รวมคำถามจากพระคัมภีร์
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
รู้สึกดีใจที่เห็นคนมีจิตใจร้อนรน ^^
เข้ามาอ่านเอาความรู้ไปเช่นกันจ้า
เข้ามาอ่านเอาความรู้ไปเช่นกันจ้า
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
Immanuel (MichaelPaul) เขียน:รู้สึกดีใจที่เห็นคนมีจิตใจร้อนรน ^^
เข้ามาอ่านเอาความรู้ไปเช่นกันจ้า

ยังไม่กล้ารับคำว่าจิตใจร้อนรนค่ะ ^^"
เพราะรู้น้อยจึงต้องอ่านให้เยอะค่ะ
เพราะไม่เข้าใจจึงต้องถามผู้รู้จะได้ไม่เข้าใจผิดค่ะ
ขอให้พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
พอเป็นบทกิจการของอัครสาวกจะเน้นไปทางข้อควรปฏิบัติของผู้นับถือคริสต์เพิ่มขึ้น ทำให้อ่านแล้วทำความเข้าใจยากเพราะไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมปฏิบัติเลยค่ะ
รม 7:14-25 การต่อสู้ภายใน
25ขอขอบพระคุณพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ดังนั้น ในส่วนลึกของจิตใจm ข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ในธรรมชาติที่บกพร่อง ข้าพเจ้ากลับรับใช้กฎของบาปn
- หมายถึงจิตใจเป็นของพระเจ้า แต่ร่างกายยังคงต้องตายเพราะบาปแรกที่อาดัมนำมาเหรอคะ?
รม 8:1-13 ชีวิตฝ่ายจิต
9ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
- หมายถึงผู้ที่รับศีลแล้วเหรอคะ? หรือว่าแค่มีความเชื่อในพระเจ้าก็จะมีพระจิตแล้ว?
รม 14:1-23
1จงยอมรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่มั่นคงa อย่าตัดสินเขา เพราะความลังเลใจของเขา 2คนหนึ่งเชื่อว่ากินทุกอย่างได้ แต่อีกคนหนึ่งยังมีความเชื่อไม่มั่นคง กินแต่ผักเท่านั้น 3ผู้ที่กินทุกอย่าง อย่าดูถูกผู้ที่ไม่กิน และผู้ที่ไม่กินก็อย่าตัดสินประณามผู้ที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว
- หมายถึงทุกเรื่องในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวคริสต์ใช่มั้ยคะ?
22จงเก็บความเชื่อมั่นgของท่านไว้สำหรับตนเองเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเถิด ผู้ที่ไม่ตัดสินลงโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วก็มีสุข 23แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ถ้ากิน ก็ตัดสินลงโทษตนเอง เพราะกระทำโดยไม่เชื่อมั่นh ทุกสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเชื่อมั่น ย่อมเป็นบาป
- ความเชื่อมั่นในแต่ละบุคคลแล้วจะเป็นสุขคืออะไรคะ? อย่างถ้าบางคนยึดติดกับคุณพ่อคนนี้เท่านั้น หรือ ยึดติดกับโบสถ์นี้เท่านั้น จะกลายเป็นบาปหรือเปล่าคะ?
หรือทั้งหมดในจดหมายฉบับนี้เน้นที่ความไม่ลงรอยกันของคริสเตียนในยุคนั้นที่ยังแบ่งเป็นยิวกับกรีก เนื้อความไม่ได้ตีลึกลงไปใช่มั้ยคะ?
คร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
15แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้นd
- ในคำสอนนี้หมายเฉพาะแต่พระสงฆ์หรือเปล่าคะ? หรือว่าชาวคริสต์ทุกคนจะต้องเผยแพร่และประกาศข่าวดีออกไป คนที่ไม่ใส่ใจทำก็จะได้รางวัลน้อยตามลำดับเหรอคะ?
คร 6:1-11 การชำระข้อพิพาทในศาลของคนต่างศาสนา
9ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ 10คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกe
- หมายถึงตกนรกไม่ใช่ไฟชำระใช่มั้ยคะ?
ขอความกรุณาด้วยนะคะ
รม 7:14-25 การต่อสู้ภายใน
25ขอขอบพระคุณพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ดังนั้น ในส่วนลึกของจิตใจm ข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ในธรรมชาติที่บกพร่อง ข้าพเจ้ากลับรับใช้กฎของบาปn
- หมายถึงจิตใจเป็นของพระเจ้า แต่ร่างกายยังคงต้องตายเพราะบาปแรกที่อาดัมนำมาเหรอคะ?
รม 8:1-13 ชีวิตฝ่ายจิต
9ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
- หมายถึงผู้ที่รับศีลแล้วเหรอคะ? หรือว่าแค่มีความเชื่อในพระเจ้าก็จะมีพระจิตแล้ว?
รม 14:1-23
1จงยอมรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่มั่นคงa อย่าตัดสินเขา เพราะความลังเลใจของเขา 2คนหนึ่งเชื่อว่ากินทุกอย่างได้ แต่อีกคนหนึ่งยังมีความเชื่อไม่มั่นคง กินแต่ผักเท่านั้น 3ผู้ที่กินทุกอย่าง อย่าดูถูกผู้ที่ไม่กิน และผู้ที่ไม่กินก็อย่าตัดสินประณามผู้ที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว
- หมายถึงทุกเรื่องในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวคริสต์ใช่มั้ยคะ?
22จงเก็บความเชื่อมั่นgของท่านไว้สำหรับตนเองเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเถิด ผู้ที่ไม่ตัดสินลงโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วก็มีสุข 23แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ถ้ากิน ก็ตัดสินลงโทษตนเอง เพราะกระทำโดยไม่เชื่อมั่นh ทุกสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเชื่อมั่น ย่อมเป็นบาป
- ความเชื่อมั่นในแต่ละบุคคลแล้วจะเป็นสุขคืออะไรคะ? อย่างถ้าบางคนยึดติดกับคุณพ่อคนนี้เท่านั้น หรือ ยึดติดกับโบสถ์นี้เท่านั้น จะกลายเป็นบาปหรือเปล่าคะ?
หรือทั้งหมดในจดหมายฉบับนี้เน้นที่ความไม่ลงรอยกันของคริสเตียนในยุคนั้นที่ยังแบ่งเป็นยิวกับกรีก เนื้อความไม่ได้ตีลึกลงไปใช่มั้ยคะ?
คร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
15แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้นd
- ในคำสอนนี้หมายเฉพาะแต่พระสงฆ์หรือเปล่าคะ? หรือว่าชาวคริสต์ทุกคนจะต้องเผยแพร่และประกาศข่าวดีออกไป คนที่ไม่ใส่ใจทำก็จะได้รางวัลน้อยตามลำดับเหรอคะ?
คร 6:1-11 การชำระข้อพิพาทในศาลของคนต่างศาสนา
9ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ 10คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกe
- หมายถึงตกนรกไม่ใช่ไฟชำระใช่มั้ยคะ?
ขอความกรุณาด้วยนะคะ

หมายความว่า จิตใจอยากทำดี แต่ร่างกายชอบทำบาปครับlittleseal เขียน:พอเป็นบทกิจการของอัครสาวกจะเน้นไปทางข้อควรปฏิบัติของผู้นับถือคริสต์เพิ่มขึ้น ทำให้อ่านแล้วทำความเข้าใจยากเพราะไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมปฏิบัติเลยค่ะ
รม 7:14-25 การต่อสู้ภายใน
25ขอขอบพระคุณพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ดังนั้น ในส่วนลึกของจิตใจm ข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ในธรรมชาติที่บกพร่อง ข้าพเจ้ากลับรับใช้กฎของบาปn
- หมายถึงจิตใจเป็นของพระเจ้า แต่ร่างกายยังคงต้องตายเพราะบาปแรกที่อาดัมนำมาเหรอคะ?
มีความเชื่อครับ แต่การรับพิธีก็จะได้รับอย่างเต็มเปี่ยม
รม 8:1-13 ชีวิตฝ่ายจิต
9ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
- หมายถึงผู้ที่รับศีลแล้วเหรอคะ? หรือว่าแค่มีความเชื่อในพระเจ้าก็จะมีพระจิตแล้ว?
เรื่องนี้เป็นแนวทางที่แปลง่ายๆว่า อย่าตัดสินโจมตีกันในแนวปฎิบัติส่วนตัว การเคร่งครัด หรือในธรรมประเพณีที่แตกต่างกัน เพราะในพระศาสนจักรต่างที่ต่างถิ่นมีจุดปลีกย่อยต่างกัน แต่ทุกคนก็ทำเพื่อพระเจ้าทั้งนั้น แม้ในปัจจุบัน คนที่ชอบตัดสินโจมตีคนอื่นที่ปฎิบัติศาสนกิจแตกต่างจากนิกายหรือคริสตจักรของตน ยังคงมีอยู่รม 14:1-23
1จงยอมรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่มั่นคงa อย่าตัดสินเขา เพราะความลังเลใจของเขา 2คนหนึ่งเชื่อว่ากินทุกอย่างได้ แต่อีกคนหนึ่งยังมีความเชื่อไม่มั่นคง กินแต่ผักเท่านั้น 3ผู้ที่กินทุกอย่าง อย่าดูถูกผู้ที่ไม่กิน และผู้ที่ไม่กินก็อย่าตัดสินประณามผู้ที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว
- หมายถึงทุกเรื่องในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวคริสต์ใช่มั้ยคะ?
อันนี้หมายถึงถ้าเราทำอะไรที่ไม่แน่ใจว่าบาปไหม แต่ทำลงไป มันจะกลายเป็นบาป เพราะมันกลายเป็นการฝืนมโนธรรมของตน เช่น ในช่วงเทศกาลถือศีลอดอาหารจำพวกเนื้อ คน2คนอาจตีความต่างกัน คนหนึ่งอาจคิดว่าน้ำต้มกระดูกน่าจะกินได้ แต่อีกคนเคร่งกว่า น้ำต้มกระดูกก็คิดว่าห้ามกิน วันหนึ่งคนไม่กินทักคนที่กินว่า ผิดหรือเปล่า ที่เธอกินน้ำต้มกระดูกในช่วงอดเนื้อ แล้วอีกคนอาจเถียงว่า แค่น้ำต้มกระดูกมันไม่ได้กินเนื้อมัน แต่เพื่อนอีกคนแย้งว่า แต่อาจมีเศษเนื้อละลายปนๆอยุ่ในน้ำนะ ทีนี้คนที่กำลังจะกินเกิดลังเลขึ้นมา คือเริ่มไม่มั่นใจในแนวคิดตัวเองแล้ว และเริ่มสงสัยว่าอาจจะผิดก็ได้นะ คือลังเลแต่ เขาก้ยังกินต่อ แบบนี้จะกลายเป็นบาป ไม่ใช่ว่าบาปเพราะน้ำต้มกระดุกมีเนื้อปนไหม แต่คุณเกิดมีมโนธรรมว่าผิด แต่ฝืนมโนธรรมนั้นทำสิ่งที่ต้องการ ซึ่งที่จริง คนนั้นจะต้องตั้งสติ และบอกตัวเองให้ชัดเจนว่า แนวทางของตนเองถูกต้อวงแล้วอย่างไร และต้องตัดสินใจเบื้องต้นในสิ่งที่จะกระทำอย่างเด็ดขาด คือถ้าทำแล้วต้องไม่ลังเลหรือแอบกลัวว่าบาปต้องมั่นใจไปเลยว่า เราไม่ผิืดเพื่อนแหละเคร่งเกินไป ฯลฯ หรือถ้าตัดลังเลไม่ได้คือในใจลึกๆเชื่อตามเพื่อน ต้องหยุดทำไม่ใช่ทำทั้งที่ยังลังเล ประมาณนั้นครับ22จงเก็บความเชื่อมั่นgของท่านไว้สำหรับตนเองเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเถิด ผู้ที่ไม่ตัดสินลงโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วก็มีสุข 23แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ถ้ากิน ก็ตัดสินลงโทษตนเอง เพราะกระทำโดยไม่เชื่อมั่นh ทุกสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเชื่อมั่น ย่อมเป็นบาป
- ความเชื่อมั่นในแต่ละบุคคลแล้วจะเป็นสุขคืออะไรคะ? อย่างถ้าบางคนยึดติดกับคุณพ่อคนนี้เท่านั้น หรือ ยึดติดกับโบสถ์นี้เท่านั้น จะกลายเป็นบาปหรือเปล่าคะ?
หรือทั้งหมดในจดหมายฉบับนี้เน้นที่ความไม่ลงรอยกันของคริสเตียนในยุคนั้นที่ยังแบ่งเป็นยิวกับกรีก เนื้อความไม่ได้ตีลึกลงไปใช่มั้ยคะ?
หมายถึงทุกคนครับ ในวันสุดท้าย พระเจ้าจะทรงพิสูจน์ความจริงทุกอย่างให้ประจักษ์ ว่าผลงานของเรามีอะไรบ้าง และมีคุณค่าจริงไหม อาจจะเข้าวสวรรค์ได้แบบคนที่แค่ผ่านเกณท์คะแนน D- เกือบจะ F เท่านั้นหรือเปล่่าคร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
15แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้นd
- ในคำสอนนี้หมายเฉพาะแต่พระสงฆ์หรือเปล่าคะ? หรือว่าชาวคริสต์ทุกคนจะต้องเผยแพร่และประกาศข่าวดีออกไป คนที่ไม่ใส่ใจทำก็จะได้รางวัลน้อยตามลำดับเหรอคะ?
จะไฟชำระหรือนรกนั้น แล้วแต่พระเมตตาของพระเจ้าครับ เพราะในความเชื่อคาทอลิกไฟชำระคือการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าสวรรค์ บาปบางอย่างที่เป็นเหตุให้วิญญาณหนึ่งไม่สามารถเข้าอาณาจักรพระเจ้า ก็อาจถูกชำระในไฟชำระ จนวิญญาณนั้นไม่มีมลทินนั้นแล้วจึงเข้าอาณาจักรพระเจ้าได้ภายหลังก็ได้
คร 6:1-11 การชำระข้อพิพาทในศาลของคนต่างศาสนา
9ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ 10คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกe
- หมายถึงตกนรกไม่ใช่ไฟชำระใช่มั้ยคะ?
ขอความกรุณาด้วยนะคะ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
ขอบคุณสำหรับคำอธิบายและตัวอย่างเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นนะคะ
ตอนนี้อ่านจบจนถึงบทกาลาเทียแล้วค่ะ มีตรงที่สงสัยคือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติค่ะ
1คร 11:2-16 ต้องคลุมศีรษะในศาสนพิธีหรือไม่
5แต่หญิงที่อธิษฐานภาวนา หรือประกาศพระวาจาโดยไม่คลุมศีรษะก็ลบหลู่ศักดิ์ศรีศีรษะของตน เปรียบเทียบกับการโกนผมนั่นเอง 6ดังนั้น ถ้าหญิงใดไม่ยอมใช้ผ้าคลุมศีรษะ ก็ให้นางตัดผมเสียด้วย แต่ถ้านางรู้สึกอับอายที่จะตัดหรือโกนผม ก็ให้นางใช้ผ้าคลุมศีรษะเถิด
- ธรรมเนียมนี้เกิดจากกฏบัญญัติของพระเป็นเจ้า หรือธรรมเนียมปฏิบัติ
ที่ธรรมาจารย์ของชาวยิวกำหนดคะ?
ทางอิสลามก็กำหนดเรื่องคลุมผมของสตรี แต่ของคริสต์ไม่เห็นกันแล้ว
นอกจากนักบวชหญิง (มาเธอร์,ซิสเตอร์)?
แปลว่าเราที่เป็นฆราวาสไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหรอคะ?
ปล. โดยความคิดเห็นส่วนตัวเรื่องการคลุมผมคงจะไม่เหมาะกับทุกชนชาติกับ
เป็นการบังคับผู้หญิงเกินไป
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ตอนนี้อ่านจบจนถึงบทกาลาเทียแล้วค่ะ มีตรงที่สงสัยคือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติค่ะ
1คร 11:2-16 ต้องคลุมศีรษะในศาสนพิธีหรือไม่
5แต่หญิงที่อธิษฐานภาวนา หรือประกาศพระวาจาโดยไม่คลุมศีรษะก็ลบหลู่ศักดิ์ศรีศีรษะของตน เปรียบเทียบกับการโกนผมนั่นเอง 6ดังนั้น ถ้าหญิงใดไม่ยอมใช้ผ้าคลุมศีรษะ ก็ให้นางตัดผมเสียด้วย แต่ถ้านางรู้สึกอับอายที่จะตัดหรือโกนผม ก็ให้นางใช้ผ้าคลุมศีรษะเถิด
- ธรรมเนียมนี้เกิดจากกฏบัญญัติของพระเป็นเจ้า หรือธรรมเนียมปฏิบัติ
ที่ธรรมาจารย์ของชาวยิวกำหนดคะ?
ทางอิสลามก็กำหนดเรื่องคลุมผมของสตรี แต่ของคริสต์ไม่เห็นกันแล้ว
นอกจากนักบวชหญิง (มาเธอร์,ซิสเตอร์)?
แปลว่าเราที่เป็นฆราวาสไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหรอคะ?
ปล. โดยความคิดเห็นส่วนตัวเรื่องการคลุมผมคงจะไม่เหมาะกับทุกชนชาติกับ
เป็นการบังคับผู้หญิงเกินไป
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
การคลุมผมเป็นธรรมเนียมที่ถูกพูดถึงในพระคัมภีร์ สำหรับคริสตชน แต่ไหนแต่ไรมาสตรีจะคลุมผมเข้าวัด แต่หลังสังคยานาวาติกันครั้งที่2 เรื่องนี้ถูกทำให้เข้าใจว่า เป็นเพียงธรรมเนียมไม่ใช่ข้อบังคับ สามารถทำหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นส่วนมากจึงเลิกไป แต่ในบางประเทศยังคงธรรมเนียมนี้อยู่ เช่นฟิลิปปินส์หรือเกาหลี แต่ไม่ได้เคร่งครัดครับlittleseal เขียน:ขอบคุณสำหรับคำอธิบายและตัวอย่างเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นนะคะ
ตอนนี้อ่านจบจนถึงบทกาลาเทียแล้วค่ะ มีตรงที่สงสัยคือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติค่ะ
1คร 11:2-16 ต้องคลุมศีรษะในศาสนพิธีหรือไม่
5แต่หญิงที่อธิษฐานภาวนา หรือประกาศพระวาจาโดยไม่คลุมศีรษะก็ลบหลู่ศักดิ์ศรีศีรษะของตน เปรียบเทียบกับการโกนผมนั่นเอง 6ดังนั้น ถ้าหญิงใดไม่ยอมใช้ผ้าคลุมศีรษะ ก็ให้นางตัดผมเสียด้วย แต่ถ้านางรู้สึกอับอายที่จะตัดหรือโกนผม ก็ให้นางใช้ผ้าคลุมศีรษะเถิด
- ธรรมเนียมนี้เกิดจากกฏบัญญัติของพระเป็นเจ้า หรือธรรมเนียมปฏิบัติ
ที่ธรรมาจารย์ของชาวยิวกำหนดคะ?
ทางอิสลามก็กำหนดเรื่องคลุมผมของสตรี แต่ของคริสต์ไม่เห็นกันแล้ว
นอกจากนักบวชหญิง (มาเธอร์,ซิสเตอร์)?
แปลว่าเราที่เป็นฆราวาสไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหรอคะ?
ปล. โดยความคิดเห็นส่วนตัวเรื่องการคลุมผมคงจะไม่เหมาะกับทุกชนชาติกับ
เป็นการบังคับผู้หญิงเกินไป
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
อฟ 4:1-16 ขอให้มีเอกภาพ
8ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า"เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วยและทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์"c
c เปาโลอ้างพระคัมภีร์ตอนนี้ตามวิธีการของอาจารย์ชาวยิวทั่วไป เพื่อยกวลีสองวลีมาพูดถึง คือวลีว่า "พระองค์เสด็จขึ้น..." (ข้อ 9-10) และ "ทรงแจกจ่ายของประทาน" (ข้อ 11) ซึ่งเปาโลอธิบายว่า หมายถึง การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า
- เชลยคืออะไรเหรอคะ?
คส 2:16-23 การบำเพ็ญพรตที่ไม่ถูกต้องโดยขึ้นกับ "จิตปกครองโลก"
20ถ้าท่านทั้งหลายตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าและเป็นอิสระจากจิตซึ่งปกครองโลกแล้ว ทำไมท่านจึงยังมีชีวิตอยู่ในโลกโดยยอมอ่อนน้อมต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อีกเล่า 21เช่น "อย่าหยิบ อย่าชิม อย่าแตะต้อง" 22กฎเหล่านี้จะต้องเลิกใช้ในที่สุด เพราะเป็นกฎเกณฑ์และคำสอนที่มนุษย์คิดขึ้นเท่านั้น 23กฎเกณฑ์เหล่านี้ดูประหนึ่งว่ามีปรีชาในการปฏิบัติศาสนกิจ ในการแสดงความถ่อมตนและในการบำเพ็ญพรต แต่ที่จริงแล้ว กฎเกณฑ์ก็ไม่มีประโยชน์แต่ประการใดนอกจากส่งเสริมความพอใจของตนเองs
- ขอช่วยขยายยกตัวอย่างความบทนี้ด้วยค่ะ หมายถึงกฏเกณฑ์การประกอบศาสนาพิธีของทางยิวเหรอคะ? หรือข้อห้ามปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ? บทความนี้รวมถึงการประกอบพิธีและการปฏิบัติในปัจจุบันด้วยหรือเปล่าคะ?
1ทธ 2:8-15 บุรุษและสตรีในที่ชุมนุม
12ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้สตรีสอนหรือใช้อำนาจเหนือบุรุษ แต่ให้สตรีอยู่อย่างสงบ 13เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมมาก่อนแล้วจึงทรงสร้างเอวาในภายหลัง 14อาดัมไม่ได้ถูกลวงให้หลงผิด แต่ผู้ที่ถูกลวงให้หลงผิดและทำบาปคือภรรยาของเขา 15ถึงกระนั้น สตรีจะรอดพ้นได้โดยการมีบุตรg ถ้าสตรีดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมโดยมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ความรักและความศักดิ์สิทธิ์
g บางที ข้อความนี้เป็นการตอบโต้ผู้สอนผิด ๆ บางคนที่ห้ามแต่งงาน (4:3;) โดยกล่าวว่าภารกิจข้อแรกของสตรีก็คือให้กำเนิดชีวิตและอบรมเลี้ยงดูบุตร
- อ่านแล้วเกิดข้อสงสัยแม้ว่าจะอ่านคำอธิบายแล้วค่ะ คือ ทั้งหมดท่านเปาโลพูดตำหนิผู้สอนบางคนเหรอคะ? การตำหนิคำสอนที่ว่าคือ "หญิงต้องห้ามแต่งงาน" ซึ่งท่านเปาโลมาสอนใหม่ว่าสตรีจะรอดพ้นได้ต้องมีเท่านั้นลูกเหรอคะ? ถ้าหากหญิงที่ไม่ต้องการมีบุตรหรือแต่งงานก็กลายเป็นไม่ได้ทำหน้าที่ของชาวคริสต์ที่ดีเหรอคะ? แล้วสตรีไม่สามารถว่ากล่าวฝ่ายผู้ชายได้เพราะเอวาเป็นผู้ทำบาปเหรอคะ?
อ่านแล้วรู้สึกเศร้าจังผู้หญิงถูกกดจากทุกศาสนาเลย พุทธก็บวชเป็นภิกษุณีไม่ได้ คริสต์ก็กำหนด ของยิวกับอิสลามยิ่งมีข้อกำหนดเยอะ พราหมณ์หลายอย่างห้ามผู้หญิงเข้าไปเกี่ยวเลย
8ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า"เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วยและทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์"c
c เปาโลอ้างพระคัมภีร์ตอนนี้ตามวิธีการของอาจารย์ชาวยิวทั่วไป เพื่อยกวลีสองวลีมาพูดถึง คือวลีว่า "พระองค์เสด็จขึ้น..." (ข้อ 9-10) และ "ทรงแจกจ่ายของประทาน" (ข้อ 11) ซึ่งเปาโลอธิบายว่า หมายถึง การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า
- เชลยคืออะไรเหรอคะ?
คส 2:16-23 การบำเพ็ญพรตที่ไม่ถูกต้องโดยขึ้นกับ "จิตปกครองโลก"
20ถ้าท่านทั้งหลายตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าและเป็นอิสระจากจิตซึ่งปกครองโลกแล้ว ทำไมท่านจึงยังมีชีวิตอยู่ในโลกโดยยอมอ่อนน้อมต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อีกเล่า 21เช่น "อย่าหยิบ อย่าชิม อย่าแตะต้อง" 22กฎเหล่านี้จะต้องเลิกใช้ในที่สุด เพราะเป็นกฎเกณฑ์และคำสอนที่มนุษย์คิดขึ้นเท่านั้น 23กฎเกณฑ์เหล่านี้ดูประหนึ่งว่ามีปรีชาในการปฏิบัติศาสนกิจ ในการแสดงความถ่อมตนและในการบำเพ็ญพรต แต่ที่จริงแล้ว กฎเกณฑ์ก็ไม่มีประโยชน์แต่ประการใดนอกจากส่งเสริมความพอใจของตนเองs
- ขอช่วยขยายยกตัวอย่างความบทนี้ด้วยค่ะ หมายถึงกฏเกณฑ์การประกอบศาสนาพิธีของทางยิวเหรอคะ? หรือข้อห้ามปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ? บทความนี้รวมถึงการประกอบพิธีและการปฏิบัติในปัจจุบันด้วยหรือเปล่าคะ?
1ทธ 2:8-15 บุรุษและสตรีในที่ชุมนุม
12ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้สตรีสอนหรือใช้อำนาจเหนือบุรุษ แต่ให้สตรีอยู่อย่างสงบ 13เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมมาก่อนแล้วจึงทรงสร้างเอวาในภายหลัง 14อาดัมไม่ได้ถูกลวงให้หลงผิด แต่ผู้ที่ถูกลวงให้หลงผิดและทำบาปคือภรรยาของเขา 15ถึงกระนั้น สตรีจะรอดพ้นได้โดยการมีบุตรg ถ้าสตรีดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมโดยมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ความรักและความศักดิ์สิทธิ์
g บางที ข้อความนี้เป็นการตอบโต้ผู้สอนผิด ๆ บางคนที่ห้ามแต่งงาน (4:3;) โดยกล่าวว่าภารกิจข้อแรกของสตรีก็คือให้กำเนิดชีวิตและอบรมเลี้ยงดูบุตร
- อ่านแล้วเกิดข้อสงสัยแม้ว่าจะอ่านคำอธิบายแล้วค่ะ คือ ทั้งหมดท่านเปาโลพูดตำหนิผู้สอนบางคนเหรอคะ? การตำหนิคำสอนที่ว่าคือ "หญิงต้องห้ามแต่งงาน" ซึ่งท่านเปาโลมาสอนใหม่ว่าสตรีจะรอดพ้นได้ต้องมีเท่านั้นลูกเหรอคะ? ถ้าหากหญิงที่ไม่ต้องการมีบุตรหรือแต่งงานก็กลายเป็นไม่ได้ทำหน้าที่ของชาวคริสต์ที่ดีเหรอคะ? แล้วสตรีไม่สามารถว่ากล่าวฝ่ายผู้ชายได้เพราะเอวาเป็นผู้ทำบาปเหรอคะ?
อ่านแล้วรู้สึกเศร้าจังผู้หญิงถูกกดจากทุกศาสนาเลย พุทธก็บวชเป็นภิกษุณีไม่ได้ คริสต์ก็กำหนด ของยิวกับอิสลามยิ่งมีข้อกำหนดเยอะ พราหมณ์หลายอย่างห้ามผู้หญิงเข้าไปเกี่ยวเลย
คือเชลยครับ บทนั้นอ้างอิงมาจากบทสดุดีบทที่68littleseal เขียน:อฟ 4:1-16 ขอให้มีเอกภาพ
8ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า"เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วยและทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์"c
c เปาโลอ้างพระคัมภีร์ตอนนี้ตามวิธีการของอาจารย์ชาวยิวทั่วไป เพื่อยกวลีสองวลีมาพูดถึง คือวลีว่า "พระองค์เสด็จขึ้น..." (ข้อ 9-10) และ "ทรงแจกจ่ายของประทาน" (ข้อ 11) ซึ่งเปาโลอธิบายว่า หมายถึง การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า
- เชลยคืออะไรเหรอคะ?
11องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวจนะ
พวกผู้หญิงที่นำข่าวดี ก็เป็นพวก
ใหญ่โต
12ประกาศว่า “บรรดาพระราชาของกองทัพทั้งหลาย เขาหนีไป เขาหนีไป”
ผู้หญิงที่อยู่บ้านก็เอาข้าวของที่ริบมาได้แบ่งกัน
13เมื่อท่านทั้งหลายนอนอยู่ท่ามกลางคอกแกะ
ปีกนกพิราบก็อาบเงิน
และขนก็แวววาวไปด้วยทอง
14เมื่อผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระจายพระราชา ณ ที่นั่น
หิมะก็ตกลงบนภูเขาศัลโมน
15ภูเขาทรงมหิทธิฤทธิ์เอ๋ย ภูเขาเมืองบาชาน
ภูเขาหลายยอดเอ๋ย ภูเขาเมืองบาชาน 8:9
16ภูเขาหลายยอดเอ๋ย ทำไมมองด้วยความริษยา
ณ ที่ภูเขาซึ่งพระเจ้าทรงประสงค์ ให้เป็นที่พำนักของพระองค์
เออ ที่ที่พระเจ้าจะประทับเป็นนิตย์
17องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จจากซีนายเข้าไปในสถานนมัสการ
พร้อมรถรบของพระเจ้าอเนกอนันต์
นับเป็นพันๆ
18พระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง
นำเชลยไปด้วย
และรับของขวัญท่ามกลางมนุษย์
ข้าแต่พระเจ้า แม้จากผู้ที่ขัดขวาง ที่พระองค์ประทับที่นั่น
19สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงค้ำชูเราทั้งหลายอยู่ทุกวัน
พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา
-------บทสดุดีบทนี้พูดถึงการสรรเสริญพระเจ้าหลังจากชนชาติรอดพ้นจากการรุกรานของชาวต่างชาติ โดยยกย่องให้พระเจ้าเป็นผู้รับเกีัยรติในชัยชนะ และผลที่ได้รับก็ยกให้เป็นของพระองค์ด้วย แต่ในจดหมายฉบับนี้น.เปาโลอ้างบทสดุดีนี้เพื่อเปรียบเทียบถึงชัยชนะของพระเยซูเจ้าในการกลับคืนชีพและเสด็จขึ้นสวรรค์
ทั้งสองอย่างครับ โดยพูดถึงกฎเกณท์ที่ยุ่งยากหยุมหยิมในสมัยนั้นครับ กล่าวคือท่านสอนคนสมัยนั้นว่าอย่ายึดติดกฎเกณฑ์มากเกินไป เพราะกฎเกณฑ์ก็คิดขึ้นเพื่อช่วยให้เราปฏิบัติศาสนกิจได้ดีขึ้น แต่ถ้ามันวุ่นวายจนเราต้องไปให้ความสำคัญกับมันมากกว่าจิตใจที่ยหาพระเจ้า ก็อย่าไปกลัวบาปที่จะละเว้นมันบ้าง
คส 2:16-23 การบำเพ็ญพรตที่ไม่ถูกต้องโดยขึ้นกับ "จิตปกครองโลก"
20ถ้าท่านทั้งหลายตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าและเป็นอิสระจากจิตซึ่งปกครองโลกแล้ว ทำไมท่านจึงยังมีชีวิตอยู่ในโลกโดยยอมอ่อนน้อมต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อีกเล่า 21เช่น "อย่าหยิบ อย่าชิม อย่าแตะต้อง" 22กฎเหล่านี้จะต้องเลิกใช้ในที่สุด เพราะเป็นกฎเกณฑ์และคำสอนที่มนุษย์คิดขึ้นเท่านั้น 23กฎเกณฑ์เหล่านี้ดูประหนึ่งว่ามีปรีชาในการปฏิบัติศาสนกิจ ในการแสดงความถ่อมตนและในการบำเพ็ญพรต แต่ที่จริงแล้ว กฎเกณฑ์ก็ไม่มีประโยชน์แต่ประการใดนอกจากส่งเสริมความพอใจของตนเองs
- ขอช่วยขยายยกตัวอย่างความบทนี้ด้วยค่ะ หมายถึงกฏเกณฑ์การประกอบศาสนาพิธีของทางยิวเหรอคะ? หรือข้อห้ามปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ? บทความนี้รวมถึงการประกอบพิธีและการปฏิบัติในปัจจุบันด้วยหรือเปล่าคะ?
การอ่านจดหมายของเปาโล จำเป็นมากที่จะต้องเข้าใจก่อนว่า มันคือจดหมายครับ เปาโลไม่ได้ตั้งใจจะเขียนพระคัมภีร์ แต่เขียนจดหมายโต้ตอบกับบุคคล และสถานที่ที่แน่ชัดว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง ในบทนี้คือจดหมายถึงทิโมธี ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านที่ดูแลปกครองพระศาสนจักรอยู่ ดังนั้น จึงมีกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งในบทนี้ บอกอย่างแจ่มชัดว่านี่คือความเห็นหรือคำสั่งของท่านเปาโล(ไม่ใช่พระเยซูเจ้า) (ข้าพเจ้า<เปาโล>ไม่อนุญาต)
1ทธ 2:8-15 บุรุษและสตรีในที่ชุมนุม
12ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้สตรีสอนหรือใช้อำนาจเหนือบุรุษ แต่ให้สตรีอยู่อย่างสงบ 13เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมมาก่อนแล้วจึงทรงสร้างเอวาในภายหลัง 14อาดัมไม่ได้ถูกลวงให้หลงผิด แต่ผู้ที่ถูกลวงให้หลงผิดและทำบาปคือภรรยาของเขา 15ถึงกระนั้น สตรีจะรอดพ้นได้โดยการมีบุตรg ถ้าสตรีดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมโดยมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ความรักและความศักดิ์สิทธิ์
g บางที ข้อความนี้เป็นการตอบโต้ผู้สอนผิด ๆ บางคนที่ห้ามแต่งงาน (4:3;) โดยกล่าวว่าภารกิจข้อแรกของสตรีก็คือให้กำเนิดชีวิตและอบรมเลี้ยงดูบุตร
- อ่านแล้วเกิดข้อสงสัยแม้ว่าจะอ่านคำอธิบายแล้วค่ะ คือ ทั้งหมดท่านเปาโลพูดตำหนิผู้สอนบางคนเหรอคะ? การตำหนิคำสอนที่ว่าคือ "หญิงต้องห้ามแต่งงาน" ซึ่งท่านเปาโลมาสอนใหม่ว่าสตรีจะรอดพ้นได้ต้องมีเท่านั้นลูกเหรอคะ? ถ้าหากหญิงที่ไม่ต้องการมีบุตรหรือแต่งงานก็กลายเป็นไม่ได้ทำหน้าที่ของชาวคริสต์ที่ดีเหรอคะ? แล้วสตรีไม่สามารถว่ากล่าวฝ่ายผู้ชายได้เพราะเอวาเป็นผู้ทำบาปเหรอคะ?
อ่านแล้วรู้สึกเศร้าจังผู้หญิงถูกกดจากทุกศาสนาเลย พุทธก็บวชเป็นภิกษุณีไม่ได้ คริสต์ก็กำหนด ของยิวกับอิสลามยิ่งมีข้อกำหนดเยอะ พราหมณ์หลายอย่างห้ามผู้หญิงเข้าไปเกี่ยวเลย
เรื่องนี้เหมือนธรรมเนียมการคลุมผม คือธรรมเนียมการคลุมผม หรือการที่สตรีต้องเชื่อฟังบุรุษ มีอยู่แล้วในสมัยนั้น และเป็นระเบียบสังคม ที่ธรรมดามาก เหมือนลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี สามีต้องหาเลี้ยงภรรยา คุณต้องอย่าลืมว่า 2000 ปีก่อน ระเบียบสังคมมีรูปแบบใดก็จะเป็นรูปแบบเดียวแบบนั้น ไม่ใช่สมัยนี้ที่ภรรยาทำงานนอกบ้าน สามีบางคนทำงานบ้าน สมัยก่อนมีการแบ่งบทหน้าที่อย่างชัดเจน และเมื่อมันลงตัวแล้ว เขาก็จะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น อย่างเช่นสมัยก่อนพ่อแม่ตีลูก และสอนว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี หรือเมื่อดุด่า ลูกจะห้ามเถียงการเถียงถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมาก แต่สมัยนี้ ก็มีแนวคิดว่าไม่ตี แต่ให้ใช้เหตุผล หรือให้ลูกเถียงได้ เลี้ยงแบบประชาธิปไตย
ดังนั้นอย่าเอาบรรทัดฐานของสมัยนี้ไปตัดสินธรรมเนียมคนสมัยนั้นเป็นอันขาดครับ
คุณต้องอย่าลืมว่าสมัยก่อนนั้น ผู้หญิงคุ้มครองตัวเองไม่ได้ ต้องมีผุ้ชายดูแล การปล้น ฆ่า ข่มขืน ถ้าเกิดขึ้น อาจไม่มีใครรู้ บ้านที่ไม่มีผู้ชาย ผู้หญิงอาจจะถูกฆ่าตายในบ้านจนศพเน่าโดยไม่มีใครรู้เลยก็ได้ เขาไม่ได้มีโทรศัพท์ หรือ 191 ยุคนั้นโดยทั่วไปยังเถื่อนกว่าบ้านนอกที่กันดารที่สุดสมัยนี้อีกนะครับ ดังนั้น บทบาททางสังคม มีสภาพที่ผู้หญิงอยู่เองไม่ได้โดยปราศจากผู้ชาย และนั้นจึงกำหนดหน้าที่ และสถานภาพทางสังคมของชายและหญิงโดยอัตโนมัติ
ในจดหมายนี้น.เปาโลไม่ได้มีจุดประสงค์จะริดรอนสิทธิสตรี แต่เพียงแค่จัดระเบียบโดยอิงตามธรรมเนียมพื้นฐานของสมัยนั้น โดยยกเอาพระธรรมเดิมมาสนับสนุนระเบียบข้อนี้
ในการอ่านจดหมายฉบับนี้ คุณน่าจะได้เห็นภาพรวมของจดหมายฉบับนี้ประเด็นหนึ่งก็คือ การแนะนำให้จัดระเบียบสังคมของชุมชนในสมัยนั้น เพราะมีทั้งการระบุบทบาทชายหญิง ผู้อาวุโส หญิงม่าย เยาวชน ฯลฯ ซึ่งก็ต้องจัดระเบียบให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมในสมัยนั้นของชุมชนนั้น ไม่ใช่สังคมสมัยนี้ หรือสังคมที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิมนุษยชนแบบสมัยใหม่
และดังที่ว่านี่คือคำสั่งจัดระเบียบสังคมสมัยนั้นโดยคำสั่งของเปาโล พระศาสนจักรปัจจุบันไม่ได้ยึดถือเรื่องนี้มาใช้กับสังคมปัจจุบัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมา บรรดาซิสเตอร์ หรือครูคำสอนสตรี ก็สามารถสอนศาสนาใครก็ได้ทั้งชายและหญิง ดังนั้นพระศาสนจักรใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อปฏิบัติจากพระคัมภีร์ด้วย ไม่ใช่ว่าเอามาใช้โดยไม่ดูบริบทว่ายุคสมัยห่างกัน2000ปี แต่อย่างใด ซึ่งในบางศาสนาจนปัจจุบันนี้ยังคงเรื่องผู้ชายสอนผู้หญิงได้ฝ่ายเดียวอย่างเคร่งครัด
ต่อมาในเรื่องการมีบุตร ถ้าพระศาสนจักรสอนว่า ไม่แต่งงานมีบุตรแล้วไม่รอด พระศาสนจักรคาทอลิกจะมีบรรดาซิสเตอร์หรือแม่ชีที่ถือพรหมจรรย์หรือครับ
คำพูดในพระคัมภีร์นั้น เล็งไปถึงพระธรรมเดิมที่ในบทปฐมกาล เมื่อมนุษย์ตกในบาป พระเจ้าทรงสั่งให้หญิงนั้นต้องตั้งท้องคลอดลูก ชายต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว ดังนั้นการที่ผู้หญิงแต่งงานมีลูก ก็ถือว่าทำตามคำสั่งแรกที่พระเจ้าประทานให้ และการมีลูกก็ถือเป็นพระพรจากพระเจ้า ดังนั้นการที่ชาวยิวสมัยก่อนมีมุมมองว่าการที่สตรีมีลูกคือการที่สตรีได้รับพรจากพระเจ้าก็ตกทอดมาในกลุ่มคริสตชนยุคแรกด้วย ดังนั้นการที่ผู้หญิงมีลูกก็เหมือนเติมเต็มหรือแก้ความผิดของนางเอวา คือเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่หญิงยุคต่อมาเชื่อฟังพระเจ้าทำตามที่พระองค์สั่ง
ไม่เคยมีคำสอนว่าไม่มีลูกแล้วตกนรกในศาสนาคริสต์ครับ ดังนั้นเราต้องตีความทางกว้างไม่ใช่ทางแคบ เราควรตีความว่า การเป็นแม่ที่ดี เป็นทางดำเนินชีวิตซึ่งผู้หญิงทั่วไปสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัย(ซึ่งก็ยังมีทางดำเนินชีวิตแบบอื่นที่สามารถทำความชอบธรรมให้ชีวิตได้) ไม่ใช่ไปเติมคำว่าไม่มีลูกแล้วตกนรกลงไปเองในบทนั้นนะครับ
เหมือนคำพูดว่า ถ้าป่วยทานพาราจะหาย ก็แค่เข้าใจว่า ทานพาราช่วยให้หายป่วย(โดยยังมียา และการบำบัดอื่นๆที่ละไว้ไม่ได้กล่าวถึงในประโยคนั้น) แต่ไม่ต้องตีแคบไปต่อว่า ถ้าใครป่วยแล้วไม่ทานพาราจะต้องตาย ก็ได้ครับ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจเรื่องข้อเขียนกับยุคสมัยเพิ่มแล้วค่ะ อย่างข้อนี้ของท่านเปาโล
1ทธ 5:14 หญิงม่าย
14ดังนั้น ข้าพเจ้าอยากให้หญิงม่ายที่ยังสาวแต่งงานใหม่ มีบุตรและดูแลครอบครัว เพื่อไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามeยกมาเป็นข้อตำหนิได้
ข้อนี้ก็ขัดจากตอนต้นที่ท่านสอนว่าถ้าเป็นม่ายให้ครองตนอย่าแต่งงานใหม่ เป็นไปได้ว่าในแต่ละพื้นที่คงมีการกำหนดบทบาทของสตรีไม่ตรงกัน ทำให้หากเป็นผู้หญิงที่ไม่มีผู้ครองจะมีแต่ข้อเสียมากกว่า
1ทธ 6:4
4ผู้นั้นก็เป็นคนจองหองและไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เขาคอยแต่ตั้งปัญหา ถามและโต้เถียงเกี่ยวกับถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา การทะเลาะวิวาท การกล่าวร้ายและความไม่ไว้ใจมุ่งร้ายต่อกัน
ขออภัยค่ะที่ตั้งปัญหาไม่เชิงไม่ดี
ว่ากันเรื่องคำถามบ้าง
- บทฮิบรูใช่ท่านเปาโลเขียนด้วยหรือเปล่าคะ?
ฮบ 7:2
2อับราฮัมแบ่งหนึ่งในสิบจากสิ่งของทั้งหมดถวายเมลคีเซเดค
- ทางคริสต์เงินแบ่งจากรายได้ถวายวัดคือ 10% ใช่มั้ยคะ
ส่วนข้อนี้ไม่เกี่ยวกับพระคัมภีร์
- ถ้าเริ่มเรียนคำสอนตอนเรียนที่โบสถ์เดิมจนกว่าจะล้างบาปหรือคะ? ถ้าต้องมีการย้ายที่พักบ่อย ๆ ไม่สามารถไปโบสถ์เดิมควรทำอย่างไรดีคะ?
ขอบคุณค่ะ

1ทธ 5:14 หญิงม่าย
14ดังนั้น ข้าพเจ้าอยากให้หญิงม่ายที่ยังสาวแต่งงานใหม่ มีบุตรและดูแลครอบครัว เพื่อไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามeยกมาเป็นข้อตำหนิได้
ข้อนี้ก็ขัดจากตอนต้นที่ท่านสอนว่าถ้าเป็นม่ายให้ครองตนอย่าแต่งงานใหม่ เป็นไปได้ว่าในแต่ละพื้นที่คงมีการกำหนดบทบาทของสตรีไม่ตรงกัน ทำให้หากเป็นผู้หญิงที่ไม่มีผู้ครองจะมีแต่ข้อเสียมากกว่า
1ทธ 6:4
4ผู้นั้นก็เป็นคนจองหองและไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เขาคอยแต่ตั้งปัญหา ถามและโต้เถียงเกี่ยวกับถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา การทะเลาะวิวาท การกล่าวร้ายและความไม่ไว้ใจมุ่งร้ายต่อกัน
ขออภัยค่ะที่ตั้งปัญหาไม่เชิงไม่ดี
ว่ากันเรื่องคำถามบ้าง
- บทฮิบรูใช่ท่านเปาโลเขียนด้วยหรือเปล่าคะ?
ฮบ 7:2
2อับราฮัมแบ่งหนึ่งในสิบจากสิ่งของทั้งหมดถวายเมลคีเซเดค
- ทางคริสต์เงินแบ่งจากรายได้ถวายวัดคือ 10% ใช่มั้ยคะ
ส่วนข้อนี้ไม่เกี่ยวกับพระคัมภีร์
- ถ้าเริ่มเรียนคำสอนตอนเรียนที่โบสถ์เดิมจนกว่าจะล้างบาปหรือคะ? ถ้าต้องมีการย้ายที่พักบ่อย ๆ ไม่สามารถไปโบสถ์เดิมควรทำอย่างไรดีคะ?
ขอบคุณค่ะ

-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ ^^ ขอรบกวนถามต่อจากเรปบนนะคะ
วว 2:6
6แต่ท่านยังมีความดีอยู่บ้าง คือท่านเกลียดกิจการของพวกนิโคเลาส์นิยม ที่เราก็เกลียดด้วย
- พวกนิโคเลาส์นิยม คือ กลุ่มไหนเหรอคะ?
แล้วคริสต์จักร 7 แห่งที่อยู่ในบทวิวรณ์มีจริงหรือเปล่าคะ? แล้วแต่ละที่อยู่ที่ไหนเหรอคะ
ขอบคุณค่ะที่รบกวนซักถามมาตลอด 1 เดือนเต็ม ๆ

วว 2:6
6แต่ท่านยังมีความดีอยู่บ้าง คือท่านเกลียดกิจการของพวกนิโคเลาส์นิยม ที่เราก็เกลียดด้วย
- พวกนิโคเลาส์นิยม คือ กลุ่มไหนเหรอคะ?
แล้วคริสต์จักร 7 แห่งที่อยู่ในบทวิวรณ์มีจริงหรือเปล่าคะ? แล้วแต่ละที่อยู่ที่ไหนเหรอคะ
ขอบคุณค่ะที่รบกวนซักถามมาตลอด 1 เดือนเต็ม ๆ

ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ บทนั้นหมายถึงคนที่ชอบตั้งคำถามป่วนและเกรียน แต่คนที่มีเจตนาอยากรู้จริงๆแล้วถามไม่ได้เข้าข่ายบทนั้นหรอกครับlittleseal เขียน:ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจเรื่องข้อเขียนกับยุคสมัยเพิ่มแล้วค่ะ อย่างข้อนี้ของท่านเปาโล
1ทธ 5:14 หญิงม่าย
14ดังนั้น ข้าพเจ้าอยากให้หญิงม่ายที่ยังสาวแต่งงานใหม่ มีบุตรและดูแลครอบครัว เพื่อไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามeยกมาเป็นข้อตำหนิได้
ข้อนี้ก็ขัดจากตอนต้นที่ท่านสอนว่าถ้าเป็นม่ายให้ครองตนอย่าแต่งงานใหม่ เป็นไปได้ว่าในแต่ละพื้นที่คงมีการกำหนดบทบาทของสตรีไม่ตรงกัน ทำให้หากเป็นผู้หญิงที่ไม่มีผู้ครองจะมีแต่ข้อเสียมากกว่า
1ทธ 6:4
4ผู้นั้นก็เป็นคนจองหองและไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เขาคอยแต่ตั้งปัญหา ถามและโต้เถียงเกี่ยวกับถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา การทะเลาะวิวาท การกล่าวร้ายและความไม่ไว้ใจมุ่งร้ายต่อกัน
ขออภัยค่ะที่ตั้งปัญหาไม่เชิงไม่ดี
ครับ
ว่ากันเรื่องคำถามบ้าง
- บทฮิบรูใช่ท่านเปาโลเขียนด้วยหรือเปล่าคะ?
คาทอลิกเราไม่ถือหลักนี้ครับ เราให้บริจาคตามความสามารถ เพราะว่ากฎนั้นจริงๆเน้นมอบให้สมณะเลวี เพราะสมณะเลวีคือกลุ่มคนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ทำงานในพระวิหารอย่างเดียว ดังนั้นเขาต้องใช้จ่ายกินอยู่จากเงินบริจาคของชาวอิสราเอลเผ่าต่างๆที่เหลือ แต่การถวาย10% ถูกเน้นใช้ในบางคริสตจักรของโปรแตสแตนท์ ถึงปัจจุบันครับ เรียกภาษาไทยว่า สิบลด
ฮบ 7:2
2อับราฮัมแบ่งหนึ่งในสิบจากสิ่งของทั้งหมดถวายเมลคีเซเดค
- ทางคริสต์เงินแบ่งจากรายได้ถวายวัดคือ 10% ใช่มั้ยคะ
แต่ถ้าใครสงสัยว่าจะทำบุญเท่าไหร่ดีจึงจะเหมาะสมไม่มากไม่น้อย การให้1ใน10ก้เป้นจำนวนที่แนะนำครับ เพราะพระคัมภีร์ใช้เกณท์นี้ในสมัยโบราณ
อันนี้ขึ้นกับคุณพ่อของแต่ละวัดว่า สามารถต่อหลักสูตรการเรียนได้หรือไม่ บางทีเราสามารถขอคุณพ่อเริ่มเรียนต่อกับกลุ่มใหม่เพราะย้ายที่อยู่ คุณพ่อบางวัดก็ยินดีครับ อยู่ที่การคุยกัน
ส่วนข้อนี้ไม่เกี่ยวกับพระคัมภีร์
- ถ้าเริ่มเรียนคำสอนตอนเรียนที่โบสถ์เดิมจนกว่าจะล้างบาปหรือคะ? ถ้าต้องมีการย้ายที่พักบ่อย ๆ ไม่สามารถไปโบสถ์เดิมควรทำอย่างไรดีคะ?
ขอบคุณค่ะ
กลุ่มนิโคลเลาส์นิยมคือกลุ่มเชื่อผิดเพี้ยนในสมัยนั้นครับ ปัจจุบันไม่มีแล้ว ส่วนพระศาสนจักรทั้ง7 มีจริงในสมัยก่อนครับ อยู่ในละแวกตะวันออกกลางถึงบางส่วนของเอเชียและยุโรป อันนี้คงต้องกางแผนที่ดูอีกที แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นประเทศนั้นประเทศนี้ไปแล้วlittleseal เขียน:คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ ^^ ขอรบกวนถามต่อจากเรปบนนะคะ
วว 2:6
6แต่ท่านยังมีความดีอยู่บ้าง คือท่านเกลียดกิจการของพวกนิโคเลาส์นิยม ที่เราก็เกลียดด้วย
- พวกนิโคเลาส์นิยม คือ กลุ่มไหนเหรอคะ?
แล้วคริสต์จักร 7 แห่งที่อยู่ในบทวิวรณ์มีจริงหรือเปล่าคะ? แล้วแต่ละที่อยู่ที่ไหนเหรอคะ
ขอบคุณค่ะที่รบกวนซักถามมาตลอด 1 เดือนเต็ม ๆ
ยินดีรับใช้ครับ

-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ปล.เดี๋ยวเริ่มอ่านพันธะสัญญาเก่าเมื่อไรจะมาขอความรู้อีก (ฮา...)

ปล.เดี๋ยวเริ่มอ่านพันธะสัญญาเก่าเมื่อไรจะมาขอความรู้อีก (ฮา...)

-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
เอียงอายมาถามอีกแล้ว
อพย. 12 : 15-20,42
15 “ท่านต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน วันแรกท่านต้องเอาเชื้อแป้งทั้งสิ้นทิ้งเสียจากบ้าน ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังใส่เชื้อตั้งแต่วันแรกถึงวันที่เจ็ด เขาจะต้องถูกตัดขาดจากชาติอิสราเอล
16 วันแรกท่านจะต้องจัดให้มีการประชุมศักดิ์สิทธิ์ และวันที่เจ็ดท่านจะจัดให้มีการประชุมศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองวันนี้ท่านอย่าได้ทำการงานอะไรเลย ยกเว้นการเตรียมอาหาร
17 ท่านจงรักษาเทศกาลขนมปังไร้เชื้อนี้ไว้ เพราะวันนี้เป็นวันที่เรานำขบวนของท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านต้องฉลองวันนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน
18 ท่านต้องกินขนมปังไร้เชื้อตั้งแต่เย็นวันที่สิบสี่ของเดือนแรกจนถึงเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ด
19 อย่าให้มีเชื้อแป้งหลงเหลืออยู่ในบ้านของท่านเป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะถ้าผู้ใดกินขนมปังใส่เชื้อ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชุมชนชาวอิสราเอล ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิด
20 ท่านต้องไม่กินขนมปังที่ใส่เชื้อ ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด ท่านจะต้องกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น”
42 คืนนั้นเป็นคืนที่พระยาห์เวห์ทรงตื่นเฝ้าเพื่อทรงนำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ คืนนั้นจึงเป็นคืนที่ชาวอิสราเอลทุกคนจะต้องตื่นเฝ้าถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ชั่วลูกชั่วหลาน
1. ปัจจุบันเรื่องนี้ยังต้องกระทำอยู่มั้ยคะ? ถ้ายังทำอยู่ทำในวาระไหนคะ?
2. ขนมปังไร้เชื้อคือไม่ใส่ยีสต์ใช่มั้ยคะ?
3. แล้วการตื่นเฝ้าคือการเฝ้าศีลรับเสด็จในเทศกาลปัสกาของคริสต์ด้วยหรือเปล่าคะ?
อพย. 12 : 15-20,42
15 “ท่านต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน วันแรกท่านต้องเอาเชื้อแป้งทั้งสิ้นทิ้งเสียจากบ้าน ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังใส่เชื้อตั้งแต่วันแรกถึงวันที่เจ็ด เขาจะต้องถูกตัดขาดจากชาติอิสราเอล
16 วันแรกท่านจะต้องจัดให้มีการประชุมศักดิ์สิทธิ์ และวันที่เจ็ดท่านจะจัดให้มีการประชุมศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองวันนี้ท่านอย่าได้ทำการงานอะไรเลย ยกเว้นการเตรียมอาหาร
17 ท่านจงรักษาเทศกาลขนมปังไร้เชื้อนี้ไว้ เพราะวันนี้เป็นวันที่เรานำขบวนของท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ท่านต้องฉลองวันนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน
18 ท่านต้องกินขนมปังไร้เชื้อตั้งแต่เย็นวันที่สิบสี่ของเดือนแรกจนถึงเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ด
19 อย่าให้มีเชื้อแป้งหลงเหลืออยู่ในบ้านของท่านเป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะถ้าผู้ใดกินขนมปังใส่เชื้อ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชุมชนชาวอิสราเอล ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิด
20 ท่านต้องไม่กินขนมปังที่ใส่เชื้อ ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด ท่านจะต้องกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น”
42 คืนนั้นเป็นคืนที่พระยาห์เวห์ทรงตื่นเฝ้าเพื่อทรงนำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ คืนนั้นจึงเป็นคืนที่ชาวอิสราเอลทุกคนจะต้องตื่นเฝ้าถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ชั่วลูกชั่วหลาน
1. ปัจจุบันเรื่องนี้ยังต้องกระทำอยู่มั้ยคะ? ถ้ายังทำอยู่ทำในวาระไหนคะ?
2. ขนมปังไร้เชื้อคือไม่ใส่ยีสต์ใช่มั้ยคะ?
3. แล้วการตื่นเฝ้าคือการเฝ้าศีลรับเสด็จในเทศกาลปัสกาของคริสต์ด้วยหรือเปล่าคะ?
ชาวยิวยังทำตามนั้นเป๊ะ แต่คริสตชนใช้การเฝ้าศีลและรับศีลแทนแล้วครับ และขนมปังไม่มีเชื้อคือไม่ใส่ยีสตืครับlittleseal เขียน:
1. ปัจจุบันเรื่องนี้ยังต้องกระทำอยู่มั้ยคะ? ถ้ายังทำอยู่ทำในวาระไหนคะ?
2. ขนมปังไร้เชื้อคือไม่ใส่ยีสต์ใช่มั้ยคะ?
3. แล้วการตื่นเฝ้าคือการเฝ้าศีลรับเสด็จในเทศกาลปัสกาของคริสต์ด้วยหรือเปล่าคะ?