แฟนผมเคยประสบความล้มเหลวในการเรียนครับ คือเธอเป็นคนที่เคยเรียนหนังสือเก่งสมัยมัธยมแต่เรียนมหาลัยไม่จบ และก็ล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร (เสีย self จนบางครั้งดูถูกตัวเอง) เคยมีแฟนมาก่อนคิดว่าจะไปทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆด้วยกันแล้วก็เลิกกันซะก่อน
ก่อนมาคบกับเราเธอตัดสินใจกลับไปเรียนป.ตรีอีกครั้งกับ ม.ราชภัฏฯ หลังจากเธอคบกับผมมาได้พักใหญ่ๆเธอเห็นว่าผมมีรายได้สูง (รายได้ผมมากกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปพอสมควร และผมไม่มีภาระซื้อบ้านออกรถ) เธอเลยตัดสินใจเลิกเรียน และบอกความจริงกับผมว่าจริงๆเธอเรียนไม่จบมาแล้วหลายครั้งและครั้งนี้ก็ยังไม่แน่ใจ และไม่ว่าจะเป็นวุฒิระดับม.6หรือป.ตรีที่ไม่ใช่วิชาชีพก็ไม่มีทางทำให้เธอมีรายได้เกินหนึ่งในสิบของผม ดังนั้นผมน่าจะเลี้ยงดูเธอได้
ผมไม่สามารถจะยอมรับแนวคิดแบบนี้ได้เลยจริงๆครับ ผมไม่อยากมีแฟนเป็นแม่บ้านถ้าเกิดในอนาคตเรามีลูกต้องเลี้ยงดูก็ว่าไปอย่าง
ผมไม่ได้คิดว่าเงินแค่ไม่กี่% ของตัวเองทำไมให้แฟนไม่ได้ ความจริงมันไม่ใช่ แต่ผมไม่อยากให้เขาดูถูกตัวเอง ไม่อดทนต่อความลำบาก ล้มเหลวมาเยอะก็เลยไม่สู้อะไรสักอย่าง รอคนอื่น(แฟน) เลี้ยงอย่างเดียว ผมยังรับไม่ได้จริงๆครับ พอผมบ่นมากๆเราก็ทะเลาะกัน
ก่อนหน้านี้ผมลงทุนซื้อเครื่องบดและเครื่องชงกาแฟมาให้เธอลองขาย แต่มันก็ขายไม่ดีเพราะทำเลที่ไม่ต้องลงทุนเช่าที่มันไม่ดีพอ
การเปลี่ยนทัศนคติคนเป็นเรื่องยากมหาศาลจริงๆครับ ถ้ามันไม่ได้เปลี่ยนมาจากข้างในใจเขาจริงๆ และเธอเองก็เปลี่ยนผมไม่ได้เช่นกัน
วันก่อนเธอไปสมัครงานที่รพ.แห่งหนึ่งในตำแหน่ง cashier ของร้าน minimart หรือไม่ก็สาวเสิร์ฟ ปรากฏว่าพอคนรับสมัครได้ยินว่าแฟนเธอ(หมายถึงผม) ทำงานอะไร มีรายได้ประมาณเท่าไหร่ ก็ถึงกับอึ้งไปเลยว่าปล่อยแฟนมาทำงานอย่างนี้ได้ยังไง
จริงๆคนเราไม่ควรอยู่เฉยๆเป็นแม่บ้านอย่างเดียวไม่ใช่เหรอครับ ถึงไม่บอกให้ใครรู้แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าแฟนผมไม่ทำงานและไม่เรียนหนังสือด้วยก็เหมือนผมทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยงเด็กยังไงยังงั้นแหละครับ
เมื่อเธอยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่กลับไปเรียนต่อ ผมก็ยืนกรานให้เธอออกไปหางานทำให้ได้ เธอก็โกรธอีกครับ บอกว่าวุฒิม.6มันจะไปมีงานดีๆอะไร อย่างน้อยก็ต้องทำสัปดาห์ละ 6 วัน ซึ่งนั่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ก็อาจจะต้องเข้ากะ หรือเข้าเช้ามืด เลิกค่ำมากๆ เดือนละหลายๆวัน ซึ่งผมก็ไม่สะดวกไปรับไปส่ง หรือต่อให้สะดวกก็ดูจะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับรายได้ที่จะได้มา แล้วทำไมผมจะต้องบีบให้เธอไปลำบาก
ทุกวันนี้ก็ภาวนาว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆตอนนี้ครับ
แฟนไม่อยากไปทำงานครับ กำลังหนักใจ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อ่านที่คุณ ex.เขียนเกี่ยวกับแฟน เจี๊ยบอยากจะแยกเป็นประเด็นๆก่อนครับ
1.การที่แฟนคุณ lowself image ( ดูถูกตัวเองน่ะ )ตอบสืบเสาะว่าเพราะอะไร เช่นจากการเรียน เธออาจจะไม่ชอบเรียนวิชาการ แต่เธออาจจะเรียนอะไรได้ดี เช่น การบ้านการเรียน อาหาร เย็บปักถักร้อย หรือพวกปลูกผักออแกนนิก ฯลฯ ให้พัฒนาในสิ่งเหล่านี้
2.ปรับความคิดคุณเองด้วย การที่สตรี แต่งงานแล้วเป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำอาหาร เลี้ยงลูกให้ดี ดูแลสามีให้มีความสุข น่าจะทำให้ครอบครัวมีความสุข
กว่าให้ สตรีออกไปหางานทำงาน แล้วปล่อยครอบครัวให้เลอะเทอะ
3.พยายามสร้างแรงจูงใจ ให้แฟน รู้จักทำงานบางอย่าง ที่จะเป็นคุณค่าของครอบครัว ลองให้เธอสำรวจตัวเองว่าทำอะไรเป็น หรืออยากทำอะไรให้
เป็นทักษะของชีวิต
4 ไม่ต้องหนักใจ แต่คุณต้องสร้างขวัญ กำลังใจ ให้แฟนครับ
1.การที่แฟนคุณ lowself image ( ดูถูกตัวเองน่ะ )ตอบสืบเสาะว่าเพราะอะไร เช่นจากการเรียน เธออาจจะไม่ชอบเรียนวิชาการ แต่เธออาจจะเรียนอะไรได้ดี เช่น การบ้านการเรียน อาหาร เย็บปักถักร้อย หรือพวกปลูกผักออแกนนิก ฯลฯ ให้พัฒนาในสิ่งเหล่านี้
2.ปรับความคิดคุณเองด้วย การที่สตรี แต่งงานแล้วเป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำอาหาร เลี้ยงลูกให้ดี ดูแลสามีให้มีความสุข น่าจะทำให้ครอบครัวมีความสุข
กว่าให้ สตรีออกไปหางานทำงาน แล้วปล่อยครอบครัวให้เลอะเทอะ
3.พยายามสร้างแรงจูงใจ ให้แฟน รู้จักทำงานบางอย่าง ที่จะเป็นคุณค่าของครอบครัว ลองให้เธอสำรวจตัวเองว่าทำอะไรเป็น หรืออยากทำอะไรให้
เป็นทักษะของชีวิต
4 ไม่ต้องหนักใจ แต่คุณต้องสร้างขวัญ กำลังใจ ให้แฟนครับ
ขอบคุณคุณเจี๊ยบสำหรับคำแนะนำครับ อุตส่าห์เขียนแยกประเด็นมา
1.เรื่องเรียนวิชาชีพอะไรพวกนี้ยังนึกไม่ออกครับว่าให้ไปเรียนที่ไหน เธอคงจะไม่ชอบการเรียนและไม่ชอบวิชาการจริงๆครับ
2. เรื่องเป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่อายุน้อยนี่ยังไงก็ไม่เป็นที่ยอมรับของทางบ้านผมด้วยครับ ไม่ใช่แต่ตัวผมเอง และเรายังไม่ได้มีลูกด้วยกันในตอนนี้ ถ้าผมอยู่ตัวคนเดียวถึงแม้ทำงานเต็มเวลาผมก็สามารถดูแลตัวเองได้ครับ
3. ก็ลองเรื่องร้านกาแฟแล้วครับ ทีนี้ถ้าจะหาทำเลดีๆต้องลงทุนเพิ่มตอนนี้ยังไม่พร้อมครับ
4. ขวัญกำลังใจนี่ผมพยายามสร้างให้อยู่แล้วครับ ไม่ได้กดดันว่าต้องหางานให้ได้ภายในกี่วัน หรือขู่ว่าจะไม่ให้เงินใช้ แต่ดูเหมือนใจเธอยังไม่ค่อยจะยอมรับแนวคิดไม่อยากให้เป็นแม่บ้านของผม
1.เรื่องเรียนวิชาชีพอะไรพวกนี้ยังนึกไม่ออกครับว่าให้ไปเรียนที่ไหน เธอคงจะไม่ชอบการเรียนและไม่ชอบวิชาการจริงๆครับ
2. เรื่องเป็นแม่บ้านแม่เรือนตั้งแต่อายุน้อยนี่ยังไงก็ไม่เป็นที่ยอมรับของทางบ้านผมด้วยครับ ไม่ใช่แต่ตัวผมเอง และเรายังไม่ได้มีลูกด้วยกันในตอนนี้ ถ้าผมอยู่ตัวคนเดียวถึงแม้ทำงานเต็มเวลาผมก็สามารถดูแลตัวเองได้ครับ
3. ก็ลองเรื่องร้านกาแฟแล้วครับ ทีนี้ถ้าจะหาทำเลดีๆต้องลงทุนเพิ่มตอนนี้ยังไม่พร้อมครับ
4. ขวัญกำลังใจนี่ผมพยายามสร้างให้อยู่แล้วครับ ไม่ได้กดดันว่าต้องหางานให้ได้ภายในกี่วัน หรือขู่ว่าจะไม่ให้เงินใช้ แต่ดูเหมือนใจเธอยังไม่ค่อยจะยอมรับแนวคิดไม่อยากให้เป็นแม่บ้านของผม
ถ้าไม่ชอบเรียนแบบปกติ ลองเรียนแบบ มสธ. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช .... เรียน 4 ปี หรือ 2 ปีต่อเนื่องก็ได้ เรียนทางไปรษณีย์
ซื้อตัวลงทะเบียนได้ที่ Seven Eleven ทุกสาขา ครับผม ราคาประมาณ 100 หรือ 300 บาทมั้งจำไม่ได้แล้ว
ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็สะดวกดีครับ แต่จะเสียประสบการณ์ที่ไม่เทียบเท่าเรียนภาคปกติครับผม
.... แต่ถ้าแฟนบอกว่ายังไม่อยากเรียน หรือไม่ทำอะไรเลยอีก ก็คงต้อง เฮ้อ.... กันล่ะทีนี้ เฮ้อ....
ซื้อตัวลงทะเบียนได้ที่ Seven Eleven ทุกสาขา ครับผม ราคาประมาณ 100 หรือ 300 บาทมั้งจำไม่ได้แล้ว
ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็สะดวกดีครับ แต่จะเสียประสบการณ์ที่ไม่เทียบเท่าเรียนภาคปกติครับผม
.... แต่ถ้าแฟนบอกว่ายังไม่อยากเรียน หรือไม่ทำอะไรเลยอีก ก็คงต้อง เฮ้อ.... กันล่ะทีนี้ เฮ้อ....
คือตอนนี้ถ้าขืนยกเรื่องเรียนขึ้นมาก็คงยิ่งโกรธยิ่งทะเลาะกันแน่ๆครับ
ขนาดตอนนี้เรายังไม่สามารถไปบังคับอะไรเขาได้ ถ้าเกิดอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวจริงๆยิ่งทำไม่ได้แน่ๆครับ
คือในความคิดผมสิ่งที่สำคัญมากๆซึ่งเธอควรจะคิดได้ด้วยตัวเอง (เพราะถ้าคนอื่นไปใส่ความคิดให้นี่คงไม่ได้) คือ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าผมเป็นอะไรไป พิการ หรือทุพพลภาพ ต่อให้ทิ้งเงินไว้ให้ก้อนใหญ่แค่ไหนมันจะไปมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าไม่รู้จักบริหารจัดการ หรือทำให้มันงอกเงย จะบอกว่าก็รอให้มันเกิดวิกฤตจริงๆแล้วพระเป็นเจ้าจะทรงช่วยเราเองแบบนั้นผมว่าเป็นการมองชีวิตที่ประมาทมากๆเลยนะครับ
ขนาดตอนนี้เรายังไม่สามารถไปบังคับอะไรเขาได้ ถ้าเกิดอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวจริงๆยิ่งทำไม่ได้แน่ๆครับ
คือในความคิดผมสิ่งที่สำคัญมากๆซึ่งเธอควรจะคิดได้ด้วยตัวเอง (เพราะถ้าคนอื่นไปใส่ความคิดให้นี่คงไม่ได้) คือ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าผมเป็นอะไรไป พิการ หรือทุพพลภาพ ต่อให้ทิ้งเงินไว้ให้ก้อนใหญ่แค่ไหนมันจะไปมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าไม่รู้จักบริหารจัดการ หรือทำให้มันงอกเงย จะบอกว่าก็รอให้มันเกิดวิกฤตจริงๆแล้วพระเป็นเจ้าจะทรงช่วยเราเองแบบนั้นผมว่าเป็นการมองชีวิตที่ประมาทมากๆเลยนะครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เป็นกำลังใจให้นะครับ
ผมจะบอกว่า เราเองก็ต้องพูดกับแฟนด้วย ถึงแม้ว่าแฟนคุณอาจดูถูกตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ก็ต้องบอกว่า เราต้องช่วยกันสร้างครอบครัวมากกว่าที่จะอยู่บ้านเฉย ๆ ครับ
หรือไม่ก็เอาแบบนี้สิครับ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้านเลย ให้แฟนเป็นคนดูแล
ผมจะบอกว่า เราเองก็ต้องพูดกับแฟนด้วย ถึงแม้ว่าแฟนคุณอาจดูถูกตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ก็ต้องบอกว่า เราต้องช่วยกันสร้างครอบครัวมากกว่าที่จะอยู่บ้านเฉย ๆ ครับ
หรือไม่ก็เอาแบบนี้สิครับ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้านเลย ให้แฟนเป็นคนดูแล
แนะนำว่า
พาแฟนคุณมาเรียนคำสอนที่โบสถ์ หรือเข้าคอร์สอบรมอะไรก็ได้ไหนๆว่างๆอยู่
(ซึ่งคุณอาจจะไปด้วย ฯลฯ ที่ทำให้แฟนคุณไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน)
อย่างหนึ่งที่ตรงกลับนโยบายพระศาสนจักรมากๆ ก็คือให้อ่านพระคัมภีร์ระหว่างอยู่บ้านครับ
และขอให้พระจิตเจ้าทรงนำในความคิดอ่านของแฟนคุณ
อย่างไรก็ตามขอพระเจ้าอวยพรครับ
พาแฟนคุณมาเรียนคำสอนที่โบสถ์ หรือเข้าคอร์สอบรมอะไรก็ได้ไหนๆว่างๆอยู่
(ซึ่งคุณอาจจะไปด้วย ฯลฯ ที่ทำให้แฟนคุณไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน)
อย่างหนึ่งที่ตรงกลับนโยบายพระศาสนจักรมากๆ ก็คือให้อ่านพระคัมภีร์ระหว่างอยู่บ้านครับ
และขอให้พระจิตเจ้าทรงนำในความคิดอ่านของแฟนคุณ
อย่างไรก็ตามขอพระเจ้าอวยพรครับ

-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ถ้าพี่เป็นคริสเตียน แล้วปกติ เราจะมีที่ปรึกษา มีกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ กลุ่มอธิษฐานภาวนา จะทำให้ คนที่ไม่กล้าเกิดความกล้า
คนที่ไม่เคยคิดอะไรได้คิดมากขึ้น เมื่อเธอไม่ชอบการเรียนวิชาการ คงจะให้เรียนวิชาชีพ พี่น่าจะพาเธอไปงานต่างๆ ที่ส่งเสริม
การฝึกฝนอาชีพ เพื่อเธอจะได้เปิดหูเปิดตา
การเป็นอาสาสมัครบ้างก็ดี เพราะจะทำให้ตัวเองเห็นคุณค่าของตัวเอง
พี่น่าจะมีเวลาพูดจากันดีๆ และมีเหตุผล เมื่อรักกันก็จะเข้าใจกัน และยอมรับความเห็นกัน
ไม่ลองให้เธอเข้ามาที่บอร์ดเราบ้างล่ะ
คนที่ไม่เคยคิดอะไรได้คิดมากขึ้น เมื่อเธอไม่ชอบการเรียนวิชาการ คงจะให้เรียนวิชาชีพ พี่น่าจะพาเธอไปงานต่างๆ ที่ส่งเสริม
การฝึกฝนอาชีพ เพื่อเธอจะได้เปิดหูเปิดตา
การเป็นอาสาสมัครบ้างก็ดี เพราะจะทำให้ตัวเองเห็นคุณค่าของตัวเอง
พี่น่าจะมีเวลาพูดจากันดีๆ และมีเหตุผล เมื่อรักกันก็จะเข้าใจกัน และยอมรับความเห็นกัน
ไม่ลองให้เธอเข้ามาที่บอร์ดเราบ้างล่ะ

แฟนเป็นคริสต์เปล่า ถ้าไม่เป็นลองให้เขาเรียนคำสอนหรือเรียนพระคัมภีร์ก่อน แล้วพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนชีวิตเขาเอง ถ้าเขายังไม่เรียน หรือไม่ยอมเรียน แนะนำง่ายๆว่าลองลดระดับจากแฟนลงเหลือแค่เพื่อนแล้วก็ปฏิบัติต่อเขาในลักษณะของการเป็นพยานไปพลางๆก่อน อย่าดันทุรังครับ เพราะเท่าที่ฟังแล้ว ชีวิตคู่อาจพังได้ง่ายๆเพราะคนรอบข้างครับ ดังนั้นต้องสร้างฐานให้มั่นคงก่อน คือควรมีความเชื่อและเป้าหมายเดียวกันในการครองคู่ คือการมุ่งไปหาพระเป็นเจ้า สร้างพระราชัยของพระองค์ให้บังเกิด ช้าๆครับ อย่างที่น้องเจี๊ยบว่ามาก็ถูก คือคุณเองก็มีทัศนะที่ต้องเปลี่ยน แฟนคุณก็มีเรื่องต้องแก้ไข ฉะนั้นอย่าเพิ่งเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีหลักยึดเลยครับ
การแต่งงานไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเลย ปัญหาคือการเสียความมั่นใจมากกว่า
ทางที่ดี พยายามอยู่เคียงข้างเธอ ให้เธอได้ระลึกถึงพระพรที่พระให้มา และพยายามที่จะเรียนให้จบนะคะ การเรียนให้จบเนี่ย สติปัญญาเป็นเรื่องนึง และวินัยในตัวเอง และกำลังใจ จิตใจก็สำคัญ แก้ตรงนั้นดีกว่ามั้ยคะ
ผู้หญิงที่จะแต่งงาน (จริงๆก็ทุกคนอ่ะนะ ไม่ว่าชายหญิง แต่งไม่แต่ง) self-esteem สำคัญ ถ้าไม่มีแต่แรกแล้วเนี่ย ต่อไปจะลำบาก ชีวิตคู่อาจระหองระแหงได้ค่ะ
พระอวยพรค่ะ
ทางที่ดี พยายามอยู่เคียงข้างเธอ ให้เธอได้ระลึกถึงพระพรที่พระให้มา และพยายามที่จะเรียนให้จบนะคะ การเรียนให้จบเนี่ย สติปัญญาเป็นเรื่องนึง และวินัยในตัวเอง และกำลังใจ จิตใจก็สำคัญ แก้ตรงนั้นดีกว่ามั้ยคะ
ผู้หญิงที่จะแต่งงาน (จริงๆก็ทุกคนอ่ะนะ ไม่ว่าชายหญิง แต่งไม่แต่ง) self-esteem สำคัญ ถ้าไม่มีแต่แรกแล้วเนี่ย ต่อไปจะลำบาก ชีวิตคู่อาจระหองระแหงได้ค่ะ
พระอวยพรค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคำแนะนำครับ
แฟนผมไม่ได้ถือคริสต์ครับ ยังไม่สนใจจะเปลี่ยนมานับถือ แต่ก็ยอมรับในศาสนาของเรา และไม่ได้ขัดข้องหากว่ามีลูกด้วยกันแล้วจะพาลูกไปล้างบาป
ตกลงว่าเรื่องเรียนนี่ยังไงก็ยังไม่ยอมท่าเดียว ตอนนี้ก็เลยให้ drop ไปก่อน
ส่วนงานตอนนี้ฝากเข้าทำงานที่ไม่ต้องเลิกค่ำนัก คิดว่าน่าจะได้แน่ๆ เธอบอกว่า OK ถ้าไม่เลิกดึกหรือต้องทำเป็นกะ ไ่ม่เป็นเวลาแน่นอน
สำหรับเรื่องสร้าง self esteem ในระยะยาวนี่ก็คงต้องใช้เวลานานเลยครับ
แฟนผมไม่ได้ถือคริสต์ครับ ยังไม่สนใจจะเปลี่ยนมานับถือ แต่ก็ยอมรับในศาสนาของเรา และไม่ได้ขัดข้องหากว่ามีลูกด้วยกันแล้วจะพาลูกไปล้างบาป
ตกลงว่าเรื่องเรียนนี่ยังไงก็ยังไม่ยอมท่าเดียว ตอนนี้ก็เลยให้ drop ไปก่อน
ส่วนงานตอนนี้ฝากเข้าทำงานที่ไม่ต้องเลิกค่ำนัก คิดว่าน่าจะได้แน่ๆ เธอบอกว่า OK ถ้าไม่เลิกดึกหรือต้องทำเป็นกะ ไ่ม่เป็นเวลาแน่นอน
สำหรับเรื่องสร้าง self esteem ในระยะยาวนี่ก็คงต้องใช้เวลานานเลยครับ