ผมไม่เข้าใจ มธ.10:34-37

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
† † † Hiruma Ryuichi † † †
โพสต์: 605
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
ที่อยู่: พเนจร
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 4:49 pm

10:34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา
10:35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
10:36 และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน
10:37 ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา


ผมไม่เข้าใจอ่ะคับ

ว่าทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนั้นอ่ะคับ

ขอความกระจ่างด้วยนะครับ ^ ^
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 5:01 pm

ทั้งหมดชี้กลับไปที่ว่า จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจครับ

ถ้ามนุษย์รักกันเองมากกว่าพระเจ้าแล้ว สันติภาพก็ไม่มีความหมาย เพราะมนุษย์จะเลือกที่รักและเลือกที่จะชัง

เมื่อมนุษย์ไม่สละทุกสิ่งเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็จะพะวงกับสิ่งรอบตัว และในที่สุดก็ลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าไป

ความพะวงจะนำมาซึ่งความหวงแหน และนำไปสู่ความหวาดระแวง

ที่สุดแล้ว คนที่เลือกพระเจ้าในครอบครัวที่ไม่เลือกพระเจ้าก็จะถูกข่มเหง

คนที่เลือกพระเจ้่าจึงต้องออกจากครัวเรือนที่อยู่ แล้วมีครอบครัวใหม่คือ ครอบครัวในพระคริสต์

พระดำรัสชี้ให้เห็นคำว่า โลก เพราะโลกที่พระองค์เสด็จมานี้ก็ไม่ต้อนรับพระองค์เช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 9:42 pm

บทนั้นทรงตรัสถึงกรณีของคนที่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ โดยที่บ้านไม่เห็นด้วยครับ

ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คริสตชนใหม่ในประเทศที่คนส่วนมากไม่ใช่คริสต์ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปัญหา การไม่เห้นด้วย ต่อต้าน ด่าทอ ไม่ยินยอม ให้สมาชิกในครอบครัวหันไปเชื่อพระเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเอง

โดยบริบทอาจแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น เมืองไทย สมัยนี้ มักเป็นกรณีครอบครัวเป็นพุทธ(จะเคร่งหรือทะเบียนบ้านก้ตาม) แล้วมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง มารับเชื่อเป็นคริสต์ แล้วโดนคนในบ้านหรือครอบครัวตัวเองเบียดเบียน (ซึ่งคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะเข้าใจซึ้งถึงพระวาจาในบทนี้เป็นอย่างดี) หรือถึงขั้นห้ามมาล้างบาป ห้ามมาเชื่อ ถ้าใครเอาใจพ่อแม่ และตัดสินใจเลิกเชื่อและเลิกมานับถือคริสต์ เขาก็คือคนที่พลาดโอกาสความรอด โดยโทษใครไม่ได้ เพราะเขาตัดสินใจเลือกคนรอบข้างมากกว่าพระเจ้า

สิ่งนี้ยังรวมไปถึงกรณีคริสตชนบางคนที่เมื่อแต่งงานกับคู่รักบางศาสนา ที่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา แล้วเขายอมเปลี่ยน เพื่อจะได้ครองรักกับคนที่เขารักในโลกชั่วคราวนี้ โดยยอมแลกสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว แลกพระเจ้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนิจนิรันดร กับคู่รักที่อยู่กันเต็มที่ก็60-70ปีในโลก ในเมื่อเขาเลือกเอง เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการคือ คู่ครองในโลก และสูญเสียสิ่งที่เขาสลัดทิ้งคือพระเจ้าแท้และความรอดนิรันดร


ในสมัยพระเยซูคริสต์ ปัญหานี้ เกิดกับครอบครัวชาวยิวมากมาย ที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ และเป็นบุตรพระเจ้า แต่สมาชิกบางคนในครอบครัวตนอาจเชื่อเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้โดนกล่าวพาดพิงถึงในพระคัมภีร์ เช่นคนที่แอบมาเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู อย่าง นิโคเดมัส พระเยซูเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณเลือกเอาใจคนในครอบครัว โดยสละละทิ้งความเชื่อคริสตชนเพื่อให้คนอื่นๆพอใจ คุณก็ได้ตัดสินใจแลกพระเจ้าและความรอดกับพวกเขาแล้ว เมื่อคุณเห็นพระเจ้าและความรอดมีค่าน้อยกว่าความพอใจของคนในครอบครัว คุณก็อดรับเชื่อรับความรอด

แต่พระเยซู เน้นย้ำความจริงว่า ความรักของพระเจ้าและความรอดไม่ได้ด้อยค่ากว่าความรักของสมาชิกครอบครัวเลย ตรงข้ามมากมายยิ่งกว่าอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับคุณ แต่คุณเองต่างห่างที่ไม่คู่ควรกับพระองค์
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 9:50 pm

ขอบคุณค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ  ::026::  สงสัยมานานเหมือนกันนะเนี่ย
ภาพประจำตัวสมาชิก
^_^Matthew^_^
โพสต์: 354
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 2:03 am
ที่อยู่: 125 ม.7 ถ.ชัยภูมิ-สีคิ้ว ต.หนองนาแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ 36000
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 9:58 pm

ขอบคุณมากๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 10:21 pm

ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้

นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง

ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง

หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก

ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 10:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Deo Gratias
โพสต์: 1100
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 10:38 pm

Holy เขียน: บทนั้นทรงตรัสถึงกรณีของคนที่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ โดยที่บ้านไม่เห็นด้วยครับ

ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คริสตชนใหม่ในประเทศที่คนส่วนมากไม่ใช่คริสต์ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปัญหา การไม่เห้นด้วย ต่อต้าน ด่าทอ ไม่ยินยอม ให้สมาชิกในครอบครัวหันไปเชื่อพระเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเอง

โดยบริบทอาจแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น เมืองไทย สมัยนี้ มักเป็นกรณีครอบครัวเป็นพุทธ(จะเคร่งหรือทะเบียนบ้านก้ตาม) แล้วมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง มารับเชื่อเป็นคริสต์ แล้วโดนคนในบ้านหรือครอบครัวตัวเองเบียดเบียน (ซึ่งคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะเข้าใจซึ้งถึงพระวาจาในบทนี้เป็นอย่างดี) หรือถึงขั้นห้ามมาล้างบาป ห้ามมาเชื่อ ถ้าใครเอาใจพ่อแม่ และตัดสินใจเลิกเชื่อและเลิกมานับถือคริสต์ เขาก็คือคนที่พลาดโอกาสความรอด โดยโทษใครไม่ได้ เพราะเขาตัดสินใจเลือกคนรอบข้างมากกว่าพระเจ้า

สิ่งนี้ยังรวมไปถึงกรณีคริสตชนบางคนที่เมื่อแต่งงานกับคู่รักบางศาสนา ที่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา แล้วเขายอมเปลี่ยน เพื่อจะได้ครองรักกับคนที่เขารักในโลกชั่วคราวนี้ โดยยอมแลกสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว แลกพระเจ้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนิจนิรันดร กับคู่รักที่อยู่กันเต็มที่ก็60-70ปีในโลก ในเมื่อเขาเลือกเอง เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการคือ คู่ครองในโลก และสูญเสียสิ่งที่เขาสลัดทิ้งคือพระเจ้าแท้และความรอดนิรันดร


ในสมัยพระเยซูคริสต์ ปัญหานี้ เกิดกับครอบครัวชาวยิวมากมาย ที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ และเป็นบุตรพระเจ้า แต่สมาชิกบางคนในครอบครัวตนอาจเชื่อเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้โดนกล่าวพาดพิงถึงในพระคัมภีร์ เช่นคนที่แอบมาเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู อย่าง นิโคเดมัส พระเยซูเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณเลือกเอาใจคนในครอบครัว โดยสละละทิ้งความเชื่อคริสตชนเพื่อให้คนอื่นๆพอใจ คุณก็ได้ตัดสินใจแลกพระเจ้าและความรอดกับพวกเขาแล้ว เมื่อคุณเห็นพระเจ้าและความรอดมีค่าน้อยกว่าความพอใจของคนในครอบครัว คุณก็อดรับเชื่อรับความรอด

แต่พระเยซู เน้นย้ำความจริงว่า ความรักของพระเจ้าและความรอดไม่ได้ด้อยค่ากว่าความรักของสมาชิกครอบครัวเลย ตรงข้ามมากมายยิ่งกว่าอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับคุณ แต่คุณเองต่างห่างที่ไม่คู่ควรกับพระองค์
Holy เขียน: ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้

นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง

ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง

หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก

ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง
เฉียบมากค่ะ  เห็นด้วยตามนี้ทุกประการ  ::012::
สั้นๆ ได้ใจความ อธิบายครอบคลุมชัดเจน
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 12:37 am

Holy เขียน: ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้

นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง

ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง

หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก

ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง
พี่โฮลี่สอนดีจังค่ะ เข้าใจพูดสอนน้อง  : emo045 :

จริงๆนะ มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ไม่ใช่แค่ชีวิตนี้ แต่คือ ชีวิตหน้าด้วย  และถ้าที่บ้านยอมรับแล้ว ความรักในครอบครัวเราจะเปลี่ยน จะรักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น อบอุ่นขึ้น อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ  : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Slave of God
โพสต์: 336
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm

ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 1:01 am

สุดยอดครับ เพราะผมก็ประกาศไปเลยเหมือนกันว่าผมลูกพระ

ไม่สนคนรอบข้างจะว่าไง

-รถผมชน 2 ครั้ง คนรอบข้างบอกให้ผมเปลี่ยนรถ หรือไม่ก็ไป รดน้ำมนต์บ้าง แต่ผมไม่เปลี่ยน และไม่ไปรดน้ำมนต์ เพราะผมเชื่อในพระเจ้า อาถรรพ์รถอะไรนั้น จะมาสู้กับพระได้ไง ผมคิดเช่นนั้น

-ที่ผ่านมาที่เขาไหว้เจ้ากัน มีไหว้รถด้วย รถจอดเรียงกัน 5-6 คัน คนในบ้านถามว่าจะไหว้รถผมด้วยไหม ผมบอกไม่ต้อง ผมไม่ไหว้

-ตอนนั้นไปร่วมงานทำบุญที่คณะ ที่มหาลัย เขาเชิญผมถวายข้าวพระสงฆ์ (พุทธ) ผมบอกไม่ละครับ ผมเป็นคริสต์

-ตอนนั้นต้องเดินทางกันเป็นหมู่คณะ เขาพากันไปไหว้พระ หน้ามหาลัยก่อนเดินทาง มีคนส่งธูปมาให้ ผมบอกไม่ไหว้ ผมเป็นคริสต์

-วันครบรอบพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อนผมถามว่าทำบุญให้บ้างไหม (ทางพุทธ) ผมบอกไม่ทำ ผมเป็นคริสต์ เพื่อนบอกว่า มึ-เปลี่ยนแล้วพ่อแม่มึ-เปลี่ยนด้วยเลอ ผมเงียบไม่สนใจ

-ผมย้ายบ้านเขามาบ้านใหม่ที่ซื้อต่อญาติกัน เขาบอกว่าเขาจะทิ้งศาลเจ้าที่จีนไว้ให้ที่บ้านด้วย  ผมบอกเอาไปเลย ผมไม่ไหว้

-ผมอยู่กับน้องอีก2คนที่บ้านเท่านั้น มีพระพุทธรูปอยู่บ้างของพ่อกับแม่ ผมบอกน้อง ถ้าจะไหว้หรือบูชาให้เอาไว้ในห้องของตัวเอง ไม่ต้องเอาออกมาในบ้าน ผลสุดท้ายไม่มีใครบูชา ผมเลยเก็บเข้าตู้หมด ถือว่าของพ่อแม่ และน้องยังเป็นพุทธอยู่

ทุกวันนี้กับศาสนาเดิม ผมเคารพในคนและคำสอน ตราบเท่าที่ไม่มาวุ่นวายกับจริตของผม
† † † Hiruma Ryuichi † † †
โพสต์: 605
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
ที่อยู่: พเนจร
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 7:59 am

แจ่มแจ้งแดงแจ๋คร้าบบบ

ขอบคุณมากครับผม

เข้าใจแว้ววววว

มีอะไรสงสัยเดี๋ยวววมาถามอีกนะฮะ ^ ^
ตอบกลับโพส