หนึ่งเดียวหรือแตกแยกในการประกาศแผ่นดินสวรรค์
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
หนึ่งเดียวหรือแตกแยกในการประกาศแผ่นดินสวรรค์
การที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่นับถือพระศาสนาพราหมณ์-พุทธ โดยส่วนมากอยู่แล้ว จะมีศาสนาคริสต์ ทั้ง 3 นิกาย ต่างฝ่าย ต่างประกาศแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งก็มีข้อเชื่อและจุดยืนที่แตกต่างกัน หนำซ้ำ ถ้าจะมองไปยังเนื้อหาของแต่ละนิกายซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคริสตสัมพันธ์แล้ว ต่างก็มีข้อความโจมตีอีกฝ่ายอยู่เบาๆ - ชัดเจน
จากการสังเกตุ ของพี่น้องคนไทยต่างศาสนา ผมพบว่า คริสตจักรของโปรเตสแตน นั้น มีบางคนมองว่า เป็นเพียงลัทธิไปเสียแล้ว อันเนื่องมาจาก การประกาศแผ่นดินสวรรค์นั้น ไม่ได้ประกาศโดย คาทอลิก และโปรเตสแตน เพียงลำพัง แต่ยังมีลัทธิเทียมเท็จร่วมประกาศด้วย จึงทำให้คนที่ไม่รู้จักคริสตศาสนาเกิดความเข้าใจผิดไปตามๆกัน
ไอดอล อย่างหนึ่ง ที่คนไทยซึ่งไม่รุ้จักคริสตศาสนาดีนั้น เมื่อนึกถึงคริสตศาสนา เค้าจะนึกถึง "บาทหลวง" ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วของพวกเรา : xemo016 :
กระทู้นี้ ไม่ใช่บทความนะครับ
แต่ผมกำลังคิดว่า มากนิกาย มากความ นำพามาสู่ความล้มเหลวในการประกาศ และวุ่นวายทางศรัทธาแก่ผู้เชื่อใหม่ หรือป่าว?
ขนาด พระคัมภีร์ยังไม่เหมือนกันเลย คำเรียก HOLY SPIRIT ก็ไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญคือ นางมารีย์ กับ พระแม่มารีย์(แม่พระฯ)
ผมอาจคิดผิดหรือคิดถูก ที่เข้าใจว่า การมากนิกายคือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ทำให้คริสตศาสนาแพร่ไปอย่างมีประสิทธิภาพคือเข้าถึงผู้คน(โปรเตสแตน)
จากพระศาสนจักรศาสนาคริสต์ กลายเป็นพระศาสนจักรนิกายคาทอลิก พร้อมทั้งนิกายออโธดอกส์ และนิกายโปรเตสแตน
เพียงไม่กี่ปี(ไม่กี่สิบกี่ร้อยปี) จากนิกายโปรเตสแตนก็แตกออกไปเป็นสายคณะต่างๆอีกมากมาย บนข้อเชื่อที่เริ่มเพี้ยนไปเรื่อยๆ ไม่สิ อาจไม่เรียกว่าเพี้ยนแล้วกันเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมพูดดูหมิ่น อาจเรียกว่าตกขอบแทน (หนักกว่าเดิมอีก) ::011::
คือ กระทู้นี้ ไม่ได้โจมตี หรือตำหนินิกายไหน เพราะความผิดเกิดจากยุคมืด นำพามาสู่ธรรมชาติบาปยึดมั่นในความคิดตัวเอง...นำมาจนถึงการกำเนิดลัทธิสนองโลกีย์อย่างที่เห็นตามที่มีโพสต์ในบอร์ด.. : xemo028 :
ยาวไปละ เดี๋ยวขี้เกียจอ่าน มาบ่นให้ฟัง อิอิ : xemo029 :
สรุปแล้ว ก็มินำพา ::056::
แล้วเพื่อนๆคิดยังไงบ้าง กับ 3 นิกาย ในประเทศไทย ที่จะส่งผลต่อคนต่างศาสนาและผู้เชื่อใหม่
การที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่นับถือพระศาสนาพราหมณ์-พุทธ โดยส่วนมากอยู่แล้ว จะมีศาสนาคริสต์ ทั้ง 3 นิกาย ต่างฝ่าย ต่างประกาศแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งก็มีข้อเชื่อและจุดยืนที่แตกต่างกัน หนำซ้ำ ถ้าจะมองไปยังเนื้อหาของแต่ละนิกายซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคริสตสัมพันธ์แล้ว ต่างก็มีข้อความโจมตีอีกฝ่ายอยู่เบาๆ - ชัดเจน
จากการสังเกตุ ของพี่น้องคนไทยต่างศาสนา ผมพบว่า คริสตจักรของโปรเตสแตน นั้น มีบางคนมองว่า เป็นเพียงลัทธิไปเสียแล้ว อันเนื่องมาจาก การประกาศแผ่นดินสวรรค์นั้น ไม่ได้ประกาศโดย คาทอลิก และโปรเตสแตน เพียงลำพัง แต่ยังมีลัทธิเทียมเท็จร่วมประกาศด้วย จึงทำให้คนที่ไม่รู้จักคริสตศาสนาเกิดความเข้าใจผิดไปตามๆกัน
ไอดอล อย่างหนึ่ง ที่คนไทยซึ่งไม่รุ้จักคริสตศาสนาดีนั้น เมื่อนึกถึงคริสตศาสนา เค้าจะนึกถึง "บาทหลวง" ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วของพวกเรา : xemo016 :
กระทู้นี้ ไม่ใช่บทความนะครับ
แต่ผมกำลังคิดว่า มากนิกาย มากความ นำพามาสู่ความล้มเหลวในการประกาศ และวุ่นวายทางศรัทธาแก่ผู้เชื่อใหม่ หรือป่าว?
ขนาด พระคัมภีร์ยังไม่เหมือนกันเลย คำเรียก HOLY SPIRIT ก็ไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญคือ นางมารีย์ กับ พระแม่มารีย์(แม่พระฯ)
ผมอาจคิดผิดหรือคิดถูก ที่เข้าใจว่า การมากนิกายคือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ทำให้คริสตศาสนาแพร่ไปอย่างมีประสิทธิภาพคือเข้าถึงผู้คน(โปรเตสแตน)
จากพระศาสนจักรศาสนาคริสต์ กลายเป็นพระศาสนจักรนิกายคาทอลิก พร้อมทั้งนิกายออโธดอกส์ และนิกายโปรเตสแตน
เพียงไม่กี่ปี(ไม่กี่สิบกี่ร้อยปี) จากนิกายโปรเตสแตนก็แตกออกไปเป็นสายคณะต่างๆอีกมากมาย บนข้อเชื่อที่เริ่มเพี้ยนไปเรื่อยๆ ไม่สิ อาจไม่เรียกว่าเพี้ยนแล้วกันเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมพูดดูหมิ่น อาจเรียกว่าตกขอบแทน (หนักกว่าเดิมอีก) ::011::
คือ กระทู้นี้ ไม่ได้โจมตี หรือตำหนินิกายไหน เพราะความผิดเกิดจากยุคมืด นำพามาสู่ธรรมชาติบาปยึดมั่นในความคิดตัวเอง...นำมาจนถึงการกำเนิดลัทธิสนองโลกีย์อย่างที่เห็นตามที่มีโพสต์ในบอร์ด.. : xemo028 :
ยาวไปละ เดี๋ยวขี้เกียจอ่าน มาบ่นให้ฟัง อิอิ : xemo029 :
สรุปแล้ว ก็มินำพา ::056::
แล้วเพื่อนๆคิดยังไงบ้าง กับ 3 นิกาย ในประเทศไทย ที่จะส่งผลต่อคนต่างศาสนาและผู้เชื่อใหม่
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ธ.ค. 05, 2009 5:48 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Jeanne d'Arc
- โพสต์: 235
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 12, 2009 12:33 pm
คาทอลิค กับ ออร์ธอดอกซ์ ไม่น่ามีปัญหาครับ
ในมุมมองผมอยู่ที่โปรแตสแตนท์ ซึ่ง พวกลัทธิเทียมเท็จ จะชอบเนียนเป็นโปรแตสแตนท์บ่อยๆ แถมโปรแตสแตนท์หลายที่ที่เป็น"โบสถ์เปิดเอง"ก็จะสอนอะไรผิดแปลกในบางที่ด้วย
มิได้นำพานะครับ แค่อยากให้กลับมารวมกันเหมือนเดิม แหะๆ
ในมุมมองผมอยู่ที่โปรแตสแตนท์ ซึ่ง พวกลัทธิเทียมเท็จ จะชอบเนียนเป็นโปรแตสแตนท์บ่อยๆ แถมโปรแตสแตนท์หลายที่ที่เป็น"โบสถ์เปิดเอง"ก็จะสอนอะไรผิดแปลกในบางที่ด้วย
มิได้นำพานะครับ แค่อยากให้กลับมารวมกันเหมือนเดิม แหะๆ
-
- โพสต์: 250
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 3:33 am
เคยมีเพื่อนที่เข้าเป็นมอรมอนหลังผมประมาณ 2 เดือน
เขาบอกว่าเขาเคยอยู่โบสถ์โปรแตสแตนท์ที่นึง แล้วก็มาศึกษาที่มอรมอนจึงเข้ากับที่มอรมอน
แต่ที่สำคัญคือ เขาบอกว่าเพื่อนเขาอีก 3 คน ที่เรียนศาสนาคริสต์ด้วยกัน
เขาสับสนว่าทำไมคริสต์มีหลายนิกายจัง แล้วเขาสับสนมาก เขาจึงไปอยู่พุทธน่ะครับ เขาว่าทำให้จิตใจสงบ
เขาบอกว่าเขาเคยอยู่โบสถ์โปรแตสแตนท์ที่นึง แล้วก็มาศึกษาที่มอรมอนจึงเข้ากับที่มอรมอน
แต่ที่สำคัญคือ เขาบอกว่าเพื่อนเขาอีก 3 คน ที่เรียนศาสนาคริสต์ด้วยกัน
เขาสับสนว่าทำไมคริสต์มีหลายนิกายจัง แล้วเขาสับสนมาก เขาจึงไปอยู่พุทธน่ะครับ เขาว่าทำให้จิตใจสงบ

-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พี่บอย ครับ บางที พี่ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกและเทียมเท็จ ในกลุ่มโปรฯ
เช่นเดียวกัน เจี๊ยบเอง อาจจะเป็นคนหนึ่ง ที่นำความแตกแยก
เจี๊ยบเรียนรู้อย่างหนึ่ง การไม่ทำความแตกแยก คือ การพูดให้น้อยภาวนาให้เยอะ ฮะ
พี่ลองดูสิ เพราะเท่าที่สังเกต พี่เป็นคนหนึ่ง ที่ขาดความสงบ ชอบ นำคำถาม หรือความเห็นอะไร ก็ไม่รู้มากระพือที่บอร์ด
ช่วยสวด พระเมตตา มากๆ ฮะ "พระเยซูเจ้า ลูกวางใจในพระองค์" (ซึ่งนำสันติสุขในจิตใจจริงๆ ครับ )
เช่นเดียวกัน เจี๊ยบเอง อาจจะเป็นคนหนึ่ง ที่นำความแตกแยก
เจี๊ยบเรียนรู้อย่างหนึ่ง การไม่ทำความแตกแยก คือ การพูดให้น้อยภาวนาให้เยอะ ฮะ

พี่ลองดูสิ เพราะเท่าที่สังเกต พี่เป็นคนหนึ่ง ที่ขาดความสงบ ชอบ นำคำถาม หรือความเห็นอะไร ก็ไม่รู้มากระพือที่บอร์ด
ช่วยสวด พระเมตตา มากๆ ฮะ "พระเยซูเจ้า ลูกวางใจในพระองค์" (ซึ่งนำสันติสุขในจิตใจจริงๆ ครับ )
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ผมและเพื่อนๆ หลายคน เปลี่ยนมานับถือคาทอลิก เพราะความวุ่นวายของบางนิกายแหละครับ อันที่จริง ในบอร์ดนี้ก็มีหลายคนครับLittle Boy เขียน: เคยมีเพื่อนที่เข้าเป็นมอรมอนหลังผมประมาณ 2 เดือน
เขาบอกว่าเขาเคยอยู่โบสถ์โปรแตสแตนท์ที่นึง แล้วก็มาศึกษาที่มอรมอนจึงเข้ากับที่มอรมอน
แต่ที่สำคัญคือ เขาบอกว่าเพื่อนเขาอีก 3 คน ที่เรียนศาสนาคริสต์ด้วยกัน
เขาสับสนว่าทำไมคริสต์มีหลายนิกายจัง แล้วเขาสับสนมาก เขาจึงไปอยู่พุทธน่ะครับ เขาว่าทำให้จิตใจสงบ![]()
แน่นอนครับ เจี๊ยบ เพราะผมไม่ได้เชื่อแบบโปรเตสแตนนี่ครับ ฮิฮิJeab Agape เขียน:
พี่บอย ครับ บางที พี่ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกและเทียมเท็จ ในกลุ่มโปรฯ
เช่นเดียวกัน เจี๊ยบเอง อาจจะเป็นคนหนึ่ง ที่นำความแตกแยก
เจี๊ยบเรียนรู้อย่างหนึ่ง การไม่ทำความแตกแยก คือ การพูดให้น้อยภาวนาให้เยอะ ฮะ
พี่ลองดูสิ เพราะเท่าที่สังเกต พี่เป็นคนหนึ่ง ที่ขาดความสงบ ชอบ นำคำถาม หรือความเห็นอะไร ก็ไม่รู้มากระพือที่บอร์ด
ช่วยสวด พระเมตตา มากๆ ฮะ "พระเยซูเจ้า ลูกวางใจในพระองค์" (ซึ่งนำสันติสุขในจิตใจจริงๆ ครับ )
-
- โพสต์: 268
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 17, 2009 5:15 pm
ผมก็อยากให้ทุกนิกายกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมแหละครับ
ก็ขอบคุณพี่บอยด้วยนะครับ ที่ตั้งกระทู้ให้มาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เพราะว่าตอนนี้ผมว่าคนออนก็พอมี แต่การเม้นนั้นไม่ค่อยมีเลย
อิอิ

ก็ขอบคุณพี่บอยด้วยนะครับ ที่ตั้งกระทู้ให้มาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เพราะว่าตอนนี้ผมว่าคนออนก็พอมี แต่การเม้นนั้นไม่ค่อยมีเลย
อิอิ


การสวมกอดของสองอัครสาวก
เวลาผ่านไปนานถึงเก้าร้อยปี ที่ผู้สืบทอดตำแหน่งจากพี่น้องร่วมสายโลหิตคู่นี้ ผินหน้าออกจากกัน

จนลุวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1964 สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่หก
ไำด้มอบไอคอน (ภาพวาดแบบกรีก) การสวมกอดของนักบุญเปโตรและนักบุญอันดรูว์
โดยเหนือศีรษะของนักบุญเปโตร มีเครื่องหมายกางเขนของนักบุญเปโตร
และเหนือศีรษะของนักบุญอันดรูว์มีเครื่องหมายกางเขนของนักบุญอันดรูว์
ตอนบนตรงกลางของภาพมีรูปพระเยซูคริสตเจ้า
ทอดพระเนตรมายังนักบุญทั้งสองท่านที่สวมกอดกันนี้
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่หก
ได้มอบไอคอนนี้ให้กับสมเด็จพระสังฆัยกา อาเธนาโกรัสที่หนึ่ง
เพื่อเป็นหมายแสดงการคืนดีระหว่างพระศาสนจักรทั้งสองฟาก
พระองค์ยังได้คืนพระธาตุของนักบุญอันดรูว์ให้กับพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์
และทรงโปรดยกเลิกข้อขัดขวาง (the reciprocal excommunications)
ที่ประกาศเมื่อปี ค.ศ. 1054 ทิ้งเสียอย่างเป็นทางการ
ต่อมา สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่สอง
ทรงสืบทอดภารกิจแห่งการสวมกอดของสองพี่น้องนี้ โดยทรงตรัสว่า
“… การสวมกอดกันของสองท่าน
ภายใต้สายพระเนตรของพระเยซูคริสตเจ้าที่ทอดมองนี้
เชื้อเชิญเราให้ดำเนินต่อไปบนหนทางที่ได้เริ่มไว้แล้ว
เพื่อบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือ เอกภาพซึ่งเราต่างปรารถนาร่วมกันเสมอมา ...”
‘...their embrace beneath the gaze of Christ is an invitation
to continue on the journey we have undertaken
towards this goal of unity
which we want to achieve together....(John Paul II)
ขอเชิญอ่านต่อที่นี่ครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9043.0
เวลาผ่านไปนานถึงเก้าร้อยปี ที่ผู้สืบทอดตำแหน่งจากพี่น้องร่วมสายโลหิตคู่นี้ ผินหน้าออกจากกัน

จนลุวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1964 สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่หก
ไำด้มอบไอคอน (ภาพวาดแบบกรีก) การสวมกอดของนักบุญเปโตรและนักบุญอันดรูว์
โดยเหนือศีรษะของนักบุญเปโตร มีเครื่องหมายกางเขนของนักบุญเปโตร
และเหนือศีรษะของนักบุญอันดรูว์มีเครื่องหมายกางเขนของนักบุญอันดรูว์
ตอนบนตรงกลางของภาพมีรูปพระเยซูคริสตเจ้า
ทอดพระเนตรมายังนักบุญทั้งสองท่านที่สวมกอดกันนี้
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่หก
ได้มอบไอคอนนี้ให้กับสมเด็จพระสังฆัยกา อาเธนาโกรัสที่หนึ่ง
เพื่อเป็นหมายแสดงการคืนดีระหว่างพระศาสนจักรทั้งสองฟาก
พระองค์ยังได้คืนพระธาตุของนักบุญอันดรูว์ให้กับพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์
และทรงโปรดยกเลิกข้อขัดขวาง (the reciprocal excommunications)
ที่ประกาศเมื่อปี ค.ศ. 1054 ทิ้งเสียอย่างเป็นทางการ
ต่อมา สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่สอง
ทรงสืบทอดภารกิจแห่งการสวมกอดของสองพี่น้องนี้ โดยทรงตรัสว่า
“… การสวมกอดกันของสองท่าน
ภายใต้สายพระเนตรของพระเยซูคริสตเจ้าที่ทอดมองนี้
เชื้อเชิญเราให้ดำเนินต่อไปบนหนทางที่ได้เริ่มไว้แล้ว
เพื่อบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือ เอกภาพซึ่งเราต่างปรารถนาร่วมกันเสมอมา ...”
‘...their embrace beneath the gaze of Christ is an invitation
to continue on the journey we have undertaken
towards this goal of unity
which we want to achieve together....(John Paul II)
ขอเชิญอ่านต่อที่นี่ครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9043.0
รวมกันไม่ ได้อยู่แล้ว แต่ต้อง ยอมรับกันได้ แค่นั้นเอง เดี๋ยวจะเอา รายละเอียด ปลีกย่อย มาให้ดูค่ะtonklakubpom เขียน: ผมก็อยากให้ทุกนิกายกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมแหละครับ
ก็ขอบคุณพี่บอยด้วยนะครับ ที่ตั้งกระทู้ให้มาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เพราะว่าตอนนี้ผมว่าคนออนก็พอมี แต่การเม้นนั้นไม่ค่อยมีเลย
อิอิ![]()
![]()
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
[quote="ยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า"]
ไม่ใช่จุดยืน ค่ะแต่ เราไม่สามารถที่จะ เป็น หรือเชื่อ ในเป็นแบบ ที่ catholic เป็นได้ค่ะ เช่น orhodox ยังถือจุดยืนจุดเดิม ที่ไม่เปลี่ยน แต่ ทาง catholic มีการพัฒนาBoYz - The Series เขียน:ฟังดูดีมากๆ : xemo026 :ยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน: “… การสวมกอดกันของสองท่าน
ภายใต้สายพระเนตรของพระเยซูคริสตเจ้าที่ทอดมองนี้
เชื้อเชิญเราให้ดำเนินต่อไปบนหนทางที่ได้เริ่มไว้แล้ว
เพื่อบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือ เอกภาพซึ่งเราต่างปรารถนาร่วมกันเสมอมา ...”
‘...their embrace beneath the gaze of Christ is an invitation
to continue on the journey we have undertaken
towards this goal of unity
which we want to achieve together....(John Paul II)
แบบนั้น คือ จุดยืน ของ?jacky เขียน: แบบ นี้หรือป่าว ค่ะ
![]()
ความรู้ด้าน ศาสนศาสตร์ ให้เข้ากับ ยุคสมัย ซึ่ง Orthodox มองว่าเป็นการ ทำลาย ความเชื่อแบบดั่งเดิมที่มีมา
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
จริงๆ ที่พอจะรู้อ่ะครับ ออโธฯ กับ คาทอฯ แทบจะไม่ต้องเรียกว่า นิกายด้วยซ้ำ เปรียบๆ จะเป็นคำว่า ฝ่ายออก กับ ฝ่ายตก ซึ่งข้อเชื่อเกร็ดเล็กน้อย คล้ายๆ เคล้าๆไปในทางเดียวกัน ด้วยซ้ำ (ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยมาด้วยนะครับ) 

ทิศทางของพระศาสนจักรคาทอลิกหลังสังคายนาวาติกันครั้งที่2jacky เขียน: ไม่ใช่จุดยืน ค่ะแต่ เราไม่สามารถที่จะ เป็น หรือเชื่อ ในเป็นแบบ ที่ catholic เป็นได้ค่ะ เช่น orhodox ยังถือจุดยืนจุดเดิม ที่ไม่เปลี่ยน แต่ ทาง catholic มีการพัฒนา
ความรู้ด้าน ศาสนศาสตร์ ให้เข้ากับ ยุคสมัย ซึ่ง Orthodox มองว่าเป็นการ ทำลาย ความเชื่อแบบดั่งเดิมที่มีมา
ไม่ใช่การบีบให้คนอื่นต้องมาเชื่อเหมือนเราครับ
แต่คือการเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
อยากให้เรารักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันในลักษณะนี้มากกว่าครับ

ต่างกันค่ะ ดูเผินๆอาจ เหมือนกัน แต่ลึกๆแล้ว มีปรัชญา ที่ต่างกัน ด้วยจะทยอย ลงบทความค่ะBoYz - The Series เขียน: จริงๆ ที่พอจะรู้อ่ะครับ ออโธฯ กับ คาทอฯ แทบจะไม่ต้องเรียกว่า นิกายด้วยซ้ำ เปรียบๆ จะเป็นคำว่า ฝ่ายออก กับ ฝ่ายตก ซึ่งข้อเชื่อเกร็ดเล็กน้อย คล้ายๆ เคล้าๆไปในทางเดียวกัน ด้วยซ้ำ (ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยมาด้วยนะครับ)![]()
- Slave of God
- โพสต์: 336
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm
ฉันคือพระเยซู แต่ฉันไม่ยอมรับร่างกายของพระองค์ที่เปลี่ยนแปลงเติบโตขึ้น แต่ฉันคือพระเยซู
ฉันคือพระเยซู แต่ฉันไม่ยอมรับความผิดพลาดในอดีตของพระองค์ แต่ฉันคือพระเยซู
ฉันคือพระเยซู แต่ฉันไม่ยอมรับกายและโลหิตของพระองค์ แต่ฉันคือพระเยซู
และที่สำคัญ
พวกเราคือ พระเยซู
หนึ่งเดียวในพระคริสต์
ฉันคือพระเยซู แต่ฉันไม่ยอมรับความผิดพลาดในอดีตของพระองค์ แต่ฉันคือพระเยซู
ฉันคือพระเยซู แต่ฉันไม่ยอมรับกายและโลหิตของพระองค์ แต่ฉันคือพระเยซู
และที่สำคัญ
พวกเราคือ พระเยซู
หนึ่งเดียวในพระคริสต์
รอดูต่อไปเถอะครับ เรื่องออธอดอคกับคาทอลิก การรวมเป็นหนึ่งเดียวที่ว่าจะรวมแบบไหน ผมเชื่อว่าในชั่วอายุเราน่าจะได้เห็นกันแน่นอน
ไม่สำคัญหรอกครับว่ามีปรัชญาข้อเชื่อเป็นยังไง สำคัญที่พระเยซูต้องการอะไร
และถ้าพระองค์ต้องการสิ่งไหน ก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
มก 3:24
ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้
ยน 10:16
แกะจะฟังเสียงของเรา
จะมีแกะเพียงฝูงเดียว
และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว
ลก 1:37
เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้
ใครปรารถนาเอกภาพในพระกายพระคริสต์ อธิษฐานได้เลยครับ สิ่งที่เป็นพระประสงค์อยู่แล้ว ย่อมจะได้รับการตอบคำอธิษฐาน และมันจะเร่งวันเวลาให้เร็วขึ้นได้
ไม่สำคัญหรอกครับว่ามีปรัชญาข้อเชื่อเป็นยังไง สำคัญที่พระเยซูต้องการอะไร
และถ้าพระองค์ต้องการสิ่งไหน ก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
มก 3:24
ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้
ยน 10:16
แกะจะฟังเสียงของเรา
จะมีแกะเพียงฝูงเดียว
และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว
ลก 1:37
เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้
ใครปรารถนาเอกภาพในพระกายพระคริสต์ อธิษฐานได้เลยครับ สิ่งที่เป็นพระประสงค์อยู่แล้ว ย่อมจะได้รับการตอบคำอธิษฐาน และมันจะเร่งวันเวลาให้เร็วขึ้นได้
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
jacky เขียน:รวมกันไม่ ได้อยู่แล้ว แต่ต้อง ยอมรับกันได้ แค่นั้นเอง เดี๋ยวจะเอา รายละเอียด ปลีกย่อย มาให้ดูค่ะtonklakubpom เขียน: ผมก็อยากให้ทุกนิกายกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมแหละครับ
ก็ขอบคุณพี่บอยด้วยนะครับ ที่ตั้งกระทู้ให้มาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เพราะว่าตอนนี้ผมว่าคนออนก็พอมี แต่การเม้นนั้นไม่ค่อยมีเลย
อิอิ![]()
![]()
การรวมกัน ไม่ใช่การนำแนวคิดปรัชญาหรือเกร็ดละเอียดที่แตกต่างกัน มากลืนศรัทธากันและกันนะครับ : emo073 :jacky เขียน:ต่างกันค่ะ ดูเผินๆอาจ เหมือนกัน แต่ลึกๆแล้ว มีปรัชญา ที่ต่างกัน ด้วยจะทยอย ลงบทความค่ะBoYz - The Series เขียน: จริงๆ ที่พอจะรู้อ่ะครับ ออโธฯ กับ คาทอฯ แทบจะไม่ต้องเรียกว่า นิกายด้วยซ้ำ เปรียบๆ จะเป็นคำว่า ฝ่ายออก กับ ฝ่ายตก ซึ่งข้อเชื่อเกร็ดเล็กน้อย คล้ายๆ เคล้าๆไปในทางเดียวกัน ด้วยซ้ำ (ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยมาด้วยนะครับ) : emo045 :
แต่ผมมองภาพเป็น "พระศาสนจักรหนึ่งเดียว" มากกว่า

คือ แบบที่ผมบอก มันน่าจะเป็นทำนอง ฝ่ายออกกับฝ่ายตก ไม่น่าจะถึงขั้นเรียกว่านิกาย

เรามีความจริงร่วมกัน ซึ่งจะให้ใครมาล้มล้างปฏิเสธไม่ได้เลย
คือ เราเชื่อในแม่พระ นักบุญ เชื่อในความเป็นพระศาสนจักร เชื่อในพระคัมภีร์ชุดเดียวกัน และเรายังมีความเมตตาต่อวิญญาณผู้ล่วงลับเหมือนกันด้วย
แต่ยังไงก็แล่วแต๊ เรื่องบทความ ผมจะติดตามคุณเจนนะครับ : emo038 :
ปล.ตอนเห็นเหรียญผ่าครึ่งนั่น แอบตกใจ : xemo033 :
ชอบ 2 ข้อนี้เป็นพิเศษ

V
V
V
V
Holy เขียน: มก 3:24
ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้
ยน 10:16
แกะจะฟังเสียงของเรา
จะมีแกะเพียงฝูงเดียว
และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ธ.ค. 08, 2009 6:37 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เมื่อสักครู่อธิษฐานแล้วสุ่มเปิดพระคัมภีร์ได้บทนี้ ที่จริงช่วงนี้เปิดได้หลายหน และเมื่อรำพึงสถานการณ์ในเวบบอร์ด ก็ได้ีรับความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ
1คร 1:10-16 คริสตชนแตกแยกกัน
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องท่านในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ให้ท่านปรองดองกัน อย่าแตกแยก แต่จงมีจิตใจและความเห็นตรงกัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จากคนในครอบครัวของคะโลเอว่า ท่านทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน ข้าพเจ้าหมายความว่าดังนี้ ท่านต่างก็พูดว่า “ฉันเป็นพวกของเปาโล” “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” “ฉันเป็นพวกของเคฟาส” “ฉันเป็นพวกของพระคริสตเจ้า” มีการแบ่งแยกในองค์พระคริสตเจ้ากระนั้นหรือ เปาโลถูกตรึงกางเขนเพื่อท่านกระนั้นหรือ ท่านได้รับพิธีล้างบาปในนามของเปาโลกระนั้นหรือ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำพิธีล้างบาปให้ใคร เว้นแต่คริสปัสและกายอัส ดังนั้น ไม่มีใครอ้างได้ว่าได้รับพิธีล้างบาปในนามของข้าพเจ้า จริงอยู่ ข้าพเจ้าได้ทำพิธีล้างบาปให้กับครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกจากนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเคยทำพิธีล้างบาปให้ใครอีก
---ปัญหาความคิดเห็นขัดแย้งกัน การแตกแยกกันของผู้เชื่อในพระเยซู ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่สมัยอัครทูตเปาโล ขนาดท่านเองเร่ร่อนไปทั่ว ล้างบาปให้คนไม่กี่คน ยังมีคนอุตส่าห์เอาท่านเป็นต้นสังกัดในการแตกแยก
การที่เราคริสตชน แยกสังกัดยิบย่อย ไม่ว่าจะเรียกเป็นนิกายไหน ใครนำ หรือบางคนจะอ้างว่าคริสตจักรตนพระเยซูตั้งพระเยซูนำนั่นเลย ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ สมัยก่อนก็ทำกันมาแล้ว มันไม่สำคัญเลยว่ามุขคุณจะคืออะไร แต่ประเด็นคือ ถ้าเชื่อในพระเยซูเจ้า ต้องไม่แบ่งแยกในพระเยซูเจ้า นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สอน และนี่คือพระประสงค์ของพระบิดา ถ้าเราอ่านต่อไปเราจะเห็นสิ่งที่เปาโลพูดต่อว่าเราควรยึดอะไร
1คร 3:1-4
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้า แต่พูดเหมือนกับคนที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับทารกในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าใช้น้ำนมเลี้ยงท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนั้นท่านยังรับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้ เพราะท่านยังเป็นผู้ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ ในเมื่อท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยังดำรงชีวิตตามธรรมชาติ และดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปมิใช่หรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า "ฉันเป็นพวกของเปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นดอกหรือ
1คร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ทำเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น ผู้ปลูกและผู้รดน้ำมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้อื่นก็สร้างขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่าเขาก่อสร้างอย่างไร รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก บนรากฐานนี้ ใครก่อสร้างโดยใช้ทองคำ เงิน เพชร นิลจินดา ไม้ หญ้าหรือฟาง ผลงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น วันพิพากษาซึ่งจะลุกเป็นไฟจะบอกให้รู้ เพราะไฟจะทดสอบผลงานของแต่ละคนและจะเปิดเผยให้เห็นว่าผลงานนั้นเป็นอย่างไร ผลงานที่ผู้ใดสร้างไว้ผ่านการทดสอบนี้ เขาก็จะได้รับเงินค่าจ้าง แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้น ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายเขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น
---เปาโลบอกเราว่า ไม่สำคัญหรอกว่าใครสอน คนสอนคนละคน มันพูดและคิดต่างกันได้ แต่ก็ไม่สำคัญเลย คนสำคัญที่สุดคือพระเยซูคริสต์ สืบรากไปที่สุดคือพระเยซูคริสต์ ดังนั้นไม่ได้สำคัญที่สังกัด สำคัญว่าเราเชื่อว่าเรารอดทางใคร ถ้าเชื่อเหมือนกันว่ารอดทางพระเยซูคริสต์ ก็คือรากฐานเดียวกัน ส่วนใครจะเป็นอิฐ ใชครจะเป็นเพชร ใครจะเป็นหญ้าฟาง ให้พระเจ้าตัดสินครับ แต่สิ่งสำคัญคือพระจิตเจ้าอยู่ในเราไหม และพระจิตเจ้าที่อยู่ในเรานี้ เป็นพระจิตองค์เดียวกันไหม ถ้าพระจิตในคาทอลิก และพระจิตในออธอดอกคือพระจิตเดียวกัน(รวมทั้งพระวิญญาณของโปรฯด้วย) ก็แปลว่าพระเจ้าที่มีองค์เดียวกันนี้ ล้วนถือว่าทุกพระศาสนจักรคือบ้านของพระองค์ แล้วคน1คน ก็อยู่บ้านหลังเดียวครับ เราจะคิดว่าเราอยู่บ้านคนละหลัง หรืออยู่บ้านหลังเดียวมีพ่อคนเดียวถึงจะถูกล่ะครับ แล้วคนอยู่บ้านเดียวกัน จะหันหลังให้กันไม่คุยกัน ไม่ปรับความเข้าใจกัน บ้านมันจะไม่น่าอยู่ครับ พ่อของเราต้องการสิ่งใด ลูกที่ดีก็พยายามทำตามสิ่งนั้น ต่อให้ยากแค่ไหน ก็ต้องทำตามพ่อครับ
ขอพระเจ้าอวยพร
1คร 1:10-16 คริสตชนแตกแยกกัน
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องท่านในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ให้ท่านปรองดองกัน อย่าแตกแยก แต่จงมีจิตใจและความเห็นตรงกัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จากคนในครอบครัวของคะโลเอว่า ท่านทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน ข้าพเจ้าหมายความว่าดังนี้ ท่านต่างก็พูดว่า “ฉันเป็นพวกของเปาโล” “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” “ฉันเป็นพวกของเคฟาส” “ฉันเป็นพวกของพระคริสตเจ้า” มีการแบ่งแยกในองค์พระคริสตเจ้ากระนั้นหรือ เปาโลถูกตรึงกางเขนเพื่อท่านกระนั้นหรือ ท่านได้รับพิธีล้างบาปในนามของเปาโลกระนั้นหรือ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำพิธีล้างบาปให้ใคร เว้นแต่คริสปัสและกายอัส ดังนั้น ไม่มีใครอ้างได้ว่าได้รับพิธีล้างบาปในนามของข้าพเจ้า จริงอยู่ ข้าพเจ้าได้ทำพิธีล้างบาปให้กับครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกจากนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเคยทำพิธีล้างบาปให้ใครอีก
---ปัญหาความคิดเห็นขัดแย้งกัน การแตกแยกกันของผู้เชื่อในพระเยซู ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่สมัยอัครทูตเปาโล ขนาดท่านเองเร่ร่อนไปทั่ว ล้างบาปให้คนไม่กี่คน ยังมีคนอุตส่าห์เอาท่านเป็นต้นสังกัดในการแตกแยก
การที่เราคริสตชน แยกสังกัดยิบย่อย ไม่ว่าจะเรียกเป็นนิกายไหน ใครนำ หรือบางคนจะอ้างว่าคริสตจักรตนพระเยซูตั้งพระเยซูนำนั่นเลย ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ สมัยก่อนก็ทำกันมาแล้ว มันไม่สำคัญเลยว่ามุขคุณจะคืออะไร แต่ประเด็นคือ ถ้าเชื่อในพระเยซูเจ้า ต้องไม่แบ่งแยกในพระเยซูเจ้า นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สอน และนี่คือพระประสงค์ของพระบิดา ถ้าเราอ่านต่อไปเราจะเห็นสิ่งที่เปาโลพูดต่อว่าเราควรยึดอะไร
1คร 3:1-4
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้า แต่พูดเหมือนกับคนที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับทารกในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าใช้น้ำนมเลี้ยงท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนั้นท่านยังรับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้ เพราะท่านยังเป็นผู้ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ ในเมื่อท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยังดำรงชีวิตตามธรรมชาติ และดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปมิใช่หรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า "ฉันเป็นพวกของเปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นดอกหรือ
1คร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ทำเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น ผู้ปลูกและผู้รดน้ำมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้อื่นก็สร้างขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่าเขาก่อสร้างอย่างไร รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก บนรากฐานนี้ ใครก่อสร้างโดยใช้ทองคำ เงิน เพชร นิลจินดา ไม้ หญ้าหรือฟาง ผลงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น วันพิพากษาซึ่งจะลุกเป็นไฟจะบอกให้รู้ เพราะไฟจะทดสอบผลงานของแต่ละคนและจะเปิดเผยให้เห็นว่าผลงานนั้นเป็นอย่างไร ผลงานที่ผู้ใดสร้างไว้ผ่านการทดสอบนี้ เขาก็จะได้รับเงินค่าจ้าง แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้น ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายเขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น
---เปาโลบอกเราว่า ไม่สำคัญหรอกว่าใครสอน คนสอนคนละคน มันพูดและคิดต่างกันได้ แต่ก็ไม่สำคัญเลย คนสำคัญที่สุดคือพระเยซูคริสต์ สืบรากไปที่สุดคือพระเยซูคริสต์ ดังนั้นไม่ได้สำคัญที่สังกัด สำคัญว่าเราเชื่อว่าเรารอดทางใคร ถ้าเชื่อเหมือนกันว่ารอดทางพระเยซูคริสต์ ก็คือรากฐานเดียวกัน ส่วนใครจะเป็นอิฐ ใชครจะเป็นเพชร ใครจะเป็นหญ้าฟาง ให้พระเจ้าตัดสินครับ แต่สิ่งสำคัญคือพระจิตเจ้าอยู่ในเราไหม และพระจิตเจ้าที่อยู่ในเรานี้ เป็นพระจิตองค์เดียวกันไหม ถ้าพระจิตในคาทอลิก และพระจิตในออธอดอกคือพระจิตเดียวกัน(รวมทั้งพระวิญญาณของโปรฯด้วย) ก็แปลว่าพระเจ้าที่มีองค์เดียวกันนี้ ล้วนถือว่าทุกพระศาสนจักรคือบ้านของพระองค์ แล้วคน1คน ก็อยู่บ้านหลังเดียวครับ เราจะคิดว่าเราอยู่บ้านคนละหลัง หรืออยู่บ้านหลังเดียวมีพ่อคนเดียวถึงจะถูกล่ะครับ แล้วคนอยู่บ้านเดียวกัน จะหันหลังให้กันไม่คุยกัน ไม่ปรับความเข้าใจกัน บ้านมันจะไม่น่าอยู่ครับ พ่อของเราต้องการสิ่งใด ลูกที่ดีก็พยายามทำตามสิ่งนั้น ต่อให้ยากแค่ไหน ก็ต้องทำตามพ่อครับ
ขอพระเจ้าอวยพร
ทาง เราไม่มีปํญหา อะไรกันนะค่ะ เพียงแค่ทางเราต้องการ รักษาสิ่ง เดิมๆเช่น ทาง catholic มีการพัฒนาความรู้ทางด้านศาสนศาสตร์ ให้เข้ากับยุคและสมัย แต่เป็นสิ่ง ที่ Orthodox ถือว่า ไม่สามารถยอมรับ สิ่งใหม่โดยนำำไปใช้ หรือ ปฎิบัติ ได้ และ เราไม่สามารถยอมรับ อำนาจของ ทาง วาติกันได้ แค่นั้นเอง การรวมในที่นี้ ก็คือ การยอมรับวิถี ซึ่งกันและกัน
และมีความเข้าใจ อันดีต่อกัน
เอาคร่าวๆ เช่น การทำมหากางเขน , รูปศักดิ์สิทธิ , ความเชื่อ ในเรื่อง ปฎิสนธินิรมล ของแม่พระ ,ความเชื่อใน เรื่อง พระตรีเอกานุภาพ และอื่นๆ อีกมากมายเลย ที่เดียว
และมีความเข้าใจ อันดีต่อกัน
เอาคร่าวๆ เช่น การทำมหากางเขน , รูปศักดิ์สิทธิ , ความเชื่อ ในเรื่อง ปฎิสนธินิรมล ของแม่พระ ,ความเชื่อใน เรื่อง พระตรีเอกานุภาพ และอื่นๆ อีกมากมายเลย ที่เดียว
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
การทำสำคัญมหากางเขน นี่ แบบดั้งเดิม เป็นแบบที่ออโธดอกส์(ที่เห็นในวีดีโอ) หรอครับ
ใช่ค่ะ ใช้สามนิ้ว โป้ง ชี้ กลาง ข้างขวา เริ่มจาก หน้าผาก ลงไปที่ หน้าท้อง ใหล่ ขวา และ ไปที่ใหล่ ซ้าย จาก นั้นจึง ก้มตัว ลง จรดพื้น เพื่อ ทำ แบบ กางเขน orthodoxBoYz - The Series เขียน: การทำสำคัญมหากางเขน นี่ แบบดั้งเดิม เป็นแบบที่ออโธดอกส์(ที่เห็นในวีดีโอ) หรอครับ
เวลา เข้าวัด ผู้หญิงทุกคน ต้องคลุม ศีรษะ และแต่งกาย มิดชิด แบบ กระโปงยาว เสื้อแขนยาว ค่ะ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
แล้วถ้า ผู้หญิงเข้าไปโดยไม่มีผ้าคลุม จะเป็นยังไงครับjacky เขียน:ใช่ค่ะ ใช้สามนิ้ว โป้ง ชี้ กลาง ข้างขวา เริ่มจาก หน้าผาก ลงไปที่ หน้าท้อง ใหล่ ขวา และ ไปที่ใหล่ ซ้าย จาก นั้นจึง ก้มตัว ลง จรดพื้น เพื่อ ทำ แบบ กางเขน orthodoxBoYz - The Series เขียน: การทำสำคัญมหากางเขน นี่ แบบดั้งเดิม เป็นแบบที่ออโธดอกส์(ที่เห็นในวีดีโอ) หรอครับ
เวลา เข้าวัด ผู้หญิงทุกคน ต้องคลุม ศีรษะ และแต่งกาย มิดชิด แบบ กระโปงยาว เสื้อแขนยาว ค่ะ
โดนเชิญออกจากวัดเลยหรือป่าว
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ผ้าที่คลุมศีรษะเป็นแบบของสาวมุสลิม(สีทึบเก็บผมมิดชิดไม่มีเห็น) หรือเป็นแบบที่พี่น้องคาทอลิกที่เกาหลีใช้(ผ้าลูกไม้โปร่งๆ)คะjacky เขียน: ไม่หรอกค่ะ มันจะดูไม่สุภาพ ถือว่าไม่ให้เกียรติพระเจ้าเพราะผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาก็คลุมกันหมด แต่ถ้าไม่รู้ไม่เป็น ไร
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
อื่มเข้าใจแล้วครับjacky เขียน: ไม่หรอกค่ะ มันจะดูไม่สุภาพ ถือว่าไม่ให้เกียรติพระเจ้าเพราะผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาก็คลุมกันหมด แต่ถ้าไม่รู้ไม่เป็น ไร

- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
เเวะมาเห็นด้วยค่ะยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน:ทิศทางของพระศาสนจักรคาทอลิกหลังสังคายนาวาติกันครั้งที่2jacky เขียน: ไม่ใช่จุดยืน ค่ะแต่ เราไม่สามารถที่จะ เป็น หรือเชื่อ ในเป็นแบบ ที่ catholic เป็นได้ค่ะ เช่น orhodox ยังถือจุดยืนจุดเดิม ที่ไม่เปลี่ยน แต่ ทาง catholic มีการพัฒนา
ความรู้ด้าน ศาสนศาสตร์ ให้เข้ากับ ยุคสมัย ซึ่ง Orthodox มองว่าเป็นการ ทำลาย ความเชื่อแบบดั่งเดิมที่มีมา
ไม่ใช่การบีบให้คนอื่นต้องมาเชื่อเหมือนเราครับ
แต่คือการเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
อยากให้เรารักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันในลักษณะนี้มากกว่าครับ![]()