ระหว่างพระหรรษทานและความบาป
นักบุญออกัสติน เกิดที่เมืองตาก๊าสต์ (ปัจจุบันคือเมือง Souk-Ahras) ในแอฟริกาเหนือเมื่อปี 354 บิดาเป็นคนต่างศาสนา มารดาคือ นักบุญมอนิกา
ออกัสตินได้เริ่มเรียนหลักความเชื่อตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่ออายุประมาณ 12 ขวบ ท่านเจ็บหนักจึงได้ขอรับศีลล้างบาป มารดาเป็นผู้เตรียมท่านเพื่อจะได้รับศีลล้างบาปเมื่อท่านหายดีแล้ว และแล้วก็ได้มีการประวิงการรับศีลล้างบาปของท่านไว้ก่อน แต่ก็ได้สอนให้ท่านสวดภาวนา
เวลานั้นบิดามารดาได้ส่งท่านไปเรียนที่ Madaure
ที่นี่เองที่วัยหนุ่มเริ่มเหลวแหลกทีละเล็กทีละน้อย มิเพียงละทิ้งการภาวนาเท่านั้น แต่ท่านนักบุญกลายเป็นคนโกหก คนคดโกง และเป็นขโมย และแล้วตัณหาก็เข้าครอบงำจิตใจของหนุ่มน้อย แม้มารดาจะให้คำแนะนำอย่างไรท่านนักบุญก็ปล่อยตัวปล่อยใจตามสัญชาตญาณ เพื่อโอ้อวดตนเองมากกว่าเพราะความเลว เพื่อลอกแบบหรือไม่ก็ต้องการทำชั่วให้เหนือกว่าบรรดาเพื่อนๆ
เมื่อเป็นนักศึกษาอยู่ที่เมืองคาร์เธจ เกิดประทับใจในการอ่านหนังสือเรื่อง Hortens-ius ของปราชญ์ซิเซโรผู้พาท่านนักบุญเข้าในขอบข่ายของความจริงที่สัมผัสไม่ได้
โดยสัญชาตญาณท่านนักบุญหวนกลับมาสวดภาวนาอีก
จากนั้นก็มีความรู้สึกว่าอยากอ่านพระคัมภีร์แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อต้องอ่านฉบับแปลแบบประชานิยมที่ดูยุ่งเหยิง ดังนั้นท่านนักบุญจึงเบนความสนใจสู่นิกายมานิเค ที่โอ้อวดว่าสามารถนำปรีชาญาณมาให้ได้ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ท่านนับุญได้อยู่กินกับสตรีคนหนึ่งและมีบุตรชื่อ อาเดโอดาต์ เวลานั้นท่านนักบุญอายุได้ 18 ปี
เมื่อายุ 20 ปี ท่านนักบุญได้กลับมาอยู่ที่เมืองตาก๊าสต์เป็นเวลา 2 ปี เพื่อสอนวิชาวาทศิลป์ จากนั้นเกิดความสนใจอย่างมากในวิชาโหราศาสตร์และนาฎศิลป์ ท่านได้พยายามใฝ่หาชื่อเสียง แต่ก็มิวายพบกับความสะเทือนใจและเบื่อหน่ายเมื่อเพื่อนคนหนึ่งต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่านจึงได้กลับไปคาร์เธจ และได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับรมณียศาสตร์ ที่นี่เองท่านนักบุญได้พบกับพระสังฆราชที่มีชื่อเสียงสังกัดนิกายมานิเค แต่ท่านกลับต้องสะเทือนใจอย่างแรงต่อความอวิชชาของพระสังฆราชท่านนี้
ประมาณปลายปี ค.ศ. 383 ท่านนักบุญได้ไปกรุงโรมเพื่อเปิดโรงเรียนขึ้นแห่งหนึ่ง แต่บรรดานักศึกษาไม่จ่ายค่าเล่าเรียน เมื่อได้ไปพบเจ้าเมืองชื่อ Symmaque ที่ได้ให้ท่านนักบุญไปอยู่ที่กรุงมิลาน อันเป็นเมืองที่มีผู้คนน้อย แต่มีความสำคัญมากกว่ากรุงโรม ภายใต้การนำของพระสังฆราชอัมโบรซิโอ เพื่อเหตุผลทางโอกาสและความเหมาะสม ท่านนักบุญได้ไปคารวะพระสังฆราชอัมโบรซิโอ ที่ให้การต้อนรับแบบธรรมดา อย่างไรก็ตามนักบุญออกัสติน ชอบไปนั่งฟังพระสังฆราชอัมโบรซิโอเทศน์ที่พระวิหารทุกวันอาทิตย์
คำพูดอันไพเราะและสละสลวยของนักพูดท่านนี้จับใจท่านนักบุญมาก และรู้สึกยิ่งประทับใจเมื่อนักเทศน์ท่านนี้เน้นเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านกล่าวว่า “วาจาอาจฆ่าได้ แต่องค์พระจิตจะให้ชีวิต”
จากเหตุการณ์นี้ ท่านนักบุญจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์อีกครั้ง ทีละเล็กทีละน้อยท่านได้พบขุมทรัพย์ที่ไม่คาดฝันมาก่อน จึงเข้าใจในความผิดพลาดข้อความเชื่อของนิกายมานิเค
นักบุญมอนิกาผู้เป็นมารดาได้มาอยู่ด้วยในเวลานั้นเธอปรารถนาให้ท่านนักบุญแต่งงาน ดังนี้จึงสามารถแยกสตรีที่อยู่ด้วยกันออกไปโดยปริยาย อันที่จริงท่านนักบุญยังรักสตรีคนนั้น และได้สัตย์ซื่อตลอดมา (แต่สตรีผู้นี้ไม่สูงศักดิ์) นับเป็นความปวดร้าวใจยิ่งนักจากการต้องแยกกันครั้งนี้ ท่านนักบุญได้รับบุตรชายมาอยู่กับตน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ท่านก็ได้เห็นถึงความโง่เขลาของโหราศาสตร์ และได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเพลโตแบบใหม่ อันช่วยให้ท่านนักบุญสามารถพบข้อยุติต่อปัญหาของความเลวร้ายที่ทำให้ท่านวุ่นวายใจ
ท่านนักบุญค่อยๆ ขยับเข้าใกล้พระคริสตศาสนามาเรื่อยๆ ขณะที่ผู้เป็นมารดาเฝ้าภาวนาและร่ำให้เพื่อการกลับใจของบุตรชาย
การอ่านบทจดหมายต่างๆ ของนักบุญเปาโลได้สะท้องภาพอันแท้จริงขององค์พระคริสตเจ้าต่อหน้านักพูดท่านนี้ การกลับใจของท่านนักบุญค่อยๆ สุกงอมอย่างช้าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้พูดคุยกับพระสงฆ์อาวุโส ซิมปริซิอานุส ผู้ได้เล่าเรื่องการที่ Marius Victorinus ได้กลับใจมาเป็นคริสตังท่านผุ้นี้เป็นผู้แปลชุดหนังสือ Enneandes ของ Plotin ท่านนักบุญจึงเกิดความเร่าร้อนที่จะเลียนแบบท่านผู้นี้ แต่ทว่าตนเองยังติดอยู่กับความสนุกสนานทางเนื้อหนังอยู่
Ponticianus ชาวแอฟริกาคนหนึ่งได้เล่าเรื่องชีวิตฤษีของนักบุญอันตน ให้นักบุญออกัสตินฟัง นักบุญอาทานาซีโอ เป็นผู้เขียนชีวประวัติ นักบุญอันตน
การได้ฟังเรื่องนี้ทำให้นักบุญออกัสตินจมลงกับบึ้งด้วยความละอายตนเอง และก็เป็นเวลาของการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ภายในตัวท่าน ท่านนักบุญได้ระบายความในใจนี้แก่ Alypius เพื่อนของท่าน ท่านร้องไห้และก็ได้หลบซ่อนตัวเพื่อพินิจไตร่ตรองภายในสวนของตน (คือภายในตัวของท่านนั่นเอง)
