กรุงเทพธุรกิจ
Life Style : Society
วันที่ 21 มกราคม 2554 01:00
โดย : ดุลยปวีณ รณฑ์แสง
อาณาจักรธุรกิจฉากกั้นน้ำอาบน้ำและกระจก..ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งหลังวิกฤติ
งานวาดภาพเชิงศาสนาเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยจรรโลงใจ
จากอดีตผู้บริหารบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กลายมาเป็นผู้ต้องหาเคยคิดฆ่าตัวตายเคยถูกสามีทิ้ง..แต่ผ่านพ้นทุกวิกฤติด้วยการ"ให้อภัย"
คริสต์มาสอันหนาวเหน็บปี 2532 คืนนั้นหากอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่ง หนึ่งของเมืองไทยตัดสินใจปลิดชีวิตในต่างแดน หนีเคราะห์กรรมที่ถูกกล่าวหาคดีอาญาทุจริต 196 ล้าน ก็คงไม่มีวันนี้ของผู้หญิงที่ชื่อ ศรินทร เมธีวัชรานนท์
อดีตนักการเงินหญิงรุ่นบุกเบิกของเมืองไทยที่ผ่านพ้นวิกฤติฉกาจฉกรรจ์ในชีวิตด้วยการ “ให้อภัย”
14 ปีที่ต้องหลบหนีและกลับมาต่อสู้หาหลักฐานพิสูจน์ตัวเองจนสำเร็จ และอีก 6 ปีกับการเยียวยาบาดแผลจิตใจจนหายสนิท หลังจากช่วงชีวิตที่มีค่าที่สุดในวัย 31-51 ปีถูกขโมยไปถึง 20 ปีเต็ม ศรินทรตื่นจากฝันร้ายและบุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่อีกครั้ง จนกลายมาเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน เจ้าของธุรกิจกระจกและฉากกั้นอาบน้ำรายใหญ่ของเมืองไทยที่เตรียมเข้าจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้า
“จากชีวิตที่สุขสบายเพียบพร้อมทุกอย่าง ถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน แต่วันหนึ่งเหมือนถูกปอกเปลือกแล้วโยนไปในกระทะน้ำมันร้อนๆ”เจ้าตัวเปรียบเปรยชีวิตที่พลิกผันไว้เช่นนั้น
ตั้งแต่เด็กจนโตเส้นทางชีวิตของเธอถูกปูด้วยทองคำ เรียนจบมัธยมจากรั้วมาแตร์เดอีก็ได้ทุนบินไปเรียนต่อปริญญาตรีที่สหรัฐ อเมริกา คว้าบัณฑิตเกียรตินิยมกลับเมืองไทยด้วยวัย 20
เริ่มต้นทำงานแรกเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกของบริษัททิสโก้ในปี 2512 ฉายแววโลดแล่นในยุทธจักรการเงินจนเข้าตา ดร.สุขุม นวพันธ์ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจด้วยวัยเพียง 25 ปี และกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทด้วยวัย 30 ปีเศษต่อจากดร.สุขุม
มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า“ความสำเร็จที่ได้มาในเยาว์วัยมักจะอยู่ได้ ไม่นาน”สำหรับศรินทรแล้วสุภาษิตนี้จริงเสียยิ่งกว่าจริง
ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ชีวิตก็เริ่มพบจุดหักเห ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นพังจากวิกฤตการณ์“ราชาเงินทุน”จนประชาชนแห่มาถอนเงิน คืนเพราะขาดความเชื่อมั่น สถานการณ์บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในตอนนั้นอยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด มือประสานสิบทิศกับการแก้ปัญหาจนผ่านพ้นวิกฤติ ก่อนจะลงเอยด้วยการขายหุ้นทั้งหมดคืนให้กับธนาคารทหารไทย
แต่ไม่มีวิกฤติไหนในชีวิตที่จะสาหัสเท่ากับเคราะห์กรรมที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อ โกงและยักยอกเงินบริษัท 196 ล้านบาท จนต้องระหกระเหินหนีไปอยู่ต่างแดน ขณะที่ลูกๆ 4 คนยังเล็ก คนสุดท้องเพิ่งจะแค่ขวบเดียว
“ตอนนั้นถึงได้เข้าใจคำว่าหนีตามระเบียบ ต้องหนีไปจนหมดอายุความอาญา 10 ปีถึงกลับมาต่อสู้
คดีต่ออีก 4 ปี เพราะโดนฟ้องคดีแพ่งด้วย”
ชีวิตที่ต้องหนีมาอยู่ลำพังในห้องเล็กๆ เป็นซำเหมาพเนจรในต่างแดนมีครบทุกรสชาติ ทั้งลำบาก ทั้งเหงา โดดเดี่ยว ท้อแท้ และเคยสิ้นหวังถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาส
“คืนนั้นเหงามาก เขียนจดหมายยาว 5 หน้าส่งแฟกซ์มาให้สามีกับลูกๆ ว่าคิดถึงแค่ไหนลำบากยังไง แฟกซ์ไปได้ 3 แผ่นกระดาษติด เลยโทรไปใหม่ว่ายังมีอีก 2 แผ่น แต่เขาพูดกลับมาห้วนๆ ว่าจะส่งมาทำไมเยอะแยะ เปลืองเงิน”
วินาทีนั้นทั้งน้อยใจเสียใจไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากจะฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่ได้ตาย ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนที่ใส่ร้ายเรา ลูกน้องเก่าที่หักหลักไปเป็นพยานเท็จ พอหมดหนทางไม่รู้จะหันไปทางไหนจึงทรุดตัวตะโกนสวดขอพระเจ้าตามความเชื่อ ศาสนาคริสต์
“สวดๆๆๆ ขอพระ ไปๆ มาเหมือนกับมีสติขึ้นมาได้ว่า ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราต้องให้อภัยเพราะถ้าไม่ให้อภัยแล้วใจมันร้อน มันแค้น แต่ทำยังไงก็รู้สึกให้อภัยไม่ได้สักที เลยสวดอีกวอนขอพระเจ้าให้ช่วยให้เราสามารถให้อภัยศัตรูที่ทำร้ายเรา ทำเช่นนั้นได้ในใจมันรู้สึกเหมือนมีอัศจรรย์ จากไฟที่เผากลางทะเลทรายในใจเราจนร้อนรุ่ม ทันทีที่ให้อภัยได้มันเหมือนมีพายุหิมะพัดผ่าน จนเหลือแต่ความสงบเยือกเย็น”
ศรินทร เลือกที่จะมีชีวิตต่อไปเพื่อกลับมาต่อสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ หลังจากหายไป 10 ปีกลับมาเมืองไทย พยายามติดต่อขอเข้าพบคนนั้นคนนี้ที่บริษัท
“เป็น 4 ปีที่ทุกข์ทรมานมาก จากครั้งหนึ่งที่เราเคยเป็นถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต้องบากหน้าไปรอขอเข้าพบครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ไม่มีใครยอมให้พบสักคน รู้สึกตัวเองไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนนที่มีแต่คนรังเกียจและเดินหนี”
แต่เธอไม่ละความพยายาม เพียรไปเฝ้าหน้าห้องผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายอยู่ 4 ปี ถึงขนาดยกมือไหว้ขอโอกาสได้เข้าไปค้นเอกสารสำคัญมายืนยัน จนกระทั่งเอกสารที่เคยคิดว่าได้ถูกทำลายไปหมดแล้วสามารถค้นเจอครบทั้งหมด อย่างไม่น่าเชื่อ
กว่าข้อเท็จจริงจะกระจ่าง และบริษัทที่กล่าวหาจะขอยุติคดีด้วยการถอนฟ้อง เธอก็ได้รับความทุกข์ทรมานในชีวิตไปแล้ว 14 ปี แทนที่จะฟ้องกลับเพื่อชดเชย เจ้าตัวเลือกที่จะทำสิ่งที่ยากที่สุดนั่นคือการอโหสิและให้อภัย เพราะยึดคำมั่นที่เคยให้กับพระเจ้าไว้ในคืนคริสต์มาส
หลังจากคดีสิ้นสุดลงแบบเงียบๆ แต่ความทุกข์ในใจไม่ได้ปิดฉาก ศรินทรต้องใช้เวลาอีก 6 ปีในการเยียวยาบาดแผล ทุกครั้งที่หวนนึกถึงเพื่อนฝูงผู้บริหารในยุคเดียวกันเจริญเติบโตก้าวหน้าไป ถึงไหนๆ แต่ตัวเธอไม่ต่างอะไรกับสตรีที่โลกลืม
ร้ายไปกว่านั้นคือสายตาจากผู้คนในสังคมที่พิพากษาตัดสินชีวิตเธอไปแล้วเรียบ ร้อยว่าเป็นคนทุจริตฉ้อฉล..ตราหน้าว่าเป็นพวกล้มบนฟูก กลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ เพื่อนฝูงที่เคยรู้จักพากันตีจาก
“ดิฉันใช้เวลา 6 ปีเยียวยาตัวเอง โดยใช้หลักธรรมะเข้ามารักษาตัวเอง อ่านหลักธรรมพระคัมภีร์ และเลือกที่จะมีชีวิตอยู่บนความจริง หากใครจะนินทาว่าร้ายหรือมองเราด้วยสายตาดูหมิ่นนั่นก็เป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของดิฉัน ตัวเราเป็นอย่างไรเราเท่านั้นที่รู้ดีและวันหนึ่งความจริงจะปรากฏ”
แทนที่จะใช้วิธีบำบัดความทุกข์โดยพบจิตแพทย์ เธอใช้วิธีรักษาใจด้วยการนำความเจ็บปวดในอดีตมาถ่ายทอดให้กำลังใจ แบ่งปันประสบการณ์เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ โดยเดินสายรับเชิญไปบรรยายตามโบสถ์และองค์กรต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทำงานรับใช้พระในแบบที่เธอถนัด
“ดิฉันค้นพบวิธีคลายทุกข์ด้วยการไปช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากกว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกขอบคุณพระเจ้าในพระพรที่เราได้รับอยู่ เรายังมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ยังมีนิ้วมือครบทั้ง 10 นิ้วและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่”
กลับมาเริ่มต้น ก่อร่างสร้างธุรกิจใหม่อีกครั้งได้ยังไม่ทันจะตั้งหลัก บททดสอบใหม่ก็เริ่มขึ้นเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ปี 2540 กระแทกเข้าใส่ พร้อมๆกับทุกข์สาหัสเมื่อสามีขอแยกทางโดยที่ลูกๆ ทั้ง 4 คนยังเรียนไม่จบและธุรกิจกำลังง่อนแง่นไปกับมรสุมเศรษฐกิจ
“วันที่สามีทิ้งไป เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ดิฉันรับไม่ได้ อยากจะตายให้พ้นๆ แผลเดิมยังไม่ทันหายดี ธุรกิจก็ยังไม่ทันจะตั้งตัว ดิฉันสวดอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ช่วยนำทางสว่าง คืนนั้นนั่งดูทีวีเมืองไทยเป็นเจ้าภาพแข่งกีฬาคนพิการ ได้ยินประโยคหนึ่งว่า “ไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นคนพิการ แต่ถ้าใครที่เกิดมาเป็นคนพิการแล้วสามารถยอมรับความจริงในชีวิตได้ เขาคนนั้นก็สามารถใช้ชีวิตปกติสุขเหมือนคนทั่วไป”
จากที่เคยถามตัวเองทุกวัน ทำไมๆๆๆชีวิตต้องเป็นแบบนี้ แค่ประโยคนั้นทำให้เข้าใจว่าที่เคยเจ็บปวดจะเป็นจะตาย เป็นเพราะดิฉันยอมรับความจริงไม่ได้ ถ้ารับไม่ได้แล้วจะอย่างไรต่อไป จะตายหรือ แล้วดิฉันจะเลือกมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เราจะมัวเศร้าเสียใจทุกวันกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ หรือจะเลือกยอมรับความจริงซะ แล้วก้าวไปข้างหน้า สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของเราเอง...
ตอนนั้นธุรกิจฉากกั้นอาบน้ำเริ่มบุกเบิกได้ไม่กี่ปีก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง เครนก่อสร้างทุกเครนในกรุงเทพฯหยุดหมด ดิฉันประชุมลูกน้องบอกกับพวกเขาว่าภาวะนี้เปรียบเหมือนสงคราม ถ้าทุกคนช่วยกันยอมรัดเข็ดขัดรักษาชีวิตบริษัทไว้ เมื่อสงครามผ่านพ้นไปพวกเราก็จะกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ดิฉันลดเงินเดือนตัวเองลดเงินเดือนผู้บริหารแต่ระดับคนงานยังคงไว้เหมือน เดิม ประคับประคองจนฟื้นขึ้นมาได้”
หลังจากค่อยๆสร้างธุรกิจฉากกั้นอาบน้ำและตู้อาบน้ำ "SHOWERKING" และสร้างชื่อเสียงขึ้นมาใหม่ จากความสำเร็จธุรกิจแรกตามมาด้วยการขยับขยายสู่ธุรกิจที่สอง โรงงานผลิตกระจก บริษัท เอสอาร์ แอดวานซ์ อินดัสทรี จำกัด โดยมีลูกๆ เข้ามาช่วยเสริมทัพดูแลธุรกิจจนแข็งแกร่ง
วันเลี้ยงฉลองครบรอบแซยิด 60 ปี เมื่อ 2 ปีที่แล้วเป็นอีกวันที่ศรินทรยิ้มกว้างที่สุด เธอตัดสินใจเขียนถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านพ้นในชีวิตผ่านหนังสือ “ภูเขาเคลื่อนที่ได้ ชีวิตจริงยิ่งกว่าบทประพันธ์” พิมพ์แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน หากจำหน่ายก็ถือเป็นหนังสือระดับเบสท์เซลเลอร์ในแวดวงคาทอลิก
“จากครั้งหนึ่งที่เคยมีคนรู้จักมาก พอดิฉับกลับเข้าสู่วงการธุรกิจอีกครั้ง ไปเรียนหลักสูตรผู้บริหาร
ระดับสูงต่างๆ อย่างเข้าเรียนหลักสูตร วตท.แรกๆ เห็นสายตาเพื่อนบางคนรู้เลยว่าเขามองเราด้วยความไม่สนิทใจ ในวันฉลองแซยิดเป็นวันที่ดิฉันมีโอกาสขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ชีวิต เพื่อบอกกับพวกเขาว่าดิฉันไม่ใช่ประเภทคนที่ล้มบนฟูก หายไป 20 ปีแล้วกลับมาร่ำรวย แต่จริงๆ แล้วดิฉันผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ มาได้อย่างไร
...ทุกวันนี้ดิฉันมีความสุข เป็นความสุขไม่ได้หาซื้อได้ด้วยเงิน แต่เรียกว่าเป็นสันติสุขกับปีติสุข เมื่อเราไม่ยึดติด ไม่คิดแค้น" เจ้าของชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย เล่าถึงบทเรียนที่เธอผ่านพ้นจนค้นพบ
-------------------------
ศรินทร เมธีวัชรานนท์:อดีตจำเลย นักการเงินรุ่นเดอะ สงครามชีวิ
มธ 10:37-39 การสละตนเองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า
“ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก”
“ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก”
มีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งที่จะแจ้งให้ทราบนะครับ
คุณศรินทร ได้รับเชิญไปออกรายการ "เจาะใจ"
ซึ่งจะทำการบันทึปเทป วันพุธนี้ (2 มีนาคม) เวลา 9.00น.
ที่ JSL Studio
คุณศรินทรอยากเรียนทุกท่านครับ
คุณศรินทร ได้รับเชิญไปออกรายการ "เจาะใจ"
ซึ่งจะทำการบันทึปเทป วันพุธนี้ (2 มีนาคม) เวลา 9.00น.
ที่ JSL Studio
คุณศรินทรอยากเรียนทุกท่านครับ
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
สรรเสริญพระเป็นเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา
เหมือนกับที่อ่านที่เว็บอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เลย ใช่คนเดียวที่เขียนบทความบทสวดของฉันหรือเปล่าคะ?
เหมือนกับที่อ่านที่เว็บอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เลย ใช่คนเดียวที่เขียนบทความบทสวดของฉันหรือเปล่าคะ?
ถูกต้องครับผมlittleseal เขียน:สรรเสริญพระเป็นเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา
เหมือนกับที่อ่านที่เว็บอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เลย ใช่คนเดียวที่เขียนบทความบทสวดของฉันหรือเปล่าคะ?
10 มีนา ที่กำลังจะถึงนี้ครับHoly เขียน:ออกอากาศวันไหน
22.35 น.
ภาค1 10 มีนา
ติดตามภาค2 17มีนานะครับ
ติดตามภาค2 17มีนานะครับ