เลน่า มาเรีย เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของ สวีเดน เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1968 เธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง และมีขาข้างซ้ายยาวเพียงครึ่งเดียวของขาข้างขวามาตั้งแต่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ

เลน่าเรียนว่ายน้ำตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จนได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติสวีเดน ได้รับเหรียญรางวัลมากมาย
เลน่าชอบร้องเพลงมาก หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยดนตรี ในกรุงสตอก-โฮล์ม เมื่อปี ค.ศ.1991 แล้วเธอยึดการร้องเพลงเป็นอาชีพ มีผลงานมาแล้วหลายอัลบั้ม
อาทิ My life , Best friend, และ Amazing Grace
“ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าฉันจะแตกต่างไปจากคนอื่นๆ คือเป็นคนพิการ อย่างที่เขาเรียกกัน”
เลน่าพิการแต่กำเนิด โดยแรกคลอดเธอตัวยาว 48 ซม.และหนักเพียง 2400 กรัม เท่านั้น ตรงส่วนที่เป็นแขนไม่มีอะไรเลย ตรงหัวไหล่มีเพียงแค่ปุ่มเล็กๆ 2 ปุ่ม ขาขวาปกติดี แต่ขาซ้ายสั้นกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วนเท้าซ้ายชี้ขึ้นข้างบนเกือบจะถึงขา หมอ ได้อธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและความพิการของเธอให้พ่อ แม่ฟัง โดยได้แจ้งว่าท่านทั้งสองมีสิทธิ์ จะทิ้งฉันไว้ที่สถาบันดูแลเด็กพิการได้และพูดว่า “คุณต้องเข้าใจนะว่า คุณจะต้องเลี้ยงลูกของคุณไปอีกอย่างน้อย 20 ปี”ท่านใช้เวลาคิดหลายวัน มีหลายคนแนะนำให้นำฉันไปฝากไว้ที่สถาบันดูแลเด็กพิการ และท่านทั้งสองก็ตระหนักดีว่าเด็กพิการเป็นภาระหนักมาก และในที่สุดพ่อได้แสดงความคิดเห็นที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจของท่านว่า “การที่เธอไม่มีแขนก็ไม่เป็นไร แต่เธอต้องมีครอบครัว”
แม่บอกว่าฉันเป็นคนร่าเริงตั้งแต่เกิด ซึ่ง ฉันเห็นด้วยกับท่าน แล้วทำไมฉันจะไม่เป็นคนร่าเริงละ เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันขาดอวัยวะบางอย่างในร่างกาย และฉันเองก็ไม่ได้มีความเจ็บปวดอะไร ฉันมีพัฒนาการและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งฉันอาจ เรียนรู้ไม่ได้ถ้าเป็นปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ เช่นการใช้เท้าจับขวดนม แต่สำหรับแม่เป็นปีแรกที่หนักมากสำหรับท่าน เมื่อแม่พาฉันไปโรงพยาบาลทุกคนมักไม่ค่อยถามคำถามธรรมดาๆ เกี่ยวกับเด็กทารกซึ่งทุกคนเต็มใจตอบ เช่น เลน่าหลับสนิทตลอดคืนไหม( เลน่ากินนมได้ตามปกติไหม( เลน่าพัฒนาขึ้นไหม( แน่นอนที่เดียวฉันสามารถทำสิ่งพิเศษต่างๆ ได้หลายอย่างด้วยเท้าขวา และค่อยๆเรียนรู้ที่จะจับสิ่งของด้วยไหล่และคางช่วย แต่คนที่พบฉันมักจะเน้นถึงอวัยวะที่ผิดปกติมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ท่าน มองดูฉันในฐานะลูกสาวที่บังเอิญเกิดมาพิการ ไม่ใช่เด็กพิการที่เกิดมาเป็นลูกสาวของท่าน ผู้คนจะสังเกตเห็นว่าพ่อ แม่รักฉันตรงที่ฉันเป็นฉัน ไม่ใช่ฉันไม่สามารถทำสิ่งนี้หรือทำสิ่งนั้นได้ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ
พ่อ แม่สนับสนุนให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันชอบ และท่านก็สนับสนุนน้องชายในแบบเดียวกัน เพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่รู้สึกโกรธหรือขมขื่นใจต่อสภาพที่ฉันเป็นอยู่ เพราะฉันไม่เคยคิดถึงความพิการของตนเองในแง่ลบ ฉันมักคิดว่าฉันเป็นเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ทำบางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากคนอื่นๆบ้าง พ่อแม่ให้เวลาฉันในการทำความเข้าใจว่าจะจัดการกับเรื่องต่างๆ อย่างไร แทนที่จะเข้ามาช่วยเหลือฉันทันทีที่ฉันขอร้อง ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเป็นคนไม่ยอมแพ้ และมักจะค้นพบวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อฉันทำพลาดพ่อแม่ก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ท่านให้ฉันรู้จักความผิดหวังเมื่อฉันไม่สามารถจัดการอะไรได้ด้วยเหตุนี้ฉัน จึงมีอิสระในการแสวงหาความสำเร็จและสามารถรับมือกับความล้มเหลวได้ เมื่อฉันล้มฉันอยากให้แม่มาพยุงฉันขึ้น แต่แม่ไม่อยากทำอย่างนั้น “คลานไปที่รั้วซิ และพยายามใช้รั้วช่วยให้ลุกขึ้น” ในความคิดของแม่ สิ่ง ที่สำคัญคือ ฉันควรจะช่วยตัวเองให้ได้ เพราะจากการเป็นนักอาชีวบำบัดของแม่ ท่านได้เห็นตัวอย่างมากมายที่เป็นผลเสียกับเด็กเมื่อพ่อแม่ประคบประหงมลูก มากเกินไป
ในการไปโรงเรียน ฉันมีผู้ช่วยส่วนตัวตั้งแต่อนุบาล จนถึง ป.5 เธอช่วยฉันได้มากในสิ่งที่ฉันไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ แต่ ฉันรู้สึกอยากทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง พ่อและแม่มักย้ำกับผู้ใหญ่ทั้งที่โรงเรียนและที่อื่นๆว่า ให้เลน่าทำด้วยตัวเธอเองเท่าที่เธอสามารถทำได้ หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องช่วยเหลือเธอ ฉันมีเพื่อนมากมายฉันยังเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนใหม่ๆได้อย่าง ไม่มีปัญหา ไม่รู้สึกกลัวหรืออับอายผู้คนเนื่องจากความพิการ บางครั้งเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนเกี่ยวกับความพิการของฉัน ซึ่งบางครั้งก็ตลก แต่บางครั้งก็แรงไปหน่อย แต่เพราะฉันไม่รู้-สึกเจ็บใจ จึงเกือบไม่มีใครที่ชอบล้อเลียนฉัน พ่อแม่ไม่เคยพาฉันหลบหนีหรือพาไปซ่อนเนื่องจากความพิการของฉัน ฉันได้รับการสอนมาตั้งแต่แรกว่าคุณค่าของฉันนั้นอยู่ภายใน ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นภายนอก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่น่าอับอาย แทนที่จะอับอายฉันกลับใช้ความพิการของฉันให้เป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ เมื่อ โรงเรียนมีกิจกรรมที่ฉันไม่สามารถทำได้ฉันมักพยายามหาทางเข้าไปมีส่วนร่วม ด้วย เช่น ในวิชาพลศึกษา ฉันจะไม่นั่งอยู่ข้างสนามมองดูคนอื่น เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเล่นบาสเกตบอล แต่ฉันเป็นกรรมการได้ ฉันจึงวิ่งไปวิ่งมาและมีส่วนร่วมในกีฬานั้นๆ
ฉัน มีความเชื่อในพระเจ้ามาก ฉันไปที่คริสตจักรเกือบวันเว้นวัน ที่นั้นคนพิการอย่างฉันได้เติบโตขึ้นท่ามกลางคนที่ยอมรับฉันในฐานะบุคคลคน หนึ่งและยอมให้ฉันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ที่นี้มีคนหลายวัยแต่ผู้นำคริสตจักรก็ได้แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรเป็นของคน หนุ่มสาวด้วยพวกเขาไว้ใจให้เราทำสิ่งต่างๆตามวิธีของเรา สำหรับพวกเขาฉันคือ เพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อเลน่า ฉันไม่ใช่คนที่ต้องการการปฏิบัติพิเศษจากเพื่อนเลย
มาถึงความสามารถทางด้านดนตรี ฉันเริ่มเรียนดนตรีในโรงเรียนประจำอำเภอที่เมืองเชอปิงในชั้น ม.3 ฉันมีความสุขกับการร้องเพลง ในชั้น ม.ปลาย เธอเลือกเรียนสายดนตรีและสังคม ฉันพยายามเป็นผู้นำคณะนักร้องเยาวชนในคริสตจักร และฉันก็ทำได้ คณะนักร้องมีการพัฒนาขึ้นมีการจัดคอนเสิร์ตหลายที่ทำให้ฉันได้ร้องเพลง เดี่ยวด้วย รวมทั้งการจัดคอนเสิร์ตส่วนตัวในหลายๆคริสตจักรในจังหวัด ต่อมาฉันได้รับเลือกให้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยการดนตรีที่กรุงสตอกโฮล์ม ตั้งแต่เริ่มเรียนอาจารย์ได้บอกว่า ท่านไม่กังวลกับความพิการของฉันมากนัก ท่านกล่าวว่า “มันขึ้นอยู่กับเธอ เธอต้องเป็นคนบอกเองว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้”
ฉัน ต้องการสื่อสารความเชื่อของฉันที่วิทยาลัยด้วย ฉันและเพื่อนๆ มักจะพบและพูดคุยกันถึงความหมายของการมีชีวิต และเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าและฉันก็ได้ตระหนักว่าฉัน ไม่เคยใช้เวลามากในการคิดว่าทำไมจึงมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ฉันเพียงแต่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากที่บ้าน แต่ตอนนี้ฉันถูกเรียกร้องที่จะให้เหตุผลเกี่ยวกับความคิดเห็นของฉัน ฉันใช้เวลาในการอธิษฐานกับพระเจ้าและอ่านพระคัมภีร์เพื่อค้นหาคำตอบ
มีคนถามว่าฉันมองสิ่งต่างๆ ในชีวิตด้วยทัศนคติทางบวกได้อย่างไร(พวกเขาแปลกใจว่าฉันประสบความสำเร็จในหลายสิ่งได้อย่างไร ทั้งๆที่มีความเสียเปรียบในชีวิตมากมาย
ฉันเชื่อว่ามีเหตุผล 3 ประการอย่างน้อยที่ฉันเห็น
ประการ แรกพูดง่ายๆ ว่า คนเราทุกคนแตกต่างกันตั้งแต่เกิด ฉันมีความสุขและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดมา ตามบุคลิกของฉัน ฉันเป็นคนที่มองดูโอกาสที่เป็นไปได้มากกว่าจะดูที่ความยากลำบาก ฉันไม่ทำให้สิ่งต่างๆ ยากไปกว่าที่มันเป็นอยู่ ฉันมีทัศนคติในทางบวกต่อตนเอง กล้ายอมรับสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น และกล้าที่จะถามคำถาม
ประการที่สอง คือ พ่อแม่ของฉัน ท่านไม่กังวลใจเกี่ยวกับความพิการของฉัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อฉันอย่างยิ่ง ท่านได้วางรากฐานความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของฉัน ท่านช่วยฉันให้เรียนรู้ทั้งความสำเร็จและ ความล้มเหลว
ประการที่สามซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่ ทำให้ฉันมองดูชีวิตด้วยทัศนคติทางบวก คือ พระเจ้า เท่าที่จำได้ความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน ในฐานะที่เป็นคริสเตียน ฉันรู้ว่าฉันมีคุณค่าไม่ว่าฉันจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ของฉันกับพระองค์ ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงรักฉัน
ไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากปัญหา แต่ คนที่มีประสบการณ์กับความยากลำบาก จะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์มากกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ และคนที่สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ จะยิ่งทำให้ชีวิตของเขายิ่งรุ่งโรจน์ขึ้น
