พระคัมภีร์ยอห์น1 กล่าวถึงพระวาทะคือพระบุตร อ่านแล้วเข้าใจยากมากเหรอไงครับ ถึงมีคนหยิบไปโยงกับหลักธรรมของศาสนาอื่นเขา
ธรรมะในคริสต์ธรรมคัมภีร์
คริสต์ธรรมคัมภีร์ยอห์น 1-4 ก็ได้แสดงสัจธรรมของธรรมะไว้ว่า
ไบเบิล เขียนเข้าใจยากมากเหรอครับ?
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พี่ในฐานะอยู่ในแวดวงการใช้พระคัมภีร์ประจำ ไม่อยากให้น้องๆคริสตชนไปเขวกับการเทียบโยงกับศาสนา/ความเชื่อ/ลัทธิอื่น
เพราะพระคัมภีร์คือ พระวาทะ(พระคำ)ของพระเจ้า ตามความเห็นของปิตาจารย์ คือนักบุญเยโรม กล่าวว่า "การไม่รู้จักระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระเจ้า"
หรือ นักบุญอัมโบรส กล่าวว่า "เราพูดกับพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานภาวนา เราฟังพระเจ้าเมื่อเราอ่านพระวจนะ(พระวาจา)"
นักบุญเปายืนยันแล้วยืนยันอีกว่า "ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการทรงดลใจจากพระเจ้าให้ปรับปรุงและมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน
ว่ากล่าวตักเตือน ให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม" ( 2ทธ.3:16)
จึงสรุปว่า
ไม่ต้องไปสงสัยมากมายอะไรหรอก ขอให้เชื่อ และทำตาม ตามที่นักบุญทั้ง 3 ท่านแนะนำ แค่นี้น้องก็จะเข้าใจพระคัมภีร์
และน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ ให้พระวจนะของพระจ้า เป็นโคมส่องเท้าของน้องในการดำเนินชีวิต รับรอง จำเริญขึ้นในพระเจ้าแน่ๆ
เพราะพระคัมภีร์คือ พระวาทะ(พระคำ)ของพระเจ้า ตามความเห็นของปิตาจารย์ คือนักบุญเยโรม กล่าวว่า "การไม่รู้จักระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระเจ้า"
หรือ นักบุญอัมโบรส กล่าวว่า "เราพูดกับพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานภาวนา เราฟังพระเจ้าเมื่อเราอ่านพระวจนะ(พระวาจา)"
นักบุญเปายืนยันแล้วยืนยันอีกว่า "ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการทรงดลใจจากพระเจ้าให้ปรับปรุงและมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน
ว่ากล่าวตักเตือน ให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม" ( 2ทธ.3:16)
จึงสรุปว่า
ไม่ต้องไปสงสัยมากมายอะไรหรอก ขอให้เชื่อ และทำตาม ตามที่นักบุญทั้ง 3 ท่านแนะนำ แค่นี้น้องก็จะเข้าใจพระคัมภีร์
และน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ ให้พระวจนะของพระจ้า เป็นโคมส่องเท้าของน้องในการดำเนินชีวิต รับรอง จำเริญขึ้นในพระเจ้าแน่ๆ
พระเจ้าทรงเป็นอยู่เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ แต่ก็ทรงใกล้ชิดกับมนุษย์จนเราแทบไม่รู้สึกอะไร
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเกียรติเลอเลิศ แต่ก็ทรงเรียบง่ายกว่ามนุษย์ทุกผู้บนแผ่นดิน
พระองค์ดำรงพระสภาพต่างกันพร้อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความลึกลับของพระวาทะก็เรียบง่าย แต่ซับซ้อนด้วย เหตุว่าพระองค์ทรงมีพระวาทะนั้นมาเพื่อเรา
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเกียรติเลอเลิศ แต่ก็ทรงเรียบง่ายกว่ามนุษย์ทุกผู้บนแผ่นดิน
พระองค์ดำรงพระสภาพต่างกันพร้อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความลึกลับของพระวาทะก็เรียบง่าย แต่ซับซ้อนด้วย เหตุว่าพระองค์ทรงมีพระวาทะนั้นมาเพื่อเรา
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เข้าใจง่ายก็ไม่ใช่ไบเบิ้ล ดิพี่
เจี๊ยบเห็นว่า คัมภีร์ของทุกศาสนาเข้าใจยากทั้งนั้นแหละ 
แต่ที่ยากสุดยาก คือ เข้าใจแล้วยังปฏิบัติไม่ได้ ....เอาง่ายๆ ทางคริสเตียนเมื่ออธิษฐานของพรแล้ว ศิษยาภิบาลกล่าวว่า
จงออกไปสู่สังคม ด้วยความรักสันติสุข ให้เป็นเกลือเป็นแสงสว่างท่ามกลางสังคม....หรือคุณพ่ออวยพรแล้วบอกว่า จงออกไปปฏิบัติตามพระวาจาเถิด
มีกี่คนที่ปฏิบัติได้จริงๆ แบบไม่อิดออด อิอิ
เราปล้ำสู้กับตัวเองและบทเทศน์นะ
ดังนั้นอ่านเข้าใจแค่ไหนปฏิบัติแค่นั้น ก็ประเสริฐแล้วครับพี่น้อง

แต่ที่ยากสุดยาก คือ เข้าใจแล้วยังปฏิบัติไม่ได้ ....เอาง่ายๆ ทางคริสเตียนเมื่ออธิษฐานของพรแล้ว ศิษยาภิบาลกล่าวว่า
จงออกไปสู่สังคม ด้วยความรักสันติสุข ให้เป็นเกลือเป็นแสงสว่างท่ามกลางสังคม....หรือคุณพ่ออวยพรแล้วบอกว่า จงออกไปปฏิบัติตามพระวาจาเถิด
มีกี่คนที่ปฏิบัติได้จริงๆ แบบไม่อิดออด อิอิ
ดังนั้นอ่านเข้าใจแค่ไหนปฏิบัติแค่นั้น ก็ประเสริฐแล้วครับพี่น้อง
- billa-bong
- ~@
- โพสต์: 668
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
- ที่อยู่: thailand
กลุ่ม อนุตตรธรรม เป็นกลุ่มที่เน้นการควบรวมหลายศาสนาอยู่แล้วนี่ครับ เขาก็ต้องพยายามตีให้มันเข้าแนวรวมมิตร แบบที่เขาชอบอยู่แล้ว
จริงๆ เรื่องนี้คุณ taiyo กำลังมองแต่ผลหรือเปล่าครับ
ผลของการตีความครั้งนี้ (ที่คุณยกมาจากเวบธรรมะออนไลน์) ก็คือ การค้นพบว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้ากับธรรมะ
แต่
การค้นพบที่ว่า มีสมมติฐานที่ว่า ในพระคัมภีร์ต้องมีเรื่องที่สนับสนุนอนุตตรธรรม
สมมติฐานนี่หละครับ ที่ทำให้มองว่า "พระวาทะ เป็น ธรรมะ" ไม่ใช่มุมมองของ "พระวาทะ คือ พระคริสตเจ้า"
ลัทธิที่คล้ายคลึงกันนี้อาจสอนเรื่องการเปิดจุดสวรรค์บนใบหน้า โดยส่วนหนึ่งอธิบายความที่ปรากฏในพระคัมภีร์ดังนี้
"พระเยซูกล่าวว่า ผู้ใดใคร่รอดให้แบกกางเขนตามเรามา"
เขาอธิบายว่า คำว่า แบกกางเขนที่ว่า ไม่ใช่การแบกกางเขนจริงๆ แจ่เป็นการหาจุดสำคัญบนใบหน้า
จุดนั้นคือ จุดตัดระหว่างแนวระนาบลูกตา กับเส้่นตั้งฉากบนจมูก (จุดที่ลึกที่สุดบนสันจมูกครับ)
ซึ่งเราจะเห็นว่า เป็นการ "ตีความ" โดยมีแนวทางไว้แล้ว เพียงแต่ยกเนื้อความในพระัคัมภีร์มีประกอบ
...
ไม่งั้นเราคงไม่เห็นลัทธิมากมายที่มาบอกว่า ตัวเขาเองคือพระเยซูที่กลับมาแล้วเป็นครั้งที่ 2 หรอกครับ
ผลของการตีความครั้งนี้ (ที่คุณยกมาจากเวบธรรมะออนไลน์) ก็คือ การค้นพบว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้ากับธรรมะ
แต่
การค้นพบที่ว่า มีสมมติฐานที่ว่า ในพระคัมภีร์ต้องมีเรื่องที่สนับสนุนอนุตตรธรรม
สมมติฐานนี่หละครับ ที่ทำให้มองว่า "พระวาทะ เป็น ธรรมะ" ไม่ใช่มุมมองของ "พระวาทะ คือ พระคริสตเจ้า"
ลัทธิที่คล้ายคลึงกันนี้อาจสอนเรื่องการเปิดจุดสวรรค์บนใบหน้า โดยส่วนหนึ่งอธิบายความที่ปรากฏในพระคัมภีร์ดังนี้
"พระเยซูกล่าวว่า ผู้ใดใคร่รอดให้แบกกางเขนตามเรามา"
เขาอธิบายว่า คำว่า แบกกางเขนที่ว่า ไม่ใช่การแบกกางเขนจริงๆ แจ่เป็นการหาจุดสำคัญบนใบหน้า
จุดนั้นคือ จุดตัดระหว่างแนวระนาบลูกตา กับเส้่นตั้งฉากบนจมูก (จุดที่ลึกที่สุดบนสันจมูกครับ)
ซึ่งเราจะเห็นว่า เป็นการ "ตีความ" โดยมีแนวทางไว้แล้ว เพียงแต่ยกเนื้อความในพระัคัมภีร์มีประกอบ
...
ไม่งั้นเราคงไม่เห็นลัทธิมากมายที่มาบอกว่า ตัวเขาเองคือพระเยซูที่กลับมาแล้วเป็นครั้งที่ 2 หรอกครับ
ก็เห็นด้วยกับคุณ Edwardius แต่ที่ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆก็คือ บทยอหน์ที่ยกมานั้น ถ้าอ่านต่อไปจนถึง พระวจนาตถ์รับเอากายเป็นมนุษย์ดุจเรา ก็น่าจะเข้าใจแล้วนะครับว่า มันไม่สามารถตีความเป็นธรรมมะได้ ธรรมมะจะกลายเป็นมนุษย์ได้ยังไง แต่ก็ยังตีความไปอย่างนั้นอีก ผมก็เลยสงสัยว่า พระคัมภีร์บทนี้มันพิสดารเข้าใจยากตรงไหน ถึงได้ตีความไปแบบนั้น
ก็อย่างที่บอกอ่ะครับ ตีความโดยมีกรอบ และสมมติฐานไว้แล้ว (ตั้งธงมากกว่ามั๊ง) ก็จะได้เนื้อหาที่ไม่ออกมาจากกรอบไงครับtaiyo เขียน: ก็เห็นด้วยกับคุณ Edwardius แต่ที่ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆก็คือ บทยอหน์ที่ยกมานั้น ถ้าอ่านต่อไปจนถึง พระวจนาตถ์รับเอากายเป็นมนุษย์ดุจเรา ก็น่าจะเข้าใจแล้วนะครับว่า มันไม่สามารถตีความเป็นธรรมมะได้ ธรรมมะจะกลายเป็นมนุษย์ได้ยังไง แต่ก็ยังตีความไปอย่างนั้นอีก ผมก็เลยสงสัยว่า พระคัมภีร์บทนี้มันพิสดารเข้าใจยากตรงไหน ถึงได้ตีความไปแบบนั้น
เช่น ผมกำลังศึกษาเรื่องสำลี กับ คุณสมบัติในการดูดซับของเหลว
แล้วผมก็ตั้งสมมติฐานว่า สำลีไม่ดูดเจล เพราะเจลมีสถานะเป็นกึ่งแข็งกึ่งเหลว
พอผมเอาสำลีไปวางบนเจล ปรากฏว่า สำลีเปียก
ผมเลยสรุปว่า ที่เปียกเพราะในเจลมีความชื้นและน้ำเป็นองค์ประกอบ
เงี้ยครับ คือ จริงๆ ก็อาจเห้นอยู่ว่ามันดูดเจล แต่ผมต้องการบอกว่ามันไมู่ดูด แล้วผมก็พยายามหาเหตุผลมาเพิ่มเอา เงี้ยครับ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
เค้าเรียก กลุ่มตัดปะ ครับ มีบางนิกาย และบางศาสนา ชอบทำครับ ประเภทยกมาแค่ท่อนเดียวให้เข้าใจผิด (จิงๆถ้ายกมาหมดทั้งบริบทจะเข้าใจ แต่เค้าจงใจยกมาสั้น เพื่อตีความให้เข้าทางเค้า) ถ้าใครไปอ่านหนังสือเขา หรือบทความเขา แล้วไม่ได้ไปอ่านต้นฉบับทั้งบริบทรับรองว่า เขวแน่ๆ (ผมยังเขวเลยตอนอ่านหนังสือ "บทสนทนาระหว่างมุสลิมและคริสตชน") เหอๆtaiyo เขียน: ก็เห็นด้วยกับคุณ Edwardius แต่ที่ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆก็คือ บทยอหน์ที่ยกมานั้น ถ้าอ่านต่อไปจนถึง พระวจนาตถ์รับเอากายเป็นมนุษย์ดุจเรา ก็น่าจะเข้าใจแล้วนะครับว่า มันไม่สามารถตีความเป็นธรรมมะได้ ธรรมมะจะกลายเป็นมนุษย์ได้ยังไง แต่ก็ยังตีความไปอย่างนั้นอีก ผมก็เลยสงสัยว่า พระคัมภีร์บทนี้มันพิสดารเข้าใจยากตรงไหน ถึงได้ตีความไปแบบนั้น
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ม.ค. 03, 2009 1:18 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
เข้าใจไม่ยากหรอกครับ
อยู่ที่เราจะให้มันเข้าใจยากหรือไม่ยากครับ
แต่ต้องอยู่ในกรอบที่เหมาะสมนะ
อยู่ที่เราจะให้มันเข้าใจยากหรือไม่ยากครับ
แต่ต้องอยู่ในกรอบที่เหมาะสมนะ