ศุกร์ ก.ค. 08, 2005 9:34 am
อิเมลดา แลมเบอร์ตินี เป็นบุตรีของครอบครัวขุนนางชั้นสูงในเมืองโบโลญา,อิตาลี. บิดาของเธอคือท่านเคาน์ อิกาโน แลมเบอร์ตินี. ทั้งพ่อและแม่ของเธอรักและหวงแหนบุตรีคนนี้มากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก. กระนั้นก็ดี, ทั้งสองก็สังเกตุเห็นว่า บุตรีของพวกเขาได้แสดงความรักตอบต่อท่านทั้งสองด้วยสุดหัวใจเช่นเดียวกัน, แต่เป็นความรักมิใช่เพื่อโลกนี้ .
บ่อยครั้งทีเดียวที่คุณแม่ได้ปลีกตัวจากการสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนๆ เพื่อมาตามหาเธอ , และหลังจากที่ตามหาสักพักหนึ่ง ก็มาพบเธอกำลังคุกเข่าสวดภาวนาอย่างมีสมาธิ ณ. มุมใดมุมหนึ่งของปราสาท คุณแม่ของเธอต้องร้องเรียกชื่อของเธอหลายครั้งจนกระทั่งเธอได้ยินและร้องตอบ ดูราวกับว่าเธอตื่นจากการนอนหลับ .
เมื่อไรก็ตามที่มีคนพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้า , ตาของเธอจะลุกเป็นประกายและดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเธอ. บิดามารดายังสังเกตุเห็นอีกว่า, เมื่อมีการพูดถึงพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท , ใบหน้าของเธอจะสดใสผิดปกติ .
"โอ, คุณแม่ขา," เธอจะออดอ้อน, "เมื่อไรหนูจึงจะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกค่ะ? เมื่อไรหนูจึงจะได้รับพระเยซูเจ้ามาในดวงใจของหนู ?"
"ลูกต้องรอจนกว่าอายุครบสิบสองปีจ๊ะ , อิเมลดา ." คุณนายแลมเบอร์ตินีตอบ, "เพราะพระศาสนาจักรไม่อนุญาติให้เด็กๆรับศีลก่อนอายุนี้ ."
และสำหรับอิเมลดา, นั่นเป็นระยะเวลารอคอยอันแสนยาวนาน! เพราะอำนาจของโลกนี้ได้กีดกั้นเธอไม่ให้ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก, เด็กน้อยได้สวดภาวนาวอนขอต่อพระเยซูเจ้าสุดที่รักของเธอให้เสด็จมาหาเธอโดยเร็วไว . ในส่วนลึกของจิตใจ,เธอเชื่อว่าพระองค์จะทรงทำบางสิ่งบางอย่าง .
ในวลาเดียวกัน, เธอก็รู้สึกอิจฉาบรรดาซิสเตอร์โดมินิกันคณะนักบุญมารีอา มักดาเลนา อันเป็นสถานที่ซึ่งบิดามารดาของเธอไปเยี่ยมเสมอๆ . "สามารถอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระเยซูเจ้า !" เธอคิด . "ช่างมีความสุขอะไรเช่นนั้น!"
วันหนึ่งเธอก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาของเธอ. "ทำไม, ฉันไม่ไปเคาะประตูคอนแวนต์และขอเข้าเป็นภคินีล่ะ . ถ้าหากฉันยังไม่สามารถรับพระองค์ได้, อย่างน้อยฉันก็สามารถอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระองค์และรับใช้พระองค์ทั้งวันทั้งคืน."
เธอเดินทางไปหาพระเจ้าของเธอ, ตามแผนที่วางไว้. ในสภาพของเด็กเล็กแห่งคอนแวนต์โดมินิกันที่มีความรักแบบซื่อๆของเธอ, เดินตรงไปที่ประตูและเคาะ. "ซิสเตอร์คะ, กรุณาถามคุณแม่อธิการทีเถอะค่ะ ว่าหนูจะมาอยู่ที่นี่และเป็นแม่ชีได้ไหมคะ?"
"แต่, อิเมลดา, เราทุกคนก็อยู่รับใช้พระศาสนาที่นี่ตลอดเวลา.วันหนึ่งหนูก็อาจมาอยู่กับพวกเรา, และเราก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับหนู, แต่หนูต้องรอให้ถึงเวลาก่อนนะ . หนูมีคุณพ่อคุณแม่ที่ดีมากและมีบ้านที่สวยงาม , ลูกที่รัก , ลูกไม่มีความสุขที่นั่นหรือจ๊ะ ?"
"โอ, ค่ะ, ซิสเตอร์, หนูมีความสุขมาก, แต่ที่นี่ท่านมีพระเยซูเจ้านี่คะ!"
"แต่, ชีวิตของเราที่นี่นั้นลำบากมากนะจ๊ะ. พวกเราทำงานหนักและสวดภาวนามากมาย,แม้กระทั่งต้องตื่นขึ้นมา
ตอนเที่ยงคืนเพื่อทำวัตรสวดภาวนา."
"โอ, ซิสเตอร์, หนูไม่หนักใจในเรื่องนั้นเลยสักนิด. หนูจะเชื่อฟังและทำตามคำสั่งทุกอย่างด้วยความสุข. ได้โปรดเถอะค่ะ,ซิสเตอร์!"
แน่นอน, เราทราบว่าคุณแม่อธิการต้องปฏิบัติต่ออิเมลดาด้วยความกรุณาดังเช่นที่ท่านกระทำเสมอๆ, ท่านไม่ได้พยายามที่จะขับไล่เธอกลับบ้านเลย . แต่อิเมลดายังยืนกรานความคิดของเธอ.
อย่างไรก็ตาม,ในวันนี้, ขณะที่คุณแม่อธิการจ้องมองเด็กน้อยซึ่งกำลังยืนอยู่ในห้องโถงและมองมายังท่านด้วยสายตาที่วิงวอน,บางสิ่งบางอย่างได้ทำให้จิตใจของท่านลังเล. "ช่างมีความมุ่งมั่นจริงๆแม้จะเป็นเพียงเด็กเล็กเช่นนี้," ท่านคิด. "ฉันรู้สึกว่าพระเป็นเจ้าทรงจัดการสิ่งนี้. บางทีฉันควรให้เธอลองดู."
อิเมลดามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง, ครั้งนี้คุณแม่อธิการไม่บอกให้เธอกลับไปแต่พูดคุยกับเธอเป็นเวลานานพอสมควร.และท่านบอกว่าถ้าพ่อแม่ของเธออนุญาติ,เธอก็จะสามารถมาทดลองใช้ชีวิตในคอนแวนต์นี้ได้เป็นการชั่วคราว .
บิดามารดาที่แสนดีของเธอรู้สึกเศร้าใจแต่มิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด. พวกท่านเคยรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจว่าสักวันหนึ่งคงมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับบุตรีของท่าน. นี่ไงล่ะมันเกิดขึ้นแล้ว. พระเป็นเจ้าทรงร้องขอพวกท่านในเวลาที่รวดเร็วเกินกว่าที่ท่านคาดคิด, และท่านก็มอบเธอแด่พระองค์เหมือนนักบุญยออากิมและนักบุญอันนาที่มอบบุตรีอายุสามขวบในพระวิหาร ,มารีอาน้อยผู้ทรงบุญ .