โดย สนธิ สารธรรม
โดย สนธิ สารธรรม
ตอนที่ ( 1 )
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า เมื่อ 65ล้านปีก่อนนี้ ขณะที่ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ได้มีดาวหาง
ที่ดับไปแล้ว โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายครั้งและได้พุ่งเข้าชนโลก ทำให้โลกสะท้านสะเทือน จนทำ
ให้แกนของโลกเปลี่ยนวิถีโคจรไป (รู้ได้จากฟอสซิลที่พบในอลาสก้า พิสูจน์ให้เห็นว่า อลาสกาที่หนาว
น้ำเป็นน้ำแข็งทั้งปีนั้นครั้งหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่อยู่ในเขตร้อนเพราะซากสัตว์ที่พบในอลาสก้านั้น
เป็นสัตว์ในเขตร้อน) การที่ดาวหางพุ่งชนโลกจะเกิดแรงระเบิดทำให้ อีรีเดียม (Iridium) ซึ่งเป็นธาตุ
ประเภทโลหะหนัก และเป็นส่วนประกอบปริมาณมากในดาวหางดวงนั้นแตกกระจายแพร่ไปบนท้องฟ้า
นักวิทยาศาสตร์กล่าวถึงการระเบิดครั้งนี้ว่ารุนแรงกว่าครั้งที่ภูเขาไฟ KRAKATOA ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะชวา
กับเกาะสุมาตรา ในเดือนสิงหาคม1883 ยังทำให้ฝุ่นพุ่งขึ้นไปกว่า 17 ไมล์และแพร่กระจายไปเป็นพันๆ
ไมล์ ทำให้บดบังแสงอาทิตย์จนครึ้มสลัวไปหลายเดือนในหลายๆ ส่วนของโลก
แต่ครั้งเมื่อดาวหางที่หมดพลังแล้วได้พุ่งเข้าชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณ
ออกมาแล้วว่า ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดถึง 4 ปีกว่า จนกระทั่งฝุ่น อิริเดียม ตกลงสู่พื้นโลกหมด จึงได้
รับแสงอาทิตย์อีก
เมื่อโลกปราศจากแสงอาทิตย์ พืชทุกชนิดก็หยุดการเจริญเติบโตและตายไป รวมทั้งสัตว์เกือบทุกชนิด
ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์กินใบไม้เป็นอาหารก็ต้องอดอาหาร
ในช่วงระยะ 4 ปี แห่งความมืดมิดนี้ ไดโนเสาร์มิใช่แต่อดอาหารเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับ อิรีเดียม
ซึ่งเป็นสารพิษชนิดหนึ่ง ไดโนเสาร์จึงต้องล้มตายลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด
(หมายเหตุ ในยุคโลกาภิวัตน์เราก็มีศัพท์ อิริเดียม แต่หมายถึงระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อิรีเดียม
มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจงในเรื่องของการสื่อสารส่วนบุคคล เป็นดาวเทียมแมงมุมที่โยงใยในระบบ
สื่อสารทั่วโลก ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่จุดไหนของโลก แม้ในถิ่นทุรกันดาร ก็สามารถติดต่อกันได้
ในอีก 4 ปี ข้างหน้า)
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว นิตยสาร Time ได้ลงข่าวใหญ่น่าระทึกใจ เรื่องดาวหางจะชนกับดาวพฤหัสฯ
ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ มีเนื้อหาพอสรุปคร่าวๆ ว่าดาวหางกลุ่มใหญ่ที่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ มีขนาดใหญ่
เท่าภูเขาจะพุ่งเข้าชนดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาล (ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้) คงจะเป็นการ
เตือนภัยของมหาภัยพิบัติ ที่มนุษยชาติจะต้องประสบ แล้วอีก 6 วันต่อมา ก็จะมีดาวหางตามกันมาเป็นขบวน
บางดวงมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 4 ก.ม. จะทยอยกันพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสฯ ซึ่งเป็นเสมือนเป้านิ่ง ทั้งนี้เกิด
จากดาวหางกลุ่มนี้โคจรเข้าใกล้ดาวพฤหัสฯอย่างมาก จึงเข้าไปไปรัศมีของแรงดึงดูดของดาวพฤหัสฯ ซึ่งจะ
ทำให้กลุ่มดาวหางแตกกระจายเป็น 21 ดวง กลุ่มดาวทั้ง 21 ดวงนี้จะลอยเข้าสู่วงโคจรของดาวจูปิเตอร์หรือ
อาจจะเกาะกลุ่มกันจนกว่าจะไปถึงบรรยากาศของก๊าซหนาๆ ซึ่งก็คือ ผิวของดาวพฤหัสฯนั่นเอง กลุ่มดาวหางนี้
จะพุ่งเข้าชนด้วยความเร็วสูง 60 ก.ม. ต่อวินาที หากไม่มีอะไรขวางอำนาจระเบิดของมันมหาศาล ไม่รู้จะไป
เทียบกับอะไรได้ คราวที่สหภาพโชเวียต ในปี 1961 ได้ทดลองระเบิดไฮโดรเจน ในบรรยากาศนั้น ก็แค่ 58
เมกะตัน แต่นี่มันเป็นการประสานเสียงของ ระเบิด 21 ลูก ในดาวพฤหัสฯ พลานุภาพของมัน จะต้องถึง 20 ล้าน
เมกะตันอย่างมิต้องสงสัย นั่นก็หมายความว่าจะมีความรุนแรงกว่าระเบิดทุกชนิดในโลกรวมกัน จะทำให้ฝุ่น
ละอองพวยพุ่งเป็นดอกเห็ดยักษ์สูงถึง 2,400 ก.ม. และจะทำให้ดาวจูปีเตอร์สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น และ
เกิดเสียงก้องกังวาล เหมือนเสียงระฆังยักษ์ดังนานเป็นชั่วโมง
ชาวโลกกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยใจจดใจจ่อ เพราะอาจจะทำให้ระบบสุริยจักรวาล เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในทางที่ดี หรือว่าโลกเราอาจถึงกาลวิบัติก็ได้ ก็เพราะดาวหางนี่แหละที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุ
สำคัญที่ได้ทำให้ไดโนเสาร์ต้องสูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว