โดย ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย
คอลัมน์พระวจนธรรม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2175 ประจำวัน พุธ ที่ 5 ธันวาคม 2007
ทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงชี้แนะต่อพสกนิกรชาวไทยในการดำเนินชีวิตมานานกว่า 25 ปีแล้ว เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ได้ยินได้ฟังมาเป็นเวลานาน แต่ก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่นำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจและประชาชนส่วนใหญ่ยังถูกครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยมจากสื่อต่างๆที่พยายามชักจูงให้บริโภคมากขึ้น
หลายครั้งรัฐบาลก็มักจะถูกแรงกดดันจากตัวเลขทางเศรษฐกิจในภาคเอกชนโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมต่างๆให้พิจารณาการเติบโตแต่ละปีว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นอัตราร้อยละกี่เปอร์เซ็นต์โดยวัดจากการพฤติกรรมบริโภคของประชาชนในประเทศ หากมีการใช้จ่ายน้อยก็แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลก็ต้องรีบหาแผนมากระตุ้นเศรษฐกิจอีก เมื่อถูกกระตุ้นแล้ว ประชาชนก็ต้องพยายามออกมาใช้เงิน แต่ปัญหาก็คือประชาชนจำนวนมากได้ใช้เงินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว หนี้สินที่มีอยู่ก็ยังชำระไม่หมด ดังนั้นการใช้จ่ายกับการออมจึงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน
ด้วยความห่วงใยต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้มีแนวพระราชดำริเพื่อเป็นทางออกให้กับ ประชาชนของพระองค์ด้วยการรู้จักใช้จ่ายอย่างพอเพียง วิถีแห่งความพอเพียงนี้สอดคล้องกับคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์เริ่มตั้งแต่การทรงสร้าง เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นแล้วก็ได้แต่งตั้งให้มนุษย์ครอบครองดูแลสรรพสิ่งเหล่านั้น และกำหนดว่าในหนึ่งสัปดาห์ ให้มนุษย์ได้หยุดพัก 1 วัน แต่มนุษย์ในสมัยนี้ไม่ยอมหยุดพัก เพราะคิดว่าถ้าหยุดพักก็จะสูญเสียโอกาสที่จะทำรายได้ไป การไม่ยอมหยุดพักนี้มีผลเสียคือทำให้มนุษย์เครียด และเจ็บป่วยได้ง่าย
ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ ราชบัณฑิตสาขาจิตวิทยา กล่าวในการสัมนาวิชาการเรื่อง ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสังคมไทยว่าสภาพความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตคนไทยมีลักษณะนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ปัจจุบันคนไทยกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ชอบใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดความเครียดมากขึ้นจนกลายเป็นโรคร้ายแรง เพราะชอบแข่งขันเอาชนะ และบูชาวัตถุนิยม มีบุคลิกภาพเครียดและต่อต้านสังคม อันเป็นผลมาจากการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว หรือได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดด้านการแข่งขันมากเกินไป หรือเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยจนเกินไป ระบบครอบครัวอ่อนแอลง
ถือเป็นวิกฤตที่อันตรายมากที่สุดของสังคมไทยเวลานี้ ดังนั้น การที่คริสเตียนรู้จักหยุดพักจากหน้าที่การงานและไปนมัสการพระเจ้าในวัน อาทิตย์ นอกจากจะเป็นการป้องกันความเครียดและลดการแข่งขันในชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้ใช้เวลากับครอบครัวอีกด้วย
เรื่องการหยุดพักนั้นไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของคนเท่านั้น พระคัมภีร์เดิมยังมีคำสั่งให้คนอิสราเอลกำหนดปีสะบาโตขึ้น คือทุกเจ็ดปีคนอิสราเอลจะต้องหยุดงาน หยุดการทำกสิกรรม การทำเช่นนี้ทำให้แผ่นดินได้มีโอกาสหยุดพักด้วย และพระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมให้พวกเขาอย่างพอเพียง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ทำการเพาะปลูกก็ตาม (เลวีนิติ 25:1-7)
เมื่อชนชาติอิสราเอลได้เข้าครอบครองแผ่นดินคานาอันนั้น พวกเขาได้รับการแบ่งที่ดินตามเผ่า ตามตระกูล และตามครอบครัว คนที่มีเงินมากก็ไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดินจำนวนมากเกินไป แม้จะสามารถซื้อที่ดินทางการเกษตรของคนอื่นได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของอย่างถาวร เมื่อถึงปีอิสรภาพหรือปีเสียงเขาสัตว์
คนที่ซื้อมาก็ต้องคืนให้กับเจ้าของเดิม (เลวีนิติ 25:8-17) หากเจ้าของเดิมเสียชีวิต ผู้ที่จะมีสิทธิ์ไถ่ถอนที่ดินแทนได้นั้นจะต้องเป็นญาติสนิทของเจ้าของเดิม ที่เสียชีวิตไป และจะต้องทำหน้าที่เป็นสามีให้กับภรรยาม่ายของเจ้าของเดิม เพื่อให้มีบุตรสืบสกุลต่อไป การมีกฎหมายนี้ก็เพื่อเป็นการปกป้องชาวบ้านธรรมดาไม่ให้สูญเสียที่ทำกินของตนไป และในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้คนมีเงินขยายอิทธิพลของตนเองไปครอบครองที่ดินได้มากเกินไป กฎหมายนี้เองทำให้คนอิสราเอลสามารถรักษาที่ดินของบรรพบุรุษไว้ได้
http://groups.google.com/group/christia ... 5268?hl=en
วิถีแห่งความพอเพียงตามคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อืมม์ นึกว่า เจ๊เขียนเอง ที่แท้ ดร.เส เหรอ 

- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ถ้าน้องเขียนได้นี่สงสัยตื่นขึ้นมาดีใจแย่เลย (เขียนในฝัน)Jeab Agape เขียน:
อืมม์ นึกว่า เจ๊เขียนเอง ที่แท้ ดร.เส เหรอ![]()
ปล. ศิษย์พี่อย่ามาเรียกน้องว่าเจ๊ ตัวเองแก่กว่าอย่าทำตัวเด็ก