เรื่องของผม - ล้มจนลุกและล้มอีกครั้ง
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
เอ่อ สวัสดีครับ...
ถึงแม้ดูจากข้อมูลแล้วผมจะเป็นหน้าใหม่ แต่ว่าผมก็ใช้อีกidหนึ่งเข้ามาอ่านเรื่องราวในบอร์ดนี้บ่อยๆ
ส่วนมากแล้วผมจะเป็นประเภท ROM (READ ONLY MEMBER) เสียมากกว่า
เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ ถึงแม้แรกๆคงจะไม่มีใครอ่านเรื่องผมมากเท่าไร่ แต่ว่าผมว่าเรื่องของผมนั้นคงจะเป็นเอ่อ...เรียกว่าอะไรดีนะ?
เรื่องราวของชีวิตคนล่ะมั้ง ไม่ีใช่นิยายที่แสนสุขแต่ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่เศร้าจนแสนโหดร้าย พอจะเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งได้
เรียกผมว่า "รอม" แล้วกัน (นามแฝง) ถึงแม้ว่าผมจะเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกแต่ว่าขอเว้นเรื่องชื่อแล้วกัน
......อ่า จะเริ่มยังไงดีนะ?
โอเค ถึงแม้เริ่มเรื่องทุกคนจะต้่องมีชื่อและอายุ ตอนที่พิมพ์นี้ผมอายุ 18 แล้วมั้ง ใส่แว่น สิวเขรอะ แน่นอนย่อมไม่มีแฟน ขาดความมั่นใจในตัวเอง(แต่ไม่มากหรอก) สูงแค่ 160 ผอมโกร่ง ห่ะ...ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง งานอดิเรกตอนนี้คือ เขียนโปรแกรม เขียนบทความและปรึกษาการแก้ปัญหาคอมพ์(ซ่อมด้วย) แน่นอนย่อมหาเงินได้จากทางนั้น แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็น
......ชีวิตที่ทุลักทุเลของผมเริ่มขึ้นตอนม.ปลายปีที่ 1...
ถึงแม้ดูจากข้อมูลแล้วผมจะเป็นหน้าใหม่ แต่ว่าผมก็ใช้อีกidหนึ่งเข้ามาอ่านเรื่องราวในบอร์ดนี้บ่อยๆ
ส่วนมากแล้วผมจะเป็นประเภท ROM (READ ONLY MEMBER) เสียมากกว่า
เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ ถึงแม้แรกๆคงจะไม่มีใครอ่านเรื่องผมมากเท่าไร่ แต่ว่าผมว่าเรื่องของผมนั้นคงจะเป็นเอ่อ...เรียกว่าอะไรดีนะ?
เรื่องราวของชีวิตคนล่ะมั้ง ไม่ีใช่นิยายที่แสนสุขแต่ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่เศร้าจนแสนโหดร้าย พอจะเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งได้
เรียกผมว่า "รอม" แล้วกัน (นามแฝง) ถึงแม้ว่าผมจะเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกแต่ว่าขอเว้นเรื่องชื่อแล้วกัน
......อ่า จะเริ่มยังไงดีนะ?
โอเค ถึงแม้เริ่มเรื่องทุกคนจะต้่องมีชื่อและอายุ ตอนที่พิมพ์นี้ผมอายุ 18 แล้วมั้ง ใส่แว่น สิวเขรอะ แน่นอนย่อมไม่มีแฟน ขาดความมั่นใจในตัวเอง(แต่ไม่มากหรอก) สูงแค่ 160 ผอมโกร่ง ห่ะ...ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง งานอดิเรกตอนนี้คือ เขียนโปรแกรม เขียนบทความและปรึกษาการแก้ปัญหาคอมพ์(ซ่อมด้วย) แน่นอนย่อมหาเงินได้จากทางนั้น แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็น
......ชีวิตที่ทุลักทุเลของผมเริ่มขึ้นตอนม.ปลายปีที่ 1...
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
ต่อเลยนะครับ
.....ผมเรียนอยู่ร.ร.ที่เรียกว่า(ยังไงดีนะ)...มีชีื่อมั่งไม่มีชื่อมั่งดีกว่าย่านสาธุประดิษฐ์(ง่ายๆคือมันอยู่ใกล้ๆกับเซ็นทรัลพระราม 3)*ใครไปโบสถ์เซ็นหลุยส์คงจะรู้จักกันกับถนนสายนี้ (ตอนนี้บางคนอาจจะร้องอ๋อก็ได้)
ตัวผมตอนแรกนั้นมีความเชื่อมั่นในพระเจ้ามาก ถึงแม้จะเจอสิ่งแย่ๆมากมายนะแต่ว่า(ให้ตายสิ)หัวผมจะร้องบอกมันว่า "เฮ้...ข้างบนนั้นคงจะส่งปัญหาพวกนี้มากให้นายแก้ไขแน่ๆเลย สุดท้ายปลายทางของมันจะต้องดีแน่ๆ" ใช่นั่นคือตัวผมในตอนนั้น
แต่ว่าตอนนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะทำผิดพลาดไป ผมเข้าไปเรียนสายการเรียนที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไปเรียนนัก(แน่นอนปัญหาเหมือนกันกับหลายๆคน คือ มันเริ่มจากเรื่องเรียน)
ผมเรียนในสายการเรียนที่มีชื่อว่า "คณิต-อังกฤษ-ศิลปกรรม" ใช่ครับ บางคนอาจจะนั่งสงสัยว่ามีสายการเรียนนี้ด้วยหรือ มันไม่ใช่ปวช. มันคือสายการเรียนสามัญธรรมดานี้แหละ ไม่ต้องพูดกันยืดยาว 40%ของตารางเรียนอุทิศแด่วิชาวาดเส้นและพื้นฐานทางศิลป์ที่บางคนนั้นจะต้องไปกวดวิชาเรียนเสียเงินมากๆ
แต่นั่นแหละ ผมได้เรียนมันเกือบทุกอาทิตย์ คลุกคลีกับมันทุกวัน ฟังดูดีกับการเรียนในปีแรกที่ผลการเรียนออกมาผมทำมันได้3.78 และตามมาด้วย 3.92
...แต่นั่นแหละ ปัญหาของผมอยู่ที่การเข้ากับคนในห้องเรียน?...
.....ผมเรียนอยู่ร.ร.ที่เรียกว่า(ยังไงดีนะ)...มีชีื่อมั่งไม่มีชื่อมั่งดีกว่าย่านสาธุประดิษฐ์(ง่ายๆคือมันอยู่ใกล้ๆกับเซ็นทรัลพระราม 3)*ใครไปโบสถ์เซ็นหลุยส์คงจะรู้จักกันกับถนนสายนี้ (ตอนนี้บางคนอาจจะร้องอ๋อก็ได้)
ตัวผมตอนแรกนั้นมีความเชื่อมั่นในพระเจ้ามาก ถึงแม้จะเจอสิ่งแย่ๆมากมายนะแต่ว่า(ให้ตายสิ)หัวผมจะร้องบอกมันว่า "เฮ้...ข้างบนนั้นคงจะส่งปัญหาพวกนี้มากให้นายแก้ไขแน่ๆเลย สุดท้ายปลายทางของมันจะต้องดีแน่ๆ" ใช่นั่นคือตัวผมในตอนนั้น
แต่ว่าตอนนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะทำผิดพลาดไป ผมเข้าไปเรียนสายการเรียนที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไปเรียนนัก(แน่นอนปัญหาเหมือนกันกับหลายๆคน คือ มันเริ่มจากเรื่องเรียน)
ผมเรียนในสายการเรียนที่มีชื่อว่า "คณิต-อังกฤษ-ศิลปกรรม" ใช่ครับ บางคนอาจจะนั่งสงสัยว่ามีสายการเรียนนี้ด้วยหรือ มันไม่ใช่ปวช. มันคือสายการเรียนสามัญธรรมดานี้แหละ ไม่ต้องพูดกันยืดยาว 40%ของตารางเรียนอุทิศแด่วิชาวาดเส้นและพื้นฐานทางศิลป์ที่บางคนนั้นจะต้องไปกวดวิชาเรียนเสียเงินมากๆ
แต่นั่นแหละ ผมได้เรียนมันเกือบทุกอาทิตย์ คลุกคลีกับมันทุกวัน ฟังดูดีกับการเรียนในปีแรกที่ผลการเรียนออกมาผมทำมันได้3.78 และตามมาด้วย 3.92
...แต่นั่นแหละ ปัญหาของผมอยู่ที่การเข้ากับคนในห้องเรียน?...
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
แน่นอน ที่ร.ร.ของผมบุคคลอันซึ่งเรียนสายศิลปกรรมนั้นย่อมถูกแยกเป็นแฉกชนกลุ่มน้อยไปแล้ว
...โอ้ พระองค์โปรดมอบความอดทนและแกร่งกล้าให้ข้าด้วย เพื่อที่จะสามารถใช้มันเป็นเครื่องป้องกันภัยแก่ข้าพเจ้า...
นั่นแหละคือสิ่งแรกที่ผมคิด ตอนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ การถูกมองเสมือนชนกลุ่มน้อยไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก จะมีผลกระทบอย่างน้อยก็เพียงแค่งานหนักๆนั้นจะถูกโยนลงมาที่สานศิลปกรรม(มักจะเป็นการจัดสถานที่และบอร์ด) นอกนั้นงานวิชาการจะถูกยกไปให้ห้องต้นๆที่จะดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
...แต่ เฮ้-ผมยังไม่บ่นสักคำเลยนะ "ก็ดี...ยกต้นไม้ จัดสถานที่ จัดเวที นั่นเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ไม่ต้องมานั่งพิมพ์รายงานเสนอเบื้องบนให้วุ่นวาย"
ฟังดูผมจะเป็นยอดคนที่ไม่คอยท้อกับเรื่องห่ะอะไรเลย แต่ช้าก่อน คนทุกคนย่อมมีจุดที่จะอ่อนแอกันทั้งนั้น แน่นอนไอ่การที่คนเรานั้นเจอเรื่องซำ้ซากทุกวันและมีเพื่อนร่วมห้องที่พร้อมจะอู้งานเสมอและงานกลุ่มที่เละไม่เป็นท่าบวกกับที่เราจะต้องมานั่งทำคนเดียวทั้งๆที่มันถูกเรียกว่างานกลุ่มกลับทำให้ผมเริ่ม.....สติแตกอีกครั้ง
แน่นอนช่วงปีแรกอะไรๆก็ดูดี ทุกอย่างเริ่มออกลายมาในปี 2 การพนันที่คนในห้องเล่นซ้ำซากจนโดนจับกันแทบทุกวันและจากนั้นทั้งห้องก็ถูกลากเข้าไปรับฟังคนบ่นจนหูชา(อ้อ ผมก็รวมในนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เล่นก็เถอะ) และเรื่องสารพัดสารเพที่ผมโดนมาจนอ่วมอรทัย...ห่ะ...ผมอยู่เฉยๆนะ
กลายเป็นว่าผมเริ่มเครียดกับพวกเพื่อนๆในห้องมากขึ้นที่สร้างความเดือดร้อน?
---...นั่นแหละ ประโยคที่ว่า "พวกเขาจะทำตัวยังไงก็ช่างเขา เราไม่ได้ทำผิดจะไปเดืิอดร้อนทำไม?" เริ่มมีคนพูดกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมรู้ตัวดีกว่า ผมแทบจะไม่สามารถทำได้เพราะว่าผมมักจะมีนิสัยที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนส่วนรวมเสมอ
ตอนนั้นแหละผมรู้ว่านิสัยอย่างนั้นทำให้ผมเครียดมากขึ้น ผมอยากให้ห้องของผมดูดีขึ้นในสายตาคนอื่น!!!!
กลับกลายเป็นว่าผมกลายเป็นคนแบกโลก(ห้องผม)ซะเเล้ว
...โอ้ พระองค์โปรดมอบความอดทนและแกร่งกล้าให้ข้าด้วย เพื่อที่จะสามารถใช้มันเป็นเครื่องป้องกันภัยแก่ข้าพเจ้า...
นั่นแหละคือสิ่งแรกที่ผมคิด ตอนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ การถูกมองเสมือนชนกลุ่มน้อยไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก จะมีผลกระทบอย่างน้อยก็เพียงแค่งานหนักๆนั้นจะถูกโยนลงมาที่สานศิลปกรรม(มักจะเป็นการจัดสถานที่และบอร์ด) นอกนั้นงานวิชาการจะถูกยกไปให้ห้องต้นๆที่จะดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
...แต่ เฮ้-ผมยังไม่บ่นสักคำเลยนะ "ก็ดี...ยกต้นไม้ จัดสถานที่ จัดเวที นั่นเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ไม่ต้องมานั่งพิมพ์รายงานเสนอเบื้องบนให้วุ่นวาย"
ฟังดูผมจะเป็นยอดคนที่ไม่คอยท้อกับเรื่องห่ะอะไรเลย แต่ช้าก่อน คนทุกคนย่อมมีจุดที่จะอ่อนแอกันทั้งนั้น แน่นอนไอ่การที่คนเรานั้นเจอเรื่องซำ้ซากทุกวันและมีเพื่อนร่วมห้องที่พร้อมจะอู้งานเสมอและงานกลุ่มที่เละไม่เป็นท่าบวกกับที่เราจะต้องมานั่งทำคนเดียวทั้งๆที่มันถูกเรียกว่างานกลุ่มกลับทำให้ผมเริ่ม.....สติแตกอีกครั้ง
แน่นอนช่วงปีแรกอะไรๆก็ดูดี ทุกอย่างเริ่มออกลายมาในปี 2 การพนันที่คนในห้องเล่นซ้ำซากจนโดนจับกันแทบทุกวันและจากนั้นทั้งห้องก็ถูกลากเข้าไปรับฟังคนบ่นจนหูชา(อ้อ ผมก็รวมในนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เล่นก็เถอะ) และเรื่องสารพัดสารเพที่ผมโดนมาจนอ่วมอรทัย...ห่ะ...ผมอยู่เฉยๆนะ
กลายเป็นว่าผมเริ่มเครียดกับพวกเพื่อนๆในห้องมากขึ้นที่สร้างความเดือดร้อน?
---...นั่นแหละ ประโยคที่ว่า "พวกเขาจะทำตัวยังไงก็ช่างเขา เราไม่ได้ทำผิดจะไปเดืิอดร้อนทำไม?" เริ่มมีคนพูดกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมรู้ตัวดีกว่า ผมแทบจะไม่สามารถทำได้เพราะว่าผมมักจะมีนิสัยที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนส่วนรวมเสมอ
ตอนนั้นแหละผมรู้ว่านิสัยอย่างนั้นทำให้ผมเครียดมากขึ้น ผมอยากให้ห้องของผมดูดีขึ้นในสายตาคนอื่น!!!!
กลับกลายเป็นว่าผมกลายเป็นคนแบกโลก(ห้องผม)ซะเเล้ว
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
ถ้าจะวิเคราะห์แล้วนั้นผมคิดว่าการที่ผมอยากให้ห้องของผมดูดีขึ้นในสายตาของคนอื่นนั้น
กลับทำให้ผมเกลียดคนในห้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมนะหรือ? เพราะพวกเขาทำให้ห้องเสื่อมลงนะสิ
แน่นอนตอนนั้นความเกลียดและโกรธย่อมเป็นดาบเพลิงที่จะย้อนกลับมาแทงและเผาผลาญตัวเอง
...แต่นั่นยังไม่ถึงเวลา
สิ่งที่อยากจะบอกไว้คือว่า ...คุณไม่จำเป็นที่จะต้องแบกโลกเอาไว้ สิ่งที่ต้องทำถ้าเจอเรื่องอย่างนั้นคือ
เชื่อมั่นไว้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเราและเชื่อมั่นอีกว่าตัวเรานั้นทำดีที่สุดอย่างมั่นคงเเล้ว
ถึงแม้จะเปลี่ยนให้ทุกคนเปลี่ยนอย่างที่เราหวังไม่ได้ (ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก) แต่เรายังคงมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีเเล้ว
อย่างไรก็ตาม...ความดีอย่างมุ่งมั่นนั้นก็เหมือนกับแสงเทียนท่ามกลางความมืดของเปลวเทียนที่วูบดับ มันจะยังคงสวยงามน่ามองแก่ผู้พบเห็นเสมอ
.....ถึงแม้ว่าบางครั้งตัวเราจะยังไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำก็ตาม.... แต่ขอให้ฉุกคิดและตระหนักเถิดว่า อย่าหยุดที่จะทำความดี
...พระองค์นั้นมีแผนสำหรับเราเสมอ...
ฟังดูดีแต่ว่าผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยในตอนนั้น ผมไม่ชอบที่พวกเขาไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน--สร้างเรื่องให้อาจารย์หนักใจ(อ.สายศิลป์นั้นนร.ให้ความเคารพมากจนเรียกแทนกันว่า "แม่"และ"ป๋า" กันทีเดียว) สุดท้ายเเล้วผมกลับต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้หญิงในห้อง(ที่มีแค่ 6 คน)แน่นอน ห้องเริ่มแตกแต่ว่ายังคงอยู่ได้ การทะเลาะและมีปากเสียงระหว่างกลุ่มเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ งานห้องแทบไม่เป็นชิ้นและแน่นอนผมต้องทำคนเดียว...(หรือกับผู้หญิงในห้องที่มีแค่ 6 คน)
แต่ก็นั่นแหละ...ผมก็ยังคงอยู่ได้
กลับทำให้ผมเกลียดคนในห้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมนะหรือ? เพราะพวกเขาทำให้ห้องเสื่อมลงนะสิ
แน่นอนตอนนั้นความเกลียดและโกรธย่อมเป็นดาบเพลิงที่จะย้อนกลับมาแทงและเผาผลาญตัวเอง
...แต่นั่นยังไม่ถึงเวลา
สิ่งที่อยากจะบอกไว้คือว่า ...คุณไม่จำเป็นที่จะต้องแบกโลกเอาไว้ สิ่งที่ต้องทำถ้าเจอเรื่องอย่างนั้นคือ
เชื่อมั่นไว้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเราและเชื่อมั่นอีกว่าตัวเรานั้นทำดีที่สุดอย่างมั่นคงเเล้ว
ถึงแม้จะเปลี่ยนให้ทุกคนเปลี่ยนอย่างที่เราหวังไม่ได้ (ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก) แต่เรายังคงมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีเเล้ว
อย่างไรก็ตาม...ความดีอย่างมุ่งมั่นนั้นก็เหมือนกับแสงเทียนท่ามกลางความมืดของเปลวเทียนที่วูบดับ มันจะยังคงสวยงามน่ามองแก่ผู้พบเห็นเสมอ
.....ถึงแม้ว่าบางครั้งตัวเราจะยังไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำก็ตาม.... แต่ขอให้ฉุกคิดและตระหนักเถิดว่า อย่าหยุดที่จะทำความดี
...พระองค์นั้นมีแผนสำหรับเราเสมอ...
ฟังดูดีแต่ว่าผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยในตอนนั้น ผมไม่ชอบที่พวกเขาไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน--สร้างเรื่องให้อาจารย์หนักใจ(อ.สายศิลป์นั้นนร.ให้ความเคารพมากจนเรียกแทนกันว่า "แม่"และ"ป๋า" กันทีเดียว) สุดท้ายเเล้วผมกลับต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้หญิงในห้อง(ที่มีแค่ 6 คน)แน่นอน ห้องเริ่มแตกแต่ว่ายังคงอยู่ได้ การทะเลาะและมีปากเสียงระหว่างกลุ่มเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ งานห้องแทบไม่เป็นชิ้นและแน่นอนผมต้องทำคนเดียว...(หรือกับผู้หญิงในห้องที่มีแค่ 6 คน)
แต่ก็นั่นแหละ...ผมก็ยังคงอยู่ได้
แก้ไขล่าสุดโดย martywinter เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 6:29 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
เริ่มจากตรงนั้นและผ่านไปอีก 1 ปีผลการเรียนของผมยังเป็นที่ 1 ของห้องอยู่แต่นั่นแหละมันจะจบแบบล้มลงกองกับพื้นแล้ว
...ปีสุดท้ายแน่นอนว่าปีนี้ผมมุ่งมั่นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก ความมุ่งมั่นที่มากมาย...แน่นอน ผมต้องติด
เหมือนจะลงเอยด้วยดี เรื่องราวมากมายดั่งสายน้ำแห่งความขัดแย้งค่อยๆม้วนตัวเป็นเกลียวและผูกปมของมันขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มท้อกับคนในห้อง
แน่นอนว่านิสัยเดิมยังคงไม่เปลี่ยน การสวดอ้อนวอนให้พวกเขาเปลี่ยนไปมีนับร้อยครั้งในทุกค่ำคืน คราวนี้ความเห็นแก่ตัวเริ่มครอบงำบางคนแล้ว
บางคนในห้องเริ่มทะเลาะมากขึ้น ลงมือมากขึ้น(ชกต่อย) โชคดีที่ผมไม่เคยโดน แต่โชคร้ายกว่าก็มี
.....การที่ผมเหมือนกับทำตัวค่อนข้างเด่นออกมาจากแถวนั่นทำให้ผมเริ่มถูกนินทาและต่อว่ามากขึ้น ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยชอบคนในห้องบางกลุ่มแต่ผมไม่เคยที่จะแสดงมันออกมา แต่แน่นอนบางคนไม่ทำอย่างนั้น
พระเจ้าช่วย...ผมเริ่มถูกกดดันจากคำพูดถากถางของคนในห้องมากเรื่อยๆ จนแทบจะประสาทเสีย 2 ปีที่ผ่านมากผมแทบจะล้มลง งานกลุ่มที่ต้องทำคนเดียวบางวันไม่ได้นอนนั้นเป็นเรื่องที่ผมกลับมาคิดอีกครั้งๆ ทบทวนไปมา บ้านที่แทบจะกลับมืดค่ำเพราะงานร.ร.
ตอนนั้นผมไม่เชื่อมั่นในห่ะอะไรเลย ห่ะ....!!! ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉัน ฉันพยายามมากกว่าใครๆแต่ทำฉันต้องโดน ทำไมกัน?
ความอดทนสุดท้ายผมได้ปล่อยมันไป .....ในที่สุดผมก็ดรอปเรียนเพราะไม่สามารถทนที่จะอดหลับอดนอนทำงานเป็นทาสให้กับบางคน
ไม่ทนที่จะเป็นตัวอะไรสักอย่างที่จะรองรับอารมณ์ไม่ดีของใครๆที่จะเอามารองรับใส่ผม ห่ะ...ไม่อยากเป็นเป้าซ้อมให้ใคร
แน่นอน ตอนนั้นบางคนดีใจ บางคนเสียใจ แต่บางคนก็เหยียบซ้ำ
...ปีสุดท้ายแน่นอนว่าปีนี้ผมมุ่งมั่นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก ความมุ่งมั่นที่มากมาย...แน่นอน ผมต้องติด
เหมือนจะลงเอยด้วยดี เรื่องราวมากมายดั่งสายน้ำแห่งความขัดแย้งค่อยๆม้วนตัวเป็นเกลียวและผูกปมของมันขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มท้อกับคนในห้อง
แน่นอนว่านิสัยเดิมยังคงไม่เปลี่ยน การสวดอ้อนวอนให้พวกเขาเปลี่ยนไปมีนับร้อยครั้งในทุกค่ำคืน คราวนี้ความเห็นแก่ตัวเริ่มครอบงำบางคนแล้ว
บางคนในห้องเริ่มทะเลาะมากขึ้น ลงมือมากขึ้น(ชกต่อย) โชคดีที่ผมไม่เคยโดน แต่โชคร้ายกว่าก็มี
.....การที่ผมเหมือนกับทำตัวค่อนข้างเด่นออกมาจากแถวนั่นทำให้ผมเริ่มถูกนินทาและต่อว่ามากขึ้น ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยชอบคนในห้องบางกลุ่มแต่ผมไม่เคยที่จะแสดงมันออกมา แต่แน่นอนบางคนไม่ทำอย่างนั้น
พระเจ้าช่วย...ผมเริ่มถูกกดดันจากคำพูดถากถางของคนในห้องมากเรื่อยๆ จนแทบจะประสาทเสีย 2 ปีที่ผ่านมากผมแทบจะล้มลง งานกลุ่มที่ต้องทำคนเดียวบางวันไม่ได้นอนนั้นเป็นเรื่องที่ผมกลับมาคิดอีกครั้งๆ ทบทวนไปมา บ้านที่แทบจะกลับมืดค่ำเพราะงานร.ร.
ตอนนั้นผมไม่เชื่อมั่นในห่ะอะไรเลย ห่ะ....!!! ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉัน ฉันพยายามมากกว่าใครๆแต่ทำฉันต้องโดน ทำไมกัน?
ความอดทนสุดท้ายผมได้ปล่อยมันไป .....ในที่สุดผมก็ดรอปเรียนเพราะไม่สามารถทนที่จะอดหลับอดนอนทำงานเป็นทาสให้กับบางคน
ไม่ทนที่จะเป็นตัวอะไรสักอย่างที่จะรองรับอารมณ์ไม่ดีของใครๆที่จะเอามารองรับใส่ผม ห่ะ...ไม่อยากเป็นเป้าซ้อมให้ใคร
แน่นอน ตอนนั้นบางคนดีใจ บางคนเสียใจ แต่บางคนก็เหยียบซ้ำ
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
ใช่นั่นคือคือเรื่องเมื่อ 2 ปีก่อน
...แล้วตอนนี้ล่ะ ยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่า
หลังจากนั้นผมได้เดินทางออกไปจากกทม. นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำไปมาๆ
ผมกลายเป็นคนซึมเศร้า แน่นอนเรื่องฆ่าตัวตายมีในหัว
แต่ว่าผมไม่คิดจะทำ วันล่ะ 3 เวลาที่เรื่องฆ่าตัวตายผุดเข้ามาในตอนแรกของ 2 เดือนแรกที่ดรอปเรียน
เดินทางไปที่อื่น นั่งมองท้องฟ้า ได้แต่เข้าไปนั่งในโบสถ์ก้มมองดูพื้นไม้
ผมพยายามมากว่าใครๆบัดนี้ความพยายามนั้นกลับเป็นกระสุนที่พุ่งย้อนกลับทำลายตัวเอง มันสร้างสิ่งที่เรียกว่าความอิจฉาให้คนอื่น
ห่ะ...แล้วก็กลับมาทำลายผม แน่นอนผมคิดว่าตัวเองผิดคนเดียวที่ทำตัวพยายายามมากไป นั่นแหละ ที่ผิด........
ตอนนั้นแม้มีพระเจ้ามาปรากฏต่อหน้าผมก็ไม่เชื่อว่าท่านมีจริง...
กลางคืนนั่งคิด กลางวันก็นอน นั่นคือชีวิตประจำวันในตอนนั้น...นั่งคิด...ไป...มา.......ไป...มา อย่างเดียวดาย
เรื่องปรึกษาไม่ต้องพูดถึง ถึงจะพบจิตแพทย์มา คนเดียวที่ผมรู้ว่าจะช่วยผมได้ คือ ตัวผมเอง
ขอเพียงตอนนั้นต้องมีความมุ่งมั่น ศรัทธาและเชื่อมั่น...
แต่ตอนนั้น สิ่งเดียวที่คิดได้ คือ ตัวเองที่ผิด...ที่พยายามมากไป
งี่เง่าชะมัด....เลยใช่ไหม?
...แล้วตอนนี้ล่ะ ยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่า
หลังจากนั้นผมได้เดินทางออกไปจากกทม. นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำไปมาๆ
ผมกลายเป็นคนซึมเศร้า แน่นอนเรื่องฆ่าตัวตายมีในหัว
แต่ว่าผมไม่คิดจะทำ วันล่ะ 3 เวลาที่เรื่องฆ่าตัวตายผุดเข้ามาในตอนแรกของ 2 เดือนแรกที่ดรอปเรียน
เดินทางไปที่อื่น นั่งมองท้องฟ้า ได้แต่เข้าไปนั่งในโบสถ์ก้มมองดูพื้นไม้
ผมพยายามมากว่าใครๆบัดนี้ความพยายามนั้นกลับเป็นกระสุนที่พุ่งย้อนกลับทำลายตัวเอง มันสร้างสิ่งที่เรียกว่าความอิจฉาให้คนอื่น
ห่ะ...แล้วก็กลับมาทำลายผม แน่นอนผมคิดว่าตัวเองผิดคนเดียวที่ทำตัวพยายายามมากไป นั่นแหละ ที่ผิด........
ตอนนั้นแม้มีพระเจ้ามาปรากฏต่อหน้าผมก็ไม่เชื่อว่าท่านมีจริง...
กลางคืนนั่งคิด กลางวันก็นอน นั่นคือชีวิตประจำวันในตอนนั้น...นั่งคิด...ไป...มา.......ไป...มา อย่างเดียวดาย
เรื่องปรึกษาไม่ต้องพูดถึง ถึงจะพบจิตแพทย์มา คนเดียวที่ผมรู้ว่าจะช่วยผมได้ คือ ตัวผมเอง
ขอเพียงตอนนั้นต้องมีความมุ่งมั่น ศรัทธาและเชื่อมั่น...
แต่ตอนนั้น สิ่งเดียวที่คิดได้ คือ ตัวเองที่ผิด...ที่พยายามมากไป
งี่เง่าชะมัด....เลยใช่ไหม?
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
บางครั้งคนเราต้องการการปรับตัว....
ผ่านไปเกือบ 4 เดือน ชีวิตเริ่มกลับสู่ปกติ
ตอนนั้นชีวิตเรียกได้ว่า ล้ม.....ลง สุดๆ
มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เข้า
ซ้ำม.6 ก็ยังเรียนไม่จบ
ต้องอยู่คนเดียว (ในตอนนี้แหละคุณจะเจอเพื่อนแท้จริงๆที่จะอยู่กับคุณ ซึ่งของผมมีไม่กี่คน)
โดนคนอื่นซ้ำเติม ดูถูก...ถากถาง
ไม่กล้าออกไปไหน หรือ พบหน้าใคร
โดนตีหัวอีกต่างหาก (เอ่อ โดนลูกหลง ---> ผมไม่เกี่ยวอะไรเล๊ย)
เพื่อนโดนรถชนตาย....ต่อหน้าต่อตา
เงินฝืด...
เรียกได้ว่าเป็นอาการของคนที่พร้อมจะฆ่าตัวตายเต็มที่ แน่นอนอัดแน่นเต็มหัวแต่นั่นแหละ ผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่...
สิ่งเดียวที่ยังคงเตือนสติ "ขอบคุณพระองค์ที่มอบบทเรียนอันแสนล้ำค่าให้แก่ลูก พระองค์ยังคงอยู่กับลูก มอบความกล้าแกร่งให้ลูกมากขึ้น..."
ผมคิดบวกได้ว่า "ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เกิดผมจะคงเป็นคนที่ยอมอยู่ใต้เท้าคนตลอดไป ไม่กล้าที่จะหลุดออกมา ได้เพียงแค่ยอมคนอื่นๆต่อไป"
"ความเจ็บปวดที่ล้ำค่าันั้นทำให้ผมสามารถที่จะเผชิญเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านี้ได้ ผมตระหนักว่าถึงจะตายก็ขอบคุณที่ได้รู้การใช้ชีวิตในห้วงสุดท้ายให้มีค่ามากที่สุด"
บางคนสงสัยว่าผมไปทำอะไรมาถึงคิดได้ขนาดนั้น....นั่นเล่ากันอีกยาว ตัดไปก่อน
หลังจากนั้นผมก็พร้อมที่จะเข้าเรียนอีกแต่สุดท้าย.....ผมกลับลาออก ไปจากร.ร.นั้น และไม่ได้ย้อนกลับมาอีกเลย...
เหมือนหนังที่หักมุมในตอนท้ายนั่นเอง...
ผ่านไปเกือบ 4 เดือน ชีวิตเริ่มกลับสู่ปกติ
ตอนนั้นชีวิตเรียกได้ว่า ล้ม.....ลง สุดๆ
มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เข้า
ซ้ำม.6 ก็ยังเรียนไม่จบ
ต้องอยู่คนเดียว (ในตอนนี้แหละคุณจะเจอเพื่อนแท้จริงๆที่จะอยู่กับคุณ ซึ่งของผมมีไม่กี่คน)
โดนคนอื่นซ้ำเติม ดูถูก...ถากถาง
ไม่กล้าออกไปไหน หรือ พบหน้าใคร
โดนตีหัวอีกต่างหาก (เอ่อ โดนลูกหลง ---> ผมไม่เกี่ยวอะไรเล๊ย)
เพื่อนโดนรถชนตาย....ต่อหน้าต่อตา
เงินฝืด...
เรียกได้ว่าเป็นอาการของคนที่พร้อมจะฆ่าตัวตายเต็มที่ แน่นอนอัดแน่นเต็มหัวแต่นั่นแหละ ผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่...
สิ่งเดียวที่ยังคงเตือนสติ "ขอบคุณพระองค์ที่มอบบทเรียนอันแสนล้ำค่าให้แก่ลูก พระองค์ยังคงอยู่กับลูก มอบความกล้าแกร่งให้ลูกมากขึ้น..."
ผมคิดบวกได้ว่า "ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เกิดผมจะคงเป็นคนที่ยอมอยู่ใต้เท้าคนตลอดไป ไม่กล้าที่จะหลุดออกมา ได้เพียงแค่ยอมคนอื่นๆต่อไป"
"ความเจ็บปวดที่ล้ำค่าันั้นทำให้ผมสามารถที่จะเผชิญเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านี้ได้ ผมตระหนักว่าถึงจะตายก็ขอบคุณที่ได้รู้การใช้ชีวิตในห้วงสุดท้ายให้มีค่ามากที่สุด"
บางคนสงสัยว่าผมไปทำอะไรมาถึงคิดได้ขนาดนั้น....นั่นเล่ากันอีกยาว ตัดไปก่อน
หลังจากนั้นผมก็พร้อมที่จะเข้าเรียนอีกแต่สุดท้าย.....ผมกลับลาออก ไปจากร.ร.นั้น และไม่ได้ย้อนกลับมาอีกเลย...
เหมือนหนังที่หักมุมในตอนท้ายนั่นเอง...
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
อย่างที่บอกไป เหมือนหนังที่หักมุมในตอนท้าย
เด็กหนุ่มที่พยายามมากที่สุด ขยันอ่านมากที่สุด เกรดดีที่สุดในห้องสุดท้ายกลับพ่ายกับเรื่องของคนในสังคมแวดล้อมที่เขาอยู่
จบกัน....ในตอนนั้น
มหาวิทยาลัยก็เข้าไม่ได้
ม.6ก็ไม่จบ ....แถมยังลาออกอีก
โดนเหยียบจนจะจมดินอยู่แล้ว....
ไม่กล้าไปไหน กลัวจะเจอคนรู้จักทัก
ไม่กล้าผ่านหน้าร.ร.เก่าตัวเอง
ไม่กล้าออกจากบ้าน อายที่เรียนไม่จบ
ทั้งๆที่เริ่มแรกนั้นพยายามมากกว่าใครๆ
สุดท้ายกลับจบแบบหักมุม
ไปช่วยคนอื่นอ่าน คนอื่นติวซะดิบดีจนเขาสอบเข้าได้
แต่สุดท้ายตัวเองกลับไม่ได้อะไรเลย .....
น่าสมเพชหรือเปล่า?
ห่ะ....แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว...ผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่
อย่างน้อยผมก็ยังมีชีวิตอยู่.....
แต่อย่างว่า...อย่างน้อยก็ยังมีกศน. กับรามคำแหงล่ะนะ
ที่ผมพิมพ์นี่ไม่ได้อยากกล่าวอะไร ผมรู้ดีว่าผู้คนจะอ่านเรื่องผมและลืมเลือนมันไป
แต่ผมอยากจะบอก....
ตอนนี้ผมอยู่ในขั้นที่ตกต่ำสุดๆ ตามเรื่องที่บอกข้างบนนั้น
แต่ว่่าผม....บอกได้เพียงว่า บางคนยังมีมหาวิทยาลัยให้ไปเรียน ยังมีพ่อแม่อยู่ให้รัก มีงานให้ทำ ยังคงเอ็นติด ยังมีที่เรียน ยังมีสังคมแต่จะฆ่าตัวตายนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก พวกเขาโชคดีกว่าผมหลายเท่านักที่ยังคงมีหนทางที่จะก้าวเดิน ยังมีคนให้กำลังใจที่จะก้าวต่อไป
ผมไม่ใม่นักจิตวิทยาที่จะมาให้คำปรึกษาใครได้ เพียงแค่เรื่องของผมก็ขอที่จะทำให้ใครๆหลายคนที่จะฆ่าตัวตายฉุกคิดได้ว่า
ถึงแม้เรื่องมันจะเลวร้ายยังไง สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คุณยังมีชีวิตอยู่
ถึงคุณจะล้มมาเท่าไร เรื่องราวที่ดีที่สุดก็คือ ยังคงมีชีวิตอยู่....ที่จะเรียนรู้สุขทุกบนโลกใบนี้่ไป
พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างคุณ...เชื่อมั่นในพระองค์และก้าวเดินต่อไป
เด็กหนุ่มที่พยายามมากที่สุด ขยันอ่านมากที่สุด เกรดดีที่สุดในห้องสุดท้ายกลับพ่ายกับเรื่องของคนในสังคมแวดล้อมที่เขาอยู่
จบกัน....ในตอนนั้น
มหาวิทยาลัยก็เข้าไม่ได้
ม.6ก็ไม่จบ ....แถมยังลาออกอีก
โดนเหยียบจนจะจมดินอยู่แล้ว....
ไม่กล้าไปไหน กลัวจะเจอคนรู้จักทัก
ไม่กล้าผ่านหน้าร.ร.เก่าตัวเอง
ไม่กล้าออกจากบ้าน อายที่เรียนไม่จบ
ทั้งๆที่เริ่มแรกนั้นพยายามมากกว่าใครๆ
สุดท้ายกลับจบแบบหักมุม
ไปช่วยคนอื่นอ่าน คนอื่นติวซะดิบดีจนเขาสอบเข้าได้
แต่สุดท้ายตัวเองกลับไม่ได้อะไรเลย .....
น่าสมเพชหรือเปล่า?
ห่ะ....แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว...ผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่
อย่างน้อยผมก็ยังมีชีวิตอยู่.....
แต่อย่างว่า...อย่างน้อยก็ยังมีกศน. กับรามคำแหงล่ะนะ
ที่ผมพิมพ์นี่ไม่ได้อยากกล่าวอะไร ผมรู้ดีว่าผู้คนจะอ่านเรื่องผมและลืมเลือนมันไป
แต่ผมอยากจะบอก....
ตอนนี้ผมอยู่ในขั้นที่ตกต่ำสุดๆ ตามเรื่องที่บอกข้างบนนั้น
แต่ว่่าผม....บอกได้เพียงว่า บางคนยังมีมหาวิทยาลัยให้ไปเรียน ยังมีพ่อแม่อยู่ให้รัก มีงานให้ทำ ยังคงเอ็นติด ยังมีที่เรียน ยังมีสังคมแต่จะฆ่าตัวตายนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก พวกเขาโชคดีกว่าผมหลายเท่านักที่ยังคงมีหนทางที่จะก้าวเดิน ยังมีคนให้กำลังใจที่จะก้าวต่อไป
ผมไม่ใม่นักจิตวิทยาที่จะมาให้คำปรึกษาใครได้ เพียงแค่เรื่องของผมก็ขอที่จะทำให้ใครๆหลายคนที่จะฆ่าตัวตายฉุกคิดได้ว่า
ถึงแม้เรื่องมันจะเลวร้ายยังไง สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คุณยังมีชีวิตอยู่
ถึงคุณจะล้มมาเท่าไร เรื่องราวที่ดีที่สุดก็คือ ยังคงมีชีวิตอยู่....ที่จะเรียนรู้สุขทุกบนโลกใบนี้่ไป
พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างคุณ...เชื่อมั่นในพระองค์และก้าวเดินต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย martywinter เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 7:33 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
Good Story
อ่านแล้วช่วยด้านทัศนคติหลายเรื่องเลยครับ
ปล.เป็นคริสตชนยังง้าย!!!! ก็ต้องถูกเบียดเบียนวันยังค่ำเนอะ ฮาเลลูยา!!(มาโซคิมเรอะเรา!?)
อ่านแล้วช่วยด้านทัศนคติหลายเรื่องเลยครับ
ปล.เป็นคริสตชนยังง้าย!!!! ก็ต้องถูกเบียดเบียนวันยังค่ำเนอะ ฮาเลลูยา!!(มาโซคิมเรอะเรา!?)
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
ขอส่งกำลังใจมาให้ .. ด้วย .. สารที่พระเยซูเจ้ามอบให้เราผ่านวาสสุลา ค่ะ
"เธอจะต้องแสวงหาปรีชาญาณ, อย่าได้ท้อที่จะพยายาม, เราจะสอนเธอเพื่อให้สมกับการได้รับพระพรนี้ เธออยู่ในแสงสว่างของเราและการอยู่ในแสงสว่างนี้เธอจะได้เรียนรู้ ฟังเสียงของเราแล้วพยายามจดจำเราไว้, เราคือพระคริสตเยซูและเราเป็นครูของเธอ, เราจะสอนเธอให้ทำงานโดยผ่านพระจิตศักดิ์สิทธิ์, เราได้สอนเธอให้รักเรา, เราได้รินงานทั้งหลายให้เธอเพื่อให้เธอสามารถเข้าใจเรา, เราเป็นความเข้มแข็งของเธอ,เธอจะได้รับความเข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคของผู้ที่จะทำให้เธอหนักใจซึ่งจะมีจำนวนมาก เด็กของเราเอ๋ย"
"เราจะอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา, อย่าได้รู้สึกถูกทอดทิ้งเลย, เราจะสอนเธอให้มีความเข้มแข็งมั่นคงแล้วเธอจะมองข้ามบรรดาผู้ทำให้เธอหนักใจทั้งหมดได้, เรากำลังเตรียมเธอ, เราจะป้อนเธอให้เต็มอิ่ม, จงมีสันติสุขของเราและยึดอยู่กับเราเสมอ เราพระเยซูคริสตเจ้า"
"เราจะให้เธอรับภาระการแบกกางเขนของเรา, กางเขนของเราร้องเรียกสันติและความรัก"
"ขอเถิดแล้วเธอจะได้รับ เพิ่มพูนความเชื่อของเธอต่อเราเถิด"
ขอเป็นกำลังใจแด่ทุกท่าน ที่กำลังเจอวิกฤติในชีวิตค่ะ
"เธอจะต้องแสวงหาปรีชาญาณ, อย่าได้ท้อที่จะพยายาม, เราจะสอนเธอเพื่อให้สมกับการได้รับพระพรนี้ เธออยู่ในแสงสว่างของเราและการอยู่ในแสงสว่างนี้เธอจะได้เรียนรู้ ฟังเสียงของเราแล้วพยายามจดจำเราไว้, เราคือพระคริสตเยซูและเราเป็นครูของเธอ, เราจะสอนเธอให้ทำงานโดยผ่านพระจิตศักดิ์สิทธิ์, เราได้สอนเธอให้รักเรา, เราได้รินงานทั้งหลายให้เธอเพื่อให้เธอสามารถเข้าใจเรา, เราเป็นความเข้มแข็งของเธอ,เธอจะได้รับความเข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคของผู้ที่จะทำให้เธอหนักใจซึ่งจะมีจำนวนมาก เด็กของเราเอ๋ย"
"เราจะอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา, อย่าได้รู้สึกถูกทอดทิ้งเลย, เราจะสอนเธอให้มีความเข้มแข็งมั่นคงแล้วเธอจะมองข้ามบรรดาผู้ทำให้เธอหนักใจทั้งหมดได้, เรากำลังเตรียมเธอ, เราจะป้อนเธอให้เต็มอิ่ม, จงมีสันติสุขของเราและยึดอยู่กับเราเสมอ เราพระเยซูคริสตเจ้า"
"เราจะให้เธอรับภาระการแบกกางเขนของเรา, กางเขนของเราร้องเรียกสันติและความรัก"
"ขอเถิดแล้วเธอจะได้รับ เพิ่มพูนความเชื่อของเธอต่อเราเถิด"
ขอเป็นกำลังใจแด่ทุกท่าน ที่กำลังเจอวิกฤติในชีวิตค่ะ
-
- โพสต์: 127
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 20, 2008 1:18 pm
พระเยซุเจ้าทรงสอนเราว่าการลูกของพระ น่ะ ไม่ได้สบายหรอก การเป็นลูกของพระองค์คือการแบกกางเขนแล้วเดินตามพระองค์ไป ปัญหาต่างที่มีมาเป็นสิ่งทีจะทดสอบในศรัทธาของเราว่ามั่นคงต่อพระองค์เพียงไหน แต่ก็อีกนั่นแหละ กางเขนที่พระองค์ให้เราแบก ก็ทำให้เราได้รู้จักคน รู้จักโลก และทุกข์ สุข ซึ่งจะเป็นบทเรียนให้เราดำเนินชีวิตต่อไป และในบางครั้งยังอาจช่วยคนที่ เจออะไรแย่ๆกว่าเราได้อีก ศรัทธาจึงเป็นเรื่องสำคัญนะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อ่านครับ แต่ยังไม่ได้กรอง อยากถามต่อว่า
1.เป็นคริสเตียน หรือคริสตัง
2. อยู่กับพ่อแม่ หรือเปล่า
3. ทำไม ไม่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา หรือ ผู้ใหญ่ เรื่องชั้นเรียน
4. ดีใจที่เห็นความเข้มแข็งในชีวิต "ล้มแล้วลุก" ชีวิตประสบความสำเร็จแน่นอน พระเยซูคริสต์ ขณะแบกกางเขนเดินไปรับความตาย ทรงหกล้ม แล้วทรงลุก
ขึ้นมา และพระองค์ทรงทำสำเร็จ เมื่อก่อนสิ้นใจ พระวาทะสุดท้าย พระองค์ตรัสบนกางเขนว่า "สำเร็จแล้ว" นั่นคือชัยชนะเหนือความตาย เหนืออำนาจ
ของมารซาตาน จึงทำให้เราได้รับชัยชนะจากมารร้ายเหมือนพระองค์
5.ขอให้คุณมุ่งมั่นต่อสู้ต่อไป พระเจ้าจะทรงใช้ชีวิต และประสบการณ์ของคุณ เป็นท่อพระพรไปถึง คนที่มีปัญหา ต่อไป
1.เป็นคริสเตียน หรือคริสตัง
2. อยู่กับพ่อแม่ หรือเปล่า
3. ทำไม ไม่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา หรือ ผู้ใหญ่ เรื่องชั้นเรียน
4. ดีใจที่เห็นความเข้มแข็งในชีวิต "ล้มแล้วลุก" ชีวิตประสบความสำเร็จแน่นอน พระเยซูคริสต์ ขณะแบกกางเขนเดินไปรับความตาย ทรงหกล้ม แล้วทรงลุก
ขึ้นมา และพระองค์ทรงทำสำเร็จ เมื่อก่อนสิ้นใจ พระวาทะสุดท้าย พระองค์ตรัสบนกางเขนว่า "สำเร็จแล้ว" นั่นคือชัยชนะเหนือความตาย เหนืออำนาจ
ของมารซาตาน จึงทำให้เราได้รับชัยชนะจากมารร้ายเหมือนพระองค์
5.ขอให้คุณมุ่งมั่นต่อสู้ต่อไป พระเจ้าจะทรงใช้ชีวิต และประสบการณ์ของคุณ เป็นท่อพระพรไปถึง คนที่มีปัญหา ต่อไป
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
นายเก่งมาก พระเจ้าอวยพร
ในเรื่องอ่านแล้วแลดูโชคร้าย แต่แท้จริงคุณมีความโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือ...
คุณมีความเชื่อที่มั่นคงและมีศรัทธาที่หนักแน่น
เบื้องหลังกางเขนย่อมมีแสงสว่าง...
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไป จะช่วยสวดภาวนาให้อีกแรงค่ะ
ป.ล. ฝากเพลงไว้ให้ฟังหนุนใจนะคะ http://www.imeem.com/people/OMGO9Q/music/Qabk7N-1/kai/
กับแฟลชหนุนใจสั้นๆ อีกหนึ่งค่ะ http://www.donghaeng.net/english/duty/duty.swf
คุณมีความเชื่อที่มั่นคงและมีศรัทธาที่หนักแน่น
เบื้องหลังกางเขนย่อมมีแสงสว่าง...
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไป จะช่วยสวดภาวนาให้อีกแรงค่ะ
ป.ล. ฝากเพลงไว้ให้ฟังหนุนใจนะคะ http://www.imeem.com/people/OMGO9Q/music/Qabk7N-1/kai/
กับแฟลชหนุนใจสั้นๆ อีกหนึ่งค่ะ http://www.donghaeng.net/english/duty/duty.swf
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ จันทร์ ต.ค. 20, 2008 1:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
โอเค ผมเพิ่งสวดมาและเพิ่งนั่งสมาธิไป 2 ชั่วโมง
และเพิ่งเข้ามาที่กระทู้นี้แน่นอนว่าผมปรึกษากับอาจารย์ทุกๆคนแล้ว
ผมเป็นคริสตัง...ใช่เเล้ว พ่อแม่...ดีใจมากเสียอีกที่ผมแข็งแกร่งขึ้น ยอมให้ผมเลือกก้าวเดินมากกว่าที่เดินคุม มันไม่ใช่วันสิ้นโลกนะ
"ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปในทางที่ตัวเองต้องการเถอะ" ท่านพูด ท่านไม่สนว่าผมจะเป็นคริสต์ หรือพุทธ สนเพียงแค่นั้น...นายคือลูกของฉัน
แน่นอนบางคนคิดว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ผมออกมา...คงงั้นสินะ
แต่ว่า ผมก็เข้าใจดีว่าชีวิตผมมันไม่ได้สูญสิ้นไปจากโลกนี้เสียหน่อย ชีวิตยังมีทางให้เดินอีกมา
และผมก็มั่นใจในตัวเองว่ามีความศรัทธาและมุ่งมั่นมากพอที่จะก้าวเดิน...ห่ะ แน่นอนก็จะต้องมีเรื่องมาสะดุดเเข้งขามาทำให้ล้มอีก
โอเค ผมก็จะไปเรียนกศน. ทำงานและไปเรียนราม ผมคิดว่าจะจบภายใน 2 ปีและจะไปต่อมหาวิทยาลัยเอาปริญญาอีกใบ
นั่นแหละ ผมคิดว่าตัวเองแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
รู้ไหมว่าผมยังคิดว่า ตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้...นั่นก็ถูก แต่จะไม่ยอมให้ความคิดนั้นเข้ามาครอบงำผมเด็ดขาด
ถ้าผมไม่เจอเรื่องราวงี่เง่าอย่างนั้น
....ตอนนี้ผมคงเป็นใครสักคนที่อ่อนแอ ยอมทำตามคำสั่งของคำอื่น ยอมเขาทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขามาก้าวร้าวใส่เรา
กลัวไปเสียทุกสิ่ง กลัวเอามาก ไม่ยอมที่จะเข้มเเข็ง
ฟังดูเหมือนกับเรื่องในอุดมคตินะ ดูดี...แต่ว่านั่นแหละ คุณจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คุณเจออย่างร้ายกาจนั้นจะส่งผลต่อตัวคุณมากเพียงไร
อย่างน้อยถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิดทั้งหมดเเล้ว ส่วนที่ดีที่ยังมีอยู่คือ ผมเรียนรู้และยอมรับมันไปว่า...สิ่งผิดพลาดนั้นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงส่งมันมาสร้างความอดทนและเข้มเเข็งให้มากขึ้น เหมือนดั่งที่ผมเฝ้าภาวนาเฝ้าขอมันทุกครั้ง
ถึงตอนนี้จะเป็นผู้ใหญ่ ผมก็ยังมีค่ำคืนที่เจ็บปวดจนไม่สามารถหลับตาลงได้อยู่
แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขมขื่นที่แสนหวาน....
ขอบคุณสำหรับเพลงและแฟลชครับ
พระเจ้าอวยชัย
และเพิ่งเข้ามาที่กระทู้นี้แน่นอนว่าผมปรึกษากับอาจารย์ทุกๆคนแล้ว
ผมเป็นคริสตัง...ใช่เเล้ว พ่อแม่...ดีใจมากเสียอีกที่ผมแข็งแกร่งขึ้น ยอมให้ผมเลือกก้าวเดินมากกว่าที่เดินคุม มันไม่ใช่วันสิ้นโลกนะ
"ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปในทางที่ตัวเองต้องการเถอะ" ท่านพูด ท่านไม่สนว่าผมจะเป็นคริสต์ หรือพุทธ สนเพียงแค่นั้น...นายคือลูกของฉัน
แน่นอนบางคนคิดว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ผมออกมา...คงงั้นสินะ
แต่ว่า ผมก็เข้าใจดีว่าชีวิตผมมันไม่ได้สูญสิ้นไปจากโลกนี้เสียหน่อย ชีวิตยังมีทางให้เดินอีกมา
และผมก็มั่นใจในตัวเองว่ามีความศรัทธาและมุ่งมั่นมากพอที่จะก้าวเดิน...ห่ะ แน่นอนก็จะต้องมีเรื่องมาสะดุดเเข้งขามาทำให้ล้มอีก
โอเค ผมก็จะไปเรียนกศน. ทำงานและไปเรียนราม ผมคิดว่าจะจบภายใน 2 ปีและจะไปต่อมหาวิทยาลัยเอาปริญญาอีกใบ
นั่นแหละ ผมคิดว่าตัวเองแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
รู้ไหมว่าผมยังคิดว่า ตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้...นั่นก็ถูก แต่จะไม่ยอมให้ความคิดนั้นเข้ามาครอบงำผมเด็ดขาด
ถ้าผมไม่เจอเรื่องราวงี่เง่าอย่างนั้น
....ตอนนี้ผมคงเป็นใครสักคนที่อ่อนแอ ยอมทำตามคำสั่งของคำอื่น ยอมเขาทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขามาก้าวร้าวใส่เรา
กลัวไปเสียทุกสิ่ง กลัวเอามาก ไม่ยอมที่จะเข้มเเข็ง
ฟังดูเหมือนกับเรื่องในอุดมคตินะ ดูดี...แต่ว่านั่นแหละ คุณจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คุณเจออย่างร้ายกาจนั้นจะส่งผลต่อตัวคุณมากเพียงไร
อย่างน้อยถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิดทั้งหมดเเล้ว ส่วนที่ดีที่ยังมีอยู่คือ ผมเรียนรู้และยอมรับมันไปว่า...สิ่งผิดพลาดนั้นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงส่งมันมาสร้างความอดทนและเข้มเเข็งให้มากขึ้น เหมือนดั่งที่ผมเฝ้าภาวนาเฝ้าขอมันทุกครั้ง
ถึงตอนนี้จะเป็นผู้ใหญ่ ผมก็ยังมีค่ำคืนที่เจ็บปวดจนไม่สามารถหลับตาลงได้อยู่
แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขมขื่นที่แสนหวาน....
ขอบคุณสำหรับเพลงและแฟลชครับ
พระเจ้าอวยชัย
แก้ไขล่าสุดโดย martywinter เมื่อ จันทร์ ต.ค. 20, 2008 3:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
แหม..ทุกข์ปะปนกัน..สำหรับผมไม่เคยคิดเลย..ว่าจะต้องลำบากตอนอายุขนาดนี้รันทดที่สุดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มให้ลูก..ยังหาทางสว่างให้กับตนเองไม่ได้เลย..งานมีแต่ไกลมากไม่สามารถเดินทางไปได้ต้องดูแลคุณแม่ และลูกๆ ครับ แต่ยังยิ้มสู้จะสู้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตแหละครับ
ในบางครั้งเรารู้สึกเหมือนว่าเราไม่มีค่าสำหรับใครเลย..แต่จงรู้ว่าเรายังมีค่าที่สุด..สำรับใครคนนึงเสมอ
ในบางครั้งเรารู้สึกเหมือนว่าเราไม่มีค่าสำหรับใครเลย..แต่จงรู้ว่าเรายังมีค่าที่สุด..สำรับใครคนนึงเสมอ
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
เอ่อ สวัสดีครับ ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ผมไม่ได้เข้ามาที่บ้านหลังนี้
...บางคนคงจะจำผมได้ (และบางคนส่วนใหญ่คงจะไม่รู้จัก)
ผมมาบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนั้นครับ
(ข้างบน)
....
หลังจากที่ชีวิตหักเห 180 องศามาพักใหญ่ ผมพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนของตัวเองเฉลี่ยอาทิตย์ล่ะ 5 วันต่อสัปดาห์ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
ออกจากบ้านในช่วงเวลาเรียนและเฉพาะออกมาซื้อเสบียง ผมนอนและกินโดยไม่รู้วันเวลา อ่านหนังสือหลายเล่มไปมาๆ ขลุกอยู่กับอดีตที่จมลึกยิ่งกว่าในชีวิต
ว่าผมทำผิดตรงไหนที่ต้องมานั่งเป็นชายผู้เดียวดายในห้องนอนตัวเอง โทรศัพท์มือถือที่ชาร์ตกระทั่งแบตระเบิดและไม่เคยคิดจะซื้อใหม่อีกเลย
ตอนนี้มีเพียงเงินเก็บไม่กี่หมื่นที่จะประทังชีวิตอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ .....ให้ตายสิ ผมเกลียดตัวเอง
ผมลุกขึ้นมาเหมือนกับชายชราที่มีไม้เท้าหัก พยายามประคองตัวเดินไปจนสุดทาง....
ตอนนี้ที่ผมพิมพ์บทความระบายครั้งนี้เวลา 5:36 AM ผมยังไม่นอน หลังจากที่เขียนบันทึกย่อบทความในหนังสือเสร็จ ผมไม่แน่ใจว่าผมทำถูกไหมที่เป็นอย่างนี้
....บางคนนึกว่าผมตายไปแล้ว และกระจายข่าวออกไป
....ให้ตายสิ! บางคนเขียนบทความแสดงความเสียใจในบล็อกผม!
ผมว่าผมกำลังจะกลายเป็นโรค "ฮิคิโคโมริ" ว่าด้วยโรคที่บุคคลบางคนที่ไม่ยอมออกจากห้องหรือบ้านของตัวเอง (ขังตัวเองในบ้าน) เป็นเวลานานๆ
อย่าคิดมากเลย...ผมไม่เ็ป็นมันหรอก!(อาจจะนะ)
ถ้าใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ได้โปรด....ช่วยสวดให้ผมผ่านช่วงเวลาที่......ดำมืดที่สุดในชีวิตของผมด้วยเถอะ
....ผมแค่อยากจะผ่านมันไป...ก็แค่นั้น
ห่ะ!!....ผมจำหน้าตัวเองไม่ได้เเล้วว่าเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้ส่องกระจกมา 5 เดือนแล้วกระมัง!
...บางคนคงจะจำผมได้ (และบางคนส่วนใหญ่คงจะไม่รู้จัก)
ผมมาบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนั้นครับ
(ข้างบน)
....
หลังจากที่ชีวิตหักเห 180 องศามาพักใหญ่ ผมพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนของตัวเองเฉลี่ยอาทิตย์ล่ะ 5 วันต่อสัปดาห์ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
ออกจากบ้านในช่วงเวลาเรียนและเฉพาะออกมาซื้อเสบียง ผมนอนและกินโดยไม่รู้วันเวลา อ่านหนังสือหลายเล่มไปมาๆ ขลุกอยู่กับอดีตที่จมลึกยิ่งกว่าในชีวิต
ว่าผมทำผิดตรงไหนที่ต้องมานั่งเป็นชายผู้เดียวดายในห้องนอนตัวเอง โทรศัพท์มือถือที่ชาร์ตกระทั่งแบตระเบิดและไม่เคยคิดจะซื้อใหม่อีกเลย
ตอนนี้มีเพียงเงินเก็บไม่กี่หมื่นที่จะประทังชีวิตอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ .....ให้ตายสิ ผมเกลียดตัวเอง
ผมลุกขึ้นมาเหมือนกับชายชราที่มีไม้เท้าหัก พยายามประคองตัวเดินไปจนสุดทาง....
ตอนนี้ที่ผมพิมพ์บทความระบายครั้งนี้เวลา 5:36 AM ผมยังไม่นอน หลังจากที่เขียนบันทึกย่อบทความในหนังสือเสร็จ ผมไม่แน่ใจว่าผมทำถูกไหมที่เป็นอย่างนี้
....บางคนนึกว่าผมตายไปแล้ว และกระจายข่าวออกไป
....ให้ตายสิ! บางคนเขียนบทความแสดงความเสียใจในบล็อกผม!
ผมว่าผมกำลังจะกลายเป็นโรค "ฮิคิโคโมริ" ว่าด้วยโรคที่บุคคลบางคนที่ไม่ยอมออกจากห้องหรือบ้านของตัวเอง (ขังตัวเองในบ้าน) เป็นเวลานานๆ
อย่าคิดมากเลย...ผมไม่เ็ป็นมันหรอก!(อาจจะนะ)
ถ้าใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ได้โปรด....ช่วยสวดให้ผมผ่านช่วงเวลาที่......ดำมืดที่สุดในชีวิตของผมด้วยเถอะ
....ผมแค่อยากจะผ่านมันไป...ก็แค่นั้น
ห่ะ!!....ผมจำหน้าตัวเองไม่ได้เเล้วว่าเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้ส่องกระจกมา 5 เดือนแล้วกระมัง!
- martywinter
- โพสต์: 14
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 5:23 am
- ที่อยู่: I think, I can't tell you. Sorry.
ขอบคุณพระองค์ที่นำพาประสบการณ์อันล้ำค่าแก่ลูก
ถ้าก่อนหน้านั้นไม่มีประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด วันนี้ลูกคงไม่สามารถทนรับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดกว่าได้
ขอบคุณพระองค์ที่ยังอยู่เคียงข้างลูก คอยกระซิบเบาๆข้างหูและชี้แนะนาวทางให้ลูกก้าวไป
แม้ว่ามันจะขรุขระ...แต่ลูกก็ยังรู้ว่ามันจะมีทางอันแสนร่มรื่นและเต็มไปด้วยดอกไม้รายทางอันสวยงาม
และสุดปลายทางนั้น ลูกย่อมรู้แน่ชัดว่า...จะมีสิ่งที่วิเศษที่พระองค์เตรียมไว้ให้ลูกอยู่
ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาจากตัวลูกเอง ...ที่มีต่อพระองค์ ...อย่างแน่วแน่ ...และมั่นคง
ถ้าก่อนหน้านั้นไม่มีประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด วันนี้ลูกคงไม่สามารถทนรับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดกว่าได้
ขอบคุณพระองค์ที่ยังอยู่เคียงข้างลูก คอยกระซิบเบาๆข้างหูและชี้แนะนาวทางให้ลูกก้าวไป
แม้ว่ามันจะขรุขระ...แต่ลูกก็ยังรู้ว่ามันจะมีทางอันแสนร่มรื่นและเต็มไปด้วยดอกไม้รายทางอันสวยงาม
และสุดปลายทางนั้น ลูกย่อมรู้แน่ชัดว่า...จะมีสิ่งที่วิเศษที่พระองค์เตรียมไว้ให้ลูกอยู่
ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาจากตัวลูกเอง ...ที่มีต่อพระองค์ ...อย่างแน่วแน่ ...และมั่นคง
ชีวิตเปลี่ยนได้นะครับถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยน
ผมเองก็เคยมีช่วงชีวิตที่มีปัญหามาก่อน แตพอหันหลังให้มันและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสังคมใหม่ มันก็เริ่มใหม่ได้นะครับ วันหนึ่งข้างหน้าคุณจะพบชีวิตใหม่ครับ และสภาพนี้จะเป้นเพียงช่วงหนึ่งในอดีต
ขอพระเจ้าอวยพร
ผมเองก็เคยมีช่วงชีวิตที่มีปัญหามาก่อน แตพอหันหลังให้มันและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสังคมใหม่ มันก็เริ่มใหม่ได้นะครับ วันหนึ่งข้างหน้าคุณจะพบชีวิตใหม่ครับ และสภาพนี้จะเป้นเพียงช่วงหนึ่งในอดีต
ขอพระเจ้าอวยพร
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
มาให้กำลังใจครับ สู้ๆครับ ผมเองก็กำลังหางานทำอยู่เหมือนกัน ^^ ผมเชื่อว่าสักวันพระเจ้าจะประคองคุณให้ลุกขึ้นมาสู้กับเรื่องร้ายๆ ครับ
พระเจ้าอวยพร
พระเจ้าอวยพร
จะบอกว่า ที่เล่ามาทั้งหมด มันเป็นอาการของโรคซึมเศร้านะคะ ไม่ได้ไปหาหมอบ้างเหรอคะ กินยาระยะนึง เดี๋ยวก็หายค่ะ
แต่ถ้าไปไม่สะดวกนะคะ ก็ขอให้พยายามมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากๆนะคะ เข้ามาคุยบ่อยๆ และก็อย่าเก็บตัวในห้องมากนักนะคะ พยายามออกไปพบผู้คนบ้าง ถ้าทำได้นะคะ แต่ถ้ากลัว ก็ต้องค่อยๆฝืนนะคะ ค่อยๆพยายามเอาชนะตัวเองให้ได้ทีละเรื่องๆนะคะ
ว่างๆ ลองอ่านสารแม่พระที่นี่สิคะ http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... .php?f=8.0
เวลาอ่าน จะเหมือนกับแม่พระคุยกับเรา เราจะได้สามารถค่อยๆออกจากตัวเองได้ด้วย
และก็อยากให้ดูภาพนี้ไว้นะคะ พระเยซูเจ้ามาในโลกนี้ ก็เพื่อช่วยให้เราได้มีชีวิตนะคะ ตอนนี้พลังชีวิตของคุณเหมือนจะมอดไปทุกที ขอให้มองภาพนี้ไว้นะคะ
พระอวยพรนะคะ
แต่ถ้าไปไม่สะดวกนะคะ ก็ขอให้พยายามมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากๆนะคะ เข้ามาคุยบ่อยๆ และก็อย่าเก็บตัวในห้องมากนักนะคะ พยายามออกไปพบผู้คนบ้าง ถ้าทำได้นะคะ แต่ถ้ากลัว ก็ต้องค่อยๆฝืนนะคะ ค่อยๆพยายามเอาชนะตัวเองให้ได้ทีละเรื่องๆนะคะ
ว่างๆ ลองอ่านสารแม่พระที่นี่สิคะ http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... .php?f=8.0
เวลาอ่าน จะเหมือนกับแม่พระคุยกับเรา เราจะได้สามารถค่อยๆออกจากตัวเองได้ด้วย
และก็อยากให้ดูภาพนี้ไว้นะคะ พระเยซูเจ้ามาในโลกนี้ ก็เพื่อช่วยให้เราได้มีชีวิตนะคะ ตอนนี้พลังชีวิตของคุณเหมือนจะมอดไปทุกที ขอให้มองภาพนี้ไว้นะคะ
พระอวยพรนะคะ
ขอบคุณกระทู้ของคุณ.... มันช่วยให้คนอื่นมีกำลัง มีแรงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง รู้สึกว่าผมก้อเป็นเหมือนคุณนะ กำลังจะเป็นเลย
ผมได้อ่านแล้ว รู้สึกว่า แม้ว่าผมจะโชคร้าย แต่ก้อยังมีคนโชคร้ายกว่าผมหลายสิบเท่า นั้นสินะ เราจะผ่านไปได้ไหม
บททดสอบที่แสนลำบากนั้น ถึงแม้ว่ามันจะแสนสาหัสเพียงใด ถ้ามีพระองค์ค่อยปลอบโยน
ผมคิดมากเหมือนคุณถึงแม้ว่า เวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นยังไม่มาถึง แต่ผมก้อรู้สึกถึงมัน เรื่องของคุณดีมากคับ โชคดีจริงๆ ที่ผมผ่านมาได้อ่านพอดี ไม่งั้น...
"คิดถึงก้อไร้ค่า ยังต้องพรากจาก เจ็บปวดรวดร้าว ไร้ความหมาย ได้แต่วิญญาณร่อยลอย ค่อยหวั่นฝนซ่าฟ้าส้าง"
ผมเชื่ออยากมากมาย พระเจ้าได้เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณไว้ล่วงหน้าแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้คุณและตัวเองครับ อิอิ
สำหรับคนที่ท้อแท้มากมาย อย่างผม และรู้สึกเหมือนคุณ ผมเข้าใจว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน การที่ทำอะไรไม่สำเร็จและผิดหวัง
มันทรมาน และเจ็บปวดหัวใจ โลกทั้งโลกไร้ความหมาย กลายเป็นคนไร้ค่า ผมเข้าใจคุณดี ...
ยังไงก้อมีพระเจ้าอยู่ เราไม่ได้อยุ๋เดี่ยวดาย พระองค์ช่วยลูกเสมอยามโหดร้ายและไม่มีคัย ขอบคุณพระเจ้าที่ผมรู้จักพระองค์
ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน
ผมได้อ่านแล้ว รู้สึกว่า แม้ว่าผมจะโชคร้าย แต่ก้อยังมีคนโชคร้ายกว่าผมหลายสิบเท่า นั้นสินะ เราจะผ่านไปได้ไหม
บททดสอบที่แสนลำบากนั้น ถึงแม้ว่ามันจะแสนสาหัสเพียงใด ถ้ามีพระองค์ค่อยปลอบโยน
ผมคิดมากเหมือนคุณถึงแม้ว่า เวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นยังไม่มาถึง แต่ผมก้อรู้สึกถึงมัน เรื่องของคุณดีมากคับ โชคดีจริงๆ ที่ผมผ่านมาได้อ่านพอดี ไม่งั้น...
"คิดถึงก้อไร้ค่า ยังต้องพรากจาก เจ็บปวดรวดร้าว ไร้ความหมาย ได้แต่วิญญาณร่อยลอย ค่อยหวั่นฝนซ่าฟ้าส้าง"
ผมเชื่ออยากมากมาย พระเจ้าได้เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณไว้ล่วงหน้าแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้คุณและตัวเองครับ อิอิ
สำหรับคนที่ท้อแท้มากมาย อย่างผม และรู้สึกเหมือนคุณ ผมเข้าใจว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน การที่ทำอะไรไม่สำเร็จและผิดหวัง
มันทรมาน และเจ็บปวดหัวใจ โลกทั้งโลกไร้ความหมาย กลายเป็นคนไร้ค่า ผมเข้าใจคุณดี ...
ยังไงก้อมีพระเจ้าอยู่ เราไม่ได้อยุ๋เดี่ยวดาย พระองค์ช่วยลูกเสมอยามโหดร้ายและไม่มีคัย ขอบคุณพระเจ้าที่ผมรู้จักพระองค์
ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน
-
- โพสต์: 1946
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 01, 2005 8:23 pm
- ที่อยู่: On this earth obviously
โอ๊ย อ่านแล้วโดนเจ้าค่ะmartywinter เขียน: แต่ว่่าผม....บอกได้เพียงว่า บางคนยังมีมหาวิทยาลัยให้ไปเรียน ยังมีพ่อแม่อยู่ให้รัก มีงานให้ทำ ยังคงเอ็นติด ยังมีที่เรียน ยังมีสังคมแต่จะฆ่าตัวตายนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก พวกเขาโชคดีกว่าผมหลายเท่านักที่ยังคงมีหนทางที่จะก้าวเดิน ยังมีคนให้กำลังใจที่จะก้าวต่อไป
ผมไม่ใม่นักจิตวิทยาที่จะมาให้คำปรึกษาใครได้ เพียงแค่เรื่องของผมก็ขอที่จะทำให้ใครๆหลายคนที่จะฆ่าตัวตายฉุกคิดได้ว่า
ถึงแม้เรื่องมันจะเลวร้ายยังไง สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คุณยังมีชีวิตอยู่
ถึงคุณจะล้มมาเท่าไร เรื่องราวที่ดีที่สุดก็คือ ยังคงมีชีวิตอยู่....ที่จะเรียนรู้สุขทุกบนโลกใบนี้่ไป
พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างคุณ...เชื่อมั่นในพระองค์และก้าวเดินต่อไป
ก้อจริง อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าชีวิตบูก้อโอนะ แต่ทำไมยังถึงอยากตายล่ะ
บูไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไม ทุกครั้งที่ทำ ทำไม่ถึงไม่ตายซักที พระเจ้าให้บูอยู่ต่อไปทำไม
สิ่งที่ดีที่สุด คือการมีชีวิตอยู่เหรอ อืม อันนี้ก้อไม่ค่อยแน่ใจแหะ
แต่ถ้าแลกชีวิตกะคนอื่นที่อยากได้ชีวิตของบูได้ บูก้อคงทำ อย่างน้อยก้อให้คนที่เค้าอยากมีชีวิตอยู่ไปดีกว่า
เพราะบูอยู่ไปก้อ..
อีกสามปีจะเรียนจบแล้ว แล้วก้อไม่รู้จะไปทำไรต่อ
ไม่รู้จะเอายังไงกะชีวิตดี อืมมมม
เฮ้อ..
ก้อบจากอีกโพสมาให้อ่าน
ผมจะเปรียบเทียบเรื่องนึงให้ฟังนะครับ เราทุกคนต่างรู้ใช่ใหมว่าเหรียญมี2ด้าน หัว-ก้อย สมมุติหัวคือแสงสว่าง ก้อยคือด้านมืด ถ้าเราอยู่ด้านใดด้านนึงของเหรียญย่อมมองไม่เห็นอีกด้าน ด้านมืดย่อมไม่เข้าใจและไม่เคยรู้หรือสัมพัสด้านส่ว่าง ด้านส่ว่างก็เช่นกันรู้จักอีกด้านนั้นน้อยมาก เมื่อเราเกิดความขัดแย้งกับใครก็เหมือนเหรียญ2ด้าน ยากที่ต่างฝ่ายจะเข้าใจอีกด้านได้ แต่คนที่บรรลุและเข้าใจโลกจะมองเห็นว่ามีขอบเหรียญอยู่ ขอบเหรียญนั้นเป็นสิ่งที่กันกลางระหว่างด้านทั้ง2 เปรียบตัวเราเองจะเป็นเหรียญด้านใหน ถ้าเราเป็นหัวและกลืนกินอีกด้านจนหมดยังจะเป็นเหรียญอยู่ใหม??
มีแต่คน โง่ที่คิดว่าจะเปลี่ยนอีกด้านให้เป็นแบบของตัวเอง เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเราเองได้ถ้าเราย้ายมาขอบเหรียญเราจะรู้ว่ามีอีก2ด้านรอบ ตัวเรา และเราจะเข้าใจและมองเห็นทั้ง2ด้าน สิ่งที่ผมจะบอกคือ โลกและคนในโลกก็เป็นเหมือนเหรียญย่อมมีด้านมืดและด้านสว่าง
พระเจ้าสอน ให้เราเลือกแสงสว่างและสอนให้เรารู้จักและเกรงกลัวอีกด้านว่าสามารถล่อลวง เราและนำพาเราสู่ความตายได้ นั่นคือเราต้องรู้จักทั้ง2ด้านเราต้องหงายด้านสว่างขึ้นเพื่อให้ด้านมืดอยู่ เบื่องล่าง แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับตัวเราเองหรือกับคนอื่นเราต้องมาอยู่ที่ขอบ เหรียญ เราจะเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นและเข้าใจคนอื่นๆและเข้าใจโลกมากขึ้น เราต้องรักษาสมดุลทั้ง2ด้านให้ได้ ย้ำคับว่ามีแต่คนโง่ที่อยากจะลบอีกด้านที่ตรงข้ามที่ตัวเองเลือกออกไป อีกด้านจะยังคงอยู่ตราบที่เรายังคงอยู่ เพราะงั้นอย่าแปลกใจกับอะไรที่คุนเจอในที่ทำงาน จงเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ได้และอยู่กับมันให้ได้สิ่งเหล่านี้ผ่านมาในชีวิตเพื่อให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง และรู้จักความอ่อนแอในโลกใบใหญ่นี้ คุนรับบัพติสมาแล้ว?? สิ่งเหล่านี้ปันหาที่เกิดกับคุนตอนนี้กำลังหล่อหลอมประจักพยานส่วนตัวของคุนกับพระเจ้า เพื่อคุนจะรู้จักโลกมากขึ้นและรู้ว่าจะหาความจริงและสิ่งปลอบโยนได้ที่ใหน
ผมก้อปปี้มานะครับ ผมว่ามันใช้ได้สำหรับคำถามในใจคุนแน่นอน
ผมจะเปรียบเทียบเรื่องนึงให้ฟังนะครับ เราทุกคนต่างรู้ใช่ใหมว่าเหรียญมี2ด้าน หัว-ก้อย สมมุติหัวคือแสงสว่าง ก้อยคือด้านมืด ถ้าเราอยู่ด้านใดด้านนึงของเหรียญย่อมมองไม่เห็นอีกด้าน ด้านมืดย่อมไม่เข้าใจและไม่เคยรู้หรือสัมพัสด้านส่ว่าง ด้านส่ว่างก็เช่นกันรู้จักอีกด้านนั้นน้อยมาก เมื่อเราเกิดความขัดแย้งกับใครก็เหมือนเหรียญ2ด้าน ยากที่ต่างฝ่ายจะเข้าใจอีกด้านได้ แต่คนที่บรรลุและเข้าใจโลกจะมองเห็นว่ามีขอบเหรียญอยู่ ขอบเหรียญนั้นเป็นสิ่งที่กันกลางระหว่างด้านทั้ง2 เปรียบตัวเราเองจะเป็นเหรียญด้านใหน ถ้าเราเป็นหัวและกลืนกินอีกด้านจนหมดยังจะเป็นเหรียญอยู่ใหม??
มีแต่คน โง่ที่คิดว่าจะเปลี่ยนอีกด้านให้เป็นแบบของตัวเอง เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเราเองได้ถ้าเราย้ายมาขอบเหรียญเราจะรู้ว่ามีอีก2ด้านรอบ ตัวเรา และเราจะเข้าใจและมองเห็นทั้ง2ด้าน สิ่งที่ผมจะบอกคือ โลกและคนในโลกก็เป็นเหมือนเหรียญย่อมมีด้านมืดและด้านสว่าง
พระเจ้าสอน ให้เราเลือกแสงสว่างและสอนให้เรารู้จักและเกรงกลัวอีกด้านว่าสามารถล่อลวง เราและนำพาเราสู่ความตายได้ นั่นคือเราต้องรู้จักทั้ง2ด้านเราต้องหงายด้านสว่างขึ้นเพื่อให้ด้านมืดอยู่ เบื่องล่าง แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับตัวเราเองหรือกับคนอื่นเราต้องมาอยู่ที่ขอบ เหรียญ เราจะเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นและเข้าใจคนอื่นๆและเข้าใจโลกมากขึ้น เราต้องรักษาสมดุลทั้ง2ด้านให้ได้ ย้ำคับว่ามีแต่คนโง่ที่อยากจะลบอีกด้านที่ตรงข้ามที่ตัวเองเลือกออกไป อีกด้านจะยังคงอยู่ตราบที่เรายังคงอยู่ เพราะงั้นอย่าแปลกใจกับอะไรที่คุนเจอในที่ทำงาน จงเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ได้และอยู่กับมันให้ได้สิ่งเหล่านี้ผ่านมาในชีวิตเพื่อให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง และรู้จักความอ่อนแอในโลกใบใหญ่นี้ คุนรับบัพติสมาแล้ว?? สิ่งเหล่านี้ปันหาที่เกิดกับคุนตอนนี้กำลังหล่อหลอมประจักพยานส่วนตัวของคุนกับพระเจ้า เพื่อคุนจะรู้จักโลกมากขึ้นและรู้ว่าจะหาความจริงและสิ่งปลอบโยนได้ที่ใหน
ผมก้อปปี้มานะครับ ผมว่ามันใช้ได้สำหรับคำถามในใจคุนแน่นอน