สวัสดีครับ พี่น้องนวมานาที่รักทุกคน
หลายครั้ง ผมได้เห็นการตั้งกระทู้ที่ออกแนวบ่นว่า หรือ ตำหนิ หรือ ตั้งข้อสงสัยพระองค์หลายครั้ง
สำหรับตัวผมเอง ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าเรา "ทำตามน้ำพระทัย"
เราคงจะสามารถปล่อยวาง ปล่อยให้เป็นไป และน้อมรับด้วยใจยินดี
อยากรบกวนพี่น้องนิวมานาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยครับ
เราจะทราบได้อย่างไรว่า "อะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า?"
เราทุกคนทราบดีว่า "น้ำพระทัย" ของพระเป็นเจ้า เป็นสิ่งที่คริสตชนต้องยินดีน้อมรับด้วยความยินดี
แม้จะเป็นเรื่องที่เราไม่เข้าใจ หรือ เรื่องที่เราคิดว่าเป็นอดีตอันเลวร้าย หรือ ความไม่มั่นใจในอนาคต
หากเราสามารถยอมรับใน "น้ำพระทัย" ของพระได้ เราจะมองว่านั่นคือ "พระพร" ของพระ
หลายครั้ง เรามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ
เราจะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อเราตัดสินใจไปแล้ว
เรื่องที่เราตัดสินใจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่?
ยกตัวอย่าง เช่น
ถ้าเรามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเลือก
สิ่งที่เราตัดสินใจทำ คือ เราทำตามใจตัวเราเอง
อีกสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่เราไม่เลือกที่จะทำ
แล้วตกลงว่า การตัดสินใจเราสอดคล้องกับพระเป็นเจ้าหรือไม่?
อยากฟังความคิดเห็นพี่น้องทุกคนครับ
จะเอาไว้พัฒนาตัวเองเพื่อผู้อื่นต่อไปครับ
ขอพระเจ้าและแม่พระอวยพรพี่น้องครับ
ขอความคิดเห็น: จงแสวงหาน้ำพระทัยพระเป็นเจ้า
เมื่อคิดว่าตัดสินใจตามมโนธรรมนั้นแล้ว ปรากฏว่าเกิดความผิดพลาดหรือล้มเหลว หรือแม้กระทั่งความเสียหายที่เราไม่ได้เจตนาและคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ก็น่าจะถือว่าเป็นไปตามน้ำพระทัยแล้ว แต่เราอาจต้องคิดด้วยว่าคนอื่นเขาอาจจะไม่ได้พยายามทำตามน้ำพระทัยก็ได้นะครับ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi

เรื่องน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้านั้นจะเข้าใจยากหน่อยสำหรับคนทั่วไปนะแต่พ่อจะพยายามตอบคือ
1. ชีวิตคริสตชนนั้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเสมอ และเขาเชื่อว่าพระเจ้าประทานสิ่งต่างๆให้แก่เรานั้นล้วนเพื่อความดีงามของเราทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าเหมือนพ่อแม่ที่รักลูกเสมอ อันนี้พระเยซูเจ้าเองก็ยืนยันและได้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
2. ชีวิตคนเรานั้นมักจะมีคำถามเสมอว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตนี้ นี่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก เพราะคำว่า ดีนั้นแต่ละคนก็จะตีความและคาดหวังต่างกันออกไป เช่นบางคนจะบอกว่าชีวิตดีคือชีวิตที่สะดวกสบาย ร่ำรวยมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ แต่หลายคนก็บอกว่าชีวิตเช่นนั้นไม่ดีเพราะทำให้เกิดความขี้เกียจไม่อยากทำอะไรและทำอะไรไม่เป็นต้องพึ่งคนอื่นเสมอ ชีวิตที่ดีนั้นคือมีสุขภาพดี มีพออยู่พอกิน รู้จักใช้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ ฯลฯ หรือคนชอบหวย ก็จะบอกว่าการถูกรางวัลนั้นดีเพราะจะมีเงินใช้ แต่อีกคนจะบอกว่าถูกรางวัลแล้วนอนไม่หลับ นอกจากกลัวจะมีคนมาขอให้รำคาญใจแล้วอาจจะกลัวคนมาปล้น เพราะงั้นการถูกรางวัลใช่จะดีเสมอไป สู้ทำมาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพดีกว่า สรุปแล้ว คำว่าดีนั้นตีความต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละคน
3. นอกจากคนที่มองว่าความดีนั้นเป็นเรื่องของปัจเจคบุคคลแล้ว ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย เพราะเขาถือว่า ความดีสากลที่เหมาะสำหรับทุกคนน่าจะมี แต่ความดีตัวนั้นมันอยู่ที่ไหนในเมื่อไม่ใช่อยู่ในตัวปัจเจคบุคคลหรืออยู่ในตัวคนเรา เขาก็ตอบว่า ความดีนั้นน่าจะอยู่นอกตัวคนเรา ดังนั้นความดีสากลจึงอยู่นอกตัวเรา แต่นอกตัวเรานั้นมันอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า อยู่ในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าเท่านั้นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดและดีสากลให้กับมนุษย์ได้ เหตุนี้เองเขาจึงถือว่า อะไรก็ตามที่มาจากพระเจ้าย่อมดีที่สุดแม้บางครั้งมันอาจจะขัดกับความคาดหวังของคนๆนั้นก็ตาม เพราะถือว่าพระเจ้ามองเห็นได้ไกลกว่าตัวเราเองมากนัก ตัวอย่างเช่น คนที่กำลังมีความสุขกับอาชีพการทำงาน กำลังเจริญก้าวหน้า จู่ๆก็ค้นพบว่าในตัวเขานั้นมะเร็งกำลังกำเริบ เขาทำใจไม่ได้ ต้องรีบไปรักษา ต้องเสียเงินทอง ต้องเสียงาน ฯลฯ ถ้าหากคนที่ใจไม่แข็งพอก็จะมองว่า เขาซวย แต่คนที่มีสติก็จะมองไปว่า การที่เขาป่วยและต้องลาออกจากหน้าที่นั้นเขาได้มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาทบทวนความหมายของชีวิตซึ่งขณะที่ทำงานนั้นเขาทำไม่ได้ ฯลฯ นี่คือการมองแบบคนทั่วไปที่มองในด้านดี
4. เอาล่ะทีนี้มาถึงคนอีกระดับหนึ่งคือคนที่มองทุกอย่างสัมพันธ์กับพระเจ้าล่ะ คนพวกนี้จะถือว่า ความดีนั้นมีอยู่ในพระเจ้า จะดีจะร้าย พระเจ้าต้องมาเกี่ยวข้องเสมอและอะไรก็ตามที่มาจากพระองค์แล้ว แม้แรกๆจะมองว่าไมดี แต่ถ้ามองลึกๆแล้วจะพบว่าดีที่สุดสำหรับเขา เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นทางที่งายที่สุดคือ มอบตัวเองไว้ในความดูแลของพระเจ้า มอบน้ำใจตัวเองไว้ในพระเจ้า และถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพระเจ้ารับทราบ เมื่อพระเจ้ารับทราบแล้วเขาก็ยอมรับและทำใจให้ยอมรับ ตรงนี้เองคือที่มาของคำว่า น้ำพระทัยพระเจ้า คือเขาถือว่าชีวิตของเขาวางไว้ให้พระเจ้าจัดการทุกอย่างแล้ว จะดีจะร้ายอย่างไรเขาก็ยอมรับ ถ้าสิ่งดีเกิดขึ้นกับตัวเขาตามคาดหวัง เขาก็ขอบคุณพระ ถ้าสิ่งร้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เขาก็ถือว่าพระรู้เห็นแล้วและจะหาทางช่วยเขาอีกแรงด้วย คำว่าน้ำพระทัยพระเจ้านั้นพระเยซูเจ้าก็สอนเราด้วย พระองค์สอนเราให้สวดว่าให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จไปในตัวเรา ในบทข้าแต่พระบิดานั่นเอง สรุปในข้อนี้ คนที่จะเข้าถึงระดับนี้ได้ต้องมีพื้นฐานความเชื่อในพระเจ้าสูงถึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าพระเจ้าทรงทราบและรู้และปล่อยให้เกิดขึ้น เพื่อผลดีของเราเอง
5) คนอีกระดับที่สูงขึ้นมาขั้นสุดท้าย คือ คนที่ให้ชีวิตของเขาเป็นการแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าโดยตรง พวกนี้คือพวกนักพรต นักบวชและพวกที่มีชีวิตฝ่ายจิตที่สูงขึ้นมา ปรัชญาของพวกนี้คืออะไร? พวกนี้เชื่อว่า แม้แต่ตัวเอง น้ำใจตัวเอง การตัดสินใจของตัวเองนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะมันมักจะมีพื้นฐานบนความลำเอียงและความเห็นแก่ตัว วิธีที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวเองก็คือ ยกน้ำใจหรือเจตจำนงของตัวเองให้พระเจ้าจัดการแทน แต่พระเจ้าอยู่ไหนล่ะ? ก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ อธิการ ฯลฯ นอกนั้น วิธีที่จะไม่คืนความตั้งใจหรือเบี้ยวต่อความตั้งใจนั้น เขาต้องทำการปฏิญาณสาบานตน เหตุนี้พวกนักบวชจึงมีพิธีปฏิญาณตนต่อหน้าผู้ใหญ่ ว่าเขาจะไม่เดินตามน้ำใจตัวเอง แต่ยกน้ำใจให้พระเจ้าผ่านทางผู้ใหญ่ของคณะ โดยคาดหวังว่าทุกสิ่งที่มาจากอธิการเจ้าคณะคือมาจากพระเจ้า และเมื่อมาจากพระเจ้าแล้ว เขายอมรับได้และถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว ศัตรูของคนพวกนี้คือ ตัวเขาเอง เขาถือว่าการตัดน้ำใจของตนเองและมอบให้พระเจ้านั้นคือวีรกรรมขั้นสูงสุดแล้ว เหมือนพระเยซูเจ้าบอกก่อนตรึงกางเขนกับพระบิดาของพระองค์ว่า ..ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้กาลิกซ์(ความทรมาน)นี้ผ่านไปเถิด...แต่ก็ขออย่าให้เป็นไปตามน้ำใจของลูกเลย แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด.. และที่สุดน้ำพระทัยของพระบิดาคือ พระเยซูเจ้าต้องตายบนกางเขน... คนที่ไม่มีพื้นฐานความเชื่อจะมองว่า พระบิดาโหด ไร้ชีวิตจิตใจ ฯลฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว นอกจากพระเยซูเจ้าจะสามารถผ่านความตายกลับคืนชีพได้แล้ว มนุษย์ยังได้รับผลดีจากความตายของพระองค์ด้วย ดังนี้เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในความเจ็บปวดก็ใช่จะเป็นการสาปแช่งเสมอไป (ตรงนี้เองที่ชาวคริสต์มองเรื่องความทุกข์ต่างจากชาวพุทธที่ต้องการหนีจากทุกข์)
สรุป...คำว่าน้ำพระทัยพระเจ้าคือ สิ่งที่เราเชื่อว่าทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าล้วนดีต่อเราทั้งสิ้น แม้กระทั่งสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบ เช่น ความเจ็บปวด ความทรมาน ความยากจน ความเจ็บป่วย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่ชอบ ถ้ามาจากพระเจ้าที่เขาเชื่อแล้ว เขาถือว่าดีที่สุดสำหรับเขา พูดอีกนัยหนึ่งคือ ดีที่สุดสำหรับเขานั้นต้องไม่ใช่มาจากตัวเองเป็นผู้ตัดสินแต่มาจากพระเจ้าตัดสิน คนพวกนี้ล่ะที่คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้านั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่ง
ปล. คนที่ไม่มีพื้นฐานชีวิตฝ่ายจิตสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้าก็จะกลายเป็นสิ่งที่รับไม่ได้แน่นอน แถมจะมองว่าเหลวไหลด้วย ดังนั้นพ่อจึงไม่แนะนำให้คนใช้คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้าพร่ำเพรื่อ โดยที่ไม่มีพื้นฐานความเชื่อในพระเจ้า แต่ถ้าถามว่าแล้วพระเจ้ามีบทบาทในคนที่ไม่เชื่อพระองค์ด้วยหรือไม่ เช่น คนพุทธ คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า คำถามนี้ตอบยาก แต่ส่วนตัวพ่อเชื่อว่าแม้ในคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าพระองค์ก็มีความรักให้เขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นเชื่อว่าพระเจ้าน่าจะทราบ แต่เจ้าตัวไม่ทราบก็เป็นได้ เช่นนี้เขาจึงจัดการกับปัญหาแบบไม่มีภาพลักษณ์ของพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องเลยได้ แต่สำหรับพ่อแล้ว พ่อคิดว่า มีพระเจ้ามาช่วยแก้ไขและช่วยอยู่ในใจนั้นมันอบอุ่นกว่าคนที่แก้ปัญหาเองไม่มีพระเจ้าคอยหนุนใจเยอะเลยล่ะ
พ่อไพบูลย์
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยที่ดีแก่คริสตชนเสมอ แต่น้ำพระทัยดีของพระเจ้าอาจจะไม่ถูกใจเรา
เพราะเรามักจะวัด ที่เนื้อหนัง มากกว่าจะวัดที่จิตวิญญาณ
เพราะเรามักจะวัด ที่เนื้อหนัง มากกว่าจะวัดที่จิตวิญญาณ