โดย อังเยลา เอลแวลล์ ฮั้นท์
ก.ครุวรรณ แปล
ครั้งหนึ่งบนภูเขาสูง มีต้นไม้เล็ก ๆ 3 ต้น ต่างได้เล่าความปรารถนาของตนเมื่อโตเต็มที่ดังนี้
ต้นไม้น้อยต้นแรก มองไปยังเบื้องบน แลเห็นดวงดาวระยิบระยับดุจประกายเพชร และพูดว่า “ฉันอยากจะเป็นหีบสมบัติที่ห่อหุ้มด้วยทองคำ และมีเพชรพลอยบรรจุอยู่”
ต้นที่สอง มองตรงออกไปยังลำห้วยที่ไหลออกสู่มหาสมุทร และกล่าวว่า “ฉันอยากเป็นเรือที่แข็งแรง สามารถโต้คลื่นใหญ่น้อยได้ และเป็นพาหนะสำหรับพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่”
ส่วนต้นที่สาม มองลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง ซึ่งเป็นเมืองที่มีผู้คนกำลังทำงานกันอย่างจ้าละหวั่น พลางพูดว่า “ฉันไม่อยากจากยอดเขานี้ไปไหน แต่อยากจะเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก ทุกคนทีผ่านมาเห็นจะมองมา และยกสายตาสูงขึ้นไปเบื้องบนยังแดนสวรรค์ เพื่อคิดถึงพระเป็นเจ้า”

หลายปีผ่านไป ต้นไม้ทั้งสามเติบโตขึ้นเป็นลำดับ และวันหนึ่งมีคนตัดไม้ 3 คนปีนขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้
คนตัดไม้คนแรกมองไปยังไม้ต้นแรก พูดว่า “ต้นไม้นี้สวยจริง ๆ” จากนั้นก็โค่นลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ต้นไม้ต้นแรกคิดในใจว่า “ตอนนี้ฉันจะได้เป็นหีบไม้ที่สวยงามและบรรจุเพชรนิลจินดาเสียที”
คนตัดไม้คนที่สองมองไปยังต้นไม้ถัดไป และพูดว่า “ต้นไม้นี้แข็งแรงจริง ๆ” ทันทีที่พูดเสร็จ ก็ใช้ขวานที่คมกริบตัดต้นไม้นั้นมากองอยู่บนพื้นดิน ต้นไม่ที่สองก็คิดตามที่เคยวาดฝันไว้ว่า “ตอนนี้ฉันจะได้เป็นเรือเพื่อรับใช้พระมหากษัตริย์ และสามารถแล่นออกสู่มหาสมุทรได้แล้ว”
ต้นไม้ต้นที่สามรู้สึกหมดหวัง เมื่อเห็นคนตัดไม้คนสุดท้ายมองตรงมา แต่ไม่มองสูงขึ้นไปยังยอดไม้ เขาพูดพึมพำว่า “ต้นไม้ต้นไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ” ว่าแล้วก็ตัดโค่นต้นไม้ที่สามทันที
ต้นไม้ต้นแรกดีใจมาก เมื่อคนตัดไม้ลากไปยังร้านช่างไม้ ขณะนั้น ช่างไม้กำลังมีงานอยู่เต็มมือจึงไม่คิดอะไรมาก รีบนำไม้ที่เข้ามาใหม่ไปทำเป็นรางใส่อาหารสำหรับสัตว์ แทนที่จะได้เป็นหีบสมบัติหุ้มทองคำสำหรับใส่ของมีค่า กลับกลายเป็นรางใส่อาหารที่เลอะเทอะ มีแต่ฟางหญ้าใส่อยู่เต็มสำหรับสัตว์เลี้ยงที่หิวโหย

ต้นไม้ที่สองยิ้ม เมื่อคนตัดไม้นำตนไปยังอู่ต่อเรือ แต่แทนที่จะได้เป็นเรือใหญ่ที่แข็งแรงกลับกลายเป็นเพียงเรือหาปลาธรรมดาที่ลำพังแต่แล่นอยู่ในแม่น้ำก็แทบจะล่มแล้ว เขานำเรือไปยังทะเลสาบเล็กแห่งหนึ่ง และทุกวันเรือก็อบอวลไปด้วยกลิ่นปลาตายที่เจ้าของเรือนำกลับไปยังท่าขึ้นปลา
ต้นไม้ต้นที่สามรู้สึกสับสนเมื่อคนตัดไม้ ตัดต้นออกเป็นท่อนยาว ๆ และกองทิ้งไว้ที่ลานโดยไม่ทำอะไรเลย
คืนวันผ่านไปอีกนาน จนต้นไม้ทั้งสามแทบจะลืมความฝันของตนไปแล้ว แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่งก็เกิดมีแสงทองส่องเป็นประกายอยู่บนฟากฟ้า และก็มีสตรีสาวคนหนึ่งนำเด็กแรกเกิดมาวางไว้ในรางเลี้ยงสัตว์ของตน สามีของสตรีผู้นั้นกระซิบกับเธอว่า “ผมอยากใช้มันเป็นเปลสำหรับลูก” ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบ และกล่าวว่า “รางหญ้านี้สวยจัง” และทันใดนั้น ต้นไม้ต้นแรกก็ทราบทันทีว่า ตนกำลังเป็นที่ประทับของขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ล่วงมาจนถึงค่ำวันหนึ่ง มีนักเดินทางที่อ่อนล้าพร้อมกับสหายหลายคน นั่งอยู่ในเรือจับปลาเก่า ๆ นักเดินทางผู้นั้นกำลังหลับสนิท และขณะที่เรือที่สร้างจากต้นไม้ต้นที่สองกำลังแล่นอยู่ในทะเลสาบนั้น จู่ ๆ ก็เกิดมีพายุใหญ่ เรือลำน้อยเอียงไปมาอย่างน่ากลัว และทราบดีว่า ตนไม่อาจโต้คลื่นอยู่ได้อีกนานในสภาพอากาศเช่นนั้น ชายที่หลับอยู่ตื่นและลุกขึ้นยืน พร้อมกับยื่นแขนออกไปข้างหน้า พูดขึ้นว่า “จงสงบนิ่ง” พายุก็สิ้นสุดลงอย่างฉับพลัน ต้นไม้ต้นที่สองจึงทราบทันทีว่า ตนกำลังเป็นพาหนะสำหรับพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน

เวลาผ่านไปจนถึงเช้าวันศุกร์วันหนึ่ง ต้นไม้ต้นที่สามรู้สึกตกใจ เมื่อท่อนไม้ของตนถูกลากออกมาจากกองไม้ เธอพยามถอยหนี ขณะที่กำลังถูกลากผ่านฝูงชนที่กำลังโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่น เมื่อทหารตอกตะปูตรึงมือของชายคนหนึ่งไว้กับตน แต่พอถึงเช้าวันอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสง ผู้คนทั่วโลกก็ตื่นเต้นไปกับตน เมื่อทราบว่า ความรักของพระเป็นเจ้าทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป

ไม้ต้นแรกกลายเป็นที่ประทับสวยงาม
ต้นที่สองก็แข็งแรง และทุกครั้งที่ผู้คนคิดถึงต้นไม้ต้นที่สาม พวกเขาจะคิดถึงพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งดีกว่าการเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
แม่พระยุคใหม่ : นิตยสารราย 2 เดือน ฉบับพิเศษรวมเล่ม 2004/2547 : หน้า 36 - 37