<<:Cross:>>
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
กางเขน ( Cross)
เพื่อนๆคริสเตียนเคยสงสัยไหมคะ ว่า พี่น้องคริสตัง หรือคาทอลิกทำเครื่องหมายกางเขนนั้นหมายถึงอะไรบทความนี้ดิฉันจะแบ่งปันเรื่องการทำเครื่องหมายกางเขนของคริสตัง และความหมาย กางเขนที่คริสตชนควรเข้าใจ
ประเภทของ "สำคัญมหากางเขน"
การทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นเท่าที่ยังคงนิยมทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้แบ่งออกเป็น 3 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันและเป็นวิธีที่สัตบุรุษคาทอลิกทำกันเป็นประจำเวลาสวดหรือร่วมพิธีมิซซาคือการเอานิ้วมือด้านขวาแตะที่หน้าผากพร้อมกับกล่าวว่า "เดชะพระนามพระบิดา" แล้วเลื่อนมือมาแตะที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "และพระบุตร" หลังจากนั้นก็เลื่อนมือมาแตะที่ไหล่ด้านซ้ายและด้านขวาพร้อมกับกล่าวว่า "และพระจิต" แล้วจบด้วยการเอาฝ่ามือทั้งสองประนมที่กลางหน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "อาแมน" (วิธีนี้ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "กางเขนใหญ่" เพื่อความกระชับของข้อความ)
วิธีที่ 2 เป็นวิธีที่บาทหลวงและพระชั้นผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรคาทอลิกใช้ในการอวยพรให้แก่สัตบุรุษในพิธีมิซซาและพิธีอื่นๆ โดยการหันหน้าเข้าหาสัตบุรุษพร้อมกับยกมือขวาขึ้นทำเครื่องหมายมหากางเขนกลางอากาศ โดยกล่าวในขณะที่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะว่า "ขอให้พระพรพระเป็นเจ้าทรงสรรพานุภาพ พระบิดา" หลังจากนั้นก็เลื่อนมือลงมาที่ประมานหน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "และพระบุตร" แล้วเลื่อนมือไปทางด้านซ้ายและขวาเป็นรูปกางเขนพร้อมกับกล่าวว่า "และพระจิตมาสู่ท่านและสถิตอยู่เสมอ" และทางสัตบุรุษที่ร่วมในพิธีก็จะกล่าวตอบพร้อมกันว่า "อาแมน" วิธีนี้เรียกว่า "กางเขนอวยพร"
วิธีที่ 3 เรียกว่า "กางเขนเล็ก" เป็นการใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนขนาดเล็กลงบนวัตถุหรือตัวบุคคลโดยบาทหลวงหรือพระชั้นผู้ใหญ่ในระหว่างการประกอบพิธีกรรมสำคัญบางอย่างเช่น ในระหว่างการโปรดศีลล้างบาปให้แก่ทารก บาทหลวงก็จะใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่หน้าผากทารก หรือในระหว่างพิธีโปรดศีลเจิมคนป่วยไข้ บาทหลวงท่านจะทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่ตัวผู้ป่วยการทำเครื่องหมาย
กางเขนเล็กที่สัตบุรุษคาทอลิกคุ้นเคยกันดีก็คือ ในระหว่างการอ่านพระวรสารในพิธีมิซซาและพิธีอื่น ๆ (เช่นพิธีนพวาร ฯลฯ) บาทหลวงท่านจะเริ่มต้นโดยการกล่าวว่า "บทอ่านจากพระวรสารโดยนักบุญ......" และบรรดาสัตบุรุษที่ร่วมในพิธีก็จะใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่หน้าผาก, ที่ริมฝีปาก และที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "ขอถวายพระเกียรติ์แด่พระองค์พระเจ้าข้า
จุดเริ่มต้นของการทำ "สำคัญมหากางเขน"
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่าการทำเครื่องหมายกางเขนเล็กตามวิธีที่สามข้างต้นมีการใช้มาก่อนวิธีอื่น ๆ โดยท่าน Tertullian ได้กล่าวไว้ใน De cor.mil.,iii เมื่อตอนต้นคริสตศตวรรษที่ 2 ไว้ว่า "ทุกแห่งหนที่พวกเราเดินทางไป ในทุก ๆ อิริยาบทของพวกเรา พวกเราได้ทำสำคัญมหากางเขนที่หน้าผากของแต่ละคน" และจากข้อเขียนของบรรดาปิตาจารย์ในคริสตศตวรรษที่ 4 ทำให้เราทราบว่าวิธีทำ"สำคัญมหากางเขน" ดังกล่าวก็ได้พัฒนามาเป็นวิธีที่สองในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่นท่านนักบุญซีริลแห่งเยรูซาเลมได้กล่าวไว้ในหนังสือคำสอน (Catecheseses xiii, 36) ว่า "ขอพวกเราจงอย่าเกรงกลัวที่จะแสดงความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน ขอให้กางเขนเป็นหมายสำคัญของพวกเราโดยการใช้นิ้วมือทำ"สำคัญมหากางเขน" ที่หน้าผากและทุก ๆ สิ่งรอบข้างตัวเรา และทำ"สำคัญมหากางเขน" เหนือปังที่พวกเรากำลังจะกิน, เหนือจอกที่พวกเรากำลังจะดื่ม, ก่อนนอน .......ฯลฯ"
ส่วนการทำ "กางเขนใหญ่" ตามวิธีที่ 1 นั้นน่าจะเป็นผลทางอ้อมจากวิวาทะกรณี โมโนไฟไซท์ (Monophysite controversy) โดยในยุดแรก ๆ ที่มีการทำกางเขนเล็กนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวคือนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้ ต่อมาได้มีการเพิ่มจำนวนนิ้วมือในการทำ"สำคัญมหากางเขน" ขึ้นเป็นสองนิ้ว(คือนิ้วชี้และนิ้วกลาง) เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ถึงการเป็นพระเจ้าแท้และการเป็นมนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า แน่นอน - การใช้นิ้วสองนิ้วในการทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นย่อมเป็นการไม่สะดวกที่จะทำเป็นกางเขนเล็ก เนื่องจากจะไม่สามารถเห็นได้ชัดว่ากำลังทำเครื่อง หมายกางเขนอยู่ ดังนั้นจึงได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกางเขนใหญ่เพื่อให้เห็นได้ชัดว่ากำลังทำเครื่องหมายกางเขนอยู่
ต่อมาในพระศาสนจักรตะวันออก ได้มีการเพิ่มจำนวนนิ้วมือที่ใช้ในการทำ "สำคัญมหากางเขน" ขึ้นเป็นสามนิ้วคือนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ ส่วนนิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นจะทำการพับไว้กับฝ่ามือเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ถึงการเป็นพระเจ้าแท้และการเป็นนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า ส่วนสาเหตุที่ทำให้กางเขนใหญ่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายตราบเท่าทุกวันนี้น่าจะมาจากสาสน์ของพระสันตปาปาลีโอที่ 4 เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 9 ที่มีข้อความว่า "จงทำสำคัญมหากางเขนเหนือแผ่นปังและถ้วยจาลิกส์โดยการชูนิ้วมือสองนิ้วขึ้นและใช้นิ้วหัวแม่มือซ่อนอยู่ระหว่างกลางนิ้วทั้งสองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ..... (Georgi, "Liturg. Rom. Pont." , III, 37) และถึงแม้ว่าข้อความนี้จะหมายถึงการทำ "สำคัญมหากางเขน" ตามวิธีที่สอง (คือการอวยพร) แต่ก็ได้มีการประยุกต์มาใช้ในการทำ "สำคัญมหากางเขน" ที่ตนเองซึ่งก็คือวิธีที่หนึ่งหรือกางเขนใหญ่นั่นเอง สำหรับข้อความที่ใช้สวดในขณะที่ทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้น ในยุคก่อน ๆ นั้น ไม่ได้สวดเหมือนในปัจจุบัน (เดชะพระนาม.....ฯลฯ) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีบทสวดอีกหลายอย่าง เช่น
"The sign of Christ"
"The seal of the living God"
"In the name of Jesus"
"In the name of Jesus of Nazareth"
"In the name of the Holy Trinity"
"In the name of the Father, and of the Son and of the Holy Ghost"
"Our help is in the name of the Lord"
"O God come to my assistance" ฯลฯ .......... ฯลฯ
ส่วนปฐมเหตุของการทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นน่าจะมาจากพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ 1) อสค. 9:4 2) อพย. 17:9 - 14 3) วว. 7:3; 9:4; 14:1
----------------------------------
แหล่งอ้างอิง: ได้รับความกรุณา จากคุณ Cosmologist
หมายเหตุ: มีคำศัพท์ของคาทอลิกจำนวนหนึ่งที่ใช้แตกต่างจากโปรเตสแตนต์เช่น
พระจิต คือพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระศาสนจักร คือคริสตจักร
มิสซา คือ นมัสการ แต่คาทอลิกทุกครั้งที่มีมิสซา ต้องมีพิธีมหาสนิท
สัตบุรุษ คือ ฆราวาส หรือสมาชิก
พระวรสาร คือ พระกิตติคุณนั่นเองเช่นทางคาทอลิก เรียก พระวรสารมัทธิว พระวรสารมาระโก พระวรสารลูกา และพระวรสารยอห์น
ถ้วยจาลิกส์ คือ ถ้วยใส่เหล้าองุ่นในพิธีมหาสนิท
เพื่อนๆคริสเตียนเคยสงสัยไหมคะ ว่า พี่น้องคริสตัง หรือคาทอลิกทำเครื่องหมายกางเขนนั้นหมายถึงอะไรบทความนี้ดิฉันจะแบ่งปันเรื่องการทำเครื่องหมายกางเขนของคริสตัง และความหมาย กางเขนที่คริสตชนควรเข้าใจ
ประเภทของ "สำคัญมหากางเขน"
การทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นเท่าที่ยังคงนิยมทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้แบ่งออกเป็น 3 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันและเป็นวิธีที่สัตบุรุษคาทอลิกทำกันเป็นประจำเวลาสวดหรือร่วมพิธีมิซซาคือการเอานิ้วมือด้านขวาแตะที่หน้าผากพร้อมกับกล่าวว่า "เดชะพระนามพระบิดา" แล้วเลื่อนมือมาแตะที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "และพระบุตร" หลังจากนั้นก็เลื่อนมือมาแตะที่ไหล่ด้านซ้ายและด้านขวาพร้อมกับกล่าวว่า "และพระจิต" แล้วจบด้วยการเอาฝ่ามือทั้งสองประนมที่กลางหน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "อาแมน" (วิธีนี้ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "กางเขนใหญ่" เพื่อความกระชับของข้อความ)
วิธีที่ 2 เป็นวิธีที่บาทหลวงและพระชั้นผู้ใหญ่ในพระศาสนจักรคาทอลิกใช้ในการอวยพรให้แก่สัตบุรุษในพิธีมิซซาและพิธีอื่นๆ โดยการหันหน้าเข้าหาสัตบุรุษพร้อมกับยกมือขวาขึ้นทำเครื่องหมายมหากางเขนกลางอากาศ โดยกล่าวในขณะที่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะว่า "ขอให้พระพรพระเป็นเจ้าทรงสรรพานุภาพ พระบิดา" หลังจากนั้นก็เลื่อนมือลงมาที่ประมานหน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "และพระบุตร" แล้วเลื่อนมือไปทางด้านซ้ายและขวาเป็นรูปกางเขนพร้อมกับกล่าวว่า "และพระจิตมาสู่ท่านและสถิตอยู่เสมอ" และทางสัตบุรุษที่ร่วมในพิธีก็จะกล่าวตอบพร้อมกันว่า "อาแมน" วิธีนี้เรียกว่า "กางเขนอวยพร"
วิธีที่ 3 เรียกว่า "กางเขนเล็ก" เป็นการใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนขนาดเล็กลงบนวัตถุหรือตัวบุคคลโดยบาทหลวงหรือพระชั้นผู้ใหญ่ในระหว่างการประกอบพิธีกรรมสำคัญบางอย่างเช่น ในระหว่างการโปรดศีลล้างบาปให้แก่ทารก บาทหลวงก็จะใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่หน้าผากทารก หรือในระหว่างพิธีโปรดศีลเจิมคนป่วยไข้ บาทหลวงท่านจะทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่ตัวผู้ป่วยการทำเครื่องหมาย
กางเขนเล็กที่สัตบุรุษคาทอลิกคุ้นเคยกันดีก็คือ ในระหว่างการอ่านพระวรสารในพิธีมิซซาและพิธีอื่น ๆ (เช่นพิธีนพวาร ฯลฯ) บาทหลวงท่านจะเริ่มต้นโดยการกล่าวว่า "บทอ่านจากพระวรสารโดยนักบุญ......" และบรรดาสัตบุรุษที่ร่วมในพิธีก็จะใช้นิ้วหัวแม่มือทำเครื่องหมายกางเขนเล็กที่หน้าผาก, ที่ริมฝีปาก และที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "ขอถวายพระเกียรติ์แด่พระองค์พระเจ้าข้า
จุดเริ่มต้นของการทำ "สำคัญมหากางเขน"
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่าการทำเครื่องหมายกางเขนเล็กตามวิธีที่สามข้างต้นมีการใช้มาก่อนวิธีอื่น ๆ โดยท่าน Tertullian ได้กล่าวไว้ใน De cor.mil.,iii เมื่อตอนต้นคริสตศตวรรษที่ 2 ไว้ว่า "ทุกแห่งหนที่พวกเราเดินทางไป ในทุก ๆ อิริยาบทของพวกเรา พวกเราได้ทำสำคัญมหากางเขนที่หน้าผากของแต่ละคน" และจากข้อเขียนของบรรดาปิตาจารย์ในคริสตศตวรรษที่ 4 ทำให้เราทราบว่าวิธีทำ"สำคัญมหากางเขน" ดังกล่าวก็ได้พัฒนามาเป็นวิธีที่สองในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่นท่านนักบุญซีริลแห่งเยรูซาเลมได้กล่าวไว้ในหนังสือคำสอน (Catecheseses xiii, 36) ว่า "ขอพวกเราจงอย่าเกรงกลัวที่จะแสดงความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน ขอให้กางเขนเป็นหมายสำคัญของพวกเราโดยการใช้นิ้วมือทำ"สำคัญมหากางเขน" ที่หน้าผากและทุก ๆ สิ่งรอบข้างตัวเรา และทำ"สำคัญมหากางเขน" เหนือปังที่พวกเรากำลังจะกิน, เหนือจอกที่พวกเรากำลังจะดื่ม, ก่อนนอน .......ฯลฯ"
ส่วนการทำ "กางเขนใหญ่" ตามวิธีที่ 1 นั้นน่าจะเป็นผลทางอ้อมจากวิวาทะกรณี โมโนไฟไซท์ (Monophysite controversy) โดยในยุดแรก ๆ ที่มีการทำกางเขนเล็กนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวคือนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้ ต่อมาได้มีการเพิ่มจำนวนนิ้วมือในการทำ"สำคัญมหากางเขน" ขึ้นเป็นสองนิ้ว(คือนิ้วชี้และนิ้วกลาง) เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ถึงการเป็นพระเจ้าแท้และการเป็นมนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า แน่นอน - การใช้นิ้วสองนิ้วในการทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นย่อมเป็นการไม่สะดวกที่จะทำเป็นกางเขนเล็ก เนื่องจากจะไม่สามารถเห็นได้ชัดว่ากำลังทำเครื่อง หมายกางเขนอยู่ ดังนั้นจึงได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกางเขนใหญ่เพื่อให้เห็นได้ชัดว่ากำลังทำเครื่องหมายกางเขนอยู่
ต่อมาในพระศาสนจักรตะวันออก ได้มีการเพิ่มจำนวนนิ้วมือที่ใช้ในการทำ "สำคัญมหากางเขน" ขึ้นเป็นสามนิ้วคือนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ ส่วนนิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นจะทำการพับไว้กับฝ่ามือเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ถึงการเป็นพระเจ้าแท้และการเป็นนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า ส่วนสาเหตุที่ทำให้กางเขนใหญ่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายตราบเท่าทุกวันนี้น่าจะมาจากสาสน์ของพระสันตปาปาลีโอที่ 4 เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 9 ที่มีข้อความว่า "จงทำสำคัญมหากางเขนเหนือแผ่นปังและถ้วยจาลิกส์โดยการชูนิ้วมือสองนิ้วขึ้นและใช้นิ้วหัวแม่มือซ่อนอยู่ระหว่างกลางนิ้วทั้งสองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ..... (Georgi, "Liturg. Rom. Pont." , III, 37) และถึงแม้ว่าข้อความนี้จะหมายถึงการทำ "สำคัญมหากางเขน" ตามวิธีที่สอง (คือการอวยพร) แต่ก็ได้มีการประยุกต์มาใช้ในการทำ "สำคัญมหากางเขน" ที่ตนเองซึ่งก็คือวิธีที่หนึ่งหรือกางเขนใหญ่นั่นเอง สำหรับข้อความที่ใช้สวดในขณะที่ทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้น ในยุคก่อน ๆ นั้น ไม่ได้สวดเหมือนในปัจจุบัน (เดชะพระนาม.....ฯลฯ) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีบทสวดอีกหลายอย่าง เช่น
"The sign of Christ"
"The seal of the living God"
"In the name of Jesus"
"In the name of Jesus of Nazareth"
"In the name of the Holy Trinity"
"In the name of the Father, and of the Son and of the Holy Ghost"
"Our help is in the name of the Lord"
"O God come to my assistance" ฯลฯ .......... ฯลฯ
ส่วนปฐมเหตุของการทำ "สำคัญมหากางเขน" นั้นน่าจะมาจากพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ 1) อสค. 9:4 2) อพย. 17:9 - 14 3) วว. 7:3; 9:4; 14:1
----------------------------------
แหล่งอ้างอิง: ได้รับความกรุณา จากคุณ Cosmologist
หมายเหตุ: มีคำศัพท์ของคาทอลิกจำนวนหนึ่งที่ใช้แตกต่างจากโปรเตสแตนต์เช่น
พระจิต คือพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระศาสนจักร คือคริสตจักร
มิสซา คือ นมัสการ แต่คาทอลิกทุกครั้งที่มีมิสซา ต้องมีพิธีมหาสนิท
สัตบุรุษ คือ ฆราวาส หรือสมาชิก
พระวรสาร คือ พระกิตติคุณนั่นเองเช่นทางคาทอลิก เรียก พระวรสารมัทธิว พระวรสารมาระโก พระวรสารลูกา และพระวรสารยอห์น
ถ้วยจาลิกส์ คือ ถ้วยใส่เหล้าองุ่นในพิธีมหาสนิท
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ความหมายของกางเขน (Cross)
เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตัดสินให้ประหารด้วยการตรึงบนไม้กางเขน เขาก็นำพระองค์ไปโบยตีด้วยแส้หนังตามวิธีลงโทษนักโทษประหาร แส้นี้ทำด้วยหนังเป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า และมีตะกั่ว กระดูกสัตว์หรือของมีคมอื่นๆ ผูกเป็นปมๆ ติดอยู่ เพื่อเพิ่มความเจ็บปวดและสร้างบาดแผลให้มากยิ่งขึ้น นักโทษบางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยการโบยด้วยแส้นี้ บางคนถึงกับตาบอดก็มี หลังจากเฆี่ยนแล้วเขาก็นำพระองค์มาล้อเลียน เยาะเย้ย ทั้งเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมให้ด้วย พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ให้พระองค์แบกกางเขนอันใหญ่และหนักไปตามถนนทั้งๆ ที่พระองค์บอบช้ำและอดนอนมาตลอดทั้งคืนแล้ว ขบวนแห่นักโทษนี้จะมีทหารคุมไป 4 คนอยู่คนละมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ข้างหน้ามีป้ายประจานความผิดของนักโทษเขียนเป็น 3 ภาษาคือ กรีก ลาติน และฮีบรู เพราะภาษากรีกเป็นภาษาที่ใช้ในทางการค้า ภาษาลาตินเป็นภาษาทางราชการ ส่วนภาษาฮีบรูเป็นภาษาท้องถิ่น เขาจะนำป้ายอันนี้มาติดไว้ที่ยอดกางเขนเมื่อตรึงแล้วด้วย นักโทษจะถูกแห่ประจานไปรอบๆ เมือง ก่อนที่จะนำไปประหาร โดยใช้เส้นทางที่ยาวและคดเคี้ยวที่สุด ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่งเป็นการประจาน และสองถ้าในขณะที่เดินไปมีผู้ใดจะคัดค้านและขอเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของนักโทษก็จะประท้วงคำพิพากษานี้ได้ คดีนี้จะต้องรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ น่าสลดใจที่ไม่มีผู้ใดคัดค้านเพื่อพระเยซูกันเลยแม้แต่คนเดียว
กางเขนที่พระเยซูแบกไปนั้นเข้าใจกันว่าเป็นกางเขนที่เราเห็นอยู่ในโบสถ์ทั่วๆ ไปซึ่งเรียกกันว่ากางเขนแบบลาติน กางเขนในสมัยนั้นไม่ได้มีอยู่แบบเดียวเท่านั้น ยังมีกางเขนรูปตัว X เรียกว่ากางเขนของนักบุญอันดรูว์ เพราะเชื่อว่าอัครสาวกอันดรูว์ถูกตรึงด้วยกางเขนชนิดนี้ แบบที่ 3 ก็เป็นรูปตัว T มีชื่อว่ากางเขนของนักบุญแอนโทนี และแบบที่ 4 ก็คือแบบของกรีกที่เป็นรูปกากบาท + คือแบบสัญลักษณ์ของกาชาดนั่นเอง
ความเป็นมาของกางเขนนั้นเดิมทีเกิดขึ้นในหมู่ชาวเปอร์เซีย พวกเขามีความเชื่อว่าแผ่นดินนั้นบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ยอมให้ร่างกายของผู้ทำผิดหรือร่างกายที่ชั่วร้ายนั้นมาเกลือกกลั้ว เมื่อจะประหารก็จัดการตรึงไว้ด้วยตะปูนแขวนห้อยเหนือพื้นดิน เมื่อตายแล้วก็ให้แร้งหรือสุนัขป่ามาฉีกกินจนสิ้นซาก วิธีการเช่นนี้พวกคาเธจซึ่งอยู่ใกล้อิตาลีหรือโรมจดจำมาใช้และทางโรมันก็นำมาใช้อีกต่อหนึ่ง แต่การนำกางเขนมาใช้นี้มิได้ใช้กับชาวโรมัน แต่จะใช้กับพวกทาสหรือพวกกบฏที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะเขาถือว่าชาวโรมันเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ จะถูกทำทารุณกรรมอย่างนั้นไม่ได้ ซิเซโร นักปรัชญาเป็นเอกที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนคริสตศตวรรษแสดงความเห็นไว้ว่า สำหรับประชาชนชาวโรมันแล้ว "การถูกจับมัดก็เป็นอาชญากรรม ถ้าถูกเฆี่ยนตีก็ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นอีก คือถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่สุด แต่ถ้าถูกตรึงบนกางเขนละก็ไม่ทราบว่าจะเปรียบกับอะไรอีกได้" ด้วยเหตุนี้การประหารด้วยการตรึงบนกางเขนจึงไม่มีในหมู่ชาวโรมัน พระเยซูคริสต์ของเราถูกประหารอย่างทารุณที่สุด ต่ำต้อยที่สุดและน่าอับอายที่สุดที่มนุษย์จะคิดขึ้นได้ในสมัยนั้น
การตรึงบนไม้กางเขน
เป็นวิธีการทำให้เจ็บปวดรวดร้าว เป็นวิธีการประหารชีวิตซึ่งพวกโรมันใช้ ไม่ใช่เป็นวิธีการของพวกยิว พวกยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิมใช้วิธีประหารชีวิตพวก อาชญากรโดยใช้หินขว้างให้ตาย และเอาศพแขวนไว้บนต้นไม้เป็นเครื่องแสดงว่าคนถูกประหารชีวิตเหล่านั้นอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า (ฉธบ. 21:22-23) พวกยิวในสมัยพระเยซูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมไม่มีอำนาจจัดการประหารชีวิต เขาต้องยอมให้ทางโรมทำ อย่างไรก็ตามพวกชาวยิวไม่ขอให้โรมเอาหินขว้างพระเยซูให้ตาย เขาเห็นว่าจับพระองค์ตรึงบนกางเขนให้ตายมันง่ายดีกว่า (มธ. 27:22-23)
พวกยิวถือกันว่ากางเขนของพระเยซูเป็นเสมือนต้นไม้ เพราะพระองค์ถูกแขวนไว้บนท่อนไม้รูปกางเขนนั้น พวกเขาจึงถือว่าพระองค์ตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า แท้ที่จริงพระเยซูคริสต์ได้ทรงแบกการสาปแช่งของพระเจ้าไว้กับพระองค์อย่างที่เขาคิด พระองค์กระทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะพระองค์เองกระทำผิด พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความบาป แต่พระองค์ทรงรับการสาปแช่งแทนคนบาป เพราะเหตุความเข้าใจผิดเรื่องการสาปแช่งแห่งการเขนจึงทำให้การตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนเป็นหินสะดุดพวกชาวยิว พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพระเยซู เพราะฉะนั้นกางเขนจึงเป็นเครื่องกีดกันพวกเขา ไม่ให้รับความรอดจากพระเจ้า ผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ถือว่าการที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนี้เป็นรากฐานแห่งพันธกิจการช่วยให้รอดของพระเจ้า ดังนั้นไม้กางเขนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความรอด ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ผู้เชื่อทุกคนพ้นจากความผิดบาป ข่าวประเสริฐก็คือข่าวเรื่องไม้กางเขนนั่นเอง กางเขนจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอาย และความตายด้วย พระเยซูคริสต์ได้ทรงชี้แจงด้วยพระองค์เองว่า คนเหล่านั้นที่ต้องการจะเป็นสาวกของพระองค์ ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับความอับอาย ความทุกข์ทรมานและความตาย ถ้าหากพวกเขาเป็นสาวกที่แท้จริงของพระองค์
เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตัดสินให้ประหารด้วยการตรึงบนไม้กางเขน เขาก็นำพระองค์ไปโบยตีด้วยแส้หนังตามวิธีลงโทษนักโทษประหาร แส้นี้ทำด้วยหนังเป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า และมีตะกั่ว กระดูกสัตว์หรือของมีคมอื่นๆ ผูกเป็นปมๆ ติดอยู่ เพื่อเพิ่มความเจ็บปวดและสร้างบาดแผลให้มากยิ่งขึ้น นักโทษบางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยการโบยด้วยแส้นี้ บางคนถึงกับตาบอดก็มี หลังจากเฆี่ยนแล้วเขาก็นำพระองค์มาล้อเลียน เยาะเย้ย ทั้งเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมให้ด้วย พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ให้พระองค์แบกกางเขนอันใหญ่และหนักไปตามถนนทั้งๆ ที่พระองค์บอบช้ำและอดนอนมาตลอดทั้งคืนแล้ว ขบวนแห่นักโทษนี้จะมีทหารคุมไป 4 คนอยู่คนละมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ข้างหน้ามีป้ายประจานความผิดของนักโทษเขียนเป็น 3 ภาษาคือ กรีก ลาติน และฮีบรู เพราะภาษากรีกเป็นภาษาที่ใช้ในทางการค้า ภาษาลาตินเป็นภาษาทางราชการ ส่วนภาษาฮีบรูเป็นภาษาท้องถิ่น เขาจะนำป้ายอันนี้มาติดไว้ที่ยอดกางเขนเมื่อตรึงแล้วด้วย นักโทษจะถูกแห่ประจานไปรอบๆ เมือง ก่อนที่จะนำไปประหาร โดยใช้เส้นทางที่ยาวและคดเคี้ยวที่สุด ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่งเป็นการประจาน และสองถ้าในขณะที่เดินไปมีผู้ใดจะคัดค้านและขอเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของนักโทษก็จะประท้วงคำพิพากษานี้ได้ คดีนี้จะต้องรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ น่าสลดใจที่ไม่มีผู้ใดคัดค้านเพื่อพระเยซูกันเลยแม้แต่คนเดียว
กางเขนที่พระเยซูแบกไปนั้นเข้าใจกันว่าเป็นกางเขนที่เราเห็นอยู่ในโบสถ์ทั่วๆ ไปซึ่งเรียกกันว่ากางเขนแบบลาติน กางเขนในสมัยนั้นไม่ได้มีอยู่แบบเดียวเท่านั้น ยังมีกางเขนรูปตัว X เรียกว่ากางเขนของนักบุญอันดรูว์ เพราะเชื่อว่าอัครสาวกอันดรูว์ถูกตรึงด้วยกางเขนชนิดนี้ แบบที่ 3 ก็เป็นรูปตัว T มีชื่อว่ากางเขนของนักบุญแอนโทนี และแบบที่ 4 ก็คือแบบของกรีกที่เป็นรูปกากบาท + คือแบบสัญลักษณ์ของกาชาดนั่นเอง
ความเป็นมาของกางเขนนั้นเดิมทีเกิดขึ้นในหมู่ชาวเปอร์เซีย พวกเขามีความเชื่อว่าแผ่นดินนั้นบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ยอมให้ร่างกายของผู้ทำผิดหรือร่างกายที่ชั่วร้ายนั้นมาเกลือกกลั้ว เมื่อจะประหารก็จัดการตรึงไว้ด้วยตะปูนแขวนห้อยเหนือพื้นดิน เมื่อตายแล้วก็ให้แร้งหรือสุนัขป่ามาฉีกกินจนสิ้นซาก วิธีการเช่นนี้พวกคาเธจซึ่งอยู่ใกล้อิตาลีหรือโรมจดจำมาใช้และทางโรมันก็นำมาใช้อีกต่อหนึ่ง แต่การนำกางเขนมาใช้นี้มิได้ใช้กับชาวโรมัน แต่จะใช้กับพวกทาสหรือพวกกบฏที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะเขาถือว่าชาวโรมันเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ จะถูกทำทารุณกรรมอย่างนั้นไม่ได้ ซิเซโร นักปรัชญาเป็นเอกที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนคริสตศตวรรษแสดงความเห็นไว้ว่า สำหรับประชาชนชาวโรมันแล้ว "การถูกจับมัดก็เป็นอาชญากรรม ถ้าถูกเฆี่ยนตีก็ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นอีก คือถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่สุด แต่ถ้าถูกตรึงบนกางเขนละก็ไม่ทราบว่าจะเปรียบกับอะไรอีกได้" ด้วยเหตุนี้การประหารด้วยการตรึงบนกางเขนจึงไม่มีในหมู่ชาวโรมัน พระเยซูคริสต์ของเราถูกประหารอย่างทารุณที่สุด ต่ำต้อยที่สุดและน่าอับอายที่สุดที่มนุษย์จะคิดขึ้นได้ในสมัยนั้น
การตรึงบนไม้กางเขน
เป็นวิธีการทำให้เจ็บปวดรวดร้าว เป็นวิธีการประหารชีวิตซึ่งพวกโรมันใช้ ไม่ใช่เป็นวิธีการของพวกยิว พวกยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิมใช้วิธีประหารชีวิตพวก อาชญากรโดยใช้หินขว้างให้ตาย และเอาศพแขวนไว้บนต้นไม้เป็นเครื่องแสดงว่าคนถูกประหารชีวิตเหล่านั้นอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า (ฉธบ. 21:22-23) พวกยิวในสมัยพระเยซูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมไม่มีอำนาจจัดการประหารชีวิต เขาต้องยอมให้ทางโรมทำ อย่างไรก็ตามพวกชาวยิวไม่ขอให้โรมเอาหินขว้างพระเยซูให้ตาย เขาเห็นว่าจับพระองค์ตรึงบนกางเขนให้ตายมันง่ายดีกว่า (มธ. 27:22-23)
พวกยิวถือกันว่ากางเขนของพระเยซูเป็นเสมือนต้นไม้ เพราะพระองค์ถูกแขวนไว้บนท่อนไม้รูปกางเขนนั้น พวกเขาจึงถือว่าพระองค์ตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า แท้ที่จริงพระเยซูคริสต์ได้ทรงแบกการสาปแช่งของพระเจ้าไว้กับพระองค์อย่างที่เขาคิด พระองค์กระทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะพระองค์เองกระทำผิด พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความบาป แต่พระองค์ทรงรับการสาปแช่งแทนคนบาป เพราะเหตุความเข้าใจผิดเรื่องการสาปแช่งแห่งการเขนจึงทำให้การตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนเป็นหินสะดุดพวกชาวยิว พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพระเยซู เพราะฉะนั้นกางเขนจึงเป็นเครื่องกีดกันพวกเขา ไม่ให้รับความรอดจากพระเจ้า ผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ถือว่าการที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนี้เป็นรากฐานแห่งพันธกิจการช่วยให้รอดของพระเจ้า ดังนั้นไม้กางเขนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความรอด ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ผู้เชื่อทุกคนพ้นจากความผิดบาป ข่าวประเสริฐก็คือข่าวเรื่องไม้กางเขนนั่นเอง กางเขนจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอาย และความตายด้วย พระเยซูคริสต์ได้ทรงชี้แจงด้วยพระองค์เองว่า คนเหล่านั้นที่ต้องการจะเป็นสาวกของพระองค์ ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับความอับอาย ความทุกข์ทรมานและความตาย ถ้าหากพวกเขาเป็นสาวกที่แท้จริงของพระองค์
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
นำกลับมาอ่านและเตรียมใจพวกเรา เข้าสู่ มหาพรต อีกไม่นาน 

พูดถึง มหาพรต รู้สึก เพลงนี้ซึ้งใจดีครับ 
________
เมื่อลูกสบตา
1. เมื่อลูกสบตา มองมาแลเห็น มหากางเขน ตรึงพระเยซู
ลูกเป็นทุกข์ใจ ที่ได้ลบหลู่ เข้าพวกศัตรู ทำลายพระชนม์
ลูกคือชุมพา เข้าป่าเข้าดง ด้วยความใหลหลง ไม่รู้ฝูงตน
ครั้นมาบัดนี้ เข้าที่อับจน หมดฤทธิ์กุศล ขอโปรดเมตตา
2. ลูกได้ปล่อยตัว เมามัวเป็นทาส ของผีปีศาจ ด้วยบาปนานา
ละทางสวรรค์ โมหันธ์พาลา บัดนี้กลับมา ขอทรงการุญ
ลูกนี้สู่รู้ ต่อสู้พระเจ้า เย่อหยิ่งโฉดเขลา ใจเนรคุณ
หลงสุขเหลวไหล หัวใจหมกมุ่น ขอพระเจือจุน ให้ลูกคนดี
3. ประตูสวรรค์ ปิดลั่นลงกลอน เพื่อตัดทางจร ลูกผู้กาลี
ลูกน้ำตาไหล โปรดได้ปราณี ให้ลูกสู่ที่ เลิศล้ำอำไพ
ลูกร้องขอโทษ โปรดอนุญาต ให้ลูกกอดบาท พระหัตถ์หทัย
ลูกจักเป็นทุกข์ ร้อนลุกเป็นไฟ เผาบาปสิ้นไป อยู่ในพระพร
ว่าแล้วแปะลิงค์เดินรูป14ภาค
http://uk.geocities.com/lookvai/14cross/station1.htm

________
เมื่อลูกสบตา

1. เมื่อลูกสบตา มองมาแลเห็น มหากางเขน ตรึงพระเยซู
ลูกเป็นทุกข์ใจ ที่ได้ลบหลู่ เข้าพวกศัตรู ทำลายพระชนม์
ลูกคือชุมพา เข้าป่าเข้าดง ด้วยความใหลหลง ไม่รู้ฝูงตน
ครั้นมาบัดนี้ เข้าที่อับจน หมดฤทธิ์กุศล ขอโปรดเมตตา
2. ลูกได้ปล่อยตัว เมามัวเป็นทาส ของผีปีศาจ ด้วยบาปนานา
ละทางสวรรค์ โมหันธ์พาลา บัดนี้กลับมา ขอทรงการุญ
ลูกนี้สู่รู้ ต่อสู้พระเจ้า เย่อหยิ่งโฉดเขลา ใจเนรคุณ
หลงสุขเหลวไหล หัวใจหมกมุ่น ขอพระเจือจุน ให้ลูกคนดี
3. ประตูสวรรค์ ปิดลั่นลงกลอน เพื่อตัดทางจร ลูกผู้กาลี
ลูกน้ำตาไหล โปรดได้ปราณี ให้ลูกสู่ที่ เลิศล้ำอำไพ
ลูกร้องขอโทษ โปรดอนุญาต ให้ลูกกอดบาท พระหัตถ์หทัย
ลูกจักเป็นทุกข์ ร้อนลุกเป็นไฟ เผาบาปสิ้นไป อยู่ในพระพร
ว่าแล้วแปะลิงค์เดินรูป14ภาค
http://uk.geocities.com/lookvai/14cross/station1.htm
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi

บนไม้กางเขนข้าฯ เห็นพระองค์ทรงพลีชนม์เพื่อเรา
ลูกทำบาปหยาบช้ามั่วเมา ลูกแสนเศร้าร้าวใจ
*** นี่คือรอยระลึกถึงองค์ ผู้ทรงพลีชนม์ชีพวาย
เพื่อชาวเรารอดพ้นความตาย อยู่ใกล้พระองค์ทรงธรรม
พระโลหิตท่วมท้นกายา ทรมานเหลือล้น
หนามแทนมงกุฏท่านสู้ทน จนถึงเขากัลวาร์****

http://www.issara.com/invboard/index.php?showtopic=536
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ม.ค. 24, 2007 10:13 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
S.Paulvs De Bangkok เขียน: เป็นแนวเพลงลาตินด้วยครับ150บาทเองช่วยป้าเค้าซื้อหน่อยก็ดีคนสูงวัยเค้าเชียร์อยู่![]()

-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณครับพี่ 

-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ขอบคุณพี่คนไหนล่ะ อ๋อ พี่พีพี ส่วน อีกคน ป้าฟีม อิอิ ลืมไป :afro:Batholomew เขียน: ขอบคุณครับพี่![]()
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
เอ้อ พุธ รับเถ้าตรงกับวันที่เท่าไหร่อ่ะ ยังไม่มีเวลาไปหาไบเบิลไดอารี่เอามาไว้ในครอบครอง เลยไม่รู้วันไม่รู้คืนเลย นี่คงใกล้แล้วสิเนี่ย อย่าลืมเตือนกัน อดเนื้อนะ
ยศ ชอบเหมือนเจ๊เลย ตอนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก โอ้วววน้ำตาทะลักล้น หล่นมาเป็นสายในวัด
แล้วยิ่งคิดถึงสิ่งที่ทำช่วงนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงไม่รู้
ยศ ชอบเหมือนเจ๊เลย ตอนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก โอ้วววน้ำตาทะลักล้น หล่นมาเป็นสายในวัด
แล้วยิ่งคิดถึงสิ่งที่ทำช่วงนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงไม่รู้
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
จอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน: เอ้อ พุธ รับเถ้าตรงกับวันที่เท่าไหร่อ่ะ ยังไม่มีเวลาไปหาไบเบิลไดอารี่เอามาไว้ในครอบครอง เลยไม่รู้วันไม่รู้คืนเลย นี่คงใกล้แล้วสิเนี่ย อย่าลืมเตือนกัน อดเนื้อนะ
ยศ ชอบเหมือนเจ๊เลย ตอนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก โอ้วววน้ำตาทะลักล้น หล่นมาเป็นสายในวัด
แล้วยิ่งคิดถึงสิ่งที่ทำช่วงนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงไม่รู้

ขอบคุณสำหรับความรู้ตรงนี้Prod Pran เขียน: กางเขน ( Cross)
วิธีที่ 1 ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันและเป็นวิธีที่สัตบุรุษคาทอลิกทำกันเป็นประจำเวลาสวดหรือร่วมพิธีมิซซาคือการเอานิ้วมือด้านขวาแตะที่หน้าผากพร้อมกับกล่าวว่า "เดชะพระนามพระบิดา" แล้วเลื่อนมือมาแตะที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "และพระบุตร" หลังจากนั้นก็เลื่อนมือมาแตะที่ไหล่ด้านซ้ายและด้านขวาพร้อมกับกล่าวว่า "และพระจิต" แล้วจบด้วยการเอาฝ่ามือทั้งสองประนมที่กลางหน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า "อาแมน" (วิธีนี้ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "กางเขนใหญ่" เพื่อความกระชับของข้อความ)
ต่อมาในพระศาสนจักรตะวันออก ได้มีการเพิ่มจำนวนนิ้วมือที่ใช้ในการทำ "สำคัญมหากางเขน" ขึ้นเป็นสามนิ้วคือนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ ส่วนนิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นจะทำการพับไว้กับฝ่ามือเพื่อเป็นสัญญลัขอบคุณสำหรับความรู้ตรงนี้กษณ์ถึงการเป็นพระเจ้าแท้และการเป็นนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า ส่วนสาเหตุที่ทำให้กางเขนใหญ่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายตราบเท่าทุกวันนี้น่าจะมาจากสาสน์ของพระสันตปาปาลีโอที่ 4 เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 9 ที่มีข้อความว่า "จงทำสำคัญมหากางเขนเหนือแผ่นปังและถ้วยจาลิกส์โดยการชูนิ้วมือสองนิ้วขึ้นและใช้นิ้วหัวแม่มือซ่อนอยู่ระหว่างกลางนิ้วทั้งสองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระตรีเอกภาพ..... (Georgi, "Liturg. Rom. Pont." , III, 37)
เคยสงสัยมานานแล้ว เคยมีเพื่อนรัสเซียบอกว่า
เขาดูได้ว่าใครคือ ออร์เทอดอกซ์ และใครคือคาทอลิกจากการทำสำคัญมหากางเขน
เพราะเขาใช้สามนิ้ว คาทอลิกใช้สองนิ้ว
แต่เขาจะแตะหน้าผาก หน้าอก ไหล่ขวาก่อน แล้วจึงไหล่ซ้าย สลับกับเรา
แต่ก็มีที่แตะเหมือนเรา
แปลกที่เมืองไทยถูกสอนให้กางทั้งห้านิ้วเต็มเลย :huh:
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
พี่ทั้งหมดแหละเจี๊ยบ (เอาใจวัย ชะ ลา ลา ลา)Jeab Agape เขียน:ขอบคุณพี่คนไหนล่ะ อ๋อ พี่พีพี ส่วน อีกคน ป้าฟีม อิอิ ลืมไป :afro:Batholomew เขียน: ขอบคุณครับพี่![]()

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน:พี่ทั้งหมดแหละเจี๊ยบ (เอาใจวัย ชะ ลา ลา ลา)Jeab Agape เขียน:ขอบคุณพี่คนไหนล่ะ อ๋อ พี่พีพี ส่วน อีกคน ป้าฟีม อิอิ ลืมไป :afro:Batholomew เขียน: ขอบคุณครับพี่![]()
![]()




-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Agape เขียน: ปล.ช่วงนี้ขอโพสท์ทุบสถิติตัวเองสักหน่อยเป็นสมาชิกมาเกือบปีโพสท์ไป14ครั้ง
เห็นบางคนโพสท์ไปเป็นพันๆ(ไม่รู้ทำได้ไง)...เพิ่งติด hi-speedก็เลยได้เข้ามาเล่นบ่อยขึ้น...


-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
แหม อย่าท้อใจเลยค่ะ บางคนเป็นสมาชิก มา 2 ปีแล้ว โพสต์ไม่ถึงสิบครั้งก็เยอะAgape เขียน: เป็นบทความที่ให้ความรู้ดีครับ..ชอบ
ปล.ช่วงนี้ขอโพสท์ทุบสถิติตัวเองสักหน่อยเป็นสมาชิกมาเกือบปีโพสท์ไป14ครั้ง
เห็นบางคนโพสท์ไปเป็นพันๆ(ไม่รู้ทำได้ไง)...เพิ่งติด hi-speedก็เลยได้เข้ามาเล่นบ่อยขึ้น...

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi

- BloodSweatAndTearz
- โพสต์: 254
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 27, 2007 12:49 pm
- ติดต่อ:
ว้าว ๆๆๆ แต่พี่ๆครับอย่ามีใครชวนกันออกทะเลเลยนะค๊าบ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณที่ขุดขึ้นมานะครับ 

- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ขุด ๆ 

-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
สนับสนุน ครับ 
