สองสามปีมาแล้ว มีพระสงฆ์องค์หนึ่งกำลังพูดกับเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง พอพูดจบ มีหนุ่มคนหนึ่งชื่อมัทธิวเข้ามาพบคุณพ่อและขอเล่าเรื่องของเขาให้พ่อฟัง
พอมัทธิวเล่าเรื่องของเขาจบ คุณพ่อถามเขาว่า เธอพอจะเขียนเรื่องที่เธอเล่ามานี้ได้ไหม จะได้ให้คนอื่นได้ทราบเรื่องนี้ของเธอด้วย มัทธิวตอบผมยินดีครับ
นี่คือเรื่องที่มัทธิวเล่า... “พ่อผมได้ออกจากบ้านไปขณะที่ผมอายุได้ 11 ขวบ ครอบครัวผมทั้งครอบครัวพังพินาศ ทุกคนในบ้านร้องไห้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ผมไม่ได้ร้องไห้เลย ผมเริ่มมีความรู้สึกเกลียดคุณพ่อมาก เพราะคุณพ่อทำร้ายแม่ที่รักของผม... ผมเริ่มใช้ชีวิตทำอาชญากรรมและติดยาขณะอายุ 12 ผมได้ขโมยรถไปสามคัน
คุณแม่ผมกลับใจมาเป็นคริสตชน คุณแม่จึงตามตัวผมให้มาเข้าเงียบครั้งนี้... ผมไม่เคยรู้เรื่องเข้าเงียบเลย ผมยอมลงทะเบียนเพื่อไม่ให้คุณแม่ตามตัวผมอีกเท่านั้น...
ระหว่างที่มีการพูดสนทนาปรึกษาหารือกันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมเริ่มต้นฝัน(นิมิต)ถึงพระเป็นเจ้า แล้วผมเกิดมีมโนภาพเห็นตัวผมเองคุกเข่าลงหน้ารูปพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน ผมรู้สึกว่าผมได้ทำผิดมหาศาล... ผมร้องไห้ขอโทษพระองค์... ขณะที่ผมร้องไห้ พระเจ้าได้ทรงอภัยโทษผม ...พระองค์ทรงรักผม ทรงรักผมแม้ผมจะเป็นคนสกปรกโสมมอย่างร้ายกาจ
ผมเปิดตาพลางเช็ดน้ำตา... ที่สุดผมได้รู้ว่าพระเป็นเจ้าจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร...
ผมออกจาการเข้าเงียบ รู้สึกตัวเบามากเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมเลิกสูบบุหรี่ เลิกยาเสพติด เลิกดื่มเหล้า ผมหยุดทำงานวันรุ่งขึ้นเพื่อหาเวลาคิดทบทวนและสวดภาวนา
ขณะที่ผมกำลังอ่านพระคัมภีร์ ผมเริ่มคิดถึงคุณพ่อ ผมไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วนอกจากต้องการอยู่ใกล้ชิดพระเยซูเจ้า และผมไปเยี่มคุณพ่อ
คืนนั้นผมได้ไปหาคุณพ่อที่ห้องท่าน พลางสวดภาวนาวอนขอคำแนะนำจากพระจิตเจ้า พอผมเข้าไปหาคุณพ่อ ผมนั่งลงไม่ได้พูดอะไรเลย ที่สุดคุณพ่อถามว่า “ลูกมาที่นี่ทำไม?” ผมรู้สึกดีใจที่คุณพ่อถามผม แต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
แล้วผมก็อธิบายให้คุณพ่อฟังว่า ปลายสัปดาห์นี้ผมได้เรียนรู้ว่า ผมต้องไม่ตัดสินลงโทษใครไม่ว่าเรื่องใด ๆ แล้วผมขอให้คุณพ่อยกโทษให้ผมด้วยที่ผมเคยได้รู้สึกเกลียดคุณพ่อ ทั้งยังรู้สึกไม่ดีกับตัวคุณพ่อเลย ผมเสียใจที่ได้ตัดสินคุณพ่อไปอย่างนั้น...
คุณพ่อได้ออกจากห้องไป และกลับมาพร้อมกับแฟ้ม... แล้วคุณพ่อก็ดึงเอากระดาษชุดหนึ่งออกมา ผมกับคุณพ่อได้อ่านกระดาษแผ่นนั้น เป็นคำจดบันทึกที่ผมได้เขียนเมื่อหลายปีก่อนนั้น ผมได้บันทึกว่า...
“คุณพ่อคิดว่าคุณพ่อเป็นใคร และคุณพ่อกำลังทำอะไร? ผมเกลียดคุณพ่อ และผมจะไม่มีวันต้องการอะไรจากคุณพ่ออีกเลยในชีวิตของผม จากผู้เคยเป็นลูก มัทธิว”
ผมรู้สึกดีว่าคุณพ่อต้องรู้สึกปวดร้าวเพียงไร เมื่อได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนไว้นี้ คุณพ่อยังเก็บกระดาษบันทึกของผมไว้ตลอดเวลาหลายปี ผมโอบกอดคุณพ่อและน้ำตาแห่งการให้อภัยและความรักหลั่งออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเหมือนกับว่าผมกำลังเดินผ่านประตูคุก ผมรู้สึกว่าไม่ได้ถูกจองจำเพราะความเกลียดอีกต่อไป ผมกับคุณพ่อได้สนทนากันต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วผมก็จูบริมฝีปากคุณพ่อ กล่าวอำลา และผมก็เดินทางจากไปตามทางของผม

ผมนั่งรถแทกซี่กลับบ้านคืนนั้น แต่ผมอยากจะเดินไปตอนช่วงตึกสุดท้าย
ความยินดีท่วมท้นตัวผม ขณะที่ผมเดินแบบวิ่งเหยาะ ๆ และที่สุดก็วิ่งกลับบ้าน ผมเหวี่ยงแขนเต็มที่ พลางร้องเสียงกรีดกับพระเป็นเจ้า ว่า “ผมรักคุณพ่อ” พระองค์ได้ทรงอำนวยพระพรให้ผมอย่างใหญ่หลวงในค่ำคืนวันนั้น
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสะกิดใจผมอย่างที่สุด มันเหมาะเจาะเป็นพิเศษกับบทอ่านวันนี้
เรื่องนี้อธิบายให้เห็นชัดว่าพระเจ้าได้ทรงให้อภัยอย่างไรอย่างที่พระองค์ได้ทรงให้อภัยแก่กษัตริย์ดาวิดในบทอ่านที่หนึ่ง เรื่องนี้ยังทำให้เราเห็นลักษณะของการให้อภัยที่พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงต่อสตรีในพระวรสาร เป็นการให้อภัยอย่างหมดเปลือก โดยไม่ทรงตั้งเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
เรื่องนี้ยังอธิบายลักษณะของการให้อภัยที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนเรา ให้เราต้องให้อภัยกันและกันเสมอ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราอ่านพระวรสาร เราก็ยิ่งแลเห็นว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงให้อภัยอย่างสิ้นเชิง และทำให้เราต้องให้อภัยซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องเก็บอะไรไว้อีก
พระเยซูเจ้ายังทรงสอนเราอีกบางอย่างด้วย ทรงสอนว่าการที่เราให้อภัยคนอื่นนั้น เป็นเครื่องวัดว่าพระเจ้าได้ทรงให้อภัยเราอย่างไร พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านให้อภัยคนอื่น พระบิดาเจ้าสวรรค์จะทรงให้อภัยท่าน แต่ถ้าท่านไม่ยอมยกโทษให้คนอื่น พระบิดาก็จะไม่ทรงยกบาปให้ท่านด้วย” (มธ 6.14-15)
เราก็มาถึงเรื่องที่สอง เรื่องของมัทธิวทำให้เราได้เข้าใจจิตตารมณ์ของวันพ่อ ยังมีบางสิ่งที่เรามักชอบมองข้าม คือ คุณพ่อของเราเองก็ต้องการการให้อภัยด้วย
เรามักคิดว่าคุณพ่อเราต้องเป็นคนดีบริบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง แต่อันที่จริงท่านก็เหมือนตัวเรา ท่านก็มีความผิดบกพร่องเหมือนกัน บางครั้งท่านก็อาจทำผิดหนัก ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะได้ทำผิด ท่านก็ยังเป็นบุคคลที่น่ารัก บุคคลที่อุตส่าห์เก็บบันทึกของผมเอาไว้หลายปี จดหมายที่สร้างความเจ็บปวดจากลูกที่กำลังรู้สึกปวดร้าว
ถ้าหากว่าคุณพ่อของมัทธิวไม่ได้เก็บจดหมายฉบับนั้นไว้หลายปี มัทธิวคงจะไม่รู้เลยว่า พ่อเขารักเขาจริงเพียงไร
และด้วยการแสดงออกเช่นเดียวกัน ถ้ามัทธิวไม่ได้ยอมให้อภัยคุณพ่อเขา คุณพ่อคงจะไม่เคยได้มีโอกาสพิสูจน์กับมัทธิวว่า เขาได้รักลูกเพียงใด
เรื่องมัทธิวเป็นเรื่องที่ให้คำอธบายทั้งจิตตารมณ์ของวันพ่อได้อย่างงดงาม รวมทั้งจิตตารมณ์แห่งการให้อภัยแผ่ซ่านไปทั่วบทอ่านในวันนี้
เรื่องนี้แสดงให้เราได้เห็นอำนาจมหัศจรรย์แห่งการให้อภัย เป็นอำนาจอันทรงพลังสามารถเยียวยารักษาสิ่งที่เคยแตกหักให้กลับเป็นของดีได้อีก สิ่งที่เคยสกปรกมีมลทิน กลับสะอาดได้อีกครั้ง
นี่คือข่าวดีจากบทอ่านวันนี้ เป็นข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีส่วนร่วมชีวิตกับพระองค์ เป็นข่าวดีที่ทำให้เราได้เฉลิมวันพ่ออย่างมีความหมาย
ให้เราจบวันนี้ด้วยแบบอย่าง คุณพ่อชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งคือ พลเอก ดักลัส แมคอาเทอร์ กล่าวว่า “ผมมีอาชีพเป็นทหาร ผมภูมิใจในอาชีพนี้ แต่ผมภูมิใจยิ่งกว่านั้นอีก และภูมิใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่ผมเป็นคุณพ่อคนหนึ่ง ผมหวังว่าลูกชายผมเมื่อผมตายจากไปแล้ว จะคงจำผมได้มิใช่ที่ผมเคยทำการรบหรือทำสงคราม แต่ที่บ้าน ที่ผมเคยสวดภาวนาประจำวันบทธรรมดา ๆ กับลูกว่า ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ โปรดยกโทษแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น”
บทเทศน์โดย คุณพ่อ อดุลย์ คูรัตน์