสียที เพราะว่าเป็น
เราเองที่จะกำหนดความอดทนของพระเจ้าว่า ควรให้เวลายาวแค่ไหน
เราอยากจะคอยดังที่เราได้คอยมาสองพันปีมาแล้วเพื่อให้ความเชื่อคาทอลิกเผยแผ่ และแพร่ขยายไปทั่ว
แผ่นดิน แต่เนื่องจากความเชื่อคาทอลิกกำลังอันตรธานไปบนผืนแผ่นดิน และพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์เองก็ได้
หันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า​ บรรดาบุตรของเรา ซึ่งก็เป็นลูกๆ​ ของพระศาสนจักรด้วย ก็ถูกบังคับให้เข้ามาช่วย
เหลือพวกเขา ซึ่งเราได้ช่วยไว้แล้ว แต่ทว่าพวกเขากำลังจะพินาศไป เพราะขาดการดูแล​ ขาดคำสอน​ ขาดศีล
ศักดิ์สิทธิ์​ และขาดการรับฟังแห่งชีวิต
เราได้คอยจากการบังเกิดของพระเยซูในความยากจนบนรางหญ้าไปจนถึงเปลื้องภูษา แม้กระทั่งบน
พระแท่นในวัดกระจ้อยร่อย เพื่อให้แผ่นดินได้รับการฟื้นฟู และเพื่อให้แผ่นดินอุดมไปด้วยพระพร และอุปถัมภ์
ค้ำชูจากเบื้องบน
เราได้คอยมาสองพันปีมาแล้ว​ และยังอยากจะคอยต่อไปอีก แต่เวลานะซิ ที่จะต้องวิ่งผ่านไประหว่างวันนี้
จนกระทั่งความปรารถนาของเราที่จะให้มนุษยชาติกลับสัมฤทธิ์ผล มันเป็นเวลาซึ่งสามารถเปรียบได้กับ
วินาทีสุดท้าย ก่อนที่นาฬิกาของพระเจ้าจะตีบอกหมดเวลา
ใช่แล้ว เพื่อนของเรา น้องของเรา ผู้ถวายตัวของเรา พวกเธอมีภารกิจของบรรดาบุตรของมนุษย์​ แต่เกิด
อะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ? อะไรคือจุดหมายแห่งการเดินทาง ซึ่งพวกเธอได้เสนอให้พวกเขา ซึ่งพวกเธอถือเป็น
ภาระผูกพันด้วยล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในบั้นปลายของการเดินทาง? พวกเธอได้ทำอะไร? และพวก
เธอได้ทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปอยู่ที่ไหนบ้าง? เราได้ให้พระพรแก่พวกเธอทุกๆ คน ที่จะเป็นผู้นำ นอก
เหนือไปจากพระพรอันนี้ เราเองเป็นหัวขบวน ซึ่งเราต้องการให้พวกเธอเป็น แต่ทว่า พวกเธอส่วนใหญ่ได้ปล่อย
ปละละเลย​ และลากถูลู่ถูกังดวงวิญญาณมากมายให้ตามพวกเธอไป ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า ได้ติดตามตัวเรา​ ทั้งนี้​
เพราะการปรากฏตัวของพวกเธอ แต่ว่าหากพวกเขาได้ล่วงรู้ว่า พวกเธอไม่เอาไหน​ พวกเขาคงจะไม่ติดตาม
พวกเธอแน่นอน
เราได้คอยและยังอยากจะคอยอีกต่อไป เพื่อให้พวกเธอกลับมาหาเรา และเพื่อให้วิญญาณมากมายซึ่ง
อยู่ในความดูแลของพวกเธอกลับมาหาเรา และให้พวกเราขอบคุณพวกเธอที่ได้ชักนำพวกเขากลับมาหาเรา​
แต่ว่าเมื่อเราจะไม่คอยอีกต่อไป​ เมื่อนั้นแหละ ด้วยความกริ้ว เราจะฟาดฟันมนุษย์ บรรดาผู้รับใช้ของเรา​ และ
บรรดาบุตรของพระซึ่งไม่ปรารถนาที่กลับมาหาเรา ที่จะกลับมาถือกฎของเรา ที่จะกลับมามีศรัทธาต่อเรา​ เรา
จะทำลายแผ่นดินโลก บรรดามนุษย์​ ผู้รับใช้ของเรา​ ลูกๆ ของพระ ซึ่งจะยังดื้อรั้นในความชั่วช้า​ ในความขี้
สงสัยในทุกเรื่องของพวกเขา และในความวิปริตของพวกเขา เราจะทำลายแผ่นดินโลก​ และทุกอย่างที่มีในโลก​
เพราะจะไม่มีอะไรที่เป็นพิษเป็นภัยหลงเหลืออยู่ในสถานที่ที่เราจะสร้างขึ้นมาใหม่​ เพราะเราจะเนรมิตอาณาจักร
แห่งแผ่นดินโลกขึ้นมาใหม่​ และเราจะมอบมงกุฎจอมราชันแก่สิ่งสร้างให้กลับมาบริสุทธิ์ผุดผ่อง​ ​สิ่งสร้างเหล่านี้
จะเพรียบพร้อมได้ด้วยความเชื่อ​ ความไว้ใจ และความรัก
เพื่อน​ น้อง​ และผู้ถวายตัวสุดที่รักของเรา คำของพระซึ่งเรามีไปถึงพวกเธอในเวลานี้ เราวิงวอนพวกเธออย่า
ได้ดูแคลน หรือทำให้มันเฉาเสียล่ะ สาส์นนี้เป็นคำพูดของเรา​ และเราปรารถนาให้ได้รับรู้ผ่านหนังสือเล่มนี้ สิ่งซึ่ง
มีบรรจุในนั้นได้ผ่านการตรวจทาน ควบคุม​ และรับรองจากผู้รับใช้ผู้หนึ่ง ซึ่งเราได้มอบหมายให้จัดการคัดลอก
คำพูดของเราเอง​ เราขอมอบสาส์นนี้แก่พวกเธอ และเราวิงวอนพวกเธอให้อุทิศตัวเองเพื่อปฏิบัติตามสาส์นนี้
เรารักพวกเธอ โดยไม่คำนึงถึงการหันเหไปจากเรา โดยไม่คำนึงถึงการทรยศของพวกเธอ โดยไม่คำนึงถึง
ความใจกระด้างของพวกเธอ​ เพราะเหตุว่า​ เรามิได้มาเพื่อคนชอบธรรม แต่มาเพื่อคนบาป​ และเพราะเหตุว่า
ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีสุดพรรณนา ที่เห็นคนบาปคนหนึ่ง​กลับใจ
(เก็บความจากหนังสือ Viene Gesu! เรียบเรียงโดย บาทหลวง​ มาร์ตีโน​ เปนาซา)

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:19 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 78 )

✴️ กุญแจ​จะเป็​นของใคร? (A) ✴️
นิตยสาร “Inside the Vatican” พฤศจิกายน ที่เพิ่งผ่านมาลงบทความเรื่อง​ “กุญแจจะเป็นของใคร?”
โดย Rodert Moynihan หลังจากที่โป๊ปต้องเข้าโรงพยาบาลอีกคำรบหนึ่งในเดือนตุลาคม ก่อนอื่นหมด
จะต้องเข้าใจสำนวนบางอย่างของชาวคาทอลิก​ “กุญแจของนักบุญเปโตร” เนื่องจากเปโตรหรือปีเตอร์
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของพระศาสนจักร และได้รับอำนาจหลายอย่างในการปกครองจากพระเยซู
อย่างเช่น อำนาจในการยกโทษบาป การทำบาปถือเป็นการผิดอาญาของสวรรค์ หรือของพระเจ้า พระเยซู
ผู้เป็นพระเจ้าได้มอบอำนาจในการยกโทษบาป (โดยการสารภาพบาปกับพระสงฆ์ผู้สืบอำนาจจากเปโตร
จึงกล่าวได้ว่าเปโตรเป็นผู้ถือกุญแจสวรรค์ กุญแจ​คืออำนาจที่ได้รับจากพระเยซู พระสันตะปาปา คือผู้สืบ
ทอดอำนาจการปกครองจากนักบุญเปโตร ฉะนั้น “กุญแจจะเป็นของใคร?” ก็หมายถึง​ตำแหน่ง
พระสันตะปาปาจะเป็นของใคร? หลังจากองค์ปัจจุบัน)​
บทความนี้เริ่มต้นด้วยการหยิบยกพระวรสาร โดยนักบุญมัท​ธิว​ 16:13-20 ดังนี้ : เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึง
เมืองซีซาเรียฟิลิปปี พระองค์ได้ตรัสถามสาวกของพระองค์ว่า “คนทั้งหลายคิดว่าเป็นใคร?”​ “สาวกเหล่านั้น
ทูลตอบว่า “บ้างก็ว่าพระองค์ คือ ยอห์น บัปติสตา บ้างก็ว่าพระองค์คือ เอลียาห์ และบ้างก็ว่าพระองค์คือ
เยเรมีห์ หรือผู้เผยพระวจนะ” ​ครั้นแล้วพระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “แล้วท่านทั้งหลายเล่า คิดว่าเราเป็นใคร?”
​ ซีมอน เปโตร ทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์​(พระผู้ไถ่) พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็น
นิตย์​นิรันดร” พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า​ “ซีมอน บุตรโยนาเอ๋ย พระเจ้าได้อวยพรท่านแล้ว เพราะว่าความจริงนี้​
ท่านจะทราบจากมนุษย์ก็หาไม่ แต่พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์เป็นผู้แจ้งแก่ท่านโดยตรง เปโตรเอ่ย ท่าน
จงเป็นคนแข็งแกร่งประดุจหินสมกับนามของท่านเถิด และบนรากฐานศิลานี้แหละ เราจะสร้างพระศาสนจักร
ของเราขึ้น อำนาจทั้งปวงในนรกจะไม่อาจกล้ำกลายพระศาสนจักรได้เลย และเราจะมอบกุญแจแห่งแผ่นดิน
สวรรค์ให้แก่ท่าน​ ประตูใดๆ ที่ท่านปิดกั้นไว้ในโลก ก็จะถูกปิดกั้นไว้ในสวรรค์ด้วย และประตูใดๆ ที่ท่านเปิด
ไว้ในโลก​ ประตูนั้นก็จะถูกเปิดไว้ในสวรรค์เช่นเดียวกัน ครั้นแล้วพระองค์ได้ทรงเตือนให้สาวกทั้งหมดของ
พระองค์มิให้บอกแก่ผู้ใดว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์”​
“ใครจะรู้บ้างที่การเลือกตั้งพระสันตะปาปา (Conclave) ครั้งต่อไปชาวคาทอลิกอาจจะมีโอกาสเข้าไปมี
ส่วนร่วมบ้างก็ได้ ถ้าหาก CNN หรือทีมนักข่าวอื่นๆ “สวมใจสิงห์”​ บุกเข้าสัมภาษณ์แคนดิเดตเด่นๆ เพื่อว่า
ชาวคาทอลิกทั่วโลกจะสามารถประเมินผล​ออกมาได้ว่าผู้ใดเป็นที่นิยมที่สุด​ โดยการสำรวจคะแนนนิยมแบบ
ข้ามคืน (Overnight survey) อย่างที่ทำกันหลังดีเบทผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา” นี่คือคำสัมภาษณ์
ของบาทหลวง Andrew Greeley นักสังคมศาสตร์ในนิตยสาร​ Washington Post เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1996
“จะต้องมีหลักประกันอย่างเด็ดขาดว่าพระคาร์ดินัลจะต้องเลือกผู้สืบตำแหน่งโดยปราศจาก “ฝีมือ” ของผู้
หนึ่งผู้ใดแต่โดยการทรงนำของ​ “มือ”​ ของพระจิตเบื้องบนเท่านั้น” วาทะของ Hans Kung นักเทวศาสตร์ชาวสวิส
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายวันของอิตาลี​“Corriere Della Sera” เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1996 ท่านกล่าวเสริมอีก
ว่า การเลือกโป๊ปอย่างอิสระเสรีจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโป๊ป จอห์น พอลที่ 2 สิ้นพระชนม์แล้วเท่านั้น ท่านคิดค้าน
ความเห็นที่จะให้โป๊ปลาออก เพราะจะเปิดโอกาสให้พระองค์ใช้ “ฝีมือ”​ในการเลือกตั้งผู้สืบตำแหน่งจากหลังฉาก
​ โดยจะทำทุกอย่างเพื่อจะเลือกผู้สืบตำแหน่งจากบรรดาเส้นสายของวอนติวา​ (ชื่อของโป๊ปองค์ปัจจุบัน) หรือจาก
พวก Opus Dei
ในการเลือกตั้งพระสันตะปาปาครั้งต่อไป คงจะมีหลายฝ่ายที่อยากเข้าไปแทรกแซง พวกเขายังคงใช้ความ
พยายามต่อไป ถึงแม้พระสันตะปาปาจะกลับมีอาการดีขึ้นหลังจากผ่าตัดไส้ติ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มีกลุ่ม “เสรีนิยม” (liberals) กำลังไขว่คว้า “กุญแจ” เพื่อจะนำนโยบายให้พระสันตะปาปาเอียงไปทาง
“เสรีนิยม” ซึ่งพวกเขาคะเนกันว่า​ จะยอมรับเรื่องการคุมกำเนิด​ เรื่องรักร่วมเพศ และพระสงฆ์สตรี
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวก​ “ประเพณีนิยม” (Tradtionalists) ซึ่งวิตกกังวลในวิกฤตการณ์ของความเป็น
คาทอลิกหลังสังคายนาวาติกันที่​ 2 พวกเขากำลังมองหาโป๊ปที่อนุรักษ์นิยมกว่าโป๊ป จอห์น พอลที่ 2
ทุกฝ่ายต่างก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน​ ในเรื่อง
พระธรรมคำสอน และกฎระเบียบในพระศาสนจักร
ผู้สื่อข่าววาติกันประจำสำนักข่าว Reuters รายงานข่าวเมื่อวันที่​ 1 พฤศจิกายน ว่า : เนื่องจากสุขภาพของ
โป๊ปมีอาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ในระยะที่ผ่านมานี้ได้มีกลุ่ม​“ก้าวหน้า” (Progressives) ในบรรดาสมาชิกของ
พระศาสนจักรจำนวน 960 ล้าน​ ได้สวดอธิษฐานอย่างเปิดเผยต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ดลใจโป๊ปยอมก้าวลงจาก
ตำแหน่งพระสันตะปาปา​ ซึ่งตามประเพณีจะต้องครองอาสน์พระศาสนจักรคาทอลิกไปตลอดชีวิต​ ทั้งนี้พวกเขา
หวังว่าจะเป็นการเปิดทางให้มีผู้นำที่หนุ่มแน่นและใจเปิดกว้างมาก​กว่า”​

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:23 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 7 9 )

✴️ กุญแจ​จะเป็​นของใคร? (B) ✴️
แต่ว่าโป๊ปที่หนุ่มกว่าและมีใจเปิดกว้างกว่า จะสามารถขึ้นครองอาสน์ของนักบุญเปโตรได้ ก็ต้องผ่าน
การเลือกตั้งเท่านั้น ฉะนั้นจึงมีการพุ่งความสนใจไปที่กระบวนการเลือกตั้งพระสันตะปาปายิ่งทียิ่งเข้มข้นขึ้น
กุญแจของเปโตร เมื่อสองพันปีที่แล้วนักบุญมัทธิวได้เล่าให้เราฟังถึงประเพณีพระศาสนจักรที่ไม่แตกแยก
โดยพระเยซูได้มอบ “กุญแจ” แก่ชาวประมงแถวกาลิลีที่ชื่อซีมอน บุตรของโยนา​ แล้วพระองค์ได้เปลี่ยนซีมอน
เป็นเปโตร​(ศิลา) แล้วเปโตรก็ได้เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกแห่งกรุงโรม กุญแจนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้หลังการ
เสียชีวิตของเปโตร เมื่อประมาณ ค.ศ. 64 โดยการสืบทอดตำแหน่งของท่านเรื่อยมาอย่างไม่มีการแตกสลาย
เป็น “กุญแจ”​ สำหรับ “เปิด” หรือ “ปิด”​ เป็น “กุญแจ”​ ซึ่งมอบอำนาจให้ผู้สืบทอดตำแหน่งจากเปโตร​สามารถ
ที่จะสอนเรื่องเกี่ยวพระธรรมความเชื่อและจริยธรม และจะธำรงรักษาความเชื่อซึ่งพระเยซูได้วางรากไว้ให้
บริสุทธิ์ผุดผ่อง จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก ทั้งนี้โดยอาศัยพระพรพิเศษของพระจิตเจ้าซึ่งพระเยซูได้
ทรงสัญญาต่อเปโตรและผู้สืบตำแหน่งจากเปโตรทุกๆ​ ท่าน
ขณะนี้ “กุญแจ” นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของโป๊ป จอห์น พอลที่ 2 ผู้สืบตำแหน่งองค์ที่ 264 ของนักบุญเปโตร
ดังนั้น การชิง “กุญแจ” ของพระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2 จึงมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง
ทางเลือกที่ 1 ให้กำหนดวาระตำแหน่งพระสันตะปาปา มีความปรารถนาที่ชัดเจนมากทีเดียวที่จะกดดัน
ให้บรรดาพระคาร์ดินัล เลือกโป๊ปที่หนุ่มกว่า และใจเปิดกว้างกว่า​ ทางเลือกอันนี้แน่ละจะต้องรอจนกว่ามีการ
เลือกตั้งพระสันตะปาปา​(Conclave) และจะมีการเลือกตั้งสันตะปาปาก็ต้องหลังการสิ้นพระชนม์ของโป๊ปเท่านั้น
มีหลายคนอยากจะเร่งรัดให้เรื่องที่ตนปรารถนาเป็นจริงในเร็ววัน​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ปรากฏว่า
โป๊ปอาจมีอายุยืนยาวไปได้อีกถึง​ 10 ปี 15 ปี หรือมากกว่า พวกฝ่ายตรงกันข้ามจึงกังวลใจ
หากโป๊ปจอห์น พอล ลาออกเมื่อพระชนมายุครบ 80 พรรษา​เหมือน​กับ​พระคาร์ดินัลที่มีอายุครบ​ 80​ ปี
ก็หมดสิทธิ​ที่จะลงคะแนน​เสียงในการเลือกตั้งโป๊ปกระนั้นหรือ? หรือทางเลือกที่ดีกว่า ลาออกเมื่อพระชนมายุ
ครบ 75 พรรษา เหมือนบรรดาพระสังฆราชที่ลาเกษียณได้​ เมื่ออายุครบ 75 ปีกระนั้นหรือ? เพราะเหตุว่าโป๊ป
ก็เป็นพระสังฆราชแห่งกรุงโรมโดยตำแหน่งอยู่แล้ว​ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด หากนำกฎเกณฑ์ใหม่เข้ามาปฏิบัติ
คือ พระสันตะปาปาทุกพระองค์จะครองอาสน์วาระหนึ่ง 10 ปี 7 ปี หรือ 4 ปี​ จะมีใครจะครองอาสน์ตลอดชีวิต
เพื่ออะไรกัน? พระศาสนจักรจะได้ทันสมัยเหมือนประชาธิปไตยแบบประเทศตะวันตก
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีใครเสนอเรื่องกำหนดวาระให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่มีแนวโน้มที่ชัดเจนออกมาแล้ว​
เสียงเรียกร้องให้โป๊ป จอห์น พอล​ คิดอย่างจริงจังถึงการลาออกนั้นกำลังดังก้องขึ้นเรื่อยๆ และยังมีรายงาน
ซึ่งยังไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันนัก เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยที่ไม่สู้จะดีนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนทำให้เกิดความเห็น
กันทั่วไปว่าน่าจะเป็นสิ่งดีสำหรับพระศาสนจักรหากโป๊ปจะลาออก​ และเป็นสิ่งที่แย่มากสำหรับศาสนจักร
หากพระองค์จะ “เดินหน้า”​ อย่างเดียวในตำแหน่งโดยยึด​ “กุญแจ” อย่างเหนียวแน่นต่อไป
ยังไม่เคยปรากฏว่ามีโป๊ปเคยลาออก (ยกเว้นโป๊ป เซเลสติน​ที่ 5 ซึ่งได้ครองอาสน์ 6 เดือนในปี 1292)
และมีรายงานจากผู้ใกล้ชิดว่าพระองค์จะไม่ลาออกโดยเด็ดขาด
นั่นเป็นการบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องลงเรือโดยใช้เส้นทางอ้อมแล้วคัดท้ายหางเสือให้ดี สู่เป้าหมาย​
“กุญแจ”​ ของเปโตร
ทางเลือกที่ 2 มอบอำนาจทั้งหมดให้แก่ประชาชน (และแก่​CNN) โดยผ่านทางคณะพระคาร์ดินัล เนื่อง
จากประมาณ 85% ของบรรดาพระคาร์ดินัลปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งจากโป๊ปจอห์น​ พอลที่​ 2 การเลือกโป๊ป
ที่เปลี่ยนแนวนโยบายในเรื่องข้อปฏิบัติทางศาสนาจากหน้ามือเป็นหลังมือคงเป็นไปได้ยาก ความคิดเช่นนี้
จะทำให้บางพวดผิดหวังในบางเรื่อง​ เช่น จริยธรรมทางเพศ ดังนี้จึงได้เกิดการรณรงค์ให้มอบอำนาจในการ
เลือกตั้งโป๊ปโดยผ่านทางพระคาร์ดินัล อย่างประชาธิปไตยเหมือนประชาธิปไตยของโลกตะวันตก โดย
สำรวจคะแนนนิยมด้วยวิธีสำรวจแบบข้ามคืน​ (Overnight surveys) ก็จะได้ผลสรุปออกมา
รู้สึกวิธีนี้จะสำเร็จยากสักหน่อยใช่ไหม? แต่วิธีนี้ก็ได้ถูกนำเสนอออกมาแล้วอย่างเอาจริงเอาจังโดย
พระสงฆ์ที่มีชื่อชาวอเมริกัน
บาทหลวง Andrew Greeley ได้ส่งบทความในนิตยสาร Washington Post เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมนี้
ได้เสนอว่าเพื่อเป็นการช่วยพระจิตในการเลือกตั้งโป๊ปในอนาคต ทีมนักข่าวเฉพาะกิจ จะออกสัมภาษณ์​
แคนดิเดตเด่นๆ​ แล้วออกข่าวไปทั่วโลก​ แล้วสำรวจคะแนนนิยมแบบข้ามคืน​ (Overnight surveys) ไปยัง
ชาวคาทอลิกทั่วโลก​ เพื่อจะดูว่าใครเป็นที่นิยมของประชาชน หากเทคนิคนี้นำมาใช้เดี๋ยวนี้ บาทหลวง
​ Greeley เสริม​ บางทีการเลือกตั้งโป๊ปครั้งต่อไป จะเป็นโอกาสเมื่อชาวคาทอลิกมีอำนาจขึ้นมาบ้างในบั้น
ปลาย​ (ดูเหมือนท่านจะแนะนำว่าในการเลือกโป๊ปที่แล้วๆ​ มา​ ถึงแม้จะโดยการทรงนำของพระจิต ก็ยังมีข้อ
บกพร่องเพราะขาดการป้อนข้อมูลจากประชาชน

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:29 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 80 )

✴️ กุญแจ​จะเป็​นของใคร? (C) ✴️
แต่ว่าโพลนี้จะได้จากคาทอลิกพวกไหน? ใครจะเป็นผู้เลือก​ ประชาชนประเภทไหนจะมีอิทธิพล
ในการเลือกตั้งโป๊ป? ที่เห็นๆ อยู่ก็​ CNN หรือ ทีมนักข่าวเฉพาะกิจ ในวิสัยทัศน์ของท่าน Greeley
สื่อมวลชนจะเป็นผู้ตัดสินการเลือกตั้งพระสันตะปาปา
บาทหลวง Greeley ยังเขียนต่อไปอีกว่า “เพื่อนร่วมงานของอาตมาภาพ Michael Hout จาก
มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ที่​Berkeley ได้ทำการสำรวจไปยังหลายๆ ประเทศว่า ฆราวาสอยาก
จะได้โป๊ปแบบไหน​ เราถามในหลายๆ​ ประเด็น เช่น การเลือกตั้งสังฆราชจากพระสงฆ์ในพื้นที่และจาก
ชาวบ้าน การกระจาย​อ​ำนาจไปสู่สังฆราชในพื้นที่ ให้มีที่ปรึกษาฆราวาสแก่พระสันตะปาปา เรื่องพระสงฆ์
มีครอบครัวหรือพระสงฆ์สตรีในสเปน สหรัฐ และในอิตาลี มีแรงกระตุ้นค่อนข้างสูงที่จะให้โป๊ปนำการเปลี่ยน
แปลงเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม​ ในฟิลิปปินส์มีแรงกระตุ้นค่อนข้างน้อยสำหรับการเปลี่ยนหลายๆ​ อย่าง โดย
เฉพาะอย่างยิ่งการบวชพระสงฆ์สตรี สำหรับชาวฟิลิปปินส์นั้นต้องการการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นมากที่สุด
ในโปแลนด์มีแค่​ ​20% ที่สนับสนุนให้สตรีเป็นพระสงฆ์​ แต่มีการเรียกร้องให้พระสงฆ์แต่งงานได้
และให้พระสังฆราชได้รับเลือกตั้งจากประชาชน
อย่างไรก็ดียังมีบางคนยังไม่พอใจอยู่ดี พวกเขาแนะนำว่าแทนที่จะกังวลถึงการกำหนดวาระว่า
พระสันตะปาปาควรจะอยู่ในตำแหน่งเป็นวาระ หรือเกี่ยวกับจะได้อำนาจในการเลือกตั้งจากคณะพระคาร์ดินัล
ยุทธวิธีที่ถูก ต้องร่วมใจกันทำให้ตำแหน่งพระสันตะปาปามีอำนาจน้อยลง
ทางเลือกที่ 3 ให้พระสันตะปาปามอบอำนาจทั้งหมดต่อสภาถาวรเป็นความเห็นของบาทหลวง
Richard John Neuhous อดีตเป็นชาวโปรเตสแตนต์ ได้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิกหลายปีมาแล้ว ปัจจุบันท่าน
เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อเมริกันชื่อดัง First Things เมื่อวันที่​ 29 มิถุนายน​ ท่านได้เสนอความเห็นแก่
อดีตพระอัครสังฆราชแห่งซานฟรานซิสโก​ John Quin ให้เรียกร้องให้มีสภาใหม่เพื่อจะได้นำพระศาสนจักร
เข้าสู่พันปีที่ 3 ทั้งนี้เพราะมีชาวคาทอลิกบางท่านติงผู้นำระดับสูงในปัจจุบันขาดความกระตือรือร้นและตำหนิ
Roman Curia (สภา พระสันตะปาปา) ซึ่งมีอิทธิพลค่อนข้างสูงเหนือพระสันตะปาปา ถึงกับมีบางท่านเสนอ
ให้สภานี้มีอายุแค่ 10 ปี
“จอห์น พอลที่ 2 จะไม่ลาออกจากตำแหน่งโดยเด็ดขาด”​ มีพระคาร์ดินัลจำนวนหนึ่ง และโฆษกของพระ
ศาสนจักรในอิตาลีได้แถลงเมื่อต้นเดือนตุลาคมระหว่างที่โป๊ปเข้าโรงพยาบาลว่า โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 จะไม่
ลาออกจากตำแหน่งพระสันตะปาปา ถึงแม้พระองค์จะต้องกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ​ และต้องถูกบังคับ
ให้นั่งรถเข็น และพวกเขายังลงความเห็นอีกว่า​ พระองค์จะยังคงดำรงตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปาต่อไปอีกหลายปี
พระคาร์ดินัล Josef Glemp ถูกถามจาก อันโตนิโอ จอร์จี แห่งน.ส.พ.​ Arvenire ให้วิจารณ์ถึงสุขภาพของ
โป๊ป​ และโครงการของพระองค์ ท่าน​ Glemp ได้ตอบ (9 ต.ค.) ว่า : อาตมาภาพมั่นใจว่าพระผู้เป็นเจ้าจะประทาน
พระพรแก่พระองค์เพื่อจะได้นำพระศาสนจักรเข้าสู่พันปีที่ 3 และพระองค์เองมิได้ตรัสอะไรกับอาตมาภาพเมื่อเร็วๆ นี้​
นอกจากเรื่องการเรื่องการเฉลิมฉลองครบรอบปี 2000
พระคาร์ดินัล Silvis Oddi วิจารณ์ถึงข่าวลือเมื่อเร็วๆ นี้ว่าโป๊ปอาจลาออกเนื่องเพราะปัญหาสุขภาพ​
ท่าน​ Oddi ได้กล่าวแก่มาร์โกตอสสาตี​ แห่ง น.ส.พ. LA Stampa (8 ต.ค.) ว่า ทำไมพวกเขาจึงต้องการให้พระองค์
ลาออกจากตำแหน่งด้วยความรีบร้อนกันนัก? แน่นอนย่อมมีคนโง่ๆ บางคนมักจะพูดกันทำนองนั้น พวกเขาคือ
บุคคลที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามพระองค์ในวาติกัน​ อาตมาคิด เรามีกันทุกรูปแบบ อาจจะมีประเภทลึกลับซับซ้อน​
ประเภทขวานผ่าชาก และประเภททำให้ประหลาดใจก็มี แต่การวิเคราะห์ในบั้นปลายแล้วไม่มีความชัดเจนว่า
พวกเขาต้องการอะไรกันแน่...
พระคาร์ดินัล Rosalio Castillo Lara ถูกถามจาก Marco Politi แห่งน.ส.พ. La Repubblica ให้วิจารณ์
สถานการณ์โดยทั่วไปท่าน Castillo Lara ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการเงินของวาติกัน ได้ตอบข้อซักถาม​
(เมื่อวันที่ 10 ต.ค.) ว่า “อาตมาภาพไม่กังวลใจแม้แต่น้อย (เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่โป๊ปอาจมีโรค​Parkinson)
จะไม่มีกลุ่มอาการอันใดเลยที่ทำให้ความแจ่มใส และสติปัญญาของโป๊ปลดลงไปแม้แต่น้อยนิด​ แน่นอนล่ะ
อาการสั่นของพระหัตถ์ซ้ายอาจทำให้น่าวิตกอยู่บ้างก็จริง​ อาตมาคิดว่าอาจทำให้พระองค์ได้รับความอับอาย
ไปบ้างก็เป็นได้ เพราะพระองค์เคยมีพระวรกายแข็งแรงเสมอมา แต่นั่นแหละก็อาจจะทำให้คนเรารู้จักถ่อมตน
จะอย่างไรก็ตาม สติปัญญาของพระองค์ยังเฉียบแหลม​ และพระองค์​ทรงมีความจำเป็น​เลิศ
ท่าน Castillo Lara กล่าวว่าท่านไม่เห็นจะมีปัญหาอันใดสำหรับโป๊ปองค์หนึ่งจะปกครองพระศาสนจักร
หากจะถูกจำกัดเขตให้อยู่บนรถเข็น​ “มันเป็นไปได้”​ ท่านกล่าว​ “ประธานาธิบดี รูส​เวลท์ แห่งอเมริกาได้ถูกจำกัด
เขตบนรถเข็นมิใช่หรือ?” ยังมีด้านหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ นั่นก็คือความช่วยเหลือขององค์พระจิต
เบื้องบน ยิ่งกว่านี้พระภารกิจของพระสันตะปาปามิได้เรียกร้องให้มีการตัดสินใจที่สำคัญๆ​ ทุกๆ วัน เพราะมีระบบ
ที่วางไว้แล้วว่า การตัดสินใจมากมายจะถูกดำเนินการในนามของโป๊ป โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งจัดสรรกันไว้ตามความถนัด
ในสาขาต่างๆ แต่โป๊ปจะต้องยึดหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่ไม่อาจใช้ตัวแทนได้คือ อำนาจการแต่งตั้งพระสังฆราช และ
การประกาศหลักธรรมความเชื่อ
Castillo Lara กล่าวว่า​ โป๊ปพอลที่ 2 ได้พิจารณาเรื่องการลาเกษียณเพราะพระองค์มีพระชนมพรรษาใกล้ 80
แต่อาตมาผู้รู้จักจอห์น​ พอลที่​ 2 เป็นอย่างดี​ อาตมาเชื่อว่าพระองค์ไม่เคยมีความคิดการลาเกษียณ​ ​อาตมาจะ
คัดค้านข้อเสนอใด​ๆ ที่จะให้กำหนดวาระของตำแหน่งโป๊ปตามวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ความคิดของ
ตำแหน่งโป๊ปนั้นเป็นบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรจากพระจิต ที่จะมาเป็นผู้แทนของพระเยซู​จนสิ้นชีวิต การไป
กำหนดวาระ ก็เหมือนพูดว่าผู้หนึ่งเป็นโป๊ปแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หยุดเป็น ย่อมจะทำให้ภาพและบทบาท
ของพระสันตะปาปาด้อยลงไป

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ตอบกลับโพส