ถ้าเชื่อในพันธสัญญาใหม่แต่ไม่เชื่อในพันธสัญญาเก่า
-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
คือมีปัญหาอยู่ว่า อาจจะเป็นเพราะการศึกษาทางประวัติศาสตร์ทำให้ผมรู้สึกว่าพันธสัญญาเก่ามีข้อบกพร่องอยู่เยอะในหลายๆจุด
เช่นการที่ชาวยิวมองถึงความสำคัญของตัวเองมากเกินไป ที่อาจจะเป็นเพราะการเป็นเผ่าเรร่อนหรือป่าว
เลยอยากถามว่ามันผิดหรือป่าวอะครับ แต่ตัวผมเองก็ยังยึดมั่นในพระเสมอก็และก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อความเชื่อแต่อย่างใด
(ยกเว้นแค่ไม่เชื่อในพันธสัญญาเก่าเท่านั้นเอง)
เช่นการที่ชาวยิวมองถึงความสำคัญของตัวเองมากเกินไป ที่อาจจะเป็นเพราะการเป็นเผ่าเรร่อนหรือป่าว
เลยอยากถามว่ามันผิดหรือป่าวอะครับ แต่ตัวผมเองก็ยังยึดมั่นในพระเสมอก็และก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อความเชื่อแต่อย่างใด
(ยกเว้นแค่ไม่เชื่อในพันธสัญญาเก่าเท่านั้นเอง)
พันธสัญญาเก่า ทำนายและเทียบถึงการมาของพระเยซูคริสต์ ถ้าไม่เชื่อ ก็จะไม่สมบูรณ์ครับ
การที่ประชากรชาวยิวได้รับเลือกสรร ไม่ใช่เรื่องโม้ครับ ในพระธรรมใหม่ ก็ยังยืนยันเรื่องนี้ เราควรเข้าใจให้ถูกต้องว่า
พระเจ้าค่อยๆเผยพระองค์ทีละน้อยในประวัติศาสตร์มนุษย์
และเริ่มเผยตั้งแต่หน้าแรกของพันธสัญญาเดิม ดังนั้น ความเข้าใจในพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมอาจยังไม่สมบูรณ์ แต่อย่าคิดว่ามันโกหกหรือไม่จริง
เพราะแม้แต่พระเยซูเองยังตรัสว่า ไม่ได้ทรงมาลบล้างพันธสัญญาเดิม แต่มาทำให้สมบูรณ์
ดังนั้นต้องเชื่อว่ามันจริง เพียงแต่ยังเป็นความจริงที่ไม่สมบูรณ์ครับ ความจริงสมบูรณ์บรรลุถึงจุดสูงสุดที่พระเยซูคริสต์ครับ
การที่ประชากรชาวยิวได้รับเลือกสรร ไม่ใช่เรื่องโม้ครับ ในพระธรรมใหม่ ก็ยังยืนยันเรื่องนี้ เราควรเข้าใจให้ถูกต้องว่า
พระเจ้าค่อยๆเผยพระองค์ทีละน้อยในประวัติศาสตร์มนุษย์
และเริ่มเผยตั้งแต่หน้าแรกของพันธสัญญาเดิม ดังนั้น ความเข้าใจในพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมอาจยังไม่สมบูรณ์ แต่อย่าคิดว่ามันโกหกหรือไม่จริง
เพราะแม้แต่พระเยซูเองยังตรัสว่า ไม่ได้ทรงมาลบล้างพันธสัญญาเดิม แต่มาทำให้สมบูรณ์
ดังนั้นต้องเชื่อว่ามันจริง เพียงแต่ยังเป็นความจริงที่ไม่สมบูรณ์ครับ ความจริงสมบูรณ์บรรลุถึงจุดสูงสุดที่พระเยซูคริสต์ครับ
แต่ก่อนก็ไม่ชอบพระธรรมเก่าเหมือนกันค่ะ มีความรู้สึกว่า เป็นพระคัมภีร์ได้ไงเนี่ย หลายคนในพระธรรมเก่า ก็เลวร้ายสุดๆ อ่านแล้ว อี๋ย์ ก็มี 
ต่อมา ได้เข้าใจว่า
ถ้าอยากรู้ "ธรรมชาติของมนุษย์" ให้อ่านพระธรรมเก่า
ถ้าอยากเข้าใจคำว่า "พันธสัญญา" ให้อ่านพระธรรมเก่า
ถ้าอยากเห็นความรัก ความสัมพันธ์ที่มั่นคงยาวนานของพระเป็นเจ้า ให้อ่านพระธรรมเก่า


ต่อมา ได้เข้าใจว่า
ถ้าอยากรู้ "ธรรมชาติของมนุษย์" ให้อ่านพระธรรมเก่า
ถ้าอยากเข้าใจคำว่า "พันธสัญญา" ให้อ่านพระธรรมเก่า
ถ้าอยากเห็นความรัก ความสัมพันธ์ที่มั่นคงยาวนานของพระเป็นเจ้า ให้อ่านพระธรรมเก่า



ภาษาศาสนา มีลักษณะที่แตกต่างไปจากภาษาสามัญในชีวิตประจำวัน ไว้ถ้ามีโอกาสศึกษาลึกซึ้งมากขึ้นจะมาแบ่งปัน
อีกประการหนึ่ง "พระคัมภีร์" ไม่ใช่งานวรรณกรรมเพื่อความบันเทิง ไม่ใช่งานประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ เวลาอ่านก็เลยต้องอ่านแบบอ่าน "พระค้มภีร์"
ด้วยเหตุนี้ "พระคัมภีร์" (เป็นต้น ภาคพันธสัญญาเดิม) จึงจะมีคุณค่าและความหมายในชีวิตของพวกเรา
อีกประการหนึ่ง "พระคัมภีร์" ไม่ใช่งานวรรณกรรมเพื่อความบันเทิง ไม่ใช่งานประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ เวลาอ่านก็เลยต้องอ่านแบบอ่าน "พระค้มภีร์"
ด้วยเหตุนี้ "พระคัมภีร์" (เป็นต้น ภาคพันธสัญญาเดิม) จึงจะมีคุณค่าและความหมายในชีวิตของพวกเรา

-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
คือยกตัวอย่างเช่นการที่ชาวยิวบอกว่าเป็นต้นกำเนิดของประชากรโลก
หรือระยะเวลาที่เทียบเคียงตามประวัติศาสตร์แล้วมันก็ผิดเพี้ยน
แต่โดยตัวผมเองจะคิดว่าประวัติศาสตร์มันไม่สำคัญ
เพราะว่าจริงเท็จผ่านมานาน คนเขียนก็เขียนตามจริงบ้าง
ตามอารมณ์บ้างหรือตามโลกทรรศน์ตัวเองบ้าง
ผมเลยถือว่าถ้าเรานับพระเจ้าคือความจริงพระคริสต์คือความจริง
แม่พระและเหล่านักบุญก็เป็นตัวแทนความเมตตานั้น
สิ่งอื่นๆนั้นก็ไม่สำคัญไม่ใช่หรอครับ
หรือระยะเวลาที่เทียบเคียงตามประวัติศาสตร์แล้วมันก็ผิดเพี้ยน
แต่โดยตัวผมเองจะคิดว่าประวัติศาสตร์มันไม่สำคัญ
เพราะว่าจริงเท็จผ่านมานาน คนเขียนก็เขียนตามจริงบ้าง
ตามอารมณ์บ้างหรือตามโลกทรรศน์ตัวเองบ้าง
ผมเลยถือว่าถ้าเรานับพระเจ้าคือความจริงพระคริสต์คือความจริง
แม่พระและเหล่านักบุญก็เป็นตัวแทนความเมตตานั้น
สิ่งอื่นๆนั้นก็ไม่สำคัญไม่ใช่หรอครับ
-
- โพสต์: 1042
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
- ที่อยู่: Ether23@hotmail.com
ลองอ่าน อิสยาห์ บทที่ 53 ดูสิ เเล้วจะรู้ 

-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
ต้องกล่าวดังนี้ก่อนว่าในความเป็นจริงแล้วณ เวลานั้น
ชนชาติอื่นก็กล่าวถึงการมาถึงของพระคริสต์ บางทีอาจจะชัดกว่ายิวก็ได้
แต่ที่ผมหมายถึงคือในคัมภีร์ใหม่นั้นผมสังเกตได้ถึงการเขียนที่เกิดจากน้ำพระทัย
ของพระเจ้าซึ่งส่งผ่านมาถึงพระคริสต์ และโดยการสอนของพระคริสต์เอง
ก็สอนอย่างเป็นกลางโดยไม่มีอคติและและก็ไม่ได้ยึดมุมมองของชนชาติยิวเอง
แต่ในคัมภีร์เก่านั้นผมรู้สึกว่ายิวเขียนจากการมองผ่านมุมมองของตัวเองมากเกินไป
มันอาจจะมีเรื่องจริง แต่ก็เหมือนเราในปัจจุบันเช่นบางประเทศขาดน้ำน้ำก็สำคัญ
หรืออย่างบางประเทศมีน้ำมาก น้ำก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นต้น
การเล่าเรื่องหนึ่งในมุมมองหนึ่ง อาจจะไม่เหมื่อนการมองของคนอื่นก็เป็นได้
เช่นการที่ยิวมองว่าหลังจากพระเจ้าทำลายหอคอยบาเบลแล้วก็สาบให้มนุษย์มีหลายภาษา
แต่ในความจริงอาจจะเพราะว่ายิวเองไม่เคยได้เจอคนพูดภาษาอื่นจนกระทั่งหอคอยถล่มหรือป่าว
เลยนึกไปเอง
อันนี้ไม่ใช่ลบหลู่นะครับเพราะตัวผมเองเชื่อว่าการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
นั้นสำคัญมากกว่าการโกหกตัวเอง การพิสูจน์หรือศึกษาความจริงนั้นย้อมทำให้เราเข้าถึง
พระองค์ได้มากขึ้นเหมือนอย่างเซอไอแซคเป็นต้น ที่ว่ายิ่งศึกษาวิทยาศาสตร์
เราก็รู้ว่าพระองค์นั้นทรงพลังอย่างไร เพราะบางทีผมก็ว่าๆยิวชอบบิดเบือนพระวจนะเพื่อตัวเอง
หรือเพื่อปลอบใจตัวเอง
ถ้าทำให้ใครไม่พอใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแง่มุมของเหตุและผล
ชนชาติอื่นก็กล่าวถึงการมาถึงของพระคริสต์ บางทีอาจจะชัดกว่ายิวก็ได้
แต่ที่ผมหมายถึงคือในคัมภีร์ใหม่นั้นผมสังเกตได้ถึงการเขียนที่เกิดจากน้ำพระทัย
ของพระเจ้าซึ่งส่งผ่านมาถึงพระคริสต์ และโดยการสอนของพระคริสต์เอง
ก็สอนอย่างเป็นกลางโดยไม่มีอคติและและก็ไม่ได้ยึดมุมมองของชนชาติยิวเอง
แต่ในคัมภีร์เก่านั้นผมรู้สึกว่ายิวเขียนจากการมองผ่านมุมมองของตัวเองมากเกินไป
มันอาจจะมีเรื่องจริง แต่ก็เหมือนเราในปัจจุบันเช่นบางประเทศขาดน้ำน้ำก็สำคัญ
หรืออย่างบางประเทศมีน้ำมาก น้ำก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นต้น
การเล่าเรื่องหนึ่งในมุมมองหนึ่ง อาจจะไม่เหมื่อนการมองของคนอื่นก็เป็นได้
เช่นการที่ยิวมองว่าหลังจากพระเจ้าทำลายหอคอยบาเบลแล้วก็สาบให้มนุษย์มีหลายภาษา
แต่ในความจริงอาจจะเพราะว่ายิวเองไม่เคยได้เจอคนพูดภาษาอื่นจนกระทั่งหอคอยถล่มหรือป่าว
เลยนึกไปเอง
อันนี้ไม่ใช่ลบหลู่นะครับเพราะตัวผมเองเชื่อว่าการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
นั้นสำคัญมากกว่าการโกหกตัวเอง การพิสูจน์หรือศึกษาความจริงนั้นย้อมทำให้เราเข้าถึง
พระองค์ได้มากขึ้นเหมือนอย่างเซอไอแซคเป็นต้น ที่ว่ายิ่งศึกษาวิทยาศาสตร์
เราก็รู้ว่าพระองค์นั้นทรงพลังอย่างไร เพราะบางทีผมก็ว่าๆยิวชอบบิดเบือนพระวจนะเพื่อตัวเอง
หรือเพื่อปลอบใจตัวเอง
ถ้าทำให้ใครไม่พอใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแง่มุมของเหตุและผล
ที่บอกมา ทั้งหมดนั้น ก็คือ ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เหรอคะminimalchic เขียน: ต้องกล่าวดังนี้ก่อนว่าในความเป็นจริงแล้วณ เวลานั้น
ชนชาติอื่นก็กล่าวถึงการมาถึงของพระคริสต์ บางทีอาจจะชัดกว่ายิวก็ได้
แต่ที่ผมหมายถึงคือในคัมภีร์ใหม่นั้นผมสังเกตได้ถึงการเขียนที่เกิดจากน้ำพระทัย
ของพระเจ้าซึ่งส่งผ่านมาถึงพระคริสต์ และโดยการสอนของพระคริสต์เอง
ก็สอนอย่างเป็นกลางโดยไม่มีอคติและและก็ไม่ได้ยึดมุมมองของชนชาติยิวเอง
แต่ในคัมภีร์เก่านั้นผมรู้สึกว่ายิวเขียนจากการมองผ่านมุมมองของตัวเองมากเกินไป
มันอาจจะมีเรื่องจริง แต่ก็เหมือนเราในปัจจุบันเช่นบางประเทศขาดน้ำน้ำก็สำคัญ
หรืออย่างบางประเทศมีน้ำมาก น้ำก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นต้น
การเล่าเรื่องหนึ่งในมุมมองหนึ่ง อาจจะไม่เหมื่อนการมองของคนอื่นก็เป็นได้
เช่นการที่ยิวมองว่าหลังจากพระเจ้าทำลายหอคอยบาเบลแล้วก็สาบให้มนุษย์มีหลายภาษา
แต่ในความจริงอาจจะเพราะว่ายิวเองไม่เคยได้เจอคนพูดภาษาอื่นจนกระทั่งหอคอยถล่มหรือป่าว
เลยนึกไปเอง
อันนี้ไม่ใช่ลบหลู่นะครับเพราะตัวผมเองเชื่อว่าการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
นั้นสำคัญมากกว่าการโกหกตัวเอง การพิสูจน์หรือศึกษาความจริงนั้นย้อมทำให้เราเข้าถึง
พระองค์ได้มากขึ้นเหมือนอย่างเซอไอแซคเป็นต้น ที่ว่ายิ่งศึกษาวิทยาศาสตร์
เราก็รู้ว่าพระองค์นั้นทรงพลังอย่างไร เพราะบางทีผมก็ว่าๆยิวชอบบิดเบือนพระวจนะเพื่อตัวเอง
หรือเพื่อปลอบใจตัวเอง
ถ้าทำให้ใครไม่พอใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแง่มุมของเหตุและผล

คือธรรมชาติมนุษย์ ไม่ใช่เหรอคะ

คือความบาปของคน ไม่ใช่เหรอคะ

คือการมองมุมของตัวเอง มองแต่ตัวเอง เห็นแก่ตัว ไม่รู้ว่า ความจริงคืออะไร

มันก็คือความบาปของมนุษย์ที่น่าขยะแขยงอยู่แล้วนี่คะ

และก็เป็นธรรมชาติมนุษย์ ที่เวลาเดือดร้อน ก็พึ่งสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เข้าข้างตัวเอง
แปลกตรงไหนเหรอคะ และไม่เป็นความจริงตรงไหนคะ

แต่... ถึงจะน่าขยะแขยงยังไง ที่สุดแล้วก็คือ พระเจ้ายังรัก และไม่เคยทิ้ง

ไม่ใช่ตรงนี้เหรอคะ ที่เป็นใจความของพันธสัญญาเก่า

ไม่ว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ชาวยิวจะเลวร้าย เห็นแก่ตัว มองแต่ตัวเอง คิดแต่ว่า ตัวเองดีที่สุด พระเจ้ารักที่สุดยังไง พันธสัญญาที่พระเจ้าทำไว้ ก็ไม่เคยเปลี่ยน

ไม่ใช่อันนี้เหรอคะที่เป็นใจความสำคัญน่ะค่ะ

ขอบคุณที่แบ่งปันกันนะคะ และขอให้พูดต่อไป แสดงความเห็นต่อไป คิดยังไงก็พูดออกมา เพราะสุดท้ายแล้ว คุณจะเจอตัวเองค่ะ เพราะส่วนใหญ่นะคะ อะไรก็ตามที่เรารับไม่ได้ และไม่เชื่อ มักจะสะท้อนความจริงบางอย่างในตัวเราค่ะ

พระอวยพรนะคะ

-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
ที่กล่าวมาไม่ได้มองในแง่ความรักนะครับ
เพราะเราย่อมทราบดีว่าในแง่มุมที่สะท้อนให้เห็น
พระหรรษทานของพระองค์ย่อมเป็นจริงเสมอ
แต่ประเด็นของผมคือความจริงทางประวัติศาสตร์มากกว่า
เพราะบางสิ่งที่มันจริงเราก็ควรเชื่อและบ้างสิ่ง
ที่มันไม่จริงเราควรเชื่อหรือป่าว
ความหมายของผมคือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อทั้งหมด
หรือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อว่าพระคัมภีร์เก่าได้รับการเติมเต็ม
จากพระคัมภีร์ใหม่ แต่เป็นบางเหตุการที่เราวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
หรือมีหลักฐานในรูปแบบใหม่เราควรจะยึ่ดแบบใหน
เพราะผมคิดว่าความจริงที่ไม่ต้องปรุงแต่งก็พอที่จะทำให้ผมศรัทธาแล้ว
เพราะเราย่อมทราบดีว่าในแง่มุมที่สะท้อนให้เห็น
พระหรรษทานของพระองค์ย่อมเป็นจริงเสมอ
แต่ประเด็นของผมคือความจริงทางประวัติศาสตร์มากกว่า
เพราะบางสิ่งที่มันจริงเราก็ควรเชื่อและบ้างสิ่ง
ที่มันไม่จริงเราควรเชื่อหรือป่าว
ความหมายของผมคือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อทั้งหมด
หรือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อว่าพระคัมภีร์เก่าได้รับการเติมเต็ม
จากพระคัมภีร์ใหม่ แต่เป็นบางเหตุการที่เราวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
หรือมีหลักฐานในรูปแบบใหม่เราควรจะยึ่ดแบบใหน
เพราะผมคิดว่าความจริงที่ไม่ต้องปรุงแต่งก็พอที่จะทำให้ผมศรัทธาแล้ว
เราจะทำให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกันminimalchic เขียน: แม่พระและเหล่านักบุญก็เป็นตัวแทนความเมตตานั้น
ให้ลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของนางเป็นศัตรูกันด้วย
เขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขา
ปฐก 3:15
คุณจะไม่เชื่อพระคำข้อนี้ที่กล่าวถึงแม่พระเหรอครับ

ผมว่า ถ้าชาวยิวเขียนตามใจตัวเองminimalchic เขียน: แต่ในคัมภีร์เก่านั้นผมรู้สึกว่ายิวเขียนจากการมองผ่านมุมมองของตัวเองมากเกินไป
ประกาศกเยเรมีย์ คงไม่บันทึกความฉิบหายของชนชาติตนเองไว้ชัดอย่างนี้หรอกครับ
ไหนจะยังช่วยชาวอิสราเอลดื้อดึงกับพระเจ้าและโมเสส
ลูกหลานที่ไหนครับ จะคิดเออเองเขียนด่าบรรพบุรุษตัวเองแบบนี้ ถ้ามันไม่ใช่ความจริง
ในเรื่องของพันธะสัญญาเดิมมากมาย วิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่าเป็นจริง
เช่น
กำแพงเมืองเยรีโคถล่มด่วยคำภาวนาของโยชูวา วิทยาศาสตร์ก็บอกว่าเป็นปรากฎการณืทางธรรมชาติไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์
หรืออย่างเรื่องที่โยชูวา อธิษฐานหยุดดวงอาทิตย์
แม่พระยังเคยแสดงอัศจรรย์ ดวงอาทิตย์เริงระบำที่ฟาติมาเลย ทำไมแค่นี้จะทำไม่ได้

แม้ชนต่างชาติที่คุณบอกว่าชาวยิวดูถูกนั้น
อย่างชาวบาบิโลน เขาก็มีบันทึกของตัวเองนะครับว่า
บรรพบุรุษของพวกเขา คือผู้เคยสร้างหอสูงเทียมฟ้า
(และนั่นก็นำไปสู่การสร้างสวนลอยฟ้า ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ อันเป็น1ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า)
พันธสัญญาเก่าเนี่ย เขียนถึงยิวไม่ใช่เฉพาะด้านดีอย่างเดียวนะครับ ถ้าได้ศึกษาอ่านดีๆ จะเห็นได้ถึงความดื้อดึง ดื้อด้านของชาวอิสราเอล
(จะมีกี่ตำนานกันที่แต่งแล้วเขียนถึงส่วนไม่ดีของตัวเองครับ) และหลายๆส่วนก็ได้รับการพิสูจน์ทางวิทย์ไปแล้วว่าเป็นจริงๆหลายเรื่อง
ไม่เหมือนประวัติศาสตร์ไทยนะครับ ที่แต่งให้ตัวเองดูดี ขนาดอาจารย์แม่ยังเชื่อเลย
เช่นประวัติศาสตร์ไทย บอกว่า ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น พอผมถามกลับว่า แล้วในสมัยอยุธยาตอนเสียกรุงเนี่ย หมายความว่าอย่างไร เพราะในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็นับรวมสมัยอยุธยาเข้าไปด้วย ก็มีคนแก้ต่างว่า ตอนนั้นไม่ได้ใช้คำว่า ประเทศไทย
และผมเลยถามต่อว่า แล้วอย่างนั้นทำไม ประเพณีลอยกระทงเอย อักษรไทยบนศิลาจารึ ถึงนับรวมเป็นวัฒนธรรมไทย ทั้งๆที่ประเภณีเหล่านั้นถือกำเนิดขึ้นนานมาแล้วก่อนที่จะมีคำว่า ประเทศไทย ทำไมถึงไม่ใช่คำว่า ประเพณีอยุธยา ประเพณีสุโขทัย ไม่ใช่ประเพณีไทย แล้วเขาคนนั้นก็ ....................ใบ้รับประทาน
และพอแก้ต่างไม่ขึ้นก็มาเหน็บแนมหาว่าไม่รักดี
มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย กับการที่แค่ยอมรับความเป็นจริง ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยจะยอมรับ ทำไมถึงอยากจะฟังในสิ่งที่อยากฟังและเชื่อสิ่งนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เป็นจริงๆ แต่ความจริงกลับไม่กล้าที่จะยอมรับ
(จะมีกี่ตำนานกันที่แต่งแล้วเขียนถึงส่วนไม่ดีของตัวเองครับ) และหลายๆส่วนก็ได้รับการพิสูจน์ทางวิทย์ไปแล้วว่าเป็นจริงๆหลายเรื่อง
ไม่เหมือนประวัติศาสตร์ไทยนะครับ ที่แต่งให้ตัวเองดูดี ขนาดอาจารย์แม่ยังเชื่อเลย
เช่นประวัติศาสตร์ไทย บอกว่า ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น พอผมถามกลับว่า แล้วในสมัยอยุธยาตอนเสียกรุงเนี่ย หมายความว่าอย่างไร เพราะในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็นับรวมสมัยอยุธยาเข้าไปด้วย ก็มีคนแก้ต่างว่า ตอนนั้นไม่ได้ใช้คำว่า ประเทศไทย
และผมเลยถามต่อว่า แล้วอย่างนั้นทำไม ประเพณีลอยกระทงเอย อักษรไทยบนศิลาจารึ ถึงนับรวมเป็นวัฒนธรรมไทย ทั้งๆที่ประเภณีเหล่านั้นถือกำเนิดขึ้นนานมาแล้วก่อนที่จะมีคำว่า ประเทศไทย ทำไมถึงไม่ใช่คำว่า ประเพณีอยุธยา ประเพณีสุโขทัย ไม่ใช่ประเพณีไทย แล้วเขาคนนั้นก็ ....................ใบ้รับประทาน
และพอแก้ต่างไม่ขึ้นก็มาเหน็บแนมหาว่าไม่รักดี

มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย กับการที่แค่ยอมรับความเป็นจริง ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยจะยอมรับ ทำไมถึงอยากจะฟังในสิ่งที่อยากฟังและเชื่อสิ่งนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เป็นจริงๆ แต่ความจริงกลับไม่กล้าที่จะยอมรับ
ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ... (และความเห็นเพิ่มเติมหลังจากที่ได้อ่านบทความที่มีแนบมาในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่าในห้าเล่มแรก ที่ชาวคาทอลิกได้ชำระครั้งล่าสุดประกอบด้วย)
1) เนื้อความในพระธรรมเก่า มีที่มาจากหลายแหล่ง อย่าลืมว่าเอกสารเหล่านี้อายุหลายพันปีแล้ว ดังนั้นการคัดลอกต่อมา หรือนำมาเขียนรวบรวมกัน บางครั้งก็เกิดความสับสน
2) การนำเสนอของเนื้อความในพระธรรมเก่า มักต้องการส่งสารไปยังคนในยุดเคียวกัน (แม้จะมีการทำนายต่างๆ แต่นัยสำคัญก็เพื่อคนในยุคเดียวกันด้วย ไม่เหมือนหนังสือวิวรณ์ ที่กรณีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงว่า สำหรับคนในยุคเดียวกัน และ/หรือ คนในอนาคตด้วยหรือไม่) ดังนั้นถ้อยคำต่างๆ จึงมุ่งไปยังบุคคลในยุคนั้น ตัวอย่างเช่นในบทสดุดีต่างๆ สังเกตว่ามักจะมีเนื้อความเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชนอิสราเอล แล้วลงท้ายด้วยพระเจ้าจะลงโทษผู้ที่ก่อความทุกข์ยากให้กับชนชาวอิสราเอลอย่างสาสม (จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่เวลาผมอ่าน ผมก็ต้องเตือนตนเองเสมอว่า พระต้องการให้เรายกโทษให้แก่ผู้ที่เบียดเบียนเราเสมอ ไม่ใช่เจ้าคิดเจ้าแค้น) แต่ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า บทสดุดีเหล่านั้นต้องการบรรเทาทุกข์ทางใจแก่ชนชาติที่รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นเบี้ยล่างในสมัยนั้น เป็นต้น
3) เราไม่สามารถจะตีความตรงตัวตามนัยที่เขียนอ้างอิง เพราะหลายๆ จุดนอกจากจะมีที่มาที่เก่าแก่มากแล้ว ยังอาจจะเป็นการเปรียบทางนัย เช่น พระเจ้าสร้างโลกในหกวัน เราจะต้องไม่ด่วนสรุปด้วยความเข้าใจของเราว่า หกวันหมายถึงหกวันตามการหมุนของโลก สิ่งเหล่านี้เราไม่อาจจะตีความตามตัวอักษรได้ เพราะอักษรที่เราใช้ ไม่สามารถจะไปเปรียบกับพระฤทธานุภาพและความล้ำลึกของพระเจ้าได้
4) ผมสังเกตถึงสิ่งที่ได้จากการอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า ซึ่งเหมือนกับหลายท่านที่ให้ความเห็นไปแล้ว นั่นคือ ความอ่อนแอของมนุษย์เมื่อมนุษย์ตัดสินใจว่า จะยืนอยู่บนขาตนเอง (ตั้งแต่เอวากินผลไม้จาก-แก้ไข-ต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว โดยนัยยะแห่งการทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับที่พระเจ้าทรงตรัสไว้-บาปแห่งการจองหอง) ชาวอิสราเอลล้มแล้วลุกหลายครั้ง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้มนุษย์เราจะหันหลังให้พระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มนุษย์ลุกขึ้น หันกลับไป จะเห็นพระเจ้าทรงรอคอยรอรับมนุษย์กลับด้วยความอดทนเสมอ ดูกรณีดื้อด้านสุดๆ ก็อย่างเช่นประกาศกโยนาห์ ที่ท่านไม่ต้องการไปยังเมืองนิเนเวห์ แต่หันหลังเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้าม ลงเรือ เจอพายุ ฯลฯ จนในที่สุดหลังจากอยู่ในท้องปลา ก็ยอมจะเดินทางไปยังนิเนเวห์เพื่อเตือนชาวเมือง ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าเรามีลูกสักคน แล้วบอกว่าไปล้างจานหลังบ้านหน่อย แต่เรากลับไปหน้าบ้าน หนีออกไปนอกบ้าน ไปวิ่งเล่นนอกบ้านแบบดื้อๆ หากลูกเรากลับมาบ้าน เราจะกล่าวอะไรกับลูกของเรา....
ไหนๆ ผมกล่าวถึงประกาศกโยนาห์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต่อในตอนท้าย หลังจากที่ประกาศกโยนาห์เตือนชาวเมือง แต่ปรากฏว่าชาวเืมืองเชื่อฟัง แล้วเราก็ได้เห็นประกาศกโยนาห์ ...งอน... พระเจ้าตุบปัดตุบป่องเลย ไปนอนกลางดินกะจะทรมานตัวให้ตายไปซะ เพราะรู้สึกอับอายที่อุตส่าห์ไปเตือนชาวเมืองว่าพระเจ้าจะทำลายแล้วนะ แต่ปรากฏว่าสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น แล้วพระเจ้าก็บังเกิดให้เกิดต้นไม้ขึ้นมาบังเงาแก่ประกาศก แล้วต่อมาอีกวันก็ให้หนอนมากัดกินจนต้นไม้ตาย แล้วประกาศกโยนาห์ก็ร้องต่อพระเจ้าว่า ทำไมพระองค์บันดาลให้ต้นไม้มาให้ร่มเงาแก่ท่าน แต่แล้วก็กลับให้ต้นไม้ตายไปซะ แล้วพระเจ้าก็ทรงตรัสตอบกับประกาศกในลักษณะที่ว่า พระองค์คือผู้สร้างสิ่งต่างๆ พระองค์ย่อมจะทำลายหรือจะให้มีอยู่ ก็เป็นกงการอะไรกับตัวประกาศกเองที่จะมาคิดว่า พระองค์จะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร.. ซึ่งในส่วนนี้ เป็นส่วนที่ผมชอบมาก...
1) เนื้อความในพระธรรมเก่า มีที่มาจากหลายแหล่ง อย่าลืมว่าเอกสารเหล่านี้อายุหลายพันปีแล้ว ดังนั้นการคัดลอกต่อมา หรือนำมาเขียนรวบรวมกัน บางครั้งก็เกิดความสับสน
2) การนำเสนอของเนื้อความในพระธรรมเก่า มักต้องการส่งสารไปยังคนในยุดเคียวกัน (แม้จะมีการทำนายต่างๆ แต่นัยสำคัญก็เพื่อคนในยุคเดียวกันด้วย ไม่เหมือนหนังสือวิวรณ์ ที่กรณีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงว่า สำหรับคนในยุคเดียวกัน และ/หรือ คนในอนาคตด้วยหรือไม่) ดังนั้นถ้อยคำต่างๆ จึงมุ่งไปยังบุคคลในยุคนั้น ตัวอย่างเช่นในบทสดุดีต่างๆ สังเกตว่ามักจะมีเนื้อความเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชนอิสราเอล แล้วลงท้ายด้วยพระเจ้าจะลงโทษผู้ที่ก่อความทุกข์ยากให้กับชนชาวอิสราเอลอย่างสาสม (จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่เวลาผมอ่าน ผมก็ต้องเตือนตนเองเสมอว่า พระต้องการให้เรายกโทษให้แก่ผู้ที่เบียดเบียนเราเสมอ ไม่ใช่เจ้าคิดเจ้าแค้น) แต่ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า บทสดุดีเหล่านั้นต้องการบรรเทาทุกข์ทางใจแก่ชนชาติที่รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นเบี้ยล่างในสมัยนั้น เป็นต้น
3) เราไม่สามารถจะตีความตรงตัวตามนัยที่เขียนอ้างอิง เพราะหลายๆ จุดนอกจากจะมีที่มาที่เก่าแก่มากแล้ว ยังอาจจะเป็นการเปรียบทางนัย เช่น พระเจ้าสร้างโลกในหกวัน เราจะต้องไม่ด่วนสรุปด้วยความเข้าใจของเราว่า หกวันหมายถึงหกวันตามการหมุนของโลก สิ่งเหล่านี้เราไม่อาจจะตีความตามตัวอักษรได้ เพราะอักษรที่เราใช้ ไม่สามารถจะไปเปรียบกับพระฤทธานุภาพและความล้ำลึกของพระเจ้าได้
4) ผมสังเกตถึงสิ่งที่ได้จากการอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า ซึ่งเหมือนกับหลายท่านที่ให้ความเห็นไปแล้ว นั่นคือ ความอ่อนแอของมนุษย์เมื่อมนุษย์ตัดสินใจว่า จะยืนอยู่บนขาตนเอง (ตั้งแต่เอวากินผลไม้จาก-แก้ไข-ต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว โดยนัยยะแห่งการทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับที่พระเจ้าทรงตรัสไว้-บาปแห่งการจองหอง) ชาวอิสราเอลล้มแล้วลุกหลายครั้ง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้มนุษย์เราจะหันหลังให้พระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มนุษย์ลุกขึ้น หันกลับไป จะเห็นพระเจ้าทรงรอคอยรอรับมนุษย์กลับด้วยความอดทนเสมอ ดูกรณีดื้อด้านสุดๆ ก็อย่างเช่นประกาศกโยนาห์ ที่ท่านไม่ต้องการไปยังเมืองนิเนเวห์ แต่หันหลังเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้าม ลงเรือ เจอพายุ ฯลฯ จนในที่สุดหลังจากอยู่ในท้องปลา ก็ยอมจะเดินทางไปยังนิเนเวห์เพื่อเตือนชาวเมือง ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าเรามีลูกสักคน แล้วบอกว่าไปล้างจานหลังบ้านหน่อย แต่เรากลับไปหน้าบ้าน หนีออกไปนอกบ้าน ไปวิ่งเล่นนอกบ้านแบบดื้อๆ หากลูกเรากลับมาบ้าน เราจะกล่าวอะไรกับลูกของเรา....
ไหนๆ ผมกล่าวถึงประกาศกโยนาห์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต่อในตอนท้าย หลังจากที่ประกาศกโยนาห์เตือนชาวเมือง แต่ปรากฏว่าชาวเืมืองเชื่อฟัง แล้วเราก็ได้เห็นประกาศกโยนาห์ ...งอน... พระเจ้าตุบปัดตุบป่องเลย ไปนอนกลางดินกะจะทรมานตัวให้ตายไปซะ เพราะรู้สึกอับอายที่อุตส่าห์ไปเตือนชาวเมืองว่าพระเจ้าจะทำลายแล้วนะ แต่ปรากฏว่าสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น แล้วพระเจ้าก็บังเกิดให้เกิดต้นไม้ขึ้นมาบังเงาแก่ประกาศก แล้วต่อมาอีกวันก็ให้หนอนมากัดกินจนต้นไม้ตาย แล้วประกาศกโยนาห์ก็ร้องต่อพระเจ้าว่า ทำไมพระองค์บันดาลให้ต้นไม้มาให้ร่มเงาแก่ท่าน แต่แล้วก็กลับให้ต้นไม้ตายไปซะ แล้วพระเจ้าก็ทรงตรัสตอบกับประกาศกในลักษณะที่ว่า พระองค์คือผู้สร้างสิ่งต่างๆ พระองค์ย่อมจะทำลายหรือจะให้มีอยู่ ก็เป็นกงการอะไรกับตัวประกาศกเองที่จะมาคิดว่า พระองค์จะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร.. ซึ่งในส่วนนี้ เป็นส่วนที่ผมชอบมาก...
แก้ไขล่าสุดโดย thanwa เมื่อ พุธ มิ.ย. 24, 2009 1:19 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ถ้ามีอะไรที่จะต้องพิจราณาเทียบพระธรรมเก่าและใหม่ขึ้นมา ก็ต้องยึดพระธรรมใหม่เป็นหลักถูกต้องแล้วครับminimalchic เขียน: ที่กล่าวมาไม่ได้มองในแง่ความรักนะครับ
เพราะเราย่อมทราบดีว่าในแง่มุมที่สะท้อนให้เห็น
พระหรรษทานของพระองค์ย่อมเป็นจริงเสมอ
แต่ประเด็นของผมคือความจริงทางประวัติศาสตร์มากกว่า
เพราะบางสิ่งที่มันจริงเราก็ควรเชื่อและบ้างสิ่ง
ที่มันไม่จริงเราควรเชื่อหรือป่าว
ความหมายของผมคือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อทั้งหมด
หรือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อว่าพระคัมภีร์เก่าได้รับการเติมเต็ม
จากพระคัมภีร์ใหม่ แต่เป็นบางเหตุการที่เราวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
หรือมีหลักฐานในรูปแบบใหม่เราควรจะยึ่ดแบบใหน
เพราะผมคิดว่าความจริงที่ไม่ต้องปรุงแต่งก็พอที่จะทำให้ผมศรัทธาแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 12, 2009 3:33 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
ขอบคุณครับผม
ได้แง่มุมหลากหลายเลยที่เดียวครับ
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จประการณ์ได้ สิ่งนั้นก็ได้สอนเราเสมอ
ถึงความรักและการให้อภัยที่พระองค์ให้มนุษย์เสมอ
ขอพระอวยพร
ได้แง่มุมหลากหลายเลยที่เดียวครับ
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จประการณ์ได้ สิ่งนั้นก็ได้สอนเราเสมอ
ถึงความรักและการให้อภัยที่พระองค์ให้มนุษย์เสมอ
ขอพระอวยพร
minimalchic เขียน: ที่กล่าวมาไม่ได้มองในแง่ความรักนะครับ
เพราะเราย่อมทราบดีว่าในแง่มุมที่สะท้อนให้เห็น
พระหรรษทานของพระองค์ย่อมเป็นจริงเสมอ
แต่ประเด็นของผมคือความจริงทางประวัติศาสตร์มากกว่า
เพราะบางสิ่งที่มันจริงเราก็ควรเชื่อและบ้างสิ่ง
ที่มันไม่จริงเราควรเชื่อหรือป่าว
ความหมายของผมคือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อทั้งหมด
หรือว่าไม่ใช่ไม่เชื่อว่าพระคัมภีร์เก่าได้รับการเติมเต็ม
จากพระคัมภีร์ใหม่ แต่เป็นบางเหตุการที่เราวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
หรือมีหลักฐานในรูปแบบใหม่เราควรจะยึ่ดแบบใหน
เพราะผมคิดว่าความจริงที่ไม่ต้องปรุงแต่งก็พอที่จะทำให้ผมศรัทธาแล้ว
ไม่ได้เรียนประวัติศาาตร์นะคะ แต่ขอถามนิดนึงว่า การที่เราจะรู้ประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย เราไม่ได้ดูจากศิลาจาฤกษ์พ่อขุนรามคำแหงอย่างเดียวใช่มั้ยคะ พระองค์ท่านบอกว่า ตอนนั้นในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่มีภัยแล้งเกิดขึ้นเลย หากเราไปเจอศิลาอื่น หรือหลักฐานอื่น
พระคัมภีร์คือ บันทึกความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นบันทึกรัก ถ้าจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็คงไม่ใช่จะดูแค่อย่างเดียวมั้งคะ
ที่วัดน้อย มีพ่อองค์นึง เข้าใจว่า สอนพระธรรมเก่า มาทำมิสซาประจำวันอาทิตย์ละครั้ง เวลาพ่อเทศน์ พ่อไม่เคยเทศน์พระวรสารเลย พ่อเทศน์บทอ่านแรกตลอด บางทีพ่อบอกว่า ที่เทศน์ทั้งหมดนี้ เป็นสรุปย่อของวิชานึงที่พ่อสอน มีครั้งนึง เทศน์เรื่องความเป็นสงฆ์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งโยงไปถึง Melchizedek แล้วพ่อก็เชื่อมโยงทุกอย่างให้ฟัง ฟังแล้วมันส์มาก


สรุปแล้วคือ อยากจะเชื่อพันธสัญญาเดิม แต่ทำใจให้เชื่อไม่ได้ หรือว่า ไม่อยากเชื่อเลยคะ

พระอวยพรนะคะ : emo045 :
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 12, 2009 9:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 8
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 10, 2009 9:00 pm
อยากทราบว่าวัดน้อยที่ใหนหรอคับผม
เผื่อว่าจะได้ความรู้จากคุณพ่อมากขึ้นนะครับ
เผื่อว่าจะได้ความรู้จากคุณพ่อมากขึ้นนะครับ
คือว่า ไม่ได้อยู่เมืองไทยน่ะค่ะminimalchic เขียน: อยากทราบว่าวัดน้อยที่ใหนหรอคับผม
เผื่อว่าจะได้ความรู้จากคุณพ่อมากขึ้นนะครับ
และก็มีเรื่องสารภาพคือ พอคุณถามแบบนี้มา ก็เลยไปหามาให้ เพราะไม่รู้ว่า พ่อชื่ออะไรน่ะค่ะ พ่อที่นี่เยอะมาก เยอะกว่าจำนวนมิสซา เคยเห็นพ่อเค้ามาเข้ามิสซานั่งกับพวกเรา ตอนแรกก็งงๆว่า คนนี้โหงวเฮ้งพระสงฆ์มากเลย ทำไมมานั่งอยู่นี่ พอเห็นเค้าทำมิสซาวันธรรมดา ก็ไปเข้าใจผิดอีกว่า เค้าสอนพระธรรมเก่า ไปหาชื่อเค้าที่ภาควิชาเทววิทยาก็หาไม่เจอ ปรากฎไปเจอที่คณะนิติศาสตร์ ... พ่อองค์นี้สอนกฎหมาย แต่คงเป็นความชอบเรื่องพระธรรมเก่าของเค้าที่เป็นความชอบส่วนตัว ไม่ได้เรียนมาโดยตรง : xemo017 :
http://law.marquette.edu/cgi-bin/site.p ... userID=765
ขอบคุณมากที่ถามนะคะ เพราะไม่งั้นก็ไม่ได้รู้จักชื่อพ่อเค้าเหมือนกันค่ะ : emo045 :
บางเรื่องที่มารบกวนเรา บางคนอาจเห็นว่า ไม่สำคัญอะไร กะอีแค่ไม่ได้เชื่อพระธรรมเก่า แต่เท่าที่อ่านนะคะ จะบอกว่า ตรงนี้พระกำลังเรียกคุณนะคะ


สิ่งที่แนะนำให้ทำคือ การสวดภาวนาค่ะ ขอให้พระองค์ช่วยนำทางลูกด้วย มีอะไรในพระธรรมเก่าที่ลูกไม่เชื่อ และพระองค์อยากให้ลูกรู้ อยากให้ลูกได้รู้จักพระองค์ และท้ายที่สุด พระองค์จะให้ลูกได้รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้น : xemo017 :
คิดว่า น่าจะเริ่มได้จากที่วิทยาลัยแสงธรรมนะคะ เดี๋ยวจะลองถามๆให้ดูว่า ใครที่สอนวิชานี้ได้เรื่องยังไงจะบอกอีกทีนะคะ


พระอวยพรค่ะ : emo045 :
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ อาทิตย์ มิ.ย. 14, 2009 2:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
มีคนแนะนำให้ไปคุยกับ คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร นะคะ ตอนนี้คุณพ่อมาประจำอยู่ที่สามพรานค่ะ
http://www.catholic.or.th/archive/archb ... 4/100.html
http://www.catholic.or.th/archive/archb ... 4/100.html