พยานพระยะโฮวาห์ ในมุมมองของโปรเตสแตนต์
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
สืบเนื่องมาจาก สมาชิกของพยานพระยะโฮวาห์ ผู้ใช้นามว่า "ผู้สนใจศึกษา" ได้โพสต์กระทู้ เกี่ยวกับคำสอนของคณะพยานพระยะโฮวาห์
เจี๊ยบเองอยากแลกเปลี่ยน ตามที่เคยศึกษามาดังนี้
พยานพระยะโฮวาห์
(Jehovah’s Witnesses)
คำนำ ในปัจจุบันลัทธิเทียมเท็จที่ถือว่าคุกคามเป็นภัยและขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดคือ “พยานพระยะโฮวาห์” หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “สมาคมหอสังเกตการณ์” ทั้งนี้ก็เพราะความกระตือรือร้นในการประกาศของสมาชิก กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เผยแพร่คำสอนที่ผิดของเขาเท่านั้นแต่ยังได้ปรักปรำหลักคำสอนของคริสเตียน ยุทธวิธีในการประกาศที่เด่นของพวกพยานพระยะโฮวาห์ก็โดยผ่านทางวรสาร,แผ่นปลิว และหนังสือซึ่งแจกจ่ายออกไปมากถึง 160ประเทศทั่วโลก
แบบอย่างที่ดีในการทำงานของพวกนี้คือการทุ่มเท และกระตือรือร้นในการส่งมิชชันนารี และประกาศโดยผ่านทางสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะการเคาะประตูตามบ้าน ดังรายงานที่พวกพยานพระยะโฮวาห์อ้างคือเพียงปี 1952 หนังสือของรัทเธอร์ฟอร์ด (หนึ่งในผู้นำต่อจากเขา) ขายได้ถึง 22ล้านเล่ม, ปี 1954 วารสาร “หอสังเกตการณ์” ขายได้เดือนละ 2 ล้านเล่ม ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 40 ภาษา และ 55 ล้านเล่มใน 162 ประเทศ เมื่อมาถึงปี 1957 พวกนี้ยังอ้างอีกว่าสมาชิกของเขาใช้เวลาในการเป็นพยานตามบ้าน และมุมถนนถึง 34 ล้านชั่วโมงในแต่ละปี แม้หลักข้อเชื่ออันหนึ่งของพวกนี้จะปฏิเสธการใช้สิทธิอำนาจสูงสุดของมนุษย์ แต่ในทางปฏิบัติผู้นำของพวกพยานพระเยโฮวาห์ได้วใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองสมาชิกของพวกเขา
I. ผู้ก่อตั้ง
ชาร์ลส์ เทส รัสเซลล์ (1852-1916)
1. ประวัติความเป็นมา
พ่อของเขาเป็นพ่อค้าผ้าที่ร่ำรวยแห่งเมืองพิทส์เบอร์ค รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐ
อเมริกา ตอนเด็กรัสเซลล์มีความกลัวอย่างมากในเรื่องนรกจนอายุ 20 ปีได้รับอิทธิ
ผลคำสอนของพวกเซเว่นเดย์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อของเขาในเรื่องการพิพากษา
นิรันดร์ และปฏิเสธคำสอนเรื่องนรกในพระคัมภีร์ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็นหลุมฝังศพ
เขาเองยังปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้า
รัสเซลล์เองก็ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของพวกเซเว่นเดย์บางเรื่อง เนื่องจากความ
ผิดหวังนี้เองทำให้เขาแยกตัวออกมา และตั้งกลุ่มของเขาเองซึ่งใช้ชื่อว่า “หอสังเกต
การณ์แห่งซีโอน” (Zion’s Watch Tower) จนปี 1884 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Watch
Tower Bible and Traot Society พร้อมกับสถาปนาตัวเองเป็นศิษยาภิบาล ส่วน
เงินทุนดำเนินงานทั้งหมดก็มาจากการค้าผ้าของต้วเขาเอง
2. ผลงาน
แท้จริงรัสเซลล์ไม่เคยผ่านโรงเรียนพระคัมภีร์มาเลย แต่เขาก็ตั้งตัวเองเป็น
ประธานกลุ่มแล้ว และเริ่มผลงานทางด้านวรรณกรรมใช้เป็นบทเรียนการศึกษาพระ
คัมภีร์มีชื่อว่า The Studies in the Scriptures ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นฐานความเชื่อ
ของสาวกของเขาในเวลาต่อมา งานเขียนที่สำคัญของรัชเซลล์คือชุด “บทเรียน
ในพระคัมภีร์” มี 7 เล่ม แต่เขาได้เสียชีวิตเสียก่อนที่หนังสือเล่มที่ 7ของเขาจะถูก
พิมย์ออกมาในปี 1917
รัสเซลล์โอ้อวดว่า “ถ้ามนุษย์ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์เพียงอย่างเดียวโดยที่
ไม่อ่านคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ของเขาแล้ว ผู้นั้นจะเดินไปสู่ความมืด แต่ในทาง
ตรงกันข้ามถ้าคนใดอ่านบทเรียนของเขา แม้ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์สักหนึ่งหน้าเลย
ชีวิตของผู้นั้นจะพบกับความสว่างแน่นอนภายใน 2 ปี”
คำกล่าวที่เพี้ยนของรัสเซลล์ในหนังสือเล่มที่ 1 หน้า 348 ของเขา “โปรดทราบ
ว่าไม่เคยมีหลักศาสนศาสตร์ระบบใดเลยที่กล่าวอ้างหรือพยายามประสานข้อความ
ทุกประโยคในพระคัมภีร์ให้กลมกลืนกันได้สนิทในระบบนั้นๆเอง แต่เราสามารถทำ
อย่างนี้ได้แล้วโดยสมบูรณ์” กล่าวเป็นที่เข้าใจคือเขารัสเซลล์ได้สร้างหลักคำสอน
ทางศาสนศาสตร์อย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง และสมบูรณ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
3. การทำนายของรัสเซลล์
เขาได้ทำนายว่า คริสตจักร โรงเรียน ธนาคาร และรัฐบาลทั้งหมดของเราจะถูก
ทำลายหมดสิ้นภายในเดือนตุลาคม 1914 และต่อเขาได้สัญญาว่าการทำลายล้างจะ มีต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นในปี 1925 ในหนังสือ บทเรียนในพระคัมภีร์เล่ม 4 หน้า 662 พูดถึงแผ่นดินของพระเจ้า “อิทธิพล และงานของแผ่นดินของพระเจ้าจะมีผลให้ รัฐบาลต่างๆ (โรม 13:1 ผู้ที่มีอำนาจปกครอง) ใน ยุดปัจจุบันอันชั่วร้าย (กท 1:4) ถูกทำลายลงหมดทุกแห่ง ทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และแง่งานคริสตจักร ก่อนสิ้น เวลากำหนดของคนต่างชาติ (ลูก 21:24) ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม 1914 แต่เมื่อถึงเวลาก็ปรากฏว่าไม่ได้เกิดขึ้นตามที่เขากล่าวไว้
4. ชีวิตทางศีลธรรม
ชีวิตของรัสเซลล์ทางครอบครัวล้มเหลวเพราะในปี 1913 ภรรยาฟ้องหย่าเขาถูก
กล่าวหาในเรื่องการล่วงประเวณี การเป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ ความไม่สัตย์ซื่อ
ทางการเงิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้นำต่อจากเขาแม้สมาชิกของกลุ่มประกาศตัดเขาออก
จากคณะ และการมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มลัทธินี้แม้ว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มลัทธินี้ และหลัก
คำสอนของพยานพระเยโฮวาห์ปัจจุบันรัสเซลล์ก็เป็นผู้เริ่มขึ้น รัชเซลยังถูกฟ้องร้อง
ในข้อหาฉ้อโกงในเรื่องการขาย “ข้าวสาลีพิศวง” ในราคาที่แพงเกิดความเป็นจริง
5. การแบ่งแยก (แตก) ของกลุ่ม
รัสเซลส์ตายในปี 1917 นิกายของเขาก็ได้แตกแยกออกเป็น 2กลุ่ม กลุ่มใหญ่
มีชื่อว่า “พยานพระเยโฮวาห์” ส่วนกลุ่มเล็กเรียกตัวเองว่า “นักเรียนพระคัมภีร์ยาม
รุ่งอรุณ” (The Dawn Bible Students) เรายอมรับว่าพวกพยานพระเยโฮวาห์ได้ใช้
ชื่อเรียกกลุ่มของตนเองคล้ายคลึงกับคริสเตียนอย่างมากเช่น สามาคมนักเรียนพระ
คัมภีร์สากล (International Bible Students), หรือ สมาคม (นัก) อ่านพระคัมภีร์
สากล (International Bible Reading Association) และ Metropolitan Pulpit.
6. คำสอน
เขาโกหกว่ามีความรู้ทางภาษากรีกและลาติน แต่เมื่อมีการพิสูจน์ความจริงต่อ
หน้าผู้พิพากษาเขาก็ไม่สามารถอ่านได้ รัสเซลไม่เคยผ่านโรงเรียนพระคัมภีร์มา
ก่อนเลย แต่เขากล้าประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า คริสตจักร และศิษยาภิบาลนั้น
สอนผิด เขายกตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอัครทูตเปาโล, Wycliffe และมาติน
ลูเธอร์ เขากล่าวต่อไปว่าพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ นั้นไม่น่าเชื่อถือ รวม
ทั้งศาสนาอื่นๆ ก็ผิดหมดมีเพียงของเขาที่เป็นรูปแบบคริสเตียนที่ถูกต้องที่สุด
เจี๊ยบเองอยากแลกเปลี่ยน ตามที่เคยศึกษามาดังนี้
พยานพระยะโฮวาห์
(Jehovah’s Witnesses)
คำนำ ในปัจจุบันลัทธิเทียมเท็จที่ถือว่าคุกคามเป็นภัยและขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดคือ “พยานพระยะโฮวาห์” หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “สมาคมหอสังเกตการณ์” ทั้งนี้ก็เพราะความกระตือรือร้นในการประกาศของสมาชิก กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เผยแพร่คำสอนที่ผิดของเขาเท่านั้นแต่ยังได้ปรักปรำหลักคำสอนของคริสเตียน ยุทธวิธีในการประกาศที่เด่นของพวกพยานพระยะโฮวาห์ก็โดยผ่านทางวรสาร,แผ่นปลิว และหนังสือซึ่งแจกจ่ายออกไปมากถึง 160ประเทศทั่วโลก
แบบอย่างที่ดีในการทำงานของพวกนี้คือการทุ่มเท และกระตือรือร้นในการส่งมิชชันนารี และประกาศโดยผ่านทางสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะการเคาะประตูตามบ้าน ดังรายงานที่พวกพยานพระยะโฮวาห์อ้างคือเพียงปี 1952 หนังสือของรัทเธอร์ฟอร์ด (หนึ่งในผู้นำต่อจากเขา) ขายได้ถึง 22ล้านเล่ม, ปี 1954 วารสาร “หอสังเกตการณ์” ขายได้เดือนละ 2 ล้านเล่ม ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 40 ภาษา และ 55 ล้านเล่มใน 162 ประเทศ เมื่อมาถึงปี 1957 พวกนี้ยังอ้างอีกว่าสมาชิกของเขาใช้เวลาในการเป็นพยานตามบ้าน และมุมถนนถึง 34 ล้านชั่วโมงในแต่ละปี แม้หลักข้อเชื่ออันหนึ่งของพวกนี้จะปฏิเสธการใช้สิทธิอำนาจสูงสุดของมนุษย์ แต่ในทางปฏิบัติผู้นำของพวกพยานพระเยโฮวาห์ได้วใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองสมาชิกของพวกเขา
I. ผู้ก่อตั้ง
ชาร์ลส์ เทส รัสเซลล์ (1852-1916)
1. ประวัติความเป็นมา
พ่อของเขาเป็นพ่อค้าผ้าที่ร่ำรวยแห่งเมืองพิทส์เบอร์ค รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐ
อเมริกา ตอนเด็กรัสเซลล์มีความกลัวอย่างมากในเรื่องนรกจนอายุ 20 ปีได้รับอิทธิ
ผลคำสอนของพวกเซเว่นเดย์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อของเขาในเรื่องการพิพากษา
นิรันดร์ และปฏิเสธคำสอนเรื่องนรกในพระคัมภีร์ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็นหลุมฝังศพ
เขาเองยังปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้า
รัสเซลล์เองก็ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของพวกเซเว่นเดย์บางเรื่อง เนื่องจากความ
ผิดหวังนี้เองทำให้เขาแยกตัวออกมา และตั้งกลุ่มของเขาเองซึ่งใช้ชื่อว่า “หอสังเกต
การณ์แห่งซีโอน” (Zion’s Watch Tower) จนปี 1884 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Watch
Tower Bible and Traot Society พร้อมกับสถาปนาตัวเองเป็นศิษยาภิบาล ส่วน
เงินทุนดำเนินงานทั้งหมดก็มาจากการค้าผ้าของต้วเขาเอง
2. ผลงาน
แท้จริงรัสเซลล์ไม่เคยผ่านโรงเรียนพระคัมภีร์มาเลย แต่เขาก็ตั้งตัวเองเป็น
ประธานกลุ่มแล้ว และเริ่มผลงานทางด้านวรรณกรรมใช้เป็นบทเรียนการศึกษาพระ
คัมภีร์มีชื่อว่า The Studies in the Scriptures ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นฐานความเชื่อ
ของสาวกของเขาในเวลาต่อมา งานเขียนที่สำคัญของรัชเซลล์คือชุด “บทเรียน
ในพระคัมภีร์” มี 7 เล่ม แต่เขาได้เสียชีวิตเสียก่อนที่หนังสือเล่มที่ 7ของเขาจะถูก
พิมย์ออกมาในปี 1917
รัสเซลล์โอ้อวดว่า “ถ้ามนุษย์ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์เพียงอย่างเดียวโดยที่
ไม่อ่านคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ของเขาแล้ว ผู้นั้นจะเดินไปสู่ความมืด แต่ในทาง
ตรงกันข้ามถ้าคนใดอ่านบทเรียนของเขา แม้ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์สักหนึ่งหน้าเลย
ชีวิตของผู้นั้นจะพบกับความสว่างแน่นอนภายใน 2 ปี”
คำกล่าวที่เพี้ยนของรัสเซลล์ในหนังสือเล่มที่ 1 หน้า 348 ของเขา “โปรดทราบ
ว่าไม่เคยมีหลักศาสนศาสตร์ระบบใดเลยที่กล่าวอ้างหรือพยายามประสานข้อความ
ทุกประโยคในพระคัมภีร์ให้กลมกลืนกันได้สนิทในระบบนั้นๆเอง แต่เราสามารถทำ
อย่างนี้ได้แล้วโดยสมบูรณ์” กล่าวเป็นที่เข้าใจคือเขารัสเซลล์ได้สร้างหลักคำสอน
ทางศาสนศาสตร์อย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง และสมบูรณ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
3. การทำนายของรัสเซลล์
เขาได้ทำนายว่า คริสตจักร โรงเรียน ธนาคาร และรัฐบาลทั้งหมดของเราจะถูก
ทำลายหมดสิ้นภายในเดือนตุลาคม 1914 และต่อเขาได้สัญญาว่าการทำลายล้างจะ มีต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นในปี 1925 ในหนังสือ บทเรียนในพระคัมภีร์เล่ม 4 หน้า 662 พูดถึงแผ่นดินของพระเจ้า “อิทธิพล และงานของแผ่นดินของพระเจ้าจะมีผลให้ รัฐบาลต่างๆ (โรม 13:1 ผู้ที่มีอำนาจปกครอง) ใน ยุดปัจจุบันอันชั่วร้าย (กท 1:4) ถูกทำลายลงหมดทุกแห่ง ทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และแง่งานคริสตจักร ก่อนสิ้น เวลากำหนดของคนต่างชาติ (ลูก 21:24) ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม 1914 แต่เมื่อถึงเวลาก็ปรากฏว่าไม่ได้เกิดขึ้นตามที่เขากล่าวไว้
4. ชีวิตทางศีลธรรม
ชีวิตของรัสเซลล์ทางครอบครัวล้มเหลวเพราะในปี 1913 ภรรยาฟ้องหย่าเขาถูก
กล่าวหาในเรื่องการล่วงประเวณี การเป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ ความไม่สัตย์ซื่อ
ทางการเงิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้นำต่อจากเขาแม้สมาชิกของกลุ่มประกาศตัดเขาออก
จากคณะ และการมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มลัทธินี้แม้ว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มลัทธินี้ และหลัก
คำสอนของพยานพระเยโฮวาห์ปัจจุบันรัสเซลล์ก็เป็นผู้เริ่มขึ้น รัชเซลยังถูกฟ้องร้อง
ในข้อหาฉ้อโกงในเรื่องการขาย “ข้าวสาลีพิศวง” ในราคาที่แพงเกิดความเป็นจริง
5. การแบ่งแยก (แตก) ของกลุ่ม
รัสเซลส์ตายในปี 1917 นิกายของเขาก็ได้แตกแยกออกเป็น 2กลุ่ม กลุ่มใหญ่
มีชื่อว่า “พยานพระเยโฮวาห์” ส่วนกลุ่มเล็กเรียกตัวเองว่า “นักเรียนพระคัมภีร์ยาม
รุ่งอรุณ” (The Dawn Bible Students) เรายอมรับว่าพวกพยานพระเยโฮวาห์ได้ใช้
ชื่อเรียกกลุ่มของตนเองคล้ายคลึงกับคริสเตียนอย่างมากเช่น สามาคมนักเรียนพระ
คัมภีร์สากล (International Bible Students), หรือ สมาคม (นัก) อ่านพระคัมภีร์
สากล (International Bible Reading Association) และ Metropolitan Pulpit.
6. คำสอน
เขาโกหกว่ามีความรู้ทางภาษากรีกและลาติน แต่เมื่อมีการพิสูจน์ความจริงต่อ
หน้าผู้พิพากษาเขาก็ไม่สามารถอ่านได้ รัสเซลไม่เคยผ่านโรงเรียนพระคัมภีร์มา
ก่อนเลย แต่เขากล้าประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า คริสตจักร และศิษยาภิบาลนั้น
สอนผิด เขายกตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอัครทูตเปาโล, Wycliffe และมาติน
ลูเธอร์ เขากล่าวต่อไปว่าพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ นั้นไม่น่าเชื่อถือ รวม
ทั้งศาสนาอื่นๆ ก็ผิดหมดมีเพียงของเขาที่เป็นรูปแบบคริสเตียนที่ถูกต้องที่สุด
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ จันทร์ ม.ค. 07, 2008 8:04 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
-2-
โยเซฟ เอฟ รัทเธอร์ฟอร์ด
เป็นประธาน Watchtower Bible and Tract Society แทนรัสเซลล์ในปี 1917 จนถึง 1942 ซึ่งเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 72 รูเธอร์ฟอร์ดเป็นเป็นทนายความ และผู้ช่วยผู้พิพากษาที่เมือง Booneville รัฐ Missouri และย้ายไป New York มีสาวกของรัสเซลล์บางคนไม่พอใจจึงได้แยกตัวเองออกมาตั้งนิกายใหม่โดยได้รับคำตักเตือนจากรูเธอร์ฟอร์ดว่าพวกเขาต้องได้รับความทนทุกข์ถึงความพินาศถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับมา
รูเธอร์ฟอร์ดมีอำนาจมากขึ้นจนกระทั่งควบคุมทั้งคณะอย่างสิ้นเชิง คนใดที่ไม่เห็นด้วยกับเขาก็จะถูกขับไล่ทันที ในปี 1931 เขาใช้พระธรรมอิสยาห์ 43:10 ในการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อองค์การของเขาเป็น “พยานพระเยโฮวาห์” (Jehovah’s Witnesses) โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงก็เพื่อกำจัดทุกสิ่ง และคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัสเซลล์ เนื่องจากเขาเป็นคนที่หัวรุนแรงถึงขนาดตัดขาด และแยกกลุ่มของเขาออกจากคริสตจักรซึ่งเป็นผลทำพวกพยานพระเยโฮวาห์เป็นที่เกลียดชังของคนมากมาย
ครั้งหนึ่งรัทเธอร์ฟอร์ดพูดด้วยความโอ้อวดในหนังสือของเขาชื่อ “light” (ความสว่าง) “ก่อนหน้าปี 1930 พระเจ้าไม่โปรดให้มีการสำแดงใดๆ เหตุผลก็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้เราเข้าใจการสำแดงของพระองค์” แท้จริงรัทเธอร์ฟอร์ดกำลังบอกว่าตัวเขานั้นเองที่เป็นการสำแดงจากพระเจ้าในปี 1930 นั้นเอง
นับว่ารัทเธอร์ฟอร์ดเป็นนักบริหารที่มีความสามารถจึงได้นำความก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงมาสู่คณะอย่างมาก โดยเฉพาะผลงานทางการเขียนหนังสือ และ หนังสือเล่มเล็กๆ ตลอดจนแผ่นปลิวมากมายมากกว่ารัสเซลล์ แต่หลักคำสอน และข้อเชื่อไม่ได้เป็นของใหม่ที่แตกต่างจากผู้นำคนแรกคือรัสเซลล์ รูเธอร์ฟอร์ดยังเป็นคนแรก
ที่ริเริ่มการประกาศแบบเคาะประตูตามบ้านซึ่งเป็นผลให้กลุ่มเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว
นาธาน คนอร์ (Nathan H. Knorr)
หลังจากรูเธอร์ฟอร์ดเสียชีวิตในปี 1942 นอร์ก็รับช่วงเป็นประธานของกลุ่ม
และเขาก็ได้พิสูจน์ความเข็มแข็งของการเป็นผู้บริหารของคณะ “พยานพระเยโฮวาห์” อาจกล่าวได้ว่านอร์ได้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มโดยเน้นการให้สมาชิกได้มีการฝึกอบรมการเป็นพยานและการเป็นมิชชันนารีเพื่อรับการสถาปนา ดังนั้นโรงเรียนอบรมเพื่อการเป็นมิชชันนารีที่ South Lansing, New York จึงถูกสถาปนาขึ้นเพื่อสมาชิกทุกคนจะได้รับการอบรมในวันอาทิตย์ที่ “Kingdom Halls” รวมทั้งวันอื่นๆระหว่างสัปดาห์ด้วย คนอร์ได้วางหลักการทำงานสำหรับองค์กรที่ใหญ่ของเขาในลักษณะเชิงบังคับสมาชิกที่ต้องออกไปเป็นพยานโดยการเคาะประตูตามบ้านและต้องให้ได้ผลตามที่ต้องการ
หลักการการจัดการองค์กรของเขาคือ (1) “คณะกรรมการอำนวยการ” ซึ่งมีอำนาจสูงสุด รองลงมา (2) “ผู้รับใช้ทางศาสนา” ถัดมาคือ (3) “ผู้รับใช้เขต” และสุดท้าย (4) “คณะ” ส่วนพวกผู้หญิงจะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น สมาชิกที่อยู่ตามกลุ่มและคณะเหล่านี้จะต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาของตนโดยปราศจากคำถามและข้อโต้แย้ง
สมาชิกของพยานพระเยโฮวาห์เรียกตัวเองว่า “พยาน” พวกเขาไม่มีศิษยาภิบาล ทุกคนรับใช้โดยไม่มีผลตอบแทนแต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง พวก “พยาน” จะออกไปรับใช้จะได้รับบัตรประจำตัวเป็นการรับรองจากองค์กร แม้พวกเขาจะไม่ได้รับการเจิมหรือแต่งตั้งพวกเขาเรียกตัวเองเป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการยกเว้นการเป็นทหาร
ภายใต้การนำของนอร์เองยังได้เน้นการประกาศโดยผ่านทางสิ่งพิมพ์ และหนังสืออย่างมากมายเป็นผลให้มีคนเข้าเป็นสมาชิกกว่าสองล้านคน และกำไรจากการ
ขายอีกเป็นจำนวนมาก วิธีการที่ฉลาดของพวกนี้ก็คือให้หนังสือ หรือแผ่นปลิวฟรีโดย
ขอให้เป็นการถวายเฟรดเดอร์ริค วิลเลียม ฟรานส์ (Frederick William Franz)
ฟรานส์ได้รับการเป็นผู้นำต่อหลังจากนอร์ได้ตายในปี 1977 จนกระปัจจุบัน(1983) เขาได้พยากรณ์ว่าโลกจะสิ้นสุดในปี 1975 แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงทำให้คนขาด
ความเชื่อถือในตัวเขาลดลง
โยเซฟ เอฟ รัทเธอร์ฟอร์ด
เป็นประธาน Watchtower Bible and Tract Society แทนรัสเซลล์ในปี 1917 จนถึง 1942 ซึ่งเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 72 รูเธอร์ฟอร์ดเป็นเป็นทนายความ และผู้ช่วยผู้พิพากษาที่เมือง Booneville รัฐ Missouri และย้ายไป New York มีสาวกของรัสเซลล์บางคนไม่พอใจจึงได้แยกตัวเองออกมาตั้งนิกายใหม่โดยได้รับคำตักเตือนจากรูเธอร์ฟอร์ดว่าพวกเขาต้องได้รับความทนทุกข์ถึงความพินาศถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับมา
รูเธอร์ฟอร์ดมีอำนาจมากขึ้นจนกระทั่งควบคุมทั้งคณะอย่างสิ้นเชิง คนใดที่ไม่เห็นด้วยกับเขาก็จะถูกขับไล่ทันที ในปี 1931 เขาใช้พระธรรมอิสยาห์ 43:10 ในการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อองค์การของเขาเป็น “พยานพระเยโฮวาห์” (Jehovah’s Witnesses) โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงก็เพื่อกำจัดทุกสิ่ง และคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัสเซลล์ เนื่องจากเขาเป็นคนที่หัวรุนแรงถึงขนาดตัดขาด และแยกกลุ่มของเขาออกจากคริสตจักรซึ่งเป็นผลทำพวกพยานพระเยโฮวาห์เป็นที่เกลียดชังของคนมากมาย
ครั้งหนึ่งรัทเธอร์ฟอร์ดพูดด้วยความโอ้อวดในหนังสือของเขาชื่อ “light” (ความสว่าง) “ก่อนหน้าปี 1930 พระเจ้าไม่โปรดให้มีการสำแดงใดๆ เหตุผลก็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้เราเข้าใจการสำแดงของพระองค์” แท้จริงรัทเธอร์ฟอร์ดกำลังบอกว่าตัวเขานั้นเองที่เป็นการสำแดงจากพระเจ้าในปี 1930 นั้นเอง
นับว่ารัทเธอร์ฟอร์ดเป็นนักบริหารที่มีความสามารถจึงได้นำความก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงมาสู่คณะอย่างมาก โดยเฉพาะผลงานทางการเขียนหนังสือ และ หนังสือเล่มเล็กๆ ตลอดจนแผ่นปลิวมากมายมากกว่ารัสเซลล์ แต่หลักคำสอน และข้อเชื่อไม่ได้เป็นของใหม่ที่แตกต่างจากผู้นำคนแรกคือรัสเซลล์ รูเธอร์ฟอร์ดยังเป็นคนแรก
ที่ริเริ่มการประกาศแบบเคาะประตูตามบ้านซึ่งเป็นผลให้กลุ่มเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว
นาธาน คนอร์ (Nathan H. Knorr)
หลังจากรูเธอร์ฟอร์ดเสียชีวิตในปี 1942 นอร์ก็รับช่วงเป็นประธานของกลุ่ม
และเขาก็ได้พิสูจน์ความเข็มแข็งของการเป็นผู้บริหารของคณะ “พยานพระเยโฮวาห์” อาจกล่าวได้ว่านอร์ได้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มโดยเน้นการให้สมาชิกได้มีการฝึกอบรมการเป็นพยานและการเป็นมิชชันนารีเพื่อรับการสถาปนา ดังนั้นโรงเรียนอบรมเพื่อการเป็นมิชชันนารีที่ South Lansing, New York จึงถูกสถาปนาขึ้นเพื่อสมาชิกทุกคนจะได้รับการอบรมในวันอาทิตย์ที่ “Kingdom Halls” รวมทั้งวันอื่นๆระหว่างสัปดาห์ด้วย คนอร์ได้วางหลักการทำงานสำหรับองค์กรที่ใหญ่ของเขาในลักษณะเชิงบังคับสมาชิกที่ต้องออกไปเป็นพยานโดยการเคาะประตูตามบ้านและต้องให้ได้ผลตามที่ต้องการ
หลักการการจัดการองค์กรของเขาคือ (1) “คณะกรรมการอำนวยการ” ซึ่งมีอำนาจสูงสุด รองลงมา (2) “ผู้รับใช้ทางศาสนา” ถัดมาคือ (3) “ผู้รับใช้เขต” และสุดท้าย (4) “คณะ” ส่วนพวกผู้หญิงจะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น สมาชิกที่อยู่ตามกลุ่มและคณะเหล่านี้จะต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาของตนโดยปราศจากคำถามและข้อโต้แย้ง
สมาชิกของพยานพระเยโฮวาห์เรียกตัวเองว่า “พยาน” พวกเขาไม่มีศิษยาภิบาล ทุกคนรับใช้โดยไม่มีผลตอบแทนแต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง พวก “พยาน” จะออกไปรับใช้จะได้รับบัตรประจำตัวเป็นการรับรองจากองค์กร แม้พวกเขาจะไม่ได้รับการเจิมหรือแต่งตั้งพวกเขาเรียกตัวเองเป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการยกเว้นการเป็นทหาร
ภายใต้การนำของนอร์เองยังได้เน้นการประกาศโดยผ่านทางสิ่งพิมพ์ และหนังสืออย่างมากมายเป็นผลให้มีคนเข้าเป็นสมาชิกกว่าสองล้านคน และกำไรจากการ
ขายอีกเป็นจำนวนมาก วิธีการที่ฉลาดของพวกนี้ก็คือให้หนังสือ หรือแผ่นปลิวฟรีโดย
ขอให้เป็นการถวายเฟรดเดอร์ริค วิลเลียม ฟรานส์ (Frederick William Franz)
ฟรานส์ได้รับการเป็นผู้นำต่อหลังจากนอร์ได้ตายในปี 1977 จนกระปัจจุบัน(1983) เขาได้พยากรณ์ว่าโลกจะสิ้นสุดในปี 1975 แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงทำให้คนขาด
ความเชื่อถือในตัวเขาลดลง
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
-3-
II. หลักข้อเชื่อ/คำสอนของพยานพระเยโฮวาห์
สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีหลักข้อเชื่อของลัทธิสอนผิดอย่างพยานพระเยโฮวาห์จะสอดคล้องกับคำสอนพระคัมภีร์ที่พวกโปรเตสแตนต์เชื่อถือกันอยู่ ต่อไปนี้เป็นการสรุปคร่าวๆ :-
1. คำสอนเรื่อง “พระคัมภีร์”
พวกพยานพระเยโฮวาห์ได้วางเหตุผลอยู่เหนือคำสอนของพระคัมภีร์ และคำ
ทุกเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ พวกพยานพระเยโฮวาห์อ้างอิงว่าพระ
คัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจแห่งความจริงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา สิทธิอำนาจอันแท้
จริงสูงสุดนี้ได้ปรากฏออกผ่านการอธิบายพระคัมภีร์อย่างมีระบบจากพวกเขาเท่า
นั้น ดังนั้นงานเขียนตามแผ่นปลิว, หนังสือ และหลักคำสอนทั้งหมดที่พวกเขาผลิต
ออกมาเป็นการกระทำเสมือนไม่มีความผิดพลั้งของผู้แปลที่มีต่อพระคัมภีร์
นิกาย “พยานพระเยโฮวาห์” ยังได้แปลพระคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อใช้ในกลุ่มของพวก
เขาทั่วโลก และอย่างมากมาย ชื่อว่า “The New World Translation” เหตุผลที่
พวกคริสเตียนไม่สามารถยอมรับพระคัมภีร์ฉบับแปลนี้ได้ก็เพราะ (1) เครดิตของผู้
แปลพระคัมภีร์ (2) ต้นฉบับที่ใช้เป็นหลักไม่แน่นอนว่ามาจากภาษาฮีบรูหรือไม่
อย่างไร (3) เป็นการแปลที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะมีการบิดเบือนข้อความ
พระคัมภีร์บางข้อเพื่อให้สอดคล้องกับหลักข้อเชื่อของพวกเขา ตัวอย่างเช่น การ
แปลพระธรรมยอห์น 1:1 “the Word was god” เพราะพยานพระเยโฮวาห์ปฏิเสธ
ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ตามหลักไวยากรณ์ของภาษากรีกแล้วควรจะ
แปลว่า “The Word was God,”
ยิ่งกว่านี้พยานพระเยโฮวาห์ยังได้เพิ่ม และตัดบางคำที่ไม่มีอยู่ในต้นฉบับภาษา
กรีกด้วย เนื่องจากความเชื่อของพวกนี้ได้ปฏิเสธพระคัมภีร์นั้นเองเป็นสาเหตุที่ทำ
ให้เขาปฏิเสธหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ในทุกเรื่องด้วย เช่น ตรีเอกานุภาพ,
ความเป็นมนุษย์-พระเจ้าของพระคริสต์, ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์, การตาย
ไถ่บาปของพระคริสต์, พระวิญญาณบริสุทธิ์, กายที่เป็นขึ้น และการเสด็จกลับมา
ครั้งที่สองของพระองค์ ฯลฯ
2. ตรีเอกานุภาพ
พยานพระเยโฮวาห์ปฏิเสธคำสอนนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุ
ผลได้ เขาโต้แย้งต่อผู้ที่เชื่อถือในคำสอนเรื่อง3 บุคคลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว (พระ
เจ้าองค์เดียว) เพราะพระคัมภีร์ไม่เคยสอนเรื่องดังกล่าว (“บทเรียนในพระคัมภีร์”
เล่ม 5 หน้า 54-60) และกล่าวร้ายว่าคำสอนนี้ว่าเริ่มต้นมาจากซาตาน (“จงให้พระ
เจ้าเป็นองค์สัตย์จริง, หน้า82) สำหรับพวกเขาแล้วมีเพียงพระเจ้าองค์เดียวคือ
พระเยโฮวาห์
3. พระวิญญาณบริสุทธิ์
เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เป็นผลทำให้
ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย พวกพยานพระเยโฮวาห์
สอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้า (รัสเซลล์ เล่ม 5 หน้า 169) พระ
องค์ไม่ทรงเป็นหนึ่งในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระองค์ไม่ได้เท่าเทียมกันกับพระเจ้า
ไม่ได้ทรงเป็นบุคคล (รัสเซลล์ เล่ม 5 หน้า 210) แต่พระองค์ทรงเป็นเพียงลำแสง
เรดาร์ หรืออิทธิพลหรือพลังอำนาจที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะสำแดง (การปลดปล่อย,
หน้า 150) พระวิญญาณไม่มีความเป็นบุคคลภาพ
4. พระเยซูคริสต์
4.1 ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์
ผลจากการปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพคือการนำมาถึง
การไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย แม้พระองค์เองก็ไม่
เคยอ้างตนเองว่าเป็นพระเจ้า พวกนี้อ้างว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระราชกิจ
แรกแห่งการทรงสร้างของพระเยโฮวาห์แล้วหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงใช้
พระคริสต์เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ก่อนที่พระคริสต์จะรับสภาพมนุษย์พระองค์
คือมีคาเอล ผู้เป็นจอมทัพของพระเยโฮวาห์
4.2 การไถ่บาปของพระคริสต์
พวกนี้สอนว่าพระคริสต์ปราศจากบาป พระคริสต์ประทานพระองค์เอง
เป็นค่าไถ่บาปบาปเพียงบางส่วนคือเพียงเพื่อชำระบาปที่ตกทอดมาจากอา
ดาม และช่วยวางมนุษย์อยู่ในตำแหน่งที่เขาจะทำความดีเพื่อความรอด
สำหรับตนเอง หรือสามารถกล่าวได้ว่าพระคริสต์ไม่ได้ตระเตรียมการไถ่
บาปที่แท้สำหรับความบาปของมนุษย์หรือรับรองว่ามนุษย์มนุษย์จะได้ชีวิต
นิรันดร์ แต่เป็นเพียงให้โอกาสมนุษย์ที่จะทำความดีเพื่อความรอดสำหรับ
ตนเองในขณะเวลาที่อาศัยบนโลกนี้ และในโลกยุคพันปี
4.3 การสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นของพระคริสต์
พวกพยานพระเยโฮวาห์สอนว่าร่างกายที่เป็นขึ้น และการเสด็จกลับมา
ของพระเยซูคริสต์ พวกนี้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นในรูปลักษณะของ
วิญญาณ ร่างกายของพระองค์ละลายหายไปกลายเป็นแก็ส ชายที่ชื่อเยซู
นั้นได้ตายไปแล้วตลอดกาล
4.4 การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์
พระเยซูเสด็จจะกลับมาคือไม่ใช่ในรูปกายเนื้อหนังแต่เป็นเพียง
วิญญาณ และไม่สามารถมองเห็นได้ แต่จะรู้ได้โดยสังเกตดู “สัญญา
ลักษณ์” (signs) เช่นสงคราม, การกันดารอาหาร, แผ่นดินไหวฯลฯ(มัดธาย
24) พวกนี้สอนผิดอย่างมากโดยอ้างว่าพระเยซูเสด็จกลับมา 3ลักษณะ: -
- ในปี 1874 พระองค์เสด็จกลับมาในสถานฟ้าอากาศ และรับอัครทูต และผู้เชื่อ 144,000 คน (พยานของพระเยโฮวาห์ปัจจุบันยังไม่ครบ)
- ในปี 1914 พระคริสต์ได้เสด็จกลับมาประทับและเริ่มต้นที่จะปกครองเป็นกษัตริย์แห่งฝ่ายสวรรค์ ยังเป็นเวลาสิ้นสุดของคนต่างชาติ
- ในปี 1918 พระองค์ทรงเสด็จมาที่พระวิหารฝ่ายวิญญาณ เพื่อพิพากษาบรรดาประชาชาติและคริสตศาสนา (พวกระบบองค์การของพญามาร)
ปัจจุบันพวกพยานพระเยโฮวาห์ไม่ได้รอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์แต่พวกเขารอคอยพระองค์ที่จะเสด็จกลับมาเพื่อทำสงครามอามเกดโดนเพื่อจะมีชัยเหนือความชั่ว พวกเขาสอนว่าจะมีเพียง 144,000 คนเท่านั้นที่จะรอดและอยู่กับพระคริสต์บนสวรรค์ ในสงครามอามเกดโดนเฉพาะผู้ที่เป็นพยานอย่างสัตย์ซื่อเท่านั้นที่จะรอดจากความตายในสงครามนี้และเข้ารวมเพื่อทำให้จำนวน 144,000 ครบจำนวน (นี้เป็นเหตุผลที่ทำไมพวกนี้จึงเป็นพยานด้วยใจที่ขยันขันแข็ง) หลังจากนั้นผู้ที่ตายแล้วทั้งหมดก็จะเป็นขึ้นมาจากตาย แต่พวกเหล่านี้ก็จะได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะกลับใจเชื่อพระเยโฮวาห์ในยุคพันปีนี้ (“ตลอดช่วงสมัยมิลเลเนียม มนุษย์จะได้รับโอกาสครั้งที่สองสำหรับความรอด” เล่ม 5 หน้า 17-23) แต่ถ้าผู้ใดยังไม่เชื่ออีกก็จะพินาศนิรันดร์ เพราะในช่วงปลายยุคพันปีซาตานและสมุนแห่งความชั่วของมันจะถูกปล่อยออกมาเพื่อทดสอบความเชื่อของผู้คนเหล่านั้นที่กลับใจบนโลกนี้ ส่วนซาตานและพวกของมันจะถูกทำลาย
4.5 ปฏิเสธการบังเกิดจากหญิงพรหมจารีของพระคริสต์
II. หลักข้อเชื่อ/คำสอนของพยานพระเยโฮวาห์
สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีหลักข้อเชื่อของลัทธิสอนผิดอย่างพยานพระเยโฮวาห์จะสอดคล้องกับคำสอนพระคัมภีร์ที่พวกโปรเตสแตนต์เชื่อถือกันอยู่ ต่อไปนี้เป็นการสรุปคร่าวๆ :-
1. คำสอนเรื่อง “พระคัมภีร์”
พวกพยานพระเยโฮวาห์ได้วางเหตุผลอยู่เหนือคำสอนของพระคัมภีร์ และคำ
ทุกเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ พวกพยานพระเยโฮวาห์อ้างอิงว่าพระ
คัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจแห่งความจริงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา สิทธิอำนาจอันแท้
จริงสูงสุดนี้ได้ปรากฏออกผ่านการอธิบายพระคัมภีร์อย่างมีระบบจากพวกเขาเท่า
นั้น ดังนั้นงานเขียนตามแผ่นปลิว, หนังสือ และหลักคำสอนทั้งหมดที่พวกเขาผลิต
ออกมาเป็นการกระทำเสมือนไม่มีความผิดพลั้งของผู้แปลที่มีต่อพระคัมภีร์
นิกาย “พยานพระเยโฮวาห์” ยังได้แปลพระคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อใช้ในกลุ่มของพวก
เขาทั่วโลก และอย่างมากมาย ชื่อว่า “The New World Translation” เหตุผลที่
พวกคริสเตียนไม่สามารถยอมรับพระคัมภีร์ฉบับแปลนี้ได้ก็เพราะ (1) เครดิตของผู้
แปลพระคัมภีร์ (2) ต้นฉบับที่ใช้เป็นหลักไม่แน่นอนว่ามาจากภาษาฮีบรูหรือไม่
อย่างไร (3) เป็นการแปลที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะมีการบิดเบือนข้อความ
พระคัมภีร์บางข้อเพื่อให้สอดคล้องกับหลักข้อเชื่อของพวกเขา ตัวอย่างเช่น การ
แปลพระธรรมยอห์น 1:1 “the Word was god” เพราะพยานพระเยโฮวาห์ปฏิเสธ
ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ตามหลักไวยากรณ์ของภาษากรีกแล้วควรจะ
แปลว่า “The Word was God,”
ยิ่งกว่านี้พยานพระเยโฮวาห์ยังได้เพิ่ม และตัดบางคำที่ไม่มีอยู่ในต้นฉบับภาษา
กรีกด้วย เนื่องจากความเชื่อของพวกนี้ได้ปฏิเสธพระคัมภีร์นั้นเองเป็นสาเหตุที่ทำ
ให้เขาปฏิเสธหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ในทุกเรื่องด้วย เช่น ตรีเอกานุภาพ,
ความเป็นมนุษย์-พระเจ้าของพระคริสต์, ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์, การตาย
ไถ่บาปของพระคริสต์, พระวิญญาณบริสุทธิ์, กายที่เป็นขึ้น และการเสด็จกลับมา
ครั้งที่สองของพระองค์ ฯลฯ
2. ตรีเอกานุภาพ
พยานพระเยโฮวาห์ปฏิเสธคำสอนนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุ
ผลได้ เขาโต้แย้งต่อผู้ที่เชื่อถือในคำสอนเรื่อง3 บุคคลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว (พระ
เจ้าองค์เดียว) เพราะพระคัมภีร์ไม่เคยสอนเรื่องดังกล่าว (“บทเรียนในพระคัมภีร์”
เล่ม 5 หน้า 54-60) และกล่าวร้ายว่าคำสอนนี้ว่าเริ่มต้นมาจากซาตาน (“จงให้พระ
เจ้าเป็นองค์สัตย์จริง, หน้า82) สำหรับพวกเขาแล้วมีเพียงพระเจ้าองค์เดียวคือ
พระเยโฮวาห์
3. พระวิญญาณบริสุทธิ์
เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เป็นผลทำให้
ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย พวกพยานพระเยโฮวาห์
สอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้า (รัสเซลล์ เล่ม 5 หน้า 169) พระ
องค์ไม่ทรงเป็นหนึ่งในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระองค์ไม่ได้เท่าเทียมกันกับพระเจ้า
ไม่ได้ทรงเป็นบุคคล (รัสเซลล์ เล่ม 5 หน้า 210) แต่พระองค์ทรงเป็นเพียงลำแสง
เรดาร์ หรืออิทธิพลหรือพลังอำนาจที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะสำแดง (การปลดปล่อย,
หน้า 150) พระวิญญาณไม่มีความเป็นบุคคลภาพ
4. พระเยซูคริสต์
4.1 ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์
ผลจากการปฏิเสธคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพคือการนำมาถึง
การไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย แม้พระองค์เองก็ไม่
เคยอ้างตนเองว่าเป็นพระเจ้า พวกนี้อ้างว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระราชกิจ
แรกแห่งการทรงสร้างของพระเยโฮวาห์แล้วหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงใช้
พระคริสต์เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ก่อนที่พระคริสต์จะรับสภาพมนุษย์พระองค์
คือมีคาเอล ผู้เป็นจอมทัพของพระเยโฮวาห์
4.2 การไถ่บาปของพระคริสต์
พวกนี้สอนว่าพระคริสต์ปราศจากบาป พระคริสต์ประทานพระองค์เอง
เป็นค่าไถ่บาปบาปเพียงบางส่วนคือเพียงเพื่อชำระบาปที่ตกทอดมาจากอา
ดาม และช่วยวางมนุษย์อยู่ในตำแหน่งที่เขาจะทำความดีเพื่อความรอด
สำหรับตนเอง หรือสามารถกล่าวได้ว่าพระคริสต์ไม่ได้ตระเตรียมการไถ่
บาปที่แท้สำหรับความบาปของมนุษย์หรือรับรองว่ามนุษย์มนุษย์จะได้ชีวิต
นิรันดร์ แต่เป็นเพียงให้โอกาสมนุษย์ที่จะทำความดีเพื่อความรอดสำหรับ
ตนเองในขณะเวลาที่อาศัยบนโลกนี้ และในโลกยุคพันปี
4.3 การสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นของพระคริสต์
พวกพยานพระเยโฮวาห์สอนว่าร่างกายที่เป็นขึ้น และการเสด็จกลับมา
ของพระเยซูคริสต์ พวกนี้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นในรูปลักษณะของ
วิญญาณ ร่างกายของพระองค์ละลายหายไปกลายเป็นแก็ส ชายที่ชื่อเยซู
นั้นได้ตายไปแล้วตลอดกาล
4.4 การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์
พระเยซูเสด็จจะกลับมาคือไม่ใช่ในรูปกายเนื้อหนังแต่เป็นเพียง
วิญญาณ และไม่สามารถมองเห็นได้ แต่จะรู้ได้โดยสังเกตดู “สัญญา
ลักษณ์” (signs) เช่นสงคราม, การกันดารอาหาร, แผ่นดินไหวฯลฯ(มัดธาย
24) พวกนี้สอนผิดอย่างมากโดยอ้างว่าพระเยซูเสด็จกลับมา 3ลักษณะ: -
- ในปี 1874 พระองค์เสด็จกลับมาในสถานฟ้าอากาศ และรับอัครทูต และผู้เชื่อ 144,000 คน (พยานของพระเยโฮวาห์ปัจจุบันยังไม่ครบ)
- ในปี 1914 พระคริสต์ได้เสด็จกลับมาประทับและเริ่มต้นที่จะปกครองเป็นกษัตริย์แห่งฝ่ายสวรรค์ ยังเป็นเวลาสิ้นสุดของคนต่างชาติ
- ในปี 1918 พระองค์ทรงเสด็จมาที่พระวิหารฝ่ายวิญญาณ เพื่อพิพากษาบรรดาประชาชาติและคริสตศาสนา (พวกระบบองค์การของพญามาร)
ปัจจุบันพวกพยานพระเยโฮวาห์ไม่ได้รอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์แต่พวกเขารอคอยพระองค์ที่จะเสด็จกลับมาเพื่อทำสงครามอามเกดโดนเพื่อจะมีชัยเหนือความชั่ว พวกเขาสอนว่าจะมีเพียง 144,000 คนเท่านั้นที่จะรอดและอยู่กับพระคริสต์บนสวรรค์ ในสงครามอามเกดโดนเฉพาะผู้ที่เป็นพยานอย่างสัตย์ซื่อเท่านั้นที่จะรอดจากความตายในสงครามนี้และเข้ารวมเพื่อทำให้จำนวน 144,000 ครบจำนวน (นี้เป็นเหตุผลที่ทำไมพวกนี้จึงเป็นพยานด้วยใจที่ขยันขันแข็ง) หลังจากนั้นผู้ที่ตายแล้วทั้งหมดก็จะเป็นขึ้นมาจากตาย แต่พวกเหล่านี้ก็จะได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะกลับใจเชื่อพระเยโฮวาห์ในยุคพันปีนี้ (“ตลอดช่วงสมัยมิลเลเนียม มนุษย์จะได้รับโอกาสครั้งที่สองสำหรับความรอด” เล่ม 5 หน้า 17-23) แต่ถ้าผู้ใดยังไม่เชื่ออีกก็จะพินาศนิรันดร์ เพราะในช่วงปลายยุคพันปีซาตานและสมุนแห่งความชั่วของมันจะถูกปล่อยออกมาเพื่อทดสอบความเชื่อของผู้คนเหล่านั้นที่กลับใจบนโลกนี้ ส่วนซาตานและพวกของมันจะถูกทำลาย
4.5 ปฏิเสธการบังเกิดจากหญิงพรหมจารีของพระคริสต์
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 06, 2008 6:57 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
5. คริสตจักร ( พระศาสนจักร )
พยานพระเยโฮวาห์สอนว่าระเบียบการปฏิบัติต่างของคริสตจักรทั้งคาทอลิก
และโปรเตสแตนต์นั้นมีจุดกำเนิดจากซาตาน และมันยังควบคุมดูแลอยู่ ความเชื่ออัน
นี้เกิดจากการที่พวกเขาตีความหมายผิดจากพระธรรมวิวรณ์คำว่า “สัตว์ร้าย” และ
“รูปเคารพแห่งสัตว์ร้าย” [“…จุดประสงค์ที่จะบอกข้อความควรรู้แก่ทุกคนว่า ระบบ ระเบียบต่างๆเกี่ยวกับคริสตจักรทั้งของคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ลวนแต่อยู่ใต้การ ดูแลและการควบคุมของพญามาร…และด้วยเหตุนั้น จึงประกอบเป็นพวกต่อต้าน พระคริสต์” การปลดปล่อย, หน้า 222,226,230]
พวกนี้ยังกล่าวร้ายว่าคริสต์ศาสนาที่มีระเบียบแบบคณะหรือองค์การเป็นพวก
หน้าไหว้หลังหลอก, เห็นแก่ตัวอย่างมาก, ไม่มีความรักแท้ และกำลังต่อต้านพระเยโฮ
วาห์ (การเตรียมพร้อม, หน้า 318) นอกจากนี้พวกเขาอธิบายว่าการที่พวกพยาน
พระเยโฮวาห์เป็นพวกคริสเตียนแท้ และเป็นผู้ที่ปฏิเสธที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อ
ระบบระเบียบองค์การของพญามารคือคริสตศาสนา ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาถูก ต่อต้านจากคริสตจักรต่างๆ
พวกที่รอดและอยู่กับพระเยโฮวาห์บนสวรรค์ได้มีเพียง 144,000 คน (ส่วนน้อย เท่านั้นที่ยังคงเหลือเพื่อเพิ่มให้ครบจำนวน) ส่วนคริสเตียนอีกส่วนหนึ่งจะมีชีวิตรอด และอาศัยอยู่บนโลกใบนี้
5. สงครามอาร์มาเก็ดดอน, ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่
พวกพยานพระเยโฮวาห์สอนว่าสงครามอาร์เก็ดดอนเป็นการทำสงครามอันชอบธรรมของพระเจ้าเพื่อทำลายเฉพาะคนชั่ว (สดุดี 92:7) เป็นการพิพากษาเพื่อลงโทษคนเหล่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อฟังกฏหมายอันชอบธรรมของพระเยโฮวาห์ หลังสงครามนี้สิ้นสุดลงพระเยโฮวาห์จะสถาปนาอาณาจักรของพระองค์เป็นรัฐบาลเดียวที่ปกครองแผ่นดินโลกนี้ คนชั่ว, ซาตานและบริวารของมันจะถูกกำจัด (วิวรณ์ 20:1-3) คนที่มีชีวิตรอดพ้นจากสงครามอาร์มาเก็ดโดนโดยเฉพาะผู้ชายที่สัตย์ซื่อก็จะได้รับการแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นตัวแทนของราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เพื่อดูแลกิจการต่างๆแทนพระเจ้าในโลก พวกเขาก็จะทำความสะอาดโลกเนื่องจากผลของสงคราม และได้ก่อสร้างบ้านขึ้นใหม่ ตลอดจนก่อตั้งสังคมใหม่ที่มีแต่สันติภาพ ไม่มีสงคาม อาชญากรรม ความรุนแรง ความชั่ว และรื้นฟื้นธรรมชาติให้กลับดีดังเดิมเหมือนกับสวนเอเดน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสัตว์ (วิวรณ์ 7:9, 16; อสย 11:6; 65:25) นอกจากนี้มนุษย์จะไม่เจ็บป่วยไข้ แก่ลง (มก 2:1-12 ;มธ 15:30-31; โยบ 33:25) และเสียชีวิต (1คร 15:25-26; ยรม 25:8) คนที่ตายแล้วก็จะเป็นขึ้นมาอีก ทั้งหมดเป็นความจริงได้ก็เพราะพระเจ้าได้อำนวยพระพรแก่พวกเขาโดยมีสภาพดินฟ้าอากาศที่ดี พืชผลและปศุสัตว์อุดมสมบูรณ์ พระองค์ยังกำจัดโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากเขาด้วย (สดุดี 145:16)
ภาพของอุทยานบนแผ่นดินโลกที่งดงามได้ถูกบรรยายโดยอัครสาวกเปโตรในเทอม “ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่” (2เปโตร 3:13; อสย 65:17; 66:22)
“ฟ้าสวรรค์ใหม่” หมายถึงระบบการปกครองใหม่โดยรัฐบาลฝ่ายสวรรค์ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของพระเยโฮวาห์ โดยมีพระเยซูเป็นกษัตริย์ร่วมกับสาวกที่สัตย์ซื่อ 144,000 คน (วว 5:9-10; 14:1-3)
“แผ่นดินโลกใหม่” คือกลุ่มชนหรือสังคมมนุษย์ใหม่ที่เรียกว่าประชาคมคริสเตียนก็จะเข้าแทนของเก่าที่ถูกทำลายไปในสงครามอาร์มาเก็ดโดน ประชากรของแผ่นดินโลกใหม่นี้ได้แก่ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้าซึ่งเชื่อฟัง และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ยอห์น 17:14; 1 ยอห์น 2:17) พวกเหล่านี้จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความรัก ความเข้าใจ และสันติสุข
6. การเป็นขึ้นมาจากความตาย
เมื่อเราศึกษาให้ดีแล้วก็จะทราบดีว่าพวกพยานพระเยโฮวาห์แม้ใช้พระ
คัมภีร์เล่มเดียวกันแต่การตีความหมายนั้นถือว่าเพี้ยนอย่างมากดังที่เราจะเห็นได้ ภายใต้หัวข้อนี้
6.1 ผู้ที่จะเป็นขึ้นจากตาย
พยานพระเยโฮวาห์ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ พระคริสต์ และ พยาน 144,000คน
กลุ่มที่สองคือ “ผู้ชอบธรรม” และ “อธรรม”ที่ตายไปแล้วในอดีตและอาศัยอยู่ในเชโอล หรือเฮเดส จะเป็นขึ้นมาจากความตาย (กิจการ 24:15)
เพื่อจะอาศัยอยู่ในอุทยานของพระเจ้า(บนโลก)นี้อย่างมีความสุข คนอธรรมก็จะได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะเรียนรู้จักที่จะทราบน้ำพระทัยพระเจ้า,
กลับใจใหม่และเลือกที่จะรับใช้พระเจ้าพวกเหล่านี้ก็จะไม่ต้องตายอีกเลย (ฮบ. 11:35) หรือสามารถพูดได้ว่าคนชั่วจะมีโอกาสครั้งที่ 2 ที่จะเชื่อ แต่ถ้าคนชั่วเหล่านี้ล้มเหลวพวกเขาก็จะตายในลักษณะดับสูญไปแต่พวกพยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่ามีการยกเว้นสำหรับบางกลุ่มและคนที่ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตายคือยูดาสผู้ซึ่งทราบน้ำพระทัยแล้วแต่ยังตั้งใจทำชั่ว,
ชาวเมืองสะโดม-โกโมรา (2ปต 2:4-6,9), กับเรนาอูม (มธ 11:22-24) และคนที่ทำบาปต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มธ 12:32; ฮร 6:4-6; 10:26-27)
6.2 เวลา และลำดับการเป็นขึ้นมาจากตาย
- พระคริสต์ทรงเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตายแต่เป็นสภาพกายวิญญาณ
(1 เปโตร 3:18) พร้อมกับ“คนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์” (1 คร 15:23)
ซึ่งพวกพยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่าคือพยาน 144,000 คน จะเป็นขึ้นมาและ
ปกครองร่วมกับพระคริสต์บนสวรรค์เป็นเวลา 1000 ปี (วว 20:6;14:1,3)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาแล้วในปี 1914 (2 ทธ 4:8) แต่พวก
นี้เชื่อว่าพยาน 144,000คนยังไม่ครบ บางคนยังมีชีวิตและรับใช้อย่างสัตย์ซื่อ
บนโลกขณะนี้พวกผู้ชอบธรรมเหล่าจะเป็นขึ้นในวินาทีที่เขาเสียชีวิตและเข้า
ร่วมกับคนที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว (อ้าง 1ธซก 4:15-17; 1คร 15:51-52)
พวก พยานพระเยโฮวาห์เรียกการเป็นขึ้นจากความตายครั้งแรก และไม่สามารถ
มองเห็นด้วยตาว่าเป็นการเป็นขึ้นมาของกายวิญญาณ (1 คร15:42-44)
- การเป็นขึ้นมาของ “คนชอบธรรม” และ “คนอธรรม” เกิดขึ้นหลังจากสงคราม
อาร์เมกิดโดน พระเจ้าจะประทานร่างกายใหม่ให้แต่เป็นบุคคลคนเดิมเพราะ
พยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่าร่างกายเดิมหลังจากผู้นั้นตายแล้วก็จะเปลื่อยเน่า
พยานพระเยโฮวาห์สอนว่าระเบียบการปฏิบัติต่างของคริสตจักรทั้งคาทอลิก
และโปรเตสแตนต์นั้นมีจุดกำเนิดจากซาตาน และมันยังควบคุมดูแลอยู่ ความเชื่ออัน
นี้เกิดจากการที่พวกเขาตีความหมายผิดจากพระธรรมวิวรณ์คำว่า “สัตว์ร้าย” และ
“รูปเคารพแห่งสัตว์ร้าย” [“…จุดประสงค์ที่จะบอกข้อความควรรู้แก่ทุกคนว่า ระบบ ระเบียบต่างๆเกี่ยวกับคริสตจักรทั้งของคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ลวนแต่อยู่ใต้การ ดูแลและการควบคุมของพญามาร…และด้วยเหตุนั้น จึงประกอบเป็นพวกต่อต้าน พระคริสต์” การปลดปล่อย, หน้า 222,226,230]
พวกนี้ยังกล่าวร้ายว่าคริสต์ศาสนาที่มีระเบียบแบบคณะหรือองค์การเป็นพวก
หน้าไหว้หลังหลอก, เห็นแก่ตัวอย่างมาก, ไม่มีความรักแท้ และกำลังต่อต้านพระเยโฮ
วาห์ (การเตรียมพร้อม, หน้า 318) นอกจากนี้พวกเขาอธิบายว่าการที่พวกพยาน
พระเยโฮวาห์เป็นพวกคริสเตียนแท้ และเป็นผู้ที่ปฏิเสธที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อ
ระบบระเบียบองค์การของพญามารคือคริสตศาสนา ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาถูก ต่อต้านจากคริสตจักรต่างๆ
พวกที่รอดและอยู่กับพระเยโฮวาห์บนสวรรค์ได้มีเพียง 144,000 คน (ส่วนน้อย เท่านั้นที่ยังคงเหลือเพื่อเพิ่มให้ครบจำนวน) ส่วนคริสเตียนอีกส่วนหนึ่งจะมีชีวิตรอด และอาศัยอยู่บนโลกใบนี้
5. สงครามอาร์มาเก็ดดอน, ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่
พวกพยานพระเยโฮวาห์สอนว่าสงครามอาร์เก็ดดอนเป็นการทำสงครามอันชอบธรรมของพระเจ้าเพื่อทำลายเฉพาะคนชั่ว (สดุดี 92:7) เป็นการพิพากษาเพื่อลงโทษคนเหล่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อฟังกฏหมายอันชอบธรรมของพระเยโฮวาห์ หลังสงครามนี้สิ้นสุดลงพระเยโฮวาห์จะสถาปนาอาณาจักรของพระองค์เป็นรัฐบาลเดียวที่ปกครองแผ่นดินโลกนี้ คนชั่ว, ซาตานและบริวารของมันจะถูกกำจัด (วิวรณ์ 20:1-3) คนที่มีชีวิตรอดพ้นจากสงครามอาร์มาเก็ดโดนโดยเฉพาะผู้ชายที่สัตย์ซื่อก็จะได้รับการแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นตัวแทนของราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เพื่อดูแลกิจการต่างๆแทนพระเจ้าในโลก พวกเขาก็จะทำความสะอาดโลกเนื่องจากผลของสงคราม และได้ก่อสร้างบ้านขึ้นใหม่ ตลอดจนก่อตั้งสังคมใหม่ที่มีแต่สันติภาพ ไม่มีสงคาม อาชญากรรม ความรุนแรง ความชั่ว และรื้นฟื้นธรรมชาติให้กลับดีดังเดิมเหมือนกับสวนเอเดน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสัตว์ (วิวรณ์ 7:9, 16; อสย 11:6; 65:25) นอกจากนี้มนุษย์จะไม่เจ็บป่วยไข้ แก่ลง (มก 2:1-12 ;มธ 15:30-31; โยบ 33:25) และเสียชีวิต (1คร 15:25-26; ยรม 25:8) คนที่ตายแล้วก็จะเป็นขึ้นมาอีก ทั้งหมดเป็นความจริงได้ก็เพราะพระเจ้าได้อำนวยพระพรแก่พวกเขาโดยมีสภาพดินฟ้าอากาศที่ดี พืชผลและปศุสัตว์อุดมสมบูรณ์ พระองค์ยังกำจัดโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากเขาด้วย (สดุดี 145:16)
ภาพของอุทยานบนแผ่นดินโลกที่งดงามได้ถูกบรรยายโดยอัครสาวกเปโตรในเทอม “ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่” (2เปโตร 3:13; อสย 65:17; 66:22)
“ฟ้าสวรรค์ใหม่” หมายถึงระบบการปกครองใหม่โดยรัฐบาลฝ่ายสวรรค์ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของพระเยโฮวาห์ โดยมีพระเยซูเป็นกษัตริย์ร่วมกับสาวกที่สัตย์ซื่อ 144,000 คน (วว 5:9-10; 14:1-3)
“แผ่นดินโลกใหม่” คือกลุ่มชนหรือสังคมมนุษย์ใหม่ที่เรียกว่าประชาคมคริสเตียนก็จะเข้าแทนของเก่าที่ถูกทำลายไปในสงครามอาร์มาเก็ดโดน ประชากรของแผ่นดินโลกใหม่นี้ได้แก่ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้าซึ่งเชื่อฟัง และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ยอห์น 17:14; 1 ยอห์น 2:17) พวกเหล่านี้จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความรัก ความเข้าใจ และสันติสุข
6. การเป็นขึ้นมาจากความตาย
เมื่อเราศึกษาให้ดีแล้วก็จะทราบดีว่าพวกพยานพระเยโฮวาห์แม้ใช้พระ
คัมภีร์เล่มเดียวกันแต่การตีความหมายนั้นถือว่าเพี้ยนอย่างมากดังที่เราจะเห็นได้ ภายใต้หัวข้อนี้
6.1 ผู้ที่จะเป็นขึ้นจากตาย
พยานพระเยโฮวาห์ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ พระคริสต์ และ พยาน 144,000คน
กลุ่มที่สองคือ “ผู้ชอบธรรม” และ “อธรรม”ที่ตายไปแล้วในอดีตและอาศัยอยู่ในเชโอล หรือเฮเดส จะเป็นขึ้นมาจากความตาย (กิจการ 24:15)
เพื่อจะอาศัยอยู่ในอุทยานของพระเจ้า(บนโลก)นี้อย่างมีความสุข คนอธรรมก็จะได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะเรียนรู้จักที่จะทราบน้ำพระทัยพระเจ้า,
กลับใจใหม่และเลือกที่จะรับใช้พระเจ้าพวกเหล่านี้ก็จะไม่ต้องตายอีกเลย (ฮบ. 11:35) หรือสามารถพูดได้ว่าคนชั่วจะมีโอกาสครั้งที่ 2 ที่จะเชื่อ แต่ถ้าคนชั่วเหล่านี้ล้มเหลวพวกเขาก็จะตายในลักษณะดับสูญไปแต่พวกพยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่ามีการยกเว้นสำหรับบางกลุ่มและคนที่ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตายคือยูดาสผู้ซึ่งทราบน้ำพระทัยแล้วแต่ยังตั้งใจทำชั่ว,
ชาวเมืองสะโดม-โกโมรา (2ปต 2:4-6,9), กับเรนาอูม (มธ 11:22-24) และคนที่ทำบาปต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มธ 12:32; ฮร 6:4-6; 10:26-27)
6.2 เวลา และลำดับการเป็นขึ้นมาจากตาย
- พระคริสต์ทรงเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตายแต่เป็นสภาพกายวิญญาณ
(1 เปโตร 3:18) พร้อมกับ“คนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์” (1 คร 15:23)
ซึ่งพวกพยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่าคือพยาน 144,000 คน จะเป็นขึ้นมาและ
ปกครองร่วมกับพระคริสต์บนสวรรค์เป็นเวลา 1000 ปี (วว 20:6;14:1,3)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาแล้วในปี 1914 (2 ทธ 4:8) แต่พวก
นี้เชื่อว่าพยาน 144,000คนยังไม่ครบ บางคนยังมีชีวิตและรับใช้อย่างสัตย์ซื่อ
บนโลกขณะนี้พวกผู้ชอบธรรมเหล่าจะเป็นขึ้นในวินาทีที่เขาเสียชีวิตและเข้า
ร่วมกับคนที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว (อ้าง 1ธซก 4:15-17; 1คร 15:51-52)
พวก พยานพระเยโฮวาห์เรียกการเป็นขึ้นจากความตายครั้งแรก และไม่สามารถ
มองเห็นด้วยตาว่าเป็นการเป็นขึ้นมาของกายวิญญาณ (1 คร15:42-44)
- การเป็นขึ้นมาของ “คนชอบธรรม” และ “คนอธรรม” เกิดขึ้นหลังจากสงคราม
อาร์เมกิดโดน พระเจ้าจะประทานร่างกายใหม่ให้แต่เป็นบุคคลคนเดิมเพราะ
พยานพระเยโฮวาห์เชื่อว่าร่างกายเดิมหลังจากผู้นั้นตายแล้วก็จะเปลื่อยเน่า
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 06, 2008 6:58 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
-5-
7. การพิพากษา, นรก และแดนมรณา (Hades or Sheol)
7.1 พวกพยานพระเยโฮวาห์ได้ตีความหมายพระคัมภีร์ผิดๆ ในคำสอนเรื่อง
นรกและแดนมรณา เขาสอนว่าแดนมรณาที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้นที่แท้
คือหลุมฝังศพ
7.2 พวกนี้ปฏิเสธบาปที่ตกทอดจากอาดาม และบาปที่มนุษย์ทำเองด้วย
เพราะพวกนี้เชื่อว่าพระเจ้ายุติธรรมจะไม่พิพากษามนุษย์เนื่องจากความ
บาปที่เขาทำโดยไม่รู้เท่าถึงการขณะที่มีชีวิตบนโลกนี้ พวกนี้ยังเชื่อว่าเมื่อ
มนุษย์ตายความบาปของเขาจะถูกปลดเปลื้อง โดยอ้างว่า“ผู้ที่ตายแล้วก็
ปราศจากโทษของบาป” (โรม 6:7)
7.3 พวกนี้ปฏิเสธการพิพากษานิรันดร์ในนรกของพระเจ้า ดังที่เขากล่าว “พระ
เจ้าทรงประเสริฐเกินกว่าที่จะยอมให้มีแดนนรกลักษณะถาวร” (เล่ม 1 หน้า
127) ความตายฝ่ายวิญญาณเนื่องจากผลของบาปในลักษณะการดับสูญจบ
สิ้นทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ (ไม่มีอะไรเหลือ) (เล่ม 1 หน้า 150-151)
และอธิบายในลักษณะที่ว่าผู้ไม่เชื่อจะดับสูญโดยปราศจากความเจ็บปวด
หรือหมดความมีชีวิต (คงอยู่) ซึ่งคำสอนนี้ขัดกับพระลักษณะของพระเจ้าใน
เรื่องความบริสุทธิ์ และความบาป ดูเหมือนคำสอนลักษณะนี้คล้ายกับลัทธิ Universalism
ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่านับถือศาสนาใดในที่สุดจะได้รับ ความรอดเพราะพระกรุณาของพระเจ้า
7.4 พวกนี้สอนว่าเมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากความตาย (คนดีและชั่ว) พระเจ้าจะ
พิพากษาคนชั่วไม่ใช้บนบนฐานของการกระทำให้อดีต แต่เป็นการ
กระทำของเขาในระหว่างวันพิพากษา (อุทยานบนโลก-ยุค 1000 ปี) โดย
อ้างจากพระธรรมยอห์น 5:28-30
ช่วงเวลาใกล้สิ้น 1000 ปีพระเจ้าจะปล่อยซาตานออกจากที่คุมขังและ
มันจะออกไปล่อล่วงมนุษย์บนโลก สำหรับคนที่ทำความดีโดยการเชื่อฟัง
และรับใช้พระเจ้าก็จะก้าวหน้าไปสู่การเป็นมนุษย์สมบูรณ์คือบรรลุถึงชีวิต
สมบูรณ์ปราศจากบาปและมีชีวิตอยู่ในอุทยานสวรรค์บนโลกนี้ต่อไป ส่วน
คนที่ไม่แพ้ต่อการทดลองของซาตานคือคนที่ไม่มีชื่อที่ถูกบันทึกใน “หนังสือ
แห่งชีวิต”จะถูกทำลายในบึงไฟในวันพิพากษาสุดท้าย
7. อื่นๆ
7.1 ปฏิเสธความเป็นอมตะของวิญญาณมนุษย์ เขาสอนว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ไม่มีวิญญาณ” (จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง, หน้า 59-60)
โต้แย้งเมื่อมนุษย์ตายแล้วแต่วิญญาณยังคงอยู่ (วว 6:9-11; ลก20:37-38)
7.2 ปฏิเสธการรักษาโดยการถ่ายเลือด โดยอ้างจากพระธรรมเลวีนืติ 17:13-14 ที่พระเจ้าห้ามอิสราเอลกินเลือด เป็นผลให้หลายคนตายเพราะปฏิเสธจากหมอในการไถ่เลือดเพื่อช่วยชีวิตคนป่วย รัฐบาลได้ฟ้องร้องเพราะปล่อยคนให้ตาย
7.3 ปฏิเสธการปกครองจากรัฐบาลของโลกนี้ ดังนั้นเป็นผิดถึงขาดเป็นการล่วงประเวณีทีเดียวที่จะทำความเคารพธงชาติ และรับราชกาลทางทหารพวกเขาควรจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเยโฮวาห์เท่านั้น คือ “สงครามซึ่งนำโดยพระเจ้า” โต้แย้ง โรม 13:1-7; 1เปโตร 2:13-14
7.4 ปฏิเสธที่จะฉลองคริสตมาส วันเกิด หรือวันหยุดสำคัญของชาติเพราะเป็นเหมือนการไหว้รูปเคารพ
7.5 ในวาระสุดท้ายพญามารซาตานจะพินาศดับสูญสลายไปคือไม่คงอยู่อีกเลย
7. การพิพากษา, นรก และแดนมรณา (Hades or Sheol)
7.1 พวกพยานพระเยโฮวาห์ได้ตีความหมายพระคัมภีร์ผิดๆ ในคำสอนเรื่อง
นรกและแดนมรณา เขาสอนว่าแดนมรณาที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้นที่แท้
คือหลุมฝังศพ
7.2 พวกนี้ปฏิเสธบาปที่ตกทอดจากอาดาม และบาปที่มนุษย์ทำเองด้วย
เพราะพวกนี้เชื่อว่าพระเจ้ายุติธรรมจะไม่พิพากษามนุษย์เนื่องจากความ
บาปที่เขาทำโดยไม่รู้เท่าถึงการขณะที่มีชีวิตบนโลกนี้ พวกนี้ยังเชื่อว่าเมื่อ
มนุษย์ตายความบาปของเขาจะถูกปลดเปลื้อง โดยอ้างว่า“ผู้ที่ตายแล้วก็
ปราศจากโทษของบาป” (โรม 6:7)
7.3 พวกนี้ปฏิเสธการพิพากษานิรันดร์ในนรกของพระเจ้า ดังที่เขากล่าว “พระ
เจ้าทรงประเสริฐเกินกว่าที่จะยอมให้มีแดนนรกลักษณะถาวร” (เล่ม 1 หน้า
127) ความตายฝ่ายวิญญาณเนื่องจากผลของบาปในลักษณะการดับสูญจบ
สิ้นทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ (ไม่มีอะไรเหลือ) (เล่ม 1 หน้า 150-151)
และอธิบายในลักษณะที่ว่าผู้ไม่เชื่อจะดับสูญโดยปราศจากความเจ็บปวด
หรือหมดความมีชีวิต (คงอยู่) ซึ่งคำสอนนี้ขัดกับพระลักษณะของพระเจ้าใน
เรื่องความบริสุทธิ์ และความบาป ดูเหมือนคำสอนลักษณะนี้คล้ายกับลัทธิ Universalism
ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่านับถือศาสนาใดในที่สุดจะได้รับ ความรอดเพราะพระกรุณาของพระเจ้า
7.4 พวกนี้สอนว่าเมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากความตาย (คนดีและชั่ว) พระเจ้าจะ
พิพากษาคนชั่วไม่ใช้บนบนฐานของการกระทำให้อดีต แต่เป็นการ
กระทำของเขาในระหว่างวันพิพากษา (อุทยานบนโลก-ยุค 1000 ปี) โดย
อ้างจากพระธรรมยอห์น 5:28-30
ช่วงเวลาใกล้สิ้น 1000 ปีพระเจ้าจะปล่อยซาตานออกจากที่คุมขังและ
มันจะออกไปล่อล่วงมนุษย์บนโลก สำหรับคนที่ทำความดีโดยการเชื่อฟัง
และรับใช้พระเจ้าก็จะก้าวหน้าไปสู่การเป็นมนุษย์สมบูรณ์คือบรรลุถึงชีวิต
สมบูรณ์ปราศจากบาปและมีชีวิตอยู่ในอุทยานสวรรค์บนโลกนี้ต่อไป ส่วน
คนที่ไม่แพ้ต่อการทดลองของซาตานคือคนที่ไม่มีชื่อที่ถูกบันทึกใน “หนังสือ
แห่งชีวิต”จะถูกทำลายในบึงไฟในวันพิพากษาสุดท้าย
7. อื่นๆ
7.1 ปฏิเสธความเป็นอมตะของวิญญาณมนุษย์ เขาสอนว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ไม่มีวิญญาณ” (จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง, หน้า 59-60)
โต้แย้งเมื่อมนุษย์ตายแล้วแต่วิญญาณยังคงอยู่ (วว 6:9-11; ลก20:37-38)
7.2 ปฏิเสธการรักษาโดยการถ่ายเลือด โดยอ้างจากพระธรรมเลวีนืติ 17:13-14 ที่พระเจ้าห้ามอิสราเอลกินเลือด เป็นผลให้หลายคนตายเพราะปฏิเสธจากหมอในการไถ่เลือดเพื่อช่วยชีวิตคนป่วย รัฐบาลได้ฟ้องร้องเพราะปล่อยคนให้ตาย
7.3 ปฏิเสธการปกครองจากรัฐบาลของโลกนี้ ดังนั้นเป็นผิดถึงขาดเป็นการล่วงประเวณีทีเดียวที่จะทำความเคารพธงชาติ และรับราชกาลทางทหารพวกเขาควรจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเยโฮวาห์เท่านั้น คือ “สงครามซึ่งนำโดยพระเจ้า” โต้แย้ง โรม 13:1-7; 1เปโตร 2:13-14
7.4 ปฏิเสธที่จะฉลองคริสตมาส วันเกิด หรือวันหยุดสำคัญของชาติเพราะเป็นเหมือนการไหว้รูปเคารพ
7.5 ในวาระสุดท้ายพญามารซาตานจะพินาศดับสูญสลายไปคือไม่คงอยู่อีกเลย
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 06, 2008 6:59 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
-6-
III. หลักปฏิบัติของพวกพยานพระเยโฮวาห์
สมาชิกของกลุ่มต้องออกไปรับใช้อย่างน้อยเดือนละ 10 ชั่วโมง ถ้าเป็นระดับผู้นำหรือหัวหน้าต้องรับใช้อย่างน้อย 100 ชั่วโมง และต้องออกค่าใช้จ่ายเอง จากสถิติทุกๆ ปี มีการเคาะประตูประกาศตามบ้านมากกว่า 340 ล้านครั้ง และทุกๆ การเคาะ 740 ครั้งจะมีคนยอมเข้ามาเป็นสมาชิก 1คน ตกประมาณปีละ 200,000 คน
ลักษณะของผู้นำในลัทธิสอนผิด
พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่เตือนสาวกในระวังคำสอนผิดเท่านั้น แต่พระองค์บอกพวกเขาให้สังเกตดูชีวิตของพวกผู้สอนผิด “รู้จักต้นไม้ให้ดูที่ผลของมัน”
ศาสนาจารย์ W.A. Adrian Van Leen ได้ให้คุณลักษณะของบุคคลที่เป็นผู้นำลัทธิสอนผิดเหล่านี้ไว้ดังนี้
1. ตั้งตัวเป็นผู้นำเจ้าลัทธิ (Dominating Leader or Pastor )
2. ใช้สิทธิอำนาจด้วยความยโส (Arrogant Authoritarianism)
3. เรียกร้องให้ยอมเชื่อฟัง (Demand Submission and Obedience)
4. เรียกร้องให้ถวายสิบลด (Demand Tithing)
5. ความคิดแคบ (Narrow Outlook or Perspective)
6. อ่อนในด้านความรู้ทางศาสนศาสตร์ (Poor Theological Training)
7. บิดเบือนหลักคำสอน (Distorted Theological Emphasis)
หมายเหตุ: มอบเครดิต ทั้งหมดให้ พี่พีพี ที่ได้สะสมข้อมูลนี้ให้ยืมใช้ :cheesy:
III. หลักปฏิบัติของพวกพยานพระเยโฮวาห์
สมาชิกของกลุ่มต้องออกไปรับใช้อย่างน้อยเดือนละ 10 ชั่วโมง ถ้าเป็นระดับผู้นำหรือหัวหน้าต้องรับใช้อย่างน้อย 100 ชั่วโมง และต้องออกค่าใช้จ่ายเอง จากสถิติทุกๆ ปี มีการเคาะประตูประกาศตามบ้านมากกว่า 340 ล้านครั้ง และทุกๆ การเคาะ 740 ครั้งจะมีคนยอมเข้ามาเป็นสมาชิก 1คน ตกประมาณปีละ 200,000 คน
ลักษณะของผู้นำในลัทธิสอนผิด
พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่เตือนสาวกในระวังคำสอนผิดเท่านั้น แต่พระองค์บอกพวกเขาให้สังเกตดูชีวิตของพวกผู้สอนผิด “รู้จักต้นไม้ให้ดูที่ผลของมัน”
ศาสนาจารย์ W.A. Adrian Van Leen ได้ให้คุณลักษณะของบุคคลที่เป็นผู้นำลัทธิสอนผิดเหล่านี้ไว้ดังนี้
1. ตั้งตัวเป็นผู้นำเจ้าลัทธิ (Dominating Leader or Pastor )
2. ใช้สิทธิอำนาจด้วยความยโส (Arrogant Authoritarianism)
3. เรียกร้องให้ยอมเชื่อฟัง (Demand Submission and Obedience)
4. เรียกร้องให้ถวายสิบลด (Demand Tithing)
5. ความคิดแคบ (Narrow Outlook or Perspective)
6. อ่อนในด้านความรู้ทางศาสนศาสตร์ (Poor Theological Training)
7. บิดเบือนหลักคำสอน (Distorted Theological Emphasis)
หมายเหตุ: มอบเครดิต ทั้งหมดให้ พี่พีพี ที่ได้สะสมข้อมูลนี้ให้ยืมใช้ :cheesy:
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 06, 2008 7:01 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
อืม ขอบคุณข้อมูล พี่ก็ไม่เคยศึกษาพยานหรอกนะ แต่โปร ของพี่เขาจะสอนว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จอะ
- Jack Sparrow
- โพสต์: 353
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am
คาทอลิกทั่วไปไม่รู้จักคิดว่าเป็นโปรฯเหมือนกันหมด
มาเมืองไทยหรือยังอะ
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
มาแว้ว รู้จักอยู่ที่นึง ตรง ซอยสันติคาม สมุทรปราการ ถ้ามาจากถนนสุขุมวิท ขาเข้าสมุทรปราการ พอพ้นสถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง(ในอนาคต) ไม่เกิน500เมตร(เดาเอา) จะมีป้ายอยู่ทางซ้ายมือGray Cat Mobster เขียน: มาเมืองไทยหรือยังอะ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
เราควรจะทำอย่างไรดี (นอกเหนือจากการสวดภาวนา)
บ้านผมก็มีนะ หนังสือเล่มบางๆ เขียนว่าหอสังเกตุการณ์ ฉบับที่ XXX
ก็คิดว่าเป็นหนังสือโปรซะอีก แต่ชื่อว่าหอสังเกตุการณ์
ที่ไหนได้ มันคือนิกายของหอสังเกตุการณ์แล้วออกหนังสือมาให้นี่เอง
ก็คิดว่าเป็นหนังสือโปรซะอีก แต่ชื่อว่าหอสังเกตุการณ์
ที่ไหนได้ มันคือนิกายของหอสังเกตุการณ์แล้วออกหนังสือมาให้นี่เอง
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Immanuel (MichaelPaul) เขียน: เราควรจะทำอย่างไรดี (นอกเหนือจากการสวดภาวนา)
ไม่ต้องสนใจลัทธิเท็จเทียม แพร่ธรรมพระวาจา ตามหาแกะหลงต่อไป
เคยเจอมาเคาะประตูหน้าบ้าน เเล้วอ่านข้อความพระคัมภีร์ให้
เป็นมิชชันนารีชาวต่างชาติ เเล้วเขาก็ให้เอกสารมาสองสามชิ้น
เเต่ ตอนนั้นข้าพเจ้าอ่านไม่รู้เรื่องจริงๆเลย...
เพราะภาษาที่เขาใช้ค่อนข้างจะยาก เเละดูโคตรซนา จนตอนนั้นคิดว่า "มันโม้หรือเปล่า?"
เป็นมิชชันนารีชาวต่างชาติ เเล้วเขาก็ให้เอกสารมาสองสามชิ้น
เเต่ ตอนนั้นข้าพเจ้าอ่านไม่รู้เรื่องจริงๆเลย...
เพราะภาษาที่เขาใช้ค่อนข้างจะยาก เเละดูโคตรซนา จนตอนนั้นคิดว่า "มันโม้หรือเปล่า?"
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ใช่ครับ พระคัมภีร์ยังใช้เวอร์ชั่นแปล ปี 1941 (??? ) อะไรนี่แหละ เช่น ปัจจุบัน เราใช้ ปฐมกาล พยานฯใช้เยเนซีส :laugh:Joseph เขียน:เข้ามาอยู่เมืองไทยกว่า 40 ปีแล้วครับGray Cat Mobster เขียน: มาเมืองไทยหรือยังอะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
เคยเจอที่ร้านทำผมอยู่ที่นึง เอามาโปรโมทจัง อยากย้อนเหลือเกินว่า ข้าอ่ะ พยานพระเยซูเว๊ย ก็ไม่กล้าเดี๋ยวมันหั่นผมพังหมด เลยต้องทนฟังๆๆๆๆ ไป แล้วไม่ไปทำร้านนั้นอีกเลย
-
- โพสต์: 10
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 05, 2008 7:16 pm
คุณเจี๊ยบตอบได้ยาวได้ใจจริงๆเดี๋ยวผมขอเวลาอ่านและพิจารณาสักพักนะครับแล็วจะมาโพสใหม่ ขอบคุณมากๆหลักๆของจุดประสงค์ในการเข้ามาขอแลก
เปลี่ยนความรู้ครั้งนี้คือผมอยากได้ข้อมูลของหลักคำสอน,ที่มาของคริสตจักรจากคนที่เป็นคาทอลิก,โปรแตสแตนต์,ฯลฯจริงๆซึ่งน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า
พี่น้องของผม(ซึ่งที่จริงที่เขาก็เคยเป็นคาทอลิกมาก่อนนั่นแหละครับแต่พอดีผมเป็นคนหัวดื้อประมาณหนึ่งเลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อ) แต่เชื่อว่าการคุยกัน
ครั้งนี้น่าจะได้ประโยชน์กับเราทั้ง2ฝ่ายนะครับ จะได้รู้จักกันและกันมากขึ้น เดี๋ยวถ้าผมสรุปได้จะมาโพสให้เพื่อนรู้จักพยานฯจากคนที่เป็นพยานฯจริงๆบ้างนะ
ครับจะได้ไม่มองเราในแง่ลบมาก(เรื่องใหญ่นะเนี่ยกดดันจัง)
เปลี่ยนความรู้ครั้งนี้คือผมอยากได้ข้อมูลของหลักคำสอน,ที่มาของคริสตจักรจากคนที่เป็นคาทอลิก,โปรแตสแตนต์,ฯลฯจริงๆซึ่งน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า
พี่น้องของผม(ซึ่งที่จริงที่เขาก็เคยเป็นคาทอลิกมาก่อนนั่นแหละครับแต่พอดีผมเป็นคนหัวดื้อประมาณหนึ่งเลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อ) แต่เชื่อว่าการคุยกัน
ครั้งนี้น่าจะได้ประโยชน์กับเราทั้ง2ฝ่ายนะครับ จะได้รู้จักกันและกันมากขึ้น เดี๋ยวถ้าผมสรุปได้จะมาโพสให้เพื่อนรู้จักพยานฯจากคนที่เป็นพยานฯจริงๆบ้างนะ
ครับจะได้ไม่มองเราในแง่ลบมาก(เรื่องใหญ่นะเนี่ยกดดันจัง)
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้จ้าผู้สนใจศึกษา เขียน: คุณเจี๊ยบตอบได้ยาวได้ใจจริงๆเดี๋ยวผมขอเวลาอ่านและพิจารณาสักพักนะครับแล็วจะมาโพสใหม่ ขอบคุณมากๆหลักๆของจุดประสงค์ในการเข้ามาขอแลก
เปลี่ยนความรู้ครั้งนี้คือผมอยากได้ข้อมูลของหลักคำสอน,ที่มาของคริสตจักรจากคนที่เป็นคาทอลิก,โปรแตสแตนต์,ฯลฯจริงๆซึ่งน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า
พี่น้องของผม(ซึ่งที่จริงที่เขาก็เคยเป็นคาทอลิกมาก่อนนั่นแหละครับแต่พอดีผมเป็นคนหัวดื้อประมาณหนึ่งเลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อ) แต่เชื่อว่าการคุยกัน
ครั้งนี้น่าจะได้ประโยชน์กับเราทั้ง2ฝ่ายนะครับ จะได้รู้จักกันและกันมากขึ้น เดี๋ยวถ้าผมสรุปได้จะมาโพสให้เพื่อนรู้จักพยานฯจากคนที่เป็นพยานฯจริงๆบ้างนะ
ครับจะได้ไม่มองเราในแง่ลบมาก(เรื่องใหญ่นะเนี่ยกดดันจัง)
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
ใจเย็นๆ คะ และขอให้พบกับความจริงในเร็ววัน
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
แลกเปลี่ยนยังไงพี่ เจี๊ยบไม่เห็นพี่แสดงความคิดเห็นอะไร เป็นชิ้นเป็นอันสักกระทู้ น่ะ :cheesy:Rakkypoko! เขียน:
ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้จ้า
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
อ่าว เจี๊ยบ ไม่รู้หรอว่าพี่ เป็นพวก ร้ายสาระJeab Agape เขียน:แลกเปลี่ยนยังไงพี่ เจี๊ยบไม่เห็นพี่แสดงความคิดเห็นอะไร เป็นชิ้นเป็นอันสักกระทู้ น่ะ :cheesy:Rakkypoko! เขียน:
ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้จ้า
แหม ผมรักบอร์ดนี้จังเลยครับ ดูแล้วสมเป็นคนของพระคริสต์จริงๆ ตั้งมั่นในความรักสามัคคี
ไม่หาเรื่องทะเลาะกัน แต่พูดด้วยเหตุผล นี่แหล่ะเสน่ห์ของคริสต์
ไม่หาเรื่องทะเลาะกัน แต่พูดด้วยเหตุผล นี่แหล่ะเสน่ห์ของคริสต์
ขอถามเพิ่มนะคะ
1. อยากรู้ว่า รู้สึกยังไงบ้าง เวลามีคนพูดว่า คุณเป็นลัทธิเท็จเทียมน่ะค่ะ รู้สึกเหมือนถูกดูถูกมั้ย หรือว่า คิดยังไง
เปิดใจนิดนะคะ
2. พยานฯ มีกิจกรรมการกุศลอะไรบ้าง (เช่นเลี้ยงเด็กกำพร้า คนชรา อะไรแบบนี้น่ะค่ะ) หรือว่า ประกาศอย่างเดียว
3. พยานฯ มีชีวิตจิตอย่างไร มีการภาวนาอย่างไร มีรูปแบบการเข้าถึงพระเป็นเจ้าอย่างไร สรรเสริญพระองค์อย่างไร
ขอบคุณมากค่ะ
1. อยากรู้ว่า รู้สึกยังไงบ้าง เวลามีคนพูดว่า คุณเป็นลัทธิเท็จเทียมน่ะค่ะ รู้สึกเหมือนถูกดูถูกมั้ย หรือว่า คิดยังไง
เปิดใจนิดนะคะ
2. พยานฯ มีกิจกรรมการกุศลอะไรบ้าง (เช่นเลี้ยงเด็กกำพร้า คนชรา อะไรแบบนี้น่ะค่ะ) หรือว่า ประกาศอย่างเดียว
3. พยานฯ มีชีวิตจิตอย่างไร มีการภาวนาอย่างไร มีรูปแบบการเข้าถึงพระเป็นเจ้าอย่างไร สรรเสริญพระองค์อย่างไร
ขอบคุณมากค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ยินดีครับ เจี๊ยบจะโผล่ตอบเป็นครั้งคราวฮะผู้สนใจศึกษา เขียน: คุณเจี๊ยบตอบได้ยาวได้ใจจริงๆ.... เดี๋ยวถ้าผมสรุปได้จะมาโพสให้เพื่อนรู้จักพยานฯจากคนที่เป็นพยานฯจริงๆบ้างนะ
ครับจะได้ไม่มองเราในแง่ลบมาก(เรื่องใหญ่นะเนี่ยกดดันจัง)
ขออธิบายเพิ่มเติม ครับ สืบเนื่องมาจาก คำว่า "เทียมเท็จ" หรือ "เท็จเทียม" พวกเราโปรฯ ไม่ได้ พูดถึงลักษณะนิสัยใจคอ ว่าประพฤติผิด จารีตอะไร เป็นต้น
แต่เรา ได้สนใจ ปกป้องคริสตชน (โดยเฉพาะกลุ่มคริสเตียนเอง) ต้องมีความเชื่อ อย่างไร ในการเดินตามพระเยซูเจ้า ดังนั้นคำว่าเทียมเท็จของเรา นั่นหมายถึง
ไม่ได้มีหลักข้อเชื่อเหมือนคริสตจักรสายหลัก ( เช่น คาทอลิก โปรฯสภาคริสตจักร โปรฯสหกิจคริสตจักร โปรฯสหแบ๊พติสท์ )
อย่างที่ได้เขียนค้าน/อธิบายตั้งแต่ข้อ III ว่าท่านเชื่อเช่นนั้น พวกเราบอกว่าไม่ถูกต้อง และมีคำอธิบายต่อ เป็นต้น
การที่บอกว่า พวกเรา มองในแง่ลบ นั้น ลองคิดง่ายๆ
1.เราไม่เคยไปรังเกียจ คนที่เป็น พุทธ ฮินดู พราหมณ์ หรือ อิสลาม เพราะเขาไม่ได้บอกว่าเป็นคริสต์
2.ที่เราแย้ง กลุ่มที่เราเรียกเทียมเท็จ เพราะว่า คำสอนของกลุ่ม/ลัทธิ เป็น การสอน ค้าน คริสต์สายหลัก ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเยซูคริสต์ ก็เชื่อ พระคัมภีร์เดิม (Old Testament )
3.หลายกลุ่มลัทธิเทียมเท็จ มักจะไปหาลูกแกะของคริสต์สายหลัก โดยเฉพาะตัวที่อ่อนแอ ไม่ค่อยเข้าฝูง ให้มาเชื่อตามตน และบอกว่า ตัวเองเท่านั้นนะถูกต้อง
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
เหนด้วยนะเจี๊ยบ เพราะเพื่อนพี่เอง ก็เคยเจอนะ ส่งมาเป็นบทเรียน อาจานที่โบสถ์พี่ เขาเหนว่า บทง่ายเข้าใจง่ายๆดี ก็เลยมาสอน สอนไปสอนมา บทเริ่มเรียนบทหลังๆ เขามีจัดกิจกรรมอะไรไม่รู้ ให้ไปร่วมเผอิญว่าวันนั้นอาจานไม่ว่าง เลยไม่ได้พาเพื่อนพี่ไป แล้วมารู้ทีหลังว่าเปนของหอสังเกตุการณ์ เพราะมี นศ ที่ไลเต้ ก็ไป เจอแบบคนใหม่ๆที่แบบเพิ่งเรียนคำสอนเยอะแยะเลยอะ แล้วอาจานก็เลยบอกพี่ว่า พวกเนี้ยถ้าสมมุติเขารู้ว่าเราเป็นคริสต์เขาจะยิ่งชอบJeab Agape เขียน: หลายกลุ่มลัทธิเทียมเท็จ มักจะไปหาลูกแกะของคริสต์สายหลัก โดยเฉพาะตัวที่อ่อนแอ ไม่ค่อยเข้าฝูง ให้มาเชื่อตามตน และบอกว่า ตัวเองเท่านั้นนะถูกต้อง