ปรับทุกข์ หนุนใจ ขอคำภาวนา
-
tuztiz

- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm
พุธ มิ.ย. 06, 2012 10:34 am
อย่างหัวข้อค่ะ คู่มือในการพิจารณาบาปของตัวเอง
เห็นว่าดีมากๆ เลยอยากเอามาแชร์
อืมม์ เอาไปปริ้นเองนะคะ ไม่มีเวลาทำเป็นรูปเล่ม

-
tuztiz

- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm
พุธ มิ.ย. 06, 2012 10:35 am
ศีลอภัยบาป
ศีลอภัยบาปคือเครื่องมือที่พระศาสนจักรอภัยบาปของคนบาป ไม่ว่าจะหนักหรือเบา ถ้าเราเป็นทุกข์เสียใจ พระศาสนจักรได้รับอำนาจจากพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ตรัสกับอัครสาวกว่า "พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น.. จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านไม่ยอมอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย" (ยน.20.21-23)
ในศีลอภัยบาปนี้เราได้พบกับพระเยซูเจ้าในตัวพระสงฆ์ ซึ่งพร้อมที่จะช่วยเราให้ฟื้นกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เสริมสร้างความสัมพันธ์ของเรากับพระบิดาเจ้า และพระศาสนจักร ทำให้เราเติบโตฝ่ายจิต และมีพลังในการหลีกเลี่ยงการกระทำบาปอีกด้วย
ข้อปฏิบัติ 5 ประการ เพื่อการรับศีลอภัยบาปอย่างดี
1. สวดภาวนาขอให้รับศีลอภัยบาปอย่างดี
2. พิจารณาบาป
3. เป็นทุกข์ถึงบาป
4. สารภาพบาป
5. ขอบพระคุณพระเป็นเจ้า และสวดทำกิจใช้โทษบาป
สวดภาวนา
1. สวดภาวนา
สวดภาวนาขอให้รับศีลอภัยบาปอย่างดี
T เดชะพระนาม...
เชิญเสด็จมาพระจิตเจ้าข้า...
ข้าแต่พระจิตเจ้า โปรดประทานความสว่างให้ลูกได้รับศีลอภัยบาปอย่างดี เพื่อลูกจะได้กลับคืนดีกับพระเป็นเจ้าด้วยใจจริง ข้าแต่พระแม่มารีอา โปรดภาวนาช่วยลูกด้วยเทอญ อาแมน
2. พิจารณาบาป
ขอให้สำรวมใจคิดถึงบาป และความผิดที่ได้กระทำ ค้นหาบาปนั้น โดยคิดถึงพระบัญญัติพระเป็นเจ้า พระบัญญัติพระศาสนจักร พยศชั่ว 7 ประการ หน้าที่ของตน ความคิด ความปรารถนา วาจา กิจการและการละเลย (ความเพิกเฉย)
สิ่งที่ต้องพิจารณา
o ไม่ได้รับศีลอภัยบาปมานานเท่าไหร่
o พระสงฆ์ได้โปรดอภัยบาปแล้วหรือยัง ถ้าพระสงฆ์ยังไม่ได้โปรดอภัยบาปให้เพราะเหตุใด
o ได้ทำกิจใช้โทษบาปแล้วหรือยัง
การสารภาพบาปครั้งก่อน ได้ลืมบาปหนักข้อใดบ้าง หรือได้ปิดบังบาปหนักข้อใด ครั้งนี้ต้องชี้แจงแก่พระสงฆ์อย่างละเอียด และรื้อฟื้นบาปเหล่านั้นมาสารภาพให้ถูกต้องเสียใหม่
บาปจากพระบัญญัติพระเป็นเจ้า
พิจารณาบาปจากพระบัญญัติพระเป็นเจ้า
ในพระบัญญัติมีทั้งข้อห้ามและข้อปฏิบัติ จะถือพระบัญญัติที่สมบูรณ์ต้องถือตามจิตวิญญาณของพระบัญญัติซึ่งมี 10 ประการ
1. จงนมัสการพระสวามีพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า
o ละทิ้งการสวดเช้าค่ำกี่ครั้ง ไม่ตั้งใจสวดภาวนา
o สงสัยในข้อความเชื่อ เสียใจคิดว่าตนไม่มีหวังไปสวรรค์ โกรธเกลียดพระเจ้า บ่นว่าพระเจ้า ทำการชูแปร์ตีชัง เช่น ดูหมอดู เชื่อฝัน ใช้เครื่องราง หรือน้ำมนต์ อ่านหนังสือผิดต่อความเชื่อ
2. อย่าออกนามพระสวามีพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
o สบถสาบานในเรื่องไม่จริง พูดจาดูหมิ่นพระเจ้า ดูหมิ่นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ด่าว่าพระสงฆ์ ด่าว่านักบวช
o ผิดคำสาบาน บนสาบาน หรือสาบานอย่างคนต่างศาสนา ไม่ยอมแก้บน ด่าแช่งพระเจ้า ด่าแช่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออกชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่สมควร
3. วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
(วันพระเจ้าของคริสตชน คือวันอาทิตย์และวันฉลองบังคับ)
o ขาดพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับ ไม่ตั้งใจร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
o ทำมาหากินหรือทำงานหนักในวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับ ได้บังคับหรือใช้ผู้อื่นทำงานในวันพระเจ้า
4. จงนับถือบิดามารดา
o เชื่อฟังพ่อแม่ในเรื่องสำคัญๆ
o ให้ดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วยและในวัยชรา
o เอาใจใส่เลี้ยงดูและอบรมลูกของตนในเป็นคริสตชนที่ดี
5. อย่าฆ่าคน พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o คิดหรือทำร้ายทางจิตใจด้วย
o (ดูแคลนพูดจาเสียดสี)
o ทะเลาะกัน โกรธ ด่า แช่ง ไม่ยอมให้อภัย อยากแก้แค้น
o ทำร้ายร่างกายตัวเองหรือผู้อื่น
o ทำแท้ง (และการมีส่วนร่วมในการทำแท้ง) เพราะเป็นการทำลายชีวิตที่เป็นลูก การทำแท้งเป็นการซ้ำเติมตัวเอง และไม่มีโอกาสแก้ตัวเลย
o การุณฆาต คือการฆ่าตัวตายเมื่อรู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่าที่จะอยู่ต่อไป เช่น อายุมาก ๆ หรือเป็นโรคภัยที่รักษาไม่หาย ความจริงมนุษย์มีคุณค่าจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
o ดื่มเหล้าจนเมา เสพยาเสพติด ชวนผู้อื่นให้เสพติด ขายยาเสพติด
6. อย่าทำอุลามก พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o ดูภาพ วีซีดี ดีวีดี ภาพยนตร์ หรืออ่านหนังสือลามกเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศ
o พูดจาลามก ชมชอบในความคิดลามก แนะนำสิ่งหรือเรื่องลามกต่าง ๆ เช่น การแต่งตัวยั่วยุกามารมณ์ การเที่ยวสถานเริงรมย์ต่าง ๆ ฯลฯ
o ผิดประเวณีกับผู้อื่น เช่น โสเภณี ผู้ที่แต่งงานแล้ว หรือเป็นโสดก็ตาม ซึ่งเป็นการไม่ให้เกียรติแก่บุคคล
o ได้ล่วงละเมิดทางเพศทางใดทางหนึ่ง
o สำเร็จความใคร่
7. อย่าลักขโมย พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o โกง หรือยักยอกสิ่งของ ๆ ผู้อื่น (ต้องคืนสิ่งของนั้นให้เจ้าของจึงพ้นจากบาป)
o ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น (ต้องชดเชยในความเสียหายอย่างยุติธรรม)
o มีส่วนร่วมหรือทำผิดยุติธรรมในหน้าที่ในการทำธุรกิจ ด้านแรงงานและสิ่งของ เช่น เล่นการพนัน กรรโชกทรัพย์ เรียก
o ดอกเบี้ยเกินควร รับซื้อของโจร ฯลฯ (ต้องซื่อสัตย์ยุติธรรม และชดเชยคืนให้ด้วย)
8. อย่าใส่คามนินทา พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o โกหก คือจงใจพูดความจริงไม่หมดหรือไม่เป็นความจริงเลย ซาตานเป็นเจ้าแห่งการโกหก คนที่โกหกได้ คือคนที่ทำความชั่วได้ทุกอย่าง
o ใส่ความ คือปรักปรำคนบริสุทธิ์ว่าเขาทำผิด หรือเป็นพยานเท็จ
o นินทา คือพูดความจริงที่ไม่ดีของผู้อื่น อันทำให้เขาเสียหาย
o ตัดสินผู้อื่นโดยเบาความ หรือโดยไม่มีข้อมูลชัดเจน
9. อย่าปลงใจในความอุลามก พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o มีความคิดหมกมุ่น และปรารถนาสิ่งที่ผิดต่อความบริสุทธิ์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
o ข้อปฏิบัติ คือ ให้คิดสิ่งที่ดีและสร้างสรรค์ เกิดปัญญาสบายใจ มีความสุข
10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา พระบัญญัตินี้ยังห้าม
o ความคิด และความปรารถนาจะได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น โดยผิดความยุติธรรม
o ข้อปฏิบัติ คือ ให้พอใจในสิ่งที่ตนมี
บาปจากพระบัญญัติพระศาสนจักร
พิจารณาบาปจากพระบัญญัติพระศาสนจักร
o ให้อดเนื้อทุกวันศุกร์เพื่อชดเชยบาปโทษของตนเอง และของผู้อื่นด้วย
o ให้อดเนื้อและอดอาหารในวันที่บังคับ คือ วันพุธรับเถ้า และวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
พิจารณาบาปจากรากเหง้าของบาป (พยศชั่ว)
เราเรียกว่ารากเหง้าก็เพราะมันมีอยู่ในตัวเราแล้ว มันจะดี ถ้าอยู่ในระดับพอดี ถ้ามันมากเกินพอดีจะเกิดผลเสียหายต่อตัวเอง และผู้อื่นจนกลายเป็นบาปได้
1. จองหอง ถ้าเรารู้สึกรักศักดิ์ศรีตนเอง ไม่ยอมทำสิ่งที่ผิด ๆ ก็ถือว่าดี แต่ถ้าเรายกตนข่มผู้อื่น ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ถือว่าตนเองเป็นศูนย์กลาง ก็กลายเป็นบาปจองหอง
2. ตระหนี่ ถ้าเราประหยัดก็ถือว่าดี แต่ถ้าเราประหยัดถึงขั้น "ขี้เหนียว" ไม่ช่วยเหลือใครเลย ก็ไม่ดี
3. อุลามก ความรู้สึงทางเพศแสดงว่าเรายังแข็งแรงก็ดี แต่ถ้าหมกมุ่นในกามารมณ์ก็ไม่ดี ซึ่งนำไปสู่ทางบาปได้
4. โลภ ความต้องการระดับพอเพียง ก็เป็นประโยชน์เพราะ เป็นแรงบันดาลใจ แต่ถ้ามีความต้องการมากเกินไป จนกลายเป็นความโลภก็ไม่ดี เช่น อาหาร ลาภ ยศ อำนาจ ฯลฯ
5. อิจฉา เป็นความรู้สึกอยากได้..ก็ดี เพราะกระตุ้นใจเราให้มีความขยัน มานะหมั่นเพียร ทำอะไร ๆ ให้ดีขึ้น แต่ถ้าเห็นเขาได้ดีแล้วเราเสียใจ หรือดีใจในความหายนะของคนอื่นก็ไม่ดี กลายเป็นการอิจฉา หรือริษยา
6. โมโห บางครั้งแรงโมโหผลักดันให้เราพึ่งตนเองได้ก็เป็นสิ่งดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี เพราะมันจะทำร้ายสุขภาพกายและจิตใจของตนเองและผู้อื่นได้
7. เกียจคร้าน ถ้าเราผักผ่อนก็มีประโยชน์ แต่ถ้ามากไปจนไม่อยากทำงาน ละเลียในหน้าที่ของตนก็ไม่ดี
3. เป็นทุกข์ถึงบาป
เมื่อเห็นความผิดหรือบาปของตนเองแล้ว เราต้องสำนึกผิด พร้อมที่จะกลับใจ และทำการแก้ไขในความผิดนั้น ให้สวดภาวนาเตือนความทุกข์ถึงบาป สวดบทข้าพเจ้าขอสารภาพ หรือบทแสดงความทุกข์
บทภาวนาเตือนความทุกข์ถึงบาป
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้ทำผิดเคืองพระทัยพระองค์ผู้ทรงน่ารักยิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ตรอมใจ เพราะบาปเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นศัตรูกับพระองค์ และต้องสูญเสียพระหรรษทาน
ข้าพเจ้าสมควรจะได้รับอาญาโทษร้ายแรงในชีวิตนี้ และเป็นต้นในชีวิตหน้า ข้าเจ้าเกลียดชังบาปทั้งปวง เพราะว่ามันได้เป็นเหตุให้พระเยซูเจ้าถูกทรมาน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกตัว และตั้งใจว่าแต่นี้ไป โดยอาศัยพระหรรษทานของพระองค์ช่วย ข้าพเจ้าจะพยายามไม่ทำผิดชัดเคืองพระทัยของพระองค์อีกเลย ขอทรงพระกรุณาอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าผู้น่าสงสารนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า
โอ้พระแม่มารีอา มารดาแห่งพระเยซูเจ้า โปรดภาวนาอุทิศแก่ข้าพเจ้าคนบาป ให้เป็นทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริงด้วยเทอญ
4. สารภาพบาป
บทสวดในทีรับศีลอภัยบาป
o เดชะพระนาม..
o คุณพ่อที่เคารพ ลูก (ข้าพเจ้า) ปรารถนาคืนดีกับพระองค์และพระศาสนจักร ขอคุณพ่อโปรดอภัยบาปให้ลูก (ข้าพเจ้า) ด้วย
o ลูก (ข้าพเจ้า) ไม่ได้รับศีลอภัยบาปมาเป็นเวลานาน .... (วัน/เดือน/ปี)
o ลูก (ข้าพเจ้า) ได้รับการอภัยบาปจากพระสงฆ์แล้ว (หรือยังไม่ได้รับ)
o ลูก (ข้าพเจ้า) ได้ทำกิจใช้โทษบาปแล้ว (หรือยังไม่ได้ทำ)
o ลูกได้ทำบาป...ครั้ง (ตรงนี้ให้บอกบาปแก่พระสงฆ์ โดยพูดช้า ๆ ชัด ๆ และดังพอสมควร บอกว่าทำบาปแต่ละอย่างกี่ครั้ง ถ้าจำได้หรือประมาณกี่ครั้งต่อวัน/สัปดาห์
o และขอสารภาพบาปอื่น ๆ ที่ได้ทำมาตลอดชีวิตด้วย
o พระสงฆ์เทศน์อบรม และสวดภาวนาอภัยบาป ให้ตั้งใจฟังอย่างดี เป็นต้นจะจำกิจใช้โทษบาปที่พระสงฆ์กำหนด เพื่อจะได้ปฏิบัติให้ครบถ้วน (ขณะที่พระสงฆ์สวดบทภาวนาอภัยบาป ให้ผู้รับศีลอภัยบาป สวดบทแสดงความทุกข์ ไปพร้อมกับพระสงฆ์อย่างเบา ๆ)
บทแสดงความทุกข์
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจที่ได้ทำบาป
เพราะบาปเรียกร้องการลงโทษ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาปทำเคืองพระทัยพระองค์
ผู้ทรงความดีและทรงสมควรได้รับความรักจากมนุษย์ทั้งมวล
เดชะพระหรรษทานช่วย ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย
จะหลีกหนีโอกาสบาป และจะพยายามใช้โทษบาป
โปรดทรงพระกรุณาอภัยบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
อาแมน
o เดชะพระนาม.......
และลุกออกจากที่รับศีลอภัยบาป
5. ขอบคุณพระเจ้า
ขอบพระคุณพระเป็นเจ้า และสวดทำกิจใช้โทษบาป
สวดโมทนาคุณหลังจากรับศีลอภัยบาป
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอโมทนาคุณพระองค์ที่ได้โปรดให้ข้าพเจ้าพ้นจากบาปทางศีลอภัยบาปนี้ ขอพระองค์ประทานพระหรรษทานช่วยข้าพเจ้าอย่าได้ทำบาปผิดต่อพระองค์สืบไปอีกเลย ข้าแต่พระเยซูเจ้าที่รักยิ่ง พระองค์ได้ชำระวิญญาณข้าพเจ้าด้วยพระโลหิตอันประเสริฐ ข้าพเจ้าสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ขอแสดงความรักพระองค์สิ้นสุดจิตใจ โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งวันยิ่งทวีขึ้นไปเทอญ
ข้าแต่พระแม่มารีอา พระมารดาของพระเยซูคริสตเจ้า ช่วยวิงวินพระเจ้า อย่าให้ลูกตกในบาปอีกเลย และให้ลูกได้เป็นลูกที่รักของพระแม่เสมอไปเทอญ
ข้าแต่อารักขเทวดา โปรดนำข้าพเจ้าไปกราบโมทนาคุณพระเยซูเจ้า ที่ได้ทรงชำระล้างข้าพเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปและมลทินทั้งปวงด้วยเทอญ อาแมน
สวดทำกิจใช้โทษบาปตามที่พระสงฆ์กำหนด ควรกระทำให้เสร็จทันที เพื่อไม่ต้องกังวลหรือลืมในภายหลัง
-
tuztiz

- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm
พุธ มิ.ย. 06, 2012 10:39 am
แต่ละพระบัญญัติที่ให้เราพิจารณาถึงบาป
เคยมีหลายๆ ครั้งว่า ทำ ครอบคลุมถึงไหน นะ
คราวนี้ชัดเจนมากค่ะ
** ลืมบอกที่มาไป เป็นหนังสือคู่มือ ที่แปลมาจาก น. เวียนแนร์
แปลโดย คุณพ่อ ..... ชุ่มศรีพันธ์
ลืมชื่อคุณพ่อ

-
rosa-lee

- โพสต์: 6637
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm
พุธ มิ.ย. 06, 2012 1:36 pm
น้อง tuztiz....
ขอชื่อที่อยู่ของน้องใหม่ ที่อยู่ที่เคยลงไว้พี่หากระทู้ไม่เจอ และที่pm พี่ทำไม่เป็น
ต้องคอยลูกมาทำให้ค่ะ พี่มีอะไรจะส่งไปให้ค่ะ.....
...

....
-
rosa-lee

- โพสต์: 6637
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm