โดย: โปรดปราน ( พีพี )
“คือจงถ่อมใจและมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จงอดทน จงอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก 3จงพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่มาจากพระวิญญาณนั้น โดยมีสันติภาพเป็นเครื่องผูกพัน 4มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนอย่างที่ท่านได้รับการทรงเรียกให้มาถึงความหวังเดียวในการทรงเรียกพวกท่านนั้น 5มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว 6พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ทรงทำการผ่านสรรพสิ่งและทรงอยู่ในทุกคน” (เอเฟซัส 4.2-6 )
ตั้งต้นปี 2006 หลังจาก อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภาฯ สังคมไทยได้แบ่งแยกอย่างชัดเจน ถึงแม้เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 ได้เกิดรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองฯ นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หลังจากนั้น ก็มีการแต่งตั้งรัฐบาลชุดขิงแก่ขึ้นชั่วคราวเพื่อบริหารประเทศ แต่สังคมไทยถูกแบ่งแยกไปแล้ว เช่น มีกลุ่มสูญเสียอำนาจ กลุ่มสนับสนุนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช. ) และรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีการเผาโรงเรียนในภาคอีสาน สามจังหวัดภาคใต้ยังไม่สงบ จนกระทั่งมีการวางระเบิดทั่วกรุงเทพและปริมณฑลในวันส่งท้ายปี2006
นับว่าคนไทยเกิดภาวะเครียด มีความหวาดระแวงกันซึ่งกันและคน มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นเมื่อเราจะพูดหรือวิพากษ์วิจารณ์ การบ้านการเมือง ต้องเหลียว ซ้ายมองขวา ว่าควรพูดกับใครอย่างไรที่จะไม่นำไปสู่การทะเลาะหรือหมางใจกัน
กลับไปดูคริสตชน ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าในยุคแรกมีคริสตชนยิว และ คริสตชนต่างชาติ ยุคต่อมา ก็แยกเป็น สามนิกายคือ คริสต์ ออร์ทอดอกซ์ ( 1054 )คริสต์ คาทอลิก คริสต์โปรเตสแตนต์ ( 1517 ) และกลุ่มอิสระอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นชาวคริสต์ได้ทะเลาะกันมากมาย เพื่อยืนยันว่าความเชื่อหรือศรัทธาแบบฉันนี่ถูกต้องที่สุด เชื่อแบบฉันถึงจะได้รับความรอด เป็นต้น ดังนั้นมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ความขัดแย้ง ความแตกแยก อัครสาวกเปาโลจึงเขียนจดหมายหนุนใจแนะนำและตักเตือนผู้เชื่อเรื่องการดำเนิน ชีวิตให้เป็นเอกภาพได้อย่างไร ซึ่งเราคริสตชนต้องทำตามคำแนะนำ ของนักบุญเปาโลดังนี้
1. จงมีใจถ่อมทุกอย่าง
ใจถ่อมลงทุกอย่าง ในวัฒนธรรมกรีก การถ่อมใจเป็นสิ่งไม่ดี เป็นที่ดูถูก ชาวกรีกไม่เคยใช้คำนี้ในแง่ใจถ่อม เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าใครไม่มีบุคลิกที่หยิ่งหรือมีความเชื่อมั่นในตัวเองแล้วจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนสมัยนั้น พูดอีกนัยหนึ่งคือ บุคลิกที่หยิ่ง ไว้เนื้อถือตัวเป็นบุคลิกที่ดีนั่นเอง แต่คำนี้จะใช้ในแง่ลบหมายถึง “ท่าทีที่น่าสังเวช ท่าทีของคนใช้ที่ต่ำช้า” คือให้ภาพของทาสที่กำลังก้มหมอบกราบอย่างยอมจำนน จนกระทั่งเมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้คำนี้พวกเขาจึงได้รู้ถึงความหมายแท้จริงของคำนี้ สมัยปัจจุบัน คนในสังคมส่วนใหญ่รวมทั้งสังคมชาวคริสต์ด้วย คนรุ่นใหม่ตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ ผู้นำบริษัท หรือผู้นำชุมชนความเชื่อของคริสต์เอง เช่นบาทหลวง และศิษยาภิบาล ผู้นำจำนวนมากขาดความถ่อมใจ คงเพราะคิดว่าตัวเองมีดีกว่าคนอื่น เช่นจบการศึกษาดีกว่า ฉลาดกว่า รวยกว่าคนอื่น หรือรู้สึกว่าเป็นคนมีคุณธรรมกว่า มีความศักดิ์สิทธิ์กว่า เป็นต้น จึงมีมุมมองว่า “ความถ่อมใจเป็นสิ่งโง่” เข้าใจว่าคนที่ถ่อมใจนั้นอ่อนแอ และมักถูกเอาเปรียบ เป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่น เป็นคนที่ไม่ค่อยมีลักษณะผู้นำ ดังนั้นคนจำนวนมากคิดว่ามีความเย่อหยิ่งนิดหน่อย ช่วยเสริมความเชื่อมั่นและจะช่วยให้เป็นผู้นำที่ดี แต่คริสตชนพึงสำนึกว่า “พระเจ้าทรงเกลียดความเย่อหยิ่งของมนุษย์” เช่นประกาศกอิสยาห์ยืนยันว่า “ท่าอันผยองของมนุษย์จะตกต่ำลง และความจองหองของคนจะถูกปราบลงพระเจ้าองค์เดียวจะเป็นผู้เทิดทูนในวันนั้น” (อิสยาห์2.11)

ภาพของคนที่มีใจถ่อมคือคนที่ยอมสละศักดิ์ศรี หรือไม่ยึดถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เป็นคนที่เห็นคุณค่าของคนอื่นเสมอ พระเยซูคริสต์เป็นบุคคลตัวอย่างของคนที่มีความถ่อมใจที่ดีที่สุด ในฟิลิปปี2:5-8 ที่อัครทูตเปาโลยืนยันให้พวกเรามีน้ำใจเหมือนอย่างพระเยซูคริสต์ ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแต่ไม่ยึดถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้า พระเยซูทรงสละสภาวะตำแหน่ง และศักดิ์ศรีความเป็นพระเจ้า มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย จนกระทั่งความถ่อมที่สุดคือพระเยซูเจ้าทรงถ่อมใจเชื่อฟังพระเจ้าโดยการยอมวายพระชนม์ที่กางเขน เพื่อชดใช้ ความผิดบาปของพวกเราที่กางเขน