ครอบครัวเป็นพุทธทั้งหมด ยกเว้นพี่ชายที่เป็นพุทธแต่ในทะเบียนราษฎร์ ใจจริงไม่นับถืออะไรเลย
เกริ่นก่อนนะคะว่าบ้านเราอยู่แถวชานเมืองที่นครพนม อยู่ติดถนนใหญ่ บ้านเข้าไปในซอยเล็กๆ 2 หลัง จากนั้นก็เป็นทุ่งนา มีหมู่บ้านคาธอลิกอยู่ถัดจากนั้นค่ะ สมัยเด็กๆ ต้นไม้บ้านข้างๆ บ้านถัดไปยังไม่โต ตอนเย็นๆ เรามักจะยืนเกาะขอบหน้าต่างดูหมู่บ้านฝั่งนั้น เพราะมีอย่างนึงที่เราสนใจ เป็นโบสถ์เก่าอายุร่วมร้อยปี สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคที่คุณพ่อมิชชันนารีมาเผยแผ่ศาสนาในดินแดนแถบนี้ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสิ่งก่อสร้างเก่าๆ นั่นคืออะไร แต่ก็ชอบมองดูอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งช่วงปลายเทอม1ตอน ป.4 ตอนพักเที่ยงเรากับเพื่อนๆ กำลังนั่งเล่นหน้าห้องสมุด อยู่ๆก็มีพี่ป.6ที่ไม่รู้จัก (ไม่รู้จักใครเลยป.6เนี่ย) มาจูงมือพาเดินขึ้นไปชั้น3

ตั้งแต่นั้นก็ได้รู้จักกัน แล้วก็รู้ว่าที่ดูอยู่บ่อยๆ นั่นน่ะเป็นโบสถ์คริสต์คาธอลิกนะ (ก็พี่เค้าเป็นคริสตังอยู่หมู่บ้านนั้นแหละ) เราก็สนใจขึ้นมาเพราะว่า นักเขียนที่เราชอบมากที่สุดตั้งแต่ป.1จนถึงตอนนี้ (LOTR เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆเลย) J.R.R.Tolkien แม่ น้องชายกับเขา ถูกทางญาติฝ่ายแม่ทอดทิ้งให้เผชิญความยากลำบากเพราะแม่ของเขาหันไปนับถือคาธอลิกนี่เอง แล้วตัวโทลคีนเองก็เป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดคนนึงด้วย

แล้วคริสต์มาสปีนั้น เราก็ได้ไปร่วมแห่ดาวที่วัดนั้นค่ะ (ครอบครัวเรารู้จักกับครอบครัวของพี่สาวคนนั้นอยู่แล้ว พ่อก็เลยอนุญาติ) เป็นครั้งแรกที่ได้เข้า(ไปดู)มิซซาของเราเลย
หลังจากนั้นวันหยุด บางครั้งนานๆที (ประมาณ1-2เดือนครั้ง)เราก็ไปแวะเล่นที่บ้านพี่สาวคนนี้ จุดประสงค์อีกอย่างคือ จะได้แวะไปเล่นที่วัดด้วย

ตอนนั้นเราชอบเล่นที่ถ้ำแม่พระมากค่ะ โดยเฉพาะซ่อนหา

พอปิดเทอมใหญ่ วัดเราจะจัดฉลองวัดตรงกับช่วงสงกรานต์ทุกปี ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราได้ไปฉลองวัด มีพระคุณเจ้า มีคุณพ่อหลายๆคน ซิสเตอร์ กับพวกบราเดอร์เณรใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา มิซซาฉลองเสร็จ ตอนบ่ายๆ มีนัดเตะฟุตบอลระหว่างทีมคุณพ่อกับบราเดอร์อีกทีมเป็นพวกคนหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน เตะกันที่สนามข้างโบสถ์เก่า วันนั้นเป็นอะไรที่สนุกมาก คนดูข้างสนามทั้งส่งเสียงเชียร์ทั้งเอาน้ำมาสาดเล่นสงกรานต์กันเอง

พอขึ้นมัธยม วันหยุดก็ไปเล่นบ้าง ส่วนแห่ดาวกับฉลองวัดที่ไปทุกครั้งยกเว้นครั้งที่จำวันผิดจริงๆ


ช่วงนี้เราก็ยังไม่รู้จักกับพระดี รู้แต่เรื่องที่แสดงในละครคริสต์มาสเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราไปเล่นที่วัดรู้สึกได้พักใจ รู้สึกมีความสุข ชอบเดินอยู่ในโบสถ์หลังเก่าเงียบๆคนเดียว เดินออกไปนอกตัวโบสถ์ก็เห็นทุ่งนา ไกลๆก็เป็นแนวเขาฝั่งลาว เป็นที่ที่ต่อมาเราคิดว่าเหมาะกับการนั่งวาดรูป นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากเลย

เราก็ดำเนินชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ผ่านมาค่ะ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ปีนี้เราอยู่ชั้นม.6 วันสอบกลางภาคเทอม1 วันสุดท้ายที่เป็นวันศุกร์สอบเสร็จตอนบ่ายนิดๆ เราคิดว่าลองเดินไปวัดหนองแสงดีกว่า(เราเคยเดินผ่านในพื้นที่วัดครั้งเดียวตอนป.5หรือ6

เดินไปดูเห็นพวกน้องนางกำลังช่วยกันจัดดอกไม้กับกวาดพื้นโบสถ์อยู่ก็ทราบมาว่าพรุ่งนี้มีฉลองวัดนะ เอาล่ะสิ เราไม่เคยไปฉลองวัดไหนเลยนอกจากวัดคำเกิ้ม ก็เลยตื่นเต้นมาก แล้วก็นัดเพื่อนอย่างดี ว่าพรุ่งนี้มาเจอกันก่อน10โมงนะ
พอได้ไปฉลองวัดอื่นบ้าง เราก็คิดว่า อยากไปวัดอื่นๆดูบ้างแฮะ เราก็เปิดดูในเว็ปมิซซังที่พี่สาวคนนั้นเคยพาเปิดดู ที่ที่เราพอไปได้เองแล้วก็ไม่มีอะไรทำด้วย ถัดไปก็เป็นฉลองศาสนนามของพระคุณเจ้าที่ท่าแร่ ตอนปลายสิงหา เราก็ชวนเพื่อนคนเดิม แต่ไม่ว่างซะงั้น (ตูต้องแอบบ้านไปเองคนเดียวเหรอนี่) วันฉลองวันนั้นเป็นวันเสาร์ ตอนเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียนตอนเย็นเรากับเพื่อนนัดกันเดินไปวัดหนองแสง(อีกแล้ว) ตั้งใจว่าวันนี้เอากล้องมา งั้นมาถ่ายรูปสุสานตอนเย็นๆ ดูดีกว่า เรากับเพื่อนก็เดินไปเรื่อยๆ และนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเอาดอกไม้ไปด้วยนะ ก็เลยเดินไปเด็ดดอกเข็มเทศบาลข้างทางไป (ไม่ดีนะเนี่ย


กว่าจะไปถึงก็มืดพอดี เรากับเพื่อนลังเลอยู่ข้างโบสถ์ว่าจะเดินต่อเข้าไปในสุสานมั้ย ตอนนั้นก็เริ่มกลัวกัน ที่วัดเงียบมาก แสงไฟตรงมุมถนนไม่ช่วยอะไรเลย

อย่างแรกที่พอไปถึงบริเวณสุสาน เราได้กลิ่นดอกไม้สดโชยมา หอมมาก เห็นมีเต้นท์ เหมือนว่าวันนี้จะมีศพฝังใหม่

เราวิ่งไปที่รูปปั้นแม่พระก่อน วางดอกเข็มที่ไปเด็ดมา



จนถึงหลุมศพคุณพ่อคนที่8 ซึ่งเป็นคุณพ่อชาวไทยคนเดียว อีก7เป็นชาวต่างประเทศ เป็นคุณพ่อมิชชันนารี ตอนที่กำลังก้มจุดเทียนอยู่ก็มีเสียงดังเหมือนมีไม้กระทบกันดังมาจากข้างหลัง แต่เราพยายามไม่ตกใจ พอเสร็จแล้วก็พูดประมาณว่าพวกหนูกลับแล้วนะคะ (ในใจกลัวขึ้นเรื่อยๆ รีบออกจากบริเวณนี้ดีกว่า) คุณเพื่อนก็ยืนรอแล้วลากเราเดินออกไป เราหันไปมองแสงเทียนที่ตัวเองจุด ที่เราคิดว่าสวยจังแฮะ ถ้้าวันเสกสุสานจะต้องสวยมากแน่ๆ ก็เลยบอกเพื่อนให้หันไปดู คุณเธอก็บอกปฏิเสธอย่างเดียว แล้วก็รีบดึงเราเดินไปเร็วๆ จนพ้นเขตประตูวัด
เดินกลับทางริมโขงทางเดินซักพัก เพื่อนเราก็ยอมเล่าว่า ตอนกำลังเล็งชัตเตอร์จะถ่ายเราที่กำลังจุดเทียนที่หลุมศพคุณพ่อคนสุดท้ายที่เป็นคนไทย คุณเธอบอกว่า ในจอกล้องมีเงาเหมือนคนยืนอยู่ข้างๆ เรา เลยไม่กล้ากดถ่าย เพราะอย่างนั้นก็เลยรีบลากเราออกมา เรื่องนี้เพื่อนเราคนนี้มันยังล้อมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ว่าแน่ะ เดี๋ยวคุณพ่อออกมาส่งนะ

ตื่นตอนเช้ามืดต่อมาเราก็เริ่มกังวลว่า จะไปดีมั้ยนะ ตัวเองยังไม่เคยไปไหนเองคนเดียวไกลๆ แบบนี้เลย คิดไปคิดมาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เรารีบเตรียมตัว ไปรร. แล้ววิ่งต่อไปบขส. (ขืนบ้านรู้ว่าไปคนเดียวโดนด่าเละแหงเลย) สรุปการเดินทางสั้นๆนี้ก็จบลงด้วยดีค่ะ เราเองก็กล้าไป(วัด)ที่อื่นเองมากขึ้น
แต่ว่าพอถึงกันยา เราเจอปัญหาอยู่เรื่องนึง ไปหาหมออยู่หลายหนแต่ก็เหมือนเดิม และเริ่มกลัวว่าขืนเป็นแบบนี้อาจจะวาดรูปไม่ได้อีก(เราอยากเป็นจิตรกรค่ะ

จากนั้นก็เริ่มไปเกริ่นๆกับพ่อ แต่พ่อไม่ยอมเลย ผ่านไปพอซักกลางเดือนตุลา สุดท้ายพ่อก็บอกว่าทำอะไรก็ทำแต่อย่าให้เดือดร้อน
จากนั้นหลังมิซซาวันอาทิตย์เสร็จ พี่สาวคนเดิมกับพี่ที่เป็นครูคำสอนด้วย (รู้จักกันนานหลายปีแล้ว) ก็พาเราไปคุยกับคุณพ่อ แกพูดว่า พ่อแม่ยินยอมแล้วหรือยัง? ตัดสินใจดีแล้วหรือ? พ่อล้างบาปให้ทันทีไม่ได้นะ ให้เราเรียนคำสอนพร้อมกับเด็กๆ ไปก่อน ให้รู้ถึงความเชื่อของเราคาธอลิก ถึงเวลาค่อยตัดสินใจอีกที ถ้าความเชื่อของลูกเข้มแข็ง เวลานั้นพ่อจะล้างบาปให้

เราเริ่มเรียนคำสอนตอนกลางพฤศจิ หลังจากที่สอบรอบรับตรงมข.ผ่านไปแล้ว ไปร่วมมิซซาทุกครั้งที่มีโอกาส จนช่วงต้นปีนี้ พี่ครูคำสอนก็บอกว่าตอนปลายเดือนกุมภาจะมีรับศีลมหาสนิทครั้งแรกกับศีลกำลังที่ฉลองวัดนิรมัย อยากให้เราล้างบาปก่อนแล้วจะได้ไปรับศีลพร้อมกับเด็กคนอื่นๆเลย (เพราะเราอายุเยอะแล้ว ซะที่ไหน) จะได้ไปเรียนต่อมหาลัยเลย พี่ครูคำสอนก็คุยเรื่องนี้กับคุณพ่อ(ตอนนั้นเราอยู่ห่างไม่กี่เมตรเอง

หลังมิซซาวันที่17 เด็กศีลมหาสนิทรอเตรียมแก้บาปครั้งแรก เราก็อยู่กับพวกเด็กๆ คุณพ่อเดินมาถามว่าใจพร้อม(ล้างบาป)หรือยัง ถ้าพร้อมแล้ววันนี้พ่อจะล้างบาปให้ เราก็รีบตกลง ฮี่ๆ




สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกรักก่อนเพราะยังไม่รู้ถึงข้อความเชื่อซักเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกโหยหาและผูกพัน โดยเริ่มมาจากแม่พระ (อาจเพราะชอบไปปีนถ้ำแม่พระบ่อยๆตอนเด็ก



พิมพ์มายาวเลยแฮะ จะมีคนอ่านจบมั้ยหว่า

ปล.เราชอบมาคิดอะไรคนเดียวที่นี้แหละค่ะ

