ศีลมหาสนิทและศีลแก้บาปของพี่น้องพระศาสนจักรตะวันออก
สวัสดีครับอ้าวันนี้ผมเอาเรื่องศีลทั้ง2ของพี่น้องออร์โธด๊อกซ์มาลงดีกว่า
อ้อก่อนอื่นขอบอกก่อนนะครับว่าข้อมูลมาจากการถามพ่อโอเล็กแล้วรวบรวม บางครั้งมีการคลาดเคลื่อนเพราะผมฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยแตก
ศีลมหาสนิท
มีคำถามมากมายว่าทำไมพี่น้องออร์โธด๊อกซ์ถึงไม่ยอมให้เรารับศีลมหาสนิท ไม่ใช่เพราะเขากีดกันหรืออย่างไร มันมาจากความเชื่อที่ว่า
"ศีลมหาสนิทคือพระกายของพระเยซูเจ้าจริงๆ ผู้รับควรเป็นผู้ที่เตรียมพร้อมมาจริงๆ ต้อง
สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า7ขวบสามารถรับได้ทุกครั้งที่มีพิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ พระองค์ยังเคยตรัสว่า "จงปล่อยเด็กๆให้เข้ามาหาเราเถิด"
แต่สำหรับผู้ที่โตแล้ว ไม่สามารถรับศีลมหาสนิทได้ทุกครั้งที่พิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาไม่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เหมือนเด็ก
ก่อนรับศีลมหาสนิทจึงต้องเพรียบพร้อมบริสุทธิ์จริงๆ ต้องแก้บาป ทำกิจใช้โทษบาป(เดี๋ยวจะพูดทีหลัง) ถืออดอาหารมาให้พร้อม
การอดอาหารนี้ไม่ใช่แค่1ชั่วโมงแต่ต้องอดอาหารหลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ยันรับศีลมหาสนิท ห้ามกินน้ำด้วย
สำหรับศีลมหาสนิท พวกเขาใช้ขนมปังแบบก้อนๆแข็งๆ(แล้วจืดมาก) หักแบ่งไว้ ขนมปังถ้าไม่ได้รับการเสกหรือเปลี่ยนเป็นพระกายขนมปังนั้นก็ยังคงสภาพเป็นขนมปังอยู่ แต่ถ้าได้รับการเสกเป็นศีลมหาสนิทแล้วสารในขนมปังนั้นได้เปลี่ยนเป็นพระกายของพระเยซูแล้ว เป็นพระกายแท้ๆที่จะเข้ามาสถิตในหัวใจเรา
ส่วนใหญ่คุณพ่อจะเสกขนมปังพอที่จะใช้ให้หมดพอดี ไม่เหลือเก็บ เหตุเพราะนั้นคือศีลมหาสนิท แล้วขนมปังที่เสกแล้วและยังไม่เสกจะไม่รวมกันจะแบ่งเอาไว้ ขนมปังนี้ถ้าไม่ได้รับการเสกเป็นพระกายก็ย่อมยังเป็นขนมปังธรรมดา ยังมีประเพณีขนมปังอวยพรที่สามารถรับได้ทุกคน ซึ่งเป็นขนมปังชนิดเดียวกัน(แต่ไม่ได้รับการเสกเปลี่ยนเป็นพระกาย)
ที่ไม่เสกพระกายเก็บไว้ในภาชนะศักดิ์สนิท เพราะนั่นคือพระกายของพระเยซูเจ้า และยังป้องกันเรื่องการทำทุราจารศีลด้วย และเป็นประเพณีตั้งแต่พระศาสนจักรแรกเริ่ม ที่ต้องให้พระกายรวมกับพระโลหิตแล้วตักรับศีลพร้อมกัน
ศีลแก้บาป
สำหรับการแก้บาปแล้ว ถือว่าเป็นศีลหนึ่งที่มีความสำคัญ สำหรับคริสตชนจารีตตะวันออกแล้ว หน้าที่ของพวกเขาในทุกๆวันในการภาวนาก่อนนอนจำเป็นต้องสารภาพทุกบาปกับพระเจ้า เพื่อเป็นการเตือนใจและพยายามคิดให้ถี่ถ้วน เราไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมโดยทางธรรมบัญญัติได้เลย แต่ด้วยพระเยซูคริสต์ พระองค์ถึงต้องส่งพระเอกบุตรของพระองค์มาถูกตรึงกางเขนเพื่อชดใช้บาปของเรา คริสตชนต้องระลึกทุกวันว่าไม่ใช่ใครที่ทำให้พระเยซูคริสตเจ้าต้องตายนอกจากบาปของพวกเราเอง
การแก้บาปต้องแก้บาปกับพระสงฆ์(คุณพ่อ) คุณพ่อนอกจากเป็นตัวแทนของพระเยซูเจ้าแล้วคุณพ่อคือผู้ช่วยแพทย์ที่รักษาจิตของเรา เราจำเป็นต้องบอกบาปทุกบาปกับคุณพ่อ ในระหว่างการแก้บาปเราไม่ได้บอกบาปกับคุณพ่อแต่เรากำลังสารภาพกับพระเจ้า ดังนั้น ห้ามโกหก
ในการแก้บาปคุณพ่อจะยังไม่ยกบาปให้ในขณะนั้นต้องทำกิจใช้โทษบาปก่อน กิจของพวกเขาถือว่าถ้าเทียบกับพระศาสนจักรตะวันตกแล้วถือว่าหนักแต่ถ้าเทียบกับพระมหาทรมาณของพระเยซูเจ้าแล้วมันไม่ได้เสี้ยวหนึ่งในล้านเลย อาจจะมีสวดเช้าค่ำ(ยาวพอพอทำวัตร)ทุกวัน บริจาคเงินช่วยผู้ป่วย บริจาคเลือด สวดสายประคำ(เท่าที่ฟัง10กว่าสาย)ฯลฯ หลังจากทำกิจใช้โทษบาปแล้วให้เรากลับมาหาคุณพ่อคนเดิม แล้วก็บอกไป คุณพ่อจะภาวนายกบาปให้ ทั้งนี้ทั้งนั้นห้ามขี้เกียจ และห้ามโกหกตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าได้หรือไม่เช่นไร สารภาพกับพระเจ้า(ผ่านทางคุณพ่อ)จะดีกว่า เพราะแน่นอนเรายังคงเป็นมนุษย์ ย่อมอ่อนแอในบาปได้เสมอ
แต่ที่สำคัญหลังจากเราแก้บาปเราต้องพยายามพัฒนาตัวไม่ให้ตกไปในบาป สมมุติว่า บาปคือดื่มสุราหนัก(การดื่มสุราไม่เป็นบาปแต่ถ้าดื่มมากไปจนไร้สตินั่นแหละบาป) มาแก้ครั้งแรก ได้รับการให้อภัย ครั้งต่อมาควรจะพยายามปรับปรุงตัวแต่ถ้าไม่เลยกิจใช้โทษจะเพิ่ม2เท่า ถ้ามาอีกครั้งแล้วพบว่าไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยคุณพ่อจะยังไม่ให้รับศีลแก้บาปจนกว่าเขาจะมาด้วยความเป็นทุกข์เสียใจในบาปจริงๆ ไม่ควรเลือกคุณพ่อในการแก้บาป เพราะคนที่ฟังเราแก้บาปคือพระเจ้า
เพราะศีลแก้บาปไม่ใช่หน้าที่ แต่ต้องมาด้วยความเสียใจในพระเจ้า
แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะบาปทั้งหมดทีเดียว แต่ควรจะพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เช่นดื่มหนัก100% ควรต่อสู้กับบาปจนลดมาซักเหลือ90%ก็ยังดี ไม่ใช่100%ยังไงก็อย่างนั้น แล้วอย่างที่ผมย้ำอย่าโกหกในเวลารับศีลแก้บาป(ไม่ใช่แค่ของออร์โด๊อกซ์แต่ถึงพี่น้องในพระคริสต์ทุกท่าน การสารภาพกับพระเจ้าไม่ควรจะโกหกและหลอกตัวเอง)
ไม่มีกำหนดว่าจะมาแก้เมื่อไหร่ ทุกสัปดาห์ก็ยังได้ ขอแค่ให้เป็นทุกข์เสียใจในบาปอย่างแท้จริง ถ้ามาแก้บาปด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับศีลมหาสนิท แน่นอนที่สุดคุณพ่อย่อมไม่ยอมให้รับ เพราะไม่ได้เสียใจในบาปอย่างแท้จริง
ถ้าหากคิดว่านานๆแล้วมาแก้ที ยิ่งเป็นความคิดที่ผิดใหญ่ พระเจ้าไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มชำระหนี้ ที่มาจ่ายหนี้ที่ค้างชำระ
เพราะถ้าเราไม่แก้บาปนานๆ ลำดับในการทำบาปจะเปลี่ยนเราเป็นขั้นๆ
ขั้นแรก รู้สึกตะขิดตะข่วนใจ
ข้อต่อมา เสียใจมากๆ
ขั้นที่3 รู้สึกผิดแล้วแย่
ขั้นที่4 รู้สึกงงๆมึนๆ
ขึ้นที่5 ชินชาคิดว่าปกติ
ขั้นเลวราย คิดว่านั่นไม่ใช่บาป!!!!
อย่ายกตัวอย่างไกลตัวเลย เอาแค่สวดก่อนอน ถ้าเราทิ้งการสวดนานๆหรือสวดสั้นๆ นานๆไปจะพบว่า ไม่สวดก็ไม่เห็นเป็นไร ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ยิ่งแล้วใหญ่ "คุณไม่ได้อ่านพระคัมภีร์นานหรือยัง?"
สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแปรให้เราทำบาปนั่นคือความเกียจคร้าย ความพยศชั่วตัวราย
ถ้าเราไม่แก้บาปนานๆ บาปของเราจะทำให้ความใกล้ชิดกับพระเจ้ามีระยะห่าง แม้บาปที่เล็กที่สุดก็ยังทำให้เรามีระยะห่างจากพระเจ้าได้ บาปยิ่งไปเพิ่มระยะห่างจากพระเจ้า เราเองเป็นเหมือนลูกแกะดื้อซน ความบาปทำให้เราเดินออกจากฝูง ยิ่งนานไปก็จะพบว่าเราหลงฝูงเสียแล้ว ลูกแกะอาจร้องไห้โวยวายคิดว่า"ทำไมพระเจ้าต้องทิ้งเราด้วย" ถ้าลองคิดดู พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งแต่เราเองที่เดินออกจากฝูง
ดังนั้นการแก้บาปจึงเป็นศีลแห่งการเยียวยาบาปไม่ให้ระยะห่างระหว่างเรากับพระเจ้าไกลออกไป เราควรหมั่นมาแก้บาป เพื่อหันกลับเข้ามาแล้วเดินกลับเข้าฝูง กลับมาหานายชุมพาบาปที่แสนดี
สำหรับพระศาสนจักรตะวันออกแล้วอย่างที่ผมบอกพระสงฆ์นอกจากเป็นตัวแทนของพระเยซูเจ้าแล้ว ยังมีหน้าที่ผู้ช่วยจิตแพทย์บำบัดจิตวิญญาณด้วย การแก้บาปจะช่วยบำบัดให้เราชนะบาปในที่สุด
บาปบางอย่างมันยากที่จะควบคุม เช่นความคิด ความพลั้งเผลอ ในใจ ติดสุราบุหรี่ การล่วงประเวณีต่อตัวเอง รักร่วมเพศ ฯลฯ เพราะเราอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการรักษาบำบัดโดยพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าช่วยเราเอาชนะบาปที่ยากต่อการควบคุมได้
สุดท้ายขอฝากถึงพี่น้องคริสตชนทุกคน
อย่าอายที่จะสารภาพความผิดกับพระเจ้า
อย่าอายที่จะขอโทษผู้ที่เราทำผิด
อย่าอายที่จะยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อเรา
และอย่าอายในการแบกกางเขนชีวิตแล้วเดินทางตามพระเยซูคริสตเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
เพิ่มเติม
ตามจารีต
หากผู้ใดรับศีลแก้บาปแล้วสามารถรับศีลมหาสนิทได้ในวันอาทิตย์(ปกติจะรับศีลแก้บาปวันเสาร์หรือเช้าวันอาทิตย์)
ศีลแก้บาป โดยปกติถ้าเป็นผู้ที่เป็นบาปเบาเมื่อแก้บาปแล้วจะไม่มีกิจใช้โทษบาป แต่ถ้าทำซ้ำๆจนเหมือนมาใช้หนี้พ่อจะเริ่มให้ทำกิจใช้โทษบาปเช่น สูบบุหรี่
ต้องเริ่มลดๆ ปรับปรุงตัวทุกครั้งที่รับศีล
อ้อก่อนอื่นขอบอกก่อนนะครับว่าข้อมูลมาจากการถามพ่อโอเล็กแล้วรวบรวม บางครั้งมีการคลาดเคลื่อนเพราะผมฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยแตก
ศีลมหาสนิท
มีคำถามมากมายว่าทำไมพี่น้องออร์โธด๊อกซ์ถึงไม่ยอมให้เรารับศีลมหาสนิท ไม่ใช่เพราะเขากีดกันหรืออย่างไร มันมาจากความเชื่อที่ว่า
"ศีลมหาสนิทคือพระกายของพระเยซูเจ้าจริงๆ ผู้รับควรเป็นผู้ที่เตรียมพร้อมมาจริงๆ ต้อง
สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า7ขวบสามารถรับได้ทุกครั้งที่มีพิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ พระองค์ยังเคยตรัสว่า "จงปล่อยเด็กๆให้เข้ามาหาเราเถิด"
แต่สำหรับผู้ที่โตแล้ว ไม่สามารถรับศีลมหาสนิทได้ทุกครั้งที่พิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาไม่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เหมือนเด็ก
ก่อนรับศีลมหาสนิทจึงต้องเพรียบพร้อมบริสุทธิ์จริงๆ ต้องแก้บาป ทำกิจใช้โทษบาป(เดี๋ยวจะพูดทีหลัง) ถืออดอาหารมาให้พร้อม
การอดอาหารนี้ไม่ใช่แค่1ชั่วโมงแต่ต้องอดอาหารหลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ยันรับศีลมหาสนิท ห้ามกินน้ำด้วย
สำหรับศีลมหาสนิท พวกเขาใช้ขนมปังแบบก้อนๆแข็งๆ(แล้วจืดมาก) หักแบ่งไว้ ขนมปังถ้าไม่ได้รับการเสกหรือเปลี่ยนเป็นพระกายขนมปังนั้นก็ยังคงสภาพเป็นขนมปังอยู่ แต่ถ้าได้รับการเสกเป็นศีลมหาสนิทแล้วสารในขนมปังนั้นได้เปลี่ยนเป็นพระกายของพระเยซูแล้ว เป็นพระกายแท้ๆที่จะเข้ามาสถิตในหัวใจเรา
ส่วนใหญ่คุณพ่อจะเสกขนมปังพอที่จะใช้ให้หมดพอดี ไม่เหลือเก็บ เหตุเพราะนั้นคือศีลมหาสนิท แล้วขนมปังที่เสกแล้วและยังไม่เสกจะไม่รวมกันจะแบ่งเอาไว้ ขนมปังนี้ถ้าไม่ได้รับการเสกเป็นพระกายก็ย่อมยังเป็นขนมปังธรรมดา ยังมีประเพณีขนมปังอวยพรที่สามารถรับได้ทุกคน ซึ่งเป็นขนมปังชนิดเดียวกัน(แต่ไม่ได้รับการเสกเปลี่ยนเป็นพระกาย)
ที่ไม่เสกพระกายเก็บไว้ในภาชนะศักดิ์สนิท เพราะนั่นคือพระกายของพระเยซูเจ้า และยังป้องกันเรื่องการทำทุราจารศีลด้วย และเป็นประเพณีตั้งแต่พระศาสนจักรแรกเริ่ม ที่ต้องให้พระกายรวมกับพระโลหิตแล้วตักรับศีลพร้อมกัน
ศีลแก้บาป
สำหรับการแก้บาปแล้ว ถือว่าเป็นศีลหนึ่งที่มีความสำคัญ สำหรับคริสตชนจารีตตะวันออกแล้ว หน้าที่ของพวกเขาในทุกๆวันในการภาวนาก่อนนอนจำเป็นต้องสารภาพทุกบาปกับพระเจ้า เพื่อเป็นการเตือนใจและพยายามคิดให้ถี่ถ้วน เราไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมโดยทางธรรมบัญญัติได้เลย แต่ด้วยพระเยซูคริสต์ พระองค์ถึงต้องส่งพระเอกบุตรของพระองค์มาถูกตรึงกางเขนเพื่อชดใช้บาปของเรา คริสตชนต้องระลึกทุกวันว่าไม่ใช่ใครที่ทำให้พระเยซูคริสตเจ้าต้องตายนอกจากบาปของพวกเราเอง
การแก้บาปต้องแก้บาปกับพระสงฆ์(คุณพ่อ) คุณพ่อนอกจากเป็นตัวแทนของพระเยซูเจ้าแล้วคุณพ่อคือผู้ช่วยแพทย์ที่รักษาจิตของเรา เราจำเป็นต้องบอกบาปทุกบาปกับคุณพ่อ ในระหว่างการแก้บาปเราไม่ได้บอกบาปกับคุณพ่อแต่เรากำลังสารภาพกับพระเจ้า ดังนั้น ห้ามโกหก
ในการแก้บาปคุณพ่อจะยังไม่ยกบาปให้ในขณะนั้นต้องทำกิจใช้โทษบาปก่อน กิจของพวกเขาถือว่าถ้าเทียบกับพระศาสนจักรตะวันตกแล้วถือว่าหนักแต่ถ้าเทียบกับพระมหาทรมาณของพระเยซูเจ้าแล้วมันไม่ได้เสี้ยวหนึ่งในล้านเลย อาจจะมีสวดเช้าค่ำ(ยาวพอพอทำวัตร)ทุกวัน บริจาคเงินช่วยผู้ป่วย บริจาคเลือด สวดสายประคำ(เท่าที่ฟัง10กว่าสาย)ฯลฯ หลังจากทำกิจใช้โทษบาปแล้วให้เรากลับมาหาคุณพ่อคนเดิม แล้วก็บอกไป คุณพ่อจะภาวนายกบาปให้ ทั้งนี้ทั้งนั้นห้ามขี้เกียจ และห้ามโกหกตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าได้หรือไม่เช่นไร สารภาพกับพระเจ้า(ผ่านทางคุณพ่อ)จะดีกว่า เพราะแน่นอนเรายังคงเป็นมนุษย์ ย่อมอ่อนแอในบาปได้เสมอ
แต่ที่สำคัญหลังจากเราแก้บาปเราต้องพยายามพัฒนาตัวไม่ให้ตกไปในบาป สมมุติว่า บาปคือดื่มสุราหนัก(การดื่มสุราไม่เป็นบาปแต่ถ้าดื่มมากไปจนไร้สตินั่นแหละบาป) มาแก้ครั้งแรก ได้รับการให้อภัย ครั้งต่อมาควรจะพยายามปรับปรุงตัวแต่ถ้าไม่เลยกิจใช้โทษจะเพิ่ม2เท่า ถ้ามาอีกครั้งแล้วพบว่าไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยคุณพ่อจะยังไม่ให้รับศีลแก้บาปจนกว่าเขาจะมาด้วยความเป็นทุกข์เสียใจในบาปจริงๆ ไม่ควรเลือกคุณพ่อในการแก้บาป เพราะคนที่ฟังเราแก้บาปคือพระเจ้า
เพราะศีลแก้บาปไม่ใช่หน้าที่ แต่ต้องมาด้วยความเสียใจในพระเจ้า
แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะบาปทั้งหมดทีเดียว แต่ควรจะพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เช่นดื่มหนัก100% ควรต่อสู้กับบาปจนลดมาซักเหลือ90%ก็ยังดี ไม่ใช่100%ยังไงก็อย่างนั้น แล้วอย่างที่ผมย้ำอย่าโกหกในเวลารับศีลแก้บาป(ไม่ใช่แค่ของออร์โด๊อกซ์แต่ถึงพี่น้องในพระคริสต์ทุกท่าน การสารภาพกับพระเจ้าไม่ควรจะโกหกและหลอกตัวเอง)
ไม่มีกำหนดว่าจะมาแก้เมื่อไหร่ ทุกสัปดาห์ก็ยังได้ ขอแค่ให้เป็นทุกข์เสียใจในบาปอย่างแท้จริง ถ้ามาแก้บาปด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับศีลมหาสนิท แน่นอนที่สุดคุณพ่อย่อมไม่ยอมให้รับ เพราะไม่ได้เสียใจในบาปอย่างแท้จริง
ถ้าหากคิดว่านานๆแล้วมาแก้ที ยิ่งเป็นความคิดที่ผิดใหญ่ พระเจ้าไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มชำระหนี้ ที่มาจ่ายหนี้ที่ค้างชำระ
เพราะถ้าเราไม่แก้บาปนานๆ ลำดับในการทำบาปจะเปลี่ยนเราเป็นขั้นๆ
ขั้นแรก รู้สึกตะขิดตะข่วนใจ
ข้อต่อมา เสียใจมากๆ
ขั้นที่3 รู้สึกผิดแล้วแย่
ขั้นที่4 รู้สึกงงๆมึนๆ
ขึ้นที่5 ชินชาคิดว่าปกติ
ขั้นเลวราย คิดว่านั่นไม่ใช่บาป!!!!
อย่ายกตัวอย่างไกลตัวเลย เอาแค่สวดก่อนอน ถ้าเราทิ้งการสวดนานๆหรือสวดสั้นๆ นานๆไปจะพบว่า ไม่สวดก็ไม่เห็นเป็นไร ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ยิ่งแล้วใหญ่ "คุณไม่ได้อ่านพระคัมภีร์นานหรือยัง?"
สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแปรให้เราทำบาปนั่นคือความเกียจคร้าย ความพยศชั่วตัวราย
ถ้าเราไม่แก้บาปนานๆ บาปของเราจะทำให้ความใกล้ชิดกับพระเจ้ามีระยะห่าง แม้บาปที่เล็กที่สุดก็ยังทำให้เรามีระยะห่างจากพระเจ้าได้ บาปยิ่งไปเพิ่มระยะห่างจากพระเจ้า เราเองเป็นเหมือนลูกแกะดื้อซน ความบาปทำให้เราเดินออกจากฝูง ยิ่งนานไปก็จะพบว่าเราหลงฝูงเสียแล้ว ลูกแกะอาจร้องไห้โวยวายคิดว่า"ทำไมพระเจ้าต้องทิ้งเราด้วย" ถ้าลองคิดดู พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งแต่เราเองที่เดินออกจากฝูง
ดังนั้นการแก้บาปจึงเป็นศีลแห่งการเยียวยาบาปไม่ให้ระยะห่างระหว่างเรากับพระเจ้าไกลออกไป เราควรหมั่นมาแก้บาป เพื่อหันกลับเข้ามาแล้วเดินกลับเข้าฝูง กลับมาหานายชุมพาบาปที่แสนดี
สำหรับพระศาสนจักรตะวันออกแล้วอย่างที่ผมบอกพระสงฆ์นอกจากเป็นตัวแทนของพระเยซูเจ้าแล้ว ยังมีหน้าที่ผู้ช่วยจิตแพทย์บำบัดจิตวิญญาณด้วย การแก้บาปจะช่วยบำบัดให้เราชนะบาปในที่สุด
บาปบางอย่างมันยากที่จะควบคุม เช่นความคิด ความพลั้งเผลอ ในใจ ติดสุราบุหรี่ การล่วงประเวณีต่อตัวเอง รักร่วมเพศ ฯลฯ เพราะเราอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการรักษาบำบัดโดยพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าช่วยเราเอาชนะบาปที่ยากต่อการควบคุมได้
สุดท้ายขอฝากถึงพี่น้องคริสตชนทุกคน
อย่าอายที่จะสารภาพความผิดกับพระเจ้า
อย่าอายที่จะขอโทษผู้ที่เราทำผิด
อย่าอายที่จะยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อเรา
และอย่าอายในการแบกกางเขนชีวิตแล้วเดินทางตามพระเยซูคริสตเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
เพิ่มเติม
ตามจารีต
หากผู้ใดรับศีลแก้บาปแล้วสามารถรับศีลมหาสนิทได้ในวันอาทิตย์(ปกติจะรับศีลแก้บาปวันเสาร์หรือเช้าวันอาทิตย์)
ศีลแก้บาป โดยปกติถ้าเป็นผู้ที่เป็นบาปเบาเมื่อแก้บาปแล้วจะไม่มีกิจใช้โทษบาป แต่ถ้าทำซ้ำๆจนเหมือนมาใช้หนี้พ่อจะเริ่มให้ทำกิจใช้โทษบาปเช่น สูบบุหรี่
ต้องเริ่มลดๆ ปรับปรุงตัวทุกครั้งที่รับศีล
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ พ.ค. 24, 2008 10:02 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
รูปขึ้นแล้วฮะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุฯที่แบ่งปันนะครับ
มาแก้คำนิดหน่อย+เพิ่มเติม แล้วแถมภาพวิหารสวยๆ
St. Alexander Nevsky Cathedral
St. Alexander Nevsky Cathedral
แถมอีกรูป
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
คำถามพี่แมวเทาคร้าบ ทำไมวัดของออร์เทอดอกซ์ จึงมีสถาปัตยกรรม ทรง "หัวหอม" มีที่มาที่ไปอย่างไรคร้าบ
จำพวกโดมหัวหอมพวกนี้ ที่จริงเรา(คริสเตียน)มีมากก่อนมุสลิมด้วยซ้ำJeab Agape เขียน:
คำถามพี่แมวเทาคร้าบ ทำไมวัดของออร์เทอดอกซ์ จึงมีสถาปัตยกรรม ทรง "หัวหอม" มีที่มาที่ไปอย่างไรคร้าบ
เพราะรากฐานจากสถาปัตย์อยู่ที่อาณาจักรไบแซนไทม์ที่เป็นลักษณะโดมกลม แล้วเมื่อแพร่เข้าไปในรัสเซียจึงออกหัวหอมไปเลยเพราะเป็นการประยุกต์
บัลเกเรีย(วัดในรูป)ลักษณะโดมจะราบกว่า คือสถาปัตย์แต่ละที่จะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน
และยอดโดมใหญ่จะตั้งตรงตำแหน่งพระแท่นพอดี
และเชื่อไหมออร์โธด๊อกซ์ยังดำรงรักษาการหมอบลงพื้นเวลาเสกศีลมหาสนิทอยู่ การทำสำคัญมหากางเขนจรดพื้น(เมื่อยมากๆตอนมหาพรตทำ40ครั้ง พอพอซิทอัพเลย)
รูปวิหารSt.Basil ตรงจตุรัสแดง สรางสมัยพระเจ้าอีวาน(จอมหฤโหด)(คิดว่าใช่มั๊งนะ)
ประวัติหลังจากสร้างวิหารที่สวยงามแห่งนี้เสร็จ(สมัยนั้นก่อนราชวงศ์โรมานอฟด้วยซ้ำ) กษัตริย์อีวานถามช่างว่า
"เจ้าสามารถสร้างวิหารที่สวยงามกว่านี้ได้ไหม"
"ได้ขอรับ"
แล้วกษัตริย์อีวานจึงสั่งควักลูกตาของช่างคนนั้นเพื่อไม่ให้สร้างวิหารที่งดงามกว่านี้อีก
มุมนี้สวยดี
อันนี้ไม่รู้ที่ไหนแต่อยู่ที่รัสเซีย
ทำไมมุสลิมถึงเอาโดมหัวหอมไปใช้ สั้นๆคือเมื่ออาณาจักรออตโตมันเป็นอาณาจักรอิสลาม มีรากสถาปัตย์แบบไบแซนไทม์มาแล้วจึงง่ายๆคือCopyแล้วเอาเอกลักษณ์ตัวเองมารวมเช่น การมีหอคอย(ใช้เวลากล่าวอะซานเรียกนมาซ) การมีมิมบาระ การซ้อนประตูย่อเข้าไป(เรียกไม่ถูกอะ)
ถ้าสังเกตุมัสยิดในซาอุ จะไม่ค่อยมีโดม ถ้ายุคหลังๆถึงเริ่มมี เคยมีตำราบางเล่มบอกว่าทางไบแซนไทม์ก็อปอิสลาม ขอค้านว่าสถาปัตย์แบบนี้มันมีก่อนที่อิสลามจะเข้าไปในออตโตมันด้วยซ้ำ
นี่ที่Baku, Azerbaijan. Holy Myrrhbearers Cathedral
Dormition of the Theotokos Cathedral, Varna บัลเกเรีย
Mikkeli Cathedral ที่ฟินแลนด์(แต่เป็นลูเธอแรนนะจ๊ะ ลองดูสไตล์โปรเตสแตนท์บ้าง)
Tbilisi Sameba Cathedral จอร์เจีย ออร์โธด๊อกซ์
St Joseph's Cathedral จารีตลาติน คาทอลิก(เค้าเขียนงี้อะ Latin Catholic)
Saint Mary's Cathedral, Yangon (พม่าเรานี่เอง)
นี่เอาใจพี่น้องแองกลิกัน St Andrew's Cathedral, Singapore
ศูนย์กลางสังฆมณฑลแองกลิกันแถบนี้จ้า
ที่นี่คุ้นๆนะ
Nidaros Cathedral นอร์เวย์ ที่นี่ลูเธอรัน
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ขอบคุณคร้าบพี่แมวเทา คุณพี่ตอบมากกว่าที่น้องเจี๊ยบคาดหวังอีกฮะ
พี่น่าจะเป็นศิษย์เอกของพ่อ โอเลก ใช่ปล่าว พี่
ปล.โบสถ์ที่เมียนม่า เป็นของคณะแองกลิกันคร้าบ :cheesy: ส่วนโบสถ์เซนต์อันดรู ที่สิงคโปร์ ถือว่าเป็นโบสถ์คณะแองกลิกันโบสถ์แรก
ที่เซอร์ แรฟเฟล สแตมฟอร์ด ได้เช่าเกาะสิงกาปุระ ไว้เป็น ชุมทางการค้า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คร้าบ :cheesy: (นอกเจี๊ยบเคยไปเที่ยวชม)
พี่น่าจะเป็นศิษย์เอกของพ่อ โอเลก ใช่ปล่าว พี่
ปล.โบสถ์ที่เมียนม่า เป็นของคณะแองกลิกันคร้าบ :cheesy: ส่วนโบสถ์เซนต์อันดรู ที่สิงคโปร์ ถือว่าเป็นโบสถ์คณะแองกลิกันโบสถ์แรก
ที่เซอร์ แรฟเฟล สแตมฟอร์ด ได้เช่าเกาะสิงกาปุระ ไว้เป็น ชุมทางการค้า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คร้าบ :cheesy: (นอกเจี๊ยบเคยไปเที่ยวชม)
= =ไม่น่าจะใช่เพราะศิษย์เอกพ่อโอเล็กถ้าไม่ใช่พ่อิดนัยก็พี่วลาดิมีร งับเมี๊ยวJeab Agape เขียน: พี่น่าจะเป็นศิษย์เอกของพ่อ โอเลก ใช่ปล่าว พี่