ต้องขอออกตัวก่อนนะค่ะ ไม่ทราบว่าตั้งผิดที่หรือป่าว?
ที่อยากจะถามคือว่า คริสตชนจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ?
(คืออย่างที่ทราบกันก็คือ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ)
แล้วชีวิตคริสตชนละค่ะ จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร
ขอบคุณค่ะ
สงสัยค่ะ อยากรบกวนถาม
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
สวัสดีครับ คุณdream_kitjaroendream_kitjaroen เขียน:ต้องขอออกตัวก่อนนะค่ะ ไม่ทราบว่าตั้งผิดที่หรือป่าว?
ที่อยากจะถามคือว่า คริสตชนจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ?
(คืออย่างที่ทราบกันก็คือ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ)
แล้วชีวิตคริสตชนละค่ะ จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร
ขอบคุณค่ะ

ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี ไม่ใช่ดีเฉพาะศาสนิก แต่ดีสำหรับสังคม
ดีสำหรับประเทศชาติ และมวลมนุษยโลก
ง่าย ๆ สั้น ๆ ครับ คำนึงที่คริสตชนเรายึดถือ คือ รักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง
และ พระเยซูสอนให้รู้จักการให้ และการให้สูงสุด คือ การให้ชีวิตของพระองค์ใน
การไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ และ คำสอนหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในจิตใจของคริสตชน
คือ “ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” นั่นคือการสอนให้
รู้จัก ปล่อยวาง และให้อภัย
ซึ่งทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวข้างต้น พระพุทธองค์ทรง ทรงแสดงธรรมตลอด 20 พรรรษา
แรกหลังพระองค์ทรง ตรัสรู้ ตรงนี้ชาวพุทธจะเรียกว่า... โอวาทปาฏิโมกข์
ซึ่งประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 (ซึ่งผมจะไม่ลงไป
ในรายละเอียด คุณdream_kitjaroen น่าจะลึกซึ้งอยู่แล้ว)
ส่วนในการดำรงชีวิตคริสตชน เราจะมีอยู่หลักธรรมหนึ่งที่คริสตชนเรายึดถือมา
และปฏิบัติในชีวิต (ตั้งแต่สมัยพระเยซู) เรียก มหาบุญลาภ 8 ประการ
ภาษาอังกฤษ จะเขียนว่า The Eight Beatitudes Of Jesus กล่าวคือ ...
- บุญของเขาที่มีใจยากจน เหตุว่าพระราชัยสวรรค์เป็นของเขา
- บุญของเขาที่มีใจอ่อนโยน เหตุว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดิน
- บุญของเขาที่ได้รับความทุกข์ร้อน เหตุว่าเขาจะได้รับความบรรเทา
- บุญของเขาที่กระหายความยุติธรรม เหตุว่าเขาจะได้อิ่มหนำ
- บุญของเขาที่มีใจเอ็นดูกรุณา เหตุว่าเขาจะได้รับความเอ็นดูกรุณา
- บุญของเขาที่มีใจบริสุทธิ์ เหตุว่า เขาจะได้ชมเชยพระเป็นเจ้า
- บุญของเขาที่มีใจราบคาบ เหตุว่า เขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า
- บุญของเขาที่ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความยุติธรรม เหตุว่า พระราชัยสวรรค์จะ
เป็นของเขา
ท่านมหาตมะคานธี ท่านก็ใช้หลักนี้ ร่วมกับหลักพุทธ คือ อหิงสา ในการ
ต่อสู้ปลดปล่อยอินเดีย จากการปกครองของอังกฤษ
หากคุณdream_kitjaroen อยากรู้รายละเอียด คุณเลย์ เคยตั้งกระทู้ไว้ อ่านได้ตาม Link ครับ
viewtopic.php?f=2&t=13211

ซึ่งก็สอนคล้องกับหลักธรรมในพุทธศาสนา ที่เรียก มรรคมีองค์แปด คือ:
- สัมมาทิฏฐิ = ปัญญาเห็นชอบ
- สัมมาสังกัปปะ = ความดำริชอบ
- สัมมาวาจา = เจรจาชอบ
- สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
- สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ
- สัมมาวายามะ พยายามชอบ
- สัมมาสติ = ระลึกชอบ
- สัมมาสมาธิ = ตั้งจิตชอบ

ท่านพุทธทาส ท่านชอบเทศน์ เรื่อง พุทธธรรม คริสตธรรม สิ่งหนึ่งที่ท่านเปรีบบ
แก่น ของ พุทธธรรม และคริสตธรรม ได้ดีมาก และเห็นภาพ คือ...
พระเยซู ถูกตรึงบนไม้กางเขน กางเขน คือ ตัว I(ไอ) ซึ่ง หมายถึงตัวฉันก็คือ ตัวตน
ในทางพุทธ เรียก อัตตา ส่วนขีดฆ่ากลางตัว I ก็คือ การไม่มีตัวฉัน เรียก อนัตตา ซึ่ง
ก็คือ การมอบชีวิตตนเองเพื่อผู้อื่น ซึ่งคือการให้ที่สูงที่สุด
ซึ่ง หลักดังกล่าวนั้น ถ้าจะเปรียบกับหลักในศาสนาพุทธ ก็ คือ "ตถตา" คือ
มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ... ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นั่นแหละครับ แก่น ของทั้ง 2 ศาสนา

โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
แก้ไขล่าสุดโดย peopletribune เมื่อ ศุกร์ ส.ค. 03, 2012 6:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 423
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 28, 2009 8:55 pm
- ที่อยู่: Maka-Diyos, Makatao, Makakalikasan, at Makabansa
กระทู้บนที่ผมตอบ เป็นในส่วนของทางธรรม ที่ผมพยายามเปรียบเทียบใ้ห้
คุณdream_kitjaroen ได้เห็นภาพ รวมถึงเปรียบกับหลักธรรมในทาง
ศาสนาพุทธให้ด้วย เพื่อความเข้าใจซึ่กันและกัน
ส่วนกระทู้นี้ผมแยกมาตอบในส่วนของทางโลก หรือ ทางมนุษย์ เพื่อจะได้ไม่สับสน

ศาสนาคริสต์เราเข้ามาของในไทย สมัยยุคล่าอาณานิคมกล่าว คือ เมื่อโปรตุเกสยึด
แหลมมะละกา โดย อัลฟองโซ อัลบูเกิร์ก อุปราชโปรตุเกสที่ปกครองอินเดียอยู่
เป็นตัวแทนราชสำนักโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1511 (พ.ศ. 2054) ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ
พระรามาธิบดีที่ 2 หรือ พระเชษฐาธิราช (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ของกรุงศรีอยุธยา)
ซึ่งอัลบูเกิร์ก ได้ส่งคณะฑูตมาขอเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทย(หากคุณdream_kitjaroen
เคยอ่านประวัติศาสตร์ไทย จริง ๆ แล้วมีชาวโปรตุเกสได้เขียนแผนที่ในยุคนี้ด้วย)

หลังจากโปตุเกสส่งฑูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรี
จากโปรตุเกส และได้ทำสัญญาทางราชไมตรี และทางการค้าต่อกัน เมื่อปีพ.ศ. 2059
นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ จากนั้นเป็นต้นมาศาสนาคริสต์เริ่ม
เข้ามาในประเทศไทย คนที่กลับใจมานับถือคริสตศาสนา ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น
ชาวคริสต์ได้ถวายงานเคียงข้างพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย กอบบ้านกู้เมือง
ชาวคาทอลิกใช้ชีวิตตนเอง สิ้นใจในอ้อมกอดพระเจ้าคนแล้วคนเล่า เคียงคู่กับทหาร
พี่น้องชาวพุทธ มุสลิม และศาสนิกอื่น ไม่มีพื้นแผ่นดินผืนใดในประเทศไทยที่ไม่มี
เลือดของคริสตชนที่สละเพื่อปกป้องบ้านเมือง เช่นกัน แม้กระทั่งก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2
ยิ่งกว่านั้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระเมตตาต่อคริสตชนอย่างมาก
และทรงมีความสนิทพระทัยกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ตามประวัติศาสตร์ว่า
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงส่งพระราชสาสน์มาทูลเชิญสมเด็จพระนารายณ์เข้านับถือ
คริสต์ศาสนา...จริง ๆ เรื่องราวมีลึกซึ้งกว่านั้น(อันนี้เป็นประวัิติศาสตร์นะครับ ผมไม่ได้
ทึกทักเอาเอง) หากคุณdream_kitjaroen สนใจลองหาหนังสือประวัติศาสตร์
ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ่านครับ มีนักวิชาการหลายท่านสรุป และเขียนไว้
http://haab.catholic.or.th/history/hist ... get11.html
จนถึงยุคราชวงศ์จักรี ... ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับคริสตชนตลอดมา และราชวงศ์
ก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อสำนักวาติกัน ในรัชสมัย รัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จกรุงโรม ประเทศ
อิตาลี สามเฌรไทยในวาติกันมารอรับเสด็จ สามเฌรยุคนั้นบวชกลับมาเป็นบาทหลวง
พัฒนาประเทศชาติไทยมากมาย

นั่นยังไม่รวมถึงด้านการศึกษา ที่สถาบันการศึกษาของคริสตศาสนา ผลิตประชากร
คุณภาพที่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย และนานาอารยประเทศมากมาย หลายคนได้
เป็นเสนาบดีบริหารชาติบ้านเมือง
นั่นแหละครับ สิ่งที่คริสตชน สร้างชาติไทย
เฉกเช่นเดียวกับพี่น้องศาสนิกอื่น ๆ
คงจะพอตอบคำถาม คุณdream_kitjaroen ได้นะครับ ว่าคริสตชนจะปฏิบัติตน
อย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ...
โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์
คุณdream_kitjaroen ได้เห็นภาพ รวมถึงเปรียบกับหลักธรรมในทาง
ศาสนาพุทธให้ด้วย เพื่อความเข้าใจซึ่กันและกัน
ส่วนกระทู้นี้ผมแยกมาตอบในส่วนของทางโลก หรือ ทางมนุษย์ เพื่อจะได้ไม่สับสน

ศาสนาคริสต์เราเข้ามาของในไทย สมัยยุคล่าอาณานิคมกล่าว คือ เมื่อโปรตุเกสยึด
แหลมมะละกา โดย อัลฟองโซ อัลบูเกิร์ก อุปราชโปรตุเกสที่ปกครองอินเดียอยู่
เป็นตัวแทนราชสำนักโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1511 (พ.ศ. 2054) ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ
พระรามาธิบดีที่ 2 หรือ พระเชษฐาธิราช (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ของกรุงศรีอยุธยา)
ซึ่งอัลบูเกิร์ก ได้ส่งคณะฑูตมาขอเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทย(หากคุณdream_kitjaroen
เคยอ่านประวัติศาสตร์ไทย จริง ๆ แล้วมีชาวโปรตุเกสได้เขียนแผนที่ในยุคนี้ด้วย)

หลังจากโปตุเกสส่งฑูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรี
จากโปรตุเกส และได้ทำสัญญาทางราชไมตรี และทางการค้าต่อกัน เมื่อปีพ.ศ. 2059
นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ จากนั้นเป็นต้นมาศาสนาคริสต์เริ่ม
เข้ามาในประเทศไทย คนที่กลับใจมานับถือคริสตศาสนา ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น
ชาวคริสต์ได้ถวายงานเคียงข้างพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย กอบบ้านกู้เมือง
ชาวคาทอลิกใช้ชีวิตตนเอง สิ้นใจในอ้อมกอดพระเจ้าคนแล้วคนเล่า เคียงคู่กับทหาร
พี่น้องชาวพุทธ มุสลิม และศาสนิกอื่น ไม่มีพื้นแผ่นดินผืนใดในประเทศไทยที่ไม่มี
เลือดของคริสตชนที่สละเพื่อปกป้องบ้านเมือง เช่นกัน แม้กระทั่งก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2
ยิ่งกว่านั้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระเมตตาต่อคริสตชนอย่างมาก
และทรงมีความสนิทพระทัยกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ตามประวัติศาสตร์ว่า
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงส่งพระราชสาสน์มาทูลเชิญสมเด็จพระนารายณ์เข้านับถือ
คริสต์ศาสนา...จริง ๆ เรื่องราวมีลึกซึ้งกว่านั้น(อันนี้เป็นประวัิติศาสตร์นะครับ ผมไม่ได้
ทึกทักเอาเอง) หากคุณdream_kitjaroen สนใจลองหาหนังสือประวัติศาสตร์
ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ่านครับ มีนักวิชาการหลายท่านสรุป และเขียนไว้
http://haab.catholic.or.th/history/hist ... get11.html
จนถึงยุคราชวงศ์จักรี ... ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับคริสตชนตลอดมา และราชวงศ์
ก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อสำนักวาติกัน ในรัชสมัย รัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จกรุงโรม ประเทศ
อิตาลี สามเฌรไทยในวาติกันมารอรับเสด็จ สามเฌรยุคนั้นบวชกลับมาเป็นบาทหลวง
พัฒนาประเทศชาติไทยมากมาย

นั่นยังไม่รวมถึงด้านการศึกษา ที่สถาบันการศึกษาของคริสตศาสนา ผลิตประชากร
คุณภาพที่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย และนานาอารยประเทศมากมาย หลายคนได้
เป็นเสนาบดีบริหารชาติบ้านเมือง
นั่นแหละครับ สิ่งที่คริสตชน สร้างชาติไทย
เฉกเช่นเดียวกับพี่น้องศาสนิกอื่น ๆ
คงจะพอตอบคำถาม คุณdream_kitjaroen ได้นะครับ ว่าคริสตชนจะปฏิบัติตน
อย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ...

โดย : ฟรังซิสโก ณัฐวุฒิ เดินทางทุกที่ ๆ มีพระองค์