....................หลังจากพระศาสนจักรได้ระลึกถึงธรรมล้ำลึกในเทศกาลมหาพรตไปแล้ว ถัดจากนั้นโดยมี"อาทิตย์แรกสมโภชปัสกา"เป็นรอยต่อ พระศาสนจักรได้ฉลองปัสกาต่อเนื่องไปอีก 7 สัปดาห์ ซึ่งมีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น อาทิตย์แห่งความยินดี,อาทิตย์ยิ่งใหญ่,Pentecost,festival of Shavuot,Whit Sunday เป็นเทศกาลที่พระศาสนจักรฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าผู้"กลับคืนพระชนมชีพ"และระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าได้ประทาน"พระจิตเจ้า"แก่อัครสาวก
...................."การปรับปรุงพิธีกรรมหลังจากสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ได้ฟื้นฟูมิติเก่าของ 50 วันของปัสกาให้กลับเด่นชัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จัดพิธีกรรมต่างๆตามลักษณะจำเพาะของเทศกาลเพื่อกู้ความหมายเดิม คือทำให้เห็นว่า 50 วันนี้เป็นดังวันเดียวหรือเป็นวันอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ เรียกวันอาทิตย์ของเทศกาลปัสกาว่าเป็นวันอาทิตย์ปัสกาเอง(E.LODI,Liturgia della Chiesa,1043)หรือเราเรียก 50 วันนั้นว่า"วันแห่งการอัลเลลูยา"
(คุณพ่ออุดม นิธิภัทรพร,การฉลองธรรมล้ำลึกของคริสตเจ้าในเทศกาลปัสกา.คณะกรรมการพิธีกรรมแห่งประเทศไทย)
....................ความเป็นมาของวันนี้ เชื่อมโยงกับพันธสัญญาเดิม หรือที่เรียกกันว่า "Pentecost=50 วัน ในภาษากรีกโบราณ"และ"Hag ha-Shavuot=Festival of Weeks ในภาษาฮีบรู"และยังเพิ่มเติมอีกในพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับบันทึกเหตุการณ์เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ทรงทำอะไรและเกิดอะไร?
เราพบหลักฐานการมีอยู่ของวันนี้ในพันธสัญญาเดิม
(1)อพยพ 23:16*
"ท่านจะต้องฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยว เมื่อท่านเริ่มเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านได้หว่านไว้ในทุ่งนา ท่านจะต้องฉลองเทศกาลเก็บพืชผลปลายปี เมื่อท่านจะเก็บผลจากการงานของท่านในทุ่งนา"
(2)อพยพ 34:22
"'ท่านจะต้องฉลองเทศกาลสัปดาห์ คือเทศกาลเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลี และเทศกาลเก็บเกี่ยวพืชผลตอนสิ้นปี"
(3)เลวินีตี 2:12
"ท่านอาจถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระยาห์เวห์เมื่อถวายผลิตผลแรก แต่ต้องไม่เผาบนพระแท่นให้มีกลิ่นหอมที่พอพระทัย"
หมายเหตุ *ยิวแบ่งละเอียดไปเรียกว่า"Hag ha-Katsir"
เราพบหลักฐานการมีอยู่ของวันนี้ในพันธสัญญาใหม่
(1)กิจการอัครสาวก 2:1-4
เมื่อวันเปนเตกอสเต*มาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน
ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้าทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน
เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน
ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด
หมายเหตุ.ออกเสียงตาม"pentekoste"มีความหมายเดียวกับ"Pentecost"
....................ห้าสิบวันของปัสกาเกี่ยวโยงกับสี่สิบวันของการปรากฎพระเยซูคริสตเจ้าลูกแกะปัสกาผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ คือจนถึงวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ กับถัดจากนั้นไป 10 วันคือวันที่ 50 อันเป็นวันที่ถูกตราประทับด้วยการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า เป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมบัญญัติและพระจิตเจ้า(เป็นการเชื่อมโยงระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เป็นการยืนยันอย่างมั่นใจว่า พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาเพื่อรักษาพระบัญญัติและปรับปรุงให้งดงามขึ้นอาศัยความรัก)
(มีต่อ)
มีอะไรใน"เทศกาลปัสกา:เจ็ดอาทิตย์พระจิตเสด็จมา"
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
....................ถ้าใครมีปฏิทินคาทอลิกอยู่ จะเห็นคำว่า"อัฐมวารปัสกา" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 7 อัฐมวารปัสกานี้เป็นสัญลักษณ์ทางเทววิทยาเกี่ยวกับ"การเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า" ตั้งแต่ยุคกลางมาแล้ว เราฉลองพระคุณเจ็ดประการของพระจิตเจ้า อันได้แก่ 1. ปรีชาญาณ 2. สติปัญญา 3.วางแผนการ4. ความแข็งแกร่ง 5. ความรู้ 6. ความศรัทธา 7. ความยำเกรง
(ปัจจุบันถ้าเข้าใจไม่ผิด ในการสวดเทเซ่บางครั้ง จะมีการโปรยกุหลาบสีแดง ซึ่งมีต้นตอมาจาก "ปัสกาสีแดง(Pascha roseum)"ฉลองพระคุณพระจิตนั่นเอง)
....................ในช่วงเวลานี้ บทอ่านสำหรับวันอาทิตย์ในเทศกาลปัสกา(ทั้งหมด 6 ครั้ง ไม่นับวันสมโภชปัสกา)เป็นบทอ่านที่มีลักษณะสอดคล้องกัน
บทอ่านที่ 1 : จากหนังสือกิจการอัครสาวก
บทอ่านที่ 2 : (A)จดหมายนักบุญเปโตร ฉบับที่ 1
บทอ่านที่ 3 :
อาทิตย์ที่ 2 : "พระเยซูเจ้าประจักษ์ และ คำไม่เชื่อของนักบุญโทมัส"(ยอห์น 20:19-31)
อาทิตย์ที่ 3 : "พระเยซูเจ้าประจักษ์ แก่ เคลโอปัส"(ลูกา 24:13-35)
อาทิตย์ที่ 4 : "ผู้เลี้ยงแกะที่ดี:ทรงเป็นประตูคอกแกะ"(ยอห์น 10:1-10)
อาทิตย์ที่ 5 : "พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต"(ยอห์น 14:1-12)
อาทิตย์ที่ 6 : "คำปราศัยอำลาของพระเยซูเจ้า:ทรงสิ้นพระชนม์แต่กาย และทรงกลับเป็นฝ่ายจิต"(ยอห์น 14:15-21)
*อาทิตย์ที่ 7 : "พระองค์ทรงได้รับอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งสิ้นในสวรรค์และแผ่นดิน"(มัทธิว 28:16-20)
*วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
....................จะเห็นได้ว่า พระวาจา ในแต่ละอาทิตย์มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กัน เป็นการเร้าให้เราเดินเข้าไปถึงธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าอย่างเข้มข้น จวบจนพระองค์ทรงกลับคืนสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดาทรงสรรพานุภาพอย่างรุ่งโรจน์ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระวรสารทั้งหมดเอื้อให้เราเปล่งเสียงร้อง"อัลเลลูยา"ให้สมกับที่เป็น"วันแห่งการอัลเลลูยา"อย่างแท้จริง
มีต่อ
(ปัจจุบันถ้าเข้าใจไม่ผิด ในการสวดเทเซ่บางครั้ง จะมีการโปรยกุหลาบสีแดง ซึ่งมีต้นตอมาจาก "ปัสกาสีแดง(Pascha roseum)"ฉลองพระคุณพระจิตนั่นเอง)
....................ในช่วงเวลานี้ บทอ่านสำหรับวันอาทิตย์ในเทศกาลปัสกา(ทั้งหมด 6 ครั้ง ไม่นับวันสมโภชปัสกา)เป็นบทอ่านที่มีลักษณะสอดคล้องกัน
บทอ่านที่ 1 : จากหนังสือกิจการอัครสาวก
บทอ่านที่ 2 : (A)จดหมายนักบุญเปโตร ฉบับที่ 1
บทอ่านที่ 3 :
อาทิตย์ที่ 2 : "พระเยซูเจ้าประจักษ์ และ คำไม่เชื่อของนักบุญโทมัส"(ยอห์น 20:19-31)
อาทิตย์ที่ 3 : "พระเยซูเจ้าประจักษ์ แก่ เคลโอปัส"(ลูกา 24:13-35)
อาทิตย์ที่ 4 : "ผู้เลี้ยงแกะที่ดี:ทรงเป็นประตูคอกแกะ"(ยอห์น 10:1-10)
อาทิตย์ที่ 5 : "พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต"(ยอห์น 14:1-12)
อาทิตย์ที่ 6 : "คำปราศัยอำลาของพระเยซูเจ้า:ทรงสิ้นพระชนม์แต่กาย และทรงกลับเป็นฝ่ายจิต"(ยอห์น 14:15-21)
*อาทิตย์ที่ 7 : "พระองค์ทรงได้รับอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งสิ้นในสวรรค์และแผ่นดิน"(มัทธิว 28:16-20)
*วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
....................จะเห็นได้ว่า พระวาจา ในแต่ละอาทิตย์มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กัน เป็นการเร้าให้เราเดินเข้าไปถึงธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าอย่างเข้มข้น จวบจนพระองค์ทรงกลับคืนสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดาทรงสรรพานุภาพอย่างรุ่งโรจน์ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระวรสารทั้งหมดเอื้อให้เราเปล่งเสียงร้อง"อัลเลลูยา"ให้สมกับที่เป็น"วันแห่งการอัลเลลูยา"อย่างแท้จริง
มีต่อ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 2 : เทศกาลปัสกา
"พระเยซูเจ้าประจักษ์ และ คำไม่เชื่อของนักบุญโทมัส"(ยอห์น 20:19-31)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:42-47)
....................บทอ่านนี้ บรรยายถึงชีวิตของคริสตชนกลุ่มแรกของเยรูซาแลม ความมีภราดรภาพสามารถสื่อออกมาให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนจาก "พิธีบิขนมปัง"(กจ 2:42)ที่กระทำร่วมกันและมีการภาวนาร่วมกัน(เป็นรูปแบบคล้ายมิสซาปัจจุบันแต่เรียบง่ายกว่า)มีคำที่น่านำเสนอในจุดนี้คือ"Agape"เล็งถึงความรัก ความรักนี้สะท้อนออกมาผ่านอะไร?คำตอบคือมาจาก"ปังอันบันดาลชีวิต"ศีลที่ต่อมาเราเรียกว่า"ศีลมหาสนิท"(สิ่งที่ทำให้เราสนิทกับพระอย่างยิ่ง จนถึงกับรับพระกายพระองค์ไว้)
....................ความเป็นภราดรภาพที่มีลักษณะของ"ความรัก(Agape)"เป็นตัวแทนนี้ อยากให้ทุกคนเห็นชัดเจนขึ้น จากการแบ่งปัน(Koinonia)และให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีกจาก"Sharing&Charity"สาเหตุที่พระศาสนจักรเลือกเรียงบทอ่านนี้มาเป็นบทอ่านแรกๆเนื่องมาจาก พวกเราคริสตชนพึ่งมีสมาชิกใหม่(หรือผู้สนใจจะเรียนคำสอน) เราพึงให้ความกรุณาเป็นมิตรกับเขาอย่างที่อัครสาวกทำ พึงหนุนนำใจเขาให้ศรัทธาต่อความรักยิ่งใหญ่ขององค์พระคริสตเยซู พึงให้เขาเห็นถึงภราดรภาพของเราที่มีต่อกันในวัดของเรา และเชื่อมโยงกับพี่น้องคริสตชนทั่วโลก(สังเกตบทภาวนาประธานในช่วงปัสกาประกอบได้)
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต1:3-9)
....................จากบทอ่านนี้ เมื่อเราพิจารณาบริบทดูเราพบว่า น่าจะเป็น"บทเทศน์หรือบทภาวนาของประธานในโอกาสพิธีศีลล้างบาป"(1ปต1:3)เราเห็นได้ชัดว่า มีการเชื่อมโยงเข้ากับการบังเกิดใหม่ของพระคริสตเจ้า เป็นมรดกที่ไม่รู้จักเสื่อมสลายที่จะจำเริญในคริสตชนผู้มีความเชื่อ บทอ่านนี้ปูไปสู่พระวรสารเกี่ยวกับความเชื่อ จากข้อความที่ว่า "เพื่อว่าค่าแท้แห่งความเชื่อของท่าน ซึ่งประเสริฐกว่าทองคำอันเสื่อมไปได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ"(ขอให้ตีความดีๆ)และตอบเราไว้แล้วด้วยว่า "พระองค์นี้แหละที่ท่านรักโดยที่มิได้เห็น ถึงไม่ได้เห็นแต่ยังเชื่อ ผลคือความรอดแห่งจิตวิญญาณของท่าน"(ซึ่งจะกล่าวในพระวรสารต่อไป)
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 20:19-31)
....................นักบุญยอห์นได้เน้นให้เราเห็นว่า แม้ว่านักบุญโทมัสจะได้เห็นพระเยซูเจ้าชัดๆและเป็น(ในที่นี้คืออัครสาวก)แน่ๆ ท่านก็มีสิทธิ์ถูกทดสอบได้(ดัง กจ กล่าวไว้) อย่างไรก็ดีมองอีกแง่ ความสงสัยของนักบุญโทมัสก็ขับเหตุการณ์ให้เรายิ่งรู้สึกแน่ใจมากขึ้นว่า"ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์เป็นพระเยซูคริสตเจ้า"ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแน่แล้ว(เพราะพิสูจน์ผ่านอัศจรรย์ที่สำแดง และหลักฐานรอยแผลศักดิ์สิทธิ์)
หลายคนคงทราบดีว่า ในอาทิตย์ที่ 2 ของเทศกาลปัสกานี้ มีพิธีสำคัญ
(ตามพระประจักษ์แก่นักบุญซิสเตอร์โฟสตีนา)
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเรียกร้องให้อาทิตย์แรกหลังเทศกาลปัสกาเป็น"วันฉลองพระเมตตา"
คำนี้ ขอเรียนให้ทราบว่า ให้เป็นที่หลบภัยของคนบาปทั้งมวลเท่าที่เราจะพาเขามาอยู่ในร่มพระเมตตาได้นะครับ
ผมขอยกอะไรสักอย่าง เพื่อให้พี่น้องเห็น แผนการล้ำลึกที่พระจิตเจ้าทรงสำแดงนะครับ
(1)จะเห็นว่า บทอ่านเน้นเรื่อง"ความรัก"และ"ภราดรภาพพี่น้อง"พิเศษ
(2)บ่งว่าเราต้องถูกทดสอบได้ แต่ต้องมีความเชื่อทวี (ทั้งยังบ่งถึง การยอมจำนนต่อพระ จากคำที่นักบุญโทมัส(อึ้ง)กล่าวว่า "พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า")
(3)ผมเลือกยกบทอ่านสามมาอธิบายในตอนนี้เพิ่มเพื่อจะได้สอดคล้องพระเมตตา นั่นคือ การที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า"Shalom"(สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่าน) ทั้งคำนี้ยังสอดคล้องกับพระนาม(YHWH Shalom)ซึ่งแปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นสันติสุข(เทียบ วนฉ 6:24)
....................ดังนั้น การเริ่มประจักษ์ในปี (1934-35 ราวๆนี้ ผมไม่แน่ใจนะ) มีความหมายอย่างยิ่งที่สุด และเป็นกลไก ขั้นตอนที่พระวางไว้ต่อเนื่องกันมา พระเตรียมทางให้เราอย่างพอดีเวลาและอย่างค่อยเป็นค่อยๆไป เปรียบเหมือนบิดารู้พัฒนาการบุตร(เพราะกว่า พระศาสนจักรจะรับรองให้นักบุญซิสเตอร์โฟสตีนาได้เป็นนักบุญคือ ปีปีติมหาการุญ(เป็นนักบุญกลุ่มแรกของปี) *ในขณะที่คพ.นิโคลาสเราเป็นบุญราศีกลุ่มแรกของปีเช่นเดียวกัน) ทุกอย่างล้วนมีความหมาย ชัดเจนโดยถ้อยคำ อาศัยความเชื่อนี้พระจิตย่อมทรงนำให้เราปีติมากในสันติสุขของพระคริสตเจ้า และไม่มีทางเลยที่จะขัดขวางงานพระองค์
*หมายเหตุ
อาทิตย์ที่ 2 นี้ ท่านควรไปวัด"แก้บาปและ/หรือ รับศีล" ให้ไปรับพระเมตตาของพระเยซูคริสตเจ้า
(เอ้อ เพื่อความเป็นเอกภาพ กรุณาใส่เสื้อแดง ตรงนี้ไม่ซีเรียส)
อันนี้ดีเชิญอ่าน
http://uk.geocities.com/palangjai2004/mercyjesus.html
"พระเยซูเจ้าประจักษ์ และ คำไม่เชื่อของนักบุญโทมัส"(ยอห์น 20:19-31)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:42-47)
....................บทอ่านนี้ บรรยายถึงชีวิตของคริสตชนกลุ่มแรกของเยรูซาแลม ความมีภราดรภาพสามารถสื่อออกมาให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนจาก "พิธีบิขนมปัง"(กจ 2:42)ที่กระทำร่วมกันและมีการภาวนาร่วมกัน(เป็นรูปแบบคล้ายมิสซาปัจจุบันแต่เรียบง่ายกว่า)มีคำที่น่านำเสนอในจุดนี้คือ"Agape"เล็งถึงความรัก ความรักนี้สะท้อนออกมาผ่านอะไร?คำตอบคือมาจาก"ปังอันบันดาลชีวิต"ศีลที่ต่อมาเราเรียกว่า"ศีลมหาสนิท"(สิ่งที่ทำให้เราสนิทกับพระอย่างยิ่ง จนถึงกับรับพระกายพระองค์ไว้)
....................ความเป็นภราดรภาพที่มีลักษณะของ"ความรัก(Agape)"เป็นตัวแทนนี้ อยากให้ทุกคนเห็นชัดเจนขึ้น จากการแบ่งปัน(Koinonia)และให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีกจาก"Sharing&Charity"สาเหตุที่พระศาสนจักรเลือกเรียงบทอ่านนี้มาเป็นบทอ่านแรกๆเนื่องมาจาก พวกเราคริสตชนพึ่งมีสมาชิกใหม่(หรือผู้สนใจจะเรียนคำสอน) เราพึงให้ความกรุณาเป็นมิตรกับเขาอย่างที่อัครสาวกทำ พึงหนุนนำใจเขาให้ศรัทธาต่อความรักยิ่งใหญ่ขององค์พระคริสตเยซู พึงให้เขาเห็นถึงภราดรภาพของเราที่มีต่อกันในวัดของเรา และเชื่อมโยงกับพี่น้องคริสตชนทั่วโลก(สังเกตบทภาวนาประธานในช่วงปัสกาประกอบได้)
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต1:3-9)
....................จากบทอ่านนี้ เมื่อเราพิจารณาบริบทดูเราพบว่า น่าจะเป็น"บทเทศน์หรือบทภาวนาของประธานในโอกาสพิธีศีลล้างบาป"(1ปต1:3)เราเห็นได้ชัดว่า มีการเชื่อมโยงเข้ากับการบังเกิดใหม่ของพระคริสตเจ้า เป็นมรดกที่ไม่รู้จักเสื่อมสลายที่จะจำเริญในคริสตชนผู้มีความเชื่อ บทอ่านนี้ปูไปสู่พระวรสารเกี่ยวกับความเชื่อ จากข้อความที่ว่า "เพื่อว่าค่าแท้แห่งความเชื่อของท่าน ซึ่งประเสริฐกว่าทองคำอันเสื่อมไปได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ"(ขอให้ตีความดีๆ)และตอบเราไว้แล้วด้วยว่า "พระองค์นี้แหละที่ท่านรักโดยที่มิได้เห็น ถึงไม่ได้เห็นแต่ยังเชื่อ ผลคือความรอดแห่งจิตวิญญาณของท่าน"(ซึ่งจะกล่าวในพระวรสารต่อไป)
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 20:19-31)
....................นักบุญยอห์นได้เน้นให้เราเห็นว่า แม้ว่านักบุญโทมัสจะได้เห็นพระเยซูเจ้าชัดๆและเป็น(ในที่นี้คืออัครสาวก)แน่ๆ ท่านก็มีสิทธิ์ถูกทดสอบได้(ดัง กจ กล่าวไว้) อย่างไรก็ดีมองอีกแง่ ความสงสัยของนักบุญโทมัสก็ขับเหตุการณ์ให้เรายิ่งรู้สึกแน่ใจมากขึ้นว่า"ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์เป็นพระเยซูคริสตเจ้า"ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแน่แล้ว(เพราะพิสูจน์ผ่านอัศจรรย์ที่สำแดง และหลักฐานรอยแผลศักดิ์สิทธิ์)
หลายคนคงทราบดีว่า ในอาทิตย์ที่ 2 ของเทศกาลปัสกานี้ มีพิธีสำคัญ
(ตามพระประจักษ์แก่นักบุญซิสเตอร์โฟสตีนา)
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเรียกร้องให้อาทิตย์แรกหลังเทศกาลปัสกาเป็น"วันฉลองพระเมตตา"
คำนี้ ขอเรียนให้ทราบว่า ให้เป็นที่หลบภัยของคนบาปทั้งมวลเท่าที่เราจะพาเขามาอยู่ในร่มพระเมตตาได้นะครับ
ผมขอยกอะไรสักอย่าง เพื่อให้พี่น้องเห็น แผนการล้ำลึกที่พระจิตเจ้าทรงสำแดงนะครับ
(1)จะเห็นว่า บทอ่านเน้นเรื่อง"ความรัก"และ"ภราดรภาพพี่น้อง"พิเศษ
(2)บ่งว่าเราต้องถูกทดสอบได้ แต่ต้องมีความเชื่อทวี (ทั้งยังบ่งถึง การยอมจำนนต่อพระ จากคำที่นักบุญโทมัส(อึ้ง)กล่าวว่า "พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า")
(3)ผมเลือกยกบทอ่านสามมาอธิบายในตอนนี้เพิ่มเพื่อจะได้สอดคล้องพระเมตตา นั่นคือ การที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า"Shalom"(สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่าน) ทั้งคำนี้ยังสอดคล้องกับพระนาม(YHWH Shalom)ซึ่งแปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นสันติสุข(เทียบ วนฉ 6:24)
....................ดังนั้น การเริ่มประจักษ์ในปี (1934-35 ราวๆนี้ ผมไม่แน่ใจนะ) มีความหมายอย่างยิ่งที่สุด และเป็นกลไก ขั้นตอนที่พระวางไว้ต่อเนื่องกันมา พระเตรียมทางให้เราอย่างพอดีเวลาและอย่างค่อยเป็นค่อยๆไป เปรียบเหมือนบิดารู้พัฒนาการบุตร(เพราะกว่า พระศาสนจักรจะรับรองให้นักบุญซิสเตอร์โฟสตีนาได้เป็นนักบุญคือ ปีปีติมหาการุญ(เป็นนักบุญกลุ่มแรกของปี) *ในขณะที่คพ.นิโคลาสเราเป็นบุญราศีกลุ่มแรกของปีเช่นเดียวกัน) ทุกอย่างล้วนมีความหมาย ชัดเจนโดยถ้อยคำ อาศัยความเชื่อนี้พระจิตย่อมทรงนำให้เราปีติมากในสันติสุขของพระคริสตเจ้า และไม่มีทางเลยที่จะขัดขวางงานพระองค์
*หมายเหตุ
อาทิตย์ที่ 2 นี้ ท่านควรไปวัด"แก้บาปและ/หรือ รับศีล" ให้ไปรับพระเมตตาของพระเยซูคริสตเจ้า
(เอ้อ เพื่อความเป็นเอกภาพ กรุณาใส่เสื้อแดง ตรงนี้ไม่ซีเรียส)
อันนี้ดีเชิญอ่าน
http://uk.geocities.com/palangjai2004/mercyjesus.html
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 10, 2008 9:22 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 3 : เทศกาลปัสกา
"พระเยซูเจ้าประจักษ์ แก่ เคลโอปัส"(ลูกา 24:13-35)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:14,22-28)
....................บทอ่านนี้ บ่งถึง"วันเปนเตกอสเต"(pentekoste)เป็นการประกาศสารของนักบุญเปโตรพร้อมหน้ากับอัครสาวกทั้ง 11 บทอ่านนี้บอกเราว่า"อาศัยความตาย(สัญลักษณ์=กางเขน)ของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายความตายฝ่ายจิตของเรา และเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ทรงฟื้นฟูชีวิตใหม่ให้(โดยการประทานพระจิตเจ้า) สำคัญที่สุดคือ พระองค์ทรงจำเริญในพระสิริรุ่งโรจน์กับพระบิดาและพระจิตเจ้าตลอดนิรันดร"ซึ่งถ้าใครมองดีๆจะคุ้นตาเพราะมิสซาได้จำลองมาใช้ในธรรมล้ำลึก
....................บทอ่านนี้ยังอ้าง สดุดี 16(8-11) (พระยาห์เวห์ทรงเป็นสมบัติล้ำค่า) บทนี้ทำนายถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย(เทียบบทแสดงความเชื่อ!"พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา")ลึกไปกว่านั้นยังบ่งว่าถึงอัศจรรย์ทางใจ(ความรอดฝ่ายวิญญาณ)ที่อัศจรรย์กว่านั้น "จะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย"บางครั้ง กินความถึงความรอดฝ่ายกายดูกระทู้เหล่านักบุญไม่เน่าไม่เปื่อยของคุณ Holy ประกอบ
....................ดังนั้น เราจะเห็นได้ชัดว่า เพลงสดุดีบทนี้มีความสัมพันธ์กับการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า(อย่าลืม!นักบุญเปโตรประกาศในกรุงเยรูซาแลมต่อหน้าชาวยิว)ความเกี่ยวพันเราเห็นได้จาก จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1 3:18-22 ในส่วนของพระคริสตเจ้าผู้สิ้นพระชนม์เพราะบาปชาวเรา และทรงกลับคืนพระชนมชีพ(เทียบ กิจการ13:32-34) ดังนั้นบทอ่านนี้ ถ้าได้ฟังล้ำลึกใช้ได้ทีเดียว
หมายเหตุ.ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนอ่านบทสดุดีที่ 16 อีกครั้ง เพราะบทนี้ยังเน้นถึงมโนธรรมที่พระเจ้าตรัสกับเราในใจ และขอให้เปิดพระคัมภีร์ตามที่ผมอ้างทั้งหมด
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต1:17-21)
....................บทนี้บ่งผ่านรูปแบบการฉลองปัสกาของชาวยิว(ดังที่เรารู้ว่า เป็นการระลึกว่า เทวทูตผู้ทำลาย ลมหายใจของพระเจ้า ทรงละเว้นบ้านที่เอาเลือดลูกแกะทาที่กรอบประตู คราวอพยพ จึงระลึกถึง"การที่พระทรงผ่านไป")ดังที่ได้เน้นทำนองว่า"ท่านได้รับการไถ่ถอนให้รอด ด้วยพระโลหิตอันประเสริฐ ดังเลือดลูกแกะไร้มลทอนและจุดดางพร้อยของพระคริสตเจ้า" จุดนี้เน้นว่า เลือดลูกแกะ=เลือดพระคริสตเจ้า พระผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาแท้จริง ผู้ถวายตนเองเป็นยัญบูชา ให้เราได้รอด
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญลูกา(ลก 24:13-35)
....................เป็นบทอ่านที่สนุกสนานมากบทนี้(ผมอมยิ้มบ่อยๆทุกปีเมื่อได้ยินจากแท่นอ่าน)และหากมองอย่างซีเรียสคือ เขาว่ากันว่าบทอ่านนี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ดีที่สุดที่นักบุญลูกาได้เขียน และสะท้อนถึงเทววิทยาว่าด้วยพระเจ้าเสียด้วย ทั้งยังมีคำคม"ใจของเราไม่รู้สึกเร่าร้อนบ้างหรือ"
....................เราควรทำ Lectio Divina บทนี้กันด้วย(แนะนำ)บทอ่านนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความโศกเศร้า(อารมณ์เชิง Nagative ทั้งหลาย)ที่มันบดบังสายตาเราไม่ให้เห็นพระ ทั้งที่พระก็มาให้เห็นกับตา(มีความสัมพันธ์เปรียบเทียบได้กับบทอ่านอาทิตย์ที่แล้วด้วยลองเทียบดู)และทรงได้กระทำภารกิจหนึ่ง ที่เน้นถึงราชกิจภาคสรุปของพระชนมชีพพระองค์คือ ทรงมาเพื่อเสริมบัญญัติแต่เดิมมิได้มาเพื่อทำลายบัญญัติ เพราะทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ เริ่มตั้งแต่โมเสสและบรรดาประกาศกทั้งมวล
....................บทนี้ยังมีจุดเชื่อมโยงเรื่อง"การบิปัง"การบิปังในพระวรสารนี้ทำให้ตาสว่าง ในอาทิตย์ที่แล้วเรารู้ความหมายของการบิปังแล้ว มาวันนี้เรารู้อีกว่า "การบิปัง" ทำให้เราตาสว่าง(จากอารมณ์เชิง Nagative ทั้งหลาย)ผมลองจำลองตัวเองเป็น เคลโอปัส จะผมพบว่า ผมพบคำตอบที่ใช่เลยในเหตุการณ์ที่ว่า "ทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ บิออก ประทานแก่บรรดาศิษย์...."แค่นี้ผมก็"ปิ๊ง"เหมือนเคลโอปัส เรื่องทุกอย่างตั้งแต่เดินออกจากเยรูซาแลมได้ Replay กลับมาประมวลผลอย่างเร็ว จากนั้นอารมณ์เราจะค้างเหมือนนักบุญโทมัส(อึ้ง)
....................และพระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ ไฟอันเร่าร้อนลุกเหนือเขา ทรงนำเขาให้กลับไปที่กรุงเยรูซาแลมในทันที(ถ้าเข้าใจไม่ผิดราว 11 กม.)เขาไปทันทียังไม่ได้พักเหนื่อยเลย ด้วยใจร้อนรนของเขา เขาได้ไปประกาศว่า"พระอาจารย์เจ้าได้กลับคืนชีพแล้วจริงๆ"
*หมายเหตุ.พระวรสารนี้ สามารถใช้เตือนใจชุบชูจิตวิญญาณเราในยามโศกเศร้า(หรืออารมณ์ Nagative)ผมสนับสนุนให้ผู้ที่เศร้าสร้อยตกใจความทุกข์ทั้งหลายรู้เลยว่า "พระองค์เดินอยู่ข้างๆคุณเหมือนที่เดินข้างๆเคลโอปัสศิษย์พระองค์"
ดูเพิ่มเติม:
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=8055.0
เชิญชวน:ขอให้ไปพิธีนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ ตามวัดที่จัด
"พระเยซูเจ้าประจักษ์ แก่ เคลโอปัส"(ลูกา 24:13-35)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:14,22-28)
....................บทอ่านนี้ บ่งถึง"วันเปนเตกอสเต"(pentekoste)เป็นการประกาศสารของนักบุญเปโตรพร้อมหน้ากับอัครสาวกทั้ง 11 บทอ่านนี้บอกเราว่า"อาศัยความตาย(สัญลักษณ์=กางเขน)ของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายความตายฝ่ายจิตของเรา และเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ทรงฟื้นฟูชีวิตใหม่ให้(โดยการประทานพระจิตเจ้า) สำคัญที่สุดคือ พระองค์ทรงจำเริญในพระสิริรุ่งโรจน์กับพระบิดาและพระจิตเจ้าตลอดนิรันดร"ซึ่งถ้าใครมองดีๆจะคุ้นตาเพราะมิสซาได้จำลองมาใช้ในธรรมล้ำลึก
....................บทอ่านนี้ยังอ้าง สดุดี 16(8-11) (พระยาห์เวห์ทรงเป็นสมบัติล้ำค่า) บทนี้ทำนายถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย(เทียบบทแสดงความเชื่อ!"พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา")ลึกไปกว่านั้นยังบ่งว่าถึงอัศจรรย์ทางใจ(ความรอดฝ่ายวิญญาณ)ที่อัศจรรย์กว่านั้น "จะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย"บางครั้ง กินความถึงความรอดฝ่ายกายดูกระทู้เหล่านักบุญไม่เน่าไม่เปื่อยของคุณ Holy ประกอบ
....................ดังนั้น เราจะเห็นได้ชัดว่า เพลงสดุดีบทนี้มีความสัมพันธ์กับการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า(อย่าลืม!นักบุญเปโตรประกาศในกรุงเยรูซาแลมต่อหน้าชาวยิว)ความเกี่ยวพันเราเห็นได้จาก จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1 3:18-22 ในส่วนของพระคริสตเจ้าผู้สิ้นพระชนม์เพราะบาปชาวเรา และทรงกลับคืนพระชนมชีพ(เทียบ กิจการ13:32-34) ดังนั้นบทอ่านนี้ ถ้าได้ฟังล้ำลึกใช้ได้ทีเดียว
หมายเหตุ.ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนอ่านบทสดุดีที่ 16 อีกครั้ง เพราะบทนี้ยังเน้นถึงมโนธรรมที่พระเจ้าตรัสกับเราในใจ และขอให้เปิดพระคัมภีร์ตามที่ผมอ้างทั้งหมด
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต1:17-21)
....................บทนี้บ่งผ่านรูปแบบการฉลองปัสกาของชาวยิว(ดังที่เรารู้ว่า เป็นการระลึกว่า เทวทูตผู้ทำลาย ลมหายใจของพระเจ้า ทรงละเว้นบ้านที่เอาเลือดลูกแกะทาที่กรอบประตู คราวอพยพ จึงระลึกถึง"การที่พระทรงผ่านไป")ดังที่ได้เน้นทำนองว่า"ท่านได้รับการไถ่ถอนให้รอด ด้วยพระโลหิตอันประเสริฐ ดังเลือดลูกแกะไร้มลทอนและจุดดางพร้อยของพระคริสตเจ้า" จุดนี้เน้นว่า เลือดลูกแกะ=เลือดพระคริสตเจ้า พระผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาแท้จริง ผู้ถวายตนเองเป็นยัญบูชา ให้เราได้รอด
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญลูกา(ลก 24:13-35)
....................เป็นบทอ่านที่สนุกสนานมากบทนี้(ผมอมยิ้มบ่อยๆทุกปีเมื่อได้ยินจากแท่นอ่าน)และหากมองอย่างซีเรียสคือ เขาว่ากันว่าบทอ่านนี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ดีที่สุดที่นักบุญลูกาได้เขียน และสะท้อนถึงเทววิทยาว่าด้วยพระเจ้าเสียด้วย ทั้งยังมีคำคม"ใจของเราไม่รู้สึกเร่าร้อนบ้างหรือ"
....................เราควรทำ Lectio Divina บทนี้กันด้วย(แนะนำ)บทอ่านนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความโศกเศร้า(อารมณ์เชิง Nagative ทั้งหลาย)ที่มันบดบังสายตาเราไม่ให้เห็นพระ ทั้งที่พระก็มาให้เห็นกับตา(มีความสัมพันธ์เปรียบเทียบได้กับบทอ่านอาทิตย์ที่แล้วด้วยลองเทียบดู)และทรงได้กระทำภารกิจหนึ่ง ที่เน้นถึงราชกิจภาคสรุปของพระชนมชีพพระองค์คือ ทรงมาเพื่อเสริมบัญญัติแต่เดิมมิได้มาเพื่อทำลายบัญญัติ เพราะทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ เริ่มตั้งแต่โมเสสและบรรดาประกาศกทั้งมวล
....................บทนี้ยังมีจุดเชื่อมโยงเรื่อง"การบิปัง"การบิปังในพระวรสารนี้ทำให้ตาสว่าง ในอาทิตย์ที่แล้วเรารู้ความหมายของการบิปังแล้ว มาวันนี้เรารู้อีกว่า "การบิปัง" ทำให้เราตาสว่าง(จากอารมณ์เชิง Nagative ทั้งหลาย)ผมลองจำลองตัวเองเป็น เคลโอปัส จะผมพบว่า ผมพบคำตอบที่ใช่เลยในเหตุการณ์ที่ว่า "ทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ บิออก ประทานแก่บรรดาศิษย์...."แค่นี้ผมก็"ปิ๊ง"เหมือนเคลโอปัส เรื่องทุกอย่างตั้งแต่เดินออกจากเยรูซาแลมได้ Replay กลับมาประมวลผลอย่างเร็ว จากนั้นอารมณ์เราจะค้างเหมือนนักบุญโทมัส(อึ้ง)
....................และพระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ ไฟอันเร่าร้อนลุกเหนือเขา ทรงนำเขาให้กลับไปที่กรุงเยรูซาแลมในทันที(ถ้าเข้าใจไม่ผิดราว 11 กม.)เขาไปทันทียังไม่ได้พักเหนื่อยเลย ด้วยใจร้อนรนของเขา เขาได้ไปประกาศว่า"พระอาจารย์เจ้าได้กลับคืนชีพแล้วจริงๆ"
*หมายเหตุ.พระวรสารนี้ สามารถใช้เตือนใจชุบชูจิตวิญญาณเราในยามโศกเศร้า(หรืออารมณ์ Nagative)ผมสนับสนุนให้ผู้ที่เศร้าสร้อยตกใจความทุกข์ทั้งหลายรู้เลยว่า "พระองค์เดินอยู่ข้างๆคุณเหมือนที่เดินข้างๆเคลโอปัสศิษย์พระองค์"
ดูเพิ่มเติม:
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=8055.0
เชิญชวน:ขอให้ไปพิธีนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ ตามวัดที่จัด
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 4 : เทศกาลปัสกา
"ผู้เลี้ยงแกะที่ดี:ทรงเป็นประตูคอกแกะ"(ยอห์น 10:1-10)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:14,36-41)
....................บทอ่านนี้บ่งถึงผลจากบทอ่านในอาทิตย์ที่แล้ว นั่นคือ การทวีจำนวนผู้เชื่อผ่านสัญลักษณ์ของการรับศีลล้างบาป จุดนี้พระคริสตเจ้าองค์เอง ทรงเป็นทั้งพระมหาไถ่ (ทรงไถ่โทษาของเราให้รอดปลอดภัย) และสำหรับเราคริสตชน การยอมรับในศีลล้างบาปคือรับพระเยซูคริสตเจ้ามา ต้องมีสิ่งที่ต่อเนื่องไปคือ"รับมาแล้วทำอย่างไร" พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำทางในชีวิตประจำวันของท่านหรือไม่
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต2:20-25)
....................บทอ่านนี้ เป็นการสอนต่อเนื่องจากบทอ่านที่แล้วที่สอนเราว่า "อารมณ์ทางลบมันจะบดบังพระจากสายตาเรา" บทอ่านนี้จึงยกเรื่องว่า "ทำไมเราต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางลบนั้นๆ นั่นก็เพราะ พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงประสบ"(แต่การประสบไม่ได้หมายความให้เรา แปรปรวนจนบดบังพระเจ้าเหมือนเคลโอปัส)แต่หมายความให้เรา"ยิ่งรู้ว่า พระองค์เฝ้ามองเราอยู่"และบทอ่านนี้สะท้อนให้เห็น"งานของพระคริสตเจ้า"
....................พระองค์มิได้ทรงกระทำบาปใดๆ และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในพระโอษฐ์ เมื่อเขาด่าทอพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงด่าทอตอบ เมื่อเขาทำทารุณต่อพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แก่พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม(คุณธรรมเชื่อใจ)
.................... (1)"เมื่อเขาด่าทอพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงด่าทอตอบ"ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ เราสามารถพูดกันได้ด้วยเหตุด้วยผล พูดกันดีดีได้ แม้เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบแต่เราพูดดีดีกับเขา พยายามบอกให้เขาเข้าใจ (2)"เมื่อเขาทำทารุณต่อพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น " ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ เมื่อมีคนมาทารุณใจเรา ก็จงอย่าไปตั้งความโกรธไว้ก่อนจงดำรงความเมตตาให้ถึงที่สุดจนสุดขอบเขตของตัวเรา(แม้ความรักของพระเจ้าไร้ขอบเขต แต่บาปของเรามันทำให้รักเรามีขอบเขต)หลังจากนั้น จงปล่อยให้คำภาวนาเราลอยไปสู่"พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม"ใครอ่านหนังสือเพลงสดุดีมีหลายบทที่เป็นบทภาวนาทำนองนี้เลือกเอาตามใจชอบ
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 10:1-10)
....................พระวรสารกล่าวถึงนิทาน 2 เรื่องมาเปรียบกัน คือ โจรและเจ้าของคอก(ชุมพาบาล) และอีกเรื่องคือความสัมพันธ์ระหว่างแกะกับชุมพาบาล เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่เล่ากันมาหลายทศวรรษแล้ว พระวรสารนี้เริ่มชี้ให้เราเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นประตูของแกะ ทรงเป็นเจ้าของคอก
....................อยากชี้คำว่า"เพราะแกะรู้จักเสียงเขา แต่หากเป็นคนอื่นแกะจะไม่ตามเลย ตรงข้ามมันจะหนี"ตรงนี้อย่าลืมว่ายังเป็นตัวนิทานเป็นคำอุปมา เมื่อมาปรับใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่าจะทำให้เราใจแคบ หนีในสิ่งที่ดูไม่ดี หรือปฏิเสธความเชื่ออื่น อย่าได้ตีความอย่างนั้น แต่ความว่า"แกะรู้จักเสียงเขา"เป็น สัญลักษณ์แทนมโนธรรมในใจที่พระเจ้าตรัสกับเรา(Vox Dei)มากกว่า เสียงอื่นไม่สามารถเขามาได้เลย และเราจะไม่ตามอยู่แล้ว มโนธรรมนี้จะเกี่ยวพันกับเรื่องเจตนาที่จะดลให้เกิดผลทางการปฏิบัติดังนั้นต้องพิจารณาให้มาก
....................และ"เราคือประตูของแกะ พวกที่มาก่อนเราเป็นขโมยและโจร" ตรงนี้ผมยังเป็นห่วงในหลายคนๆอาจตีพลาดไปว่า ความเชื่อทั้งหมดที่มาก่อนพระเยซูเจ้าเหมือนขโมยและโจร ซึ่งผิด พระองค์เล็งถึง"ชุมพาบาลจอมปลอม"ซึ่งเป็นนิทานในหมู่ชาวอิสราแอล และคนที่สอนผิด คนที่มาเพื่อ"ขโมย ฆ่า และทำลาย" สำหรับความเชื่ออื่นๆไม่จำเป็นว่ามาเพื่อ"ขโมย ฆ่า และทำลาย" ก็ได้อย่าลืมไปว่า คำอธิบายเล่านี้ยืนอยู่บนนิทาน 2 เรื่อง หากเข้าใจผิดแล้วเราอาจจะ"ใจแคบ"ขัดขวางการจำเริญความรักขององค์พระคริสตเยซูในตัวเราให้ผู้อื่นเห็นได้
"ผู้เลี้ยงแกะที่ดี:ทรงเป็นประตูคอกแกะ"(ยอห์น 10:1-10)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 2:14,36-41)
....................บทอ่านนี้บ่งถึงผลจากบทอ่านในอาทิตย์ที่แล้ว นั่นคือ การทวีจำนวนผู้เชื่อผ่านสัญลักษณ์ของการรับศีลล้างบาป จุดนี้พระคริสตเจ้าองค์เอง ทรงเป็นทั้งพระมหาไถ่ (ทรงไถ่โทษาของเราให้รอดปลอดภัย) และสำหรับเราคริสตชน การยอมรับในศีลล้างบาปคือรับพระเยซูคริสตเจ้ามา ต้องมีสิ่งที่ต่อเนื่องไปคือ"รับมาแล้วทำอย่างไร" พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำทางในชีวิตประจำวันของท่านหรือไม่
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต2:20-25)
....................บทอ่านนี้ เป็นการสอนต่อเนื่องจากบทอ่านที่แล้วที่สอนเราว่า "อารมณ์ทางลบมันจะบดบังพระจากสายตาเรา" บทอ่านนี้จึงยกเรื่องว่า "ทำไมเราต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางลบนั้นๆ นั่นก็เพราะ พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงประสบ"(แต่การประสบไม่ได้หมายความให้เรา แปรปรวนจนบดบังพระเจ้าเหมือนเคลโอปัส)แต่หมายความให้เรา"ยิ่งรู้ว่า พระองค์เฝ้ามองเราอยู่"และบทอ่านนี้สะท้อนให้เห็น"งานของพระคริสตเจ้า"
....................พระองค์มิได้ทรงกระทำบาปใดๆ และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในพระโอษฐ์ เมื่อเขาด่าทอพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงด่าทอตอบ เมื่อเขาทำทารุณต่อพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แก่พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม(คุณธรรมเชื่อใจ)
.................... (1)"เมื่อเขาด่าทอพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงด่าทอตอบ"ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ เราสามารถพูดกันได้ด้วยเหตุด้วยผล พูดกันดีดีได้ แม้เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบแต่เราพูดดีดีกับเขา พยายามบอกให้เขาเข้าใจ (2)"เมื่อเขาทำทารุณต่อพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น " ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ เมื่อมีคนมาทารุณใจเรา ก็จงอย่าไปตั้งความโกรธไว้ก่อนจงดำรงความเมตตาให้ถึงที่สุดจนสุดขอบเขตของตัวเรา(แม้ความรักของพระเจ้าไร้ขอบเขต แต่บาปของเรามันทำให้รักเรามีขอบเขต)หลังจากนั้น จงปล่อยให้คำภาวนาเราลอยไปสู่"พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม"ใครอ่านหนังสือเพลงสดุดีมีหลายบทที่เป็นบทภาวนาทำนองนี้เลือกเอาตามใจชอบ
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 10:1-10)
....................พระวรสารกล่าวถึงนิทาน 2 เรื่องมาเปรียบกัน คือ โจรและเจ้าของคอก(ชุมพาบาล) และอีกเรื่องคือความสัมพันธ์ระหว่างแกะกับชุมพาบาล เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่เล่ากันมาหลายทศวรรษแล้ว พระวรสารนี้เริ่มชี้ให้เราเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นประตูของแกะ ทรงเป็นเจ้าของคอก
....................อยากชี้คำว่า"เพราะแกะรู้จักเสียงเขา แต่หากเป็นคนอื่นแกะจะไม่ตามเลย ตรงข้ามมันจะหนี"ตรงนี้อย่าลืมว่ายังเป็นตัวนิทานเป็นคำอุปมา เมื่อมาปรับใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่าจะทำให้เราใจแคบ หนีในสิ่งที่ดูไม่ดี หรือปฏิเสธความเชื่ออื่น อย่าได้ตีความอย่างนั้น แต่ความว่า"แกะรู้จักเสียงเขา"เป็น สัญลักษณ์แทนมโนธรรมในใจที่พระเจ้าตรัสกับเรา(Vox Dei)มากกว่า เสียงอื่นไม่สามารถเขามาได้เลย และเราจะไม่ตามอยู่แล้ว มโนธรรมนี้จะเกี่ยวพันกับเรื่องเจตนาที่จะดลให้เกิดผลทางการปฏิบัติดังนั้นต้องพิจารณาให้มาก
....................และ"เราคือประตูของแกะ พวกที่มาก่อนเราเป็นขโมยและโจร" ตรงนี้ผมยังเป็นห่วงในหลายคนๆอาจตีพลาดไปว่า ความเชื่อทั้งหมดที่มาก่อนพระเยซูเจ้าเหมือนขโมยและโจร ซึ่งผิด พระองค์เล็งถึง"ชุมพาบาลจอมปลอม"ซึ่งเป็นนิทานในหมู่ชาวอิสราแอล และคนที่สอนผิด คนที่มาเพื่อ"ขโมย ฆ่า และทำลาย" สำหรับความเชื่ออื่นๆไม่จำเป็นว่ามาเพื่อ"ขโมย ฆ่า และทำลาย" ก็ได้อย่าลืมไปว่า คำอธิบายเล่านี้ยืนอยู่บนนิทาน 2 เรื่อง หากเข้าใจผิดแล้วเราอาจจะ"ใจแคบ"ขัดขวางการจำเริญความรักขององค์พระคริสตเยซูในตัวเราให้ผู้อื่นเห็นได้
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 5 : เทศกาลปัสกา
"พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต"(ยอห์น 14:1-12)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 6:1-7)
....................วันนี้ เทศกาลปัสกาเดินล่วงมาถึงสัปดาห์ที่ 5 แล้ว เป็นเวลาเหมาะสมที่เราจะได้เห็น"กิจการของอัครสาวก"แท้จริง บทอ่านนี้บ่งชัดแล้วว่า พระวาจาของพระเจ้า(ผ่านพระเยซูคริสตเจ้า)สำเร็จไป ผ่านมนุษย์โดยมนุษย์ แม้จะมีความขัดแย้งแตกต่างจากพวกที่พูดภาษาฮีบรูและภาษากรีกอยู่บ้าง แต่ตามแตกต่างนี้ก็เป็นธรรมดาตามประสามนุษย์(อย่าได้ถือเป็นแก่นสาร) แต่เพราะหน้าที่ในการรับใช้พระเป็นเจ้า คือ การปฏิบัติงานตามน้ำพระทัยอันจะขัดขวางไม่ได้ จึงมีผลให้พระจิตเจ้าดลพวกเขาให้เป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน ท่ามกลางความแตกต่างนี้ สิ่งที่เหมือนกันคือ "ทำงานเพื่อพระ" และข้อตระหนักคือ "อย่าเอาความขัดแย้งนี้ มาขัดขวางงานของพระ"
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต2:4-9)
....................บทอ่านนี้ พูดถึง"ศิลาทรงชีวิต" คำว่า"ศิลา"นี้กินความลึกซึ้งเป็นต้นว่า ปัจเจกบุคคลคือ นักบุญเปโตร(พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าตั้งบนศิลา) หากเล็งในระดับที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือ"พระศาสนจักร"บทอ่านนี้สื่อสารกับเราว่า พระเป็นเจ้าเป็นศิลาหัวมุมที่ทำให้ศิลาทรงชีวิตที่พระบิดาเจ้าเลือกสรรทั้งหลายเกาะติดอยู่ด้วยกันได้(ผ่านพระองค์) จึงได้ว่า"พระศาสนจักร"คือชุมชนขนาดใหญ่ของความเชื่อที่เป็นประจักษ์พยานในการประทับอยู่ของพระเป็นเจ้าในชีวิต ดังนั้น เราได้อีกความหมายหนึ่งของ"ศิลา"แล้วคือ "ตัวเราเองทุกคน" เราต้องเผยแสดงพระเป็นเจ้าองค์ของความรักในชีวิตเรา ทั้งต้องมีความเข้าใจที่งดงามเรื่องความแตกต่างดังที่บทอ่านที่ 1 เตือนใจเรา
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 14:1-12)
....................บทอ่านนี้เป็นบทอ่านที่ยิ่งใหญ่บทอ่านหนึ่ง และคริสตชนเราทุกนิกายคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า"พระเยซูเจ้า ทรงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต"บ่งว่า โดยอาศัยพระเยซูคริสตเจ้าลูกแกะปัสกาแท้จริง เราจึงเข้าถึงพระบิดาเจ้าได้
(1)พระเยซูเจ้าตรัสกับโทมัส(อาจเป็น symbolic แทนผู้ยังมีความสงสัย)ว่า "เราเป็นหนทาง"
(2)พระเยซุเจ้าตรัสกับฟิลิป ว่า"ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา"
....................มีภาษากรีกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ"Kairos"อันมาจากเวลาเวียนครบ(Chronos) คำนี้มีความหมายว่า"เวลาที่เหมาะสม" เราสามารถเห็นคำนี้ชัดเจนและสอดคล้องกับอาทิตย์ก่อนๆจาก มาระโก(1:14-15)"เวลาแห่งพระเมตตาอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด" ด้วยเพราะเวลานี้ พระองค์ทรงเผยแสดงตั้งแต่กลับคืนพระชนมชีพมากมาย อาจเรียกได้ว่าทรงเตรียม"หนทาง"ลุล่วงชัดเจน ยืนยันใน"ความจริง" และทรงมี"ชีวิต"ในตัวเรา(ผ่านพระจิตเจ้าและการประทับอยู่ในแผ่นปัง)
....................มีวรรคหนึ่งที่ผมชอบพูดบ่อยๆและจะพูดอีกครั้ง คือจากประกาศสภาสังคายนาวาติกัน ในสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่2 "แม้ว่าพระศาสนจักรจะยอมรับด้วยความเต็มใจ ซึ่งสิ่งที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ ในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา ศาสนาฮินดู และอิสลาม ว่าเป็นการสะท้อนความจริงที่ให้ความสว่างแก่มวลมนุษย์[che illumina tutti gli uomini ]แต่ก็มิได้ทำให้หน้าที่และความตั้งใจที่จะประกาศความจริงที่ว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น
"พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต"(ยอห์น 14:1-12)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 6:1-7)
....................วันนี้ เทศกาลปัสกาเดินล่วงมาถึงสัปดาห์ที่ 5 แล้ว เป็นเวลาเหมาะสมที่เราจะได้เห็น"กิจการของอัครสาวก"แท้จริง บทอ่านนี้บ่งชัดแล้วว่า พระวาจาของพระเจ้า(ผ่านพระเยซูคริสตเจ้า)สำเร็จไป ผ่านมนุษย์โดยมนุษย์ แม้จะมีความขัดแย้งแตกต่างจากพวกที่พูดภาษาฮีบรูและภาษากรีกอยู่บ้าง แต่ตามแตกต่างนี้ก็เป็นธรรมดาตามประสามนุษย์(อย่าได้ถือเป็นแก่นสาร) แต่เพราะหน้าที่ในการรับใช้พระเป็นเจ้า คือ การปฏิบัติงานตามน้ำพระทัยอันจะขัดขวางไม่ได้ จึงมีผลให้พระจิตเจ้าดลพวกเขาให้เป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน ท่ามกลางความแตกต่างนี้ สิ่งที่เหมือนกันคือ "ทำงานเพื่อพระ" และข้อตระหนักคือ "อย่าเอาความขัดแย้งนี้ มาขัดขวางงานของพระ"
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต2:4-9)
....................บทอ่านนี้ พูดถึง"ศิลาทรงชีวิต" คำว่า"ศิลา"นี้กินความลึกซึ้งเป็นต้นว่า ปัจเจกบุคคลคือ นักบุญเปโตร(พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าตั้งบนศิลา) หากเล็งในระดับที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือ"พระศาสนจักร"บทอ่านนี้สื่อสารกับเราว่า พระเป็นเจ้าเป็นศิลาหัวมุมที่ทำให้ศิลาทรงชีวิตที่พระบิดาเจ้าเลือกสรรทั้งหลายเกาะติดอยู่ด้วยกันได้(ผ่านพระองค์) จึงได้ว่า"พระศาสนจักร"คือชุมชนขนาดใหญ่ของความเชื่อที่เป็นประจักษ์พยานในการประทับอยู่ของพระเป็นเจ้าในชีวิต ดังนั้น เราได้อีกความหมายหนึ่งของ"ศิลา"แล้วคือ "ตัวเราเองทุกคน" เราต้องเผยแสดงพระเป็นเจ้าองค์ของความรักในชีวิตเรา ทั้งต้องมีความเข้าใจที่งดงามเรื่องความแตกต่างดังที่บทอ่านที่ 1 เตือนใจเรา
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญยอห์น(ยน 14:1-12)
....................บทอ่านนี้เป็นบทอ่านที่ยิ่งใหญ่บทอ่านหนึ่ง และคริสตชนเราทุกนิกายคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า"พระเยซูเจ้า ทรงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต"บ่งว่า โดยอาศัยพระเยซูคริสตเจ้าลูกแกะปัสกาแท้จริง เราจึงเข้าถึงพระบิดาเจ้าได้
(1)พระเยซูเจ้าตรัสกับโทมัส(อาจเป็น symbolic แทนผู้ยังมีความสงสัย)ว่า "เราเป็นหนทาง"
(2)พระเยซุเจ้าตรัสกับฟิลิป ว่า"ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา"
....................มีภาษากรีกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ"Kairos"อันมาจากเวลาเวียนครบ(Chronos) คำนี้มีความหมายว่า"เวลาที่เหมาะสม" เราสามารถเห็นคำนี้ชัดเจนและสอดคล้องกับอาทิตย์ก่อนๆจาก มาระโก(1:14-15)"เวลาแห่งพระเมตตาอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด" ด้วยเพราะเวลานี้ พระองค์ทรงเผยแสดงตั้งแต่กลับคืนพระชนมชีพมากมาย อาจเรียกได้ว่าทรงเตรียม"หนทาง"ลุล่วงชัดเจน ยืนยันใน"ความจริง" และทรงมี"ชีวิต"ในตัวเรา(ผ่านพระจิตเจ้าและการประทับอยู่ในแผ่นปัง)
....................มีวรรคหนึ่งที่ผมชอบพูดบ่อยๆและจะพูดอีกครั้ง คือจากประกาศสภาสังคายนาวาติกัน ในสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่2 "แม้ว่าพระศาสนจักรจะยอมรับด้วยความเต็มใจ ซึ่งสิ่งที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ ในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา ศาสนาฮินดู และอิสลาม ว่าเป็นการสะท้อนความจริงที่ให้ความสว่างแก่มวลมนุษย์[che illumina tutti gli uomini ]แต่ก็มิได้ทำให้หน้าที่และความตั้งใจที่จะประกาศความจริงที่ว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 6 : เทศกาลปัสกา
"คำปราศัยอำลาของพระเยซูเจ้า:ทรงสิ้นพระชนม์แต่กาย และทรงกลับเป็นฝ่ายจิต"(ยอห์น 14:15-21)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 8:5-8,14-17)
....................วันนี้ บทอ่านชัดเจนว่าเป็นความสำเร็จของอัครสาวกในการเผยแผ่ข่าวดี "ครั้งนั้น ฟิลิปได้ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย ประชาชนพร้อมใจกันฟังถ้อยคำของฟิลิป เพราะเขาได้ยินท่านพูดและได้เห็นเครื่องหมายที่ท่านได้กระทำ เหตุว่า จิตโสโครกออกจากคนถูกผีสิงหลายคน พลางร้องเสียงดัง คนอัมพาตและคนง่อยเป็นอันมากหายจากโรค จึงมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมากในเมืองนั้น"เราได้เห็นอะไรในบทอ่านนี้ ประการแรกเราได้เห็น"กิจการของอัครสาวก" ประการสองเราได้เห็นผลโดยตรงของงานนั้น คือ "จิตโสโครกออกจากคนถูกผีสิง"(เพราะความเชื่อ) และเราได้เห็นผลโดยอ้อมคือ"ความชื่นชมยินดี" ความชื่นชมยินดีนี้เป็นความชื่นชมในอารมณ์เดียวกับการชื่นชมยินดีว่าพระคริสตเจ้าทรงกับคืนพระชนมชีพ และทรงประทานพระจิตเจ้าเพื่อมอบแก่ผู้เชื่อมาทางอัครสาวก
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต3:15-18)
....................บทอ่านนี้ชี้ให้เห็นถึงงานของคริสตชนเราเองในแต่ละบุคคล ให้มีความร้อนรนที่จะปรับตัวให้เข้ากับงานของพระเป็นเจ้า นักบุญเปโตรบอกให้เราพร้อมที่จะตอบคำถามต่อทุกคน ซึ่งคำตอบของเราต้องเผยแสดงพระคริสตเจ้าองค์แห่งความรักด้วย "ลูกที่รัก ในจิตใจท่านจงเคารพนับถือพระคริสตเจ้า จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่อยากทราบเหตุผลแห่งความหวังซึ่งอยู่ในตัวท่าน แต่จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ"
....................หลายคนพาลไปนึกถึงแต่ว่า"ทนทุกข์เพราะทำดี(ทำเพื่อพระเจ้า) ดีกว่าทนทุกข์เพราะความไม่ดีทั้งหลาย"จริงอยู่ว่าว่าเราต้อง"ทำดี" แต่คำตอบว่า"ทนทุกข์"นั้น มันมีมูลเหตุว่า เราได้ทำดีแน่ๆ เขาจึงสร้างความทุกข์ให้เรา ตรงนี้ต้องตระหนักให้ เราได้เผยแสดงด้วยความอ่อนหวานอ่อนโยนหรือไม่ เราได้เผยแสดงด้วยความเคารพถ่อมตนหรือไม่ เหนืออื่นใดเราต้องย้อนกลับไปคิดอีกว่า"พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาป พระองค์ผู้ชอบธรรม สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม" เราได้ขัดขวางจิตตารมณ์ตรงนี้ขอพระองค์หรือไม่ ในเมื่อพระสวามีเจ้าของเราทรงทำให้คนบาปรอด แล้วตัวเราล่ะไม่เจริญรอยอย่างที่อัครสาวกทำหรือสอนหรือ
"คำปราศัยอำลาของพระเยซูเจ้า:ทรงสิ้นพระชนม์แต่กาย และทรงกลับเป็นฝ่ายจิต"(ยอห์น 14:15-21)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 8:5-8,14-17)
....................วันนี้ บทอ่านชัดเจนว่าเป็นความสำเร็จของอัครสาวกในการเผยแผ่ข่าวดี "ครั้งนั้น ฟิลิปได้ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย ประชาชนพร้อมใจกันฟังถ้อยคำของฟิลิป เพราะเขาได้ยินท่านพูดและได้เห็นเครื่องหมายที่ท่านได้กระทำ เหตุว่า จิตโสโครกออกจากคนถูกผีสิงหลายคน พลางร้องเสียงดัง คนอัมพาตและคนง่อยเป็นอันมากหายจากโรค จึงมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมากในเมืองนั้น"เราได้เห็นอะไรในบทอ่านนี้ ประการแรกเราได้เห็น"กิจการของอัครสาวก" ประการสองเราได้เห็นผลโดยตรงของงานนั้น คือ "จิตโสโครกออกจากคนถูกผีสิง"(เพราะความเชื่อ) และเราได้เห็นผลโดยอ้อมคือ"ความชื่นชมยินดี" ความชื่นชมยินดีนี้เป็นความชื่นชมในอารมณ์เดียวกับการชื่นชมยินดีว่าพระคริสตเจ้าทรงกับคืนพระชนมชีพ และทรงประทานพระจิตเจ้าเพื่อมอบแก่ผู้เชื่อมาทางอัครสาวก
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1(1ปต3:15-18)
....................บทอ่านนี้ชี้ให้เห็นถึงงานของคริสตชนเราเองในแต่ละบุคคล ให้มีความร้อนรนที่จะปรับตัวให้เข้ากับงานของพระเป็นเจ้า นักบุญเปโตรบอกให้เราพร้อมที่จะตอบคำถามต่อทุกคน ซึ่งคำตอบของเราต้องเผยแสดงพระคริสตเจ้าองค์แห่งความรักด้วย "ลูกที่รัก ในจิตใจท่านจงเคารพนับถือพระคริสตเจ้า จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่อยากทราบเหตุผลแห่งความหวังซึ่งอยู่ในตัวท่าน แต่จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ"
....................หลายคนพาลไปนึกถึงแต่ว่า"ทนทุกข์เพราะทำดี(ทำเพื่อพระเจ้า) ดีกว่าทนทุกข์เพราะความไม่ดีทั้งหลาย"จริงอยู่ว่าว่าเราต้อง"ทำดี" แต่คำตอบว่า"ทนทุกข์"นั้น มันมีมูลเหตุว่า เราได้ทำดีแน่ๆ เขาจึงสร้างความทุกข์ให้เรา ตรงนี้ต้องตระหนักให้ เราได้เผยแสดงด้วยความอ่อนหวานอ่อนโยนหรือไม่ เราได้เผยแสดงด้วยความเคารพถ่อมตนหรือไม่ เหนืออื่นใดเราต้องย้อนกลับไปคิดอีกว่า"พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาป พระองค์ผู้ชอบธรรม สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม" เราได้ขัดขวางจิตตารมณ์ตรงนี้ขอพระองค์หรือไม่ ในเมื่อพระสวามีเจ้าของเราทรงทำให้คนบาปรอด แล้วตัวเราล่ะไม่เจริญรอยอย่างที่อัครสาวกทำหรือสอนหรือ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
*วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สรวงสวรรค์: "พระองค์ทรงได้รับอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งสิ้นในสวรรค์และแผ่นดิน"(มัทธิว 28:16-20)
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 1:1-11)
คัดตอนที่น่าสนใจมาดังนี้
(1)เมื่อมาประชุมกัน พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า"ข้าแต่พระอาจารย์ บัดนี้ พระองค์จะทรงลงมือสถาปนาราชอาณาจักรอิสราแอลหรือ?"พระองค์ตรัสตอบว่า"มิใช่ธุระของพวกท่าน ที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาทรงกำหนดไว้แต่ลำพังพระองค์ แต่ท่านจะรับพระจิตที่เสด็จมาเหนือท่าน ประทานพละกำลังเพื่อท่านจะเป็นพยานยืนยันถึงเรา"
....................เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การอธิบายเรื่องการเสด็จไปสู่วรรค์ของพระเยซูเจ้าอยู่ภายใต้ความรู้ทางจักรวาลวิทยาเท่าที่มี สวรรค์จึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไป แต่ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือนี่คือ"การปรากฎองค์บนแผ่นดินโลกครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้า"และเสด็จขึ้นประทับเบื้องขวาพระบิดาทรงสรรพานุภาพ(คำว่า"ประทับเบื้องขวา"=สำนวนฮีบรู บ่งถึงการมีส่วนร่วมในเทวภาพเดียวกับพระบิดาเจ้า) เนื้อความโดยทั่วไปยังกลมกลืนกับอาทิตย์ก่อนๆในแง่ธรรมล้ำลึกที่ว่า"พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง"
....................วรรค(1)ที่ผมยกมานั้น ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า แม้ในยามที่พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางบรรดาสาวก เหล่าสาวกเองก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็น(ตามประสามนุษย์)ในแผนการณ์อันลี้ลับของพระเป็นเจ้าเป็นไม่ได้ พระเยซูเจ้าจึงต้องเตือนใจว่า "มิใช่ธุระของพวกท่าน" และเน้นให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านต้องเป็นธุระคือ"พระจิตที่เสด็จมาเหนือท่าน ประทานพละกำลังเพื่อท่านจะเป็นพยานยืนยันถึงเรา"นี่คืองานของเรา(การยืนยันถึงพระเยซูเจ้า อย่างที่พูดมาหลายครั้งแล้ว คือการเผยแสดงความรักของพระเยซูคริสตเจ้าผ่านทางเรา)
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส(อฟ1:17-23)
....................บทอ่านนี้ เนื้อหาทั้งหลายก็คล้ายๆกับบทอ่านที่ 1 เพียงแต่สำนวนภาษาของนักบุญเปาโลเป็นภาษาวิชาการทางเทววิทยา โดยท่านชี้ว่า พระคริสตเจ้าผู้คืนพระชนม์และแสด็จขึ้นสวรรค์มีความสัมพันธ์อย่างล้ำลึกกับทุกสิ่งสร้างที่มีอยู่ และชูเรื่องเทวภาพของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระบิดาเจ้า(ประทับเบื้องขวา) ทั้งยังชูเทววิทยาด้านเทวดา ได้แก่ กล่าวถึงการที่พระองค์ทรงประทับเหนือ เทพนิกรเจ้า(principle) เทพนิกรอำนาจ(power) เทพนิกรฤทธิ์(Virtue) เทพนิกรนาย(domination) และเหนือนามทั้งปวงที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และภพหน้า(เทียบ พระนามพระเจ้าของยิว) นอกจากนั้นไม่ได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ กล่าวคือยังคงอยู่ในความหมายที่ว่า"พระเป็นเจ้าทรงให้พระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์"
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญมัทธิว(มธ 28:16-20)
....................นักบุญมัทธิวได้เทียบเหตุการณ์การปรากฎพระองค์เข้ากับการที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฎพระองค์บนเขาซีนาย(เทียบ อพยพ 19) ซึ่งนักบุญมัทธิวมักเขียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์"ภูเขา"อยู่ ไม่ต้องแปลกใจเพราะนักบุญมิทธิวเป็นชาวยิวจึงคิดเขียนอ่านโดยอ้างพระธรรมเดิมเสมอ
....................มาวันนี้ พระวรสารแสดงให้เห็นความสำคัญและสัมพันธ์กันของปัสกาว่า เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ(ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์สงสัยและอาจมองไม่เห็น)แต่เมื่อทุกคนได้ประจักษ์แก่ตา ทุกคนย่อม"นมัสการ" ด้วยว่า "พระเจ้าข้า พระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า" จากนั้นจึงปฏิบัติตนตามงานของพระ คือ"เป็นพยานการประจักษ์มาของพระในฝ่ายจิต"และสำแดง"ความรักความปรารถนาดีขององค์พระเยซูเจ้าผ่านการกระทำของเราในฝ่ายกาย"ทั้งยังทรงโปรดให้"พระจิตเจ้าเสด็จมาสถิตเหนือเราเสมอ"เพื่อให้เรา"รู้ว่า พระองค์จะทรงสถิตกับเราเสมอ"
บทอ่านที่ 1:หนังสือกิจการอัครสาวก(กจ 1:1-11)
คัดตอนที่น่าสนใจมาดังนี้
(1)เมื่อมาประชุมกัน พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า"ข้าแต่พระอาจารย์ บัดนี้ พระองค์จะทรงลงมือสถาปนาราชอาณาจักรอิสราแอลหรือ?"พระองค์ตรัสตอบว่า"มิใช่ธุระของพวกท่าน ที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาทรงกำหนดไว้แต่ลำพังพระองค์ แต่ท่านจะรับพระจิตที่เสด็จมาเหนือท่าน ประทานพละกำลังเพื่อท่านจะเป็นพยานยืนยันถึงเรา"
....................เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การอธิบายเรื่องการเสด็จไปสู่วรรค์ของพระเยซูเจ้าอยู่ภายใต้ความรู้ทางจักรวาลวิทยาเท่าที่มี สวรรค์จึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไป แต่ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือนี่คือ"การปรากฎองค์บนแผ่นดินโลกครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้า"และเสด็จขึ้นประทับเบื้องขวาพระบิดาทรงสรรพานุภาพ(คำว่า"ประทับเบื้องขวา"=สำนวนฮีบรู บ่งถึงการมีส่วนร่วมในเทวภาพเดียวกับพระบิดาเจ้า) เนื้อความโดยทั่วไปยังกลมกลืนกับอาทิตย์ก่อนๆในแง่ธรรมล้ำลึกที่ว่า"พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง"
....................วรรค(1)ที่ผมยกมานั้น ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า แม้ในยามที่พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางบรรดาสาวก เหล่าสาวกเองก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็น(ตามประสามนุษย์)ในแผนการณ์อันลี้ลับของพระเป็นเจ้าเป็นไม่ได้ พระเยซูเจ้าจึงต้องเตือนใจว่า "มิใช่ธุระของพวกท่าน" และเน้นให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านต้องเป็นธุระคือ"พระจิตที่เสด็จมาเหนือท่าน ประทานพละกำลังเพื่อท่านจะเป็นพยานยืนยันถึงเรา"นี่คืองานของเรา(การยืนยันถึงพระเยซูเจ้า อย่างที่พูดมาหลายครั้งแล้ว คือการเผยแสดงความรักของพระเยซูคริสตเจ้าผ่านทางเรา)
บทอ่านที่ 2:จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส(อฟ1:17-23)
....................บทอ่านนี้ เนื้อหาทั้งหลายก็คล้ายๆกับบทอ่านที่ 1 เพียงแต่สำนวนภาษาของนักบุญเปาโลเป็นภาษาวิชาการทางเทววิทยา โดยท่านชี้ว่า พระคริสตเจ้าผู้คืนพระชนม์และแสด็จขึ้นสวรรค์มีความสัมพันธ์อย่างล้ำลึกกับทุกสิ่งสร้างที่มีอยู่ และชูเรื่องเทวภาพของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระบิดาเจ้า(ประทับเบื้องขวา) ทั้งยังชูเทววิทยาด้านเทวดา ได้แก่ กล่าวถึงการที่พระองค์ทรงประทับเหนือ เทพนิกรเจ้า(principle) เทพนิกรอำนาจ(power) เทพนิกรฤทธิ์(Virtue) เทพนิกรนาย(domination) และเหนือนามทั้งปวงที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และภพหน้า(เทียบ พระนามพระเจ้าของยิว) นอกจากนั้นไม่ได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ กล่าวคือยังคงอยู่ในความหมายที่ว่า"พระเป็นเจ้าทรงให้พระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์"
บทอ่านที่ 3:บทอ่านพระวรสารนักบุญมัทธิว(มธ 28:16-20)
....................นักบุญมัทธิวได้เทียบเหตุการณ์การปรากฎพระองค์เข้ากับการที่พระยาห์เวห์ทรงปรากฎพระองค์บนเขาซีนาย(เทียบ อพยพ 19) ซึ่งนักบุญมัทธิวมักเขียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์"ภูเขา"อยู่ ไม่ต้องแปลกใจเพราะนักบุญมิทธิวเป็นชาวยิวจึงคิดเขียนอ่านโดยอ้างพระธรรมเดิมเสมอ
....................มาวันนี้ พระวรสารแสดงให้เห็นความสำคัญและสัมพันธ์กันของปัสกาว่า เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ(ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์สงสัยและอาจมองไม่เห็น)แต่เมื่อทุกคนได้ประจักษ์แก่ตา ทุกคนย่อม"นมัสการ" ด้วยว่า "พระเจ้าข้า พระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า" จากนั้นจึงปฏิบัติตนตามงานของพระ คือ"เป็นพยานการประจักษ์มาของพระในฝ่ายจิต"และสำแดง"ความรักความปรารถนาดีขององค์พระเยซูเจ้าผ่านการกระทำของเราในฝ่ายกาย"ทั้งยังทรงโปรดให้"พระจิตเจ้าเสด็จมาสถิตเหนือเราเสมอ"เพื่อให้เรา"รู้ว่า พระองค์จะทรงสถิตกับเราเสมอ"
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 18, 2008 7:59 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.