มีอะไรในเทศกาลมหาพรต(ปี B)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 11:20 pm

โครงสร้างของเทศกาลมหาพรตอ่านที่นี่
ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร (สัปดาห์เทศกาลมหาพรต)
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 12#p114412

อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ปี B

บทอ่านที่ 1: บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล(ปฐมกาล 9:8-15)

.........................พระเป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์และบรรดาบุตรของเขาว่า "นี่แน่ะ เราเองเป็นผู้ตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้า กับเชื้อสายของเจ้าและกับบรรดาสัตว์มีชีวิตที่อยู่กับเจ้าด้วย ทั้งนก สัตว์ใช้งาน และสารพัดสัตว์ป่าทุกชนิดที่อยู่กับเจ้า บรรดาสัตว์ที่ออกมาจากนาวา คือสัตว์ทั้งหลายในโลก เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายบรรดามนุษย์และสัตว์โดยให้น้ำท่วมอีก จะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกเลย"

.........................พระเจ้าตรัสว่า "นี่คือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราจะตั้งไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า ทั้งบรรดาสัตว์มีชีวิตที่อยู่กับเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ เราจะตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆและรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดิน เมื่อเราจะให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และรุ้งของเราจะปรากฎขึ้นที่เมฆนั้น เราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้า และกับบรรดาสรรพสัตว์ที่มีชีวิต แล้วน้ำจะไม่ท่วมทำลายบรรดาสัตว์โลกอีกเลย

(เพลงที่ 47) "โปรดทรงพระเมตตาเถิดพระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป"

บทอ่านที่ 2: บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่ 1(1เปโตร 3:18-22)

.........................พี่น้องที่รักยิ่ง พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเพราะบาป พระองค์ผู้ชอบธรรมได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม เพื่อจะได้นำเราทั้งหลายไปถวายพระเป็นเจ้า ฝ่ายกายพระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายจิตพระองค์ทรงกลับคืนชีพ และโดยจิตพระองค์เสด็จไปประกาศข่าวดีแก่บรรดาจิตที่ถูกคุมขังอยู่ จิตเหล่านี้มิได้ยอมเชื่อฟังในกาลก่อน เมื่อความเพียรทนของพระเป็นเจ้าได้รอคอยพวกเขาอยู่ขณะที่โนอาห์กำลังต่อเรือซึ่งได้ช่วยชีวิตคนจำนวนน้อยนั้นคือเพียงแต่แปดชีวิตให้รอดจากน้ำ(วินาศ)

........................."น้ำ"นั้นเป็นรูปหมายแห่งพิธีล้างบาปที่ช่วยเราให้รอดในเวลานี้ มิใช่เป็นการชำระล้างมลทินร่างกาย แต่เป็นการขอโดยจิตสำนึกชอบต่อพระเป็นเจ้า อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้เสด็จสู่สววรค์ ประทับเบื้องขวาพระบิดา มีทูตสวรรค์ทั้งศักดิเทพและอิทธิเทพทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น

บทอ่านที่ 3: บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก (มาระโก 1:12-15)

.........................เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสี่สิบวัน(สี่สิบคืน) ซาตานมาผจญพระองค์ พระองค์ทรงอยู่กับบรรดาสัตว์ป่า มีทูตสวรรค์มาปรนนิบัติรับใช้พระองค์

.........................หลังจากที่ยอห์นถูกจับแล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีทรงประการเทศนาข่าวดีเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าว่า "เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวดีเถิด"

การอธิบายแบ่งปัน

.........................อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์แรกหลังจากวันพุธรับเถ้า ในวันพุธรับเถ้า ขณะที่พระสงฆ์โปรยเถ้า ท่านจะพูดว่า "จงกลับใจ และ เชื่อพระวรสารเถิด" วันนี้บทอ่านได้ย้อนให้เราพิจารณาคำนี้อีกครั้ง แต่ในมุมมองที่กว้างขึ้น กล่าวคือ พระวรสารได้พูดถึงสัญลักษณ์ 3 ประการ นั่นคือ

1.ซาตาน,ปีศาจ เล็งถึง บาปภายในของเราเอง การปล่อยตัวไปตามอำนาจกิเลส
2.สัตว์ป่า เล็งถึง สัญชาตญาณฝ่ายข้างโลกจากภายนอก วัตถุ
3.ทูตสวรรค์ เล็งถึง การอวยพระพรของพระเจ้า คำภาวนาของเราที่พระเจ้าทรงสดับฟัง การปกป้องคุ้มครอง

.........................เราจะเห็นได้ว่า แม้พระเยซูเจ้าจะทรงปลีกพระองค์เองไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อบำเพ็ญพรต ทุกสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม แตกต่างตรงที่ มันชัดเจนขึ้น เมื่อเรา "ตั้งใจใช้โทษบาป เพื่อถอนรากถอนโคนกิเลสของเรา"เราจะเห็น บาปของเราชัดขึ้น เห็นวัตถุที่อาจนำไปเราสู่บาป เช่น เหล้า,เงิน(สัตว์ป่า) ชัดขึ้น และที่สำคัญเราจะหวนระลึกถึงพระเป็นเจ้าเราบ่อยขึ้น(จากความลำบากนั้น) นำไปสู่ "การเป็นทุกข์ถึงบาป"และความทุกข์นี้เรียกร้องให้เรา"แก้บาป"เพื่อสัญญากับพระเป็นเจ้าว่า เราจะพยายามไม่ดื้อกระด้างอีก ในขั้นตอนนี้ เราย่อมอยู่ในศีลในพรของพระเป็นเจ้า ได้แก่ การอวยพรของพระเป็นเจ้าอาศัยทูตสวรรค์นำสารนั้นเอง

.........................ในบทอ่านที่สอง ได้มีการอธิบายให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงเรื่องของ"น้ำ"และ"จิต" โดยได้เตือนใจเราให้ระลึกถึง "น้ำล้างบาป"ของเราเอง นักบุญเปโตรชี้ให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงใช้ดวงจิตของพระองค์ประกาศข่าวดีแก่บรรดาจิตของเรา จิตที่ถูกคุมขัง บาปทั้งหลายมันล่ามเราไว้ และบาปนี้พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงรับทราบในพระทัยแล้วว่า มนุษย์นั้นมีบาปเสมอๆ (จึงย้อนกลับมาว่า ทำไมถึงต้องส่งพระเอกบุตรลงมา ทำให้ตอบได้ว่า พระเป็นเจ้าทรงรักเรามาก จนถึงกับประทานพระบุตรลงมา) บาปทั้งหลายของมนุษย์ที่ได้กระทำต่อพระเป็นเจ้าผู้ทรงเพียรทน มีตัวอย่างเรื่อยมา ดังเราจะเห็นได้จากหนังสือปฐมกาล เรื่อยลงมา แม้กระนั้นพระองค์ก็ได้ประทาน "สัญญาอันเป็นเครื่องหมายแห่งความผูกพันระหว่างมนุษยชาติกับพระองค์"(เรียก พันธสัญญา)เสมอ บทอ่านที่ 1 เป็นตัวอย่างของพันธสัญญาแห่งความรักและกรุณา ที่จะละเว้นมนุษย์ที่กระทำบาปทั้งที่พระฤทธานุภาพอันยิ่งของพระองค์อำนวย แต่ก็ทรงอดไว้ (และมนุษย์ก็ไม่ได้สำนึกแม้มนุษย์จะเรียนรู้ เรื่องราวนี้ในหนังสือปฐมกาลแล้วก็ตาม จวบจนถึงปัจจุบัน!!!)


การเรียกร้องที่นำไปสู่การปฏิบัติ

.........................ก่อนที่จะ ทำกิจศรัทธาที่มากขึ้นในเทศกาลมหาพรต เช่น อดอาหารเพิ่มเติม,เดินรูป 14 ภาค,สวดสายประคำ ผมเรียกร้องให้ทุกคนใส่ใจกับ"พิธีบูชาขอบพระคุณ"(มิสซา)ให้มากขึ้นและเต็มเปี่ยมเสียก่อน ดังนี้คือ

P:ให้เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป เพื่อจะได้ร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างสมควร
(1)Confiteor:การสารภาพบาป
*จงตั้งใจ สารภาพบาป กล่าวคือนอกจากสารภาพต่อพระเจ้าแล้ว และต้องต่อพี่น้องด้วย(อย่าลืม!)
เราทำบาปด้วยกายอะไรบ้างรำลึก เราทำบาปด้วยใจอะไรบ้างรำลึก เราละเลยอะไรบ้างรำลึก ซึ่งการละเลยนี้ไม่เพียงแต่การละเลยการสวดภาวนาและมาเฝ้าพระองค์เท่านั้น การละเลยยังรวมไปถึง การละเลยการปฏิบัติต่อพี่น้องด้วยความรัก สุภาพ ถ่อมตน อ่อนโยน เหตุฉะนี้ จึงไม่มีใครดีบริบูรณ์(เว้นแต่พระเยซูเจ้า) เราจึงข้อนอกยอมรับ(ต่อหน้าพระบิดา ณ สวรรค์:ที่ประทับในมโนธรรมด้วย และพี่น้อง)ว่า"เรานี้เป็นคนบาป"

(2)Credo:ข้าพเจ้าเชื่อ
*บทภาวนาลักษณะโต้ตอบระหว่างสัตบุรุษกับพระสงฆ์นี้ ทำให้เรามีเวลาพอจะคิดว่า อะไรเป็นอะไร
เช่น
I.
ก่อ  ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว
รับ  พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ เนรมิตฟ้าดิน ทั้งสิ่งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้
นั่นคืออะไร พระสงฆ์บอกว่าท่านและเราเชื่อในพระเจ้า ผู้เป็นเอกะ อันเรายอม"รับ"ว่า ทรงอานุภาพ ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน แม้กระทั่งสิ่งที่เรามองเห็นและไม่อาจมองเห็น ขอให้เราระลึก!
II.
ก่อ  อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้รับการเนรมิตขึ้นมา
รับ  เพราะเห็นแก่เรามนุษย์ เพื่อทรงช่วยเราให้รอด พระองค์จึงเสด็จจากสวรรค์
นั่นคืออะไร ทรงเนรมิตอะไร ทรงเนรมิตสรรพสิ่งด้วยพระอานุภาพหนึ่งเดียวกับพระบิดาเจ้า (และพระจิตเจ้า) ที่สำคัญที่สุด เพราะรัก และประสงค์จะให้เราทั้งหลายได้รอด ถึงกับเสด็จจากสวรรค์
*ขอให้ตั้งใจ ยกจิตเราให้บทข้าพเจ้าเชื่อให้ดี อย่าสักเพียงแต่ว่ากล่าวไปตามความเคยชิน

(3)Pater Noster:บทข้าแต่พระบิดา
*พระสงฆ์หลายท่าน ได้ทำบทความมากมายว่า "อย่าสวดเหมือนเครื่องจักรผลิตคำภาวนา" จงสวดด้วยใจ อันบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้ ถูกวางไว้หลังจากเราเชื่ออย่างสมบูรณ์(ข้าพเจ้าเชื่อ) หลังจากเรากับพระสงฆ์วอนขอพระเจ้าในเรื่องต่างๆ และท้ายที่สุด ประกาศพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ เราจะเห็นได้ว่า จะเห็นพระสงฆ์เชิญชวนให้เราสวดเป็นต้นว่า "พระเป็นเจ้าทรงรักเรามาก ถึงกับให้เราเรียกพระองค์ว่าบิดา เราจึงภาวนาด้วยความมั่นใจว่าดังนี้"ขอให้เรา อย่านึกว่าเป็นขั้นเป็นตอนอะไร แต่จงระลึกไว้ด้วยความมั่นใจ และสวดบทภาวนาที่สรุปรวมพระวรสารเอาไว้เถิด!


(4)Ritus Pacis:ให้เรามอบสันติสุขของพระคริสตเจ้าแก่กันและกัน
*เขายิ้มมาเราก็ยิ้มตอบ เขาไม่ยิ้มมาเราก็ภาวนาให้เขา(ยิ้มให้เราสักวัน)
ขอให้เราใช้เจตนาดีของเรา มอบสันติสุขของพระคริสตเจ้า(จะมอบได้ แปลว่า พระคริสตเจ้าต้องทรงประทับอยู่ในใจเราชั้นหนึ่งเสียก่อน ในมโนธรรมนั่นแหละ)สันติสุขของพระคริสตเจ้า คือ ความรัก ความปรารถนาดี ไม่จำเป็นต้องแสดงออกก็ได้ขอให้ใจปรารถนาดี เดี๋ยวบรรยากาศบริเวณนั้นก็ สันติ(Pacis) เอง

ตัวอย่างอื่นๆผมแนะนำให้อ่าน:เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น
มีอะไรใน"พิธีบูชาขอบพระคุณ(มิสซา)"
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 88#p112488
มีอะไรใน"เทศกาลปัสกา:เจ็ดอาทิตย์พระจิตเสด็จมา" (เทศกาลปัสกา)
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 79#p117279
มีอะไรใน"สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์(Hebdomada Sancta)(เทศกาลมหาพรต)
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... 26#p115926

เชิญนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ได้ที่วัดใกล้บ้านของท่าน:มอบตัวเราในความอารักขาอันทรงอำนาจของพระนาง
Dis volentibus

ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 11:25 pm

Man of Macedonia เขียน: (3)Pater Noster:บทข้าแต่พระบิดา
*พระสงฆ์หลายท่าน ได้ทำบทความมากมายว่า "อย่าสวดเหมือนเครื่องจักรผลิตคำภาวนา" จงสวดด้วยใจ อันบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้ ถูกวางไว้หลังจากเราเชื่ออย่างสมบูรณ์(ข้าพเจ้าเชื่อ) หลังจากเรากับพระสงฆ์วอนขอพระเจ้าในเรื่องต่างๆ และท้ายที่สุด ประกาศพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ เราจะเห็นได้ว่า จะเห็นพระสงฆ์เชิญชวนให้เราสวดเป็นต้นว่า "พระเป็นเจ้าทรงรักเรามาก ถึงกับให้เราเรียกพระองค์ว่าบิดา เราจึงภาวนาด้วยความมั่นใจว่าดังนี้"ขอให้เรา อย่านึกว่าเป็นขั้นเป็นตอนอะไร แต่จงระลึกไว้ด้วยความมั่นใจ และสวดบทภาวนาที่สรุปรวมพระวรสารเอาไว้เถิด!
ชอบ  : emo027 :

ป.ล. ขอบคุณค่ะ
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 11:27 pm

†Ecclēsia เขียน:
Man of Macedonia เขียน: (3)Pater Noster:บทข้าแต่พระบิดา
*พระสงฆ์หลายท่าน ได้ทำบทความมากมายว่า "อย่าสวดเหมือนเครื่องจักรผลิตคำภาวนา" จงสวดด้วยใจ อันบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้ ถูกวางไว้หลังจากเราเชื่ออย่างสมบูรณ์(ข้าพเจ้าเชื่อ) หลังจากเรากับพระสงฆ์วอนขอพระเจ้าในเรื่องต่างๆ และท้ายที่สุด ประกาศพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ เราจะเห็นได้ว่า จะเห็นพระสงฆ์เชิญชวนให้เราสวดเป็นต้นว่า "พระเป็นเจ้าทรงรักเรามาก ถึงกับให้เราเรียกพระองค์ว่าบิดา เราจึงภาวนาด้วยความมั่นใจว่าดังนี้"ขอให้เรา อย่านึกว่าเป็นขั้นเป็นตอนอะไร แต่จงระลึกไว้ด้วยความมั่นใจ และสวดบทภาวนาที่สรุปรวมพระวรสารเอาไว้เถิด!
ชอบ  : emo027 :

ป.ล. ขอบคุณค่ะ
เหอๆคุณพ่อบางท่านเปรยมา ต้องเอามาขยาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

เสาร์ ก.พ. 28, 2009 9:22 pm

สุดยอดเลยคร๊าบ...น้องชาย..กำลังตามหาอ่านอยู่พอดี.. :wink:
พระส่งมาให้..ดีจัง ขอบคุณนะ รออ่านอยู่... ::001::
ดีใจไม่ได้เจอกันเสียนาน ซำบายดีบ่?
คิดถึงเสมอในคำภาวนานะ พี่สวดภาวนาขอให้น้องมีสุขภาพดีเสมอๆ..เลยแหละ  : emo038 :
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

เสาร์ ก.พ. 28, 2009 10:26 pm

ignatius เขียน: สุดยอดเลยคร๊าบ...น้องชาย..กำลังตามหาอ่านอยู่พอดี.. :wink:
พระส่งมาให้..ดีจัง ขอบคุณนะ รออ่านอยู่... ::001::
ดีใจไม่ได้เจอกันเสียนาน ซำบายดีบ่?
คิดถึงเสมอในคำภาวนานะ พี่สวดภาวนาขอให้น้องมีสุขภาพดีเสมอๆ..เลยแหละ  : emo038 :
สบายดีครับ(สุขภาพก็ตามความแปรปรวนของอากาศ)
ยังไม่ได้คืนหนังสือที่ยืมมาเลย
เป็นไงเรียน Latin ไปถึงไหนแล้ว

มีอีกเรื่องที่ฝากกันมาเน้นอีกรอบ (หลังจากเน้นกันไปในสารวัด คราวนี้มาเน้นในสารอัครมณฑลฯ)วันนี้ จากมือพระสงฆ์ ผู้ทำหน้าที่ของพระเยซู ได้มอบศีลมหาสนิทให้กับเรา ซึ่งตอบรับด้วยเสียงที่ชัดเจนว่า"อาแมน"
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

จันทร์ มี.ค. 02, 2009 2:13 pm

ขอบคุณมากค่ะ ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 7:43 pm

Man of Macedonia เขียน:
ignatius เขียน: สุดยอดเลยคร๊าบ...น้องชาย..กำลังตามหาอ่านอยู่พอดี.. :wink:
พระส่งมาให้..ดีจัง ขอบคุณนะ รออ่านอยู่... ::001::
ดีใจไม่ได้เจอกันเสียนาน ซำบายดีบ่?
คิดถึงเสมอในคำภาวนานะ พี่สวดภาวนาขอให้น้องมีสุขภาพดีเสมอๆ..เลยแหละ  : emo038 :
สบายดีครับ(สุขภาพก็ตามความแปรปรวนของอากาศ)
ยังไม่ได้คืนหนังสือที่ยืมมาเลย
เป็นไงเรียน Latin ไปถึงไหนแล้ว

มีอีกเรื่องที่ฝากกันมาเน้นอีกรอบ (หลังจากเน้นกันไปในสารวัด คราวนี้มาเน้นในสารอัครมณฑลฯ)วันนี้ จากมือพระสงฆ์ ผู้ทำหน้าที่ของพระเยซู ได้มอบศีลมหาสนิทให้กับเรา ซึ่งตอบรับด้วยเสียงที่ชัดเจนว่า"อาแมน"
เรื่องหนังสือ ไม่เป็นไรคร๊าบ..ตอนนี้พี่ยังมีหนังสืออ่านง่วนอยู่อีกหลายเล่ม
ส่วน latin ยังไม่ได้เริ่มเลย... : emo031 :


อาแมน  :angel:
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 8:26 pm

อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี B

บทอ่านที่ 1: บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล(ปฐมกาล 22:1-16)
(1-2,9,10-13,15-16)

.........................ในครั้งนั้น,พระเป็นเจ้าทรงลองใจอับราฮัม พระองค์ทรงเรียก "อับราฮัม อับราฮัม" อับราฮัมทูลตอบว่า"ข้าพเจ้าอยู่นี่ พระเจ้าข้า" พระองค์ตรัสว่า "จงพาลูกของเจ้า คืออัสอัค ลูกคนเดียวของเจ้าที่เจ้ารัก ไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกเจ้า"

.........................เมื่อทั้งสองมาถึงสถานที่ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงชี้บอกแล้ว อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วจึงยื่นมือคว้ามีดจะฆ่าลูกของตน แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรียกเขาจากฟากฟ้าว่า"อับราฮัม อับราฮัม"อับราฮัมตอบว่า"ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่" ทูตสวรรค์กล่าวต่อไปว่า "จงยั้งมืออย่าทำร้ายเด็กนั้น อย่าทำอันตรายเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเป็นเจ้า เจ้ามิได้หวงลูกชายคนเดียวของเจ้า แต่ได้ถวายลูกชายคนเดียวของเจ้าให้เรา" อับราฮัมมองดูรอบๆเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่กับพุ่มไม้ จึงไปจับมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย

.........................ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองจากฟากฟ้าว่า"เราปฏิญาณในนามของเราว่า เพราะเจ้าได้กระทำอย่างนี้ เจ้ามิได้หวงลูกชายคนเดียวของเจ้าไว้ เราจะให้พรเจ้า เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าทวีจำนวนมากขึ้นดุจดวงดาวในท้องฟ้า และดุจเม็ดทรายบนฝั่งทะเล ลูกหลานของเจ้าจะได้ประตูเมืองของศัตรูของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ชนชาติทั้งหลายบนแผ่นดิน จะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของเจ้า เหตุว่าเจ้าได้เชื่อฟังเสียงของเรา"

การอธิบายแบ่งปัน

(1)พระเป็นเจ้าทรงลองใจ!!!
.........................ในเทศกาลมหาพรตนี้ ผมกล้าพูดว่า"พระเป็นเจ้าทรงลองใจเราทุกคน" ด้วยวิธีการต่างๆ พระศาสนจักรยกเอาท่านอับราฮัมเป็นแบบอย่าง เราสามารถศึกษาจากท่านได้ว่าท่านผ่านช่วงเวลาแห่งความทรมานใจนี้ไปได้อย่างไร?คำตอบ สำหรับคำถามนี้คือ "ความเชื่อ" บทอ่านนี้เตือนใจให้เรา "ยินดีทำตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า" เพราะในท้ายที่สุดของเหตุการณ์อันยุ่งยากเหล่านั้น จะมีแต่ความบรรเทาใจ และ ความรักมั่นคงของพระบิดา
*โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ประวัติศาสตร์แห่งความรอดที่พระบิดาเจ้าทรงวางแผนไว้ ได้ประทานองค์พระเอกบุตรแต่องค์เดียวแก่เรา เพื่อให้เรายึดมั่นเป็นแบบอย่างจากสวรรค์ เกี่ยวกับ "การยินดีทำตามน้ำพระทัย" ในช่วงเวลาแห่งความทรมานใจของมนุษยชาติ เราจะพบเสมอๆว่า พระเป็นเจ้าโดยพระเยซูคริสตเจ้าทรงปรากฎพระองค์เพื่อมาบรรเทาใจแก่พวกเราเสมอ เช่น การประจักษ์ของนักบุญซิสเตอร์โฟสตีนา:สายประคำพระเมตตา การบรรเทาใจนี้ ยังรวมไปถึง พระมารดามารย์แม่ของมนุษยชาติและนักบุญทั้งหลายด้วย

(2)พร้อมรับใช้ด้วยการตอบรับพระสุรเสียง!!!
.........................การตอบรับพระสุรเสียงของพระเป็นเจ้านี้ เป็นไปได้หลายแบบและมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ประสบการณ์ทางชีวิตจิต(Spiritual Experience)ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน  ในที่นี้จะกล่าวในกรณีพื้นฐานที่สุด คือ พระสุรเสียง(Vox Dei)ในมโนธรรมของเราแต่ละคน ให้ทำความดีและหลีกหนีความไม่ดี(พยศชั่ว) มหาพรตนี้เรียกร้องให้เรารับใช้ด้วยการกระทำดี เมื่อเรากระทำดี เท่ากับ การตอบรับพระสุรเสียงของพระเป็นเจ้า บ่อยครั้ง,เราเมินเฉย ละเลยต่อพระสุรเสียงนั้นในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น เราอดอาหาร ทำกิจศรัทธาโดยมุ่งหวังแต่เมืองสวรรค์มากเกินไป(จนลืม ว่าเราทำเพราะรัก ไม่ใช่ทำเพราะคาดหวังผลตอบแทน) เราลืมไปว่า เรายังมีหน้าที่ต่อเพื่อนพี่น้องด้วยกัน คือ การนำเขาไปสู่ความเงียบสงบทางจิตวิญญาณในเขาได้ยินพระสุรเสียงพระองค์เหมือนเรา และด้วย"ความรัก"จะทำให้กิจการทั้งหลายสำเร็จไป อาศัย การฟังพระสุรเสียงที่แจ่มชัด ซึ่ง Lectio Divina ช่วยทำให้พระสุรเสียงของพระองค์ชัดเจนขึ้นได้

(3)พยายามอย่ามีเงื่อนไขข้อต่อรองกับพระเป็นเจ้า!!!
.........................ข้อนี้ ยากที่สุด ผู้เขียนต้องยอมรับว่า ผู้เขียนมีฤทธิ์กุศลวางใจที่พร่องอยู่ มักมีเงื่อนไขกับพระองค์เสมอๆ(แต่พระองค์ก็ทรงเมตตา สดับฟัง และต่อรองกลับมา 55+) การทำตามน้ำพระทัยนั้นเป็นเรื่องยากมาก เราอาจตั้งใจว่าจะอุทิศแก่พระองค์อย่างไร้เงื่อนไข เช่น พระเจ้าทรงลองใจให้อับราฮัมฆ่าลูกชายที่รักเพื่อพระองค์ ถ้ามันไม่เกิดขึ้นกับเราเอง เราก็อาจคิดว่ามันง่าย ใครๆก็พูดได้"ทำตามน้ำพระทัย" แท้จริงไม่ง่าย เคยมีพี่น้องคนหนึ่งมาระบายว่า"ผมอุทิศให้พระองค์ขนาดนี้แล้วทำไมพระองค์ถึงทรงพระทัยร้ายขนาดนี้"ด้วยความบกพร่องผมมองว่าพระองค์พระทัยร้ายพอสมควรเลยในกรณีนั้น เพราะพี่น้องคนนั้น ก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่งไม่น่าประสบเหตุเช่นนั้น(พาลให้นึกถึงเรื่องโยบ) แต่ผมบรรเทาใจ พี่น้องคนนั้นไปว่า พระองค์ทรงลองใจเรา "ยินดีทำตามน้ำพระทัยหรือเปล่า" ผมถามเขาต่อว่า "แล้วยังรักพระมั้ย" เขาตอบว่า "รักและภาวนาเสมอแต่ขอเวลาสักพัก" นี่ล่ะครับ ช่วงมหาพรต เวลาแห่งการกลับคืนดีกลับพระเป็นเจ้า โอกาสนี้ล่ะ ที่เราจะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ยอมให้พระองค์ลองใจ นึกถึงเรื่องโยบไว้ก็ดี
*สิ่งที่จะช่วยเราให้ผ่านพ้นความยุ่งยากนี้ไปได้ คือ คำภาวนาของเพื่อนพี่น้อง การบรรเทาใจของพระสงฆ์ นพวารและศีลมหาสนิท สำคัญว่า อย่าโกหกมโนธรรมของตัวเอง เราต้องทำตามน้ำพระทัยอย่างที่เราหมายความจริงๆ เมื่อเรามุ่งดังนั้นจริงๆพระเจ้ามักส่งอะไรมาลองใจเราจริงๆเหมือนกัน ต้องมีความรักและอดทน

(4)พระพรแด่ผู้เชื่อฟัง!!!
.........................แง่มุมนี้ ผมคิดว่าในบอร์ดมีกล่าวมาพอสมควรแล้วว่า ผู้ที่ฟังแล้วจะได้พระพรอย่างไร ผมขอแบ่งปันอีกแง่ อย่างง่ายๆว่า บอส(พระเจ้า)สั่ง เรา(พนักงานบริษัท) ทำงานตามคำสั่งนั้น หากไม่มีเหตุให้สะดุด "การทำงานต่อเนื่อง"จะเริ่มต้นขึ้น และผลของงานที่ถูกกระทำอย่างต่อเนื่องนั้นเอง คือ พระพร โดยส่วนตัวผมคิดว่าพระพรนี้ช่างประเสริฐ ยกตัวอย่าง พระสงฆ์ที่มีหลายคณะ และหลายจิตตารมณ์ เช่น คณะเยซูอิต(SJ) หรือ คณะมหาไถ่(C.Ss.R) หรือพระสงฆ์พื้นเมือง ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตอบรับพระกระแสเรียกที่ทรงตรัสเรียก ความนบนอบจากศีลบวชเรียกร้องให้เชื่อฟังด้วยรัก และทำงานทั้งหลายให้งอกงามแก่ชนทุกชนชั้น เช่น เยซูอิตตอบสนองอย่างล้ำลึกแก่ปัญญาชน หรือ มหาไถ่ตอยสนองอย่างล้ำลึกแก่คนทุกชนชั้น ทุกแบบ(กล่าวแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เยซูอิตตอบสนองเฉพาะปัญญาชน เป็นตัวอย่างเด่นๆเท่านั้น) นั่นล่ะ"พระพร" ที่สุดท้ายจะขมวดรวมมนุษยชาติ ให้ได้รับความรอดพ้นทั้งหมด อาศัยความรักของพระเป็นเจ้า

(มีต่อ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 9:07 pm

บทอ่านที่ 2: บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม(โรม 8:31-34)

"บทเพลงสรรเสริญความรักของพระเป็นเจ้า"

.........................พี่น้อง ถ้าพระเป็นเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะอาจขัดขวางเราได้? พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์เอง แต่ทรงมอบบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เราทุกคน แล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราพร้อมกับองค์พระบุตรละหรือ?ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้?เมื่อพระองค์ทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะปรับโทษอีกเล่า?พระเยซูคริสตเจ้าน่ะหรือ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นยังได้ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเป็นเจ้าเพื่ออ้อนวอนแทนเราด้วย

การอธิบายแบ่งปัน

(1)พระเจ้าสถิตกับท่าน!!!!
.........................เราได้ยินคำกล่าวนี้เสมอๆในพิธีบูชาขอบพระคุณ เราลองใช้ประสาทสัมผัสที่ละเอียดคือ"ใจ"สัมผัสดูสิว่า เราได้เชื่อมต่อและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ร่วมกับพระสงฆ์ในพิธีบูชาขอบพระคุณหรือเปล่า? พระพลานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ฉายรังสีแห่งความจริงและความรอด มาลบคราบเปื้อนในจิตใจเราที่ยังบกพร่องอยู่บ้างหรือเปล่า?(อาศัยการเปิดใจแท้จริง และ ยอมรับน้ำพระทัย เพราะมิสซาคือโอกาสเข้าเฝ้าพระเป็นเจ้า ไม่ว่าเราทุกข์ยากแค่ไหน ไปเฝ้าพระองค์ ถวายรายงานให้ทรงทราบ)หรือหลายท่านใช้คำว่า"พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา"ในลักษณะว่า พระองค์,พระเยซูเจ้า(ซึ่งร่วมพระธรรมชาติกับพระบิดาเจ้า)ทรงบรรเทาใจเรา อยู่เคียงข้างเรา นั่นก็ถูกต้อง อย่างไรก็ดีคำพูดต่อไปสำคัญ"ใครจะอาจขัดขวางเราได้"คำนี้ ระวัง!!!อย่าให้ความบกพร่องฝ่ายมนุษย์ของเรา ทำให้เกิดความหลงผิด ถือแบ่งแยก ฝ่ายเขา ฝ่ายเรา แบ่งฝักแบ่งฝ่าย(นั่นเข้าทางพยศชั่ว) "พระเจ้าอยู่กับเรา และไม่มีขัดขวางเราได้" เพราะ เราคือเครื่องมือที่พระองค์ทรงใช้ ทรงใช้ไปทำไม?ใช้ไปนำสันติ ความรัก แก่มนุษยชาติ อย่าลืม พระเยซูเจ้าทรงลงมาประสูติเพื่อผู้ที่ต่ำต้อย คนนอกสังคม คนชายขอบ คนที่ถูกทอดทิ้งและถูกลืม คนบาป นั่นคือสิ่งที่"มาร"ขัดขวางเราไม่ได้ เพราะพระองค์อยู่กับเรา อาศัยพระจิตเจ้า "เราแจกจ่ายคำภาวนาอย่างไม่มีประมาณให้พวกเขา ให้เรามอบสันติสุขของพระคริสตเจ้าแก่กันและกัน"โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่มีโอกาสได้รับสันติสุขจากองค์พระคริสตเจ้า เช่น ขอทาน วณิพก คนบ้า ตามท้องถนนระลึกถึงเขาเหล่านั้นบ้างเถิด

"เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว ความกลัวมาจากการขาดความเชื่อ"(บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23)

(2)พระบุตรสำหรับมนุษย์ทุกคน!!!!
.........................ไม่ใช่พระบุตรสำหรับคริสตชน เคยมีคุณพ่อท่านหนึ่งเทศน์ว่า "อย่าทำตัวเหมือนชาวยิว กอดพระเจ้าแล้วเน่าตายไป" พระบิดาเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกๆคน ไม่ว่าจะหยาบช้า คิดไม่ได้ หรือกระทั่งเป็นท่อธารแห่งมหาบาป ก็ทรงรัก แต่เป็นเขาเองต่างหากปฏิเสธความรักของพระองค์ จากการปฏิเสธนั้นไม่ได้หมายความว่า ลึกๆแล้วเขาไม่ต้องการความรักของพระองค์ จริงๆแล้ว "ความรัก" เป็นสิ่งที่จารึกในจิตใจมนุษย์ในท้องพระโรงของพระเป็นเจ้าในมโนธรรม ปัจจุบัน มนุษย์เริ่มรู้สึกว่า พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเจ้าสำหรับเราทุกคน บางคนถือว่าไม่มีพระองค์เอาเสียเลย เป็นความชื่นชมยินดีที่มีพี่น้องคริสตชนใหม่ที่ตอบรับพระกระแสเรียกของพระองค์ให้มารับใช้ในฐานะคริสตชน แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่มุ่งโจมตีเรา เกลียดชัง ปฏิเสธพระเจ้าของเรา คริสตชนเราจะทอดทิ้งเขาให้ปฏิเสธพระองค์เสมอไป นับวันคนเหล่านี้ ยิ่งทียิ่งมากขึ้น ทั้งเขาและเรารู้สึกเหมือนน้ำกับน้ำมัน ตัวเราทุกคนรวมทั้งตัวเขาก็รู้สึกถึงความแบ่งแยกนี้ พระองค์ไม่ประสงค์การแบ่งแยก(แต่ประเภท จับเอาศาสนามารวมกันดื้อๆดังที่นิยมกัน เป็นวิธีที่ไม่ถูกเช่นกัน) คริสตชนเราจึงต้องมีวิธีแสดงออกที่เหมาะสมเพราะพระบุตรของเรา ก็เป็นพระบุตรของเขาไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ อย่างที่บอก เมื่อเรายินดีทำตามน้ำพระทัย และเงียบฟังพระสุรเสียง(เช่น อาจเข้าเงียบ) เดี๋ยวพระเจ้าจะทรงตรัสกับเรา ให้เราทำงานรับใช้ บนพื้นฐานความเป็นเครื่องมือนำสันติ และ ความรัก อย่า!!!ให้ความรู้สึกแบ่งแยกลึกๆในใจของเรามาหน่วงทำให้เป็นเครื่องมือที่ไม่ค่อยดีของพระองค์(อย่างไรก็ตาม,เราทุกคนก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีทั้งนั้น สันตะบิดรของเรายังยอมรับความจริงข้อนี้ และทรงบอกต่อว่า"ต้องทำงานต่อไป"เพื่อมนุษย์ทุกคน ไม่เฉพาะแต่คาทอลิก)

(3)พระบุตรผู้ทรงอ้อนวอนแทนเรา!!!!
.........................ในบทอ่านให้เรารำลึกอย่างล้ำลึก 2 เวลา คือ (1)เมื่อยืนยันความเชื่อ(Credo)และ(2)เมื่อประกาศพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อในมิสซา"พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์ พระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง" จากนั้น นักบุญเปาโลบอกเราให้รู้ว่า พระบุตรเจ้าทรงอ้อนวอนแทนเราด้วย ข้อนี้เชื่อมโยงกับ การที่เรามีประสบการณ์ทางชีวิตจิตกับพระองค์ในบทอ่านแรก และพื้นฐานที่สุดในพระสุรเสียงของพระองค์ในมโนธรรม เราสื่อสารกับพระองค์ได้ตลอดเวลา หลายคนอาจนึกถึงพระแม่ที่เป็นผู้ทรงอ้อนวอนแทนเรา(แน่นอน,ผมก็เอนไปทางท่าน) แต่เราต้องไม่ลืมต้นแบบการภาวนาคือองค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้สถิตกับเราในความรักและสันติสุข อาศัยพระบุตรนี้ทุกสิ่งสำเร็จไป ซึ่ง"บทข้าแต่พระบิดา(Pater Noster)"เป็นต้นแบบจากองค์พระเยซูเจ้าอ่าน หาอ่านได้มากในบทความเสริมศรัทธาของบอร์ดนี้


(มีต่อ)
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 10:08 pm

บทอ่านที่ 3: บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก(มาระโก 9:2-10)

.........................เวลานั้น,พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ กับยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา ฉลองพระองค์กลับมีประกายวาววับขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวเช่นนั้นได้ แล้วท่านเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฎมาให้เห็น กำลังสนทนากับพระเยซูเจ้าอยู่ เปโตร จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า "พระอาจารย์เจ้า วิเศษจริง ที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ให้พวกเราทำกระโจมขึ้นสามกระโจมเถิด กระโจมหนึ่งในพระองค์อยู่ กระโจมหนึ่งให้โมเสส และอีกกระโจมหนึ่งให้เอลียาห์"

.........................เปโตรกับศิษย์ที่มาด้วยต่างหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ถูก ครั้นแล้วมีเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบังพวกเขาไว้ มีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด" พวกศิษย์รีบเหลียวไปดูรอบๆตัว แต่ก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูเจ้าประทับอยู่กับพวกเขาเหล่านั้น ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาว่า "อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจนกว่า บุตรแห่งมนุษย์จะกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็เก็บงำเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใคร แต่ก็ยังอดหารือกันในหมู่เขาเองไม่ได้ว่า "จนกว่าจะกลับขึ้นเป็นมาจากความตาย"นี้หมายความว่าอย่างไร

การอธิบายแบ่งปัน

(1)ปรากฎแบบมนุษย์ธรรมดาไม่ยำเกรง ต้องแสดงพระฤทธานุภาพ!!!!

.........................หลายครั้งที่พระคัมภีร์เสนอแง่มุมเกี่ยวกับพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าไว้อย่างน่าสนใจ เป็นต้นว่า น้ำวินาศ,สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบ,ภัยพิบัติ 10 ประการ แง่มุมเหล่านี้ทำให้มีผู้เข้าใจผิดคิดว่า พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าผู้ทรงลงโทษ ทำโทษ มีพระทัยร้าย ซึ่งองค์พระบิดาเจ้าเรา จริงๆแล้วเป็นพระบิดาผู้มีพระทัยเพียรทน(บทอ่านก่อนวันพุธรับเถ้า) ทรงโกรธเราเพียงชั่วประเดี๋ยวเพื่อดัดนิสัยเรา(เพราะรัก) และทรงแสดงความรักมั่นคงต่อเรา ทุกชั่วอายุคน แต่แล้ว เรามนุษย์ก็ชอบเหลือเกินที่จะให้พระองค์สำแดงพระฤทธานุภาพ ดูได้จากบทสดุดี(Psalmus) ชาวยิวคร่ำครวญมากมายให้พระยาห์เวห์ทรงสำแดงฤทธานุภาพ เหมือนบุตรที่อ้อนบิดาให้ออกหน้ากำราบศัตรู ครั้นมาสมัยที่พระเอกบุตรลงมาประสูติ ขนาดมีนักบุญยอห์น ลงมาเตรียมหนทาง ชาวยิวหลายคนก็ไม่วาย ประทุษร้าย พระเยซูเจ้าผู้ทรงประสูติมาเคียงข้างผู้ไม่มีอำนาจ เพราะอะไร?เพราะ"ผิดคาด" องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เขาหวังไว้ไม่ได้เสด็จมาพร้อมพระฤทธานุภาพเหลือล้น กลับทรงแสดงอัศจรรย์อาศัยแก่มนุษย์ผู้เชื่อ ทรงดำเนินชีวิตยากจน ถ่อมตน เป็นมิตรกับคนมีมลทิน คนบาป คนโสเภณี ทรงตั้งพระหฤทัยที่จะมอบสันติสุขอย่างเรียบง่ายแก่มนุษยชาติ
.........................หลายครั้ง เราต้องมาย้อนถามตัวเองว่า เราคิดซ้ำกับชาวยิวเหล่านั้นไหม?เรากระหายจะให้พระองค์สำแดงพระฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ เหนือธรรมชาติ เพราะมันช่างง่ายดาย และ ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากถวายพระเกียรติมงคล(ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะ "พระจัดให้"ก็ปรากฎขึ้นบ่อยๆ ตามพระทัยกรุณา แต่เราไม่ควรเรียกร้อง) เราคิดแต่เพียงว่าให้พระองค์ยื่นพระหัตถ์มาป้องจิตวิญญาณเรา อะไรก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ บางครั้งความคิดแบบนี้ ก็เหมือน"เอาง่ายเข้าว่า" เพราะพระองค์มักประทานเครื่องมือแก้ปัญหาให้เราแบบเรียบง่ายเสมอๆ เหมือนที่ส่งพระเอกบุตรมาอย่างเรียบง่าย ขอให้เราตั้งสติ เงียบฟัง มองรอบๆดีๆว่า พระองค์ประทานอะไรมาบรรเทาเราหนอ?

มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นที่เล่ากันทั่วไปว่า
.........................ครั้งหนึ่งเกิดฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่ ชาวบ้านกำลังอพยพหนีกันจ้าละหวั่น คุณพ่อท่านหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ ในวัดขณะที่น้ำกำลังเพิ่มระดับมาที่หน้าแข้ง ชาวบ้านมาถามว่า คุณพ่อไปกันเถิดเดี๋ยวผมบริการเองจะพาคุณพ่อหนี คุณพ่อตอบด้วยความมั่นใจว่า พ่อเชื่อว่าพระเจ้าต้องช่วยพ่อ พ่อภาวนาอยู่ จากนั้นน้ำเพิ่มระดับมาที่เอว ชาวบ้านพายเรือมาอีกครั้ง โน้มน้าวให้คุณพ่อไป ไปเถอะคุณพ่อ น้ำท่วมถึงเอวแล้ว คุณพ่อยังตอบเหมือนเดิม พ่อเชื่อว่าพระเจ้าต้องช่วยพ่อ พ่อภาวนาอยู่ หลักจากนั้น คุณพ่อท่านนี้ได้ตายไป เมื่อได้เข้าเฝ้าพระบิดา คุณพ่อทูลพระเจ้าว่า ทำไมปล่อยให้คุณพ่อตาย พระองค์ทรงตอบอย่างแยบคายว่า ช่วยตั้ง 2 ครั้งแล้วทำไมไม่ไป!!!! ข้อนี้ เตือนให้เรามองหาเครื่องหมายของพระเจ้าในพี่น้องของเรา บางครั้ง เรามัวแต่มองฟ้าสวรรค์แล้วเดินสะดุดขาตัวเอง ต้องระวังให้ดี

"มหาพรต ทำให้เราเห็นพระเยซูเจ้าในสภาวะมนุษย์ ทรงทุกข์ทนทรมานพระหฤทัยและพระวรกาย ด้วยสมัครพระทัย ข้อนี้ขอให้เราระลึกถึง สภาพมนุษย์ผู้หาบุญกุศลมิได้ของเรา เราจึงร้อนรนที่จะเสาะแสวงหาเครื่องหมายเรียบง่ายที่พระองค์ประทานมาให้อาศัยพระจิตเจ้า และกระทำตามน้ำพระทัยด้วยความรักและความอดทน"

Simplex Sigilvm Veri:ความเรียบง่ายเป็นเครื่องหมายของความจริง

(มีต่อ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 4:29 am

ติดตามอ่านอยู่นะ ดีมากๆเลย ชอบอ่านตรงที่ การอธิบายแบ่งปัน
นี่แหละ ชัดเจนดี แต่ก็ต้องใช้เวลาเงียบๆอ่านเหมือนกันนะ จึงจะซึ้ง ขอบคุณอีกที  ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 9:23 am

ดูจากการรำพึง  เหมือนเป็นคนที่ทำ Lectio Divina เป็นประจำนะคะ  ::001::

ไม่ใช่ Spiritual Exercises และก็ไม่ใช่แบบนักบุญอัลฟอนโซ 

ใช่รึเปล่าคะ  :rolleyes:
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 4:25 pm

Buddy เขียน: ดูจากการรำพึง  เหมือนเป็นคนที่ทำ Lectio Divina เป็นประจำนะคะ   ::001::

ไม่ใช่ Spiritual Exercises และก็ไม่ใช่แบบนักบุญอัลฟอนโซ 

ใช่รึเปล่าคะ   :rolleyes:
ครับ,
เป็นเจตนาของผมเองครับ ที่จะทำให้เป็นแบบนั้นครับ
เพราะ หลายคนน่าจะเคยอ่านแบบนั้นกันมาแล้ว

ปล.ผมอ่านจบแล้วนะครับหนังสือ แต่ยังไม่ส่งให้พ่อบัญชา หรอก ขอ วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัยก่อน
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 4:26 pm

Buddy เขียน: ดูจากการรำพึง  เหมือนเป็นคนที่ทำ Lectio Divina เป็นประจำนะคะ   ::001::

ไม่ใช่ Spiritual Exercises และก็ไม่ใช่แบบนักบุญอัลฟอนโซ 

ใช่รึเปล่าคะ   :rolleyes:
ถ้าว่าง คุณ Buddy ก็ทำ กระทู้แบบ Lectio Divina เลยครับ ผมรออ่าน จองคิวคนแรกเลย
:angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel:
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ มี.ค. 06, 2009 9:39 pm

Man of Macedonia เขียน:
Buddy เขียน: ดูจากการรำพึง  เหมือนเป็นคนที่ทำ Lectio Divina เป็นประจำนะคะ   ::001::

ไม่ใช่ Spiritual Exercises และก็ไม่ใช่แบบนักบุญอัลฟอนโซ 

ใช่รึเปล่าคะ   :rolleyes:
ถ้าว่าง คุณ Buddy ก็ทำ กระทู้แบบ Lectio Divina เลยครับ ผมรออ่าน จองคิวคนแรกเลย
:angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel:
ไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่งค่ะ Lectio Divina เนี่ย  ขออภัยด้วยนะคะ  ::001:: เคยได้ไปเรียนรู้มาจากพระคุณเจ้าประธานนะคะ  แต่ไม่ค่อยถูกกับตัวเองเท่าไหร่  จะชอบ Spiritual Exercises มากกว่าค่ะ ... เพราะตัวเองจะเป็นคนที่มีพวกอารมณ์ ความรู้สึก เยอะ พอทำ Lectio Divina แล้วมันขาดมิติตรงนี้ไปน่ะค่ะ  เลยคิดว่า ไม่เหมาะกับตัวเอง  ::001::

ส่วนตัวนะคะคิดว่า  คนที่จะเหมาะและควรต้องทำ Lectio Divina เพื่อพัฒนาชีวิตจิต  คือคนอ่านหนังสือมากๆ  ::001:: ฤาษีเบเนดิกต์เวลาอ่านหนังสือไม่ว่าอะไรก็ตาม  ก็อ่านแบบ Lectio Divina อย่างคนที่เขียน Lectio Divina (ที่พระคุณเจ้าเอามาเรียบเรียง) ก็เป็นคนรอบรู้  ::001:: ...  และอีกอย่างนะคะ  รู้สึกว่า Lectio Divina เป็นอะไรที่เหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ไม่รู้เหมือนกันว่า  มีนักบวชหญิงคณะไหนเอา Lectio Divina มาเป็นหลักบ้าง) ในเรื่องธรรมชาติมนุษย์นะคะ  โดยเฉพาะผู้ชายแข็งๆ ใช้เหตุผลน่ะค่ะ  นักบุญอิกญาซิโอท่านไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น  เป็นแนวหลายอารมณ์และอ่อนไหว ก็เลยออกมาเป็น Spiritual Exercises  .... อันนี้พูดจากความเห็นส่วนตัวนะคะ  ::001::
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 12:27 am

Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน:
Buddy เขียน: ดูจากการรำพึง  เหมือนเป็นคนที่ทำ Lectio Divina เป็นประจำนะคะ   ::001::

ไม่ใช่ Spiritual Exercises และก็ไม่ใช่แบบนักบุญอัลฟอนโซ 

ใช่รึเปล่าคะ   :rolleyes:
ถ้าว่าง คุณ Buddy ก็ทำ กระทู้แบบ Lectio Divina เลยครับ ผมรออ่าน จองคิวคนแรกเลย
:angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel: :angel:
ไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่งค่ะ Lectio Divina เนี่ย  ขออภัยด้วยนะคะ  ::001:: เคยได้ไปเรียนรู้มาจากพระคุณเจ้าประธานนะคะ  แต่ไม่ค่อยถูกกับตัวเองเท่าไหร่  จะชอบ Spiritual Exercises มากกว่าค่ะ ... เพราะตัวเองจะเป็นคนที่มีพวกอารมณ์ ความรู้สึก เยอะ พอทำ Lectio Divina แล้วมันขาดมิติตรงนี้ไปน่ะค่ะ  เลยคิดว่า ไม่เหมาะกับตัวเอง  ::001::

ส่วนตัวนะคะคิดว่า  คนที่จะเหมาะและควรต้องทำ Lectio Divina เพื่อพัฒนาชีวิตจิต  คือคนอ่านหนังสือมากๆ  ::001:: ฤาษีเบเนดิกต์เวลาอ่านหนังสือไม่ว่าอะไรก็ตาม   ก็อ่านแบบ Lectio Divina อย่างคนที่เขียน Lectio Divina (ที่พระคุณเจ้าเอามาเรียบเรียง) ก็เป็นคนรอบรู้  ::001:: ...  และอีกอย่างนะคะ  รู้สึกว่า Lectio Divina เป็นอะไรที่เหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ไม่รู้เหมือนกันว่า  มีนักบวชหญิงคณะไหนเอา Lectio Divina มาเป็นหลักบ้าง) ในเรื่องธรรมชาติมนุษย์นะคะ  โดยเฉพาะผู้ชายแข็งๆ ใช้เหตุผลน่ะค่ะ  นักบุญอิกญาซิโอท่านไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น  เป็นแนวหลายอารมณ์และอ่อนไหว ก็เลยออกมาเป็น Spiritual Exercises  .... อันนี้พูดจากความเห็นส่วนตัวนะคะ  ::001::
"Man is created to praise, reverence and serve God our Lord, and by this means to save his soul... Our one desire and choice should be what is more conducive to the end for which we are created."

S.Ignatius of Loyola,The Spiritual Exercises
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 3:56 am

Man of Macedonia เขียน:
"Man is created to praise, reverence and serve God our Lord, and by this means to save his soul... Our one desire and choice should be what is more conducive to the end for which we are created."

S.Ignatius of Loyola,The Spiritual Exercises
แฝงความหมายอะไรที่เป็นนัยลึกซึ้งอะไรรึเปล่าคะ  รึว่า ยก Principle and Foundation  มาให้อ่านเฉยๆคะ  ::001::

ถ้ามีช่วยขยายความนะคะ  เพราะว่า  จะรู้เรื่องแค่ข้อความที่ยกมาอ่ะค่ะ  ถ้ามีความหมายอะไรลึกกว่านี้ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ  ::011::

ไหนๆก็ยก Principle and Foundation มาแล้ว  ขออนุญาติแบ่งปันนะคะ จริงๆ Principle and Foundation นี่ยากนะคะ  ถ้าไปเรียนเป็นคอร์ส  ก็คงพูดกันยาว  เพราะเป็นทั้งบทสรุปของทั้งหมด เป็นพื้นฐานของ discernment และเป็นทั้งบทเริ่มต้นด้วย  คุณพ่อท่านนึงสอนมาว่า  ถ้าเราไปเข้าเงียบทำ Spiritual Execises 30  วัน ถ้าเรายังไม่ผ่าน Principle and Foundation  คือไม่ตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า  ไม่รู้ว่า พระองค์รักเรา สร้างเรามาด้วยความรัก  ถ้ารำพึงตรงนี้ไม่ได้  เค้าจะไม่ให้ไปไหนเลย  จะให้อยู่ตรงนี้ไป 30 วัน  ถ้าไม่มีตรงนี้แล้ว  ไม่ประโยชน์ที่จะไปทำ exercises ต่อไป  ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรำพึงชีวิตพระเยซูเจ้า การตายและกลับคืนชีพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 6:21 am

Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน:
"Man is created to praise, reverence and serve God our Lord, and by this means to save his soul... Our one desire and choice should be what is more conducive to the end for which we are created."

S.Ignatius of Loyola,The Spiritual Exercises
แฝงความหมายอะไรที่เป็นนัยลึกซึ้งอะไรรึเปล่าคะ  รึว่า ยก Principle and Foundation  มาให้อ่านเฉยๆคะ   ::001::

ถ้ามีช่วยขยายความนะคะ  เพราะว่า  จะรู้เรื่องแค่ข้อความที่ยกมาอ่ะค่ะ  ถ้ามีความหมายอะไรลึกกว่านี้ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ   ::011::

ไหนๆก็ยก Principle and Foundation มาแล้ว  ขออนุญาติแบ่งปันนะคะ จริงๆ Principle and Foundation นี่ยากนะคะ  ถ้าไปเรียนเป็นคอร์ส  ก็คงพูดกันยาว  เพราะเป็นทั้งบทสรุปของทั้งหมด เป็นพื้นฐานของ discernment และเป็นทั้งบทเริ่มต้นด้วย  คุณพ่อท่านนึงสอนมาว่า  ถ้าเราไปเข้าเงียบทำ Spiritual Execises 30  วัน ถ้าเรายังไม่ผ่าน Principle and Foundation  คือไม่ตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า  ไม่รู้ว่า พระองค์รักเรา สร้างเรามาด้วยความรัก  ถ้ารำพึงตรงนี้ไม่ได้  เค้าจะไม่ให้ไปไหนเลย  จะให้อยู่ตรงนี้ไป 30 วัน  ถ้าไม่มีตรงนี้แล้ว  ไม่ประโยชน์ที่จะไปทำ exercises ต่อไป  ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรำพึงชีวิตพระเยซูเจ้า การตายและกลับคืนชีพ

ชอบ ชอบใจจัง...เขียนคุยและแบ่งปันกันแบบนี้ ดีจังคะ ทั้งน้องชายและน้องส้มเลย...
ส่วนตัวพี่เอง Lectio divina ยังไม่เคยทำ ได้แต่อ่านตามทฤษฎี
ครั้นทาง Spiritual Execises ก็ห่างไกลเกินกว่า..จะไปถึง ทั้งๆที่พยายามอยู่..
วันก่อนได้หนังสือมาเล่มนึง..."วิถีชีวิตจิตคริสตชน" มีเรื่องที่น้องๆกำลังคุยกันอยู่พอดี...
นี่....คงถึงเวลาที่พี่ต้องเริ่มต้นภาวนาอย่างจริงจังเสียทีแล้ว...
ขอบคุณมากๆเลย... : xemo026 :
ขอพระจิตเจ้านำทางพวกเราทุกคนสู่การภาวนานะคะ ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 9:14 am

ignatius เขียน: ชอบ ชอบใจจัง...เขียนคุยและแบ่งปันกันแบบนี้ ดีจังคะ ทั้งน้องชายและน้องส้มเลย...
ส่วนตัวพี่เอง Lectio divina ยังไม่เคยทำ ได้แต่อ่านตามทฤษฎี
ครั้นทาง Spiritual Execises ก็ห่างไกลเกินกว่า..จะไปถึง ทั้งๆที่พยายามอยู่..
วันก่อนได้หนังสือมาเล่มนึง..."วิถีชีวิตจิตคริสตชน" มีเรื่องที่น้องๆกำลังคุยกันอยู่พอดี...
นี่....คงถึงเวลาที่พี่ต้องเริ่มต้นภาวนาอย่างจริงจังเสียทีแล้ว...
ขอบคุณมากๆเลย... : xemo026 :
ขอพระจิตเจ้านำทางพวกเราทุกคนสู่การภาวนานะคะ ::001::

คือถ้าเริ่ม Spiritual Exercises จากการอ่าน Spiritual Exercises แล้วคิดว่าจะไปฝึกตามนั้นเนี่ย ... ยากแน่ๆค่ะพี่โอ๋  ::001:: เพราะ ที่นักบุญอิกญาซิโอเขียนขึ้นนั้น  เหมือนเป็น guideline ให้กับ spiritual director น่ะค่ะ  ไม่ใช่ให้กับคนที่ภาวนา  หรือผู้เข้าเงียบ

คนที่ภาวนาแบบนักบุญอิกญาซิโอ  ไม่จำเป็นต้องเคยอ่าน Spiritual Exercises ค่ะ  และไม่จำเป็นต้องอ่านรู้เรื่องด้วย  ::001:: เพราะเราไม่ใช่ผู้นำวิญญาณ (spiritual director) และที่จริงชีวิตจิตแบบเยซูอิตเนี่ย เหมาะกับคนเป็นฆราวาสมากๆ  เพราะประสบการณ์ชีวิต(อันเข้มข้น)ที่ฆราวาสมี  จะนำมาภาวนาได้ดีมากๆค่ะ  และจะทำให้เราได้เดินไปกับพระได้ในทุกขณะจิต และเห็นพระพรของพระองค์เสมอ  ที่สำคัญ  ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับพระองค์ เราจะรู้จักพระองค์มากขึ้น  และพระองค์จะบอกเราว่า เราคือใคร  เหมือนคนเรายิ่งสนิทกันมากขึ้น  เราก็จะรู้จักกันและกันมากขึ้นน่ะค่ะ  ::001::  เหมือนเราคบคนๆนึง และใช้เวลาอยู่กับเค้าตลอดเวลาน่ะค่ะ  เราก็จะสนิทกันและรู้จักกันและกันมากขึ้น  ::001::

ถ้าจะเริ่มนะคะ  เริ่มจากการทำสำรวจมโนธรรมประจำวันก่อน (Daily Examen) นักบวชเยซูอิตจะทำวันละ 2 ครั้ง (เราจะทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ  เที่ยงครั้งนึง เย็นครั้งนึง ตามความเหมาะสมแก่เวลา) แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือนะคะ  แนะนำของพ่อ Anthony de Mello, SJ ค่ะ ที่แปลเป็นไทยเช่น หนึ่งนาทีปรีชาญาณ (One Minute Wisdom) ลำนำสกุณา (The Song of the Bird) สาธนา (Sadhana)  พ่อ De Mello เค้าเขียนไว้ที่คำนำของ The Song of Bird ว่า การอ่านจะมีหลายระดับ ถ้าอ่านรอบแรกผ่านๆ เราจะได้ความสนุก อ่านรอบสองแล้วคิด จะได้การรำพึง และถ้าอ่านแล้วหาที่เงียบภาวนาจะได้การเพ่งพิศ อย่างที่คุณ Man of Macedonia บอกนะคะ "ความเรียบง่ายนั้นล่ะที่เป็นเครื่องหมายของความจริง" หนังสือที่ดูเหมือนอ่านสนุก ขำๆ แต่แท้จริงแล้วคือ ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ  ::001::

และถ้าจะเริ่มจริงจัง  ต้องมีผู้นำวิญญาณค่ะ  เริ่มง่ายที่สุดคือ เริ่มจากการไปเข้าเงียบแบบเยซูอิต  ::001:: 

ขอพระอวยพรพี่โอ๋ให้ได้พบชีวิตจิตที่เหมาะกับตัวเองนะคะ  ::001::  และก็ขอบคุณที่สละเวลามาพิมพ์คำนำเพื่อแนะนำหนังสือให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 11:08 am

Buddy เขียน:
ignatius เขียน: ชอบ ชอบใจจัง...เขียนคุยและแบ่งปันกันแบบนี้ ดีจังคะ ทั้งน้องชายและน้องส้มเลย...
ส่วนตัวพี่เอง Lectio divina ยังไม่เคยทำ ได้แต่อ่านตามทฤษฎี
ครั้นทาง Spiritual Execises ก็ห่างไกลเกินกว่า..จะไปถึง ทั้งๆที่พยายามอยู่..
วันก่อนได้หนังสือมาเล่มนึง..."วิถีชีวิตจิตคริสตชน" มีเรื่องที่น้องๆกำลังคุยกันอยู่พอดี...
นี่....คงถึงเวลาที่พี่ต้องเริ่มต้นภาวนาอย่างจริงจังเสียทีแล้ว...
ขอบคุณมากๆเลย... : xemo026 :
ขอพระจิตเจ้านำทางพวกเราทุกคนสู่การภาวนานะคะ ::001::

คือถ้าเริ่ม Spiritual Exercises จากการอ่าน Spiritual Exercises แล้วคิดว่าจะไปฝึกตามนั้นเนี่ย ... ยากแน่ๆค่ะพี่โอ๋  ::001:: เพราะ ที่นักบุญอิกญาซิโอเขียนขึ้นนั้น  เหมือนเป็น guideline ให้กับ spiritual director น่ะค่ะ  ไม่ใช่ให้กับคนที่ภาวนา  หรือผู้เข้าเงียบ

คนที่ภาวนาแบบนักบุญอิกญาซิโอ  ไม่จำเป็นต้องเคยอ่าน Spiritual Exercises ค่ะ  และไม่จำเป็นต้องอ่านรู้เรื่องด้วย  ::001:: เพราะเราไม่ใช่ผู้นำวิญญาณ (spiritual director) และที่จริงชีวิตจิตแบบเยซูอิตเนี่ย เหมาะกับคนเป็นฆราวาสมากๆ  เพราะประสบการณ์ชีวิต(อันเข้มข้น)ที่ฆราวาสมี  จะนำมาภาวนาได้ดีมากๆค่ะ  และจะทำให้เราได้เดินไปกับพระได้ในทุกขณะจิต และเห็นพระพรของพระองค์เสมอ  ที่สำคัญ  ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับพระองค์ เราจะรู้จักพระองค์มากขึ้น  และพระองค์จะบอกเราว่า เราคือใคร  เหมือนคนเรายิ่งสนิทกันมากขึ้น  เราก็จะรู้จักกันและกันมากขึ้นน่ะค่ะ  ::001::  เหมือนเราคบคนๆนึง และใช้เวลาอยู่กับเค้าตลอดเวลาน่ะค่ะ  เราก็จะสนิทกันและรู้จักกันและกันมากขึ้น  ::001::

ถ้าจะเริ่มนะคะ  เริ่มจากการทำสำรวจมโนธรรมประจำวันก่อน (Daily Examen) นักบวชเยซูอิตจะทำวันละ 2 ครั้ง (เราจะทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ  เที่ยงครั้งนึง เย็นครั้งนึง ตามความเหมาะสมแก่เวลา) แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือนะคะ  แนะนำของพ่อ Anthony de Mello, SJ ค่ะ ที่แปลเป็นไทยเช่น หนึ่งนาทีปรีชาญาณ (One Minute Wisdom) ลำนำสกุณา (The Song of the Bird) สาธนา (Sadhana)  พ่อ De Mello เค้าเขียนไว้ที่คำนำของ The Song of Bird ว่า การอ่านจะมีหลายระดับ ถ้าอ่านรอบแรกผ่านๆ เราจะได้ความสนุก อ่านรอบสองแล้วคิด จะได้การรำพึง และถ้าอ่านแล้วหาที่เงียบภาวนาจะได้การเพ่งพิศ อย่างที่คุณ Man of Macedonia บอกนะคะ "ความเรียบง่ายนั้นล่ะที่เป็นเครื่องหมายของความจริง" หนังสือที่ดูเหมือนอ่านสนุก ขำๆ แต่แท้จริงแล้วคือ ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ  ::001::

และถ้าจะเริ่มจริงจัง  ต้องมีผู้นำวิญญาณค่ะ  เริ่มง่ายที่สุดคือ เริ่มจากการไปเข้าเงียบแบบเยซูอิต   ::001:: 

ขอพระอวยพรพี่โอ๋ให้ได้พบชีวิตจิตที่เหมาะกับตัวเองนะคะ  ::001::  และก็ขอบคุณที่สละเวลามาพิมพ์คำนำเพื่อแนะนำหนังสือให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ   ::001::
ขอบคุณอีกสำหรับคำอธิบายและแบ่งปัน..นะคะ  : xemo026 :
ขอพระอวยพรน้องตลอดไปคะ  ::001::
Starry Night
โพสต์: 133
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2008 11:42 am
ที่อยู่: > <" Xiah Junsu Fightingg g!!!

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 4:28 pm

ขอบคุณที่แบ่งปันนะค่ะ

กำลังอยากทราบเลยละค่ะ

ปล. ปวดตาง่า -*-
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 11:31 pm

Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน:
"Man is created to praise, reverence and serve God our Lord, and by this means to save his soul... Our one desire and choice should be what is more conducive to the end for which we are created."

S.Ignatius of Loyola,The Spiritual Exercises
แฝงความหมายอะไรที่เป็นนัยลึกซึ้งอะไรรึเปล่าคะ  รึว่า ยก Principle and Foundation  มาให้อ่านเฉยๆคะ   ::001::

ถ้ามีช่วยขยายความนะคะ  เพราะว่า  จะรู้เรื่องแค่ข้อความที่ยกมาอ่ะค่ะ  ถ้ามีความหมายอะไรลึกกว่านี้ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ   ::011::

ไหนๆก็ยก Principle and Foundation มาแล้ว  ขออนุญาติแบ่งปันนะคะ จริงๆ Principle and Foundation นี่ยากนะคะ  ถ้าไปเรียนเป็นคอร์ส  ก็คงพูดกันยาว  เพราะเป็นทั้งบทสรุปของทั้งหมด เป็นพื้นฐานของ discernment และเป็นทั้งบทเริ่มต้นด้วย  คุณพ่อท่านนึงสอนมาว่า  ถ้าเราไปเข้าเงียบทำ Spiritual Execises 30  วัน ถ้าเรายังไม่ผ่าน Principle and Foundation  คือไม่ตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า  ไม่รู้ว่า พระองค์รักเรา สร้างเรามาด้วยความรัก  ถ้ารำพึงตรงนี้ไม่ได้  เค้าจะไม่ให้ไปไหนเลย  จะให้อยู่ตรงนี้ไป 30 วัน  ถ้าไม่มีตรงนี้แล้ว  ไม่ประโยชน์ที่จะไปทำ exercises ต่อไป  ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรำพึงชีวิตพระเยซูเจ้า การตายและกลับคืนชีพ

อืม คุณ Buddy ก็ได้ตอบแล้วครับคือ "การตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า(ด้วยความรัก)"เป็นรากฐาน
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 7:26 am

Man of Macedonia เขียน: อืม คุณ Buddy ก็ได้ตอบแล้วครับคือ "การตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า(ด้วยความรัก)"เป็นรากฐาน
แล้วไงเหรอคะ  คือจู่ๆบอกมาทำไม  :huh:

อันนี้ถามจริงๆนะคะ  ไม่ได้กวนนะ  ::009::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 7:29 am

Starry Night เขียน: ขอบคุณที่แบ่งปันนะค่ะ

กำลังอยากทราบเลยละค่ะ

ปล. ปวดตาง่า -*-
ไปตามอ่านผลงานของคุณ  ได้อีกหลายกระทู้จ้ะ .... ปวดตา  แต่ปรีชาญาณเพียบ!!  ::013::

เดี๋ยวจะตาลายอีกเยอะจ้ะ  รอคุณ Man of Macedonia เค้ามาโพสต์ต่อนะ  ::004::
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 4:18 pm

Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน: อืม คุณ Buddy ก็ได้ตอบแล้วครับคือ "การตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า(ด้วยความรัก)"เป็นรากฐาน
แล้วไงเหรอคะ  คือจู่ๆบอกมาทำไม   :huh:

อันนี้ถามจริงๆนะคะ  ไม่ได้กวนนะ   ::009::
"เห็นพูดถึงการดำเนินชีวิตจิต ก็เลยเห็นควรจะนำมาแปะไว้น่ะครับ เพราะหลักนี้สำคัญอยู่"

เพราะการดำเนินชีวิตฝ่ายจิต คือ การที่มนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับการ"บังเกิดใหม่" ในขณะเดียวกัน เราเห็นการเกิดใหม่ อาศัยการสร้าง(ถ้าไม่สร้างก็ไม่เกิด  คือ ต้อง Created ก่อนแล้วจึง Existence น่ะ เป็นกระบวนการที่ผมว่าใกล้ชิดกันมาก)

เช่น คริสตชนเรา บังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้า
เหนืออื่นใด ใครเล่า"สร้าง"! พระบิดาเจ้าสร้างนั่นเอง
เราเห็นแผนการสร้างนี้ได้จากประวัติศาสตร์ความรอด
จนมาถึง นักบุญยอห์น และ"บริบูรณ์"ในพระเยซูเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดทั้งปวงอาศัยความรัก

จึงอยากแบ่งปันเพื่อเกื้อกูลความเข้าใจ
ผมยอมรับเลยว่า เรื่องนี้อธิบายยาก(ผมอธิบายไม่ถูก)
คุณต้องไปถามพ่อ SJ ดูอีกครั้ง

ในความเข้าใจของผมคือ ความรักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เป็นรากฐานแท้ของการดำเนินชีวิตจิต
ทรงแจกจ่ายปรีชาญาณแก่ผู้ที่รักพระองค์(บุตรสิรา 1:10) และสิ่งที่พระองค์"สร้าง"พระองค์ก็มิได้ประสงค์ทำลาย(ปรีชาญาณ 1:14,เทียบ อพยพ 3:13) จากจุดนี้ เป็นเครื่องหมายบอกเราได้(แง่หนึ่ง)ว่า เราดำเนินชีวิตฝ่ายจิตอย่างถูกทางมิได้เลย ถ้าไม่มีความสร้างสรรค์ >>> สร้างสรรค์ คืออะไร? คือการที่เรามี"วิธีการที่ดีสำหรับทุกสิ่งสร้างที่พระองค์ไม่ประสงค์ทำลายนั้น"! ขั้นต้น คือ ตัวเราก่อน ขั้นต่อไป คือ คนรอบข้าง จริงอยู่,วิธีการที่เราใช้ในแต่ละช่วงเวลาอาจไม่ดีก็ได้ นั่นเป็นธรรมดา แต่เราต้องเพิ่มพูนความวางใจว่า เรากำลังก้าวไปสู่วิธีการที่ดีสำหรับทุกสิ่งสร้างที่พระองค์ไม่ประสงค์ทำลายนั้น ทุกๆนาทีในการภาวนา

จากความเข้าใจนี้เราจะย้อนกลับมาคิดเรื่อง"การสร้างของพระบิดาเจ้า"ได้อย่างมีชีวิตชีวาแท้จริง และมีความพร้อมมากขึ้นที่จะปฏิบัติภาระกิจในฐานะผู้รับใช้ที่สดับฟังพระสุรเสียง

เอ่อ ผมไม่รู้ว่าออกทะเลไปหรือเปล่านะครับ บอกตามตรงว่า พิมพ์ออกมาก็เรื่อยๆแบบนี้เลย

พระอวยพร,
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

จันทร์ มี.ค. 09, 2009 10:05 pm

Man of Macedonia เขียน:
Buddy เขียน:
Man of Macedonia เขียน: อืม คุณ Buddy ก็ได้ตอบแล้วครับคือ "การตระหนักถึงการสร้างของพระเป็นเจ้า(ด้วยความรัก)"เป็นรากฐาน
แล้วไงเหรอคะ  คือจู่ๆบอกมาทำไม   :huh:

อันนี้ถามจริงๆนะคะ  ไม่ได้กวนนะ   ::009::
"เห็นพูดถึงการดำเนินชีวิตจิต ก็เลยเห็นควรจะนำมาแปะไว้น่ะครับ เพราะหลักนี้สำคัญอยู่"

เพราะการดำเนินชีวิตฝ่ายจิต คือ การที่มนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับการ"บังเกิดใหม่" ในขณะเดียวกัน เราเห็นการเกิดใหม่ อาศัยการสร้าง(ถ้าไม่สร้างก็ไม่เกิด  คือ ต้อง Created ก่อนแล้วจึง Existence น่ะ เป็นกระบวนการที่ผมว่าใกล้ชิดกันมาก)

เช่น คริสตชนเรา บังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้า
เหนืออื่นใด ใครเล่า"สร้าง"! พระบิดาเจ้าสร้างนั่นเอง
เราเห็นแผนการสร้างนี้ได้จากประวัติศาสตร์ความรอด
จนมาถึง นักบุญยอห์น และ"บริบูรณ์"ในพระเยซูเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดทั้งปวงอาศัยความรัก

จึงอยากแบ่งปันเพื่อเกื้อกูลความเข้าใจ
ผมยอมรับเลยว่า เรื่องนี้อธิบายยาก(ผมอธิบายไม่ถูก)
คุณต้องไปถามพ่อ SJ ดูอีกครั้ง

ในความเข้าใจของผมคือ ความรักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เป็นรากฐานแท้ของการดำเนินชีวิตจิต
ทรงแจกจ่ายปรีชาญาณแก่ผู้ที่รักพระองค์(บุตรสิรา 1:10) และสิ่งที่พระองค์"สร้าง"พระองค์ก็มิได้ประสงค์ทำลาย(ปรีชาญาณ 1:14,เทียบ อพยพ 3:13) จากจุดนี้ เป็นเครื่องหมายบอกเราได้(แง่หนึ่ง)ว่า เราดำเนินชีวิตฝ่ายจิตอย่างถูกทางมิได้เลย ถ้าไม่มีความสร้างสรรค์ >>> สร้างสรรค์ คืออะไร? คือการที่เรามี"วิธีการที่ดีสำหรับทุกสิ่งสร้างที่พระองค์ไม่ประสงค์ทำลายนั้น"! ขั้นต้น คือ ตัวเราก่อน ขั้นต่อไป คือ คนรอบข้าง จริงอยู่,วิธีการที่เราใช้ในแต่ละช่วงเวลาอาจไม่ดีก็ได้ นั่นเป็นธรรมดา แต่เราต้องเพิ่มพูนความวางใจว่า เรากำลังก้าวไปสู่วิธีการที่ดีสำหรับทุกสิ่งสร้างที่พระองค์ไม่ประสงค์ทำลายนั้น ทุกๆนาทีในการภาวนา

จากความเข้าใจนี้เราจะย้อนกลับมาคิดเรื่อง"การสร้างของพระบิดาเจ้า"ได้อย่างมีชีวิตชีวาแท้จริง และมีความพร้อมมากขึ้นที่จะปฏิบัติภาระกิจในฐานะผู้รับใช้ที่สดับฟังพระสุรเสียง

เอ่อ ผมไม่รู้ว่าออกทะเลไปหรือเปล่านะครับ บอกตามตรงว่า พิมพ์ออกมาก็เรื่อยๆแบบนี้เลย

พระอวยพร,
ไม่ออกทะเลค่ะ  แต่เป็นแบบนั้นจริงๆ  โดยเฉพาะเรื่องความรัก  ... เรื่องการเกิดใหม่ หรือ transformation ก็เป็นแบบที่ว่าน่ะค่ะ  แต่รู้สึกว่า ต้องเน้นทิศทางนิดนึงว่า  เรา transform ไปหาพระบิดา  เราจะ transformไปเป็นคนที่พระเป็นเจ้าสร้างมาให้เราเป็น  ...  Principle and Foundation จะคู่ขนานกับพระวรสาร หรือพระคัมภีร์ตั้งแต่ Genesis จนถึง Revelation น่ะค่ะ คือเป็นทั้งบทเริ่มและบทสรุป ...  ถ้าอธิบายเป็นแบบ การบังเกิดกับการเกิดใหม่  มันออกจะศาสนาเปรียบเทียบไปนิด เหมือนเป็นทางพุทธน่ะค่ะ  (อันนี้เท่าที่อ่านแล้วเข้าใจนะคะ)  เหมือนกับเป็นการเวียนว่ายตายเกิดฝ่ายจิตน่ะค่ะ  ซึ่งตรงนี้มองว่า มันไม่ใช่เทววิทยาของเรา อาจเทียบกันได้  แต่มันไม่ใช่ของเรา ... "ชีวิตจิตคือเทววิทยาภาคปฎิบัติ"  อะไรที่มันไม่ใช่เทววิทยาของเรา ก็ไม่น่าจะเป็นชีวิตจิตของเรา (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ)

และพื้นฐานการภาวนา  ซึ่งก็ต่อเนื่องจากความรัก  นั่นคือ  การสื่อสารและการสนทนา เราไม่ได้ภาวนาเพราะเราอยากศักดิ์สิทธิ์  แต่เราภาวนาเพราะนั่นคือ ธรรมชาติของความรัก  ที่คนรักต้องสื่อสารกัน  เป็นธรรมชาติของเราที่มีความสัมพันธ์กับพระผู้สร้าง และเป็นธรรมชาติของพระเจ้าด้วย  ที่พระองค์ชอบสื่อสาร  พระองค์สื่อสารกับเรา  สนทนากับเรา  ในหลายๆรูปแบบ  ในหลายๆระดับ ...  movement ของพระคัมภีร์ก็เป็นการสนทนา และเวลาเราภาวนา  เราก็ต้องภาวนาตาม movement นั้น ชีวิตจิตแบบเยซูอิตจึงเน้นที่ความสัมพันธ์แบบเป็นส่วนตัวกับพระเป็นเจ้า  เป็นการสื่อสาร  สนทนา และตอบสนอง (respond นะคะ  ไม่ใช่ react)  คุณพ่อเยซูอิตท่านนึงสอนว่า  เวลาอ่านพระคัมภีร์  ให้สังเกตุ movement ตรงนี้ให้ดีๆ  และให้สังเกตุการตอบสนอง โดยเฉพาะที่พระเยซูกับพระบิดา  ไม่ใช่ที่สวนเกธเมนีอย่างเดียว  แต่คือ ทั้งชีวิต ...ไม่ใช่ตอบสนองเฉพาะคำพูด  แต่ตอบสนองในการกระทำต่อเหตุการณ์ที่เข้ามา  แม้ในเรื่องเล็กน้อยของชีวิต  เพราะทุกเหตุการณ์ที่เข้ามา  ถือเป็นสารหรือเป็นบทสนทนาจากพระเป็นเจ้าทั้งนั้น (ตรงนี้  จึงเป็นพื้นฐานของ "การพบพระในทุกสิ่ง" และการสำรวจมโนธรรมประจำวัน) ... ความสัมพันธ์กับพระที่เป็นส่วนตัวนี่เองคือเหตุผลว่า ทำไมต้องไปเข้าเงียบ และทำไมต้องมีผู้นำวิญญาณหรือเพื่อนวิญญาณ

ถ้าจะเปรียบเทียบการภาวนา (สนทนา/สื่อสาร) กับความสัมพันธ์ทั่วไปที่เรารู้จัก  ก็เหมือนกับเรามีความรักกับชายชาวฝรั่งเศส  และผลต่อเนื่องจากความรักนั้น  ทำให้เราอยากรู้จักและเข้าใจเค้ามากขึ้น  เราก็ต้องไปขวนขวายหาเรียนภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้เราได้พูดกับเค้าได้  และได้ฟังเค้าเข้าใจ ... ตัวเค้าเอง เค้าก็รักเรา  พยายามที่จะสื่อสารกับเราแบบที่เราเข้าใจ  แต่ด้วยธรรมชาติของเค้าที่เค้าก็พูดไทยได้ไม่มาก เค้าก็สื่อสารได้ระดับนึง  เราก็เข้าใจกันระดับนึง  กับพระเป็นเจ้าเหมือนกัน  ทำไมเราต้องไปขวนขวาย ฝึกตน  ทำอะไรให้มันยุ่งยาก  ก็เพราะธรรมชาติพระองค์เป็นแบบนั้น พระองค์คุยภาษานั้น  และไม่ใช่ว่า  พระองค์มีข้อจำกัดแบบหนุ่มฝรั่งเศสนะคะ  แต่พระองค์ต้องเหลือที่ไว้ให้เราได้เรียนรู้ที่จะพูดภาษาเดียวกับพระองค์  ได้รู้ธรรมชาติของพระองค์    เหลือที่ไว้ให้เราได้ไปขวนขวาย  ที่จะได้สนทนากับพระองค์  เพราะนั่นคือวิธี  ที่จะทำให้ความสัมพันธ์เติบโตขึ้น เราจะรู้จักกันและกันมากขึ้น  และเมื่อเราสนทนากัน  เราจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  โดยที่เราจะเหมือนคนที่เรารักมากขึ้น 

พระอวยพรนะคะ  ::001::
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 09, 2009 10:36 pm

ต้องขอบคุณ คุณ Buddy การคุยของเราเป็นประโยชน์แก่พี่น้องคนอื่นเนอะ

(1)เรื่อง"เวียนว่ายตายเกิดฝ่ายจิต"จริงๆแล้วปิตาจารย์ยุคต้นๆให้ความสนใจเช่นเดียวกันนะครับ แต่เพราะเทววิทยาและปรัชญาของเราพัฒนามาจากปรัชญากรีก "การเวียนว่ายตายเกิดฝ่ายจิต"ถูกจำกัดไว้ในวงแคบ แต่เรื่องนี้ เราจะยังไม่ Dicuss กันครับ  :angel:

(2)คุณ Buddy อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ ช่วยทำให้แจ่มชัดขึ้น


พระอวยพร,
ปล.มาตอบช้ามัวแต่สวดตอน 4 ทุ่มน่ะครับ ตอนนี้เค้ารณรงค์กันอยู่
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อังคาร มี.ค. 10, 2009 1:50 am

Man of Macedonia เขียน: ต้องขอบคุณ คุณ Buddy การคุยของเราเป็นประโยชน์แก่พี่น้องคนอื่นเนอะ

(1)เรื่อง"เวียนว่ายตายเกิดฝ่ายจิต"จริงๆแล้วปิตาจารย์ยุคต้นๆให้ความสนใจเช่นเดียวกันนะครับ แต่เพราะเทววิทยาและปรัชญาของเราพัฒนามาจากปรัชญากรีก "การเวียนว่ายตายเกิดฝ่ายจิต"ถูกจำกัดไว้ในวงแคบ แต่เรื่องนี้ เราจะยังไม่ Dicuss กันครับ  :angel:

(2)คุณ Buddy อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ ช่วยทำให้แจ่มชัดขึ้น


พระอวยพร,
ปล.มาตอบช้ามัวแต่สวดตอน 4 ทุ่มน่ะครับ ตอนนี้เค้ารณรงค์กันอยู่
1) อันนั้นยุดต้นๆ  แล้วตอนนี้ล่ะคะ  ยังใช่อยู่เหรอคะ   ::001::
2) ขอบคุณที่อ่านนะคะ  และก็ขอบคุณพระที่ประทานความเข้าใจค่ะ

ปล. มีคุณพ่อท่านนึงสอนว่า การสนทนาต้องสนทนาจนเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิด transformation ... ก็ไม่รู้ว่า เปลี่ยนรึยัง แต่ตอนนี้ก็คงต้องหายไปพักนึงเลยนะคะ  เปิดเทอมแล้ว  ::011::

ขอให้สุขสดชื่นในเทศกาลมหาพรตนะคะ  ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ อังคาร มี.ค. 10, 2009 2:29 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

อังคาร มี.ค. 10, 2009 2:49 am

Buddy เขียน: ถ้าจะเปรียบเทียบการภาวนา (สนทนา/สื่อสาร) กับความสัมพันธ์ทั่วไปที่เรารู้จัก  ก็เหมือนกับเรามีความรักกับชายชาวฝรั่งเศส  และผลต่อเนื่องจากความรักนั้น  ทำให้เราอยากรู้จักและเข้าใจเค้ามากขึ้น  เราก็ต้องไปขวนขวายหาเรียนภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้เราได้พูดกับเค้าได้  และได้ฟังเค้าเข้าใจ ... ตัวเค้าเอง เค้าก็รักเรา  พยายามที่จะสื่อสารกับเราแบบที่เราเข้าใจ  แต่ด้วยธรรมชาติของเค้าที่เค้าก็พูดไทยได้ไม่มาก เค้าก็สื่อสารได้ระดับนึง  เราก็เข้าใจกันระดับนึง  กับพระเป็นเจ้าเหมือนกัน  ทำไมเราต้องไปขวนขวาย ฝึกตน  ทำอะไรให้มันยุ่งยาก  ก็เพราะธรรมชาติพระองค์เป็นแบบนั้น พระองค์คุยภาษานั้น  และไม่ใช่ว่า  พระองค์มีข้อจำกัดแบบหนุ่มฝรั่งเศสนะคะ  แต่พระองค์ต้องเหลือที่ไว้ให้เราได้เรียนรู้ที่จะพูดภาษาเดียวกับพระองค์  ได้รู้ธรรมชาติของพระองค์    เหลือที่ไว้ให้เราได้ไปขวนขวาย  ที่จะได้สนทนากับพระองค์  เพราะนั่นคือวิธี  ที่จะทำให้ความสัมพันธ์เติบโตขึ้น เราจะรู้จักกันและกันมากขึ้น  และเมื่อเราสนทนากัน  เราจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  โดยที่เราจะเหมือนคนที่เรารักมากขึ้น 
ประโยคนี้โดนมากค่ะพี่บัดดี้ : xemo026 :
Buddy เขียน: ถ้าจะเริ่มนะคะ  เริ่มจากการทำสำรวจมโนธรรมประจำวันก่อน (Daily Examen) นักบวชเยซูอิตจะทำวันละ 2 ครั้ง (เราจะทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ  เที่ยงครั้งนึง เย็นครั้งนึง ตามความเหมาะสมแก่เวลา) แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือนะคะ  แนะนำของพ่อ Anthony de Mello, SJ ค่ะ ที่แปลเป็นไทยเช่น หนึ่งนาทีปรีชาญาณ (One Minute Wisdom) ลำนำสกุณา (The Song of the Bird) สาธนา (Sadhana)  พ่อ De Mello เค้าเขียนไว้ที่คำนำของ The Song of Bird ว่า การอ่านจะมีหลายระดับ ถ้าอ่านรอบแรกผ่านๆ เราจะได้ความสนุก อ่านรอบสองแล้วคิด จะได้การรำพึง และถ้าอ่านแล้วหาที่เงียบภาวนาจะได้การเพ่งพิศ อย่างที่คุณ Man of Macedonia บอกนะคะ "ความเรียบง่ายนั้นล่ะที่เป็นเครื่องหมายของความจริง" หนังสือที่ดูเหมือนอ่านสนุก ขำๆ แต่แท้จริงแล้วคือ ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ  ::001::
หนูเคยอ่านงานของคุณพ่อ Anthony de Mello มาเหมือนกันค่ะ (คำภาวนาของกบ/หนึ่งนาทีปรีชาญาณ/หนึ่งนาทีไร้สาระ)
บางครั้งก็ตีความยากเอาเรื่องเหมือนกัน บางทีอ่านแล้วอ่านอีก เอ...เรื่องนี้จะสื่ออะไรนาาาา : emo044 :

จริงๆ มีหนังสือที่ชื่อว่า "เมล็ดพันธุ์แห่งปรีชาญาณ" จัดทำโดยคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร (ตอนนี้ออกเล่ม 4 แล้ว)
ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กับงานของคุณพ่อ Anthony De Mello
แต่ตอนท้าย บางทีจะเพิ่มข้อคิดมาให้เราอีก 2-3 บรรทัด (ออกแนวว่าตีความมาให้แล้ว) ทำให้อ่านง่ายขึ้นค่ะ ::001::
เนื้อเรื่องก็จะเบากว่า ดูดซึมง่ายกว่า แต่ไม่ได้ให้ข้อคิดแบบลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณแบบงานของคุณพ่อ Anthony De Mello

ขอยกงานของคุณพ่อ Anthony De Mello มาให้คนอ่านที่ผ่านไปมาดูสักเล็กน้อยนะคะ..

"สำหรับอาจารย์ท่าน อะไรถือเป็นข้อเด่นที่สุด?
เป็นเรื่องราวที่ท่านเล่า สุภาษิตสอนใจ หรือการอ้างถึงคำกล่าวของอาจารย์ท่านอื่นกันแน่"
ผู้มาเยือนถาม

ศิษย์คนนั้นยิ้มน้อยๆ บอกว่า เธอเคยเป็นแม่ครัวมาก่อนและสามารถทำอาหารชนิดที่อร่อยที่สุดในโลกนี้ได้

"จริงหรอคุณ กรุณาบอกสูตรผมหน่อยได้ไหม?"

แม่ครัวยืดอกอย่างภาคภูมิใจ บอกว่า

"ค่ะ ฉันบอกคุณก็ได้ : ไม่ใส่เนื้อ ไม่ใส่พริกไทย ไม่ใส่หัวหอม ไม่ใส่อะไรเลย
เพียงแต่เอา อัตตา เทลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
จากนั้นคุณจะปรุงให้มันเป็นอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ"

(ที่มา : Anthony De Mello, หนึ่งนาทีไร้สาระ, เรียบเรียงโดย มักดาเลนา (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะพระมหาไถ่, 2544), 354)


เรื่องนี้อยู่ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ "หนึ่งนาทีไร้สาระ" คงจะบอกถึงตัวตนของงานของคุณพ่อ Anthony ได้ดีทีเดียว...
(จริงๆ งานของคุณพ่อ Anthony De Mello ก็บอกถึงความเป็นเยสุอิตชัดมากเช่นกัน)
และคงจะพอเห็นว่า ทำไมถึงไม่มีการตีความให้เรา ทิ้งเนื้อเรื่องให้เราอ่านแล้วงงเล่น 555+ แต่เท็นว่าดีนะคะ มันเปิดกว้างทางความคิดดี เป็นอิสระ
เพราะคนแต่ละคน แม้อ่านบทความเดียวกัน แต่สิ่งที่ได้จากบทความ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน...
(เอ๊ะ นี่เราโฆษณาหนังสือไปในตัวนะเนี่ย ::005::)

สุดท้าย ขอบคุณทั้งพี่บัดดี้และน้องแมนออฟมาซิโดเนียที่แบ่งปันค่าาาา ขอพระอวยพร ::004:: ::017::

ป.ล. แถมค่ะ เคยเอาบทความในหนังสือ "คำภาวนาของกบ" มาลงไว้ในบอร์ดด้วยค่ะ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=8744.0
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อังคาร มี.ค. 10, 2009 11:41 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อังคาร มี.ค. 10, 2009 3:39 am

พี่ว่า ของพ่อ De Mello นี่ เค้าเยซูอิตแบบ derivative นะ  คือถ้าจะให้เห็นถึง Spiritual Exercises แบบโต้งๆเนี่ย จะมองยากหน่อย (เอาง่ายๆว่า มองไม่เห็นชีวิตพระเยซูเจ้าแบบตรงๆเลย)  เพราะเค้าไปได้กลิ่นอายและปรีชาญาณจากที่ต่างๆมาเยอะ  แต่ถ้าเห็นถึง "การพบพระในทุกสิ่ง" อันนั้นชัดมากกกกก  ::001::

ถ้าอ่านงานพ่อ De Mello หรือหนังสือศรัทธาใดๆก็ตาม ก็ควรต้องอ่านพระคัมภีร์ไปด้วย  เพราะพ่อเค้าไปไกลแล้ว ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว  ::011:: เพราะหัวใจเราคือการตามพระ มีชีวิตแบบพระเยซูเจ้า ถ้าเรายังไม่รู้จักพระองค์เพียงพอ ตามไปแบบนั้น วันนึงจะงงว่า แท้จริงแล้ว  พระเจ้าคือใคร  ::001::  เพราะงานของพ่อเค้าเนี่ย  พระเจ้าเป็นความหมายที่กว้าง  อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ  ใครจะมองว่า ยังยึดติดกับรูปแบบก็ตาม เพราะยังไงก็เชื่อว่า พระเยซูเจ้าให้เรารู้จักพระองค์แบบนี้นี่นา  ::004::  ...  แต่ในแง่ของการฝึกจิตนั้น "ดี" ค่ะ  น่ารำพึงตาม เพราะงานเขียนของพ่อเค้าจะ move ให้เราภาวนาได้ดี ....  เหมือนเป็นการวอร์มร่างกายอยู่เสมอก่อนการแข่งจริงน่ะค่ะ  ::001::  ...  พี่ว่า การรู้จักและเข้าใจพระเป็นเจ้า ไม่สำคัญเท่ากับการตามพระองค์นะ ว่ามั้ย  ::004::
ทำไมถึงไม่มีการตีความให้เรา ทิ้งเนื้อเรื่องให้เราอ่านแล้วงงเล่น 555+ แต่เท็นว่าดีนะคะ มันเปิดกว้างทางความคิดดี เป็นอิสระ
เพราะคนแต่ละคน แม้อ่านบทความเดียวกัน แต่สิ่งที่ได้จากบทความ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน...
อันนี้แหละ ที่พ่อเค้าต้องการ  ::001::

ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ  ::001::

จะอ่านอะไรก็ตาม  พระคัมภีร์สำคัญที่สุดนะคะ  ::004::
ตอบกลับโพส