สำหรับตัวเองแล้ว ประสบการณ์ตรงก็คือ
ตอนเด็กๆที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนักก็เคยไปดูหมอค่ะ
ที่ร้านหมอดูจะมีแต่คนหน้าตาดูไม่สบายใจเต็มไปหมด
ไม่มีใครสักคนที่ดูแจ่มใสร่าเริงปกติดีจะเดินเข้าร้านหมอดู
โดยเฉพาะร้านหมอดูราคาถูกจะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในหมู่เด็กวัยรุ่นผู้หญิง..
เพราะว่าสาวๆส่วนใหญ่จะไปดูดวงเรื่องความรัก
ไปถามกับหมอดูว่าคนนั้นจะรักเราจริงไหม คนนี้เราจะได้มาเป็นแฟนไหม
แล้วเมื่อไหร่ดวงเนื้อคู่จะเกิดอะไรประมาณนั้น
ตอนไปหาหมอดูนั้นความรู้สึกจะเหมือนว่าเวลาไปดูหมอแล้ว
เรามีเพื่อนคุย ที่เป็นผู้ใหญ่ ที่เค้าเหมือนจะเข้าใจเรา
และก็พูดให้เราฟังแต่สิ่งดีๆเกี่ยวกับตัวเราทั้งนั้น
แล้วเราก็จะสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง สักวันสองวันหลังจากกลับมา
พอโตขึ้นหน่อยก็เริ่มรู้อะไรมากขึ้นค่ะ
ครั้งล่าสุดที่ไปดูหมอก็ประมาน 5 ปีที่แล้วเห็นจะได้
เพราะว่ารู้สึกว่าหนักจริงๆไม่รู้จะคุยกับใครก็ อ่ะ หมอดูก็ได้
ปรากฏว่าคราวนั้นเป็นคราวที่ไปดูหมอแล้ว ไม่สบายใจเลยค่ะ
ไม่ได้เพราะว่าเค้าพูดออกมาไม่ดี แต่เป็นเพราะว่า รู้สึกผิดต่อพระค่ะ
เพราะได้เรียนรู้ว่าศาสนาเราไม่ได้สอนให้เชื่ออะไรแบบนี้
ก็เลยมาแก้บาปค่ะโดยบอกว่าได้ไปดูดวงมา..
แล้วก็ได้ข้อคิดดีๆจากคุณพ่อเลยทำให้ตั้งแต่นั้นมา
ไม่เคยไปดูดวงอีกเลยค่ะ
ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้ได้เรียนรู้ว่า
การที่เรามีเรื่องราวไม่สบายใจในชีวิต
หรือเป็นเรื่องที่เราหวังว่าจะได้แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้สักที
แล้วเราขอพระให้ได้ในสิ่งที่เราหวัง
บางที...สิ่งที่เราขอพระก็อาจจะมาช้า
ไม่ทันใจเรา หรือไม่เป็นไปตามที่เราหวัง
แต่ให้เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า...
สิ่งที่พระให้ แม้ว่าจะมาช้าไปนิด
คลาดเคลื่อนกับที่เราคิดไว้บ้าง
แต่นั่นก็คือน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
และขอให้เราน้อมรับน้ำพระทัยพระองค์ค่ะ
สำหรับเพื่อนของ เจ้าของกระทู้ที่นับถือศาสนาอื่น
อาจจะมีอะไรบางอย่างที่เค้าทำไปเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้กระเจิดกระเจิง
แต่สำหรับเพื่อนที่เป็นศาสนาคริสต์
ลองแนะนำเค้าว่า...
เค้ามี พระเป็นเจ้าอยู่กับตัว แล้วเค้ายังจะไปหาสิ่งอื่นใด
ก่อนไปหาหมอดู..ลองให้เค้าชลอใจและสวดภาวนา
เพื่อความสงบของจิตใจที่เพิ่มมากขึ้นค่ะ
ปล. ลองสงบใจแล้วเปิดพระคัมภีร์ดูค่ะ
บางทีพระคัมภีร์ก็ไขความกระจ่างให้ชีวิตเราได้ดีกว่าหมอดูเป็นล้านเท่าเลยค่ะ ::004::