+++การสิ้นพระชนม์ปริศนาของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1+++
การสิ้นพระชนม์ปริศนาของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1
--------------------------------------
คำเตือน-บทความนี้ เป็นเพียงสมมุติฐานหนึ่ง ของผู้ที่ได้วิเคราะห์ ข้อมูลและเหตุการณ์ ในกรณีการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 จึงเป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อกันว่าอาจเป็นไปได้ มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณ ในการแยกแยะข้อมูล การคาดเดา และข้อสมมุติฐาน ออกจากกัน
-------------------------------------
ความโกลาหลอลหม่านเกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องทรงงานของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ร่างของพระสันตะปาปาฟุบอยู่กับโต๊ะทรงงานในพระหัตถ์ยังทรงถือเอกสารค้างอยู่ ครั้นเมื่อเข้าไปถวายการปฐมพยาบาลก็ปรากฏว่าพระองค์ไม่มีลมหายใจเสียแล้ว
พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 เพิ่งได้รับการเลือกจากพระคาร์ดินัลทั่วโลกให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้เมื่อ 33 วันก่อนเท่านั้น หน้าที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้าในฐานะของผู้แทนองค์พระเยซูคริสต์ที่สืบต่อกันมาจาก น.เปโตร อัครสาวก ได้หยุดชะงักลงอีกวาระหนึ่ง
ภาพข่าวการสิ้นพระชนม์ของโป๊ปพระองค์ใหม่ได้แพร่ไปทั่วโลกในเวลาไม่นาน สร้างความรู้สึก “ช็อกโลก” การประกาศอย่างเป็นทางการจากวาติกันบอกว่าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์กะทันหันจากโรคกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือด (Myocardial infarction)
แต่ยากที่จะมีผู้ใดเชื่อ เนื่องจากพระองค์ก็ดูมีสุขภาพและพระพลานามัยดีทุกประการ มิหนำซ้ำยังทรงยิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน ๆ ที่ทรงดูเคร่งขรึมอยู่เสมอ จนได้รับพระสมัญญานามจากประชาชนด้วยความรักใคร่ว่า “โป๊ปผู้ยิ้มแย้ม (Smilling pope)” ดังนั้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ไม่นาน จึงเกิดการกังขา ของสาเหตุการสิ้นพระชนม์ว่าอาจเป็นการ “ฆาตกรรม”
--------------------------------------
คำเตือน-บทความนี้ เป็นเพียงสมมุติฐานหนึ่ง ของผู้ที่ได้วิเคราะห์ ข้อมูลและเหตุการณ์ ในกรณีการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 จึงเป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อกันว่าอาจเป็นไปได้ มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณ ในการแยกแยะข้อมูล การคาดเดา และข้อสมมุติฐาน ออกจากกัน
-------------------------------------
ความโกลาหลอลหม่านเกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องทรงงานของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ร่างของพระสันตะปาปาฟุบอยู่กับโต๊ะทรงงานในพระหัตถ์ยังทรงถือเอกสารค้างอยู่ ครั้นเมื่อเข้าไปถวายการปฐมพยาบาลก็ปรากฏว่าพระองค์ไม่มีลมหายใจเสียแล้ว
พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 เพิ่งได้รับการเลือกจากพระคาร์ดินัลทั่วโลกให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้เมื่อ 33 วันก่อนเท่านั้น หน้าที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้าในฐานะของผู้แทนองค์พระเยซูคริสต์ที่สืบต่อกันมาจาก น.เปโตร อัครสาวก ได้หยุดชะงักลงอีกวาระหนึ่ง
ภาพข่าวการสิ้นพระชนม์ของโป๊ปพระองค์ใหม่ได้แพร่ไปทั่วโลกในเวลาไม่นาน สร้างความรู้สึก “ช็อกโลก” การประกาศอย่างเป็นทางการจากวาติกันบอกว่าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์กะทันหันจากโรคกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือด (Myocardial infarction)
แต่ยากที่จะมีผู้ใดเชื่อ เนื่องจากพระองค์ก็ดูมีสุขภาพและพระพลานามัยดีทุกประการ มิหนำซ้ำยังทรงยิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน ๆ ที่ทรงดูเคร่งขรึมอยู่เสมอ จนได้รับพระสมัญญานามจากประชาชนด้วยความรักใคร่ว่า “โป๊ปผู้ยิ้มแย้ม (Smilling pope)” ดังนั้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ไม่นาน จึงเกิดการกังขา ของสาเหตุการสิ้นพระชนม์ว่าอาจเป็นการ “ฆาตกรรม”
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:15 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
คุณพ่อผู้สุภาพถ่อมตน
พระคาร์ดินัลหนุ่มอัลบิโน่ ลูเชียนี่ ถือกำเนิดในครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน ไม่เคยมีความปรารถนาที่จะเป็นพระสันตะปาปาเองแม้แต่น้อย เพียงตำแหน่งพระคาร์ดินัล ท่านก็คิดว่าเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิตการเป็นนักบวชของพระศาสนจักรแล้ว ด้วยความไม่ทะเยอทะยานนี้ทำให้ท่านยิ่งเป็นที่รักใคร่ของทุก ๆ คนที่อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ปอลที่ 6 ผู้ที่คาร์ดินัลอัลบิโน่ทำงานใกล้ชิดเหมือนเป็นเลขาอยู่นั้น ทรงรักและเป็นห่วงอัลบิโน่เสมือนเป็นบุตรของพระองค์ ทรงสั่งสอนกิจการงานต่าง ๆ ของสงฆ์ให้อย่างละเอียด
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เสมือนเป็นลางดีและแสดงออกถึงเนื้อแท้แห่งจิตใจอันประเสริฐของพระคาร์ดินัลอัลบิโน่ที่มีแต่ความถ่อมพระองค์ทรง “ติดดิน” อยู่เสมอ คือเมื่อปี 1969 ขณะที่พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าคณะแห่งเวนิชโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 นั้น ขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มาร่วมแสดงความยินดีกว่า 20,0000 คน สมเด็จพระสันตะปาปา ได้ถอดผ้าสโตล (Stole ผ้าคล้องคอของพระที่ต้องใส่เวลาทำพิธีสงฆ์ที่เป็นทางการ) ที่คล้องพระศอออกแล้วทรงสวมคอของพระคาร์ดินัลอัลบิโน่ด้วยความเอ็นดู สร้างความเขินอายให้กับพระคาร์ดินัลหนุ่มเป็นอย่างมาก ดังที่ท่านได้เล่าเหตุการณ์นี้ไว้เมื่อเป็นพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 1 แล้วว่า
“สมเด็จพระสันตะปาปาทรงทำให้ข้าพเจ้าเขินอายมากที่สุดในชีวิตเมื่อท่านทรงนำผ้าสโตลมาคล้องคอให้ข้าพเจ้าต่อหน้าประชาชนกว่า 20,000 คน วินาทีนั้นข้าพเจ้ารู้สึกหูตาหน้าแดงไปหมดคงแทบจะแดงไปจรดรากผมเลย ขอสารภาพว่าข้าพเจ้าไม่เคยหน้าแดงเท่านี้มาก่อนเลย”
พระคาร์ดินัลหนุ่มอัลบิโน่ ลูเชียนี่ ถือกำเนิดในครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน ไม่เคยมีความปรารถนาที่จะเป็นพระสันตะปาปาเองแม้แต่น้อย เพียงตำแหน่งพระคาร์ดินัล ท่านก็คิดว่าเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิตการเป็นนักบวชของพระศาสนจักรแล้ว ด้วยความไม่ทะเยอทะยานนี้ทำให้ท่านยิ่งเป็นที่รักใคร่ของทุก ๆ คนที่อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ปอลที่ 6 ผู้ที่คาร์ดินัลอัลบิโน่ทำงานใกล้ชิดเหมือนเป็นเลขาอยู่นั้น ทรงรักและเป็นห่วงอัลบิโน่เสมือนเป็นบุตรของพระองค์ ทรงสั่งสอนกิจการงานต่าง ๆ ของสงฆ์ให้อย่างละเอียด
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เสมือนเป็นลางดีและแสดงออกถึงเนื้อแท้แห่งจิตใจอันประเสริฐของพระคาร์ดินัลอัลบิโน่ที่มีแต่ความถ่อมพระองค์ทรง “ติดดิน” อยู่เสมอ คือเมื่อปี 1969 ขณะที่พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าคณะแห่งเวนิชโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 นั้น ขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มาร่วมแสดงความยินดีกว่า 20,0000 คน สมเด็จพระสันตะปาปา ได้ถอดผ้าสโตล (Stole ผ้าคล้องคอของพระที่ต้องใส่เวลาทำพิธีสงฆ์ที่เป็นทางการ) ที่คล้องพระศอออกแล้วทรงสวมคอของพระคาร์ดินัลอัลบิโน่ด้วยความเอ็นดู สร้างความเขินอายให้กับพระคาร์ดินัลหนุ่มเป็นอย่างมาก ดังที่ท่านได้เล่าเหตุการณ์นี้ไว้เมื่อเป็นพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 1 แล้วว่า
“สมเด็จพระสันตะปาปาทรงทำให้ข้าพเจ้าเขินอายมากที่สุดในชีวิตเมื่อท่านทรงนำผ้าสโตลมาคล้องคอให้ข้าพเจ้าต่อหน้าประชาชนกว่า 20,000 คน วินาทีนั้นข้าพเจ้ารู้สึกหูตาหน้าแดงไปหมดคงแทบจะแดงไปจรดรากผมเลย ขอสารภาพว่าข้าพเจ้าไม่เคยหน้าแดงเท่านี้มาก่อนเลย”
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 2:12 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พระสันตะปาปาองค์ใหม่
ครั้นเมื่อพระสันตะปาปาปอลที่ 6 สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคพระหทัยวายเฉียบพลัน ก็เป็นหน้าที่ของพระคาร์ดินัลทุกคนที่จะต้องเข้าประชุมคอนคลาฟ (Conclave) อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำการเลือกโป๊ปพระองค์ใหม่ รวมถึงท่าน อัลบิโน่ ด้วย การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะการสวรรคตของโป๊ปปอลที่ 6 เกิดขึ้นกระทันหัน จึงไม่มีผู้ใดมีเวลาเตรียมคิดเลือกคนที่ชอบไว้ก่อน
ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากปล่องเหนือวิหารน้อยซิสทีนถึงสองครั้งสองครา จนเวลาล่วงไปวันหนึ่ง พระคาร์ดินัลทุกองค์ก็ยังคงประชุมกันอยู่ในห้องปิดตายนั้น จนขึ้นวันที่สองตอนสาย ๆ เหล่าผู้เฝ้าคอยจึงได้เห็นควันสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้นมา ทุกคนต่างยินดีปรีดาโห่ร้องดีใจกันทั่วไปด้วยเป็นสัญญาณว่า พระศาสนจักรได้พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่แล้ว
พระคาร์ดินัล อัลบิโน่ ลูเชียนี่ เป็นผู้ถูกเลือกด้วยฉันทามติจากที่ประชุม ด้วยความถ่อมพระองค์ทรงพยายามขอร้องว่า ไม่ต้องการสวมมงกุฎเทียร่า หรือนำแห่ขึ้นพระที่นั่งอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาตามสมณประเพณี แต่ก็ไร้ผลเพราะผู้ที่จะเป็นพระสันตะปาปาจำต้องผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทุกอย่าง คงมีเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปตามคำขอคือ การปฏิญาณพระองค์ที่ระเบียงพระบัญชรที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยมีพระคาร์ดินัลผู้ช่วยทำพิธีคือคาร์ดินัลโยเซฟ ราทซิงเกอร์ (ต่อมาเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 องค์ปัจจุบัน)
และใบหน้าอันยิ้มแย้มและอ่อนโยนดุจบิดาของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ผู้ปรากฎที่ระเบียงที่ชาวโลกเฝ้าจับตา ก็ถูกขนานนามว่าเป็น ใบหน้าอันเปี่ยมเมตตาของพระศาสนจักร "the merciful face of the Church"
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 หรือ คาร์ดินัลโยเซฟ ราทซิงเกอร์ ในเวลานั้น ได้กล่าวไว้เมื่อปี 2003 สรุปคุณลักษณะของพระสันตะปาปา ผู้นี้ว่า "โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า พระองค์เป็นนักบุญองค์หนึ่ง เพราะความดีอันยิ่งใหญ่ ความเรียบง่าย ถ่อมสุภาพ และความกล้าหาญ ของพระองค์"
ครั้นเมื่อพระสันตะปาปาปอลที่ 6 สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคพระหทัยวายเฉียบพลัน ก็เป็นหน้าที่ของพระคาร์ดินัลทุกคนที่จะต้องเข้าประชุมคอนคลาฟ (Conclave) อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำการเลือกโป๊ปพระองค์ใหม่ รวมถึงท่าน อัลบิโน่ ด้วย การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะการสวรรคตของโป๊ปปอลที่ 6 เกิดขึ้นกระทันหัน จึงไม่มีผู้ใดมีเวลาเตรียมคิดเลือกคนที่ชอบไว้ก่อน
ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากปล่องเหนือวิหารน้อยซิสทีนถึงสองครั้งสองครา จนเวลาล่วงไปวันหนึ่ง พระคาร์ดินัลทุกองค์ก็ยังคงประชุมกันอยู่ในห้องปิดตายนั้น จนขึ้นวันที่สองตอนสาย ๆ เหล่าผู้เฝ้าคอยจึงได้เห็นควันสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้นมา ทุกคนต่างยินดีปรีดาโห่ร้องดีใจกันทั่วไปด้วยเป็นสัญญาณว่า พระศาสนจักรได้พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่แล้ว
พระคาร์ดินัล อัลบิโน่ ลูเชียนี่ เป็นผู้ถูกเลือกด้วยฉันทามติจากที่ประชุม ด้วยความถ่อมพระองค์ทรงพยายามขอร้องว่า ไม่ต้องการสวมมงกุฎเทียร่า หรือนำแห่ขึ้นพระที่นั่งอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาตามสมณประเพณี แต่ก็ไร้ผลเพราะผู้ที่จะเป็นพระสันตะปาปาจำต้องผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทุกอย่าง คงมีเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปตามคำขอคือ การปฏิญาณพระองค์ที่ระเบียงพระบัญชรที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยมีพระคาร์ดินัลผู้ช่วยทำพิธีคือคาร์ดินัลโยเซฟ ราทซิงเกอร์ (ต่อมาเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 องค์ปัจจุบัน)
และใบหน้าอันยิ้มแย้มและอ่อนโยนดุจบิดาของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ผู้ปรากฎที่ระเบียงที่ชาวโลกเฝ้าจับตา ก็ถูกขนานนามว่าเป็น ใบหน้าอันเปี่ยมเมตตาของพระศาสนจักร "the merciful face of the Church"
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 หรือ คาร์ดินัลโยเซฟ ราทซิงเกอร์ ในเวลานั้น ได้กล่าวไว้เมื่อปี 2003 สรุปคุณลักษณะของพระสันตะปาปา ผู้นี้ว่า "โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า พระองค์เป็นนักบุญองค์หนึ่ง เพราะความดีอันยิ่งใหญ่ ความเรียบง่าย ถ่อมสุภาพ และความกล้าหาญ ของพระองค์"
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:54 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ควันของซาตานที่ลอยเล็ดลอดเข้ามาในพระศาสนจักร?
องค์กรลับในอิตาลีมีมากมายหลากหลายสมกับเป็นดินแดนมาเฟีย แต่องค์กรที่เก่าแก่ที่สุดแถมมีสมาชิกเป็นผู้ใหญ่ผู้โตมีหน้าตาในสังคมอยู่ด้วยเห็นจะไม่มีใครเกิน “ฟรีเมสัน (Freemasons)” องค์กรนี้มีอายุยืนมาตั้งแต่สมัยกษัตริย์โซโลมอนในราว 850 ปีก่อนพระคริสต์ประสูติ แต่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาจริง ๆ ในยุโรปเมื่อ ปี 1717
ฟรีเมสันสยายอิทธิพลจากยุโรปไปถึงดินแดนทวีปไกลโพ้นอย่างสหรัฐอเมริกา และแม้แต่ “โฮลี่ ซี” หรือรัฐวาติกันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็เชื่อกันว่าอาจมีสมาชิกขององค์กรนี้เข้ามาแอบแฝงอยู่ด้วย และแม้แต่พระคาร์ดินัลบางองค์ ก็โดนต้องสงสัย ดังนั้นหากข้อสงสัยนี้เป็นจริง ก็เป็นไปได้ที่แม้แต่พระสันตะปาปาจะทรงกระทำสิ่งใด จะถูกรู้ถูกสืบโดยองค์กรนี้
การที่องค์กรลับนี้ตั้งอยู่ได้ก็เพราะเงินสนับสนุนจากเหล่าสมาชิกที่ร่ำรวย จากการมีสถานะทางสังคมที่สูง จากประเทศต่างๆทั่วยุโรป และ วาติกันนั้นได้รับบรรณาการจากกษัตริย์และราชินีคาทอลิกทั้งหลายมามานับพันปีแล้ว ปัจจุบัน “มิวชิโอ วาติกาน่า” หรือพิพิธภัณฑ์วาติกัน ยังจัดแสดงของระดับที่เรียกว่ามีค่าควรเมืองทั้งหลายอยู่มากมาย ดังนั้นการส่งสมาชิกเข้าแฝงตัวในประเทศที่เล็กที่สุดในโลกนี้ ก็เพราะหื่นกระหายจะครอบครองทรัพย์สมบัติเหล่านี้นั่นเอง และอาจจะทะเยอทะยานไปถึงการกุมบังเหียนศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกด้วย
องค์กรลับในอิตาลีมีมากมายหลากหลายสมกับเป็นดินแดนมาเฟีย แต่องค์กรที่เก่าแก่ที่สุดแถมมีสมาชิกเป็นผู้ใหญ่ผู้โตมีหน้าตาในสังคมอยู่ด้วยเห็นจะไม่มีใครเกิน “ฟรีเมสัน (Freemasons)” องค์กรนี้มีอายุยืนมาตั้งแต่สมัยกษัตริย์โซโลมอนในราว 850 ปีก่อนพระคริสต์ประสูติ แต่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาจริง ๆ ในยุโรปเมื่อ ปี 1717
ฟรีเมสันสยายอิทธิพลจากยุโรปไปถึงดินแดนทวีปไกลโพ้นอย่างสหรัฐอเมริกา และแม้แต่ “โฮลี่ ซี” หรือรัฐวาติกันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็เชื่อกันว่าอาจมีสมาชิกขององค์กรนี้เข้ามาแอบแฝงอยู่ด้วย และแม้แต่พระคาร์ดินัลบางองค์ ก็โดนต้องสงสัย ดังนั้นหากข้อสงสัยนี้เป็นจริง ก็เป็นไปได้ที่แม้แต่พระสันตะปาปาจะทรงกระทำสิ่งใด จะถูกรู้ถูกสืบโดยองค์กรนี้
การที่องค์กรลับนี้ตั้งอยู่ได้ก็เพราะเงินสนับสนุนจากเหล่าสมาชิกที่ร่ำรวย จากการมีสถานะทางสังคมที่สูง จากประเทศต่างๆทั่วยุโรป และ วาติกันนั้นได้รับบรรณาการจากกษัตริย์และราชินีคาทอลิกทั้งหลายมามานับพันปีแล้ว ปัจจุบัน “มิวชิโอ วาติกาน่า” หรือพิพิธภัณฑ์วาติกัน ยังจัดแสดงของระดับที่เรียกว่ามีค่าควรเมืองทั้งหลายอยู่มากมาย ดังนั้นการส่งสมาชิกเข้าแฝงตัวในประเทศที่เล็กที่สุดในโลกนี้ ก็เพราะหื่นกระหายจะครอบครองทรัพย์สมบัติเหล่านี้นั่นเอง และอาจจะทะเยอทะยานไปถึงการกุมบังเหียนศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:20 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ศัตรูผู้ศักดิ์สิทธิ์
พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่เป็นผู้ที่มีพระอุปนิสัยอันประเสริฐที่เรียกว่า “ติดดิน” ไม่ถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงนึกอยู่เสมอว่าก็ยังเป็น พระคาร์ดินัลอัลบิโน่ คนเดิมที่มีหน้าที่รับใช้องค์พระสันตะปาปาอยู่นั่นเอง
เมื่อก่อนนั้นเวลามีปัญหาใหญ่ใด ๆ ในวาติกัน ที่พระชั้นผู้ใหญ่มาปรึกษาพระองค์ พระองค์มักจะตอบเสมอว่า “เดี๋ยวพ่อจะไปกราบทูลถามสมเด็จพระสันตะปาปาให้นะ” มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่าเมื่อแรกได้เป็นพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 1 นั้นพระองค์ทรงตอบคำถามเหล่านี้อย่างเคยชินด้วยประโยคเดิม ๆ ว่า “แล้วพ่อจะไปทูลถามสมเด็จพระสันตะปาปาให้นะ”
แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ก็ทรงกล่าวว่า “อ้าว...จริงสิ ก็ตัวพ่อเองนี่นาเอาเป็นว่าพ่อจะไปทูลถามพระผู้เป็นเจ้าให้ก็แล้วกันนะ”
พระบุคลิกภาพที่อ่อนโยน ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าพระบุคลิกภาพแบบอ่อนโยนน่ารักนี้เอง เป็นเหตุให้พระคาร์ดินัล(ที่อาจเป็น)ฟรีเมสันเอง ยังร่วมกันเลือกให้พระองค์เป็นพระสันตะปาปา ไม่ใช่เพราะชื่นชอบแต่ด้วยคิดว่าพระองค์ดูอ่อนแอคงง่ายต่อการชักจูง จะได้เป็นหุ่นเชิด หรืออย่างน้อยก็คงไม่ทรงขัดขวางถ้าพระกลุ่มเมสันจะทำอะไรที่ “ออกนอกลู่นอกทาง” ไปบ้าง เป็นต้นว่าหมุนเงินจากในธนาคารแห่งรัฐวาติกันซึ่งมีทั้งเงินทุนสำรองและหลักทรัพย์มากมายออกนอกประเทศไปบ้าง เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร
แต่การณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่นี้ทรงอ่อนนอกแต่แข็งใน โดยเฉพาะเรื่องงานเพื่อพระศาสนานั้น พระองค์ต้องการให้ทุกอย่งเป็นไปอย่างโปร่งใสที่สุด เพราะทรงถือว่าวาติกันคือพระอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ที่พร้อมจะเป็นที่พึ่งให้กับบรรดาลูกแกะทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงยอมให้มีสิ่งใดที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเป็นอันขาด
พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่เป็นผู้ที่มีพระอุปนิสัยอันประเสริฐที่เรียกว่า “ติดดิน” ไม่ถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงนึกอยู่เสมอว่าก็ยังเป็น พระคาร์ดินัลอัลบิโน่ คนเดิมที่มีหน้าที่รับใช้องค์พระสันตะปาปาอยู่นั่นเอง
เมื่อก่อนนั้นเวลามีปัญหาใหญ่ใด ๆ ในวาติกัน ที่พระชั้นผู้ใหญ่มาปรึกษาพระองค์ พระองค์มักจะตอบเสมอว่า “เดี๋ยวพ่อจะไปกราบทูลถามสมเด็จพระสันตะปาปาให้นะ” มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่าเมื่อแรกได้เป็นพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 1 นั้นพระองค์ทรงตอบคำถามเหล่านี้อย่างเคยชินด้วยประโยคเดิม ๆ ว่า “แล้วพ่อจะไปทูลถามสมเด็จพระสันตะปาปาให้นะ”
แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ก็ทรงกล่าวว่า “อ้าว...จริงสิ ก็ตัวพ่อเองนี่นาเอาเป็นว่าพ่อจะไปทูลถามพระผู้เป็นเจ้าให้ก็แล้วกันนะ”
พระบุคลิกภาพที่อ่อนโยน ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก
แต่การณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่นี้ทรงอ่อนนอกแต่แข็งใน โดยเฉพาะเรื่องงานเพื่อพระศาสนานั้น พระองค์ต้องการให้ทุกอย่งเป็นไปอย่างโปร่งใสที่สุด เพราะทรงถือว่าวาติกันคือพระอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ที่พร้อมจะเป็นที่พึ่งให้กับบรรดาลูกแกะทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงยอมให้มีสิ่งใดที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเป็นอันขาด
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:22 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การชำระพระวิหาร
โป๊ปจอห์นปอลที่ 1 ทรง “ยกเครื่อง” ปฎิรูปวาติกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ให้มีซอกมุมไหนที่จะใช้เป็นที่ซ่อนของมิจฉาชีพได้เป็นอันขาด แล้วเรื่องก็เกิดเมื่อทรงปฎิรูปไปจนถึงแหล่งใหญ่ที่เป็น หนึ่งในแหล่งสูบเลือดของพวกเหลือบศาสนา นั่นคือ “ธนาคารแห่งรัฐวาติกัน (Institutoper le Opere di Religione หรือ IOR)” เพราะได้มีการหมุนเงินจำนวน “มหาศาล” ไปซื้อหุ้นของธนาคารอัมโบรเซียน่าแห่งมิลาน (Banco Ambrosiano) โดย โรแบโต้ คาลวี ผู้อำนายการใหญ่ของธนาคารแห่งนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มมาเฟียอิตาลีและกลุ่มเมสัน ว่ากันว่าองค์พระสันตะปาปาทรงสืบจนทราบสายสนกลในของเครือข่ายฟรีเมสันซึ่งโยงใยมาถึงกลุ่มมาเฟียอิตาลีภายนอกวาติกันด้วย แต่ก่อนที่จะได้ทรงลงมือ “ล้างบาง” องค์กรลับเหล่านี้ พระองค์ก็เป็นฝ่ายถูก “ตัดตอน” เสียก่อน
โรแบโต้ คาลวี
หลังจากสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาไม่นาน เงินจำนวนหลายล้านลีร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับธนาคารรัฐวาติกันได้ถูกผ่อนถ่ายออกนอกประเทศอย่างลึกลับ และก่อนหน้านั้นเพียง 4 ปีวาติกันก็สูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ไปกับธนาคารอัมโบรเซียโน่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคาลวี่ด้วยเช่นกัน เขาได้ส่งจดหมายลับเตือนพระพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ คือ พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 อย่างชัดเจนก่อนที่ธนาคารอัมโบรเซียโน่จะล้มละลายเพียง 2 สัปดาห์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเร่งให้เกิดหายนะครั้งใหญ่หลวงเกินที่จะประมาณได้และพระศาสนจักรจะต้องเสีหายอย่างร้ายแรงที่สุด”
จากนั้นตัวเขาถูกทางการอิตาลีออกหมายจับในฐานะอาชญากรฟอกเงินและได้เข้าไปนอนในคุกอยู่ช่วงสั้น ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นเขาพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ผู้คุมเห็นเสียก่อนจึงรอดมาได้ ข่าวบางกระแสบอกว่าเขาถูก “สั่ง” ให้ฆ่าตัวตายมากกว่า อย่างไรก็ดีหลังจากได้รับอิสรภาพ คาลวี่ตระหนักดีว่าถ้ายังอยากตายแบบสวย ๆ คงไม่สามารถอยู่ในอิตาลีต่อไปได้ เขาจึงทิ้งครอบครัวซมซานออกนอกประเทศไปยังอังกฤษ แต่ก็เพื่อไปเปลี่ยนที่ตายเท่านั้นเอง เพราะในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาเหยียบกรุงลอนดอนได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี บุรุษไปรษณีย์เมืองผู้ดีเป็นประจักษ์พยานรายแรกที่เห็นร่างมนุษย์แขวนต่องแต่งอยู่ที่สะพานแบล็กฟรายร์กลางกรุงลอนดอนนั่นเอง
ภายในกระเป๋าเสื้อสูทของเขาตุงไปด้วยอิฐบล็อกขนาดใหญ่และฟ่อนเงินหลากสกุล (เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาค 3 ของภาพยนตร์ “ก็อดฟาเธอร์” ด้วย) ผลจากการชันสูตรในชั้นแรกลงความเห็นว่าคาลวี่ทำอัตวินิบาตกรรม แต่ทางครอบครัวไม่ปักใจเชื่อ จึงมีการขุดศพขึ้นมาพิศูจน์ใหม่อย่าละเอียด ถึงได้พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเขาถูกฆ่าตายก่อนนำมาแขวนไว้
ต่อมาเมื่อปี 2002 จึงได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆาตรกรรม
โป๊ปจอห์นปอลที่ 1 ทรง “ยกเครื่อง” ปฎิรูปวาติกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ให้มีซอกมุมไหนที่จะใช้เป็นที่ซ่อนของมิจฉาชีพได้เป็นอันขาด แล้วเรื่องก็เกิดเมื่อทรงปฎิรูปไปจนถึงแหล่งใหญ่ที่เป็น หนึ่งในแหล่งสูบเลือดของพวกเหลือบศาสนา นั่นคือ “ธนาคารแห่งรัฐวาติกัน (Institutoper le Opere di Religione หรือ IOR)” เพราะได้มีการหมุนเงินจำนวน “มหาศาล” ไปซื้อหุ้นของธนาคารอัมโบรเซียน่าแห่งมิลาน (Banco Ambrosiano) โดย โรแบโต้ คาลวี ผู้อำนายการใหญ่ของธนาคารแห่งนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มมาเฟียอิตาลีและกลุ่มเมสัน ว่ากันว่าองค์พระสันตะปาปาทรงสืบจนทราบสายสนกลในของเครือข่ายฟรีเมสันซึ่งโยงใยมาถึงกลุ่มมาเฟียอิตาลีภายนอกวาติกันด้วย แต่ก่อนที่จะได้ทรงลงมือ “ล้างบาง” องค์กรลับเหล่านี้ พระองค์ก็เป็นฝ่ายถูก “ตัดตอน” เสียก่อน
โรแบโต้ คาลวี
หลังจากสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาไม่นาน เงินจำนวนหลายล้านลีร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับธนาคารรัฐวาติกันได้ถูกผ่อนถ่ายออกนอกประเทศอย่างลึกลับ และก่อนหน้านั้นเพียง 4 ปีวาติกันก็สูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ไปกับธนาคารอัมโบรเซียโน่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคาลวี่ด้วยเช่นกัน เขาได้ส่งจดหมายลับเตือนพระพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ คือ พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 อย่างชัดเจนก่อนที่ธนาคารอัมโบรเซียโน่จะล้มละลายเพียง 2 สัปดาห์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเร่งให้เกิดหายนะครั้งใหญ่หลวงเกินที่จะประมาณได้และพระศาสนจักรจะต้องเสีหายอย่างร้ายแรงที่สุด”
จากนั้นตัวเขาถูกทางการอิตาลีออกหมายจับในฐานะอาชญากรฟอกเงินและได้เข้าไปนอนในคุกอยู่ช่วงสั้น ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นเขาพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ผู้คุมเห็นเสียก่อนจึงรอดมาได้ ข่าวบางกระแสบอกว่าเขาถูก “สั่ง” ให้ฆ่าตัวตายมากกว่า อย่างไรก็ดีหลังจากได้รับอิสรภาพ คาลวี่ตระหนักดีว่าถ้ายังอยากตายแบบสวย ๆ คงไม่สามารถอยู่ในอิตาลีต่อไปได้ เขาจึงทิ้งครอบครัวซมซานออกนอกประเทศไปยังอังกฤษ แต่ก็เพื่อไปเปลี่ยนที่ตายเท่านั้นเอง เพราะในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาเหยียบกรุงลอนดอนได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี บุรุษไปรษณีย์เมืองผู้ดีเป็นประจักษ์พยานรายแรกที่เห็นร่างมนุษย์แขวนต่องแต่งอยู่ที่สะพานแบล็กฟรายร์กลางกรุงลอนดอนนั่นเอง
ภายในกระเป๋าเสื้อสูทของเขาตุงไปด้วยอิฐบล็อกขนาดใหญ่และฟ่อนเงินหลากสกุล (เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาค 3 ของภาพยนตร์ “ก็อดฟาเธอร์” ด้วย) ผลจากการชันสูตรในชั้นแรกลงความเห็นว่าคาลวี่ทำอัตวินิบาตกรรม แต่ทางครอบครัวไม่ปักใจเชื่อ จึงมีการขุดศพขึ้นมาพิศูจน์ใหม่อย่าละเอียด ถึงได้พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเขาถูกฆ่าตายก่อนนำมาแขวนไว้
ต่อมาเมื่อปี 2002 จึงได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆาตรกรรม
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:24 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ทฤษฏีสมคบคิด
การสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ในขณะที่งานทุกอย่างของพระองค์ในการสร้างความโปร่งใสให้กับวาติกันกำลังเป็นไปได้ด้วยดีนั้นสร้างความกังขาให้กับชาวอิตาลีและประชาคมโลกมาก
สิ่งที่ดูเหมือนเป็นพิรุธให้สงสัยว่ามีเงื่อนงำอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังการสิ้นพระชนม์นั้น สมมุติฐานมีมากมายไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับองค์กรลับฟรีเมสัน, มาเฟียวาติกัน, ลัทธินิยมนาซีหรือแม้แต่แนวคิดสุดโต่งประเภทมนุษย์ต่างดาวอยู่เบื้องหลังก็ยังมี
มีเหตุการณ์ชวนสงสัยเกิดขึ้น 3 เรื่องก่อนและหลังการสิ้นพระชนม์ขององค์พระสันตะปาปาไม่นาน นั่นคือ
1. มรณกรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนของพระชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ได้เข้าเฝ้าโป๊ปก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน โดยมีข่าวร่ำลือกันว่า พระท่านนี้ท่านรับเคราะห์แทน เพราะเผลอดื่มกาแฟพิษที่ปรุงพิเศษเตรียมไว้ให้โป๊ปพระองค์เดียว
2. หลังจากโป๊ปสิ้นพระชนม์แล้ว พระคาร์ดินัลชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายบัญชาให้กระทำการ “ถนอมพระศพ” โดยการอาบยาในทันทีซึ่งตามกฎหมายของอิตาลีแล้วไม่สามารถกระทำได้ ศพที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจำต้องรอให้มีการชันสูตรเสียก่อนจึงจะนำไปอาบยาหรือเข้าพิธีกรรมได้ แต่เนื่องจากวาติกันเป็นรัฐอิสระจึงไม่อยู่ในกรอบกฎหมายแห่งอิตาลี
3. ทางวาติกันอ้างเรื่องของกฎหมายศาสนจักรว่า พระศพขององค์สมเด็จพระสันตะปาปาไม่สามารถให้ทำการผ่าชันสูตรได้ เพราะถือเป็นการ “ไม่บังควร” ที่จะล่วงละเมิดต่อพระศพ แต่ที่จริงแล้วนั้นในปี 1830 ได้เคยมีการชันสูตรพระศพสมเด็จพระสันตปาปาปิอุสที่ 8 เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการสิ้นพระชนม์และผลปรากฏว่า “พระองค์อาจถูกลอบวางยาพิษ”
การสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ในขณะที่งานทุกอย่างของพระองค์ในการสร้างความโปร่งใสให้กับวาติกันกำลังเป็นไปได้ด้วยดีนั้นสร้างความกังขาให้กับชาวอิตาลีและประชาคมโลกมาก
สิ่งที่ดูเหมือนเป็นพิรุธให้สงสัยว่ามีเงื่อนงำอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังการสิ้นพระชนม์นั้น สมมุติฐานมีมากมายไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับองค์กรลับฟรีเมสัน, มาเฟียวาติกัน, ลัทธินิยมนาซีหรือแม้แต่แนวคิดสุดโต่งประเภทมนุษย์ต่างดาวอยู่เบื้องหลังก็ยังมี
มีเหตุการณ์ชวนสงสัยเกิดขึ้น 3 เรื่องก่อนและหลังการสิ้นพระชนม์ขององค์พระสันตะปาปาไม่นาน นั่นคือ
1. มรณกรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนของพระชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ได้เข้าเฝ้าโป๊ปก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน โดยมีข่าวร่ำลือกันว่า พระท่านนี้ท่านรับเคราะห์แทน เพราะเผลอดื่มกาแฟพิษที่ปรุงพิเศษเตรียมไว้ให้โป๊ปพระองค์เดียว
2. หลังจากโป๊ปสิ้นพระชนม์แล้ว พระคาร์ดินัลชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายบัญชาให้กระทำการ “ถนอมพระศพ” โดยการอาบยาในทันทีซึ่งตามกฎหมายของอิตาลีแล้วไม่สามารถกระทำได้ ศพที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจำต้องรอให้มีการชันสูตรเสียก่อนจึงจะนำไปอาบยาหรือเข้าพิธีกรรมได้ แต่เนื่องจากวาติกันเป็นรัฐอิสระจึงไม่อยู่ในกรอบกฎหมายแห่งอิตาลี
3. ทางวาติกันอ้างเรื่องของกฎหมายศาสนจักรว่า พระศพขององค์สมเด็จพระสันตะปาปาไม่สามารถให้ทำการผ่าชันสูตรได้ เพราะถือเป็นการ “ไม่บังควร” ที่จะล่วงละเมิดต่อพระศพ แต่ที่จริงแล้วนั้นในปี 1830 ได้เคยมีการชันสูตรพระศพสมเด็จพระสันตปาปาปิอุสที่ 8 เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการสิ้นพระชนม์และผลปรากฏว่า “พระองค์อาจถูกลอบวางยาพิษ”
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ความเป็นไปได้อื่นๆ
มรณกรรมอาจเกิดจากสาเหตุธรรมชาติได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเสวยยาเกินขนาด (อ้างอิงYallop, David In God’s Name) เนื่องด้วยมีโรคประจำพระองค์คือโรคพระหทัยและยาที่เสวยนั้นคือดิจิทัลลิส (Digitalis) ซึ่งเป็นยาที่มีช่วงการรักษาแคบ (narrow the rapeutic range) หมายความว่าถ้าเสวยเกินไป หรือเสวยเป็นระยะเวลานาน ยานี้จะกลายเป็นยาพิษต่อร่างกายทันที แม้ในปัจจุบันยาดิจิทัลลิสนี้ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มยาที่อันตราย แพทย์ที่สั่งยาต้องแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เป็นต้นว่าการเห็นภาพเหลืองหรือมีคลื่นไส้อาเจียนอ่อนเพลีย และต้องนัดมาตรวจเลือดหาระดับของดิจิทัลลิสในเลือดเป็นระยะ ๆ
หรือการสิ้นพระชนม์อาจเกิดจากลิ่มพระโลหิตไปอุดตันที่พระปัปผาสะ (ปอด) เฉียบพลัน (Pulmonary embolism) ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากโรคพระหทัยผิดปกติ ( อ้างอิง Cornwell, John; A thief in the night) โดยกลไกก็คือเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะจะทำให้เกิดการไหลวนแปรปรวนของกระแสโลหิตในห้องหัวใจกวนให้เลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มเล็ก ๆ แล้วถูกดันออกสู่ร่างกายไปพร้อมกับกระแสเลือด ที่นี้มันก็จะตรงไปอุดตันตามที่ต่าง ๆ โดยบริเวณที่อันตรายที่สุดคือสมองและปอดเพราะถ้าหลอดเลือดถูกอุดแล้วทำให้เสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ และที่สำคัญคือ พระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 1 เคยมีประวัติของลิ่มเลือดอุดตันที่ตา (Eye embolism) เมื่อราว 3 ปีก่อนหน้านี้
มรณกรรมอาจเกิดจากสาเหตุธรรมชาติได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเสวยยาเกินขนาด (อ้างอิงYallop, David In God’s Name) เนื่องด้วยมีโรคประจำพระองค์คือโรคพระหทัยและยาที่เสวยนั้นคือดิจิทัลลิส (Digitalis) ซึ่งเป็นยาที่มีช่วงการรักษาแคบ (narrow the rapeutic range) หมายความว่าถ้าเสวยเกินไป หรือเสวยเป็นระยะเวลานาน ยานี้จะกลายเป็นยาพิษต่อร่างกายทันที แม้ในปัจจุบันยาดิจิทัลลิสนี้ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มยาที่อันตราย แพทย์ที่สั่งยาต้องแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เป็นต้นว่าการเห็นภาพเหลืองหรือมีคลื่นไส้อาเจียนอ่อนเพลีย และต้องนัดมาตรวจเลือดหาระดับของดิจิทัลลิสในเลือดเป็นระยะ ๆ
หรือการสิ้นพระชนม์อาจเกิดจากลิ่มพระโลหิตไปอุดตันที่พระปัปผาสะ (ปอด) เฉียบพลัน (Pulmonary embolism) ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากโรคพระหทัยผิดปกติ ( อ้างอิง Cornwell, John; A thief in the night) โดยกลไกก็คือเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะจะทำให้เกิดการไหลวนแปรปรวนของกระแสโลหิตในห้องหัวใจกวนให้เลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มเล็ก ๆ แล้วถูกดันออกสู่ร่างกายไปพร้อมกับกระแสเลือด ที่นี้มันก็จะตรงไปอุดตันตามที่ต่าง ๆ โดยบริเวณที่อันตรายที่สุดคือสมองและปอดเพราะถ้าหลอดเลือดถูกอุดแล้วทำให้เสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ และที่สำคัญคือ พระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 1 เคยมีประวัติของลิ่มเลือดอุดตันที่ตา (Eye embolism) เมื่อราว 3 ปีก่อนหน้านี้
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ประตูนรกไม่มีวันชนะพระศาสนจักร
ตราประจำพระองค์
ถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นประมุขแห่งศาสนจักรอยู่ได้ไม่นาน แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นพระองค์ได้ริเริ่มงานใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก พระองค์ได้เปิดประตูวาติกันติดต่อกับประชาคมโลก และเป็นโป๊ปพระองค์แรกที่สลายกำแพงประเพณีอันเคร่งครัดของวาติกันด้วยพระบุคลิกที่ “สุภาพถ่อมตน” และการตรัสที่เป็นกันเอง อย่างเป็นธรรมชาติของพระองค์อันเป็นพระคุณลักษณะพิเศษของความเมตตาที่มีอยู่ในพระทัยอยู่แล้ว
การดำเนินชีวิตและพระกรณียกิจของพระองค์ ได้จุดประกายความคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับพระคาร์ดินัลหนุ่มนามว่าคาโรลวอยตีลา ดำเนินรอยตามอย่างไม่ผิดเพี้ยน พระคาร์ดินัล องค์นี้ ต่อมาก็คือองค์สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 นั่นเอง
เท่ากับว่าแม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปก่อนเวลาอันควร แต่ก็ได้ส่งมอบมรดก และประทานพระสันตะปาปาผู้ประเสริฐที่สุดอีกพระองค์หนึ่ง ให้แก่ชาวโลกแล้ว
------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ-ขณะนี้ ทางวาติกันได้ดำเนินเรื่องเพื่อแต่ตั้งพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่1 เป็นนักบุญ ในกรณีที่หากว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากการฆาตกรรม จะทรงเป็นมรณสักขี(ผู้สละชีวิตเพื่อธำรงความเชื่อ)ด้วย แต่ในปัจจุบัน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าสาเหตุจากโรคกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือด
----------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
http://subcreators.com/blog/category/pope-paul-vi/
http://www.albino-luciani.com/
http://www.papaluciani.com/eng/
http://www.destroyfreemasonry.com/overview.htm
http://communio.stblogs.org/pope-john-paul-i/
นพ.กฤษดา ศิรามพุช. ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 33 ฉบับที่ 393 เดือนพฤศจิกายน 2550 หน้าที่ 7 – 13. กรุงเทพฯ: บริษัท พี.วาทินพรินติ้ง จำกัด, 2550.
ตราประจำพระองค์
ถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นประมุขแห่งศาสนจักรอยู่ได้ไม่นาน แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นพระองค์ได้ริเริ่มงานใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก พระองค์ได้เปิดประตูวาติกันติดต่อกับประชาคมโลก และเป็นโป๊ปพระองค์แรกที่สลายกำแพงประเพณีอันเคร่งครัดของวาติกันด้วยพระบุคลิกที่ “สุภาพถ่อมตน” และการตรัสที่เป็นกันเอง อย่างเป็นธรรมชาติของพระองค์อันเป็นพระคุณลักษณะพิเศษของความเมตตาที่มีอยู่ในพระทัยอยู่แล้ว
การดำเนินชีวิตและพระกรณียกิจของพระองค์ ได้จุดประกายความคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับพระคาร์ดินัลหนุ่มนามว่าคาโรลวอยตีลา ดำเนินรอยตามอย่างไม่ผิดเพี้ยน พระคาร์ดินัล องค์นี้ ต่อมาก็คือองค์สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 นั่นเอง
เท่ากับว่าแม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปก่อนเวลาอันควร แต่ก็ได้ส่งมอบมรดก และประทานพระสันตะปาปาผู้ประเสริฐที่สุดอีกพระองค์หนึ่ง ให้แก่ชาวโลกแล้ว
------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ-ขณะนี้ ทางวาติกันได้ดำเนินเรื่องเพื่อแต่ตั้งพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่1 เป็นนักบุญ ในกรณีที่หากว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากการฆาตกรรม จะทรงเป็นมรณสักขี(ผู้สละชีวิตเพื่อธำรงความเชื่อ)ด้วย แต่ในปัจจุบัน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าสาเหตุจากโรคกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือด
----------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
http://subcreators.com/blog/category/pope-paul-vi/
http://www.albino-luciani.com/
http://www.papaluciani.com/eng/
http://www.destroyfreemasonry.com/overview.htm
http://communio.stblogs.org/pope-john-paul-i/
นพ.กฤษดา ศิรามพุช. ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 33 ฉบับที่ 393 เดือนพฤศจิกายน 2550 หน้าที่ 7 – 13. กรุงเทพฯ: บริษัท พี.วาทินพรินติ้ง จำกัด, 2550.
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 4:16 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 16
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 29, 2009 4:26 pm
เป็นความรู้มาก ๆ ค่ะ...
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ
ผมสงสัยตัวเลขนี้ 33 วันHoly เขียน: การสิ้นพระชนม์ปริศนาของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1
ความโกลาหลอลหม่านเกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องทรงงานของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ร่างของพระสันตะปาปาฟุบอยู่กับโต๊ะทรงงานในพระหัตถ์ยังทรงถือเอกสารค้างอยู่ ครั้นเมื่อเข้าไปถวายการปฐมพยาบาลก็ปรากฏว่าพระองค์ไม่มีลมหายใจเสียแล้ว
พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 เพิ่งได้รับการเลือกจากพระคาร์ดินัลทั่วโลกให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้เมื่อ 33 วันก่อนเท่านั้น หน้าที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้าในฐานะของผู้แทนองค์พระเยซูคริสต์ที่สืบต่อกันมาจาก น.เปโตร อัครสาวก ได้หยุดชะงักลงอีกวาระหนึ่ง
ทำไมต้อง 33 ด้วย
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
Nano Lamp เขียน:ผมสงสัยตัวเลขนี้ 33 วันHoly เขียน: การสิ้นพระชนม์ปริศนาของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1
ความโกลาหลอลหม่านเกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องทรงงานของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ร่างของพระสันตะปาปาฟุบอยู่กับโต๊ะทรงงานในพระหัตถ์ยังทรงถือเอกสารค้างอยู่ ครั้นเมื่อเข้าไปถวายการปฐมพยาบาลก็ปรากฏว่าพระองค์ไม่มีลมหายใจเสียแล้ว
พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 เพิ่งได้รับการเลือกจากพระคาร์ดินัลทั่วโลกให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้เมื่อ 33 วันก่อนเท่านั้น หน้าที่รับใช้พระผู้เป็นเจ้าในฐานะของผู้แทนองค์พระเยซูคริสต์ที่สืบต่อกันมาจาก น.เปโตร อัครสาวก ได้หยุดชะงักลงอีกวาระหนึ่ง
ทำไมต้อง 33 ด้วย
ก็ไม่ได้มีอะไรมากอ่ะคับ - -; แค่ว่าครองราชย์มาเดือนกว่า