ความจริง 100 ประการเกี่ยวกับคาทอลิกไทย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
5.) คณะนักบวชหญิงที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเป็นคณะแรกคือ คณะรักกางเขนสยาม (1672)
6.) คณะนักบวชหญิงที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นคณะแรกคือ คณะพระกุมารเยซู (1885)
ต่างกันอย่างไร ครับ ข้อ 5 เมื่อก่อตั้งนักบวชหญิง "คณะรักไม้กางเขน" ยังไม่มีนักบวชหญิงเข้ามาหรือครับ
47.) แต่ GNP ถึงร้อยละ 30 เกิดจากคาทอลิกไทย
>>> สถิติ นี้ได้มาจากไหน ครับ
6.) คณะนักบวชหญิงที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นคณะแรกคือ คณะพระกุมารเยซู (1885)
ต่างกันอย่างไร ครับ ข้อ 5 เมื่อก่อตั้งนักบวชหญิง "คณะรักไม้กางเขน" ยังไม่มีนักบวชหญิงเข้ามาหรือครับ
47.) แต่ GNP ถึงร้อยละ 30 เกิดจากคาทอลิกไทย
>>> สถิติ นี้ได้มาจากไหน ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ อังคาร ก.ย. 15, 2009 8:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ในข้อ6 หมายถึง คณะจากต่างประเทศครับJeab Agape เขียน: 5.) คณะนักบวชหญิงที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเป็นคณะแรกคือ คณะรักกางเขนสยาม (1672)
6.) คณะนักบวชหญิงที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นคณะแรกคือ คณะพระกุมารเยซู (1885)
ต่างกันอย่างไร ครับ
-
- โพสต์: 6
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 08, 2009 10:48 pm
จากเว็บชมรมนักธุรกิจคาทอลิกแห่งประเทศไทยครับJeab Agape เขียน:
47.) แต่ GNP ถึงร้อยละ 30 เกิดจากคาทอลิกไทย
>>> สถิติ นี้ได้มาจากไหน ครับ
http://www.thaicatholicbiz.com/v18/inde ... 4&Itemid=3
อาจจะเก่าหน่อย แต่ก็น่าทึ่ง น่าประหลาดใจ และน่าสนใจครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
พระเจ้าอวยพรครับ
ในเวลาเดียวกัน เคยมีการสำรวจสถานภาพทางเศรษฐกิจองค์กร กิจการค้า /ธนาคาร / โรงงานอุตสาหกรรมที่มีเจ้าของ / ผู้ถือหุ้น / ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคาทอลิกก่อนปี 2540 พบว่า หากรวมจำนวนทรัพย์สินของธุรกิจการค้าเหล่านี้เข้าด้วยกันมีจำนวนสูงถึง 30 % ของ GNP ของประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมากทั้งที่จำนวนคาทอลิกในประเทศมีเพียง 0.5 % ของประเทศเท่านั้น หากมองตัวเลขของประชากรที่ยังอยู่อย่างแร้นแค้นใต้เส้นความอยากจน (Under the poverty line) ซึ่งตัวเลขในปี 2002 กำหนดครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 922 บาท โดยมีประชากรถึง 6.22 ล้านคน คิดเป็น 9.76 % ของประชากรทั้งหมด
หากพลังของนักธุรกิจคาทอลิก ที่มีส่วนอยู่ถึง 30 % ของ GNP ของประเทศสามารถร่วมกันอย่างแข็งขันในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างสรรค์สังคมโลกตามจิตตารมณ์แห่งคริสตชน สังคมประเทศไทย และสังคมโลกจะน่าอยู่สักเพียงใด
quote มาให้ดูครับ
ถ้าดูเฉพาะในเมืองไทยเรา จะเห็นว่าพระเจ้าอวยพระพรให้พวกเรามากเลยนะครับ คิดคร่าวๆว่ากำลังทรัพย์หรือรายได้ของเรามากกว่าคนไทยที่ไม่ใช่คาทอลิกโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 85 เท่าตัวเลยทีเดียว แปลว่ามีมากก็ต้องแบ่งปันมากๆด้วยครับ ระหว่างแบ่งปันก็ต้องแสดงให้เขาเห็นพระคริสต์ในตัวเรา
คุณพ่อของผมท่านเคยอยู่ในชมรมนักธุรกิจคาทอลิกเหมือนกันครับ แต่หลังๆนี่ท่านเน้นไปทางงานแปลเรื่องศาสนามากกว่า
ผมไม่ได้เข้าชมรมนี้แต่ก็หนีไม่พ้นพระจัดให้มาอยู่รพ.คาทอลิก เลยได้อยู่ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกแทนครับ นี่ก็อยู่มาได้ครบปีหนึ่งแล้ว
หากพลังของนักธุรกิจคาทอลิก ที่มีส่วนอยู่ถึง 30 % ของ GNP ของประเทศสามารถร่วมกันอย่างแข็งขันในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างสรรค์สังคมโลกตามจิตตารมณ์แห่งคริสตชน สังคมประเทศไทย และสังคมโลกจะน่าอยู่สักเพียงใด
quote มาให้ดูครับ
ถ้าดูเฉพาะในเมืองไทยเรา จะเห็นว่าพระเจ้าอวยพระพรให้พวกเรามากเลยนะครับ คิดคร่าวๆว่ากำลังทรัพย์หรือรายได้ของเรามากกว่าคนไทยที่ไม่ใช่คาทอลิกโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 85 เท่าตัวเลยทีเดียว แปลว่ามีมากก็ต้องแบ่งปันมากๆด้วยครับ ระหว่างแบ่งปันก็ต้องแสดงให้เขาเห็นพระคริสต์ในตัวเรา
คุณพ่อของผมท่านเคยอยู่ในชมรมนักธุรกิจคาทอลิกเหมือนกันครับ แต่หลังๆนี่ท่านเน้นไปทางงานแปลเรื่องศาสนามากกว่า
ผมไม่ได้เข้าชมรมนี้แต่ก็หนีไม่พ้นพระจัดให้มาอยู่รพ.คาทอลิก เลยได้อยู่ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกแทนครับ นี่ก็อยู่มาได้ครบปีหนึ่งแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทางของพระคริสต์กระจ่างขึ้น และไม่ทำให้ความรักในพระเจ้าเติบโตแต่อย่างใด และไม่ใช่ความรู้ที่สาวกของพระคริสต์จะสอน มันไร้ค่า เพราะมันเป็นประวัติศาสต์ของมนุษย์ และมันนำมาซึ่งความจองหองซึ่งไร้ค่าอีกนั่นละ ผมไม่ปลื้มแบนผมโล้ด T_THoly เขียน:
ขอขอบคุณ "น้องโป้ง (Antoinetty) นักศึกษาปี 2 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่ได้ส่งบทความ "ความจริง 100 ประการเกี่ยวกับคาทอลิกไทย" มาแบ่งปันกัน แต่ละข้อที่กล่าวมา ล้วนเป็นความรู้ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ประมาณว่า เป็นความรู้รอบตัวของคริสตังไทยก็ว่าได้
ความจริง 100 ประการเกี่ยวกับคาทอลิกไทย*
1.) พระสังฆราชชาวไทยองค์แรกคือ พระคุณเจ้ายาโกเบ แจง เกิดสว่าง (ปกครองมิสซังจันทบุรีปี 1944-1952)
2.) พระสังฆราชชาวต่างประเทศองค์สุดท้ายที่ได้รับอภิเษกคือ พระคุณเจ้าแยร์แม็ง แบร์ทอลด์ (ปกครองมิสซังอุบลฯปี 1970-1976)
3.) พระสังฆราชที่ปกครองนานที่สุด 3 อันดับแรก คือ พระคุณเจ้าแปร์รอส (1909-1947), พระคุณเจ้าเทียนชัย (1971-2009) และพระคุณเจ้าคาร์เร็ตโต (1950-1987)
..............................................................
99.) ต้นไม้ที่มีมากที่สุดในวิทยาลัยแสงธรรมคือ ต้นกล้วย (ไม่นับวัชพืช)
100.) สมัยมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ก่อตั้งใหม่ๆ อยู่ในความดูแลของคณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ (ซิสเตอร์ซาเลเซียน)
http://catholicworldtour.spaces.live.com/blog/cns!EA91C1C5E2FBFD4F!8395.entry?sa=97342904
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 18, 2009 3:42 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- antoinetty*
- โพสต์: 451
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 04, 2007 9:39 pm
โอ้ว พี่เป็นหมอหรอครับ ?sansrepos เขียน: ในเวลาเดียวกัน เคยมีการสำรวจสถานภาพทางเศรษฐกิจองค์กร กิจการค้า /ธนาคาร / โรงงานอุตสาหกรรมที่มีเจ้าของ / ผู้ถือหุ้น / ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคาทอลิกก่อนปี 2540 พบว่า หากรวมจำนวนทรัพย์สินของธุรกิจการค้าเหล่านี้เข้าด้วยกันมีจำนวนสูงถึง 30 % ของ GNP ของประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมากทั้งที่จำนวนคาทอลิกในประเทศมีเพียง 0.5 % ของประเทศเท่านั้น หากมองตัวเลขของประชากรที่ยังอยู่อย่างแร้นแค้นใต้เส้นความอยากจน (Under the poverty line) ซึ่งตัวเลขในปี 2002 กำหนดครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 922 บาท โดยมีประชากรถึง 6.22 ล้านคน คิดเป็น 9.76 % ของประชากรทั้งหมด
หากพลังของนักธุรกิจคาทอลิก ที่มีส่วนอยู่ถึง 30 % ของ GNP ของประเทศสามารถร่วมกันอย่างแข็งขันในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างสรรค์สังคมโลกตามจิตตารมณ์แห่งคริสตชน สังคมประเทศไทย และสังคมโลกจะน่าอยู่สักเพียงใด
quote มาให้ดูครับ
ถ้าดูเฉพาะในเมืองไทยเรา จะเห็นว่าพระเจ้าอวยพระพรให้พวกเรามากเลยนะครับ คิดคร่าวๆว่ากำลังทรัพย์หรือรายได้ของเรามากกว่าคนไทยที่ไม่ใช่คาทอลิกโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 85 เท่าตัวเลยทีเดียว แปลว่ามีมากก็ต้องแบ่งปันมากๆด้วยครับ ระหว่างแบ่งปันก็ต้องแสดงให้เขาเห็นพระคริสต์ในตัวเรา
คุณพ่อของผมท่านเคยอยู่ในชมรมนักธุรกิจคาทอลิกเหมือนกันครับ แต่หลังๆนี่ท่านเน้นไปทางงานแปลเรื่องศาสนามากกว่า
ผมไม่ได้เข้าชมรมนี้แต่ก็หนีไม่พ้นพระจัดให้มาอยู่รพ.คาทอลิก เลยได้อยู่ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกแทนครับ นี่ก็อยู่มาได้ครบปีหนึ่งแล้ว
สมัยผมเรียนที่จุฬาฯเกือบไม่เคยเจอเพื่อนหรือรุ่นน้องจากคณะแพทย์มาชมรมเลยครับ จริงๆในรุ่นผมนี่แพทย์จุฬาฯมีคาทอลิกเกือบ 10 คนเห็นจะได้ แทบจะมีผมคนเดียวที่มาชมรมเกือบทุกเดือน ตั้งแต่ผมเรียนจบก็ไม่ได้แวะไปอีกเพราะอยู่ต่างจังหวัดเกือบตลอด
มีน้องสาวเรียนครุศาสตร์จุฬาฯแกก็ไปชมรมอยู่บ้าง พอจบมาคงเป็นพระญาณสอดส่อง แกได้งานทันทีที่รร.คาทอลิกชื่อดัง แถมได้รับมอบหมายให้เป็นครูคำสอนอีกตะหาก อะไรจะขนาดนั้น
มีน้องสาวเรียนครุศาสตร์จุฬาฯแกก็ไปชมรมอยู่บ้าง พอจบมาคงเป็นพระญาณสอดส่อง แกได้งานทันทีที่รร.คาทอลิกชื่อดัง แถมได้รับมอบหมายให้เป็นครูคำสอนอีกตะหาก อะไรจะขนาดนั้น
เรื่องกษัตริย์ไทยเป็นคาทอลิคนั้น ไม่มีใครรับรองได้ว่าเป็นความจริงนะครับ เป็นเรื่องที่ฟรั่งบันทึกไว้ฝ่ายเดียว
อาจารย์บุญยก ตามไท ได้เขียนไว้ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องการเข้ามาของชาวโปรตุเกสในประเทศสยามไว้อย่างน่าสนใจ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า "มีเกล็ดประวัติศาสตร์บันทึกโดยฝรั่งว่า เมื่อปี พ.ศ. 2087 (1544) อันโตนิโอ เด ปายวา (Antonio de Paiva) ชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระชัยราชาธิราช และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับคริสตศาสนากับพระองค์จนเลื่อมใส และพระองค์ทรงได้รับพิธี Baptise (พิธีล้างบาป) ได้รับพระราชทินนามเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Dom Joao ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์พิเศษอย่างยิ่ง" เรื่องนี้แม้จะไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าเป็นความจริงด้วยเหตุผลบางประการ แต่หากว่าเราติดตามเรื่องนี้ให้ดีก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าหนังสือประวัติศาสตร์ไทยบางฉบับได้วงเล็บการสิ้นพระชนม์ของพระชัยราชาว่า ถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้ในหนังสือ Documenta Indica ซึ่งมีอยู่ 2 เล่ม รวมทั้งนักศึกษาที่เป็นชาวยุโรปบางท่าน ได้ให้หลักฐานที่บอกไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่ชื่อ อันโตนิโอ เด ปายวา ได้โปรดศีลล้างบาปให้กษัตริย์ไทย ตั้งชื่อให้ด้วยว่า Dom Joใo หรือนักบุญยวงที่เราเรียกกัน เราคงตามเรื่องนี้ต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
http://haab.catholic.or.th/churchbkk//2 ... holic.html
ผมยกมายาวกว่าคุณ triyo นะครับ
ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษากันอย่างระมัดระวัง บางอย่างก็ไม่กระจ่าง บางอย่างก็บิดเบือน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างเปลี่ยนศาสนา น่าจะมีอะไรชัดเจนกว่านี้นะครับ แบบนี้ก็ไม่ชัดเจน ฟรั่งเขียนฝ่ายเดียว แล้วเราก็ไม่รู้ว่าหนังสือที่ฟรั่งเขียนนั้นมีจริงไหม ถ้ามีจริงเราจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเชื่อได้มีนัยยะอะไรซซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าเป็นจริงคงมีหลักฐานชัดเจนกว่านี้ไปแล้ว
อาจารย์บุญยก ตามไท ได้เขียนไว้ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องการเข้ามาของชาวโปรตุเกสในประเทศสยามไว้อย่างน่าสนใจ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า "มีเกล็ดประวัติศาสตร์บันทึกโดยฝรั่งว่า เมื่อปี พ.ศ. 2087 (1544) อันโตนิโอ เด ปายวา (Antonio de Paiva) ชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระชัยราชาธิราช และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับคริสตศาสนากับพระองค์จนเลื่อมใส และพระองค์ทรงได้รับพิธี Baptise (พิธีล้างบาป) ได้รับพระราชทินนามเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Dom Joao ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์พิเศษอย่างยิ่ง" เรื่องนี้แม้จะไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าเป็นความจริงด้วยเหตุผลบางประการ แต่หากว่าเราติดตามเรื่องนี้ให้ดีก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าหนังสือประวัติศาสตร์ไทยบางฉบับได้วงเล็บการสิ้นพระชนม์ของพระชัยราชาว่า ถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้ในหนังสือ Documenta Indica ซึ่งมีอยู่ 2 เล่ม รวมทั้งนักศึกษาที่เป็นชาวยุโรปบางท่าน ได้ให้หลักฐานที่บอกไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่ชื่อ อันโตนิโอ เด ปายวา ได้โปรดศีลล้างบาปให้กษัตริย์ไทย ตั้งชื่อให้ด้วยว่า Dom Joใo หรือนักบุญยวงที่เราเรียกกัน เราคงตามเรื่องนี้ต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
http://haab.catholic.or.th/churchbkk//2 ... holic.html
ผมยกมายาวกว่าคุณ triyo นะครับ
ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษากันอย่างระมัดระวัง บางอย่างก็ไม่กระจ่าง บางอย่างก็บิดเบือน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างเปลี่ยนศาสนา น่าจะมีอะไรชัดเจนกว่านี้นะครับ แบบนี้ก็ไม่ชัดเจน ฟรั่งเขียนฝ่ายเดียว แล้วเราก็ไม่รู้ว่าหนังสือที่ฟรั่งเขียนนั้นมีจริงไหม ถ้ามีจริงเราจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเชื่อได้มีนัยยะอะไรซซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าเป็นจริงคงมีหลักฐานชัดเจนกว่านี้ไปแล้ว
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
มันก็พูดกันยากนะครับ เรื่องแบบนี้Happiness เขียน: เรื่องกษัตริย์ไทยเป็นคาทอลิคนั้น ไม่มีใครรับรองได้ว่าเป็นความจริงนะครับ เป็นเรื่องที่ฟรั่งบันทึกไว้ฝ่ายเดียว
อาจารย์บุญยก ตามไท ได้เขียนไว้ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องการเข้ามาของชาวโปรตุเกสในประเทศสยามไว้อย่างน่าสนใจ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า "มีเกล็ดประวัติศาสตร์บันทึกโดยฝรั่งว่า เมื่อปี พ.ศ. 2087 (1544) อันโตนิโอ เด ปายวา (Antonio de Paiva) ชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระชัยราชาธิราช และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับคริสตศาสนากับพระองค์จนเลื่อมใส และพระองค์ทรงได้รับพิธี Baptise (พิธีล้างบาป) ได้รับพระราชทินนามเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Dom Joao ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์พิเศษอย่างยิ่ง" เรื่องนี้แม้จะไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าเป็นความจริงด้วยเหตุผลบางประการ แต่หากว่าเราติดตามเรื่องนี้ให้ดีก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าหนังสือประวัติศาสตร์ไทยบางฉบับได้วงเล็บการสิ้นพระชนม์ของพระชัยราชาว่า ถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้ในหนังสือ Documenta Indica ซึ่งมีอยู่ 2 เล่ม รวมทั้งนักศึกษาที่เป็นชาวยุโรปบางท่าน ได้ให้หลักฐานที่บอกไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่ชื่อ อันโตนิโอ เด ปายวา ได้โปรดศีลล้างบาปให้กษัตริย์ไทย ตั้งชื่อให้ด้วยว่า Dom Joใo หรือนักบุญยวงที่เราเรียกกัน เราคงตามเรื่องนี้ต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
http://haab.catholic.or.th/churchbkk//2 ... holic.html
ผมยกมายาวกว่าคุณ triyo นะครับ
ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษากันอย่างระมัดระวัง บางอย่างก็ไม่กระจ่าง บางอย่างก็บิดเบือน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างเปลี่ยนศาสนา น่าจะมีอะไรชัดเจนกว่านี้นะครับ แบบนี้ก็ไม่ชัดเจน ฟรั่งเขียนฝ่ายเดียว แล้วเราก็ไม่รู้ว่าหนังสือที่ฟรั่งเขียนนั้นมีจริงไหม ถ้ามีจริงเราจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเชื่อได้มีนัยยะอะไรซซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าเป็นจริงคงมีหลักฐานชัดเจนกว่านี้ไปแล้ว
มันเป็นการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง (ไปเพื่ออะไร)
แม้กระทั่งปัจจุบันนี้เอง ก็มีเรื่องที่คนไทยไม่แตะ และไม่รู้ ถูกเขียนประจานโดยไม่ค่อยได้รับความสนใจในต่างประเทศก็มีเช่นกัน
เรื่องพรรค์นี้พูดยากครับ
แต่ในฐานะคนที่พอรู้ประวัติศาสตร์ มีความคิดว่าว่าพงศาวดารไทยเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
เพราะ "เหนือหัว" สั่งให้เขียน ถ้าเขียนไม่ถูกใจ "เหนือหัว" หรือเขียนแล้ว "เหนือหัว" จะถูกด่า ก็ห้ามเขียนครับ
ต้องเขียนให้อะไรๆมันดีๆ เริ่ดๆเข้าไว้ จะได้ไม่โดน "เหนือหัว" "กุดหัว"เอา ดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ชาติอื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
โดยเฉพาะพงศาวดารบ้านเรา เขียนแล้วมีแก้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะ "เหนือหัว" คนใหม่ไม่พอใจเรื่องเดิมๆ
ถ้าของเก่าดูไม่ดี หรือทำให้เมืองของ"เหนือหัว"ระส่ำระส่าย ก็สามารถจัดการเปลี่ยนได้เลย
ผมเลยไม่ค่อยเชื่อถือหลักฐานพงศาวดารเท่าไหร่... แต่ก็ไม่ใช่ว่าพงศาวดารฟังไม่ขึ้นเสมอไป
มันดูจะฟังขึ้นต่อเมื่อสองฉบับขึ้นไปเขียนเหมือนกันเท่านั้น คนๆเดียวพูดน้ำหนักไม่พอหรอก จริงไหมครับ
แต่ผมคิดว่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนั้น "ไร้ค่าทางการศึกษาประวัติศาสตร์"
เหมือนแค่เรื่องซุบซิบนินทาของชาวบ้าน ที่รู้มาว่าท่านอย่างโน้นท่านอย่างนี้
ถามจริงว่ามีใครรู้จริงซักคนไหม
คำตอบคือไม่มีหรอกครับ ฟังเค้ามาอีกที อ่านของเค้ามาอีกทีทั้งนั้น นี่ล่ะประวัติศาสตร์
คาดเดาได้ แต่ห้ามฟันธงครับ
ฉะนั้นก็อย่าพูดถึงกันเลยครับ ถ้าจะเอาแค่สนุกปาก ไม่เกิดประโยชน์ ไม่จรรโลงสังคม
เดี๋ยวก็ว่าใครแย่งบัลลังก์คนโน้น ใครฆ่าคนนี้ เป็นชู้กับใคร ไร้สาระทั้งนั้นครับ
แต่ในฐานะคนที่พอรู้ประวัติศาสตร์ มีความคิดว่าว่าพงศาวดารไทยเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
เพราะ "เหนือหัว" สั่งให้เขียน ถ้าเขียนไม่ถูกใจ "เหนือหัว" หรือเขียนแล้ว "เหนือหัว" จะถูกด่า ก็ห้ามเขียนครับ
ต้องเขียนให้อะไรๆมันดีๆ เริ่ดๆเข้าไว้ จะได้ไม่โดน "เหนือหัว" "กุดหัว"เอา ดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ชาติอื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
โดยเฉพาะพงศาวดารบ้านเรา เขียนแล้วมีแก้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะ "เหนือหัว" คนใหม่ไม่พอใจเรื่องเดิมๆ
ถ้าของเก่าดูไม่ดี หรือทำให้เมืองของ"เหนือหัว"ระส่ำระส่าย ก็สามารถจัดการเปลี่ยนได้เลย
ผมเลยไม่ค่อยเชื่อถือหลักฐานพงศาวดารเท่าไหร่... แต่ก็ไม่ใช่ว่าพงศาวดารฟังไม่ขึ้นเสมอไป
มันดูจะฟังขึ้นต่อเมื่อสองฉบับขึ้นไปเขียนเหมือนกันเท่านั้น คนๆเดียวพูดน้ำหนักไม่พอหรอก จริงไหมครับ
แต่ผมคิดว่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนั้น "ไร้ค่าทางการศึกษาประวัติศาสตร์"
เหมือนแค่เรื่องซุบซิบนินทาของชาวบ้าน ที่รู้มาว่าท่านอย่างโน้นท่านอย่างนี้
ถามจริงว่ามีใครรู้จริงซักคนไหม
คำตอบคือไม่มีหรอกครับ ฟังเค้ามาอีกที อ่านของเค้ามาอีกทีทั้งนั้น นี่ล่ะประวัติศาสตร์
คาดเดาได้ แต่ห้ามฟันธงครับ
ฉะนั้นก็อย่าพูดถึงกันเลยครับ ถ้าจะเอาแค่สนุกปาก ไม่เกิดประโยชน์ ไม่จรรโลงสังคม
เดี๋ยวก็ว่าใครแย่งบัลลังก์คนโน้น ใครฆ่าคนนี้ เป็นชู้กับใคร ไร้สาระทั้งนั้นครับ
แก้ไขล่าสุดโดย sasuke เมื่อ อังคาร ก.ย. 22, 2009 5:01 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ไม่ใช่ว่า ทุกประเทศในโลกก็เป็นแบบนี้เหรอคะsasuke เขียน: เรื่องพรรค์นี้พูดยากครับ
แต่ในฐานะคนที่พอรู้ประวัติศาสตร์ มีความคิดว่าว่าพงศาวดารไทยเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
เพราะ "เหนือหัว" สั่งให้เขียน ถ้าเขียนไม่ถูกใจ "เหนือหัว" หรือเขียนแล้ว "เหนือหัว" จะถูกด่า ก็ห้ามเขียนครับ
มีคนบอกว่า ประวัติศาสตร์ ถูกเขียนโดยผู้ชนะ ... อันนี้ที่ได้ยินมานะคะ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ถ้าหมายถึงสงคราม ละก็..Buddy เขียน:ไม่ใช่ว่า ทุกประเทศในโลกก็เป็นแบบนี้เหรอคะsasuke เขียน: เรื่องพรรค์นี้พูดยากครับ
แต่ในฐานะคนที่พอรู้ประวัติศาสตร์ มีความคิดว่าว่าพงศาวดารไทยเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
เพราะ "เหนือหัว" สั่งให้เขียน ถ้าเขียนไม่ถูกใจ "เหนือหัว" หรือเขียนแล้ว "เหนือหัว" จะถูกด่า ก็ห้ามเขียนครับ
มีคนบอกว่า ประวัติศาสตร์ ถูกเขียนโดยผู้ชนะ ... อันนี้ที่ได้ยินมานะคะ
คนแพ้คงตายไปแล้ว ไม่ก็หนีหัวซุกหัวซุน โดนขัง.. ไม่มีเวลาเขียนมั้ง
อัลกุรอาน กับ ไบเบิล
เขียนถึงพระเยซูต่างกัน จะเชื่ออันไหนดีละ งานนี้
แถมอยู่ๆก็มี Jesus In india โผล่มาอีก
ต่างคนต่างเล่าอ้าง
อาจจะสรุปได้หรือไม่ว่า "ประวัติศาสตร์ ไม่มีใครรู้จริง"
คนชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อันนี้เป็นความจริงในทุกๆประเทศ
แต่พงศาวดารในประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์อาจจะพอเชื่อถือได้มากหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้องเป็นความจริงทั้งหมด
เท่าที่เคยอ่านๆมานี่พงศาวดารตั้งแต่อยุธยามาถึงรัตนโกสินทร์ หลายๆเรื่องถูกบรรจุในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาฯ แต่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลยด้วยซ้ำ
อย่างเรื่องสงครามไทยรบพม่านี่ถ้าไปศึกษาพงศาวดารพม่า และหลักฐานของฝรั่งก็จะพบหลายๆเรื่องที่ไม่ตรงกับพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยา
อย่างเรื่องพระนเรศวรทรงชนช้างชนะและฟันพระมหาอุปราชาขาดคอช้าง อันนี้พงศาวดารพม่าบันทึกเพียงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในสนามรบเพราะทรงถูกกระสุนปืน (ไม่รู้ว่าของฝ่ายอโยธยา หรือของฝ่ายหงสาฯเองด้วยซ้ำ) และไม่ได้กล่าวถึงเรื่องชนช้างเลย เรื่องพระนเรศวรทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำอันนี้ก็ยังน่าสงสัย เพราะแม่น้ำสะโตงที่ว่านี่กว้างมาก ปืนสมัยนั้นไม่น่าจะยิงข้ามได้
ยิ่งมาถึงเรื่องสมัยพระเจ้าตากสินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เอามาเขียนใส่ไข่กันเป็นตุเป็นตะ
แต่พงศาวดารในประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์อาจจะพอเชื่อถือได้มากหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้องเป็นความจริงทั้งหมด
เท่าที่เคยอ่านๆมานี่พงศาวดารตั้งแต่อยุธยามาถึงรัตนโกสินทร์ หลายๆเรื่องถูกบรรจุในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาฯ แต่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลยด้วยซ้ำ
อย่างเรื่องสงครามไทยรบพม่านี่ถ้าไปศึกษาพงศาวดารพม่า และหลักฐานของฝรั่งก็จะพบหลายๆเรื่องที่ไม่ตรงกับพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยา
อย่างเรื่องพระนเรศวรทรงชนช้างชนะและฟันพระมหาอุปราชาขาดคอช้าง อันนี้พงศาวดารพม่าบันทึกเพียงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในสนามรบเพราะทรงถูกกระสุนปืน (ไม่รู้ว่าของฝ่ายอโยธยา หรือของฝ่ายหงสาฯเองด้วยซ้ำ) และไม่ได้กล่าวถึงเรื่องชนช้างเลย เรื่องพระนเรศวรทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำอันนี้ก็ยังน่าสงสัย เพราะแม่น้ำสะโตงที่ว่านี่กว้างมาก ปืนสมัยนั้นไม่น่าจะยิงข้ามได้
ยิ่งมาถึงเรื่องสมัยพระเจ้าตากสินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เอามาเขียนใส่ไข่กันเป็นตุเป็นตะ
มานั่งคิดย้อนกลับไป สุดท้ายสิ่งที่เรียนมา จะรู้ได้ไหมเนี่ยว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิดsansrepos เขียน: คนชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อันนี้เป็นความจริงในทุกๆประเทศ
แต่พงศาวดารในประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์อาจจะพอเชื่อถือได้มากหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้องเป็นความจริงทั้งหมด
เท่าที่เคยอ่านๆมานี่พงศาวดารตั้งแต่อยุธยามาถึงรัตนโกสินทร์ หลายๆเรื่องถูกบรรจุในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาฯ แต่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลยด้วยซ้ำ
อย่างเรื่องสงครามไทยรบพม่านี่ถ้าไปศึกษาพงศาวดารพม่า และหลักฐานของฝรั่งก็จะพบหลายๆเรื่องที่ไม่ตรงกับพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยา
อย่างเรื่องพระนเรศวรทรงชนช้างชนะและฟันพระมหาอุปราชาขาดคอช้าง อันนี้พงศาวดารพม่าบันทึกเพียงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในสนามรบเพราะทรงถูกกระสุนปืน (ไม่รู้ว่าของฝ่ายอโยธยา หรือของฝ่ายหงสาฯเองด้วยซ้ำ) และไม่ได้กล่าวถึงเรื่องชนช้างเลย เรื่องพระนเรศวรทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำอันนี้ก็ยังน่าสงสัย เพราะแม่น้ำสะโตงที่ว่านี่กว้างมาก ปืนสมัยนั้นไม่น่าจะยิงข้ามได้
ยิ่งมาถึงเรื่องสมัยพระเจ้าตากสินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เอามาเขียนใส่ไข่กันเป็นตุเป็นตะ
เมื่อเวลาผ่านไป หลายๆอย่างก็จะกระจ่างขึ้นครับ แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี เอาว่าเรารู้แค่พอสังเขป เก็บเอาบทเรียนที่มีประโยชน์ไปใช้กับชีวิตในยุคปัจจุบันก็น่าจะ OK แล้วครับtaiyo เขียน:มานั่งคิดย้อนกลับไป สุดท้ายสิ่งที่เรียนมา จะรู้ได้ไหมเนี่ยว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิดsansrepos เขียน: คนชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อันนี้เป็นความจริงในทุกๆประเทศ
แต่พงศาวดารในประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์อาจจะพอเชื่อถือได้มากหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้องเป็นความจริงทั้งหมด
เท่าที่เคยอ่านๆมานี่พงศาวดารตั้งแต่อยุธยามาถึงรัตนโกสินทร์ หลายๆเรื่องถูกบรรจุในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาฯ แต่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลยด้วยซ้ำ
อย่างเรื่องสงครามไทยรบพม่านี่ถ้าไปศึกษาพงศาวดารพม่า และหลักฐานของฝรั่งก็จะพบหลายๆเรื่องที่ไม่ตรงกับพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยา
อย่างเรื่องพระนเรศวรทรงชนช้างชนะและฟันพระมหาอุปราชาขาดคอช้าง อันนี้พงศาวดารพม่าบันทึกเพียงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในสนามรบเพราะทรงถูกกระสุนปืน (ไม่รู้ว่าของฝ่ายอโยธยา หรือของฝ่ายหงสาฯเองด้วยซ้ำ) และไม่ได้กล่าวถึงเรื่องชนช้างเลย เรื่องพระนเรศวรทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำอันนี้ก็ยังน่าสงสัย เพราะแม่น้ำสะโตงที่ว่านี่กว้างมาก ปืนสมัยนั้นไม่น่าจะยิงข้ามได้
ยิ่งมาถึงเรื่องสมัยพระเจ้าตากสินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เอามาเขียนใส่ไข่กันเป็นตุเป็นตะ
คือถ้าเป็นสงครามก็จะเป็นแบบนั้น ใครชนะ ของคนนั้นก็จะดูมีน้ำหนักมากกว่า ดูน่าเชื่อมากกว่าBuddy เขียน:ไม่ใช่ว่า ทุกประเทศในโลกก็เป็นแบบนี้เหรอคะ : xemo016 :sasuke เขียน: เรื่องพรรค์นี้พูดยากครับ
แต่ในฐานะคนที่พอรู้ประวัติศาสตร์ มีความคิดว่าว่าพงศาวดารไทยเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
เพราะ "เหนือหัว" สั่งให้เขียน ถ้าเขียนไม่ถูกใจ "เหนือหัว" หรือเขียนแล้ว "เหนือหัว" จะถูกด่า ก็ห้ามเขียนครับ
มีคนบอกว่า ประวัติศาสตร์ ถูกเขียนโดยผู้ชนะ ... อันนี้ที่ได้ยินมานะคะ : xemo017 :
มีเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นบุกรุกนานกิง เข่นฆ่าประชาชนชายนับไม่ถ้วน และข่มขืนผู้หญิงแทบทั้งเมือง...
ญี่ปุ่นชนะการรบ ณ จุดนั้นจริง และพยายามเขียนประวัติศาสตร์ใหม่กลบเกลื่อนความผิดที่ทำ
แต่คิดว่าประชาคมโลกเค้าเชื่ออะไรที่ญี่ปุ่นเขียนไหมล่ะครับ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%87
ไม่ได้ขอให้เชื่อ แต่ให้พิจารณาไว้เป็นทางเลือกครับ
การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ได้สำคัญแค่ว่า "เกิดอะไรขึ้น"
ที่สำคัญกว่าคือ "ทำไมถึงเป็นแบบนั้น" มีเหตุการณ์ใดที่ผลักดันให้เกิดขึ้น
และเหตุการณ์นี้ส่งผลอย่างไรต่ออนาคต มีผลต่อโลกปัจจุบันและต่อเราอย่างไร
ถ้ามัวแต่มานั่งเถียงว่า "เกิดอะไรขึ้น" ก็จะไม่จบซะที เพราะอย่างที่ผมบอกว่าไม่มีใครรู้จริง
โดยเฉพาะเรื่องเก่าๆสมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น เพราะการบันทึกเหตุการณ์ถูกควบคุมโดยกษัตริย์
ถ้าอยากจะคาดเดาความจริง ก็ให้ฟังหลายๆคนเล่า หลายๆหลักฐาน หลายๆเหตุผลในการตีความครับ
ที่ผมพูดในที่นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้ใครทะเลาะกัน
แต่ผมอยากให้ปัญญาชนคนไทยอย่ามัวแต่หลงกับประวัติศาสตร์แบบผิดๆ
คิดกันเยอะๆ อย่าเชื่อเพราะแค่ได้ยินเค้าเล่ามา
ปล. ยิ่งเดี๋ยวนี้มีทฤษฎีเยอะแยะไปหมด แต่ละอันแฟนตาซีไม่แพ้พงศาวดารเลย
เดี๋ยวก็คนโน้นยิงคนนี้ตาย หรือที่แท้จริงยังไม่ตาย คนโน้นมีชู้ หรือคนนี้เป็นเอดส์เป็นมะเร็ง
และไม่น่าเชื่อว่ามีคนพูดถึงเรื่องกลับชาติมาเกิดด้วย 555+
แต่ก็อย่างว่า ไม่มีใครรู้จริงซักคน พี่ไทยฟังเค้าเล่ามาทั้งนั้น
แก้ไขล่าสุดโดย sasuke เมื่อ พุธ ก.ย. 23, 2009 12:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
ฮ่ะๆๆ ...Holy เขียน: เหมือนบางคนจะรับไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดมีพระมหากษัตริย์ไทยสักองค์เป็นคริสต์
คิดเหมือนผมเลยพี่
ผมว่าเป็นคริสต์หรือเป็นพุทธนั่นไม่สำคัญหรอกHoly เขียน: เหมือนบางคนจะรับไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดมีพระมหากษัตริย์ไทยสักองค์เป็นคริสต์
ถ้าสมมติว่า...เกิดในหลวงของเรากลายเป็นคริสต์ขึ้นมา
แล้วคนที่รักในหลวงอยู่แล้วเค้าจะหันหนีเหรอครับ ผมว่าไม่แน่ๆ...
สิ่งที่ทำให้คนรักในหลวงก็คือสิ่งที่เราได้รับ สิ่งดีๆที่พระองค์ทำให้เรา
ไม่ใช่เพียงเพราะพระองค์นับถือศาสนาเดียวกับเรา กับพระชัยราชาธิราชก็เช่นกัน
แค่เปลี่ยนศาสนาไม่สามารถเปลี่ยนความดีที่เค้าทำไปหรอกครับ
-
- โพสต์: 124
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 30, 2009 5:18 pm
- ที่อยู่: ขอนแก่น
†ลูกแกะพระเจ้า...
^
^
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
เหมือนบางคนเขาจะรับไม่ได้ หรืออาจจะไม่ยอมแม้แต่จะเปิดใจยอมรับเลย หากมีหน่อเนื้อสันตติวงศ์สักพระองค์เป็นคาทอลิก
^Holy เขียน: เหมือนบางคนจะรับไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดมีพระมหากษัตริย์ไทยสักองค์เป็นคริสต์
^
^
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
เหมือนบางคนเขาจะรับไม่ได้ หรืออาจจะไม่ยอมแม้แต่จะเปิดใจยอมรับเลย หากมีหน่อเนื้อสันตติวงศ์สักพระองค์เป็นคาทอลิก
Deo Gratias เขียน: ขอบคุณค่ะ
ได้ความรู้เกี่ยวกับพี่น้องคาทอลิกเพิ่มขึ้นมากมาย
อย่างงี้คริสตชนไทยเราน่าจะมาเริ่มต้นกันใหม่ เพื่อนำความเป็นเอกภาพของเรากลับคืนมา
91.) ในประเทศไทย เรียก คาทอลิก ว่า คริสตัง และเรียก โปรเตสแตนท์ ว่า คริสเตียน
92.) ในภาษาอังกฤษ คำว่า คริสเตียน เป็นคำรวมๆ ทั้งคาทอลิก และโปรเตสแตนท์
โดยเรียกรวมๆ ทั้งคาทอลิก และโปรเตสแตนท์ว่า "คริสตชน"(ยกเว้นกรณีต้องการเจาะจง)
ดีไหมคะ
ชอบตรงข้อความของคุณตรงนี้ครับ "คริสตชนไทยเราน่าจะมาเริ่มต้นกันใหม่ เพื่อนำความเป็นเอกภาพของเรากลับคืนมา"
โดยเรียกรวมๆ ทั้งคาทอลิก และโปรเตสแตนท์ว่า "คริสตชน"