
คณะที่ดูแลคนป่วยคนเจ็บควรไปคณะไหนดีครับ
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
ผมเคยฝันครับนานแล้วฝันว่าเคยอยู่ๆในรพแห่งหนึ่งแล้วที่นั้นก็มีแต่คนเจ็บคนตายเยอะมากๆและผมก็เป็นผู้ช่วยคุณพ่อท่านหนึ่งครับที่คอยดูแลคนป่วยเหล่านั้นในฝันคุณพ่อจะใส่ชุดสีดำกางเขนสีแดงเด่นชัดตรงกลางเสื้อคลุมอันนี้ผมฝันนานแล้วครับแต่ในฝันน่ากลัวครับเพราะเห็นศพเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา ถูกเข็นเตียงผ่านหน้าตัวเองไปผมอยากตามความฝันผมอันนี้มากครับและถ้าเป็นความจริงผมก็อยากทำให้เป็นจริงไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปคับ 

-
- โพสต์: 282
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm
คณะคามิลเลียนค่ะ ดูจากฝันของคุณแล้ว ลองศึกษา หรือขอคำแนะนำจาก
คุณพ่อที่เป็นวิญญาณอารักษ์+สวดขอพระจิตเจ้า ช่วยนำทางค่ะ
ซึ่ง จะช่วยคุณในการแสวงหา น้ำพระทัยของพระเจ้า ได้ค่ะ
งั้นคุณลองศึกษา และดูประวัติของทางคณะคามิลเลียนว่า เป็นอย่างไรบ้างเผื่อจะได้มีกระแสเรียก
งานและการดำเนินชีวิต
จุดประสงค์เฉพาะ
คณะนักบวชคามิลเลียนเป็นคณะนักบวช ซึ่งอุทิศตัวทำงานเพื่อรับใช้คนไข้ จุดประสงค์โดยเฉพาะของคณะก็คือ จัดให้มีพระสงฆ์และภราดาคอยเอาใจใส่คนไข้และผู้ทุพพลภาพด้วยความรักต่อพระเป็นเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ ชาวคณะจึงปรนนิบัติคนไข้ด้วยความรักเยี่ยงมารดาเอาใจใส่ต่อบุตรที่ป่วยของตน และก็ตรงตามคำสอนที่ท่านนักบุญคามิลโลผู้สถาปนาคณะได้ทรงสอนไว้
ถ้าคนไข้ป่วยเฉพาะทางด้านร่างกายอย่างเดียว การพยาบาลและการใช้ยาก็เพียงพอเพื่อทำให้หายได้ ถ้าคนไข้ป่วยทางด้านจิตใจอย่างเดียว การนำพระหรรษทานของพระลงมาสู่คนไข้ก็เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมแล้ว แต่มนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อร่างกายไม่สบายจิตใจก็มักจะไม่สบายไปด้วย ดังนั้นขณะที่ให้การรักษาพยาบาลทางด้านร่างกายอยู่ ก็ควรให้พระหรรษทานบำรุงจิตใจด้วย เพราะเหตุนี้เองพระสงฆ์และภราดาของคณะจึงต้องทำงานร่วมกัน โดยควบคู่กันไป เพื่อให้ความเอาใจใส่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของคนไข้ อักเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งของคณะนักบวชคามิลเลียน
งานของพระสงฆ์
หลักอุดมคติของพระสงฆ์ของคณะทุกองค์ก็คือ ใช้พละกำลังที่พระเป็นเจ้าประทานให้ทั้งหมด ให้เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ พระสงฆ์ของคณะมักจะทำหน้าที่เป็นจิตตาธิการหรือผู้แนะ นำฝ่ายวิญญาณ อยู่ตามโรงพยาบาลซึ่งเป็นของคณะเอง นอกจากนี้ก็ยังมีพระสงฆ์ไปเป็น จิตตาธิการอยู่ตามโรงพยาบาลอื่นๆ อีกมาก
พระสงฆ์ของคณะนักบวชคามิลเลียนบางองค์ ก็ออกไปเยี่ยมคนไข้ตามบ้านเพื่อนำศีล พระหรรษทานหรือการปลอบใจไปสู่คนไข้ สมเด็จพระสันปาปาปีโอ ที่ 10 ได้ทรงประทานพระพรพิเศษแก่พระสงฆ์ของคณะให้ถวายมหาบูชามิสซาที่เตียงคนไข้ได้ บรรดาพระสงฆ์ย่อมกระทำกิจนี้ในโรงพยาบบาลของคณะเสมอ แต่สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือผู้ทุพพลภาพซึ่งขาดฟังมิสซาเป็นเวลานาน พระคุณพิเศษเช่นนี้ย่อมมีค่ายิ่งนัก พระสงฆ์ของคณะยังมีวิธีช่วยคนไข้ด้วยวิธีอื่นๆ อีก พระสงฆ์อาจจะช่วยคนไข้โดยทางอ้อม ด้วยการสนทนาและการให้คำแนะนำฝ่ายวิญญาณแก่บรรดานางพยาบาล ภคินีผู้ทำหน้าที่เป็นพยาบาลและบุคคลซึ่งทำหน้าที่ดูแลคนไข้และคนชรา ยิ่งกว่านั้นพระสงฆ์ยังพร้อมที่จะช่วยเอาใจใส่ดูแลคนไข้ทางด้านร่างกายเมื่อจำเป็น และโดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานของคณะ ใช่ว่าผู้ที่เป็นทหารทุกคนจะต้องออกไปทำการรบในแนวหน้าทั้งหมดก็หาไม่ ต้องมีทหารประจำตำแหน่งในแนวหลังของกองทัพอีกมาก ในคณะนักบวชคามิลเลียนก็เช่นกัน พระสงฆ์บางองค์ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ตรวจการ ผู้บริหารโรงพยาบาล อาจารย์ ผู้ควบคุมและสอนนวกชน ผู้แนะนำฝึกสอนวิชาชีพหรืออาจารย์สอน อยู่ในโรงเรียนของคณะ พระสงฆ์ผู้อยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ย่อมมีโอกาสได้ปรนนิบัติคนไข้โดยตรงน้อยมาก ซึ่งก็เปรียบได้กับทหารในแนวหลัง ที่ทำงานเพื่อชัยชนะของแนวหน้านั่นเอง ดังนั้น พระสงฆ์ผู้อยู่ในแนวหลัง จึงเป็นผู้เสริมกำลังให้คณะสามารถทำงานช่วยเหลือคนไข้ได้ดียิ้งขึ้น
งานของภราดา
ในการเอาใจใส่รักษาพยาบาลคนไข้ จำต้องมีบุคคลทั้งในแนวหน้าและแนวหลัง ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าได้แก่ภราดาผู้ทำหน้าที่เป็นพยาบาล ซึ่งจะไปยังเตียงคนไข้ เตรียมและให้ยารักษาอย่างดีที่สุดด้วยใจโอบอ้อมอารี ภราดาผู้ทำหน้าที่ตรวจไข้ ภราดาผู้ทำหน้าที่ในห้องตรวจเชื้อ เจ้าหน้าที่เอ๊กซเรย์ เภสัชกร และแพทย์เป็นต้น ภราดาจะทำงานแห่งความเมตตากรุณานี้ในโรงพยาบาลของคณะเอง สถานพยาบาล บ้านพักคนชราและสถานพักฟื้นโรคเรื้อน บรรดาภราดาต้องอดทน เพื่อเลียนแบบพระคริสตเจ้าและวิธีการรักษาของพระองค์ เพื่อจะได้รับใช้บุคคลในสถานที่ดังกล่าว
คำปฏิญาณและการแต่งกาย
ทั้งพระสงฆ์และภราดาของคณะคามิลเลียน จะอุทิศตนเพื่อรับใช้คนไข้ตลอดชีวิตตาม คำปฏิญาณ คณะคามิลเลียนมิได้เป็นคณะเดียวที่ให้คำปฎิญาณเช่นนี้ แต่ก็ไม่เหมือนกับคณะอื่น คือ ชาวคณะยอมอุทิศตนเพื่อเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นกาฬโรค และโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ชาวคณะคามิลเลียน มีแนวหลัง ก็ต้องถือตามคำปฏิญาณนี้ด้วยเช่นกันโดยการทำหน้าที่ได้รับมอบหมายจากคณะด้วยความเต็มใจ การสวดภาวนาและพลีกรรม
เครื่องแต่งกายของพระสงฆ์และของภราดา ของคณะนักบวชคามิลเลียนไม่ต่างกันเลย เครื่องแบบของคณะก็คือเสื้อหล่อยาวมีผ้าคาดเอว และโดยปกติจะมีเครื่องหมายของคณะคือกางเขนแดงใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักของพระเป็นเจ้า ที่มีต่อคนไข้ ติดอยู่ที่หน้าอก บรรดานักบวชคามิลเลียนจะได้รับกางเขนแดงของนักบุญคามิลโลนี้ในวันถวายตัวครั้งแรก
ชีวิตทางศาสนาของคณะ
คณะนักบวชคามิลเลียน มิได้เป็นเพียงบุคคลที่อุทิศตนเพื่อดูแลรักษาคนไข้อย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นคณะนักบวชที่พระศาสนจักรรับรองมาเป็นเวลากว่า 400 ปี อาศัยการทำงานทางด้านความเมตตากรุณา สมาชิกของคณะก็ทำตนให้เป็นศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันกับสมาชิกของคณะนักบวชอื่นๆ คำปฏิญาณที่ลึกซึ้งสามข้อของคณะ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์และความนบนอบ ทำให้บรรดานักบวชแยกตนออกจากโลก เพื่อจะได้มีชีวิตสนิทกับพระเป็นเจ้าโดย เฉพาะ การละทิ้งทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก และยอมตนเพื่อนบนอบตามคำสั่งของผู้ใหญ่ เป็นการมอบตัวทั้งหมดแด่พระเป็นเจ้า
พระสงฆ์และภราดาอาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือของโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่สงบ เพื่อจะได้เพิ่มพูนกำลังใจในการปฏิบัติงานด้วยการสวดภาวนา คณะไม่อนุญาตให้สมาชิกของคณะทำการทรมานตัวและอดอาหาร เพราะต้องการให้มีกำลังเพื่อปฏิบัติงานได้เต็มที่ ดังนั้นคณะจึงจัดให้สมาชิกแต่ละคนมีโอกาสพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ โดยให้มีการเข้าเงียบประจำ ปี
การเป็นพระสงฆ์
การเรียนเป็นพระสงฆ์นั้น ปกติจะต้องเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา 4 ปี แล้วเรียนในขั้นวิทยาลัยอีก 4 ปี เมื่อจบชั้นวิทยาลัยแล้ว ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์จะต้องหยุดพักการเรียนหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดจิตใจและเตรียมตัวตัดสินใจ ต่อจากนี้จึงเรียนวิชาเทวศาสตร์ อีก 4 ปี
ปีที่หยุดพักการเรียนนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตการเป็นนักบวชของคณะนักบวชคามิลเลียนทีเดียว ก่อนที่จะถึงปีนี้ ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์ ซึ่งเรียกว่า เณร จะได้ รับการศึกษาโดยอยู่กับคณะและเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของพระศาสนจักร แต่ยังไม่ได้สวมเครื่องแบบของคณะ และยังไม่ได้ปฎิญาณตัว หรือมีข้อผูดมัดว่าจะอยู่กับคณะหรือไม่ เมื่อสิ้นสุดปีแห่งการหยุดพักการเรียนนั้นแล้ว ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์ของคณะก็จะผูกมัดตัวด้วยคำ ปฎิญาณ 3 ข้อ ของพระศาสนจักร และเพิ่มอีกข้อหนึ่งคือการอุทิศตนเองเพื่อรับใช้คนไข้ การปฏิญาณตัวครั้งแรกนี้ จะทำกันเป็นเวลาสามปีหรือมากกว่านี้ก่อน เมื่อครบระยะเวลาที่ปฏิญาณตัวแล้ว ผู้ที่สมัครเป็นพระสงฆ์จึงทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะยอมผูกมัดตนด้วยศีลบรรพชาจนตลอดชีวิตหรือไม่ เมื่อผู้สมัครเป็นพระสงฆ์ทำการปฏิญาณตัวครั้งนี้แล้ว ก็จะเรียนต่อไปจนจบวิชาเทวศาสตร์ ต่อจากนี้ก็จะรับศีลบรรพชาเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์ใหม่นี้จะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดกระทำกิจการของอัครสาวก คือการเผยแพร่ศาสนา การฝึกหัดขั้นนี้พระสงฆ์ใหม่จะต้องเรียนทำวิธีเอาเอาใจใส่คนไข้ และวิธีทำงานเฉพาะของพระสงฆ์โดยอยู่ในความควบคุมของพระสงฆ์อาวุโสกว่า
การเป็นภราดา
ผู้ที่สมัครเป็นภราดาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดอยู่ในบ้านของคณะก่อน แล้วจึงจะเป็นภราดาขั้นนวกชนอีกหนึ่งปี เมื่อจบแล้วก็จะทำการปฏิญาณตัวสามข้อ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์ และความนบนอบ นอกจากนี้ก็จะต้องปฏิญาณตัวในเรื่องการรับใช้คนไข้ด้วย การปฎิญาณตัวครั้งนี้ก็ทำเป็นเวลาสามปี หรือมากกว่านี้เช่นเดียวกับผู้ที่สมัครเป็นพระสงฆ์ ในระหว่างปีที่ปฏิญาณตัวนี้ ภราดาก็จะได้รับการอบรมทั้งทางด้านจิตใจและด้านวิชาชีพที่จำเป็น เพื่อเป็นการปูพื้นฐานตลอดชีวิตการรับใช้คนไข้ ในระยะนี้ ภราดาที่มีความสามารถก็จะได้รับการอบรมในโรงพยาบาลที่ทางการรับรองด้วย คณะต้องการให้ภราดาเหล่านี้เป็นพยาบาลที่มีใบอนุญาต มีประกาศนียบัตรการฝึกงาน หรือเป็นเจ้าหน้าที่แผนกอื่นที่มีใบอนุญาต หรืออย่างอื่น ตามความสามารถของภราดาแต่ละองค์ ส่วนภราดาบางองค์จะไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะเช่นนี้ แต่การฝึกอบรมในหน้าที่อื่นเพื่อไปทำงานในโรงพยาบาลของคณะ อันเป็นวิธีการจัดประสาน งานที่มีค่าในการพยาบาลคนไข้ และเมื่อครบระยะเวลาแห่งการปฏิญาณตัวครั้งแรกนี้แล้ว ภราดาก็ต้องทำการตัดสินใจตลอดชีวิตเช่นเดียวกับพระสงฆ์ การปฏิญาณตัวตลอดชีพครั้งนี้เป็นการผูกมัดตัวเพื่อรับแบกกางเขนแดงของท่านนักบุญคามิลโล จนตลอดชีวิตด้วย
ผู้สถาปนาคณะ
นักบุญคามิลโล เดอ แลลลิส
พระพรพิเศษ
พระพรพิเศษของคณะ คืองานเมตตาธรรม ซึ่งปรากฏเป็นจริงด้วยการปฏิบัติดูแลเอาใจใส่คนป่วยด้วยความเมตตาเฉพาะอย่างยิ่ง เอาใจใส่ผู้ป่วยที่มีความต้องการมากที่สุด นอกจากนั้น คณะยังเอาใจใส่ได้ต่อสถานการณ์เร่งด่วนอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของพระศาสนจักร
จิตตารมณ์ของคณะ
การรับใช้ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป ... ี่ป่วยอยู่
วิสัยทัศน์
ประชากรของพระเจ้า ร่วมเป็นหนึ่งเดียวในความรัก แสวงหา ติดตาม และประกาศ พระเยซูคริสตเจ้า
พันธกิจ
พระศาสนจักรในประเทศไทย มุ่งอุทิศตนฟื้นฟูชีวิตให้สนิทกับพระคริสตเจ้า โดยอาศัยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวร่วมมือและแบ่งปันซึ่งกันและกัน แสวงหาคุณค่า พระอาณาจักรในบริบทสังคม เสวนา ฉันท์พี่น้องกับผู้มีความเชื่ออื่น ประกาศพระเยซูคริสตเจ้าและเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการดำเนินชีวิตเรียบง่าย รักและรับใช้ปวงชน โดยเน้นผู้ยากไร้
คณะนักบวชคามิลเลียนในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรไทย ได้แสดงเจตจำนงแน่วแน่ที่จะอุทิศตนต่อพระคริสตเจ้า ด้วยการรับใช้ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ตามจิตตารมณ์ของนักบุญคามิลโล
นักบุญคามิลโล เด แลลลิส เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1550 ที่หมู่บ้านบุคเดียนิโก แคว้นอาบรุสโซ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อ ร้อยเอก โจอันนี มารดาชื่อ คามิลลา เดคอมปัลลิส ช่วงชีวิตเยาว์วัยท่านได้ดำเนินชีวิตอย่างเสเพล ชอบเล่นการพนัน ภายหลังจากสูญเสียบิดาและมารดา ท่านได้สมัครเป็นทหารรับจ้าง และใช้ชีวิตแบบนักผจญภัย เสี่ยงชีวิตในการทำสงครามหลายครั้ง ปลายปี ค.ศ.1574 คามิลโล ได้ถูกปลดออกจากกองทัพ และด้วยนิสัยชอบเล่นการพนัน ท่านได้ขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาเล่นไพ่และลูกเต๋า จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัวสูญเสียแม้กระทั่งมรดกของตระกูล อาวุธและเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ จนต้องมานั่งขอทาน ภายหลัง ท่านได้มาทำงานเป็นกรรมกรช่วยก่อสร้างอารามฤาษีกาปูชิน จนในที่สุด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1575 (วันฉลองแม่พระถือศีลชำระ) ท่านได้สำนึกตัวและกลับใจอย่างเด็ดขาด และขอเข้าคณะกาปูชิน เจริญชีวิตแบบใหม่ โดยใช้โทษบาป ภาวนา และทำงาน แต่เนื่องจากแผลเก่าที่ข้อเท้าของท่าน
ทำให้ต้องกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล นักบุญยาโกโบ กรุงโรม ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เอง พระเจ้าได้ทรงเรียกท่านให้ดำเนินชีวิตประกอบเมตตาจิต อุทิศตนรับใช้ผู้ป่วยและผู้ยากไร้
ในปีค.ศ. 1584 ท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ และปีค.ศ.1586 สมเด็จพระสันตะปาปา ซิสโตที่ 5 รับรองชื่อคณะอย่างเป็นทางการคือ “ผู้รับใช้ผู้ป่วย” และให้ใช้กางเขนแดงเป็นเครื่อง หมายของคณะ ซึ่งหมายถึง ความเสียสละ และเมตตาจิต
ในปี ค.ศ. 1591 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี่ ที่ 14 ประกาศรับรองคณะอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นวันกำเนิดของคณะ ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1591 (วันฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมล) พร้อมคำปฏิญาณ 4 ประการ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์ ความนบนอบ และการรับใช้ผู้ป่วยแม้ต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1614 ท่านได้มรณภาพที่บ้านมักดาเลนา ศูนย์กลางของคณะคามิลเลียน กรุงโรม รวมอายุได้ 64 ปี ในปีค.ศ.1746 สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 14 ประกาศแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ
ในปี ค.ศ. 1886 สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ประกาศแต่งตั้งเป็นองค์อุปถัมภ์ของผู้ป่วย และในโรงพยาบาล
ในปี ค.ศ. 1930 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ประกาศแต่งตั้งท่าน เป็นผู้อุปถัมภ์ผู้ให้ การพยาบาลทั้งชายและหญิง
ปัจจุบัน คณะนักบวชคามิลเลียนได้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านนักบุญคามิลโลในการ “รักและรับใช้ผู้ป่วย" ต่อไป
การก่อตั้งโดยนักบุญคามิลโล
คณะผู้ช่วยพยาบาลเริ่มมีขึ้นในปี ค.ศ. 1584 โดยพระสงฆ์หนุ่มชาวอิตาเลียน ผู้มีนามว่า คามิลโล เดอ เลลลิส และผู้ร่วมงานอีกสามท่าน ชีวิตของคณะได้เริ่มต้น ในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในประเทศอิตาลี และงานของคณะก็คือการออกไปพยาบาลและช่วยเหลือคนไข้ตามโรงพยาบาลและตามบ้านในกรุงโรม
ถ้าท่านรู้จักคามิลโลหนุ่ม ก่อนปี ค.ศ. 1575 แล้วท่านจะนึกไม่ออกเลยว่าคามิลโล ยอดนักการพนันจะกลับเป็นพระสงฆ์ผู้ใจอารีและเป็นนักบุญได้อย่างไร นักบุญคามิลโลเกิดที่ภาคกลางของประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1550 ความทะเยอทะยานที่จะเป็นทหารเยี่ยงบิดาของท่าน ทำให้ท่านสมัครเข้ากองทัพคริสตังค์ ทำการรบกับพวกตุรกี เมื่ออายุยังไม่ถึง 19 ปี ความกล้าหาญของคามิลโล กลับเป็นที่รู้จักน้อยกว่าความาสามารถในการพนันเสียอีก ท่านรักการพนันยิ่งกว่าชีวิต ท่านเล่นการพนันแม้ในค่ายทหาร ตามร้ายอาหาร และบนถนน และท่านต้องเสียพนันจนหมดตัว
สิ่งที่ชักจูงท่านให้เปลี่ยนนิสัยจากทหารยอดนักการพนัน มาเป็นนักบุญของคนไข้ได้ก็คือ แผลที่รอบๆ ข้อเท้าของท่านเกิดอักเสบขึ้นมาก ทำให้ท่านไม่สามารถออกไปร่วมรบในสนามได้อีก ท่านจึงลดความทะเยอทะยานลงจนกระทั่งต้องเป็นผู้ขอความกรุณาจากผู้อื่นบ้าง พระสงฆ์คณะกาปูชินองค์หนึ่งได้ช่วยเหลือให้การรักษาพยาบาล ในระหว่างนี้ท่านจึงได้มีโอกาสได้เริ่มเรียนรู้ถึงเรื่องพระเป็นเจ้า และชีวิตแท้ของชาวคาทอลิก ดังนั้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1575 ท่านจึงเกิดมีความทุกข์ถึงบาปอย่างจริงจัง และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะรับใช้พระเป็นเจ้าขึ้นทันที และตั้งแต่บัดนั้น ท่านก็เริ่มไต่เต้าไปสู่ความเป็นนักบุญ ด้วยดวงใจอันร้อนรนและเด็ดเดี่ยวตลอดมา
คามิลโล ตั้งใจว่าจะเป็นภราดาในคณะนักบุญกาปูชิน แต่เครื่องแบบของคณะใช้ ผ้าหยาบและหนา ผ้าจึงเสียดสีกับแผลที่ข้อเท้าของท่าน ทำให้อักเสบและบวมมากขึ้นอีกจนท่านต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่ในโรงพยาบาลของนักบุญยาโกเบ ที่กรุงโรม เมื่อหายดีแล้วท่านจึงเริ่มทำหน้าที่เอาใจใส่คนไข้ในโรงพยาบาลนั้นเอง ท่านแสดงความสามารถในการงานจนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในไม่ช้า แม้ว่าคามิลโลจะได้มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วก็ตาม ท่านยังรู้สึกว่าท่านไม่สามารถทำประโยชน์ให้แก่คนไข้ได้เพียงพอ ดังนั้นด้วยความรู้สึกซึ้งถึงสภาพของมนุษย์ ท่านจึงตัดสินใจที่จะบวชเป็นพระสงฆ์โดยออกจากโรงพยาบาลและไปตั้งคณะใหม่ ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้ด้วยความรัก เช่นเดียวกันกับความรักที่ท่านมีต่อคนไข้ ท่านจึงสามารถตั้งคณะใหม่ ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้ด้วยความรัก เช่นเดียวกันกับความรักที่ท่านมีต่อคนไข้ ท่านจึงสามารถตั้งคณะของท่านสำเร็จในปี ค.ศ. 1584
การรับรองและความก้าวหน้าของคณะ
เพียงไม่กี่ปีต่อมาคณะนักบุญคามิลโลก็ขยายหน่วยงานออกเป็นสองหน่วยใหญ่ โดย หน่วยหนึ่งอยู่ในกรุงโรมและอีกหน่วยหนึ่งอยู่ในกรุงเนเปิล ความเอื้ออารีต่อคนไข้ทั้งในโรง พยาบาลและตามบ้าน โดยเฉพาะต่อผู้ป่วยโรคระบาดซึ่งมีชุกชุมในสมัยนั้น ทำให้หน่วยงาน ทั้งสองนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้น คณะของท่านจึงเจริญเติบโตมั่นคงและมีความสำคัญมากจนกระทั่งสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ 14 ได้รับรองการตั้งคณะและคำปฎิญาณอันลึกซึ้งของคณะใน ปี ค.ศ. 1591
เมื่อนักบุญคามิลโลถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1614 จำนวนสมาชิกทั้งพระสงฆ์และภราดา ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้มีอยู่ประมาณ 200ท่าน และทำงานอยู่ในเมืองสำคัญของประเทศอิตาลี 13 เมือง ในขณะนั้น คณะยังไม่มีโรงพยาบาลของคณะเองเลย สมาชิกของคณะจึงต้องออกไปทำงานตามโรงพยาบาลสาธารณะโดยการไปเยี่ยมประจำวัน หรือโดยการไปประจำอยู่ที่โรงพยา บาลและทำงานช่วยพยาบาลเวร พละกำลังและความสามารถทั้งหมดของคณะยังมุ่งไปที่การพยาบาลคนไข้ตามบ้านทั้งทางกายและทางใจด้วย ลักษณะเช่นนี้ทำให้คณะเจริญช้ามาก หลังจากมรณกรรมของนักบุญคามิลโล 150 ปี สมาชิกของคณะมีประมาณ 670 ท่าน และทำงานอยู่ในประเทศอิตาลี ฮังการี เสปน ปอร์ตุเกส อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เนื่องจากภัยคุกคามทาง การเมือง คณะต้องปิดบ้านของคณะหลายแห่ง และบางบ้านก็ต้องย้ายออกไปจากกรุงโรม ภัยดังกล่าวได้คุกคามอยู่นานกว่า 100 ปี และสิ้นสุดลงเมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1870 ในขณะนั้นจึงสำรวจพบว่ามีสมาชิกเหลืออยู่ประมาณ 100 ท่านเท่านั้น และล้วนแต่อยู่ในประเทศอิตาลี ถึงแม้ว่าจะมีภัยกำลังคุกคามอยู่ก็ตาม คณะก็ได้เริ่มสร้างโรงพยาบาล และดำเนินงานโดยสมาชิกของคณะเอง จึงทำให้อนาคตของคณะเจริญรุ่งเรืองขึ้น จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1935 คณะก็มีโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเกือบทั่วโลก โดยมีอยู่ในประเทศอิตาลี เสปน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเทอร์แลนด์ เดนมาร์ก เยอรมันนี อออสเตรีย โปแลนด์ อังกฤษ ไอร์แลนด์ เปรู บราซิล อาร์เย็นตีนา สหรัฐอเมริกา และภายหลังก็มีที่ประเทศโคลัมเบีย คานาดา เวเนเอลลาและออสเตรเลีย
คณะได้แพร่หลายต่อไปอีก โดยในปี ค.ศ. 1946 ได้เปิดคณะนักบวชคามิลเลียนขึ้นในประเทศจีน ไม่ช้าก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขัดขวาง แต่คณะก็ไปเปิดสถานที่ใหม่ทันทีในเกาะไต้หวัน เกาะเปสกาโดเรส และประเทศไทย ต่อมาจึงไปเปิดกิจการของคณะในอัฟริกาที่ประเทศตันซาเนีย เอ โวลดา และคาเมรูน จึงนับได้ว่าคณะกางเขนแดงของนักบุญคามิลโลมีอยู่ในทั้ง 5 ทวีปแล้ว
ในปี ค.ศ. 1960 คณะนักบวชคามิลเลียนมีสมาชิกบริการคนไข้ คนและผู้ที่ไร้ที่พึ่งอยู่จำนวนประมาณ 1200 ท่าน โดยทำงานในสถานบันของคณะจำนวน 65 สถาบัน พระสงฆ์ของคณะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอื่นและตามบ้านจำนวน 157 แห่ง มีนวกชนผู้สมัครและผู้ฝึกหัดจำนวน 1150 ท่าน ซึ่งกำลังฝึกหัดเพื่อจะเป็นพระสงฆ์และภราดาของคณะ แต่ก็ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนนักบวชคามิลเลียนยังมีน้อยเมื่อเทียบกับงานที่คณะจะต้องทำ ถ้าสมาชิกของคณะมีจำนวนมากขึ้นคณะก็คงจะทำงานได้มากกว่านี้อีกมาก ขอให้บุตรของนักบุญคามิลโล ในทุกๆ ประเทศจงวอนขอพระเป็นเจ้า และขอเยาวชนผู้มีน้ำใจดีเพื่อจะได้ขยายงานในสถานที่ใหม่ต่อๆ ไป
คุณพ่อที่เป็นวิญญาณอารักษ์+สวดขอพระจิตเจ้า ช่วยนำทางค่ะ
ซึ่ง จะช่วยคุณในการแสวงหา น้ำพระทัยของพระเจ้า ได้ค่ะ
งั้นคุณลองศึกษา และดูประวัติของทางคณะคามิลเลียนว่า เป็นอย่างไรบ้างเผื่อจะได้มีกระแสเรียก
งานและการดำเนินชีวิต
จุดประสงค์เฉพาะ
คณะนักบวชคามิลเลียนเป็นคณะนักบวช ซึ่งอุทิศตัวทำงานเพื่อรับใช้คนไข้ จุดประสงค์โดยเฉพาะของคณะก็คือ จัดให้มีพระสงฆ์และภราดาคอยเอาใจใส่คนไข้และผู้ทุพพลภาพด้วยความรักต่อพระเป็นเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ ชาวคณะจึงปรนนิบัติคนไข้ด้วยความรักเยี่ยงมารดาเอาใจใส่ต่อบุตรที่ป่วยของตน และก็ตรงตามคำสอนที่ท่านนักบุญคามิลโลผู้สถาปนาคณะได้ทรงสอนไว้
ถ้าคนไข้ป่วยเฉพาะทางด้านร่างกายอย่างเดียว การพยาบาลและการใช้ยาก็เพียงพอเพื่อทำให้หายได้ ถ้าคนไข้ป่วยทางด้านจิตใจอย่างเดียว การนำพระหรรษทานของพระลงมาสู่คนไข้ก็เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมแล้ว แต่มนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อร่างกายไม่สบายจิตใจก็มักจะไม่สบายไปด้วย ดังนั้นขณะที่ให้การรักษาพยาบาลทางด้านร่างกายอยู่ ก็ควรให้พระหรรษทานบำรุงจิตใจด้วย เพราะเหตุนี้เองพระสงฆ์และภราดาของคณะจึงต้องทำงานร่วมกัน โดยควบคู่กันไป เพื่อให้ความเอาใจใส่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของคนไข้ อักเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งของคณะนักบวชคามิลเลียน
งานของพระสงฆ์
หลักอุดมคติของพระสงฆ์ของคณะทุกองค์ก็คือ ใช้พละกำลังที่พระเป็นเจ้าประทานให้ทั้งหมด ให้เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ พระสงฆ์ของคณะมักจะทำหน้าที่เป็นจิตตาธิการหรือผู้แนะ นำฝ่ายวิญญาณ อยู่ตามโรงพยาบาลซึ่งเป็นของคณะเอง นอกจากนี้ก็ยังมีพระสงฆ์ไปเป็น จิตตาธิการอยู่ตามโรงพยาบาลอื่นๆ อีกมาก
พระสงฆ์ของคณะนักบวชคามิลเลียนบางองค์ ก็ออกไปเยี่ยมคนไข้ตามบ้านเพื่อนำศีล พระหรรษทานหรือการปลอบใจไปสู่คนไข้ สมเด็จพระสันปาปาปีโอ ที่ 10 ได้ทรงประทานพระพรพิเศษแก่พระสงฆ์ของคณะให้ถวายมหาบูชามิสซาที่เตียงคนไข้ได้ บรรดาพระสงฆ์ย่อมกระทำกิจนี้ในโรงพยาบบาลของคณะเสมอ แต่สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือผู้ทุพพลภาพซึ่งขาดฟังมิสซาเป็นเวลานาน พระคุณพิเศษเช่นนี้ย่อมมีค่ายิ่งนัก พระสงฆ์ของคณะยังมีวิธีช่วยคนไข้ด้วยวิธีอื่นๆ อีก พระสงฆ์อาจจะช่วยคนไข้โดยทางอ้อม ด้วยการสนทนาและการให้คำแนะนำฝ่ายวิญญาณแก่บรรดานางพยาบาล ภคินีผู้ทำหน้าที่เป็นพยาบาลและบุคคลซึ่งทำหน้าที่ดูแลคนไข้และคนชรา ยิ่งกว่านั้นพระสงฆ์ยังพร้อมที่จะช่วยเอาใจใส่ดูแลคนไข้ทางด้านร่างกายเมื่อจำเป็น และโดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานของคณะ ใช่ว่าผู้ที่เป็นทหารทุกคนจะต้องออกไปทำการรบในแนวหน้าทั้งหมดก็หาไม่ ต้องมีทหารประจำตำแหน่งในแนวหลังของกองทัพอีกมาก ในคณะนักบวชคามิลเลียนก็เช่นกัน พระสงฆ์บางองค์ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ตรวจการ ผู้บริหารโรงพยาบาล อาจารย์ ผู้ควบคุมและสอนนวกชน ผู้แนะนำฝึกสอนวิชาชีพหรืออาจารย์สอน อยู่ในโรงเรียนของคณะ พระสงฆ์ผู้อยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ย่อมมีโอกาสได้ปรนนิบัติคนไข้โดยตรงน้อยมาก ซึ่งก็เปรียบได้กับทหารในแนวหลัง ที่ทำงานเพื่อชัยชนะของแนวหน้านั่นเอง ดังนั้น พระสงฆ์ผู้อยู่ในแนวหลัง จึงเป็นผู้เสริมกำลังให้คณะสามารถทำงานช่วยเหลือคนไข้ได้ดียิ้งขึ้น
งานของภราดา
ในการเอาใจใส่รักษาพยาบาลคนไข้ จำต้องมีบุคคลทั้งในแนวหน้าและแนวหลัง ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าได้แก่ภราดาผู้ทำหน้าที่เป็นพยาบาล ซึ่งจะไปยังเตียงคนไข้ เตรียมและให้ยารักษาอย่างดีที่สุดด้วยใจโอบอ้อมอารี ภราดาผู้ทำหน้าที่ตรวจไข้ ภราดาผู้ทำหน้าที่ในห้องตรวจเชื้อ เจ้าหน้าที่เอ๊กซเรย์ เภสัชกร และแพทย์เป็นต้น ภราดาจะทำงานแห่งความเมตตากรุณานี้ในโรงพยาบาลของคณะเอง สถานพยาบาล บ้านพักคนชราและสถานพักฟื้นโรคเรื้อน บรรดาภราดาต้องอดทน เพื่อเลียนแบบพระคริสตเจ้าและวิธีการรักษาของพระองค์ เพื่อจะได้รับใช้บุคคลในสถานที่ดังกล่าว
คำปฏิญาณและการแต่งกาย
ทั้งพระสงฆ์และภราดาของคณะคามิลเลียน จะอุทิศตนเพื่อรับใช้คนไข้ตลอดชีวิตตาม คำปฏิญาณ คณะคามิลเลียนมิได้เป็นคณะเดียวที่ให้คำปฎิญาณเช่นนี้ แต่ก็ไม่เหมือนกับคณะอื่น คือ ชาวคณะยอมอุทิศตนเพื่อเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นกาฬโรค และโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ชาวคณะคามิลเลียน มีแนวหลัง ก็ต้องถือตามคำปฏิญาณนี้ด้วยเช่นกันโดยการทำหน้าที่ได้รับมอบหมายจากคณะด้วยความเต็มใจ การสวดภาวนาและพลีกรรม
เครื่องแต่งกายของพระสงฆ์และของภราดา ของคณะนักบวชคามิลเลียนไม่ต่างกันเลย เครื่องแบบของคณะก็คือเสื้อหล่อยาวมีผ้าคาดเอว และโดยปกติจะมีเครื่องหมายของคณะคือกางเขนแดงใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักของพระเป็นเจ้า ที่มีต่อคนไข้ ติดอยู่ที่หน้าอก บรรดานักบวชคามิลเลียนจะได้รับกางเขนแดงของนักบุญคามิลโลนี้ในวันถวายตัวครั้งแรก
ชีวิตทางศาสนาของคณะ
คณะนักบวชคามิลเลียน มิได้เป็นเพียงบุคคลที่อุทิศตนเพื่อดูแลรักษาคนไข้อย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นคณะนักบวชที่พระศาสนจักรรับรองมาเป็นเวลากว่า 400 ปี อาศัยการทำงานทางด้านความเมตตากรุณา สมาชิกของคณะก็ทำตนให้เป็นศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันกับสมาชิกของคณะนักบวชอื่นๆ คำปฏิญาณที่ลึกซึ้งสามข้อของคณะ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์และความนบนอบ ทำให้บรรดานักบวชแยกตนออกจากโลก เพื่อจะได้มีชีวิตสนิทกับพระเป็นเจ้าโดย เฉพาะ การละทิ้งทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก และยอมตนเพื่อนบนอบตามคำสั่งของผู้ใหญ่ เป็นการมอบตัวทั้งหมดแด่พระเป็นเจ้า
พระสงฆ์และภราดาอาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือของโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่สงบ เพื่อจะได้เพิ่มพูนกำลังใจในการปฏิบัติงานด้วยการสวดภาวนา คณะไม่อนุญาตให้สมาชิกของคณะทำการทรมานตัวและอดอาหาร เพราะต้องการให้มีกำลังเพื่อปฏิบัติงานได้เต็มที่ ดังนั้นคณะจึงจัดให้สมาชิกแต่ละคนมีโอกาสพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ โดยให้มีการเข้าเงียบประจำ ปี
การเป็นพระสงฆ์
การเรียนเป็นพระสงฆ์นั้น ปกติจะต้องเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา 4 ปี แล้วเรียนในขั้นวิทยาลัยอีก 4 ปี เมื่อจบชั้นวิทยาลัยแล้ว ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์จะต้องหยุดพักการเรียนหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดจิตใจและเตรียมตัวตัดสินใจ ต่อจากนี้จึงเรียนวิชาเทวศาสตร์ อีก 4 ปี
ปีที่หยุดพักการเรียนนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตการเป็นนักบวชของคณะนักบวชคามิลเลียนทีเดียว ก่อนที่จะถึงปีนี้ ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์ ซึ่งเรียกว่า เณร จะได้ รับการศึกษาโดยอยู่กับคณะและเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของพระศาสนจักร แต่ยังไม่ได้สวมเครื่องแบบของคณะ และยังไม่ได้ปฎิญาณตัว หรือมีข้อผูดมัดว่าจะอยู่กับคณะหรือไม่ เมื่อสิ้นสุดปีแห่งการหยุดพักการเรียนนั้นแล้ว ผู้ที่สมัครเรียนเป็นพระสงฆ์ของคณะก็จะผูกมัดตัวด้วยคำ ปฎิญาณ 3 ข้อ ของพระศาสนจักร และเพิ่มอีกข้อหนึ่งคือการอุทิศตนเองเพื่อรับใช้คนไข้ การปฏิญาณตัวครั้งแรกนี้ จะทำกันเป็นเวลาสามปีหรือมากกว่านี้ก่อน เมื่อครบระยะเวลาที่ปฏิญาณตัวแล้ว ผู้ที่สมัครเป็นพระสงฆ์จึงทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะยอมผูกมัดตนด้วยศีลบรรพชาจนตลอดชีวิตหรือไม่ เมื่อผู้สมัครเป็นพระสงฆ์ทำการปฏิญาณตัวครั้งนี้แล้ว ก็จะเรียนต่อไปจนจบวิชาเทวศาสตร์ ต่อจากนี้ก็จะรับศีลบรรพชาเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์ใหม่นี้จะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดกระทำกิจการของอัครสาวก คือการเผยแพร่ศาสนา การฝึกหัดขั้นนี้พระสงฆ์ใหม่จะต้องเรียนทำวิธีเอาเอาใจใส่คนไข้ และวิธีทำงานเฉพาะของพระสงฆ์โดยอยู่ในความควบคุมของพระสงฆ์อาวุโสกว่า
การเป็นภราดา
ผู้ที่สมัครเป็นภราดาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อฝึกหัดอยู่ในบ้านของคณะก่อน แล้วจึงจะเป็นภราดาขั้นนวกชนอีกหนึ่งปี เมื่อจบแล้วก็จะทำการปฏิญาณตัวสามข้อ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์ และความนบนอบ นอกจากนี้ก็จะต้องปฏิญาณตัวในเรื่องการรับใช้คนไข้ด้วย การปฎิญาณตัวครั้งนี้ก็ทำเป็นเวลาสามปี หรือมากกว่านี้เช่นเดียวกับผู้ที่สมัครเป็นพระสงฆ์ ในระหว่างปีที่ปฏิญาณตัวนี้ ภราดาก็จะได้รับการอบรมทั้งทางด้านจิตใจและด้านวิชาชีพที่จำเป็น เพื่อเป็นการปูพื้นฐานตลอดชีวิตการรับใช้คนไข้ ในระยะนี้ ภราดาที่มีความสามารถก็จะได้รับการอบรมในโรงพยาบาลที่ทางการรับรองด้วย คณะต้องการให้ภราดาเหล่านี้เป็นพยาบาลที่มีใบอนุญาต มีประกาศนียบัตรการฝึกงาน หรือเป็นเจ้าหน้าที่แผนกอื่นที่มีใบอนุญาต หรืออย่างอื่น ตามความสามารถของภราดาแต่ละองค์ ส่วนภราดาบางองค์จะไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะเช่นนี้ แต่การฝึกอบรมในหน้าที่อื่นเพื่อไปทำงานในโรงพยาบาลของคณะ อันเป็นวิธีการจัดประสาน งานที่มีค่าในการพยาบาลคนไข้ และเมื่อครบระยะเวลาแห่งการปฏิญาณตัวครั้งแรกนี้แล้ว ภราดาก็ต้องทำการตัดสินใจตลอดชีวิตเช่นเดียวกับพระสงฆ์ การปฏิญาณตัวตลอดชีพครั้งนี้เป็นการผูกมัดตัวเพื่อรับแบกกางเขนแดงของท่านนักบุญคามิลโล จนตลอดชีวิตด้วย
ผู้สถาปนาคณะ
นักบุญคามิลโล เดอ แลลลิส
พระพรพิเศษ
พระพรพิเศษของคณะ คืองานเมตตาธรรม ซึ่งปรากฏเป็นจริงด้วยการปฏิบัติดูแลเอาใจใส่คนป่วยด้วยความเมตตาเฉพาะอย่างยิ่ง เอาใจใส่ผู้ป่วยที่มีความต้องการมากที่สุด นอกจากนั้น คณะยังเอาใจใส่ได้ต่อสถานการณ์เร่งด่วนอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของพระศาสนจักร
จิตตารมณ์ของคณะ
การรับใช้ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป ... ี่ป่วยอยู่
วิสัยทัศน์
ประชากรของพระเจ้า ร่วมเป็นหนึ่งเดียวในความรัก แสวงหา ติดตาม และประกาศ พระเยซูคริสตเจ้า
พันธกิจ
พระศาสนจักรในประเทศไทย มุ่งอุทิศตนฟื้นฟูชีวิตให้สนิทกับพระคริสตเจ้า โดยอาศัยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวร่วมมือและแบ่งปันซึ่งกันและกัน แสวงหาคุณค่า พระอาณาจักรในบริบทสังคม เสวนา ฉันท์พี่น้องกับผู้มีความเชื่ออื่น ประกาศพระเยซูคริสตเจ้าและเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการดำเนินชีวิตเรียบง่าย รักและรับใช้ปวงชน โดยเน้นผู้ยากไร้
คณะนักบวชคามิลเลียนในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรไทย ได้แสดงเจตจำนงแน่วแน่ที่จะอุทิศตนต่อพระคริสตเจ้า ด้วยการรับใช้ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ตามจิตตารมณ์ของนักบุญคามิลโล
นักบุญคามิลโล เด แลลลิส เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1550 ที่หมู่บ้านบุคเดียนิโก แคว้นอาบรุสโซ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อ ร้อยเอก โจอันนี มารดาชื่อ คามิลลา เดคอมปัลลิส ช่วงชีวิตเยาว์วัยท่านได้ดำเนินชีวิตอย่างเสเพล ชอบเล่นการพนัน ภายหลังจากสูญเสียบิดาและมารดา ท่านได้สมัครเป็นทหารรับจ้าง และใช้ชีวิตแบบนักผจญภัย เสี่ยงชีวิตในการทำสงครามหลายครั้ง ปลายปี ค.ศ.1574 คามิลโล ได้ถูกปลดออกจากกองทัพ และด้วยนิสัยชอบเล่นการพนัน ท่านได้ขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาเล่นไพ่และลูกเต๋า จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัวสูญเสียแม้กระทั่งมรดกของตระกูล อาวุธและเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ จนต้องมานั่งขอทาน ภายหลัง ท่านได้มาทำงานเป็นกรรมกรช่วยก่อสร้างอารามฤาษีกาปูชิน จนในที่สุด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1575 (วันฉลองแม่พระถือศีลชำระ) ท่านได้สำนึกตัวและกลับใจอย่างเด็ดขาด และขอเข้าคณะกาปูชิน เจริญชีวิตแบบใหม่ โดยใช้โทษบาป ภาวนา และทำงาน แต่เนื่องจากแผลเก่าที่ข้อเท้าของท่าน
ทำให้ต้องกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล นักบุญยาโกโบ กรุงโรม ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เอง พระเจ้าได้ทรงเรียกท่านให้ดำเนินชีวิตประกอบเมตตาจิต อุทิศตนรับใช้ผู้ป่วยและผู้ยากไร้
ในปีค.ศ. 1584 ท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ และปีค.ศ.1586 สมเด็จพระสันตะปาปา ซิสโตที่ 5 รับรองชื่อคณะอย่างเป็นทางการคือ “ผู้รับใช้ผู้ป่วย” และให้ใช้กางเขนแดงเป็นเครื่อง หมายของคณะ ซึ่งหมายถึง ความเสียสละ และเมตตาจิต
ในปี ค.ศ. 1591 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี่ ที่ 14 ประกาศรับรองคณะอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นวันกำเนิดของคณะ ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1591 (วันฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมล) พร้อมคำปฏิญาณ 4 ประการ คือ ความยากจน ความบริสุทธิ์ ความนบนอบ และการรับใช้ผู้ป่วยแม้ต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1614 ท่านได้มรณภาพที่บ้านมักดาเลนา ศูนย์กลางของคณะคามิลเลียน กรุงโรม รวมอายุได้ 64 ปี ในปีค.ศ.1746 สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 14 ประกาศแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ
ในปี ค.ศ. 1886 สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ประกาศแต่งตั้งเป็นองค์อุปถัมภ์ของผู้ป่วย และในโรงพยาบาล
ในปี ค.ศ. 1930 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ประกาศแต่งตั้งท่าน เป็นผู้อุปถัมภ์ผู้ให้ การพยาบาลทั้งชายและหญิง
ปัจจุบัน คณะนักบวชคามิลเลียนได้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านนักบุญคามิลโลในการ “รักและรับใช้ผู้ป่วย" ต่อไป
การก่อตั้งโดยนักบุญคามิลโล
คณะผู้ช่วยพยาบาลเริ่มมีขึ้นในปี ค.ศ. 1584 โดยพระสงฆ์หนุ่มชาวอิตาเลียน ผู้มีนามว่า คามิลโล เดอ เลลลิส และผู้ร่วมงานอีกสามท่าน ชีวิตของคณะได้เริ่มต้น ในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในประเทศอิตาลี และงานของคณะก็คือการออกไปพยาบาลและช่วยเหลือคนไข้ตามโรงพยาบาลและตามบ้านในกรุงโรม
ถ้าท่านรู้จักคามิลโลหนุ่ม ก่อนปี ค.ศ. 1575 แล้วท่านจะนึกไม่ออกเลยว่าคามิลโล ยอดนักการพนันจะกลับเป็นพระสงฆ์ผู้ใจอารีและเป็นนักบุญได้อย่างไร นักบุญคามิลโลเกิดที่ภาคกลางของประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1550 ความทะเยอทะยานที่จะเป็นทหารเยี่ยงบิดาของท่าน ทำให้ท่านสมัครเข้ากองทัพคริสตังค์ ทำการรบกับพวกตุรกี เมื่ออายุยังไม่ถึง 19 ปี ความกล้าหาญของคามิลโล กลับเป็นที่รู้จักน้อยกว่าความาสามารถในการพนันเสียอีก ท่านรักการพนันยิ่งกว่าชีวิต ท่านเล่นการพนันแม้ในค่ายทหาร ตามร้ายอาหาร และบนถนน และท่านต้องเสียพนันจนหมดตัว
สิ่งที่ชักจูงท่านให้เปลี่ยนนิสัยจากทหารยอดนักการพนัน มาเป็นนักบุญของคนไข้ได้ก็คือ แผลที่รอบๆ ข้อเท้าของท่านเกิดอักเสบขึ้นมาก ทำให้ท่านไม่สามารถออกไปร่วมรบในสนามได้อีก ท่านจึงลดความทะเยอทะยานลงจนกระทั่งต้องเป็นผู้ขอความกรุณาจากผู้อื่นบ้าง พระสงฆ์คณะกาปูชินองค์หนึ่งได้ช่วยเหลือให้การรักษาพยาบาล ในระหว่างนี้ท่านจึงได้มีโอกาสได้เริ่มเรียนรู้ถึงเรื่องพระเป็นเจ้า และชีวิตแท้ของชาวคาทอลิก ดังนั้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1575 ท่านจึงเกิดมีความทุกข์ถึงบาปอย่างจริงจัง และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะรับใช้พระเป็นเจ้าขึ้นทันที และตั้งแต่บัดนั้น ท่านก็เริ่มไต่เต้าไปสู่ความเป็นนักบุญ ด้วยดวงใจอันร้อนรนและเด็ดเดี่ยวตลอดมา
คามิลโล ตั้งใจว่าจะเป็นภราดาในคณะนักบุญกาปูชิน แต่เครื่องแบบของคณะใช้ ผ้าหยาบและหนา ผ้าจึงเสียดสีกับแผลที่ข้อเท้าของท่าน ทำให้อักเสบและบวมมากขึ้นอีกจนท่านต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่ในโรงพยาบาลของนักบุญยาโกเบ ที่กรุงโรม เมื่อหายดีแล้วท่านจึงเริ่มทำหน้าที่เอาใจใส่คนไข้ในโรงพยาบาลนั้นเอง ท่านแสดงความสามารถในการงานจนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในไม่ช้า แม้ว่าคามิลโลจะได้มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วก็ตาม ท่านยังรู้สึกว่าท่านไม่สามารถทำประโยชน์ให้แก่คนไข้ได้เพียงพอ ดังนั้นด้วยความรู้สึกซึ้งถึงสภาพของมนุษย์ ท่านจึงตัดสินใจที่จะบวชเป็นพระสงฆ์โดยออกจากโรงพยาบาลและไปตั้งคณะใหม่ ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้ด้วยความรัก เช่นเดียวกันกับความรักที่ท่านมีต่อคนไข้ ท่านจึงสามารถตั้งคณะใหม่ ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้ด้วยความรัก เช่นเดียวกันกับความรักที่ท่านมีต่อคนไข้ ท่านจึงสามารถตั้งคณะของท่านสำเร็จในปี ค.ศ. 1584
การรับรองและความก้าวหน้าของคณะ
เพียงไม่กี่ปีต่อมาคณะนักบุญคามิลโลก็ขยายหน่วยงานออกเป็นสองหน่วยใหญ่ โดย หน่วยหนึ่งอยู่ในกรุงโรมและอีกหน่วยหนึ่งอยู่ในกรุงเนเปิล ความเอื้ออารีต่อคนไข้ทั้งในโรง พยาบาลและตามบ้าน โดยเฉพาะต่อผู้ป่วยโรคระบาดซึ่งมีชุกชุมในสมัยนั้น ทำให้หน่วยงาน ทั้งสองนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้น คณะของท่านจึงเจริญเติบโตมั่นคงและมีความสำคัญมากจนกระทั่งสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ 14 ได้รับรองการตั้งคณะและคำปฎิญาณอันลึกซึ้งของคณะใน ปี ค.ศ. 1591
เมื่อนักบุญคามิลโลถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1614 จำนวนสมาชิกทั้งพระสงฆ์และภราดา ซึ่งทำหน้าที่พยาบาลคนไข้มีอยู่ประมาณ 200ท่าน และทำงานอยู่ในเมืองสำคัญของประเทศอิตาลี 13 เมือง ในขณะนั้น คณะยังไม่มีโรงพยาบาลของคณะเองเลย สมาชิกของคณะจึงต้องออกไปทำงานตามโรงพยาบาลสาธารณะโดยการไปเยี่ยมประจำวัน หรือโดยการไปประจำอยู่ที่โรงพยา บาลและทำงานช่วยพยาบาลเวร พละกำลังและความสามารถทั้งหมดของคณะยังมุ่งไปที่การพยาบาลคนไข้ตามบ้านทั้งทางกายและทางใจด้วย ลักษณะเช่นนี้ทำให้คณะเจริญช้ามาก หลังจากมรณกรรมของนักบุญคามิลโล 150 ปี สมาชิกของคณะมีประมาณ 670 ท่าน และทำงานอยู่ในประเทศอิตาลี ฮังการี เสปน ปอร์ตุเกส อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เนื่องจากภัยคุกคามทาง การเมือง คณะต้องปิดบ้านของคณะหลายแห่ง และบางบ้านก็ต้องย้ายออกไปจากกรุงโรม ภัยดังกล่าวได้คุกคามอยู่นานกว่า 100 ปี และสิ้นสุดลงเมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1870 ในขณะนั้นจึงสำรวจพบว่ามีสมาชิกเหลืออยู่ประมาณ 100 ท่านเท่านั้น และล้วนแต่อยู่ในประเทศอิตาลี ถึงแม้ว่าจะมีภัยกำลังคุกคามอยู่ก็ตาม คณะก็ได้เริ่มสร้างโรงพยาบาล และดำเนินงานโดยสมาชิกของคณะเอง จึงทำให้อนาคตของคณะเจริญรุ่งเรืองขึ้น จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1935 คณะก็มีโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเกือบทั่วโลก โดยมีอยู่ในประเทศอิตาลี เสปน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเทอร์แลนด์ เดนมาร์ก เยอรมันนี อออสเตรีย โปแลนด์ อังกฤษ ไอร์แลนด์ เปรู บราซิล อาร์เย็นตีนา สหรัฐอเมริกา และภายหลังก็มีที่ประเทศโคลัมเบีย คานาดา เวเนเอลลาและออสเตรเลีย
คณะได้แพร่หลายต่อไปอีก โดยในปี ค.ศ. 1946 ได้เปิดคณะนักบวชคามิลเลียนขึ้นในประเทศจีน ไม่ช้าก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขัดขวาง แต่คณะก็ไปเปิดสถานที่ใหม่ทันทีในเกาะไต้หวัน เกาะเปสกาโดเรส และประเทศไทย ต่อมาจึงไปเปิดกิจการของคณะในอัฟริกาที่ประเทศตันซาเนีย เอ โวลดา และคาเมรูน จึงนับได้ว่าคณะกางเขนแดงของนักบุญคามิลโลมีอยู่ในทั้ง 5 ทวีปแล้ว
ในปี ค.ศ. 1960 คณะนักบวชคามิลเลียนมีสมาชิกบริการคนไข้ คนและผู้ที่ไร้ที่พึ่งอยู่จำนวนประมาณ 1200 ท่าน โดยทำงานในสถานบันของคณะจำนวน 65 สถาบัน พระสงฆ์ของคณะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอื่นและตามบ้านจำนวน 157 แห่ง มีนวกชนผู้สมัครและผู้ฝึกหัดจำนวน 1150 ท่าน ซึ่งกำลังฝึกหัดเพื่อจะเป็นพระสงฆ์และภราดาของคณะ แต่ก็ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนนักบวชคามิลเลียนยังมีน้อยเมื่อเทียบกับงานที่คณะจะต้องทำ ถ้าสมาชิกของคณะมีจำนวนมากขึ้นคณะก็คงจะทำงานได้มากกว่านี้อีกมาก ขอให้บุตรของนักบุญคามิลโล ในทุกๆ ประเทศจงวอนขอพระเป็นเจ้า และขอเยาวชนผู้มีน้ำใจดีเพื่อจะได้ขยายงานในสถานที่ใหม่ต่อๆ ไป
- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:


-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
ผมก็อยากไปนะแต่ผมกลัวอะในฝันอะเห็นเหมือนอยุ่ในสงครามมีคนเจ็บคนตายถูกนำเข้ามาในรพ ผมโครตกลัวเลย แต่ในฝันชุดคุณพ่อจะสีดำแล้วก็มีกางเขนสีแดงจริงๆผาดกลางเสื้อคลุมผมจำได้เหมือนผมเป็นผู้ช่วยท่านแล้วก่อนตื่นจากฝันท่านให้เหรียญๆหนึ่งมาท่านบอกว่ามันเป็นเหรียญพระบิดาฝันนี้นานล่ะประมานสองปี
-
- โพสต์: 282
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm
ไม่เป็นไรค่ะ
จงเชื่อในพระกระแสเรียก
คุณลองเข้าคณะคามิลเลี่ยนเพื่อศึกษาดูงาน ทำประสบการณ์กับคณะนี้ ประมาณ 2-3 เดือนก็ได้ค่ะ
ในฝันของคุณ ที่ฝันว่า มีคนป่วยมากมายเข้ามา อาจจะเป็นสิ่งที่อาจจะบ่งบอกถึง ชีวิตของคุณในอนาคตก็ได้นะค่ะ พระเจ้าอาจจะทรง ให้คุณเห็นสิ่งพวกนี้ก่อน เพื่อเตรียมทางแห่งน้ำพระทัยสำหรับตัวคุณ อาจจะมีอุปสรรค มากมาย แต่ไม่เป็นไร คุณพ่อ ทรงให้เหรียญ พระบิดา หนึ่งเหรียญ ในความฝันแก่คุณ นั้นอาจจะหมายถึง การบ่งบอกถึงงานของพระบิดา ที่มีไว้สำหรับตัวคุณ
ถึงตอนนี้ ดิฉันก็เคยมีความฝันเหมือนกัน นี้แหละค่ะ แต่เป็นของคณะ ซิสเตอร์ซาเลเชียน(FMA) ตอนนี้ ก็จะทำประสบการณ์ กับทางคณะ ประมาณ 1 เดือน ตอนนี้ ก็รออนุมัติ จากท่านผู้ใหญ่อยู่
ก่อนที่ ดิฉันจะตัดสินใจได้ก็ ประมาณ ป.6 - จบ ม.6 มีความกลัวเหมือนกันค่ะ กลัวนู้นกลัวนี้ กลัวไปหมด กว่าจะตัดสินใจได้ก็นานค่ะ ต้องของคำแนะนำจาก ซิสเตอร์ ต้องใช้เวลา ในการตัดสินใจ ค่ะ
ซิสเตอร์บอกว่า ไม่ต้องกลัว ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นพระประสงค์ ของพระเจ้า เราจะทำมันได้ดี และมีความสุขกับงาน ถึงแม้จะมีอุปสรรค บ้าง แต่ เราก็ยังมีความสุขเสมอ
จงแสวงหาพระองค์ ด้วยสิ้นสุดจิตใจก่อน แล้วท่านจะพบ
พระองค์ทรงมีเวลา ของพระองค์เสมอ แม้ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด พระองค์ก็จะทรงเรียกและ
เลือกคุณเสมอ งานของคุณที่พระเจ้ามอบให้คุณ จะไม่มีใคร แทนที่คุณได้
ที่เขียนมาทั้งหมด นี้ เป็นสิ่งที่อยากแนะนำค่ะ งั้นขอให้คุณ ได้พบหนทางของพระเจ้า โดยเร็ววัน
จงเชื่อในพระกระแสเรียก
คุณลองเข้าคณะคามิลเลี่ยนเพื่อศึกษาดูงาน ทำประสบการณ์กับคณะนี้ ประมาณ 2-3 เดือนก็ได้ค่ะ
ในฝันของคุณ ที่ฝันว่า มีคนป่วยมากมายเข้ามา อาจจะเป็นสิ่งที่อาจจะบ่งบอกถึง ชีวิตของคุณในอนาคตก็ได้นะค่ะ พระเจ้าอาจจะทรง ให้คุณเห็นสิ่งพวกนี้ก่อน เพื่อเตรียมทางแห่งน้ำพระทัยสำหรับตัวคุณ อาจจะมีอุปสรรค มากมาย แต่ไม่เป็นไร คุณพ่อ ทรงให้เหรียญ พระบิดา หนึ่งเหรียญ ในความฝันแก่คุณ นั้นอาจจะหมายถึง การบ่งบอกถึงงานของพระบิดา ที่มีไว้สำหรับตัวคุณ
ถึงตอนนี้ ดิฉันก็เคยมีความฝันเหมือนกัน นี้แหละค่ะ แต่เป็นของคณะ ซิสเตอร์ซาเลเชียน(FMA) ตอนนี้ ก็จะทำประสบการณ์ กับทางคณะ ประมาณ 1 เดือน ตอนนี้ ก็รออนุมัติ จากท่านผู้ใหญ่อยู่
ก่อนที่ ดิฉันจะตัดสินใจได้ก็ ประมาณ ป.6 - จบ ม.6 มีความกลัวเหมือนกันค่ะ กลัวนู้นกลัวนี้ กลัวไปหมด กว่าจะตัดสินใจได้ก็นานค่ะ ต้องของคำแนะนำจาก ซิสเตอร์ ต้องใช้เวลา ในการตัดสินใจ ค่ะ
ซิสเตอร์บอกว่า ไม่ต้องกลัว ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นพระประสงค์ ของพระเจ้า เราจะทำมันได้ดี และมีความสุขกับงาน ถึงแม้จะมีอุปสรรค บ้าง แต่ เราก็ยังมีความสุขเสมอ
จงแสวงหาพระองค์ ด้วยสิ้นสุดจิตใจก่อน แล้วท่านจะพบ
พระองค์ทรงมีเวลา ของพระองค์เสมอ แม้ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด พระองค์ก็จะทรงเรียกและ
เลือกคุณเสมอ งานของคุณที่พระเจ้ามอบให้คุณ จะไม่มีใคร แทนที่คุณได้
ที่เขียนมาทั้งหมด นี้ เป็นสิ่งที่อยากแนะนำค่ะ งั้นขอให้คุณ ได้พบหนทางของพระเจ้า โดยเร็ววัน
-
- โพสต์: 954
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:04 pm
ผมกลัวเรื่องนี้มากครับ ผีอะ



- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:


