ชายหนุ่มที่กำลังปลุกระดมประชาชนไปทั่วประเทศ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2009 11:47 pm

*ผมเชิญชวนให้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ ดีมากๆๆ ของคุณพ่อโรแบต์
*นี่รูปคุณพ่อ คุณพ่ออายุมากแล้วภาวนาเพื่อคุณพ่อด้วยครับ
http://thaipriest.cbct.net/interview/pc ... etmep.html


หน้า 161 - 169
บทที่ 11 "ความรักเมตตา"ปฏิรูปสังคม,หัวใจธรรมทูต แรงบันดาลใจจากพระวาจา
คุณพ่อ เอลัว เลอแกลร์ คณะฟรังซิสกัน เขียน
คุณพ่อ โรแบต์ โกสเต,M.E.P แปล


รูปภาพ

ชายหนุ่มที่กำลังปลุกระดมประชาชนไปทั่วประเทศ ด้วยคำเทศนาและทำการอัศจรรย์นี้
ไม่ได้เป็นนักปฏิวัติที่รุนแรง อย่างไรก็ดี ก็เป็นบุคคลที่น่ากลัวและเป็นอันตราย
เพราะว่าท่านกำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง คนจน คนไม่มีความรู้ คนบาป คนถูกตัดออกจากสังคม
คนทั้งหมดนี้กำลังจะลืมตาอ้าปากอาศัยพระเยซู "พวกเขาได้พบความสุขที่เขาไม่ได้นึกฝันมาก่อน"
สำหรับเขาแล้ว,การประทับอยู่ของพระองค์เป็นการพบบุคคลที่น่าพิศวง

หมดเวลาของการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความละอายที่ถูกสบประมาท
เขาได้รับศักดิ์ศรีที่ดูเหมือนจะหมดหวังแล้วกลับคืนมา
เขาเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงรักเขามากกมาย


โอ!... การเป็นคนยากจนเป็นสภาพที่น่าพิศวงเมื่อได้รับความรักเช่นนี้
ชายหญิงเหล่านี้รู้สึกว่า(ดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณ)อาศัยประกาศกใหม่ท่านนี้
มีอะไรที่เฉียบขาดซึ่งจะเปลี่ยนกลับอีกไม่ได้ แต่พึ่งได้ เกิดขึ้นแล้ว

เขาได้พบพระเจ้าที่เสด็จมาใกล้ชิดเขาที่มีความเมตตาและความรักให้กับเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

รูปภาพ

เป็นอะไรที่รุนแรง น่าตื่นเต้น ประดุจเสียงคลื่นทะเลในวันที่เกิดพายุอย่างรุนแรง ทะเลบ้าคลั่ง
และในเวลาเดียวกันเป็นอะไรที่อ่อนหวานนุ่มนวลที่ได้สัมผัสเขา
ใช่แล้ว วันที่พระเจ้าจะแสดงความรักอ่อนหวานต่อแผ่นดินได้มาถึงแล้ว
เมื่อมิตรสนิทของพระเจ้าเสด็จมา ฟ้าสูงและยิ่งใหญ่ จะลดลงมาถึงพื้นดิน

แน่นอน ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม
แต่มันจับมือมนุษย์และพยุงให้ลุกขึ้นด้วยความเมตตายิ่ง

รูปภาพ

ความรักอันอ่อนหวานนั้นไม่ใช่ความรักที่จอมปลอมหรือเป็นไปตามอำเภอใจของมัน
ความรักอ่อนหวานนั้นมีความร้อนรนดังถ่านไฟแดง
เมื่อความรักนั้นได้สัมผัสผู้ใดก็จะลุกโชน

เมื่อเราสัมผัสความเร่าร้อนของความรักนั้น
เราได้รับการผลักดันให้ดำเนินชีวิตแบบใหม่
เมื่อเรารู้สึกได้ถึงความรักเช่นนั้นในตัวเรา
เราก็เข้าไปในกระแสที่นำเราไปไกลแสนไกล
เรากลายเป็นเพื่อนของบุคคลที่เมื่อก่อนอยู่ห่างไกลจากเรา
เพราะความรักนั้นในตัวเราจึงได้รับพลังของการปฏิวัติ
นั่นคือ การปฏิวัติของความรัก


(มีต่อครับ)

ปล. ผมยังทำพระสมณสาส์นว่าด้วยศีลมหาสนิทกับว่าด้วยการนับถือพระแม่มารีย์ยังไม่เสร็จ ไว้จะมาต่อให้นะครับ
Little Boy
โพสต์: 250
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 3:33 am

อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2009 11:56 pm

นั่งรอฟังต่อนะครับ  : xemo016 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2009 11:59 pm

แหม หายหน้าไปเสียนาน..

ยินดีต้อนรับ..น้อง Man Of  Macedonia จ้า..

มาพร้อมกับสาระดีดีมากมาย..ขอบคุณนะ..

รออ่านต่อนะคร๊าบ..บ...  : emo010 :

ปล. 23 นี้ขึ้นเหนือ จะไปเที่ยวและจะเอาพระพรแห่งความรักและการให้มากฝากนะ :)

ไว้เจอกันช่วงปีใหม่จ้า... : emo045 :
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 12:17 am

ครั้งนั้น คัมภีราจารย์คนหนึ่งได้ถามพระเยซูเจ้าว่า

"ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า?"

พระเยซูเจ้าทรงตอบด้วยคำอุปมาดังต่อไปนี้

"ชายคนหนึ่ง กำลังเดินทางจากเยซูซาเล็ม ไปยังเยริโค เขาถูกโจรปล้นเอาทุกสิ่งที่มี ทุบตีเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วโจรก็จากไปทิ้งเขาไว้อาการปางตาย สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้น เห็นเขาแล้วแต่ก็เดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ต่อมาชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาแล้ว ก็เดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆเห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหาเขาเทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผล แล้วพันแผลให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้น ชาวสะมาเรียผู้นั้นได้มอบเงินเหรียญไว้ให้กับเจ้าของโรงแรมกล่าวว่า : ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ ฉันจะจ่ายคืนให้เมื่อกลับมา"

พระเยซูเจ้าทรงถามคัมภีราจารย์คนนั้นว่า
"ท่านคิดว่า ในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น?"

เขาทูลตอบว่า"คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา"
พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า"ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด"(ลก 10:29-37)

ต่อจากคำถามของนักกฎหมาย : ใครเป็นเพื่อนมนุษย์?

พระเยซูเจ้าได้ตั้งคำถามอีกคำถามหนึ่ง คือ
"ใครได้แสดงตนเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ตกทุกข์ได้ยาก?"

ความหมายของคำว่า"เพื่อนมนุษย์"เปลี่ยนกลับไป
ก่อนจะทำอะไร เราไม่ต้องถามต่อว่า"ใครเป็นเพื่อนมนุษย์"

เราต้องเข้าไปหาคนอื่น เราจึงจะกลายเป็นเพื่อนของเขา

เพื่อนมนุษย์ไม่ใช่คนที่อยู่ใกล้เราจากสายเลือด เผ่าพันธุ์ ชนชั้นในสังคมหรือศาสนาอีกต่อไปแล้ว
แต่เป็นมนุษย์ทุกคนที่เราเข้าไปหาเขาด้วยความรู้สึกสงสาร หรือด้วยความรัก
ชาวสะมาเรียผู้นี้เป็นคนต่างด้าว
เขาได้กลายเป็นเพื่อนของคนที่ตกทุกข์ได้ยาก
เพราะเขาเกิดความสงสาร และเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหลือ


ความหมายใหม่ของคำว่า"เพื่อนมนุษย์"นั้น รวมไว้ในพระธรรมล้ำลึกเรื่องพระเจ้า

ดังที่พระเยซูเจ้าทรงประสบในชีวิตที่ลึกล้ำของพระองค์และทรงกระทำให้เป็นปัจจุบันในโลกนี้
ด้วยพระเมตตาสงสารอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าเสด็จมาหามนุษย์ที่ได้รับบาดแผล

"พระองค์ได้เสด็จมาเป็นเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เป็นเพื่อนมนุษย์ของมนุษย์ด้วยกันไปตามลำดับ"

พระอาณาจักรของพระเจ้าที่พระเยซูทรงประกาศ ได้แก่ คุณลักษณะใหม่ของความสัมพันธ์กันเป็นสิ่งสำคัญ
เป็นคุณลักษณะของความสัมพันธ์กันกับความรักอันอ่อนหวานของพระเจ้าที่มีต่อแผ่นดิน
พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า

"กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมอยู่เหนือผู้อื่น และผู้ที่มีอำนาจจะเรียกตนเองว่าเจ้าบุญนายคุณ แต่ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นเช่นนั้น ท่านที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจงทำตนให้เป็นผู้น้อยที่สุด ท่านที่เป็นผู้นำจงเป็นผู้รับใช้ ใครเล่าจะยิ่งใหญ่กว่า ผู้ที่นั่งโต๊ะ หรือผู้รับใช้?มิใช่ผู้ที่นั่งโต๊กหรอกหรือ?แต่เราอยู่ในหมู่ท่าน เหมือนเป็นผู้รับใช้จริงๆ"(ลก 22:25-26)

(มีต่อครับ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 1:18 am

ณ ที่นี้ ความนึกคิดใหม่เกี่ยวกับการมีอำนาจเริ่มปรากฎ
และจะทำให้เกิดวิถีดำเนินชีวิตร่วมกันแบบใหม่
เป็นการเปิดการชุมนุมกันของมนุษย์แบบใหม่ที่ได้รับการดลใจจากการที่พระเจ้าเสด็จมาสถิตใกล้มนุษย์
อาศัยพลังแห่งความเมตตาและความรักอ่อนหวานที่มาจากพระบิดาแห่งสวรรค์

การชุมนุมแบบใหม่นี้ไม่ใช่การครอบครองผู้อื่นโดยใช้อำนาจ
แต่เป็นภราดรภาพที่เป็นสารัตถะสำคัญ
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"ทุกคนเป็นพี่น้องกันในโลกนี้ พระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียว คือ พระบิดาเจ้าสวรรค์"(มธ23:8-9)
เราจะปกครองแบบเป็นการรับใช้พี่น้อง และ
แต่ละคนจะแสดงความเมตตาและความรักของพระบิดาด้วยท่าทีของตน
จะกระทำตัวเป็นเพื่อนบ้านของคนอื่น เป็นต้น คนอ่อนแอและต่ำต้อยกว่าเพื่อน

ในสังคมโบราณมีมนุษย์สองประเภทที่ไม่มีความสำคัญ คือ สตรีและเด็กๆ ที่เราพบสองครั้งใน มธ 14:21,15:38
แสดงความรู้สึกนึกคิดของคนสมัยนั้นเป็นอย่างดี เขาไม่นับสตรีและเด็กๆ
เพราะพวกเขาไม่มีความสำคัญในชีวิตสาธารณะ
สตรีและเด็กไม่มีสิทธิ์ในชีวิตฐานะพลเมือง เขาเป็นมนุษย์ชั้นสอง
บ่อยครั้งสตรีถูกดูถูก อยู่ใต้อำนาจของชาย
มีหน้าที่เป็นผู้รับใช้หรือทาสของชาย ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีเกียรติ
แม้นในฐานะ ลูกสาว แม่ หรือ ภรรยา และต้องรับใช้ฝ่ายชายอยู่เสมอ
พระเยซุเจ้าทรงมองเห็นสตรีในแง่มุมใหม่ พระองค์ทรงมองเห็นสตรีในแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังจะมา
พระองค์ทรงแสดงองค์ด้วยความสุภาพ
ต้อนรับคำขอร้องของสตรีเท่าเทียมกับผู้ชาย

รูปภาพ

บ่อยครั้งพระองค์ไม่ทรงรอให้สตรีร้องขอให้ช่วยเรื่องทุกข์ร้อนมายังพระองค์ก่อน
แต่พระองค์ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วเช่น กรณีที่สตรีคนหนึ่งได้รับความทรมานด้วยโรคตกโลหิตมานานหลายปี
และเพียงยื่นมือไปสัมผัสด้านหลังของฉลองพระองค์เท่านั้น ก็รู้สึกว่า หายสนิทจากโรคนั้น

พระเยซูเจ้าจึงทรงเปิดเผยให้สตรีทราบว่าพระเป็นเจ้าเสด็จมาใกล้พวกเขาด้วย
พระองค์ทรงเมตตาและทรงแสดงความรักต่อพวกเขาด้วยการรักษาเขาให้หาย และด้วยการให้อภัย

รูปภาพ

นี่เป็นความหมายลึกๆของการรักษาสตรีหลังค่อมให้ยืดตัวตรงที่ถูกห้ามในวันสับบาโตไม่ใช่หรือ?
สตรีผู้นี้ ก็ไม่ได้ขออะไรเช่นกัน แต่พระเยซูเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นนางจึงทรงรู้สึกตื้นตันพระทัยในความทุกข์ร้อน
และเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของนาง สิบแปดปีมาแล้ว ที่นางทนทรมานจากความพิการนี้
และดำเนินชีวิตที่ต้องก้มหน้าอายผู้คนมาตลอดเวลา

ตามความคิดของผู้คนในสมัยนั้น มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่ล่ามโซ่นางไว้เช่นนี้ได้
ในขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาประกาศโลกใหม่นี้
พระองค์ทรงทนดูสถาพเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
ขณะเดียวกันนอกจากความพิการทางร่างกายนี้แล้ว
พระองค์ทรงมองดูสถาพอันต่ำต้อยและการขาดอิสรภาพของสตรีด้วย ใช่ไหม?
สตรีหลังค่อมนี้ เป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่ถูกคุกคามจากฝ่ายชายที่ใช้อำนาจดูถูกกดขี่ข่มเหง
และการที่สตรีนี้ได้รับการรักษาให้สามารถยืดตัวตรงได้

เป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่ได้รับการปลดปล่อย ได้รับศักดิ์ศรีกลับคืนมาในสายพระเนตรของพระเยซูเจ้า

ศักดิ์ศรีนั้นศักดิ์สิทธิ์กว่าวันสับบาโต

พระเยซูเจ้าทรงโต้ตอบต่อหัวหน้าศาลาธรรมที่ไม่พอใจ เมื่อเห็นชาวบ้านมารับการรักษาในวันสับบาโต
พระองค์กล่าวว่า"หญิงผู้นี้เป็นบุตรของอับราฮัม ไม่ควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ?"(ลก 13:10-16)

รูปภาพ

พระเยซูเจ้าทรงต้อนรับและคืนอิสรภาพ
ไม่เพียงแต่แก่ลูกสาวของอับราฮัมเท่านั้น
เรื่องผู้หญิงต่างศาสนาเชื้อสายซีโรฟีนีเซียที่ได้มาอ้อนวอนพระองค์เพื่อลูกสาวที่ซาตานมาก่อกวน
ดูเหมือนว่าครั้งแรก พระเยซูเจ้าได้ปฏิเสธคำขอร้องโดยทรงอ้างว่า

พระองค์ได้ถูกส่งมาเพื่อแกะที่พลัดฝูงของชาติอิสราแอล และไม่เป็นการดีที่จะเอาปังสำหรับลูกๆโยนให้ลูกสุนัข

อย่างไรก็ดี พระองค์ทรงอดที่จะชมเชยหญิงนั้นไม่ได้
เมื่อนางตอบต่อพระองค์ด้วยวาจาที่เฉียบแหลม สุภาพ และไว้วางใจว่า

ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะ ยินดีที่จะกินเศษขนมปังของลูกๆที่หล่นจากโต๊ะ
พระองค์จึงทรงประทานตามที่นางขอทันที

(มธ15:21-28,มก7:24-30)

(มีต่อครับ)
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 6:46 am

ขอบคุณมากค่ะน้อง  Man of Macedonia  : emo045 : : xemo026 :

ดีมากเลยค่ะ นำเสนอ สิ่งดีที่มีคุณค่าในสังคม

ขอพระเจ้ารดน้ำความรักและความดีในตัวน้องให้มากๆ ยิ่งขึ้นไปนะคะ

ขอพระอวยพรค่ะ : emo027 :
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ ธ.ค. 21, 2009 12:28 pm

การที่พระเยซูเจ้าทรงต้อนรับสตรีบางคนอย่างใกล้ชิดซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดประเพณี
ไม่ใช่เพราะการรับใช้ธรรมดาที่บรรดาอัครสาวกได้รับจากนางเท่านั้น
แต่พระเยซูเจ้าทรงมองไปไกลกว่าความสำนึกทั่วไปของคนในสมัยของพระองค์
พระองค์ทรงมองเห็นเขาในบรรยากาศของพระอาณาจักรกำลังใกล้เข้ามา
เป็นการมองด้วยสายพระเนตรที่ช่วยกอบกู้เขาตามความหมายแท้ของคำนี้
ลูกาเล่าเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยให้เห็นว่า เป็นการมองในแง่มุมใหม่
เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดี

รูปภาพ

"พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมาร์ธาได้ต้อนรับพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ ขณะที่พระองค์อยู่ที่นั่นมารีย์ได้นั่งอยู่แทบพระบาทพระองค์ มาร์ธากำลังยุ่งกับการปรนนิบัติรับใช้ จึงมาทูลว่า:พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันให้ปรนนิบัติรับใช้คนเดียว ขอพระองค์บอกเขาให้ช่วยดิฉันบ้าง แต่พระองค์ทรงตอบว่า :มาร์ธา มาร์ธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด ซึ่งจะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้"(ลก10:38-42)

มีบางคนเข้าใจว่า
พระวาจาของพระเยซูเจ้านี้ยืนยันถึงความล้ำเลิศของการพิศเพ่งที่สูงกว่ากิจการใดๆ
แต่พระวาจานี้มีความหมายที่แตกต่างออกไป
เรื่องดังกล่าวเป็นการแจ้งข่าวดี เป็นการประกาศการปลดปล่อยสตรี

มาร์ธาวุ่นวายใจมากเพื่อต้อนรับแขกอย่างดี
นางกังวลใจเกินไป เหตุว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้เข้าไปที่บ้านเหมือนดังคนที่เข้าไปในภัตตาคาร หรือโรงแรม
เพื่อรอรับการบริการอย่างเดียว แต่พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านนี้เพื่อนำบางสิ่งบางอย่างมาให้

มาร์ธาไม่เข้าใจความหมายที่พระองค์เสด็จมา
นางไม่ได้ต้อนรับพระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงนำข่าวดีมา

นางไม่ได้หาเวลาเพื่อฟังพระองค์ผู้ทรงเป็นพระสุรเสียงที่มาจากที่อื่น
ผู้ทรงนำสารเรื่องพระเจ้าเสด็จมาใกล้
มาร์ธาต้อนรับพระองค์ตามประเพณีการต้อนรับแขกทั่วไป
ดังนั้น นางได้ปฏิบัติตามอุดมการณ์ของสตรีดังที่สังคมได้กำหนดไว้อย่างตายตัว

เป็นรูปแบบของแม่บ้านอย่างแท้จริง
แต่ในฐานะแม่บ้านนี้ นางเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีต่อผู้ชาย
แน่นอน ที่มาร์ธาต้องถือว่าเป็นเกียรติที่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างดี
นางเป็นต้นแบบของสตรีที่ถูกกำหนดไว้เป็นผู้รับใช้

มาร์ธาได้ปฏิบัติตนต้อนรับในระดับที่ดีมาก
จนกระทั่ง ถือว่า ท่าทีของน้องสาวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมดา
และการที่พระเยซูเจ้าไม่ติติงหรือตักเตือนมารีย์ให้ปฏิบัติหน้าที่ของสตรี
ก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมดาด้วย

พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ
ที่น้องสาวปล่อยดิฉันให้ปรนนิบัติรับใช้คนเดียว?
ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง

มาร์ธาอาจจะรู้สึกอิจฉามารีย์อยู่บ้าง?
แต่แน่นอนสำหรับมาร์ธานั้น หน้าที่ของสตรีคือการปรนนิบัติรับใช้

ฝ่ายพระเยซู ไม่เพียงแต่ไม่ทรงตอบสนองคำขอร้องของมาร์ธาเท่านั้น
แต่ยังตำหนินางที่วุ่นวายทำงานมากไปจนลืมสิ่งเดียวที่พระองค์ถือว่าจำเป็น

ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่สนพระทัยเรื่องการรับใช้ธรรมดาๆ
ที่นางได้กระทำในบ้านนั้นเลย ในกรณีอื่น พระองค์ได้ทรงแสดงองค์เป็นผู้บริการคนอื่นที่โต๊ะ
และจะทรงชวนสานุศิษย์ให้ปฏิบัติตามแบบฉบับของพระองค์
แต่ในที่นี้ พระองค์ทรงติเตียนความกังวลวุ่นวายของมาร์ธา
พระองค์ทรงเตือนนางไม่ให้เป็นทาสของงานที่เป็นหน้าที่ของตนเอง
ซึ่งสังคมของผู้ชายได้กำหนดไว้ให้เป็นหน้าที่ของสตรี

(มีต่อครับ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อังคาร ธ.ค. 22, 2009 7:28 pm

รูปภาพ

สังเกตว่าพระเยซูเจ้าทรงมองดูสตรีด้วยสายพระเนตรใหม่ๆ
พระองค์ไม่ยอมจำกัดบทบาทของสตรีที่มีประโยชน์อยู่มากมายในบ้าน
พระองค์ไม่ทรงถือว่าสตรีเป็นเครื่องมือรับใช้ผู้ชาย
ในสายพระเนตรของพระเยซูเจ้า สตรีไม่ใช่ถูกจำกัดให้มีเฉพาะหน้าที่การเท่านั้น

แต่มีกระแสเรียกด้วย สตรีได้รับการเรียกร้องให้มีชีวิต

นอกเหนือจากสภาพที่สังคมของผู้ชายต้องการที่จะจำกัดบทบาทของพวกเธอให้เป็นทาส
สตรีก็เช่นกัน พวกเธอได้รับโชคชะตาให้ดำรงชีวิตในแสงสว่างของพระอาณาจักร
ให้มีประสบการณ์ในการอยู่ใกล้ชิดความรักอันอ่อนหวานของพระเจ้าที่ได้เกิดขึ้นในโลกนี้
และให้มีอิสรภาพดังบุตรของพระเจ้า

เหตุการณ์ที่กำลังปรากฎขึ้นคือ
พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับสตรีโดยตรงด้วย
พระเยซูเจ้าทรงมองดูสตรีในแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง
ในการที่พระเยซูเจ้าตำหนิมาร์ธา พระองค์ประสงค์จะปลุกสตรีให้

เกิดความสำนึกตนเสียใหม่ในส่วนของตนเองที่ต้องอยู่เหนือบทบาทและชนชั้นที่สังคมกำหนดให้

ในที่สุดเขาก็ยอมรับ พระเยซูเจ้าทรงป้องกันสตรีจากตัวของเขาเองในส่วนที่ดีที่สุดของตัวเอง
ในที่นี้พระองค์ทรงมาช่วยให้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมา
ช่วยให้หลุดรอดพ้นดังที่พระองค์ทรงกระทำอย่างต่อเนื่อง
พระองค์ทรงคืนอิสรภาพเพื่อให้สตรีที่ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ดำรงชีพอย่างผู้มีศักดิ์ศรี

รูปภาพ

ในกรณีนี้ เป็นเส้นทางสู่อิสรภาพที่แท้จริง มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด
ไม่มีใครสามารถบังคับให้สตรีมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์แบบได้
สตรีเป็นผู้ที่ต้องเลือกเอง สมัครใจด้วยตนเอง และแสวงหาอิสรภาพด้วยตนเอง
นักเขียนหญิงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งได้เขียนไว้ว่า:"เราไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิง แต่เรากลายเป็นผู้หญิง"
มารีย์ได้เลือกมีชีวิตตามส่วนที่สูงสุด และการเป็นสตรีที่แท้จริงของเขา
แสดงอิสรภาพในการเป็นตัวของตัวเองแล้ว

เป็นหนทางสู่อิสรภาพ และยังเป็นการให้เปล่าอีกด้วย
ขณะที่มาร์ธาต้องการงานที่ดี และมีความอดทนมากเพื่อจะได้เกิดผลดี

ขณะนั้น ดูเหมือนว่า มารีย์ไม่ได้ทำอะไรเลย เธออยู่เงียบๆฟังพระวาจา
เพียงแต่เธอได้ถวายที่ในตัวเองสำหรับพระอาณาจักรที่กำลังจะมา
เธอต้อนรับการเสด็จของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดตามที่พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยให้เธอทราบ

กล่าวได้ว่า มารีย์เป็นผู้รับฝ่ายเดียว แต่ในสายตาของมาร์ธาเธอไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม พระอาจารย์ได้แสดงความยินดีกับมารีย์
เหตุว่า ในสตรีสองคนนี้เป็นมารีย์ที่ได้เข้าสู่กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง
และดังนั้น จึงเป็นเหตุที่ทำให้มโนธรรมก้าวหน้า สามารถเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น และเข้าใจความเป็นสากลมากขึ้น

การฟังพระสุรเสียงของพระบิดา ไม่เพียงแต่ให้พระอาณาจักรมาถึงตนเองอย่างสมบูรณ์
และรับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการพบส่วนที่ดีสูงสุดของตนอย่างแน่นอน
และเข้าสู่หนทางสู่อิสรภาพของชีวิตอย่างแท้จริง พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแบบทรงให้เปล่า
เปิดช่องให้มนุษย์สามารถมองดูตัวเอง ไม่ใช่ในแง่มุมของปัจจัย หรีอเป็นส่วนประกอบแต่เป็นอิสรภาพและศักดิ์ศรี
การที่พระเจ้าทรงสถิตใกล้ชิดมนุษย์ด้วยความรักอ่อนหวานหาที่เปรียบมิได้ เป็นเชื้อที่ช่วยพัฒนามโนธรรมของมนุษย์
เป็นพลังการเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์อย่างเบ็ดเสร็จนั้นอยู่ในสารบบของพระเยซูเจ้า ตรงนี้เอง

ความรักอันอ่อนหวานของพระเจ้า เป็นพลังอันแรงกล้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม
ปรากฎในระดับของความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงที่เป็นคู่ชีวิตกัน

วันหนึ่ง ฟาริสี ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
"เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยา?"
พระอาจารย์จึงตรัสตอบว่า
"โมเสสได้บัญญัติไว้อย่างไร?"
เขาทูลตอบว่า
"โมเสสได้อนุญาตให้ทำหนังสือหย่าร้างกันได้"
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
"เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของพวกท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้ไว้
เมื่อแรกสร้างโลกนั้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง
ดังนั้น ชายจะละบิดามารดา และชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน
ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย"
(มก10:2-9;มธ19:3-9)

รูปภาพ

นักกฎหมายได้ถามว่า : "เป็นการถูกต้องหรือไม่?"
แต่พระเยซูเจ้าทรงไม่ยอมตอบคำถามประเภทว่า"อนุญาต"หรือ"ไม่อนุญาต"
ทันทีพระองค์จะทรงตั้งอยู่ในระดับที่สูงกว่าคำถามถึงสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้
พระองค์ทรงกลับไปถึงความสัมพันธ์เดิม ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ
พระองค์ทรงย้อนขึ้นไปถึงต้นกำเนิดคือความรักของพระผู้สร้าง

พระองค์เองทรงอยู่ในกระแสความรักลึกๆที่เริ่มแรกได้ไหลพวยพุ่งออกจากพระทัยของพระเจ้า
และได้แผ่อยู่เหนือโลกในการสร้างคู่ชีวิตของมนุษย์ เดิมทีมีความรักเสน่หาของพระเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงมองดูคู่สามีภรรยาในแสงสว่างนั้น
ชายและหญิงถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า เพื่อดำรงชีวิตด้วยกันในความรักอ่อนหวานของพระเจ้า

(มีต่อครับ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อังคาร ธ.ค. 22, 2009 9:19 pm

ความหยาบกระด้างของใจมนุษย์ ได้ทำลายแผนการนี้จนหมดสิ้น
"เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้"

มนุษย์ได้ออกจากกระแสชีวิตเดิม เขาจึงได้ถามว่า"เป็นการถูกต้องหรือไม่?"
แต่สำหรับพระเยซูเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นไปได้ เพราะพระองค์ทรงเปิดเผยความรักอ่อนหวานของพระเจ้าต่อแผ่นดิน
เมื่ออยู่กับพระเจ้า
ชายและหญิงจะกลับมาพบการเริ่มต้นที่สำคัญ คือ ความรักที่ทรงเริ่มต้นสรรพสิ่ง
และสร้างคู่ชายหญิงขึ้นตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า
จะกลับเป็นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันของสองบุคคลในบรรยากาศของ"พวกเรา"

ในจุดสำคัญนี้ ผู้คนได้เข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าหรือเปล่า?
ข้อสังเกตที่ชัดเจนของบรรดาสานุศิษย์และพยากรณ์ถึงอนาคตได้

"ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย"(มธ19:10)

ใช่แล้ว
ถ้าความรักอ่อนหวานและความเมตตาขาดไป
ถ้ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในกระแสของความรักที่ทรงสร้างแล้ว
การสมรสก็เป็นเพียงแอกที่ทนไม่ไหวและหัวในหยาบกระด้างบังคับให้มีกฎการหย่ากัน

พระอาจารย์ทรงแย้มให้เห็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อดำเนินชีวิตในความรักของพระเจ้า
พระองค์ตรัสว่า"บางคนไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรสวรรค์"(มธ19:12)
วิธีดำเนินชีวิตนี้ คือ การถือโสดเพื่ออุทิศถวายตนตามแบบของพระเยซูเจ้า
ชายและหญิงจะไม่แต่งงานเพื่ออุทิศตนประกาศข่าวดีได้เต็มที่

ดังนั้น เขาจะเปิดตนรับพลังความรักอ่อนหวานที่มาจากพระบิดา
เขาจะเป็นประจักษ์พยานและผู้ถ่ายทอดความรักนั้นแก่มนุษย์

ส่วนท่าทีของพระเยซูเจ้าที่มีต่อเด็กๆได้รับอิทธิพลจากความล้ำลึกที่เสริมสร้างของพระองค์
เป็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของสังคมอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน
เรารู้จักเรื่องราวที่ผู้ประพันธ์พระวรสารได้เล่าให้ฟัง

รูปภาพ

:มีผู้นำเด็กเล็กๆมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เพื่อให้ทรงสัมผัสและอวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุคนเหล่านั้น
เมื่อพระองค์ทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า"ปล่อยให้เด็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเขาเลย
เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้ เราขอบอกความจริงแก่ท่านว่า
"ผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆเขาจะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย"
แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเหล่านั้นไว้ ทรงปกพระหัตถ์และประทานพระพร(มก 10:13-16)

รูปภาพ

หลายคนจำได้และประทับใจในความน่ารักของเรื่องนี้
แต่ท่าทีของพระเยซูเจ้ามีความหมายมากกว่านี้
เป็นท่าทีใหม่ในการมองดูเด็กๆ
ท่าทีของศิษย์ที่ไล่เด็กๆให้ออกไปเพราะรู้สึกว่าเด็กๆเหล่านี้ก่อความรำคาญให้พวกเขา
สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของสังคมโบราณได้เป็นอย่างดี สมัยนั้น มีเพียงผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีความสำคัญ
ส่วนเด็กๆนั้นเป็น"สิ่ง"ที่ไม่สำคัญ และไม่ควรได้รับความเคารพ
พระเยซูเจ้าไม่เพียงขอให้เขาปล่อยเด็กๆเข้ามาหาพระองค์เท่านั้น
แต่ยังทรงยกเด็กๆขึ้นเป็นตัวอย่าง โดยให้ความหมาย เปรียบเทียบอย่างลึกซึ้งระหว่างพระอาณาจักรของพระเจ้ากับเด็กเล็กๆ

พระอาจารย์ทรงรู้ดีว่าเด็กๆไม่ได้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่พระองค์เล็งเห็นและพอพระทัยในตัวเขาคือ
ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ การเปิดใจอย่างง่ายดายเพื่อฟังคนอื่น


อีกกรณีหนึ่ง ที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า
วิบัติแก่ผู้ที่หลอกลวง ดูถูกความไว้วางใจและเป็นที่สะดุดแก่เด็กๆเหล่านั้น
เราไม่สามารถที่จะยืนยันศักดิ์ศรีของเด็กๆและให้เกียรติต่อเขามากกว่านี้
ให้รู้แต่เพียงว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงสำหรับเขาด้วย

จากตัวอย่างเหล่านี้
เราเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระอาณาจักรของพระเจ้า
ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ถือสารมาแจ้งให้ทราบ และพระองค์ทรงทำให้เป็นปัจจุบันด้วยการประทับอยู่ของพระองค์
และเป็นรากฐานใหม่ของสังคม และการที่จะตั้งสังคมขึ้นได้ก็ต้องรับพลังแห่งความเมตตาและความรักอ่อนหวานที่มาจากพระบิดาเท่านั้น

ความจริงแล้ว
พลังเดียวนี้ สามารถเปิดทางให้โลกเหมาะสมสำหรับมนุษย์ยิ่งขึ้น
ตามกระแสประวัติศาสตร์ มีบางชาติที่ได้แสดงภรากรภาพบนความยุติธรรม เคร่งครัด
แต่เนื่องจากการไม่รู้จักให้อภัยและความรัก ชาติเหล่านั้นจึงตกอยู่ในความพินาศ
ความยุติธรรมที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ต้องมีความเมตตาและความรัก

และนี่เอง ที่ต้องเป็นพันธกิจของศิษย์ของพระเยซูเจ้าที่จะฉีดความรักเสน่หาและความเมตตา
ลงในกระแสของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างบุคคลและสังคมไปพร้อมๆกันกับความยุติธรรม
ความรักเมตตา และความยุติธรรม ประกาศสารของพระเมสสิยาห์ในพระวรสาร

**********************************************************

พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่เป็นนักปฏิรูปที่จะแก้ไขการใช้อำนาจในทางที่ผิดในกรอบของศาสนาและการเมืองในสมัยของพระองค์เท่านั้น
แต่พระองค์ยังทรงสร้างระบบใหม่ ในพระวาจาแต่ละคำของพระองค์ มีฤทธิ์ของโลกที่แฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆกำลังผุดขึ้นมา
ฤทธิ์นั้นเป็นพลังแห่งความรัก อ่อนหวานของพระเจ้า บันดาลให้โลกเก่าปริแตก พังลง เหมือนต้นไม้ที่เจริญขึ้นเมื่อได้รับน้ำเลี้ยง
ต้นไม้นี้สามารถดันและยกกำแพงคอนกรีตได้

**********************************************************
ผู้นิพนธ์พระวรสารได้บันทึกพระวาจาของพระเยซูเจ้า

เรื่องหนึ่งที่มนุษย์ไม่ได้เข้าใจอย่างดีถึงพลังการปลดปล่อย
เพราะเขาไม่ได้เข้าใจแนวทางพระวรสาร คือ ไม่ได้เข้าใจโดยอาศัยแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง


วันหนึ่ง ชาวฟาริสี กลุ่มหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
"พระอาจารย์เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์ เราต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี"
พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า
"มาทดสอบเราทำไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ"
เขาก็นำเงินเหรียญหนึ่งมาถวาย
พระองค์ตรัสถามว่า"รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?"
เขาก็ตอบว่า"เป็นของซีซาร์"
พระองค์จึงตรัสว่า"ของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของพระเจ้าก็จงคืนในพระเจ้าเถิด"
(มก 12:14-17)

คนส่วนใหญ่มักจะจำเฉพาะตอนแรกที่พระเยซูเจ้าทรงตอบ"ของของซีซาร์จงคืนให้แก่ซีซาร์"
และเขาเอาคำเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานของข้อกำหนดความซื่อสัตย์สุจริตต่ออำนาจรัฐ
ดังนั้น พระวาจาของพระเยซูเจ้าจะเป็น เหมือนคำพิพากษาของซาโลมอน
ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันของทั้งสองอำนาจและขอบเขตของสองอาณาจักรในจิตตารมณ์แห่งการประนีประนอมกัน
การเข้าใจเช่นนี้ ไม่ตรงกับความคิดของพระเยซูเจ้าเลย

จุดสำคัญในคำตอบของพระเยซูเจ้าตรงกันข้ามกับความคิดของคนทั่วไป
ซึ่งปรากฎอยู่ในตอนที่สอง"ของของพระเจ้าจงคืนให้แก่พระเจ้า"
เป็นวาจาที่คืนอิสรภาพเป็นวาจาของพระวรสาร
ไม่ใช่วาจาของจริยธรรมการเมือง
เหรียญเงินที่มีภาพลักษณ์ของพระเจ้าเป็นของพระเจ้า
ถ้าพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ในมนุษย์มีส่วนหนึ่งที่ไม่ขึ้นต่อซีซาร์และอำนาจระบบของซีซาร์
เป็นส่วนหนึ่งที่เหนือธรรมชาติ ที่ไม่มีอำนาจใดในโลกจะเป็นเจ้าของได้
ส่วนที่เป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้า มนุษย์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยตรง

เราจะเข้าใจความหมายของพระวาจาของพระเยซูเจ้า ก็โดยอาศัยแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง
พระวาจานี้ หมายความว่า เมื่อมนุษย์ได้ต้อนรับการเสด็จมาอยู่ใกล้ในรูปแบบใหม่ของพระเจ้าแล้ว
เขาก็จะได้รับอิสรภาพพ้นจากอำนาจของคนใดๆในโลกนี้

แทนที่จะเน้นหนักไปยังหน้าที่การงานที่ต้องนบนอบต่ออำนาจทางการเมือง
ในทางตรงกันข้าม พระวาจานี้มุ่งจะจำกัดหน้าที่ต่อรัฐ แม้จะไม่ได้ลบล้างหน้าที่นั้น

ในพระวาจาของพระเยซูเจ้า แต่ละคำมีการประทับอยู่ของพระเจ้า
ที่เสนอพระองค์เชื้อเชิญให้รักษาอิสรภาพ เหตุว่า
"โอรส ธิดา ย่อมได้รับการยกเว้น(จากการเสียภาษี)"(มธ 17:26)

(จบบทที่ 11)

รูปภาพ
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ อังคาร ธ.ค. 22, 2009 9:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

อังคาร ธ.ค. 22, 2009 11:50 pm

พระเยซูเจ้า ข้าขออภัยที่เข้าใจพระองค์ผิดไปเรื่องเกียรติชาย หญิง และเด็ก T-T

พระองค์สมกับเป็นพระเจ้า และเป็นนายของข้าพระองค์แท้ ไม่ว่าข้าพระองค์จะเป็นอะไร ก็ขออยู่ฝ่ายพระองค์จากนี้และตลอดไป  : xemo023 :
ตอบกลับโพส