เหนื่อย(ทางจิตใจ)มาก ๆ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
หลังจากผ่านวิกฤติความแค้น = หายนะของคนที่เรารักทุกคน มาได้.....(อย่างน้อยก็อยากให้เป็นอย่างนั้น)
พยายามไปวัดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การสวดบ่ายสาม และสวดพระเมตตาก่อนนอนถูกเพิ่มขึ้นมา
......แต่ ถ้าทุกอย่างมันจบได้แฮปปี้ขนาดนั้นก็ยังดี......
ยิ่งใช้ชีวิตไป ยิ่งพบว่า..... บางสิ่งบางอย่าง...... มันไม่ได้หายไปจากใจตามคาด
ในออฟฟิศ แม้ว่า "หมอนั่น" จะไม่อยู่แล้ว..... แต่ก็ยังรู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่า บาดแผลในใจ อาการหลอกหลอน นึกถึงเหมือนหมอนั่นมาคอยระรานชีวิต เหยียดหยามความเป็นส่วนตัว ยังคอยรังควานไม่เคยขาด
และแม้แต่เพื่อนร่วมออฟฟิศเอง ในตอนนี้ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ยังไงเราก็ต้องแข็งไว้บ้างเวลาเจ้าตัวทำอะไรที่หยามศักดิ์ศรี..... เพราะถ้าไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเอง เราก็ตายทั้งเป็นอยู่ดี ในฐานะเบี้ยล่างที่น่าสมเพชดังที่เป็นมาทั้งชีวิต
......เมื่อมีความทุกข์และความเจ็บปวดในใจ ความรู้สึกที่คล้ายจะนำไปสู่ความโกรธ ความแค้น มันก็คล้ายจะกลับมาอีก แม้จะพยายามกดมันไม่ให้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่า......ตราบที่ยังคงนึกถึงมันได้แม้ในเวลาที่ไม่อยาก จะโดนหาว่ายังไม่เลิกแค้นอยู่รึเปล่านะ
แม้จะพยายามหายโกรธ(จากคนตรงหน้า) ให้ได้ก่อนตะวันตกดินได้แล้วก็เถอะ แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
.......ยิ่งนึกถึง "หมอนั่น" มันจะกลับใจได้จริง ๆ น่ะหรือ การที่เราต้องสวดให้ "ศัตรู" นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าอิงตามจิตใจ มันก็ยากจะยอมรับได้ (ยอมรับว่าบางทีสวดโดยพยายามไม่แม้แต่จะนึกถึง อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้ไม่เกิดความแค้นผุดมาแทนในขณะที่ต้องสวดให้คนอื่นที่สำคัญกว่า "มากๆๆๆๆ" ด้วย)
ความเป็นธรรมล่ะ....... ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนกัน เท่ากับว่าคดีต้องจบลงโดยที่ ผู้เสียหายได้บาดแผลต่อไป โดยที่ตัวการมันยังไม่ได้รับผลของการกระทำใด ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามันได้รับ
(แต่คิดแบบนี้..... มีความหมายเท่ากับ "ความแค้น" ไหมนะ หลัก ๆ เลยก็คือ กลัวอยู่ว่าถ้าเกิดความแค้น จะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนอยู่ดี ตอนนี้แฟนก็เรียนเช้าทำงานพิเศษดึก เนตเน่าสัปดาห์นึง กว่าจะได้โทรคุยก็ดึกเลยไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกันเท่าเมื่อก่อน น้องสาวก็มาป่วยออด ๆ แอด ๆ ไหนจะเริ่มลามถึงแฟนน้องสาวอีกคน......)
ตอนนี้ ความแค้นต่อคนที่ก่อนหน้าหมอนี่ ชักจะลืม ๆ ได้จนแทบไม่นึกถึงอีกแล้ว ถึงจะนึกถึงก็ไม่รุนแรงมากเท่าเคสนี้...... แต่ว่า........
ขอพูดตามความรู้สึกของตัวเองไม่ซึนเดเระเลย ไม่ว่ายังไง เราก็รู้สึกว่า หมอนั่นเป็นคนเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมาลำบากลำบนกลับต้องเป็นเรากันแน่นะ แถมการที่มันไม่อยู่ตรงนี้ แม้จะมีผลดี แต่ก็ทำให้เราไม่สามารถคุยหรือระบายแค้นกับมันให้สิ้น ๆ ได้ (แต่ก็อย่างว่าแหละ...... ตอนนี้ "พวกคนที่เรารักทุกคน" เท่ากับเป็นตัวประกัน เหมือนกับถ้าตอบโต้ พวกเค้าจะเจ็บด้วย นี่เราทำได้เพียงแค่กัดฟันแบบที่เป็นมาเท่านั้นรึ)
อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้าย พระเจ้ารักคนเกรียน ๆ ที่ไม่แม้แต่จะรู้จักพระองค์ มากกว่าเรางั้นรึ.....
ก็รู้อยู่ว่าตัวเองก็ชอบขบถ ไม่มีดีอะไรเลย แต่ว่า.....ต้องมาสิ้นหวังขนาดนี้นี่มัน.......
พูดก็พูดนะ เรื่องจิตใจเนี่ย มันบังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังใช่ว่าจะสกัดความคิดที่ออกมาเป็นถ้อยคำในหัวได้ง่าย ๆ เลย ยิ่งถ้าปิดบังซ่อนจากพระองค์ไม่ได้ด้วยนี่.......
(แต่จะให้ทำใจ "รัก" คนที่เล่นวิธีตัวประกันหรือไม่ยอมพูดจาอะไรตรง ๆ เลยนี่มัน..... ตอนเราเด็กยังรักพระองค์มากกว่านี้เพราะไม่เคยเห็นพระองค์ทำแบบนี้นะ)
นี่ยังแค่ส่วนหนึ่งของความรู้สึกทุกข์ใจที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้ (ว่ากันจริง ๆ แล้วเรื่องที่เราอยากเป็นผู้หญิง ก็ยังไม่ได้คิดจะลืมหรือเลิกต้องการหรอกนะ เหตุผลน่ะมีเตรียมไว้พูดกับพระองค์เป็นกระตั้กเลยเหมือนเดิมนั่นแหละ)
แค่การวางใจ แค่ความรู้สึก มันช่วยแก้ไขอะไรได้จริง ๆ นะเหรอ.......
(กลัวอีกเรื่องก็คงเป็น...... "ฉากจบ" ล่ะมั้ง เพราะถ้าทุกอย่างดำเนินไปในทางที่เลวร้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า จะยังคงยอมให้พระองค์ได้อีกหรือเปล่า..... อย่าว่าแต่ตอนจบเลย แค่ตอนนี้ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่า มีความรู้สึก "ต่อต้าน" หลายเรื่องอยู่แล้ว ทั้งวิธีการบางอย่าง ทั้งอะไร)
พยายามไปวัดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การสวดบ่ายสาม และสวดพระเมตตาก่อนนอนถูกเพิ่มขึ้นมา
......แต่ ถ้าทุกอย่างมันจบได้แฮปปี้ขนาดนั้นก็ยังดี......
ยิ่งใช้ชีวิตไป ยิ่งพบว่า..... บางสิ่งบางอย่าง...... มันไม่ได้หายไปจากใจตามคาด
ในออฟฟิศ แม้ว่า "หมอนั่น" จะไม่อยู่แล้ว..... แต่ก็ยังรู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่า บาดแผลในใจ อาการหลอกหลอน นึกถึงเหมือนหมอนั่นมาคอยระรานชีวิต เหยียดหยามความเป็นส่วนตัว ยังคอยรังควานไม่เคยขาด
และแม้แต่เพื่อนร่วมออฟฟิศเอง ในตอนนี้ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ยังไงเราก็ต้องแข็งไว้บ้างเวลาเจ้าตัวทำอะไรที่หยามศักดิ์ศรี..... เพราะถ้าไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเอง เราก็ตายทั้งเป็นอยู่ดี ในฐานะเบี้ยล่างที่น่าสมเพชดังที่เป็นมาทั้งชีวิต
......เมื่อมีความทุกข์และความเจ็บปวดในใจ ความรู้สึกที่คล้ายจะนำไปสู่ความโกรธ ความแค้น มันก็คล้ายจะกลับมาอีก แม้จะพยายามกดมันไม่ให้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่า......ตราบที่ยังคงนึกถึงมันได้แม้ในเวลาที่ไม่อยาก จะโดนหาว่ายังไม่เลิกแค้นอยู่รึเปล่านะ
แม้จะพยายามหายโกรธ(จากคนตรงหน้า) ให้ได้ก่อนตะวันตกดินได้แล้วก็เถอะ แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
.......ยิ่งนึกถึง "หมอนั่น" มันจะกลับใจได้จริง ๆ น่ะหรือ การที่เราต้องสวดให้ "ศัตรู" นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าอิงตามจิตใจ มันก็ยากจะยอมรับได้ (ยอมรับว่าบางทีสวดโดยพยายามไม่แม้แต่จะนึกถึง อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้ไม่เกิดความแค้นผุดมาแทนในขณะที่ต้องสวดให้คนอื่นที่สำคัญกว่า "มากๆๆๆๆ" ด้วย)
ความเป็นธรรมล่ะ....... ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนกัน เท่ากับว่าคดีต้องจบลงโดยที่ ผู้เสียหายได้บาดแผลต่อไป โดยที่ตัวการมันยังไม่ได้รับผลของการกระทำใด ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามันได้รับ
(แต่คิดแบบนี้..... มีความหมายเท่ากับ "ความแค้น" ไหมนะ หลัก ๆ เลยก็คือ กลัวอยู่ว่าถ้าเกิดความแค้น จะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนอยู่ดี ตอนนี้แฟนก็เรียนเช้าทำงานพิเศษดึก เนตเน่าสัปดาห์นึง กว่าจะได้โทรคุยก็ดึกเลยไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกันเท่าเมื่อก่อน น้องสาวก็มาป่วยออด ๆ แอด ๆ ไหนจะเริ่มลามถึงแฟนน้องสาวอีกคน......)
ตอนนี้ ความแค้นต่อคนที่ก่อนหน้าหมอนี่ ชักจะลืม ๆ ได้จนแทบไม่นึกถึงอีกแล้ว ถึงจะนึกถึงก็ไม่รุนแรงมากเท่าเคสนี้...... แต่ว่า........
ขอพูดตามความรู้สึกของตัวเองไม่ซึนเดเระเลย ไม่ว่ายังไง เราก็รู้สึกว่า หมอนั่นเป็นคนเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมาลำบากลำบนกลับต้องเป็นเรากันแน่นะ แถมการที่มันไม่อยู่ตรงนี้ แม้จะมีผลดี แต่ก็ทำให้เราไม่สามารถคุยหรือระบายแค้นกับมันให้สิ้น ๆ ได้ (แต่ก็อย่างว่าแหละ...... ตอนนี้ "พวกคนที่เรารักทุกคน" เท่ากับเป็นตัวประกัน เหมือนกับถ้าตอบโต้ พวกเค้าจะเจ็บด้วย นี่เราทำได้เพียงแค่กัดฟันแบบที่เป็นมาเท่านั้นรึ)
อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้าย พระเจ้ารักคนเกรียน ๆ ที่ไม่แม้แต่จะรู้จักพระองค์ มากกว่าเรางั้นรึ.....
ก็รู้อยู่ว่าตัวเองก็ชอบขบถ ไม่มีดีอะไรเลย แต่ว่า.....ต้องมาสิ้นหวังขนาดนี้นี่มัน.......
พูดก็พูดนะ เรื่องจิตใจเนี่ย มันบังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังใช่ว่าจะสกัดความคิดที่ออกมาเป็นถ้อยคำในหัวได้ง่าย ๆ เลย ยิ่งถ้าปิดบังซ่อนจากพระองค์ไม่ได้ด้วยนี่.......
(แต่จะให้ทำใจ "รัก" คนที่เล่นวิธีตัวประกันหรือไม่ยอมพูดจาอะไรตรง ๆ เลยนี่มัน..... ตอนเราเด็กยังรักพระองค์มากกว่านี้เพราะไม่เคยเห็นพระองค์ทำแบบนี้นะ)
นี่ยังแค่ส่วนหนึ่งของความรู้สึกทุกข์ใจที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้ (ว่ากันจริง ๆ แล้วเรื่องที่เราอยากเป็นผู้หญิง ก็ยังไม่ได้คิดจะลืมหรือเลิกต้องการหรอกนะ เหตุผลน่ะมีเตรียมไว้พูดกับพระองค์เป็นกระตั้กเลยเหมือนเดิมนั่นแหละ)
แค่การวางใจ แค่ความรู้สึก มันช่วยแก้ไขอะไรได้จริง ๆ นะเหรอ.......
(กลัวอีกเรื่องก็คงเป็น...... "ฉากจบ" ล่ะมั้ง เพราะถ้าทุกอย่างดำเนินไปในทางที่เลวร้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า จะยังคงยอมให้พระองค์ได้อีกหรือเปล่า..... อย่าว่าแต่ตอนจบเลย แค่ตอนนี้ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่า มีความรู้สึก "ต่อต้าน" หลายเรื่องอยู่แล้ว ทั้งวิธีการบางอย่าง ทั้งอะไร)
ค่ะ เข้าใจว่าทำยาก แต่ อยากให้ใช้ คีย์เวอร์ด นะคะว่า
"ยกให้พระ" เราจะสวด บทข้าแต่พระบิดาได้อย่างความหมายได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่ได้ให้อภัยอย่างแท้จริง
และอีกคำนึงคือว่าำ "สันติสุข"ค่ะ สันติสุขจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ให้ อภัย ถ้าเราไม่ หาสันติเพืิ่อตัวเราเอง
พระยุติธรรมของพระเจ้ามีค่ะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับเค้าคนนั้น แต่เราเป็นเพียงมนุษย์คนนึง
ไม่มีทางที่จะเข้าใจ พระองค์ได้ หรือว่าจะไปตัดสินว่าสิ่งใดที่พระองค์ทำ ผิด หรือว่า ถูก
เราก็เห็นๆ กันอยู่ใน สังคม หรือว่าในบ้าน (น้องสาวเราเอง) งานดี เงินเดือนดี แต่เห็นแก่ตัวไม่เคยช่วยอะไรเลย แม่ก็ไม่ดูแล ด่าว่า เขม่น เยาะเย้ยแม่ คนที่เค้าทำเป็นแม่ตัวเองแท้ๆ นะคะ แล้วสงสัยค่ะ ทำไม She ยังได้ดี งานดีๆ ออกโทรใหม่ๆ ซื้อของเยอะแยะมากมาย แต่ไม่คิดถึง บ้านตัวเอง ไม่คิดถึงแม่ ใหม่ๆ ก็สงสัยพระ มากๆ แต่พอได้ไปฟังมิสซา บ่อยๆ สวดเยอะๆ ก็ต้องให้อภัยเค้าค่ะ วิธีเลี้ยง ความคิด และอื่นๆ แต่ท้ายที่สุด คำว่า ยกให้พระค่ะ และสวดให้เค้า ได้มีโอกาสกลับใจอย่างเรา แล้วเค้าจะได้รับการ ขัดเกลา หล่อหลอมให้เป็นคนมีสำนึก มีสติ มีน้ำใจและรักคนอื่นมากกว่านี้ โดยเริ่มจากที่บ้าน
ถ้าเค้าโชคดี พระก็จะให้โอกาสเค้า แต่ถ้าไม่ พระองค์ก็อาจจะต้อง ทำการเปลี่ยนแปลงให้เค้าได้เจออะไรร้ายๆ และกลับมาสวดภาวนา เยอะ (ไม่เข้าใจเนอะ ทำไมต้องรอให้ร้ายแร้วค่อยกลับมาหาพระ ) ที่สุด หรือว่าในที่สุด อาจจะไม่มมีโอกาสนั้นเลย และต้องตกอยู่ที่ในไฟชำระ หรือว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ถึงตอนนั้นคงจะมาโอดครวญไม่ได้ละ เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่ เสพสุข เห็นแก่ได้ ซะเต็มที่ ที่ในสวรรค์ก็อาจไม่มีให้กับเค้า โดยไม่ใ้ห้เค้ามีโอกาส ต้องตายไปอย่างน่าเวทนา ที่เนื้อตัว เสื้อผ้า สกปรก เหม็นเน่า เพราะว่ามีแต่บาป
ความรัก เท่านั้นค่ะ ถ้าคุณมองคนที่คุณไม่ชอบว่า เค้าก็คือ พระองค์ คุณให้ขอทาน คุณทำดีกับคน รอบข้างก็คือ คุณทำกับพระค่ะ ไม่ต้องไปสนใจว่า จะได้อะไรกลับมา แต่ที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคุณเองคือ "คุณได้ทำ" ในแนวทางที่ พระิองค์ได้สั่งสอนค่ะ
"ยกให้พระ" เราจะสวด บทข้าแต่พระบิดาได้อย่างความหมายได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่ได้ให้อภัยอย่างแท้จริง
และอีกคำนึงคือว่าำ "สันติสุข"ค่ะ สันติสุขจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ให้ อภัย ถ้าเราไม่ หาสันติเพืิ่อตัวเราเอง
พระยุติธรรมของพระเจ้ามีค่ะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับเค้าคนนั้น แต่เราเป็นเพียงมนุษย์คนนึง
ไม่มีทางที่จะเข้าใจ พระองค์ได้ หรือว่าจะไปตัดสินว่าสิ่งใดที่พระองค์ทำ ผิด หรือว่า ถูก
เราก็เห็นๆ กันอยู่ใน สังคม หรือว่าในบ้าน (น้องสาวเราเอง) งานดี เงินเดือนดี แต่เห็นแก่ตัวไม่เคยช่วยอะไรเลย แม่ก็ไม่ดูแล ด่าว่า เขม่น เยาะเย้ยแม่ คนที่เค้าทำเป็นแม่ตัวเองแท้ๆ นะคะ แล้วสงสัยค่ะ ทำไม She ยังได้ดี งานดีๆ ออกโทรใหม่ๆ ซื้อของเยอะแยะมากมาย แต่ไม่คิดถึง บ้านตัวเอง ไม่คิดถึงแม่ ใหม่ๆ ก็สงสัยพระ มากๆ แต่พอได้ไปฟังมิสซา บ่อยๆ สวดเยอะๆ ก็ต้องให้อภัยเค้าค่ะ วิธีเลี้ยง ความคิด และอื่นๆ แต่ท้ายที่สุด คำว่า ยกให้พระค่ะ และสวดให้เค้า ได้มีโอกาสกลับใจอย่างเรา แล้วเค้าจะได้รับการ ขัดเกลา หล่อหลอมให้เป็นคนมีสำนึก มีสติ มีน้ำใจและรักคนอื่นมากกว่านี้ โดยเริ่มจากที่บ้าน
ถ้าเค้าโชคดี พระก็จะให้โอกาสเค้า แต่ถ้าไม่ พระองค์ก็อาจจะต้อง ทำการเปลี่ยนแปลงให้เค้าได้เจออะไรร้ายๆ และกลับมาสวดภาวนา เยอะ (ไม่เข้าใจเนอะ ทำไมต้องรอให้ร้ายแร้วค่อยกลับมาหาพระ ) ที่สุด หรือว่าในที่สุด อาจจะไม่มมีโอกาสนั้นเลย และต้องตกอยู่ที่ในไฟชำระ หรือว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ถึงตอนนั้นคงจะมาโอดครวญไม่ได้ละ เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่ เสพสุข เห็นแก่ได้ ซะเต็มที่ ที่ในสวรรค์ก็อาจไม่มีให้กับเค้า โดยไม่ใ้ห้เค้ามีโอกาส ต้องตายไปอย่างน่าเวทนา ที่เนื้อตัว เสื้อผ้า สกปรก เหม็นเน่า เพราะว่ามีแต่บาป
ความรัก เท่านั้นค่ะ ถ้าคุณมองคนที่คุณไม่ชอบว่า เค้าก็คือ พระองค์ คุณให้ขอทาน คุณทำดีกับคน รอบข้างก็คือ คุณทำกับพระค่ะ ไม่ต้องไปสนใจว่า จะได้อะไรกลับมา แต่ที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคุณเองคือ "คุณได้ทำ" ในแนวทางที่ พระิองค์ได้สั่งสอนค่ะ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เมจิรู้สึกแย่นะเมจิ เขียน:เฮ้อ
ยอมรับว่าเมจิช่วยพี่เอาไว้มาก
เพียงแต่........ พี่คงอยู่ในความมืดนานเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ........
มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่นึกถึงสิ่งไม่ดีที่ผ่านไป เพราะมีปัจจัยกระตุ้นเยอะเหลือเกิน + ต่อให้โกหกพกลมไปก็ปิดบังพระองค์ไม่ได้อยู่ดี..... เราเองก็อยากให้พระองค์รู้ว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง และอยากให้พระองค์ตรัสกับเราบ้างเหมือนกัน ยิ่งพระองค์เงียบเราก็ยิ่งทรมานใจ
เราคงไม่มีพระพรที่จะได้ยินสิ่งที่พระองค์บอกสินะ.......สินะ......
*UPDATE ล่าสุด....... มันกลับมาแล้ว!!!!!!!!! (ไอ้หมอนั่น.....ทางนี้ยังรักษาแผลไม่หายก็ได้ยินว่ามันจะกลับมาออฟฟิศวันนี้เลย!!!!!!!!!!!!!!)
........ถ้าไม่ทำให้หลอดแตกจนกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ดีหรอก.....
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อยากลาออกจากงานที่ทำตอนนี้มาก ๆ
มันไม่เกี่ยวว่าหมอนั่นจะอยู่หรือไม่อยู่ เพราะวันสองวัน..... แต่ในใจเราตอนนี้เหมือนโดนบีบ จะเชื่อใจมันก็ไม่ลง แต่ถ้าแค้นทุกคนก็มีแนวโน้มตกอยู่ในอันตรายซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้นเด็ดขาด
.......จริง ๆ พอมีวิธีนึง ที่คิดว่าน่าจะพอได้ผล เพราะตอนที่เรา(พยายาม)ตัดความแค้นทั้งหมดทีแรกนั้น ผลในตอนนี้คือ เราไม่แค้นคนก่อนหน้า "หมอนี่" แล้ว จนได้ แต่มีหมอนี่เท่านั้นที่ตอนนี้ยังคงความหวาดระแวงไว้อยู่ ต่อให้มันไม่อยู่ แต่โต๊ะทำงานที่เคยบันทึกความทรงจำพรรค์นั้นไว้มีแต่จะทำให้รู้สึกไม่ดี จะไม่นั่งก็ไม่ได้เพราะเหตุผลหลายอย่างตราบที่ยังทำงานอยู่
.........วิธีที่ว่าคือ อยากไปห่าง ๆ จากทุกอย่างที่พยายามกระตุ้นให้ความโกรธกลับมาและจะกลายเป็นความแค้น
บางทีถ้าอยู่ห่าง ๆ จนลืมมันไป อาจใช้เวลาสักหน่อย ถ้าพระองค์ให้โอกาส เราอาจจะลืมมันไป และไม่ต้องแค้นใครอีกก็ได้...... เท่านี้ก็น่าจะโอเค
ปัญหาอยู่แค่ว่า พระองค์จะว่ายังไงกับวิธีนี้น่ะสิ ไม่ใช่ว่าไม่พอใจอะไรอีกนะ
แต่เราคิดวิธีอื่นที่จะทำให้ใจตัวเองลืมมันอย่างสมบูรณ์ไม่ออกน่ะสิ ถึงจะรู้ว่าปัญหาจะตามมาอีกเยอะก็เถอะ
มันไม่เกี่ยวว่าหมอนั่นจะอยู่หรือไม่อยู่ เพราะวันสองวัน..... แต่ในใจเราตอนนี้เหมือนโดนบีบ จะเชื่อใจมันก็ไม่ลง แต่ถ้าแค้นทุกคนก็มีแนวโน้มตกอยู่ในอันตรายซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้นเด็ดขาด
.......จริง ๆ พอมีวิธีนึง ที่คิดว่าน่าจะพอได้ผล เพราะตอนที่เรา(พยายาม)ตัดความแค้นทั้งหมดทีแรกนั้น ผลในตอนนี้คือ เราไม่แค้นคนก่อนหน้า "หมอนี่" แล้ว จนได้ แต่มีหมอนี่เท่านั้นที่ตอนนี้ยังคงความหวาดระแวงไว้อยู่ ต่อให้มันไม่อยู่ แต่โต๊ะทำงานที่เคยบันทึกความทรงจำพรรค์นั้นไว้มีแต่จะทำให้รู้สึกไม่ดี จะไม่นั่งก็ไม่ได้เพราะเหตุผลหลายอย่างตราบที่ยังทำงานอยู่
.........วิธีที่ว่าคือ อยากไปห่าง ๆ จากทุกอย่างที่พยายามกระตุ้นให้ความโกรธกลับมาและจะกลายเป็นความแค้น
บางทีถ้าอยู่ห่าง ๆ จนลืมมันไป อาจใช้เวลาสักหน่อย ถ้าพระองค์ให้โอกาส เราอาจจะลืมมันไป และไม่ต้องแค้นใครอีกก็ได้...... เท่านี้ก็น่าจะโอเค
ปัญหาอยู่แค่ว่า พระองค์จะว่ายังไงกับวิธีนี้น่ะสิ ไม่ใช่ว่าไม่พอใจอะไรอีกนะ
แต่เราคิดวิธีอื่นที่จะทำให้ใจตัวเองลืมมันอย่างสมบูรณ์ไม่ออกน่ะสิ ถึงจะรู้ว่าปัญหาจะตามมาอีกเยอะก็เถอะ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
......ต้องไล่มันอีกแล้วสินะ....... ตอนนี้เย็นลง + อ่านบทความบางอย่างในนี้แล้วเริ่มตาสว่าง คิดว่าน่าจะพอสู้ไหว......
การต่อสู้ครั้งนี้ช่างลำบากนัก..... แต่เริ่มพอเห็นแววทางนิดหน่อย ที่เหลือก็หวังแค่ว่าพระองค์จะยังคงเห็นใจ
การต่อสู้ครั้งนี้ช่างลำบากนัก..... แต่เริ่มพอเห็นแววทางนิดหน่อย ที่เหลือก็หวังแค่ว่าพระองค์จะยังคงเห็นใจ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อืม พี่ทั้งสวด ทั้งวิงวอนพระองค์ไปละ และเหมือนจะได้เห็นฝันดีนิดหน่อยด้วยมั้งเมจิ เขียน:พระองค์บอกว่าไม่ว่าเราจะทำผิดไปกี่ครั้งพระองค์ก็ทรงอภัยให้เสอมค่ข
เเนะนำให้พี่อ่านพระคำภีร์บ่อยฯ
แล้วก็..... ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้นอีกแล้วล่ะ แล้วเราไม่โกรธเค้าอีกแล้ว เหมือนบางอย่างมันหายไป
แต่พรุ่งนี้จะไปได้ดีไหมที่ออฟฟิศนั้น ก็หวังว่าพระเจ้าจะช่วยเสริมกำลังให้เราทนรับได้ทุกอย่างเพื่อพระองค์และทุกคนที่เรารัก
(ปล.ในฝันที่ว่า เหมือนเห็นตัวเองเข้านิวมานาด้วยแฮะ เหมือนได้เห็นเมจิ pm บอกว่า มารหนีไปแล้ว จริงหรือเปล่าตัวจริงช่วยยืนยันด้วยเน้อ)
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ขอพระเจ้าทรงประทานกำลังและสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ และขอคำอธิษฐานของทุกคนช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น(ด้วยความเป็นผู้ใหญ่)ด้วยเถิดเมจิ เขียน:ปิ้งป่องถูกต้องเเล้วค่ะมันไปเเล้วเเละมีโอกาศกลับมาอีกนะ
พรุ่งนี้พี่ก็ทำดีกับพี่คนนั้นหน่อยละกันยิ้มให้เขาด้วย
รู้สึกสงบลงยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก เหมือนกับว่าเริ่มเข้าใกล้สิ่งที่อยากเป็นขึ้นอีกก้าวนึงแล้ว