ผมได้มีโอกาสอ่าน Journal มธ.13 เกี่ยวกับคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ ในบทนี้ให้แง่คิดเรื่องอาณาจักรไว้อย่างมากมาย เช่น ดิน 4 ชนิด หมายถึงลักษณะจิตใจ 4 แบบที่ตอบสนองพระเจ้าแตกต่างกัน เรื่องข้าวละมานกับข้าวสาลี เรื่องเมล็ดมัสตาร์ด เชื้อขนมปัง เป็นต้นครับ
มีการแปลความใน 2 ลักษณะครับ คือ 1. คริสตจักรจะมีชัยชนะเหมือนอาณาจักรในที่สุด กับ 2. อีกแนวคิดแปลว่าให้ระวังคริสตจักรจะถูกอาณาจักรโลกกลืน
แนวคิดที่ 1 แปลแบบนี้ครับ....เรื่องเมล็ดมัสตาร์ด คริสตจักรจะยิ่งใหญ่และมัชัยชนะจนกระทั่งเป็นพรต่ออาณาจักรโลก (นกกาสามารถมาพึ่งพาได้) และเรื่องเชื้อขนมปัง ให้ความหมายของเชื้อเป็นเชื้อที่ดี เป็นพระกิตติคุณที่จะเผยแพร่ไปในโลกจนทั่วและคริสตจักรจะเติบโตและมีชัยชนะอย่างสมบูรณ์ (ฟูขึ้น 3 ถัง)
ส่วนแนวคิดที่ 2 จะแปลตรงกันข้ามเลย เป็นแบบนี้ครับ....เรื่องเมล็ดมัสตาร์ด โลกจะเข้ามาเจือในคริสตจักร ยิ่งคริสตจักรหยั่งรากลึกในโลกเท่าไร คริสตจักรก็จะยิ่งกลายพันธุ์จากต้นมัสตาร์ดซึ่งเป็นไม้พุ่มกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ และนกกาคือมารจะเข้ามาทำรังในที่สุด และเรื่องเชื้อขนมปัง ให้ความหมายของเชื้อเป็นเชื้อร้าย เป็นเชื้อฟาริสี ที่เจือปนเข้ามาในคริสตจักร ทำให้คริสตจักรมีคนเยอะ ฟูขึ้น แต่ไม่แข็งแรง
การตีความใน 2 แบบที่สุดขั้วมาจาก professor ทางด้านพระคัมภีร์ครับ ทำให้มึนๆ ไม่รู้จะเชื่อใครดี พี่โปรดปราน พี่โฮลี่ พี่น้องทุกท่านช่วยแนะนำด้วยผมด้วยนะครับ
สงสัยการตีความของอุปมาพระเยซูเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเรื่องเชื้อขนมปัง
อืม ต้องบอกว่าเป็นสายการตีความที่แปลกมา ไม่เคยเจอมาก่อน
อันที่จริงต้องบอกว่า พระเยซูได้อุปมาเอง และอธิบายเองไปแล้ว
การแปลความอุปมาต้องไม่เอาเรื่องที่ต่างกันมาแปลรวมกัน เพราะบริบทที่ดูไม่เหมือนกัน
เช่น เรื่องเชื้อของฟาริสี (มธ. 16:6) กับเรื่องเชื้อแป้งกับอาณาจักรสวรรค์ (มธ. 13:33)
บริบทของการใช้คำว่าเชื้อเหมือนกัน (ภาษากรีก//ละตินก็ใช้คำๆ เดียวกัน) แต่ความหมายไม่เหมือนกัน
ดูดีๆ ครับ พระคัมภีร์ไม่ต้องมองลึกมาก ที่แน่ๆ ต้องอาศัยพระปรีชาญาณจึงจะเข้าใจ มาอ่านเพื่อแสวงหาความชัดเจน บางทีก็ไม่มีประโยชน์ครับ
อันที่จริงต้องบอกว่า พระเยซูได้อุปมาเอง และอธิบายเองไปแล้ว
การแปลความอุปมาต้องไม่เอาเรื่องที่ต่างกันมาแปลรวมกัน เพราะบริบทที่ดูไม่เหมือนกัน
เช่น เรื่องเชื้อของฟาริสี (มธ. 16:6) กับเรื่องเชื้อแป้งกับอาณาจักรสวรรค์ (มธ. 13:33)
บริบทของการใช้คำว่าเชื้อเหมือนกัน (ภาษากรีก//ละตินก็ใช้คำๆ เดียวกัน) แต่ความหมายไม่เหมือนกัน
ดูดีๆ ครับ พระคัมภีร์ไม่ต้องมองลึกมาก ที่แน่ๆ ต้องอาศัยพระปรีชาญาณจึงจะเข้าใจ มาอ่านเพื่อแสวงหาความชัดเจน บางทีก็ไม่มีประโยชน์ครับ
ที่รูปที่ 2 ตรงกลาง
ข้างล่างที่พื้นถึงจะเป็นต้นมัสตาร์ดนะครับ ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ไม่มีใบ
สำหรับผมสิ่งนี้มีความหมายกว้างออกไปครับ คือคริสตจักรจะมีชัยชนะหรือไม่ต่ออาณาจักรโลก และเราควรมีระดับความเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโกลมากเพียงใด เพราะมีคำสอนสุดขั้วอยู่ 2 แนวคืด คริสตจักรไม่มีหน้าที่ไปยุ่งเกี่ยวกับโลก กับอีกแนวหนึ่งคือ คริสตจักรมี "หน้าที่หนึ่ง" คือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลก เข้าไปเป็นเกลือแสงสว่าง เพื่อรักษาโลกนี้ไว้ไม่ให้เน้าเปื่อยก่อนเวลาอันสมควร เพื่อเราจะสามารถเก็บเกี่ยวคนเข้าอาณาจักรได้มากขึ้นและนานขึ้น
หรือทั้ง 2 ด้านก็เหมือนที่คุณ Holy ว่าไว้ คือไม่เสียหาย เพราะในที่สุดอาณาจักรโลกก็ต้องสลายไปอยู่ดี และอาณาจักรพระเจ้าจะมีชัยอย่างแน่นอน แต่ทว่า...มีชัยได้เลยในโลก (ทำให้เราต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน) หรือ มีชัยไม่ได้ในโลกแต่จะไปมีชัยในสวรรค์ (เราอาจจะไม่ต้องไปทำอะไรในโลก ปล่อยมันไป วางใจในพระเจ้า)
คำถามผมงงไหมครับ ผมพิมพ์เองยังงงๆ เลยว่าไม่รู้จะสื่อความหมายในใจของผมออกไปให้เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
ข้างล่างที่พื้นถึงจะเป็นต้นมัสตาร์ดนะครับ ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ไม่มีใบ
สำหรับผมสิ่งนี้มีความหมายกว้างออกไปครับ คือคริสตจักรจะมีชัยชนะหรือไม่ต่ออาณาจักรโลก และเราควรมีระดับความเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโกลมากเพียงใด เพราะมีคำสอนสุดขั้วอยู่ 2 แนวคืด คริสตจักรไม่มีหน้าที่ไปยุ่งเกี่ยวกับโลก กับอีกแนวหนึ่งคือ คริสตจักรมี "หน้าที่หนึ่ง" คือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลก เข้าไปเป็นเกลือแสงสว่าง เพื่อรักษาโลกนี้ไว้ไม่ให้เน้าเปื่อยก่อนเวลาอันสมควร เพื่อเราจะสามารถเก็บเกี่ยวคนเข้าอาณาจักรได้มากขึ้นและนานขึ้น
หรือทั้ง 2 ด้านก็เหมือนที่คุณ Holy ว่าไว้ คือไม่เสียหาย เพราะในที่สุดอาณาจักรโลกก็ต้องสลายไปอยู่ดี และอาณาจักรพระเจ้าจะมีชัยอย่างแน่นอน แต่ทว่า...มีชัยได้เลยในโลก (ทำให้เราต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน) หรือ มีชัยไม่ได้ในโลกแต่จะไปมีชัยในสวรรค์ (เราอาจจะไม่ต้องไปทำอะไรในโลก ปล่อยมันไป วางใจในพระเจ้า)
คำถามผมงงไหมครับ ผมพิมพ์เองยังงงๆ เลยว่าไม่รู้จะสื่อความหมายในใจของผมออกไปให้เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด