เกาะติดวิกฤติโลกผ่านทางพระคัมภีร์และนอสตาดามุส (1-10)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 27, 2025 8:20 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
✴️ เนื้อหา​ทั้งหมด 102 ตอน ✴️

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 1 )
✴️ ปรากฏ​การณ์​สะเทือนขวัญ​แห่ง​ศตวรรษ ​(A) ✴️
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า เมื่อ 65​ล้านปีก่อนนี้ ขณะที่ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ได้มีดาวหาง
ที่ดับไปแล้ว โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายครั้งและได้พุ่งเข้าชนโลก ทำให้โลกสะท้านสะเทือน จนทำ
ให้แกนของโลกเปลี่ยนวิถีโคจรไป (รู้ได้จากฟอสซิลที่พบในอลาสก้า พิสูจน์ให้เห็นว่า อลาสกาที่หนาว
น้ำเป็นน้ำแข็งทั้งปีนั้นครั้งหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่อยู่ในเขตร้อน​เพราะซากสัตว์ที่พบในอลาสก้านั้น
เป็นสัตว์ในเขตร้อน) การที่ดาวหางพุ่งชนโลกจะเกิดแรงระเบิดทำให้ อีรีเดียม (Iridium) ซึ่งเป็นธาตุ
ประเภทโลหะหนัก และเป็นส่วนประกอบปริมาณมากในดาวหางดวงนั้นแตกกระจายแพร่ไปบนท้องฟ้า
นักวิทยาศาสตร์กล่าวถึงการระเบิดครั้งนี้ว่ารุนแรงกว่าครั้งที่ภูเขาไฟ KRAKATOA ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะชวา
กับเกาะสุมาตรา ในเดือนสิงหาคม​1883 ยังทำให้ฝุ่นพุ่งขึ้นไปกว่า 17 ไมล์​และแพร่กระจายไปเป็นพันๆ
ไมล์ ทำให้บดบังแสงอาทิตย์จนครึ้มสลัวไปหลายเดือนในหลายๆ ส่วนของโลก
แต่ครั้งเมื่อดาวหางที่หมดพลังแล้วได้พุ่งเข้าชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนั้น​ นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณ
ออกมาแล้วว่า​ ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดถึง 4 ปีกว่า​ จนกระทั่งฝุ่น อิริเดียม ตกลงสู่พื้นโลกหมด จึงได้
รับแสงอาทิตย์อีก
เมื่อโลกปราศจากแสงอาทิตย์​ พืชทุกชนิดก็หยุดการเจริญเติบโตและตายไป​ รวมทั้งสัตว์เกือบทุกชนิด​
ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์กินใบไม้เป็นอาหารก็ต้องอดอาหาร
ในช่วงระยะ 4 ปี แห่งความมืดมิดนี้ ไดโนเสาร์มิใช่แต่อดอาหารเท่านั้น​ แต่ยังต้องต่อสู้กับ อิรีเดียม
ซึ่งเป็นสารพิษชนิดหนึ่ง ไดโนเสาร์จึงต้องล้มตายลงและสูญพันธุ์​ไปในที่สุด
(หมายเหตุ ในยุคโลกาภิวัตน์เราก็มีศัพท์ อิริเดียม แต่หมายถึงระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อิรีเดียม
มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจงในเรื่องของการสื่อสารส่วนบุคคล เป็นดาวเทียมแมงมุมที่โยงใยในระบบ
สื่อสารทั่วโลก ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่จุดไหนของโลก แม้ในถิ่นทุรกันดาร ก็สามารถติดต่อกันได้
ในอีก 4 ปี ข้างหน้า)
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว นิตยสาร Time ได้ลงข่าวใหญ่น่าระทึกใจ เรื่อง​ดาวหางจะชนกับดาวพฤหัสฯ
ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ มีเนื้อหาพอสรุปคร่าวๆ ว่าดาวหางกลุ่มใหญ่ที่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ มีขนาดใหญ่
เท่าภูเขาจะพุ่งเข้าชนดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาล (ในวันที่ 16​ กรกฎาคมนี้) คงจะเป็นการ
เตือนภัยของมหาภัยพิบัติ ที่มนุษยชาติจะต้องประสบ​ แล้วอีก 6 วันต่อมา​ ก็จะมีดาวหางตามกันมาเป็นขบวน
บางดวงมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 4 ก.ม.​ จะทยอยกันพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสฯ ซึ่งเป็นเสมือนเป้านิ่ง ทั้งนี้เกิด
จากดาวหางกลุ่มนี้โคจรเข้าใกล้ดาวพฤหัสฯอย่างมาก จึงเข้าไปไปรัศมีของแรงดึงดูดของดาวพฤหัสฯ ซึ่งจะ
ทำให้กลุ่มดาวหางแตกกระจายเป็น 21 ดวง กลุ่มดาวทั้ง 21 ดวงนี้จะลอยเข้าสู่วงโคจรของดาวจูปิเตอร์หรือ
อาจจะเกาะกลุ่มกันจนกว่าจะไปถึงบรรยากาศของก๊าซหนาๆ ซึ่งก็คือ ผิวของดาวพฤหัสฯนั่นเอง กลุ่มดาวหางนี้
จะพุ่งเข้าชนด้วยความเร็วสูง 60 ก.ม. ต่อวินาที หากไม่มีอะไรขวางอำนาจระเบิดของมันมหาศาล ไม่รู้จะไป
เทียบกับอะไรได้ คราวที่สหภาพโชเวียต ในปี 1961 ได้ทดลองระเบิดไฮโดรเจน ในบรรยากาศนั้น ก็แค่​ 58
เมกะตัน แต่นี่มันเป็นการประสานเสียงของ ระเบิด 21 ลูก ในดาวพฤหัสฯ พลานุภาพของมัน จะต้องถึง​ 20 ล้าน
เมกะตันอย่างมิต้องสงสัย นั่นก็หมายความว่าจะมีความรุนแรงกว่าระเบิดทุกชนิดในโลกรวมกัน จะทำให้ฝุ่น
ละอองพวยพุ่งเป็นดอกเห็ดยักษ์สูงถึง​ 2,400 ก.ม. และจะทำให้ดาวจูปีเตอร์สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น และ
เกิดเสียงก้องกังวาล เหมือนเสียงระฆังยักษ์ดังนานเป็นชั่วโมง
ชาวโลกกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยใจจดใจจ่อ เพราะอาจจะทำให้ระบบสุริยจักรวาล เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในทางที่ดี หรือว่าโลกเราอาจถึงกาลวิบัติก็ได้​ ก็เพราะดาวหางนี่แหละที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุ
สำคัญที่ได้ทำให้ไดโนเสาร์ต้องสูญพันธุ์​ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พุธ มิ.ย. 04, 2025 9:38 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 27, 2025 8:33 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 2 )

✴️ ปรากฏ​การณ์​สะเทือนขวัญ​แห่ง​ศตวรรษ ​(B) ✴️
ดาวหางกลุ่มนี้ถูกขนานนามว่า ชูเมคเกอร์ - เลวี 9 (SHOE MAKER-LEVY 9) ทั้งนี้เพราะนักดารา
ศาสตร์สองสามีภรรยา ยูจีน และ แคโรลีน​ ชูเมคเกอร์ กับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง ดาวิด เลวี ทั้งสาม
ได้พบดาวหาง กลุ่มนี้เมื่อคืนวันที่ 23 มีนาคม 1993 ที่บนภูเขาพาโลมาร์แล้วพวกเขาก็รีบแจ้งการค้น
พบนี้ให้กับสหพันธ์​ ดาราศาสตร์ระหว่างประเทศในสหรัฐทราบโดยทันที​ เมื่อตรวจสอบจนเป็นที่แน่ชัด
สิ่งที่พวกเขาค้นพบนั้น เป็นความจริง จึงได้ประกาศ​เป็นทางการพร้อมกับขนานนามดาวหางกลุ่มนี้ตาม
ชื่อของผู้ค้นพบ
โดนัลด์ เยโอมัสส์ และ พอลโคดัส สองผู้เชี่ยวชาญด้านกลศาสตร์ของเส้นโคจรแห่งการขับเคลื่อน
ด้วย เครื่องไอพ่นแห่งห้องทดลอง (J.P.L) เมืองปาซาเดนา แคลิฟอร์เนีย รับภาระหนักในการค้นคว้าว่า
ดาวหาง ชูเมคเกอร์-เลวี​ มีกำเนิดจากไหน และกำลังโคจรไปทางไหน-สรุปย่อๆ​ ว่า ดาวหางดวงนี้ เมื่อราว
​ 45 พันล้านปีก่อน เป็นเพียงก้อนน้ำแข็ง และฝุ่นละออง ที่ประกอบเข้าด้วยกัน​ เหมือนลูกบอลยักษ์ลอย
สะเปะสะปะในระบบสุริยะจักรวาล บางช่วงก็ถูกดึงดูดเข้าอยู่ในวงโคจรของดาวเคราะห์บางดวง และ
ประมาณช่วงทศวรรษ​ที่ผ่านมา​ (1990) ลูกบอลยักษ์นี้ก็ถูกแรงดึงดูดของดาวพฤหัสฯ ให้ลอยเข้าสู่วงโคจร
ของดาวพฤหัสฯ บางช่วงระยะห่างแค่ 25,750 ก.ม. บางช่วงก็ระยะห่าง 50 ล้าน ก.ม.​ ในวันที่ 7 กรกฎาคม
1992 ลูกบอลยักษ์นี้ ได้ลอยเข้าใกล้ดาวพฤหัสมากที่สุด จนถูกแรงดึงดูดของจูปีเตอร์ทำให้ลูกบอลยักษ์นี้
แตกออกเป็นลูกเล็ก ลูกน้อย21ดวง บางลูกก็ขนาดโตเท่าภูเขา
นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันว่า ขนาดของดาวหางแม่ และดาวหางลูกมีขนาดใหญ่มากน้อยแค่ไหน
จากการสันนิษฐานของคณะผู้เชี่ยวชาญดาวหาง (J.P.L.'S ZDENEK SEKENINA) ประเมินได้ว่า ดาวหางแม่
จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9.5 ก.ม. ส่วนดาวหางลูก 3.2 ก.ม.
นักดาราศาสตร์คะเนว่าปริมาณพลังงานจะถาโถมลงไปสู่บรรยากาศของดาวจูปีเตอร์ ในระหว่างวันที่
16-22​กรกฎาคมที่จะถึงนี้ จะมีพลังมหาศาลมากกว่าคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของโลกเอามารวมกัน
และอาจ มีอำนาจทำลายสูงกว่า เมื่อครั้งทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์​ไปจากโลกหลายร้อยเท่า
เมื่อดาวหางพุ่งชนดาวพฤหัสฯ จะเกิดอะไรขึ้น?
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังนี้
1. ดาวหางจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะที่พุ่งไปถึงบรรยากาศของดาวพฤหัสฯ ตามแรงดึงดูด
ซึ่งบริเวณนี้จะอยู่เหนือเมฆประมาณ​ 240 ก.ม. ซากและสะเก็ดดาวที่แตกกระจุยกระจายนี้จะพุ่งดิ่งลงมา
ประดุจห่าฝน
2. ถึงแม้ดาวที่แตกกระจาย จะมีลักษณะเปราะบาง แต่เมื่อถูก แรงดึงดูดด้วยความเร็ว 60 ก.ม. ต่อวินาที
ความเร็วขนาดนี้จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนที่มีแรงดันสูง (SHOCK WAVE) ซึ่งทำให้ลื่นไหลตามกระแส
คลื่น จนถลำลงเข้าไปในบรรยากาศของกลุ่มเมฆชั้นบนของดาวพฤหัสฯ จะทำให้เศษดาวหางนี้ปะทะ
กันเองก่อ ให้เกิดประกายที่มองเห็นได้จากเครื่องบินสำรวจกาลิเลโอ
3. จะเกิดการระเบิดอย่างวินาศสันตะโร เมื่อคลื่น SHOCK WAVE จะหอบเอาเศษดาวหางพุ่งดิ่งจากชั้นบน
สุดของเมฆลึกลงไปประมาณ 24 ก.ม.​ และจากระยะทางนั้น ดาวหางกลุ่มนี้อาจจะระเบิด และแหลกเป็นจุณ
เมื่อไปปะทะกับแรงดันของก๊าซไฮโดรเจน ในดาวพฤหัสฯ ก๊าซร้อนที่เกิดจากแรงระเบิดจะแพร่กระจายไป
อย่างฉับพลัน​ เหมือนเกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ ทำให้เกิดกลุ่มไฟขนาดยักษ์ลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. สะเก็ดดาวหางกลุ่มนี้จะพุ่งลงไปสู่ชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสฯ​ ลึกถึง​ 300 ก.ม. ซึ่งเต็มไปด้วย ก๊าซ
และ ไอน้ำก็จะเกิดแรงดันทำให้เกิดเมฆเป็นรูปดอกเห็ดยักษ์พวยพุ่งสูงถึง 3,000 ก.ม. ด้วยแรงกดดัน
มหาศาลและความร้อนสูง​ จึงทำให้เศษดาวเหล่านี้เกิดระเบิด และปล่อยพลังงานมีค่าเท่ากับระเบิด ทีเอ็นที​
ขนาด 20 ล้านเมกะตัน เลยทีเดียว

ลองมาดูกลอนของ นอสตราดามุส ในบทที่ 69/1
La grand montagne ronde de sept stades,
Apres paix, guerre, faim, inondation
Roulera loin abismant grand contrades,
Memes antiques & grand foundation.
ภูเขากลม ขนาด 7 สแต็ด (เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ไมล์)
หลังจากสันติภาพ ก็เกิดสงคราม ความอดอยาก และ อุทกภัย
ภูเขากลมใหญ่นั้นก็ลอยละล่องจากฟ้านำความล่มจมมาสู่เมืองใหญ่
ที่สำคัญทางโบราณคดี และทางรากฐานที่ยิ่งใหญ่

เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว​ เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวพุทธมาจากมะนิลาซื้อหนังสือมาฝากเล่มหนึ่งชื่อ
"THE MESSAGES OF THE BLESSED VIRGIN MARY" สรุปความย่อๆ ว่า แม่พระได้ปรากฎ​มาพบ
เด็กชาย JUDIEL NIEVA (เกิด 29 ต.ค. 76) เมื่อมีนาคม 1989 โดยมอบสาส์นสำคัญๆ ดังนี้ ให้มนุษย์​
กลับเนื้อกลับตัวเข้าหาพระ สวดมากๆ ทำพลีกรรมมากๆ เพื่อจะได้ชนะซาตานซึ่งกำลังครองโลก คน
จำนวนมากหันไปนับถือรูปปั้นวัวทองคำ อันได้แก่​วัตถุนิยม​ โลกนิยม ส่วนพระเจ้าถูกปฏิเสธจนพระองค์
ไม่มีสถานที่อันสมควรสำหรับพระองค์ในโลก
วันที่ 11 มิถุนายน 1992 “ลูกรัก ถ้าโลกไม่เปลี่ยน เราจะส่งสัญญาณมาเตือน โลกจะสั่นสะเทือน
ดวงอาทิตย์จะปรากฏ​ตอนกลางคืน ปรากฏการณ์ประหลาดนี้จะเห็นกันทั่วโลก ทุกอย่างจะเกิดภายใน
ครึ่งชั่วโมง 'พายุใหญ่ น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว อากาศแปรปรวน กำลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว'​ สันติภาพ...สันติภาพ...สันติภาพ”
แล้วในวันที่ 16-22 กรกฎาคมนี้ ดาวหางจะชนดาวพฤหัสฯ จะมีผลกระทบอะไรบ้างบนโลก
พวกเรากำลังรอคำตอบจากนักวิทยาศาสตร์
“โลกจะสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์จะหมุนพร้อมกับเสียงระเบิด ดวงจันทร์จะปรากฏตอนเช้า
ดวงอาทิตย์จะปรากฏตอนกลางคืน”​?..

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2025 9:07 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ 3. )

✴️ อะไร​จะ​เกิด? เมื่อดาวหางพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสฯ ✴️
ลูกชายกลับมาจากสเปน ซื้อนิตยสารรายสัปดาห์มาฝาก เห็นลงข่าวดาวหางชูเมคเกอร์
จะชนกับดาวพฤหัสฯ​ เจ้าพ่อแห่งสุริยจักรวาลกันเอิกเกริก​ ก็เลยขอว่าเรื่องนี้ต่อไป ก่อนอื่นลอง
มาเปิดตำราดาราศาสตร์ก่อนว่า ดาวพฤหัสฯ หรือ ดาวจูปิเตอร์ ที่ถูกขนานนามว่า เจ้าพ่อแห่ง
สุริยจักรวาลนั้น​ เพราะว่าเป็นดาวดวงใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวนพเคราะห์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง
​ 139,200 ก.ม.​ มีน้ำหนักเป็น 318 เท่าของโลกเรา เพราะดาวจูปิเตอร์มีน้ำหนักมากจึงมีแรงโ
น้มถ่วงมากกว่าโลกเรา เช่น ถ้าเราชั่งของชิ้นหนึ่งบนโลกเราหนัก 100 ก.ก. หากชั่งที่ดาวจูปิเตอร์
จะมีน้ำหนักถึง 264 ก.ก. โลกเราอยู่ห่างจากพระอาทิตย์ 150 ล้าน ก.ม. แต่ดาวจูปิเตอร์ อยู่ห่าง
จากพระอาทิตย์ 778 ล้าน ก.ม. ดาวจูปิเตอร์หมุนรอบตัวเองเร็วกว่าโลกเกือบ 3 เท่า
ในหนึ่งวันของดาวพฤหัสฯ​ จะมีแค่ 10 ชั่วโมง ดาวนี้ประกอบด้วยก๊าซฮีเลียมและไฮโดรเจน
ดาวจูปิเตอร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 16 ดวง​ และเมื่อเร็วๆ นี้ก็พบอีก 2 ดวง รวม
เป็น 18 ดวง บนพื้นผิวของดาวจูปิเตอร์มีพายุหมุนมองดูทางกล้องจะเห็นเป็นสีแดงคล้ายตา
นักวิทยาศาสตร์​มักเรียกดาวจูปิเตอร์ว่าเจ้ายักษ์ตาเดียว
มาดูข้อมูลที่ได้จาก มาร์ค คิดเจอร์ ซึ่งเป็นนักค้นคว้าแห่งสถาบันดาราศาสตร์แห่งคานารีอัส สเปน
สรุปให้ฟังว่า ดาวหางชูเมคเกอร์นี้ได้หลงเข้าไปในวงโคจรของดาวจูปิเตอร์ ตั้งแต่ปี 1971 และ
ก็ได้เริ่มโคจรด้วยลีลาระบำที่มีจังหวะไม่คงเส้นคงวา ช่วงโคจรที่ห่างที่สุดจากดาวจูปิเตอร์ก็คือ
50 ล้าน ก.ม. และระยะโคจรที่ใกล้ที่สุดคือ 120,000 ก.ม. แต่ใช่ว่าจะคงที่เป็นเช่นนี้เสมอไป ใน
ช่วงที่ดาวหางชูเมคเกอร์โคจรห่างที่สุดจากดาวจูปิเตอร์ก็ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวดวงอื่นๆ รวมทั้ง
พระอาทิตย์ด้วย​ จึงทำให้วงโคจรของดาวหางนี้ไม่คงที่ คือไม่เป็นวงกลมเหมือนลูกปิงปอง​ แต่จะ
เป็นวงกลมเหมือนรูปไข่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้วงโคจรของดาวหางนี้ยิ่งทียิ่งใกล้ดาวจูปิเตอร์
จนกระทั่งถึงจุดที่จะพุ่งเข้าชนประหนึ่งหน่วยกล้าตายกามิกาเช่
จากการสำรวจในระยะ 20 ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พบหลุมเกิดขึ้นมากมายในดาวจูปิเตอร์
เพราะเศษ​ดาวหางร่วงหล่นลงมา หรือโดนปะทะจากดาวดวงอื่น และที่น่าตื่นเต้นแบบสุดๆ ก็คือ
นักดาราศาสตร์​ มาร์ล คิดเจอร์ กล่าวว่า พวกเราจะเป็นสักขีพยานในปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่มี
คนรุ่นไหนได้ประสบมาก่อน ความตื่นเต้นของ คิดเจอร์ ก็ไม่ใช่จะไม่มีผล​ เพราะพวกเราจะได้เห็น
วงแหวนซึ่งประกอบด้วยดาวเคราะห์น้อยอันเป็นเศษของดาวหางที่แตกกระจัดกระจาย แล้วจับกลุ่มกัน
โคจรรอบดาวจูปิเตอร์​ เหมือนกับที่ได้เกิดวงแหวนของดาวพระเสาร์มาแล้ว มาร์ค คิดเจอร์ กล่าวว่า​
อีกไม่นานเกินรอเราจะได้ข้อมูลมากมายจากดาวเจ้าพ่อแห่งสุริยจักรวาล​ ซึ่งมนุษย์เรารู้จักกันมานาน
นับศตวรรษ
อันที่จริงเปลือกของดาวจูปิเตอร์เป็นเรื่องลี้ลับสำหรับมนุษย์มานานแล้ว เพราะมันถูกปกคลุมด้วย
เส้นหนาทึบ และในบริเวณที่ไม่มีอะไรสามารถผ่านเข้าไปได้​ ฉะนั้นเจ้าชูเมคเกอร์-เลวี นี่แหละจะเป็น
พระเอกที่จะจู่โจมแบบกามิกาเซ่ อันจะเป็นการเผยโฉมหน้าอันลึกลับของดาวเจ้าพ่อให้กระจ่างขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากการพยากรณ์ของฮาโรลด์ วีฟเวอร์ แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์โดยใช้กล้องโทรทรรศน์
ฮับเบิ้ล กล่าวว่าระหว่าง 6 วันก่อนและ 6 วันหลังวันที่ 19 กรกฎาคม​ ดาวหางที่แตกกระจายนั้น จะค่อยๆ
ทยอยกันตกลงในดาวจูปิเตอร์ด้วยความเร็ว​ 60 ก.ม./วินาที จะเกิดการปะทะกับเส้นหนาทึบของดาวจูปิเตอร์​
จะก่อให้เกิด​ประกายแสงสว่าง​ไสว​ ดุจดอกไม้​ไฟ​ในงาน​มหกรรม​ ในการปะทะของเศษดาวหางนี้​ แม้​จะ​เล็ก
สักเท่าใดแรงระเบิด​จะมี​มหาศาล​ประมาณ​ 100 เท่าของ​ระเบิด​ปรมาณู​ที่​ฮิโรชิมา
มีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่ไม่ค่อยจะตื่นเต้นกล่าวว่า แรงระเบิดที่จะเกิดขึ้น จะแพร่ไปในอวกาศ
และจะสูญเสียพลังไป จะเกิดผลกระทบเพียงน้อยนิด
มาร์ค คิดเจอร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การคาดคะเนขนาดของเศษดาวหางนี้ แม้จะน้อยนิด แต่จะก่อแรง
ระเบิดมหาศาลในบรรยากาศ ประมาณ​ 240 ล้านเมกกะตัน (ประมาณ 2,000 ล้านเท่าของระเบิดปรมาณู​
ในฮิโรชิมา) ดูเหมือนว่าพลังที่ออกมานี้ช่างมหาศาล แต่ต้องไม่ลืมว่าดาวจูปิเตอร์ใหญ่กว่าโลก 300 เท่า
จึงมีพลังที่จะดูดซับในบรรยากาศในระหว่างที่ได้รับผลกระทบนั้น จนอาจจะไม่รู้สึกระคายเท่าใดนัก
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เ​​​​พื่อจะสังเกตเหตุการณ์ก่อนการระเบิด
และหลังการระเบิดว่าจะมีความแตกต่างกันแค่ไหน คงจะไม่มีใครพลาดโอกาสอันสำคัญนี้ ที่จะได้เป็นสักขี
พยานถึงเหตุการณ์ที่นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง ที่จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์
ยูจีน ชูเมคเกอร์ ได้ทำนายไว้ว่า ไม่เร็วก็ช้าในอนาคต จะมีดาวหางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ก.ม.
จะปะทะกับดาวจูปิเตอร์อีก​ภายในศตวรรษหน้านี้ แต่สองสามีภรรยานักล่าดาวหางคู่นี้คงจะไม่มีโอกาส
ยลโฉมของมันเสียแล้ว แต่คงจะเป็นหลานที่อาจจะได้รับเกียรติอันเป็นมรดกตกทอดจากเขาทั้งสอง และ
คงจะได้ขนานนามดาวหางดวงใหม่ขนาด​ 2 ก.ม.​ ในอนาคตว่า SHOEMAKER - LEVY 9 JUNIOR
เมื่อเกิดเหตุการณ์วิปริตบนท้องฟ้าเช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราใกล้สิ้นยุคตามคำทำนายในพระคัมภีร์
เล่มสุดท้ายกันแล้วหรือ? พระวิวรณ์ (Apocalypse) เป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่ทำนายถึงวาระสุดท้ายของโลก​
บันทึกราว ค.​ศ. 90 โดย จอห์น ศิษย์เอกผู้ใกล้ชิดพระเยซู ท่านได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าให้บันทึก
เหตุการณ์ที่จะเกิดในวาระสุดท้ายของโลก​ จริงๆ แล้วศัพท์ วิวรณ์ เป็นคำแปลของคำภาษากรีก Apocalypse
แปลว่า​ เผยสิ่งเร้นลับ​ (จากพระเจ้า) แต่ทว่าเมื่ออ่านไปแล้วมิได้คลายความเร้นลับไปเลย ตรงข้ามยิ่งเพิ่ม
ความสงสัยข้องใจมากขึ้น อาจเป็นได้ที่พระเป็นเจ้าไม่ประสงค์จะให้มนุษย์กังวลใจในเหตุการณ์ตอนสิ้นยุค
จึงเป็นการเผยแบบ ครึ่งๆ กลางๆ คือให้รู้บ้างว่าอะไรจะเกิด แต่ไม่ได้บอกให้ชัดแจ้ง ก็คงเป็นหน้าที่ของผู้รู้
จะได้ช่วยตีความ ส่วนผมขอเพียงแค่หยิบยกมาให้ดูเท่านั้น
วิวรณ์ 8:8-12 และแล้วทูตสวรรค์องค์ที่สองก็เป่าแตรขึ้น มีวัตถุอย่างหนึ่งมองดูคล้าย ภูเขาขนาดใหญ่
ลุกโชติช่วง ถูกทิ้งลงสู่ทะเล ทำให้เศษหนึ่งส่วนสามของท้องทะเลกลายเป็นเลือด ทำลายชีวิตของสัตว์น้ำ
ที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลถึงเศษหนึ่งส่วนสามของทั้งหมด บรรดาเรือน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ถูกทำลายลงเศษหนึ่ง
ส่วนสามของทั้งหมดเช่นเดียวกัน
เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรขึ้น ดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งมีชื่อว่า​ ดาวขม ติดไฟลุกโชติช่วงประดุจไต้
ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าสู่แม่น้ำลำคลองและตาน้ำต่างๆ เศษหนึ่งส่วนสามของทั้งหมด ทำให้น้ำส่วนนั้นมีรสขม​
มนุษย์เป็นจำนวนมากต้องตายเพราะดื่มน้ำขมนี้
เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตรขึ้นหนึ่งในสามส่วนของดวงอาทิตย์ก็ถูกทำลายไป นอกจากนั้น
หนึ่งในสาม ส่วนของดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายก็ถูกดับแสงมืดมนไป เป็นเหตุให้เวลากลางวัน
ไม่มีแสงสว่างเสียหนึ่งในสามส่วน กลางคืนก็เช่นเดียวกัน

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2025 9:25 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่. ( 4 )

✴️ 25 ปี​ ไทย​ - วาติกัน​ และ​ 16 ปี​ บนบัลลังก์​ของ​โป๊ป​ จอห์น​ พอล ที่​ 2 (A)​ ✴️
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1994 นี้ ที่โบสถ์อัสสัมชัญ บางรักได้จัดงานใหญ่​ 2 งาน งานแรกก็คือ
ฉลองครบ 25 ปีที่สันตะสำนัก (Holy See) มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยอย่างเป็น
ทางการ งานที่สอง ก็คือ ฉลองครบ 16 ปี ที่สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 ได้รับเลือกเป็น
พระสันตะปาปา
ประเทศไทยกับสันตะสำนัก​(นครรัฐวาติกัน) มีความสัมพันธ์กันมาไม่น้อยกว่า 483 ปี คือตั้งแต่
ปี 1511 ซึ่งมีนักบวชศาสนาคริสต์เข้ามาแพร่ธรรมโดยติดตามคณะทูตของโปรตุเกส ตรงกับรัชสมัย
ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีพระสงฆ์ดอมีนิกัน 2 รูปเข้ามาในประเทศไทย​ในฐานะมิสชันนารี​
ชื่อเจโรมแห่งไม้กางเขน และเซบัสเตียนแห่งกันโต แต่มิสชันนารีที่เข้ามาอย่างเป็นทางการที่แท้จริง
ดูได้จากสมณสาสน์ ฉบับแรกของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 9 ที่ส่งมาถวาย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชในปี 1669

ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐทั้งสองนี้​ ปรากฏออกมาใน 3 ลักษณะ​ ดังนี้
1. การติดต่อทางพระราชสาสน์ และพระสมณสาสน์
2. การเสด็จเยือนและการเข้าเฝ้าระหว่างพระมหากษัตริย์ไทยและสมเด็จพระสันตะปาปา
3. การก่อตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1969
ความสัมพันธ์ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 สมัยสำคัญๆ ดังนี้คือ
ก.​ สมัยกรุงศรีอยุธยา
1. 24 สิงหาคม 1669
สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 9 มีพระสมณสาสน์มาถวายสมเด็จพระนารายณ์
โดยผ่านพระสังฆราช ปัลลือ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1673
2. 13 กันยายน 1669
สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 9 อาศัย Bulla ที่​มีชื่อว่า Speculatores ทรงประกาศ
ให้สยามมีฐานะเป็นดินแดนมิสชัง (เฉพาะมิติทางศาสนาเท่านั้น)
3. 24 ธันวาคม 1680
คณะทูตสยามคณะแรกออกเดินทางไปยุโรป นำพระระราชสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์
ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 พร้อมทั้งเครื่องบรรณาการ
แต่เรือที่คณะทูตชุดนี้เดินทางไปอับปางลงที่เกาะมาดากัสการ์ตอนปลายเดือนสิงหาคม 1681
4. 23 สิงหาคม 1688
คณะทูตสยามคณะที่ 4 มีบาทหลวง​ กีย์ ตาชาร์ด เป็นทูตพิเศษของสมเด็จพระนารายณ์เข้าเฝ้า
สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 พร้อมทั้งถวายพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์และ
เครื่องราชบรรณาการแด่สมเด็จพระสันตะปาปา​ นอกจากนี้ยังได้ถวายจดหมายของ
คอนสแตนติน ฟอลคอน พร้อมๆ กับรายงานของเขาอีก 1 ฉบับด้วย
5. 23 ธันวาคม 1688
บาทหลวง กีย์ ตาชาร์ด เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาพร้อมกับครูคำสอนชาวตังเกี๋ย 3 คน
ข. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
1. 8 มีนาคม 1852
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสาสน์ไปถายสมเด็จพระสันตะปาปาปิโอที่ 9
ด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระสังฆราชปัลเลอกัว เป็นผู้นำไปถวาย และได้เข้าเฝ้าสมเด็จ
พระสันตะปาปา พร้อมด้วยเด็กไทย 2 คน คือ ยอแซฟ ชม และฟรังซิส แก้ว
2. 4 กรกฎาคม 1884
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ผู้แทนพิเศษของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เข้าเฝ้า
สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 เป็นการส่วนพระองค์ ที่สำนักวาติกัน
3. 4 มิถุนายน 1897
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระหว่างเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ได้เสด็จเข้าเฝ้า
พระสัตนะปาปา เลโอ ที่ 13
4. 19 มีนาคม 1934
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว​เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมกาตากอมต์ กัลลิสโต
5. 1 ตุลาคม 1960
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช​ พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา​จอห์นที่ 23
6. 28 เมษายน 1969
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจิตติ สุจริตกุล​ พร้อมกับพระอัครสังฆราช
ฌัง ฌาโดต์ ผู้แทนพระสันตะปาปาทำพิธีแลกเปลี่ยนหนังสือ เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
ระหว่างประเทศไทย และนครรัฐวาติกัน ในระดับสถานเอกอัครราชทูต
7. 2 กุมภาพันธ์ 1983
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ทรงประกาศแต่งตั้งพระอัครสังฆราช ไมเคิล มีชัย กิจบุญชู
ประมุขอัครสังฆมณฑลกรุงเทพ เป็นพระคาร์ดินัล
8. 10-11 พฤษภาคม 1984
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทย​ และเสด็จเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมราชวัง

ในวโรกาสฉลองครบรอบ 25 ปีสัมพันธ์ทางการทูตไทย​ - สันตะสำนัก​ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
ได้รับเชิญให้มาเป็นประธานเปิดนิทรรศการ​ เมื่อวันที่​ 22 ตุลาคม ที่หอประชุมโรงเรียนอัสสัมชัญ​ บางรัก​
โดยมี พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และบรรดาทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ พร้อมแขกผู้
มีเกียรติ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยมีพระคาร์ดินัล ไมเคิล มีชัย​ กิจบุญชู พระสมณทูต ลุยจี เบรสซัน
ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคนตรี และ พันเอกพิเศษ​ ถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่า
การกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสันตะสำนัก
ให้เกียรติมาร่วมงานด้วย เมื่อนายกรัฐมนตรี ตัดริบบิ้นเปิดนิทรรศการแล้ว พระสมณทูต​ ลุยจี เบรสซัน
กล่าวรายงาน จากนั้นนายกรัฐนตรีเดินชมนิทรรศการพร้อมกับบรรดาแขกรับเชิญ โดยมีอาจารย์ชัยณรงค์
มนเทียรวิเชียรฉาย อัศวินของพระศาสนจักรเป็นพิธีกร
ในวโรกาสนี้สันตะสำนักได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์แก่อัศวินผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระศาสนจักร
ในสาขาต่างๆ รวม 7 ท่าน
ดังมีรายนามดังนี้ เครื่องประดับของนักบุญเกรโกรี ผู้ยิ่งใหญ่ (The order of St. Gregory the Great)
ขั้นที่ 2 ขั้นผู้บัญชาการที่มีดาว ได้แก่​ ดร.ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ในฐานะผู้ที่ทำคุณประโยชน์ต่อ
พระศาสนจักรอย่างต่อเนื่อง​(ท่านได้รับขั้นที่ 1 เมื่อ 7 มกราคม 1984) สำหรับ ขั้นอัศวินกางเขนใหญ่
ซึ่งเป็นขั้นแรก​ ได้แก่​ นายสมศักดิ์ ลีสวัสวัสดิ์ตระกูล​ และ นายสุรชัย​ กิจบำรุง ในฐานะผู้ช่วยเหลือ
พระศาสนจักรและทำคุณประโยชน์แก่สังคม

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 8:42 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (. 5. )

✴️ 25 ปี​ ไทย​ - วาติกัน​ และ​ 16 ปี​ บนบัลลังก์​ของ​โป๊ป​ จอห์น​ พอล ที่​ 2 (B)​ ✴️
สำหรับ เครื่องประดับเกียรติยศของพระสันตะปาปาปา ซิลเวสเตอร์​ ได้แก่​ อาจารย์ประคิณ
ชุมสาย ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ ในฐานะช่วยงานพระศาสนจักรทางด้านการแปล คุณหญิงมาลี
พ.สนิทวงศ์ ณ อยุธยา​ วุฒิสมาชิก​ ในฐานะช่วยงานพระศาสนจักรด้านการแปล นางสาว สุพรรรณี
กิจเจริญ​ ในฐานะช่วยงานพระศาสนจักรด้านกิจการพลมารี นายมสาร​ วงศ์ภักดี​ ในฐานะผู้ช่วย
พระศาสนจักรด้านกิจการคณะนักบุญวินเซนต์ เดอ ปอล
โอกาสนี้ พระศาสนจักรได้มอบเหรียญของสมเด็จพระสันตะปาปาแก่คู่สมรสของผู้ที่ได้รับ
เครื่องอิสริยาภรณ์ด้วย​ ซึ่งได้แก่หม่อมหลวงจิตสาร​ ชุมสาย นางจินตนา มนเทียรวิเชียรฉาย
นางสุนิศา ลีสวัสดิ์ตระกูล นางปิ่นทอง กิจบำรุง นางวันทนา วงศ์ภักดี
เครื่องประดับเกียรติจากพระสันตะปาปา ที่มอบให้กับผู้ที่เป็นสามัญชน​ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. เครื่องประดับของนักบุญเกรโกรี ผู้ยิ่งใหญ่ (The order of St. Grgory the Great) เป็นเครื่อง
ประดับที่สมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 16 ทรงตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1831 มีจุดมุ่งหมาย
เพื่อให้เกียรติแก่พลเมือง​ที่สมควรจะได้รับเกียรติ ในเขตแคว้นของพระสันตะปาปาเดิม ทรงตั้ง
เครื่องประดับเกียรติไว้ 4 ขั้น ปัจจุบันเหลือเพียง 3 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ขั้นอัศวินกางเขนใหญ่ ขั้นที่ 2
ชั้น ผู้บัญชาการมีดาว​ และขั้นที่ 3 นับเป็นขั้นสูงสุด​ คือ ขั้นผู้บัญชาการใหญ่
2. เครื่องประดับเกียรติยศของพระสันตะปาปานักบุญซิลเวสเตอร์​ เป็นเครื่องประดับที่สมเด็จ
พระสันตะปาปา เกรโกรีที่ 16 ทรงตั้งขึ้นเมื่อวันที่​ 31 ตุลาคม 1841 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แทน
เครื่องประดับเกียรติยศ เดือยทอง แต่แล้วกลับกลายเป็นเครื่องประดับเกียรติควบคู่กันไป
พระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ทรงแยกออกมา และใช้ชื่อใหม่เป็นเครื่องประดับเกียรติยศของพระสันตะปาปา
นักบุญซิลเวสเตอร์ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1905 พร้อมกับทำการรื้อฟื้นมอบเครื่องประดับ ของนักบุญ
เกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วย​ โดยพระสันตะปาปา ทรงมอบเครื่องประดับเกียรติยศแก่ฆราวาส
ที่มีส่วนร่วมในงานของพระศาสนจักร โดยปฏิบัติตามหน้าที่การงาน ตามสายอาชีพของตน​ แบ่งออกเป็น
3 ขั้น คือ​ อัศวินกางเขนใหญ่ ผู้บัญชาการที่มีดาว และผู้บัญชาการใหญ่
3. เหรียญพระสันตะปาปา เป็นเหรียญของสมเด็จพระสันตะปาปาซึ่งไม่ใช่เครื่องประดับเกียรติยศ
แต่เป็นเครื่องหมายของการขอบคุณสำหรับการช่วยพระศาสนจักร เหรียญมี 3 ชนิด คือ เหรียญทอง
เหรียญเงิน​ เหรียญทองแดง ปกติพระสันตะปาปาจะประทานเหรียญทั้งสาม แก่พระมหากษัตริย์ หรือ
ผู้นำประเทศ ในโอกาสทรงเยือนประเทศนั้นหรือโอกาสสำคัญต่างๆ​ ทั้งนี้เหรียญนี้มีคุณค่าด้านศิลปะ
และด้านประวัติศาสตว์ เพราะเหรียญแต่ละรุ่น จะแสดงถึงประวัติศาสตร์และยุคของพระสันตะปาปา
แต่ละองค์
สำหรับเครื่องประดับเกียรติยศทั้งสองแบบตำแหน่งเท่าเสมอกัน​ ต่างกันเพียงชื่อเท่านั้น เดิมนั้นเครื่อง
ประดับนี้ประทานให้กับอัศวิน ต่อมาภายหลังวาติกันไม่มีทหาร​ แต่ว่ายังมีคริสตชนพลเมืองอยู่ไม่น้อย ที่ทำ
ความดีความชอบให้กับสังคมและพระศาสนจักร พระสันตะปาปาจึงทรงมอบเครื่องประดับนี้ให้เช่นกัน แต่
ทั้งนี้หากเป็นระดับกษัตริย์ จะเป็นอีกแบบหนึ่ง​ สำหรับเครื่องประดับเกียรติต่างๆ จัดทำขึ้นโดยสันตะสำนัก
อันประกอบด้วย​ เหรียญตรา เข็มกลัดแสดงเครื่องหมาย ทั้งนี้ขั้นที่ 2 เป็นต้นไปจะมีสายสะพาย​ สมัยก่อน
จะมี ชุดอัศวิน​ ซึ่งทางกรุงโรมจัดส่งมาพร้อมกับชุดเครื่องประดับ แต่เนื่องจากชุดอัศวินราคาสูงมาก​ ปัจจุบัน
การแต่งกายเข้ารับ จึงเป็นชุดสากลนิยม​ ส่วนผู้ที่ได้รับเหรียญในโอกาสนี้ คือผู้ที่เป็นคู่สมรสของผู้ที่ได้รับ
เครื่องประดับเกียรติยศในโอกาสนี้ โดยเหรียญที่ได้รับเป็นเหรียญเงิน
สำหรับงานฉลองครบ 16 ปี ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่​ 2 นั้นตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม
แต่ได้เลื่อนมาจัดฉลองในวันที่ 22 ตุลาคม​ ซึ่งเป็นวันที่พระองค์เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งครั้งหนึ่งก็เรียกกันว่า
วันราชาภิเษก​ (coronation day) เพราะครั้งหนึ่งโป๊ปเป็นทั้งพระและกษัตริย์
โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1920 ณ เมืองวาโดวิสเซอร์ โปแลนด์ เป็นกรรมกร
จนถึงอายุ 20 ปี บวชเป็นพระสงฆ์ ในปี 1946 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช ในปี 1958 ขณะมีอายุเพียง
​38 ปี เป็นอัครสังฆราชในปี 1963 ครองเมืองคราโคฟ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล ในปี​ 1967 และ
ที่สุดได้รับ เลือกตั้งเป็นพระสันตะปาในวันวันที่ 16 ตุลาคม​1978
พระคาร์ดินัล จอห์น เจ.โอคอนเนอร์​ แห่งนิวยอร์ก ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมสมัชชาพระสังฆราชจาก
ทั่วโลก (Synod) เมื่อเช้าวันที่ 14 ตุลาคม​ 1994 เตือนที่ประชุมว่า วันที่ 16 ตุลาคม เป็นวันครบรอบ 16 ปี
ที่พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา พระคาร์ดินัลกล่าวว่า​ ถ้าเราอ่านหนังสือ
พิมพ์คงคิดว่าพระสันตะปาปาทรงพระประชวรมาก และถ้าเป็นเรื่องจากฮอลลีวู้ด เขาก็คงจะบอกว่า
พระสันตะปาปาที่เราเห็นคือผู้เล่นบทพระสันตะปาปา แทนพระสันตะปาปาตัวจริง พระคาร์ดินัลกล่าว
ด้วยว่า บรรดาผู้ร่วมประชุมสมัชชาพระสังฆราช คงจะเห็นด้วยกับผู้พูด​ พระสันตะปาปายังทรงแข็งแรง​
ทรงงานวันละ 14 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย​ และทรงประชุมร่วมกับสมัชชาฯ ทุกวัน ทรงตั้งใจฟังสิ่งที่เราพูดกัน
ตลอดเวลา​ ในขณะที่บางคนอาจจะหลับไปบ้าง
พระคาร์ดินัลกราบทูลพระสันตะปาปาว่า ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนภูมิใจในองค์พระสันตะปาปา และต่าง
ก็ภาวนาให้พระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรง “ขอให้ท่านเปลี่ยนไม้เท้าของท่านให้เป็นงู (เหมือนกับที่โมเสส
ได้กระทำ) หรือไม่ก็เอาไม้เท้าไปประมูลเพื่อเอาเงินมาช่วยเป็นค่าใช้จ่ายของการประชุมสมัชชาพระสังฆราช
คราวนี้” เมื่อพระสันตะปาปาได้ยินดังนี้ก็ทรงหัวเราะ​ บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมสมัชชาฯ ต่างก็ยืนขึ้น ปรบมือ
ให้พระองค์ท่านเป็นเวลานาน หลังจากนั้นพระองค์ทรงลุกขึ้นขอบคุณทุกคน​ พระองค์ตรัสว่า​ พระองค์ไม่
เหมาะสมกับเกียรตินี้ แต่ก็ขอขอบคุณสำหรับคำภาวนา และความหวังดีของทุกคน
สำหรับการประชุมสมัชชาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 โดยจัดประชุมที่วาติกัน​ ระหว่างวันที่ 2-29 ตุลาคม
ในหัวข้อพระคริสต์เจ้าทรงเชื้อเชิญเรา “มา... จงตามเรามา”​
อนึ่งตัวแทนจากสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมคือ พระสังฆราชยอร์ช
ยอด พิมพิสาร
ในวโรกาสที่สมเด็จพระสันตะปาปา​จอห์น พอลที่ 2 ขึ้นครองอาสน์ครบ 16 ปี​ ผมขอร่วมอธิษฐานพร้อม
กับคริสตชนทั่วโลกต่อพระผู้เป็นเจ้า​ ได้โปรดให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เพื่อสามารถประกอบ
พระภารกิจตราบนานเท่านาน
Ad Multos Annos.

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 8:54 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (6)

✴️ โกเบวิปโยค...อารัมภบท​แห่ง​ภัยพิบัติ​ตามพระคัมภีร์​ (A) ✴️
เมื่อราวต้นเดือนพฤศจิกายนมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ผมเคารพนับถือ​กับคณะ 4-5 คน​ได้ไปพบ
จูเดียล ผู้เห็น (Visionary) แม่พระในฟิลิปปินส์​ ได้กลับมาเล่าให้ฟังว่า แม่พระบอกผ่านจูเดียลว่า​
ภายใน 2-3 เดือน จะเกิดเหตุการณ์น่ากลัว ที่จะทำให้สะเทือนไปทั่วโลก ผมก็เฝ้าสังเกตุเหตุการณ์
มาเรื่อยๆ​ พอเกิดการจี้เครื่องบินในฝรั่งเศสก็คิดว่า​ เหตุการณ์น่ากลัวนั้นคงผ่านไปแล้ว แต่ครั้นมาถึง
วันที่ 17 มกราคม คือวันอังคารที่แล้ว​ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ ญี่ปุ่น​ จึงมั่นใจว่าแม่พระ
คงหมายถึงเหตุการณ์นี้มากกว่าเพราะยังอยู่ในเกณฑ์ 2-3 เดือน​และเหตุการณ์นี้ทำให้รู้สึกสะเทือน
ไปทั่วโลกจริง​ มีคนตายถึง​ 50;000 คน สูญหาย​ 200 คน บาดเจ็บ 25,000 คน ไร้ที่อยู่ 3แสนคน และ
8แสนครอบครัวไม่มีน้ำประปาและแก๊สหุงต้ม แล้วยังโดนกระหน่ำด้วยพายุฝน​ ตลอดวันอาทิตย์ที่
22 ม.ค. อาจยืดเยื้อไปตลอดวันจันทร์ด้วย นับเป็นหายนะภัยครั้งร้ายแรงต้องสูญเสียเงินไม่ต่ำกว่า​
2,500,000 ล้านบาท ในการกอบกู้สภาพบ้านเมืองในครั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยารายงานเมื่อค่ำ
วันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.ว่า ได้เกิดแผ่นดินไหวย่อยขึ้นอีกทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น วัดความรุนแรง
ได้ 4.6 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวล่าสุดอยู่ใกล้เกาะมิยาเกะจิมา​ ห่างจากโตเกียวไปทางใต้
ราว​ 180 ก.ม. นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวจากมอสโกว่าเกิดแผ่นดินไหวที่หมู่เกาะคูริลทางตอนเหนือ
ของญี่ปุ่น มีความสั่นสะเทือน 7 ริกเตอร์ ในระยะนี้ยังได้ยินข่าวจากวิทยุว่า เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศ
โคลัมเบีย อเมริกาใต้เช่นกัน
ชักจะรู้สึกว่า มันใกล้สิ้นยุค ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้เกือบสองพันปี​ตามพระวรสารเซนต์มัทธิว
24:3-8: ครั้งเมื่อพระเยซูประทับอยู่บนเขามะกอก​ สาวกของพระองค์ได้ทูลถามพระองค์ว่า “จะมีสิ่งใด
เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ถึงการเสด็จมาของพระองค์ และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง?”​ พระเยซูรัตรัสตอบพวกเขา
ว่า “จงระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครชักนำให้หลงผิด เพราะจะมีหลายคนอ้างตนว่าเป็นพระคริสต์ และจะชัก
นำคนเป็นอันมากให้หลงผิด ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเกี่ยวกับการทำสงครามอยู่
เสมอ จงอย่าตื่นตระหนกไปเลย เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง
ประเทศศต่างๆ​ จะเกิดสงครามซึ่งกันและกัน และอาณาจักรต่างๆ รบราฆ่าฟันกัน จะเกิดการกันดาร
อาหารและแผ่นดินไหวในหลายประเทศ แต่เหตุการณ์เหล่านี้เป็นขั้นแรกของความทุกข์ยาก และความ
สยดสยองนานาประการซึ่งต้องต้องมีมาก่อน กำเนิดยุคใหม่”
อนึ่ง ตามความเห็นของนักโหราศาสตร์ของยุโรปว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ปลายยุคราศีมีน (Pisces)
เป็นยุควัตถุนิยม บริโภคนิยม เรากำลังเข้าสู่ยุคราศีกุมภ์​ (Aquarius) ยุคจิตนิยม ปฏิบัติต่อกันโดย
ยึดหลัก ความรัก​ ความเมตตา ความยุติธรรม เป็นยุคแห่งสันติภาพถาวร
ดร.​ กริบบิน และดร.​ แพลกมานน์ นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย​เคมบริดจ์
กล่าวว่า บรรดาดาวพระเคราะห์เป็นต้นเหตุของแผ่นดินไหว ในวาระที่เข้าใกล้ยุคแห่งราศีกุมภ์​ (Aquarius)
ในปี ค.ศ.​ 2000 หรือ 2023 ดาวพระเคราะห์หลายดวงจะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน ทำให้โลกเกิดภาวะ
ขาดสมดุลย์​โดยการเพิ่มน้ำหนักของน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้​ เป็นเหตุให้โลกหมุนคว้างในอวกาศ ผลที่ตามมา
คือ 1.​ ภูเขาไฟระเบิด​ 2. แผ่นดินไหว (ในภาษาอิตาลีใช้คำ t​​​​erremoto คือ​terre แผ่นดิน moto ไหว, เคลื่อน)
และ​3. คลื่นยักษ์ หมายถึง ทะเลไหว​ maremoto mare ทะเล moto ไหว
ในทะเลอันดามันแถวเกาะภูเก็ตของเรามีแนวแผ่นดินไหว หรือเรียกให้ถูก ทะเลไหว หรือ maremoto
และเนื่องจากญี่ปุ่นมีสภาพเป็นเกาะจึงมีโอกาสที่จะเกิดคลื่นยักษ์หรือทะเลไหวได้บ่อย ทะสุนามิครั้งใหญ่ที่
เกิดในปี 1923 มีความสูงถึง 100 เมตร หอบเอาเมืองโยโกฮามาทั้งเมือง ลงสู่ทะเล
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวถี่และรุนแรงขึ้น ถึงแม้ดินแดนที่ไม่มีแนวแผ่นดินไหวมา
ก่อนเลยก็มี เช่น ในปี​1976 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเทียนซาน ประเทศจีน​ มีคนเสียชีวิต
ถึง 100,000 คน ขนาดความสั่นสะเทือน 8.6 ริกเตอร์
โดยปกติแผ่นดินจะไหวตามบริเวณรอยร้าว ระหว่างฐานที่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะแผ่นดินไหว
หรือภูเขาไฟระเบิดมาแล้ว ทั้งนี้​ เพราะสิ่งที่หลอมเหลว หรือแม็กม่าภายในโลกถูกแรงดัน ทำให้ทะลักออก
มาตามรอยแยก​ ประเทศที่มีแนวแผ่นดินไหว ได้แก่ ญี่ปุ่น​ อินโดนีเซีย ​อลัสกา แคลิฟอร์เนีย การระเบิดของ
ภูเขาไฟ เซนต์ เฮเลน ในสหรัฐ​ เมื่อเกิดแก๊สแทรกเข้าไปในแม็กม่าภายในโลก​ ทำให้เกิดแรงระเบิดรุนแรง
ขนาดระเบิดไฮโดรเจนหลายตัน แม็กม่าพวยพุ่งขึ้นสูงถึง 500 เมตร กินบริเวณถึง 250​ตารางกิโลเมตร
ทำให้คนบริเวณนั้นเสียชีวิตประมาณ 100 คน
เมื่อคริสตมาสที่แล้ว หลานสาวจากลอสแองเจลิสส่งของขวัญมาให้เป็นหนังสือที่กำลังขายดีในอเมริกา
ชื่อ MARY'S MESSAGE TO THE WORLD ยังไม่ได้อ่านเป็นกิจลักษณะ เพียงแต่เปิดดูสารบัญคร่าวๆ​ เท่านั้น
หลานสาวรู้ใจน้า ที่กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำนาย เลยส่งหนังสือประเกทนี้มาให้ พอเกิดแผ่นดินไหว
ที่ญี่ปุ่นจึงหวนมาพลิกดูใหม่​ เพราะจำได้ว่าในหนังสือระบุเลยทีเดียวว่าในปี 1995 จะเกิดแผ่นดินไหวครั้ง
ใหญ่ จึงอ่านอย่างจริงจัง จะขอนำมาเล่าเท่าที่อ่านมาได้ 2 บท ดังนี้ Annie Kirkwood เกิดที่เท็กซัส​ในปี 1937
ได้รับสารจากแม่พระมารี โดยเธอได้ยินเสียงพูดภายใน (Interior Locutions) จากแม่พระ แล้วเธอบันทึก
สารต่างๆ ลงคอมพิวเตอร์​ สามีของเธอ Byron ก็ช่วยเรียบเรียงและประสานงานด้านอื่นๆ​เป็น​การช่วย
ให้ภรรยา Annie เช่น จัดรูปเล่มแล้วพิมพ์ออกมาเพื่อแพร่สารของแม่พระให้ชาวโลกรู้
สำหรับชาวคาทอลิกถือว่าเรื่องนี้คือการที่ผู้หนึ่งได้รับการสื่อ“สาร” จากเบื้องบน จะเป็นแม่พระหรือ
พระเยซูก็ตาม เราเรียกว่า “การเผยแสดงเป็นการส่วนตัว”​(Private Revelation) เราไม่ถือเป็นเรื่องสลัก
สำคัญเท่าใดนัก เข้าประเภท “รู้ไว้ใช่ว่า”​ หรือ “ฟังหูไว้หู” ทั้งนี้ยังขึ้นกับความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ได้รับ​
“สาร” ​และสาระของ “สาร”​ นั้นว่ามีเหตุผลและมีความน่าเชื่อถือเพียงไร?​ ขัดกับคำสอนทางศาสนาหรือไม่​
คริสตชนระดับชาวบ้าน ที่ไม่ค่อยเข้าใจหลักธรรมอันลึกซึ้งทางเทวศาสตร์​มักจะนิยมฟังและปฏิบัติตาม
“สาร” ที่ได้รับมานั้น ถือว่าทำให้ใจสบายขึ้น​ และไม่ผิดหลักคำสอน

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 9:13 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (7)

✴️ โกเบวิปโยค...อารัมภบท​แห่ง​ภัยพิบัติ​ตามพระคัมภีร์​ (B) ✴️
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกจำหน่ายในปี​1991 ต่อไปนี้เป็น​ “สาร”​ ของแม่พระผ่านทาง แอนนี่ ว่า
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่​
- ใกล้จะถึงเวลาที่ลูกจะหวั่นไหวและตกใจกลัว ไม่ใช่เพราะการลงโทษทัณฑ์​ แต่จะเป็นการฟื้นฟู
แผ่นดินและจิตใจของมนุษยชาติเสียใหม่​ โลกจะสั่นสะท้านและจะเคลื่อนไปด้วยกำลังแรง ซึ่งบันดาล
ให้ผู้คนมากมายต้องสูญเสียชีวิต การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นแล้ว และจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งจบ
กระบวนการของมัน
โลกของเราจะถูกกระหน่ำจากพลังต่างๆ ซึ่งจะทำให้โลกโลกเปลี่ยนวิถีโคจร ในจักรวาล เนื่องจาก
จักรวาลนี้ก็เจริญเติบโตเช่นกัน ฉะนั้นจึงเกิดการแบ่ง การแยกตัวของกาแล็คซี่ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น
ไปทั่วจักรวาล​ เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มต้นมาเป็นล้านๆ ปีมาแล้ว และขณะนี้ก็จะถึงเวรของ
ระบบสุริยะของพวกลูกๆ บ้างล่ะ และดาวพระเคราะห์ต่างๆ​ ก็จะวางแนวการโคจรเสียใหม่ สู่สถานที่ใหม่
และสู่จุดใหม่และระหว่างการโคจรเข้าสู่แนวใหม่​ โลกเราก็จะเปลี่ยนไป และสั่นไหว และจะเกิดหายนะ
มากมาย ขณะที่โลกโคจรไปและเปลี่ยนเส้นทางไป ก็เกิดเหตุการณ์มากมายที่เราถือว่าเป็นหายนะ ภูเขา
จะเคลื่อนไป ทะเลบางแห่งก็จะตื้นเขินเป็นแผ่นดิน และแผ่นดินก็จะหาย ไปกลายเป็นทะเล แผ่นดินบางแห่ง
ที่เคยมีคนอยู่อาศัยก็เป็นทะเล แผ่นดินบางแห่งที่เคยมีคนอยู่อาศัยก็ จะกลายเป็นดินแดนถูกน้ำท่วม​หายนะ
ภัยตามธรรมชาติเหล่านี้ ได้เริ่มขึ้นแล้ว​ แต่ในอนาคตจะเกิดขึ้นบ่อยๆ และเพิ่มความรุนแรงเป็นลำดับ
ความปรารถนาของแม่ก็คือต้องการเตือนใจลูกๆ ในช่วงเวลาที่ความทุกข์ยากกำลังมา แม่ปรารถนา
ให้ลูกๆ หันหน้าเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า​ ด้วยวิธีการเช่นนี้ ลูกๆก็จะรอดพ้นจากหายนะภัยต่างๆ ไปได้ ด้วยการ
รื้อฟื้นกิจกรรมต่างๆ ทางด้านจิตใจ​ เช่น​ อธิษฐานภาวนาและวิปัสสนา​ ลูกๆ​ ก็จะได้รับความบรรเทาใจ ขอ
ให้ลูกมอบความกังวลทุกอย่างบนพระแท่น​ และขอให้พระผู้เป็นเจ้าบำบัดรักษาใจของลูก ชีวิตของลูก
จิตใจของลูก​ และทุกๆ คนที่ลูกรัก การบำบัดนี้เป็นความหวังอันเดียวของลูก เป็นที่พักพิงอันเดียวของลูก

คำทำนายของแม่พระ
- จะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไหวระเบิดถี่ขึ้น แม้ในบริเวณที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
- ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทั่วโลก
- ฤดูหนาวจะหนาวมากขึ้น กระแสน้ำในมหาสมุทรจะแปรเปลี่ยนไป​ และสนามแม่เหล็กของโลกก็
เคลื่อนไปด้วย สัตว์บก​ และสัตว์ทะเลจำนวนมากจะตายไป​ และสัตว์ป่าจำนวนมากจะสูญพันธุ์
- น้ำแข็งทางขั้วโลกจะเริ่มละลาย​ภูเขาน้ำแข็งจะแตกออก​ และก่ออันตรายให้แก่เรือต่างๆ และ
อันตราย แก่ชายฝั่ง แล้วจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นซึ่งจะไปเปลี่ยนสภาพของชายฝั่งทั่วโลกเป็นการถาวร
- จะเกิดการกันดารอาหารไปทั่ว โดยเฉพาะในดินแดนที่เกิดสงคราม
- หลังจากโลกเปลี่ยนการโคจร ก็จะมีพระอาทิตย์ 2 ดวง
- ในปี 1995 จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย​ และแคลิฟอร์เนียจะจมอยู่ในทะเลมหาสมุทร
แปซิฟิก (ซึ่งแปลว่าสงบ) จะไม่สงบสมชื่อ จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ส่วนอื่นๆ​ ของโลกอีกคือ อิตาลี
กรีก​ รัสเซีย เตอร์กี จีน โคลัมเบีย​ บนภูเขาหิมาลัย ปีนี้จะเป็นปีแห่งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
และจากนี้ไปจะเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในญี่ปุ่น ซึ่งจะมีความหนักหน่วงต่างกันออกไป ญี่ปุ่นมี
ประสบการณ์มามากแล้วในเรื่องแผ่นดินไหว จึงมักจะไม่ค่อยใส่ใจ
ปีนี้ (1995) จะเป็นปีแห่งพายุใหญ่ จะเกิดพายุที่รุนแรงทั่วโลก​ พายุทอร์นาโดจะโผล่มาไม่รู้จาก
ที่ไหน มันจะเกิดในสถานที่ที่ไม่เคยเกิดพายุชนิดนี้เลย จะเกิดฝนตกชนิดไม่ลืมหูลืมตาเป็นเวลาหลายๆ
วันติดต่อกัน ในหลายแห่งทั่วโลก ผู้พยากรณ์อากาศจะตกอยู่ในสภาพตัวตลก​ เพราะพยากรณ์อะไรไป
ก็ไม่มีใครเชื่อ
ท้องฟ้าในอีก 5 ปี สุดท้ายนี้จะมีชีวิตชีวา จะมีการค้นพบดาวใหม่ๆ​ ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
จะมีดาวหางโคจรมาหลายดวงซึ่งจะโคจรผ่านเข้ามาในระบบสุริยะจักรวาล จะมีดาวหางใหม่ และบาง
ดวงก็มีอายุมากซึ่งไม่ได้โคจรผ่านสุริยะจักรวาลมาเป็นล้านปี
ในประเทศของลูก (อเมริกา) ในบริเวณที่จะรับเคราะห์หนักคือ​ ฝั่งตะวันตก​ เพราะมันจะอันตรธานไป
และฝั่งตะวันออกก็จะถึงเวรตัวเองบ้างคือจะถูกทำลาย​ นิวยอร์กจะยืนยงต่อไปดังยักษ์ใหญ่ ในวงการค้า​
มันทำให้โลกสกปรกเพราะความโลภและบูชาอำนาจและเงินตรา ปีนี้จะเป็นปีที่ศูนย์การค้าของโลก
จะถูกทำลายด้วยตัวของมันเอง
ในญี่ปุ่นจะเกิดแผ่นดินไหวถี่ขึ้น จะรู้สึกการไหว และสะเทือนไปเรื่อยๆ จะทำให้ศูนย์แห่งอำนาจ
ของญี่ปุ่นต้องคลอนแคลนไปด้วย​ จำเป็นอยู่เองที่พวกเขาจะต้องมาเอาใจใส่ตัวเอง เพราะจะไม่สามารถ
ไปเอาเปรียบใครได้อีกแล้ว
ในปีนี้ประชาชนชาวอาหรับจะไม่พบความสะดวกสบายอะไรนักหนา เพราะแต่ละชาติต่างก็ได้รับ
เคราะห์กรรมเช่นเดียวกับคนในทะเลทรายจะได้รับฝนมากเกินไป และก็ไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับมันได้
อย่างไร ด้วย ประชาชาติอาหรับจะได้รับส่วนแบ่งแห่งแผ่นดินไหว​ หายนะภัยธรรมชาติกันพร้อมหน้า
จะไม่มีชาติไหนเลยที่จะไม่โดนเคราะห์กรรมเหล่านี้ โดยอาศัยสภาพอันน่าสลดใจนี้จะก่อให้เกิด
ความหวัง ผู้คนก็เริ่มหันความคิดของแต่ละคนมายังพระผู้เป็นเจ้า
แต่ละคนไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่ว่าผู้หญิงหรือเด็กจะเริ่มแสวงหาผู้สร้างของเขา แม่มาหาลูกแต่เนิ่นๆ

ขอให้ลูกแสวงหาพระเจ้า และมองหาคำตอบต่อคำถามทางจิตใจก่อนเวลา เพราะในปีท้ายๆ
ที่เหลือนี้พวกลูกจะสาละวนดูแลสุขภาพ และชีวิตของแต่ละคน
พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยทุกคนที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจังและจริงใจ พระองค์จะไม่สนใจดอกว่าลูกๆ
ได้ใช้เวลาไปชั่วชีวิตตามประสาชาวโลก ขอให้ลูกแสวงหาพระอย่างจริงใจเท่านั้น พระองค์ก็จะพอพระทัยแล้ว
อันที่จริงพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงประสงค์จะได้รับการสรรเสริญจากการอธิษฐานภาวนาของลูกๆ เพราะ
ในการอธิษฐานภาวนานั้นมิได้เพิ่มพูนความดี และความยิ่งใหญ่แก่พระองค์แม้แต่น้อย (เพราะพระองค์
เป็นองค์ความดีบริบูรณ์แล้ว) แต่จะเป็นผลดีแก่ตัวลูกเอง และแก่มวลมนุษยชาติด้วย

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 9:22 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (8)

✴️ หายนะ​ภัย​ ณ​ ปลายศตวรรษ​ที่​ 20​ (A)​ ✴️
สืบเนื่องจากแผ่นดินไหวที่โกเบ มีข่าวเพิ่มเติมว่าการไหวของแผ่นดินครั้งนี้แปลกกว่าที่เคยปรากฏ
คือ โดยปกติการไหวจะเป็นไปตามแนวนอน​ (Horizontal) คือไหวจากซ้ายไปขวา แต่ครั้งนี้ยังผสม
ด้วยการไหวตามแนวตั้ง​ (Vertical) คือ ไหวจากบนสู่ล่างด้วย อาคารส่วนใหญ่ที่สร้างเพื่อรับมือกับ
การไหวของแผ่นดิน มักคำนึงการไหวตามแนวนอนมากถึง 20-30% ไม่ได้เผื่อสำหรับการไหวตามแน
วตั้งมากนัก คือเผื่อแค่ 10-15% เท่านั้น จึงประสบความสูญเสียมหาศาล แล้วทำให้คิดต่อไปว่า น่าจะ
มีเครื่องมือไฮเทคที่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้า จะได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว ที่หนักจะได้เป็นเบา ก็พอดี
อ่านหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของ วันที่ 26 ม.ค.นี้ ว่ามีสัญญาณบอกเหตุ หรือ “ลาง” ก่อนแผ่นดินไหว
ครั้งนี้เหมือนกัน กล่าวคือมีนักตกปลาบนเกาะอาวายิชิมา ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวไปทางใต้
ของเมืองโกเบราว 25 ก.ม. ได้กล่าวว่า ก้นทะเลได้ส่ง “ลาง”​ ขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ก่อนที่จะเกิดแผ่นดิน
ไหว 1 วัน​ นักตกปลาเหล่านั้นเล่าต่อไปว่า​ พวกเขาสังเกตเห็นปลาแชดตายเป็นจำนวนมาก​ และเห็นน้ำขุ่น
สีน้ำตาลพุ่งขึ้นมาจากก้นทะเล แถวบริเวณช่องแคบระหว่างเมืองโกเบและเกาะอาวายิชิมา นักตกปลา
ชื่อทัตสุยะ นากาโน อายุ 35 ปี กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวสำนักเกียวโดว่า “ผมไม่เคยเห็นน้ำขุ่นขนาดนี้มาก่อนเลย”
ชาวประมงญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า​ ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว พวกปลาดุกทะเลจะลอยหัวบนผิวน้ำ ซึ่งโดยปกติ
แล้วปลาดุกจะไม่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลย ชาวประมงอีกคนหนึ่งกล่าวว่า วันก่อนแผ่นดินไหวเขาจับปลาแทบ
ไม่ได้เลย นายอากิหิโร​ ยามาโมโต อายุ 64 ปี เจ้าของเรือให้เช่าตกปลากล่าวว่า (วันนั้นก่อนแผ่นดินไหว 1 วัน)
เขาตกปลาค้อตไม่ได้เลย ซึ่งโดยปกติลูกค้านักตกปลาที่เช่าเรือของเขามักจะตกได้วันละ​30-40 ตัวเป็นประจำ
คนโบราณมักจะสังเกตพฤติกรรมของสัตว์บางชนิด ที่มีสัญชาตญาณพิเศษ เตือนให้รู้ล่วงหน้าถึงภัย
จากแผ่นดินไหว เช่น​ ประเทศจีน จะสังเกตเห็นหนูวิ่งขวักไขว่ตามอาคารบ้านเรือน หมูจะพยายามหนีจากเล้า​
ม้าจะตื่นตระหนกส่งเสียงอึกทึกครึกโครม​ วัวและแพะจะตกใจเสียขวัญ ในญี่ปุ่น​ ปลาดุก ปลากด ปลาเค้า
จะพยายามกระโดดจากสระ
ก่อนแผ่นดินไหวในอังคอราจ อลาสก้า ปี 1964 หมีใหญ่โกเดียกหนีจากถ้ำที่อาศัยไปสู่ที่ไซนิล ไฮเซ็ง
มีจำนวนคนตายไม่มากนักเพราะรู้ล่วงหน้า ทั้งนี้เพราะมีงูจำนวนมากเลื้อยออกจากโพรงในฤดูหนาว​ แล้ว
นอนตายตัวแข็งอยู่บนกองหิมะ​ นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตจากพฤติกรรมสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น ขนแมว
ตั้งชัน​สุนัขหอนไม่หยุด ปลาทองกระโดดออกจากอ่างเลี้ยงปลา เป็นต้น
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการไหวของแผ่นดิน (Seismologist) ศัพท์นี้มาจากภาษากรีก Seismos แปลว่า
การสั่น ได้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้า ด้วยการสังเกตและทดสอบภูมิประเทศ​
ซึ่งจะเตือนให้รู้ล่วงหน้า โดยสังเกตการโป่งขึ้นของหินใต้ดินถูกดันขึ้นมาเหนือน้ำด้วยอำนาจภูเขาไฟใต้ดิน
การเปลี่ยนแปลงของของระดับน้ำใต้ดินในบ่อต่างๆ อย่างกระทันหัน ความยืดของก้อนหินต่อกระแสไฟ
และการปรากฏของแก๊สตามน้ำพุหรือลำธาร หรือสังเกตได้จากเสียงระเบิดเช่นในปี​ 1977-8 บริเวณชาย
ฝั่งแอตแลนตาตอนเหนือ เกิดเสียงดังสนั่น​ เจ้าหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้ อาจจะเกิดจากการปล่อยแก๊สใต้ดิน
ด้วย​ การเคลื่อนไหวภายในชั้นใต้ดิน​ อันที่จริงหลังจากเสียงนั้นดังขึ้นเล็กน้อยก็เกิดการสั่นสะเทือนตลอด
แนวรอยร้าว รามาโพ ในทิวเขารามาโพ รัฐนิวเจอร์ซีย์​โชคร้าย​ที่เสียงเตือนภัยเหล่านี้เป็นการเตือนระยะ
กระชั้นชิด​ ทำให้​คนบริเวณ​นั้นหลบหนีไม่ทัน​ เช่นเดียวกันกับกรณี​แสงจ้าเหลืองปนส้มที่พบในเทือกเขา
แอนเดส
ผู้​เชี่ยวชาญ​ด้าน​แผ่นดินไหว มีความเห็นตรงกันว่าการพยากรณ์แผ่นดินไหวมักใช้หลักการง่ายๆ ว่า
เคยเกิดที่ไหน ก็มักจะเกิดที่นั่นอีก เมื่อมีความกดดันเพียงพอ​ เช่น​ เมื่อดาวเคราะห์โคจรมาอยู่ในแนว
เดียวกันหลายๆ​ ดวง​ โดยเฉพาะ​ในปลายศตวรรษ​ที่​ 20
ฮัจด์ บราวน์ วิศวกรอิเลกทรอนิกส์​ และนักค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์คิดว่า แกนโลกจะเคลื่อนที่
ก็เนื่อง มาจากปริมาณน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในบริเวณขั้วโลกใต้ โลกจะเสียสมดุลในการโคจร ซึ่งจะทำให้แม็กม่า
ในบริเวณแกนของโลกเคลื่อนตัวไป อันเป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว บราวน์​ กล่าวว่าน้ำหนักของน้ำแข็งที่
เพิ่มขึ้นที่แอนตาร์คติก จะทำให้โลกหมุนเหมือนลูกข่าง วงจรการหมุนจะไม่สมบูรณ์คล้ายลูกข่างหมุน พร้อม
ที่จะล้มตะแคง
คาร์ลอส แบร์ลิทธ์ ได้แลกเปลี่ยนทรรศนะกับบราวน์ในปี 1971 ซึ่งกำลังรวบรวมหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่า
น้ำแข็งที่มากเกินไปในบริเวณขั้วโลกใต้จะทำให้ขั้วโลกที่แกนเคลื่อนห่างขั้วหมุน ยังผลให้โลกดีดตัวหมุน
เร็วจี๋ในอวกาศ และเริ่มหมุนใหม่ด้วยแกนที่เปลี่ยนตำแหน่งไป ซึ่งจะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อมนุษยชาติ
และอารยธรรมใหม่ จนกว่าโลกจะหมุนเร็วจี๋อีกครั้งหนึ่งตามข้อสันนิษฐานที่ว่า ดาวพระเคราะห์ดวงนี้เคย
มีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้ามาก่อนยุคของเรา และเนื่องด้วยหายนะที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของโลก​
ทำให้เรื่องราวของพวกเขาเหลืออยู่แต่ในความทรงจำของมนุษยชาติเท่านั้น และวัตถุที่พวกเขาสร้างขึ้น
ยังจมอยู่ก้นทะเล​ หรือใต้น้ำแข็ง​ หรือชั้นดินต่างๆ
บราวน์ยังยืนยันอีกว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปแอนอาร์กติกขณะนี้เหมือนกับที่เคยเป็นนานมาแล้ว
ผู้สืบเชื้อสายของผู้ทำลายอารยธรรมยุคก่อนของดาวพระเคราะห์ดวงนี้ เชื่อมั่นว่าระหว่างเกิดกลียุค
ในอนาคต​ มนุษย์ส่วนมากจะถูกทำลายเหมือน​แมมม้อธ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เหตุการณ์
เช่นเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นแต่ละครั้ง เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกมีปริมาณมากพอ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 9:31 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (9)

✴️ หายนะ​ภัย​ ณ​ ปลายศตวรรษ​ที่​ 20​ (B) ✴️
บราวน์มีความคิดเห็นว่าน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วบริเวณขั้วโลกใต้​ และหนักเพิ่มขึ้นทุกปีนับแต่
โลกเริ่มหมุนด้วยแกนปัจจุบันเป็นเวลา 7,000 ปีมาแล้ว ขณะนี้น้ำแข็งสูงเหนือระดับน้ำทะเลและน้ำหนัก
ที่น่ากลัวของมันจะดันบริเวณที่ลาดเข้าหาแผ่นดินเพื่อเปิดที่ว่างให้น้ำแข็งที่เพิ่มมากขึ้น​ บราวน์​อธิบาย
เพิ่มเติมต่อไปว่า การดีดตัวหมุนอย่างเร็วของขั้วโลกครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้หรือได้เกิดขึ้น
ไปแล้ว เมื่อเราพิจารณาจำนวนแผ่นดินไหวที่มีถี่ขึ้นในปัจจุบัน บราวน์เตือนให้ประชาชนรู้ถึงอันตราย
จากน้ำแข็งทวีปแอนตาร์กติก เขาติดต่อกับหน่วยงานทางวิทยาศาศตร์​ และธรณีวิทยาเป็นประจำ และ
พยายามให้รัฐบาลสหรัฐ จัดโครงการป้องกันเรื่องนี้แต่ไม่สำเร็จ เขาเสียชีวิตในปี 1976 ด้วยความวิตก
กังวลว่า​ ถ้ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมน้ำแข็งขั้วโลกใต้ พลังอันมหาศาล และโหดร้ายก็พร้อมจะทำลาย
อารยธรรมของมนุษย์ จะต้องหาวิธีไม่ให้น้ำแข็งละลายเร็วมาก หากละลายเร็วเกินไปจะเกิดน้ำท่วมตาม
ชายฝั่งขั้วโลก​ โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิเพิ่ม 3-4 องศา เราควรหาทางทดน้ำเหล่านี้ไปใช้ในการชลประทาน
ตามดินแดนในทะเลทรายด้วยการลากก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ​ ที่ลอยอยู่ในทะเล​ หรือขนส่งก้อนน้ำแข็งขนาด
ใหญ่จากขั้วโลกไปยังดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำ โครงการนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา​
แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลของบราวน์
ในขณะนี้น้ำแข็งเหล่านี้กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกปี อัดมีรอล เบิร์ด​ สร้างฐานในทวีปแอนตาร์กติก
ในปี 1930 ตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบันนี้​ พื้นน้ำแข็งได้ขยายผ่านหอวิทยุของเราไปแล้วถึง 110 ฟุต จนยื่น
ออกมาเหนือผิวน้ำแข็งประมาณ 2-3 ฟุต​ ในตอนสิ้นศตรรรษนี้ หรืออาจเร็วกว่านั้น​ เราอาจจะได้รู้ว่า
ความคิดเห็นของบราวน์ จะถูกต้องหรือไม่
ชาร์ลส์ แฮฟกูด ศาสตราจารย์ จากมหาวิทยาลัยคีน นิวแฮมเชอร์​ มีความเห็นว่า​จะเกิดหายนะอย่าง
รุนแรงอันเนื่องจากการเคลื่อนของขั้วโลกที่ดำเนินมาหลายปีแล้ว จะทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เกิด
คลื่นใต้ดิน​ และน้ำท่วมใหญ่​ การสูญพันธุ์ของสัตว์บางชนิด และการหายสาบสูญของประชากร​ และ
อารยธรรมแฮฟกูด​ กล่าวว่ากลียุคที่เกิดขึ้นขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกของโลก​ การขึ้นลงของน้ำทะเล การแปร
เปลี่ยน ของสภาพภูมิอากาศทำลายอารยธรรมของโลกยุคโบราณที่เจริญมากกว่า และมีอยู่ตามส่วน
ต่างๆ​ ซึ่ง​เราเชื่อว่าเป็นอารยธรรมของคนโบราณ
ชาร์ลส์ แฮฟกูด มีความเห็นว่าการผิดตำแหน่งของขั้วโลกมาจากการเคลื่อนของแม็กม่าภายในโลก
บางทีการดึงและการหมุนอาจมีเหตุ​มาจากการเพิ่มน้ำหนักของน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกใต้ ธารแม็กม่า
และการโคจรของโลกจะไม่ทำให้โลกตกจากแกนของมันเหมือนข้อสันนิษฐานของบราวน์ แต่จะดึงดิน
เปลือกโลกไปอยู่ในตำแหน่งใหม่เหมือนเดิมแต่อาจหมุนเร็วขึ้นหรือช้าลง เหตุการณ์ผิดปกตินี้ถูกค้นพบ
เมื่อปี​1900 โลกจะหมุนโคลงเคลงที่แกนและสั่นสะเทือนขณะที่หมุนไปในจักรวาล
แฮฟกูดให้ความเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของขั้วโลก 3 ครั้ง​ ในช่วงหนึ่งแสนปีที่ผ่านมา
ครั้งที่ 1 เมื่อขั้วโลกเหนือเคลื่อนจากเมืองยูคอนในแคนาดาไปทะเลกรีนแลนด์ ครั้งที่ 2 เคลื่อนไปอ่าว
ฮัดสัน และครั้งที่ 3 เคลื่อนต่อไปยังที่ตั้งใหม่ของมัน​ การเปลี่ยนตำแหน่งครั้งสุดท้ายผ่านมาประมาณ
12,000 ปี มันเป็นแนวความคิดที่เข้ากันกับการหายไปของทวีปแอตแลนติส โดยพิจารณาจากเวลาที่
ปลาโตให้ไว้เกี่ยวกับการจมหายไปของทวีป ซึ่งปรากฏในตำนาน มันพ้องกับเวลาโดยประมาณตาม
แนวความคิดนี้ แฮฟกูดคิดว่าเป็นไปได้ที่ข้อมูลเกี่ยวกับรูปร่างและเนื้อที่ของโลกเคลื่อนที่ด้วยอัตรา
ความเร็วมันจะเพิ่มความเค้นรอยแยกและการเปิดช่องว่างปฏิกิริยาของภูเขาไฟขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้น
พร้อมกัน การผันแปรของภูมิอากาศอย่างรุนแรง เช่นพายุไซโคลน และสภาพอากาศที่วิปริต และคลื่น
ใต้น้ำขนาดใหญ่
มีข้อพิสูจน์ชิ้นหนึ่งชัดเจนมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่างกัน คือการค้นพบโครงกระดูก
ของสัตว์ใหญ่ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วขณะนี้​ สัตว์เหล่านี้ตายด้วยไฟคลอก เพราะสภาพอากาศวิปริตปวนแปร
อย่างกระทันหัน บริเวณที่พบซากกระดูกเหล่านี้ส่วนมากอยู่ทางตอนเหนือซึ่งสัตว์ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้
ถ้าอากาศไม่อบอุ่นกว่านี้ ศาสตราจารย์แฮฟกูด​ รวมทั้งเอมมานูแอล วิไล คอฟสกี้ ได้ยกตัวอย่างที่เห็นได้
ชัดขึ้นมาคือ การพบแมมม้อธ บีรีโซฟก้า ถูกแช่แข็งอยู่ในไซบีเรีย เมื่อปี 1901 อาหารในท้องของมันแสด
งว่ามันเป็นสัตว์ที่กินพืช ซึ่งขณะนี้ไม่มีขึ้นในบริเวณที่มันถูกแช่แข็งตาย เพราะในปากของมันยังมี
บัตเตอร์คับ (ไม้ชนิดหนึ่งมีดอกเป็นถ้วยสีเหลือง) อันเป็นพืชในเขตอบอุ่น แสดงว่ามันกำลังเพลิดเพลิน
กับการกินบัตเตอร์คับ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันทัน
แมมม้อธ บีรีโซฟก้า ที่มีชื่อเสียงตัวนั้น มีขนยาวรุงรัง​ ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก แต่ยัง
มีแมมม้อธอีกมากมายที่ถูกพบในไซบีเรียและจีนตอนเหนือ​ แม้ว่าจะพบแมมม้อธอีกมากมายในทุกแห่ง
โครงกระดูก​ รูปแกะสลักจากงาช้างของจีนก็มาจากแหล่งแช่แข็งนี้ซึ่งมีมาหลายพันปีแล้ว​ แต่ยังมีอีก
จำนวนมากที่ถูกค้นพบในสภาพแช่แข็ง​จนเนื้อของมันกลายเป็นอาหารโอชะของสุนัข และครั้งหนึ่งเคย
ถูกเสิร์ฟเป็นอาหารจานเด็ดแก่นักวิทยาศาสตร์ในมอสโก โดยพวกเขาไม่เคยระแคะระคายว่ามันคือ
แมมม้อธแช่แข็ง ตามรายงานข่าวว่าพวกเขาก็พึงพอใจในรสอาหารจานเด็ดนั้น​ แมมม้อธที่ถูกแช่แข็ง
อยู่บนโลกหลายศตวรรษมาแล้วสามารถบอกให้รู้ร่องรอยความเป็นมาของโลกได้เป็นอย่างดี
ลองมาดูกลอนของนอสตราดามุส ว่าได้พูดอะไรเกี่ยวกับแผ่นดินไหวบ้าง ในบทที่ 31/9
Le treblement de terra a Mortara
Cassich sainct George a demy perfondrez
Paix assoupie, le guerrre
Dans temple a Pasques abysmes infondrez
เกิดแผ่นดินไหวที่ Mortara
หมวกเหล็กของเซนต์จอร์จ จมน้ำไปกึ่งหนึ่ง
สันติภาพเลือนลางจะปลุกสงครามให้ปะทุ
ณ เทศกาลปัสกา (นาวา) แห่งพระศาสนจักรกำลังจะจมน้ำถึงก้นบึ้ง

วิเคราะห์ Mortara อยู่ห่างจากมิลานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 50 ก.​ม.​ หมวกเหล็กเซนต์จอร์จ
คือพระศาสนจักรในอังกฤษจะอยู่ในสภาพจมน้ำไปครึ่งหนึ่ง ปัสกา คือวันอีสเตอร์ เป็นตัวบอกเวลา
หากเป็นปี 1999 จะตกวันที่​ 4 เมษายน (นาวา) แห่งพระศาสนจักรก็จะอยู่ในสภาพจมไปถึงก้นบึ้ง

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 04, 2025 9:38 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 10 )

✴️ พระ​เยซู​มีหน้า​ตา​อย่าง​ไร? (A)​ ✴️
ไปฟิลิปปินส์เมื่อสองเดือนที่แล้ว​ เข้าไปในร้านหนังสือเห็นมีคนรุมซื้อภาพพระเยซูพร้อม
ใบปลิวแนบ ก็เลยซื้อมาภาพหนึ่ง​ เห็นผู้คนให้ความสนใจมากผิดปกติ อ่านใบปลิวแล้ว
จึงเข้าใจว่าทำไมคนจึงสนใจผิดสังเกต ลองอ่านใบปลิวนั้นซิครับ
ในระหว่างเดินทางไปแสวงบุญ ณ​ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2525 ข้าพเจ้า
ได้ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ด้วยกล้องอินสแตนท์มาติก 100 (Instanmatic 100)
เมื่อกลับบ้านและนำฟิล์มไปล้างและอัดรูป ได้มีภาพของพระเยซูภาพนี้ติดอยู่ในบรรดาภาพถ่าย
ทั้งหลาย ตอนแรก ข้าพเจ้าคาดว่าภาพนี้คงหลงมาจากที่อื่น​ เพราะข้าพเจ้าบอกสามีว่าข้าพเจ้าไม่ได้
ถ่ายภาพนี้ และคิดว่าไม่เคยเห็นรูปนี้ที่ไหนมาก่อน​ เราตรวจดูฟิล์มแล้วพบว่ามีภาพนี้อยู่ในฟิล์ม
ข้าพเจ้าสับสนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความคิดเลยว่าได้ถ่ายนี้ไว้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนำภาพนี้
ไปให้พระสงฆ์องค์หนึ่งที่เดินทางไปด้วยกัน​ ท่านบอกว่าได้เดินทางไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์หลายครั้ง แต่
ไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อนเลย
ข้าพเจ้านำภาพนี้ไปให้พระสงฆ์องค์หนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านของเรา ซึ่งเคยไปศึกษาและเดินทางไป
แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์หลายครั้ง​ ท่านบอกว่าไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน บริษัททัวร์ที่ข้าพเจ้าเดินทางไปเที่ยวนั้น
ก็นำรูปไปให้บุคคลหลายคนที่นิวยอร์กที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องภาพสีน้ำมัน และภาพวาดบนผนัง
เขาก็บอกว่า ภาพนี้ไม่เคยมีในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
ข้าพเจ้ากลับไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์อีก​ 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่เที่ยวเสาะแสวงหาผู้ที่จะรู้​ และถามว่า
มีรูปภาพนี้ที่ไหน ทุกคนตอบว่าไม่ทราบเลย
เรื่องราวของรูปภาพนี้แพร่กระจายไป​ เมื่อเพื่อนๆ ต่างรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังแสวงหาความจริงที่ไม่มี
คำตอบ ข้าพเจ้าและสามีเห็นถึงความงามของภาพนี้ และต้องการเผยแพร่ออกไป​ เพราะเราทั้งสองก็
เป็นสมาชิกฟรังซิสกัน​ ชั้น 3 เราเริ่มพิมพ์ภาพนี้ และแจกจ่ายไป และมีเรื่องดีงามเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเรา
จะไม่เล่าถึงเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังภาพนี้
ข้าพเจ้ายังไม่อยากเปิดเผยเรื่องราว​ เพราะต้องการจะสืบสวนให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ ในใจก็รู้สึก
ว้าวุ่นไม่วาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จำไม่ได้ว่าได้ถ่ายภาพรูปนี้อย่างไรที่ไหน บางครั้งข้าพเจ้านึกว่าเป็น
โรคความจำเลอะเลือน​ หรือลืมเวลาของเหตุการณ์บางช่วงบางจังหวะไปแล้ว หรือแต่เป็นไปได้อย่างไร
ที่ใครจะลืมการถ่ายภาพที่งดงามเช่นนี้
บัดนี้ ภาพนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วสหรัฐและทั่วโลก ข้าพเจ้ามิได้หวังว่าผู้คนจะมาสนใจว่าภาพนี้ได้
อย่างไร แต่อยากให้ทุกคนสังเกตดูความสวยงามของพระคริสตเจ้าในภาพนี้ พระองค์ทรงเป็นพระฉายา
ลักษณ์แห่งความรักซึ่งแสดงออกมาในภาพนี้
ความปรารถนาของเราคือ ต้องการที่จะนำพระคริสตเจ้าไปยังคนอื่นๆ​ โดยอาศัยภาพนี้​ และก็เป็น
อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังภาพนี้มากนัก
ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่าเป็นอัศจรรย์​ แต่ข้าพเจ้าไม่ขอเอ่ยถึงเรื่องนี้​ ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าภาพนี้ได้นำ
สันติสุขมาสู่คนเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้​ที่มาของภาพนี้เลย และข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเป็นเจ้า
สำหรับสิ่งนี้ มิใช่สิ่งสำคัญว่าใครถ่ายภาพนี้ หรือภาพนี้มีความเป็นมาอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือพระพักตร์
ของพระคริสตเจ้า ด้วยความจริงใจต่อองค์พระคริสตเจ้า​
Jackie Haas Scranton PA 18505 (717) 347-6258
เมื่อต้นปีที่แล้วชื้อหนังสือขนาด 300 หน้าเล่มหนึ่งจากอิตาลี​ มีชื่อเรื่องว่า​“APPELLO DIVINO”
เสียงเรียกจากเบื้องบน โดยการนำเสนอจากผู้ทรงคุณวุฒิขนาดปริญญาเอกทางปรัชญาศาสตร์แห่ง
มหาวิทยาลัยลอนดอน​ และทางเทวศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Ibandan ด้วย ท่านผู้นี้คือ​ บาทหลวง
Jude O.Mbukanma แห่งคณะนักบวชดอมีนีกัน ท่านเสนอการเผยแสดง (Revelation) ของพระเยซู
ต่อซิสเตอร์ชาวเคนยาชื่อ อันนา อาลี​ อับดุลราห์มานี เกิดเมื่อ 29 ธันวาคม 1966 มีบิดาเป็นชาวมุสลิม​
มารดาเป็นคาทอลิก อันนาเองเป็นคาทอลิกตามแม่ และได้เดินทางไปฝึกเป็นซิสเตอร์ที่อิตาลีในคณะ
นักบวช​Unione di Gesu di Buon Pastore พระเยซูได้ปรากฏมาในนิมิตของเธอเป็นครั้งแรก เมื่อต้น
เดือนสิงหาคม 1987 ที่สำนักนางชีที่ Porta Angelica กรุงโรม เวลา​ 2.30 - 3.00 น. และอีกครั้งหนึ่ง
ในวันฉลองพระคริสตกายา (Corpus Domini) ปี 1988 ในครั้งนี้ เธอเห็นพระเยซู​ร้องไห้น้ำตาเป็นสาย
เลือด ซึ่งเธอได้ถ่ายภาพด้วยกล้อง​KODAK VR 35 ไว้ทั้งสองครั้ง เธอได้กระทำพิธีถวายตัวเป็นนักบวช
เมื่อวันที่ 7​กันยายน 1991 จะหยิบยก “สาร” บางตอนที่พระเยซูมอบผ่านซิสเตอร์อันนาดังนี้ :
ด้วยเสียงที่เต็มด้วยเมตตาเหมือนอย่างเคย พระองค์ตรัสว่า “ลูกรัก เราปรารถนาให้ทุกคนรู้ว่า
เหตุการณ์ที่น่ากลัวใกล้เข้ามาแล้ว ไฟจะตกลงมาสู่โลกมนุษย์อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ส่วนใหญ่
ของมนุษยชาติจะถูกทำลาย​ จะมีเวลาหนึ่งที่น่าขนลุก เราจะพูดด้วยเสียงของตุลาการ พระบิดาเจ้าทรง
พระพิโรธมาก และถ้าหากเราจะบอกลูกถึงบาปจำนวนมหาศาลที่กระทำกันทุกๆ วัน ลูกจะต้องตายไป
ในทันที​ เพราะความเศร้าเสียใจ อิทธิฤทธิ์​แห่งมารชั่วร้ายพร้อมแล้วที่จะหวดกระหน่ำไปทั่วโลก ด้วย
ความรุนแรงที่ไม่เคยพานพบมาก่อน” (เวลาตีสาม 18 ก.ย. 87)... “ลูกรัก​ ขอให้ลูกฟังให้ดีนะ จงสวด
ภาวนาเพื่อมนุษยชาติให้มากๆ โลกยิ่งทียิ่งชั่วช้าสามานย์ ปีศาจกำลังทำทุกวิถีทางที่จะยกเลิกพิธีบูชา
มิสซา พระยุติธรรมของพระเจ้าเตรียมการที่จะลงมืออยู่แล้ว​ ขอให้ลูกยกสายตาสู่สวรรค์ ขอพระเมตตาเถิด

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ตอบกลับโพส