ชายโสด และนักบวชช่วยกันตอบหน่อยครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
สวดภาวนาครับ และพยายามอย่างเต็มที่
คุณจะไม่ได้คำตอบหรอกครับ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราและพระเจ้าครับ รู้เรื่องของคนอื่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเราดีขึ้นครับ
ไม่โสดแล้วครับ แต่เคยโสดและเข้าใจหัวอกผู้ชายด้วยกันเป็นอย่างดี
ส่วนตัวผม มาตรฐานที่ตั้งไว้คือ ต้องอดให้ได้เลยครับ
เหตุผลที่ไม่อยากให้ตั้งว่านานเท่าใด เพราะระยะเวลาคงไม่สำคัญครับ เหมือนแค่ยืดเวลาทำบาป
คือถ้าเราตั้งไว้ 1 เดือน พออดทนได้ครบปุ๊บ ปีศาจจะโจมตีเราเลย ว่า "ตามมาตรฐานแล้วนี่ เอาเลยทำได้เลย" ประมาณนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ขอแนะนำวิธีต่อสู้กับมันนะครับ
1) หลีกเลี่ยงโอกาสบาป โดยการอย่าไปดูหนังอย่างว่า
2) สวดภาวนาทุกวัน และสวดสายประคำทุกวัน
3) พลีกรรม เช่น อดอาหาร
4) เมื่อมีความรู้สึก ก็หาอะไรอย่างอื่นทำ เช่น ไปออกกำลังกาย
5) ร้องเรียกหา พระเยซูเจ้าและพระแม่
สู้ให้ถึงที่สุดครับ แต่ถ้าเกิดพลาดตกอยู่ในบาป ก็อย่าหนีไปจากพระ ให้เป็นทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริงแก้บาปอย่างดีและตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก ยังไงเราก็เป็นคนบาป อ่อนแอ ตกในบาปได้เสมอ ต้องวอนขอพละกำลังจากพระเป็นเจ้าช่วยครับ
(เข้าใจครับว่ามันยากจริงๆ สำหรับมนุษย์ตัวผู้อย่างเรา หรือไม่ก็รีบหาคู่และรับศีลแต่งงานให้ถูกต้องเลยครับ )
ขอพระเป็นเจ้าประทานพระหรรษทานให้เอาชนะบาปได้นะครับ
ส่วนตัวผม มาตรฐานที่ตั้งไว้คือ ต้องอดให้ได้เลยครับ
เหตุผลที่ไม่อยากให้ตั้งว่านานเท่าใด เพราะระยะเวลาคงไม่สำคัญครับ เหมือนแค่ยืดเวลาทำบาป
คือถ้าเราตั้งไว้ 1 เดือน พออดทนได้ครบปุ๊บ ปีศาจจะโจมตีเราเลย ว่า "ตามมาตรฐานแล้วนี่ เอาเลยทำได้เลย" ประมาณนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ขอแนะนำวิธีต่อสู้กับมันนะครับ
1) หลีกเลี่ยงโอกาสบาป โดยการอย่าไปดูหนังอย่างว่า
2) สวดภาวนาทุกวัน และสวดสายประคำทุกวัน
3) พลีกรรม เช่น อดอาหาร
4) เมื่อมีความรู้สึก ก็หาอะไรอย่างอื่นทำ เช่น ไปออกกำลังกาย
5) ร้องเรียกหา พระเยซูเจ้าและพระแม่
สู้ให้ถึงที่สุดครับ แต่ถ้าเกิดพลาดตกอยู่ในบาป ก็อย่าหนีไปจากพระ ให้เป็นทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริงแก้บาปอย่างดีและตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก ยังไงเราก็เป็นคนบาป อ่อนแอ ตกในบาปได้เสมอ ต้องวอนขอพละกำลังจากพระเป็นเจ้าช่วยครับ
(เข้าใจครับว่ามันยากจริงๆ สำหรับมนุษย์ตัวผู้อย่างเรา หรือไม่ก็รีบหาคู่และรับศีลแต่งงานให้ถูกต้องเลยครับ )
ขอพระเป็นเจ้าประทานพระหรรษทานให้เอาชนะบาปได้นะครับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ไม่ใช่ชายโสด แต่มาเห็นด้วยกับข้อความพี่ Cho ค่ะ
คนอื่นยังได้แค่นี้ เราก็ทนแค่นี้แล้วกัน
นั่นสิ .... ถ้ามีมาตราฐานแล้ว อาจจะเป็นดาบสองคมให้เราคิดว่าคือถ้าเราตั้งไว้ 1 เดือน พออดทนได้ครบปุ๊บ ปีศาจจะโจมตีเราเลย ว่า "ตามมาตรฐานแล้วนี่ เอาเลยทำได้เลย" ประมาณนี้ครับ
คนอื่นยังได้แค่นี้ เราก็ทนแค่นี้แล้วกัน
-
- โพสต์: 407
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 28, 2010 12:03 am
นี่เป็นบาปที่ยากมากสำหรับผม แต่ผมก็พยายาม ให้นานที่สุดนั้นแหละครับ
พ่อที่แก้บาปบอกว่า เมื่อขาดการสวดภาวนา เราก็จะตกในบาปได้ง่าย
ผมว่าก็จริงนะ เพราะผมเนี้ย นิสัยแย่มากๆก็ตรงไม่ค่อยสวดภาวนานี้ละ
ผมบ่นกะตัวเองว่า ทำไมต้องตกในบาป แต่ผมก็ยังแพ้มันอยู่ดี
ผมอ่อนแอจังกับบาปนี้ แต่ตอนนี้ผมสู้กับมันได้นานมากเลยแฮะ
พยายามไม่ว่าง ไม่เปิดโอกาสให้ตกบาป แล้วมองกางเขนบ่อยๆ ช่วยได้นะผมว่า
พ่อที่แก้บาปบอกว่า เมื่อขาดการสวดภาวนา เราก็จะตกในบาปได้ง่าย
ผมว่าก็จริงนะ เพราะผมเนี้ย นิสัยแย่มากๆก็ตรงไม่ค่อยสวดภาวนานี้ละ
ผมบ่นกะตัวเองว่า ทำไมต้องตกในบาป แต่ผมก็ยังแพ้มันอยู่ดี
ผมอ่อนแอจังกับบาปนี้ แต่ตอนนี้ผมสู้กับมันได้นานมากเลยแฮะ
พยายามไม่ว่าง ไม่เปิดโอกาสให้ตกบาป แล้วมองกางเขนบ่อยๆ ช่วยได้นะผมว่า
ผมว่า มาตราฐานขึ้นอยู่กับตัวท่าน แต่ละคนครับ เพียงเราอดทนให้นานที่สุด ถ้าคิดจะทำเมื่อไหร่ก็ไปหาอย่างอื่นทำ ออกกำลัง อาบน้ำเย็นช่วยได้เยอะเลย ให้ตั้งเป้าว่าครั้งหลังต้องนานกว่าครั้งแรกก็พอ...หากไปกำหนดวัน....มิฉะนั้นอาจทำให้เราหมกมุ่น รอเวลาจะปฎิบัติการก็ได้ ....
สำหรับตัวผมเอง (คนอื่นอาจจะไม่อย่างงี้นะ )
อย่าคิดว่าต้อง"อดทนเท่าไหร่" (ประมาณเดือนนึง -3เดือแ)
เพราะนั่นเท่ากับคุณตั้งขีดจำกัดของคุณไว้ และเมื่อมันเกินขีดจำกัดมันก็กลับสู่ปัญหาเดิม
ที่จริง การที่เรามีเหตุอันเกิดบาปนี้ แสดงว่าเรามี "ศักยภาพ"
เพียงแต่เรา"หมกมุ่น"เรื่องเพศมากไป จึงปลดปล่อยศักยภาพผิดวิธี
ก็อย่างที่คนอื่นบอกๆไปนั่นละครับ
รำพึงภาวนา กับตัวเองว่า จะรับใช้พระเจ้า หรือ ช่วยเหลือคนอื่นๆอย่างไรได้บ้าง
ถ้าเราหมกมุ่นเรื่องดีๆ เราก็ไม่มีเวลามาหมกมุ่นเรื่องไม่ดีหรอกครับ
อย่าคิดว่าต้อง"อดทนเท่าไหร่" (ประมาณเดือนนึง -3เดือแ)
เพราะนั่นเท่ากับคุณตั้งขีดจำกัดของคุณไว้ และเมื่อมันเกินขีดจำกัดมันก็กลับสู่ปัญหาเดิม
ที่จริง การที่เรามีเหตุอันเกิดบาปนี้ แสดงว่าเรามี "ศักยภาพ"
เพียงแต่เรา"หมกมุ่น"เรื่องเพศมากไป จึงปลดปล่อยศักยภาพผิดวิธี
ก็อย่างที่คนอื่นบอกๆไปนั่นละครับ
รำพึงภาวนา กับตัวเองว่า จะรับใช้พระเจ้า หรือ ช่วยเหลือคนอื่นๆอย่างไรได้บ้าง
ถ้าเราหมกมุ่นเรื่องดีๆ เราก็ไม่มีเวลามาหมกมุ่นเรื่องไม่ดีหรอกครับ
ไม่มีมาตรฐานมานำเสนอ แต่มีข้อเท็จจริงที่ว่า พออายุมากขึ้นมันค่อยๆน้อยลงเอง
วัยรุ่นเป็นวัยเจริญพันธุ์ โฮร์โมนจะกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ให้พยายามแพร่พันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่การสนองตอบต่อธรรมชาติทุกอย่าง เท่ากับเป็นทาสของธรรมชาติ เนื้อหนัง และโลก ซึ่งคนของพระเจ้าถูกเรียกให้มีชีวิตใหม่ที่อยู่เหนืออำนาจของเนื้อหนังและธรรมชาติ คือชีวิตใหม่ที่มีพระคริสตเจ้าสวมทับ
รม 6:12-14 บาปต้องไม่เป็นนาย
(12)ดังนั้น อย่าให้บาปครอบงำร่างกายที่ตายได้ของท่าน จนท่านต้องยอมตามราคะตัณหาของร่างกาย (13)อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดให้แก่บาปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตายมามีชีวิตใหม่ จงถวายทุกส่วนของร่างกายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกอบความชอบธรรม (14)บาปจะไม่เป็นนายเหนือท่านอีก เพราะท่านไม่อยู่ใต้อำนาจธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทาน
รม 6:15-19 คริสตชนเป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป
(15)จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาปได้เพราะเราไม่อยู่ใต้อำนาจบทบัญญัติ แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทานกระนั้นหรือ หามิได้ (16)ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านมอบตัวเป็นทาสเชื่อฟังนายคนหนึ่ง ท่านก็เป็นทาสของนายคนที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่านายคนนั้นจะเป็นบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือจะเป็นความเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม (17)ขอบพระคุณพระเจ้าที่ท่านเคยเป็นทาสของบาป แต่ท่านเต็มใจเชื่อฟังพระธรรมคำสอนที่ท่านได้รับมา (18)และเมื่อเป็นไทยพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็มาเป็นทาสรับใช้ความชอบธรรม (19)ข้าพเจ้าขอพูดตามวิสัยมนุษย์เพราะท่านยังเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อก่อนนี้ ท่านได้มอบร่างกายเป็นทาสของความโสมมและความอธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกฉันใด บัดนี้ ท่านจงมอบร่างกายให้เป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ฉันนั้นเถิด
รม 6:20-23 ผลของบาปและผลของความชอบธรรม
(20)เมื่อท่านยังเป็นทาสของบาปอยู่ ท่านมิได้อยู่ในอำนาจของความชอบธรรมเลย (21)และเวลานั้น ท่านได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการทำความชั่วเช่นนั้น ซึ่งบัดนี้ทำให้ท่านต้องอับอาย จุดจบของกิจการเหล่านั้นคือความตาย (22)แต่บัดนี้ท่านได้รับอิสระจากบาปมาเป็นทาสรับใช้พระเจ้าแล้ว ท่านได้รับประโยชน์อันนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายก็คือชีวิตนิรันดร (23)เพราะ ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
-----ดังนั้น เมื่อพันธสัญญาใหม่ของพระเยซูคริสตเข้ามา ปัญหาของบาปจึงไม่ใช่เรื่องของการทำผิดกฎ และความชอบธรรมไม่ใช่เรื่องการทำตามกฎให้ได้
แต่ได้กลับกลายเป็นจิตตารมณ์ในการ "พยายาม" และ"ไม่ยอมพ่ายแพ้" ดังนั้นประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ล้มไปกี่ครั้ง แต่อยู่ที่ทุกครั้งที่ล้ม ได้กลับใจใหม่ และลุกขึ้นมาในพระเยซูคริสต์หรือไม่
เรามีเรื่องที่ต้องกลับใจทุกวัน เพราะมนุษย์นั้นล้มลุกคลุกคลาน ไม่ใช่เดินอย่างสง่าผ่าเผยจนตลอดชีวิตได้ แม้แต่พระสันตะปาปายังสารภาพบาป นักบุญทุกท่านก็ยังรับศีลอภัยบาป และสารภาพบาป ดังนั้น มนุษย์คือคนบาปและเราต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป ดังนั้นถึงจะต้องคลานไป ก็ต้องพยายามคลานให้ถึงเส้นชัยให้ได้
รม 12:1-2 คารวกิจด้วยจิตใจ
12 (1)พี่น้อง เพราะเห็นแก่พระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า นี่เป็นคารวกิจด้วยจิตใจของท่าน (2)อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี และสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์
วัยรุ่นเป็นวัยเจริญพันธุ์ โฮร์โมนจะกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ให้พยายามแพร่พันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่การสนองตอบต่อธรรมชาติทุกอย่าง เท่ากับเป็นทาสของธรรมชาติ เนื้อหนัง และโลก ซึ่งคนของพระเจ้าถูกเรียกให้มีชีวิตใหม่ที่อยู่เหนืออำนาจของเนื้อหนังและธรรมชาติ คือชีวิตใหม่ที่มีพระคริสตเจ้าสวมทับ
รม 6:12-14 บาปต้องไม่เป็นนาย
(12)ดังนั้น อย่าให้บาปครอบงำร่างกายที่ตายได้ของท่าน จนท่านต้องยอมตามราคะตัณหาของร่างกาย (13)อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดให้แก่บาปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตายมามีชีวิตใหม่ จงถวายทุกส่วนของร่างกายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกอบความชอบธรรม (14)บาปจะไม่เป็นนายเหนือท่านอีก เพราะท่านไม่อยู่ใต้อำนาจธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทาน
รม 6:15-19 คริสตชนเป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป
(15)จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาปได้เพราะเราไม่อยู่ใต้อำนาจบทบัญญัติ แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทานกระนั้นหรือ หามิได้ (16)ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านมอบตัวเป็นทาสเชื่อฟังนายคนหนึ่ง ท่านก็เป็นทาสของนายคนที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่านายคนนั้นจะเป็นบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือจะเป็นความเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม (17)ขอบพระคุณพระเจ้าที่ท่านเคยเป็นทาสของบาป แต่ท่านเต็มใจเชื่อฟังพระธรรมคำสอนที่ท่านได้รับมา (18)และเมื่อเป็นไทยพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็มาเป็นทาสรับใช้ความชอบธรรม (19)ข้าพเจ้าขอพูดตามวิสัยมนุษย์เพราะท่านยังเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อก่อนนี้ ท่านได้มอบร่างกายเป็นทาสของความโสมมและความอธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกฉันใด บัดนี้ ท่านจงมอบร่างกายให้เป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ฉันนั้นเถิด
รม 6:20-23 ผลของบาปและผลของความชอบธรรม
(20)เมื่อท่านยังเป็นทาสของบาปอยู่ ท่านมิได้อยู่ในอำนาจของความชอบธรรมเลย (21)และเวลานั้น ท่านได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการทำความชั่วเช่นนั้น ซึ่งบัดนี้ทำให้ท่านต้องอับอาย จุดจบของกิจการเหล่านั้นคือความตาย (22)แต่บัดนี้ท่านได้รับอิสระจากบาปมาเป็นทาสรับใช้พระเจ้าแล้ว ท่านได้รับประโยชน์อันนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายก็คือชีวิตนิรันดร (23)เพราะ ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
-----ดังนั้น เมื่อพันธสัญญาใหม่ของพระเยซูคริสตเข้ามา ปัญหาของบาปจึงไม่ใช่เรื่องของการทำผิดกฎ และความชอบธรรมไม่ใช่เรื่องการทำตามกฎให้ได้
แต่ได้กลับกลายเป็นจิตตารมณ์ในการ "พยายาม" และ"ไม่ยอมพ่ายแพ้" ดังนั้นประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ล้มไปกี่ครั้ง แต่อยู่ที่ทุกครั้งที่ล้ม ได้กลับใจใหม่ และลุกขึ้นมาในพระเยซูคริสต์หรือไม่
เรามีเรื่องที่ต้องกลับใจทุกวัน เพราะมนุษย์นั้นล้มลุกคลุกคลาน ไม่ใช่เดินอย่างสง่าผ่าเผยจนตลอดชีวิตได้ แม้แต่พระสันตะปาปายังสารภาพบาป นักบุญทุกท่านก็ยังรับศีลอภัยบาป และสารภาพบาป ดังนั้น มนุษย์คือคนบาปและเราต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป ดังนั้นถึงจะต้องคลานไป ก็ต้องพยายามคลานให้ถึงเส้นชัยให้ได้
รม 12:1-2 คารวกิจด้วยจิตใจ
12 (1)พี่น้อง เพราะเห็นแก่พระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า นี่เป็นคารวกิจด้วยจิตใจของท่าน (2)อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี และสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์
- AgoNyVirtue
- โพสต์: 9
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 17, 2010 10:27 am
ผมอายุก็เกิน 25 แล้ว เ้คยมีสิ่งที่คนเรียกว่า แฟน มาบ้าง แม้มีโอกาสอยู่กับเขาสองต่อสอง มีโอกาสอย่างนั้น ซึ่งสามารถกระทำได้ร้อยเปอร์เซนต์ด้วย แต่ผมไม่เคยอะไรกับใครเลย แม้เราเป็นผู้ชายแต่ผมไม่เคย แม้จะมีโอกาสมาก ต่างๆนาๆก็ตาม เพราะว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ผมปฏิบัติตามพระองค์สอน ซึ่งทำไมต้องปฏิบัติอย่างที่พระองค์สอน หลายๆคนคงจะรู้นะ มันเกี่ยวกับ คุณธรรม ศีลธรรม และความรัก
แนะนำ นิดนึงนะ การพิสูจน์ความรัก ไม่ใช่การที่จะต้องมอบร่างกาย กระทำอย่างนั้น นะครับ
คุณมีวิธีบอกคนที่คุณรักอย่างสุดหัวใจได้ โดยทำให้เห็นว่าคุณรักเขาจริงๆ รักที่ไม่มีวันจบสิ้น รักเดียว
ไม่ใช่อยากจะทำอย่างนั้น ตามอารมณ์ความต้องการของตัีวเอง
แนะนำ นิดนึงนะ การพิสูจน์ความรัก ไม่ใช่การที่จะต้องมอบร่างกาย กระทำอย่างนั้น นะครับ
คุณมีวิธีบอกคนที่คุณรักอย่างสุดหัวใจได้ โดยทำให้เห็นว่าคุณรักเขาจริงๆ รักที่ไม่มีวันจบสิ้น รักเดียว
ไม่ใช่อยากจะทำอย่างนั้น ตามอารมณ์ความต้องการของตัีวเอง
-
- โพสต์: 48
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 17, 2010 5:06 pm
พ่อบอสโกบอกว่า Doing nothing is doing ill การไม่ทำอะไรเลย นั่นคือกำลังทำบาป พ่อบอสโกอธิบายว่า พ่ออยากเห็นเด็กซุกซน ทำสิ่งของแตก ดีกว่าเห็นเด็กอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยเพราะนั่นคือโอกาสของบาปกำลังเข้ามาครอบงำ สรุปง่ายๆก็คือต้องหลีกหนีโอกาสทำบาปครับ นั่นคือการปล่อยตัวให้ว่างเกินไป