ขอระบายความในใจ ถ้ายังคิดจะฟังกัน
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
......ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอพูดความรู้สึกทุกอย่างตรงนี้เลยก็แล้วกัน
กระทู้นี้เราจะ(พยายาม)ไม่พูดพาดพิงพระเจ้า (ขอกลับมาเรียกแบบปกติก็แล้วกัน แต่อย่าเข้าใจผิด ทำตามอารมณ์เท่านั้น เพราะคนที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ย่อมไม่สามารถสื่อสารอะไรกับใครได้) หรือศาสนจักร หรือศาสนาใด ๆ ในโลก หรือเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยตาหรือหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่จะอยากให้เป็นการพูดกับคนด้วยกันในนี้เท่านั้น หรือถ้าจะมีการอิงบุคคลหรือสิ่งที่กล่าวข้างต้น จะพยายามพูดถึงให้น้อยที่สุด
กระทู้นี้ขอให้มีแต่ "คน" เท่านั้น คุยกันในฐานะที่เรามองคุณเป็น "คน" เหมือนกัน และคงต้องขอให้มองเราเป็น "คน" ด้วยเหมือนกัน ขอใช้หลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แน่นอนเราไม่ว่าถ้าคุณจะพูดอะไรกับเราแรง ๆ แต่ก็ขอให้เป็นการพูดกันด้วยเหตุและผล และอะไรที่เคยเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจกันก็ขอให้เคลียร์กันตรงนี้ไปเลย
แต่ถ้าใครคนไหนคิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่ง ได้รับความรักและพระพรเปี่ยมล้นเต็มที่ จนเป็นชนชั้นสูง คนคิดต่างหรือมีรสนิยมแตกต่างคือคนที่ขัดต่อคำสอนคือคนบาป สมควรลงนรกน่ะดีแล้ว ใครที่คิดงี้ ไม่ต้องมาคุยกัน
(ขอบอกไม่อ้อมค้อมเลยว่า คนบางคนในบอร์ดนี้ ทำให้เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจผิดก็ขอโทษ และคุยกันในนี้ได้ตามปกติค่ะ)
*เสริมเพิ่ม เราใช้คำว่าค่ะ คะ เพราะแบบนี้สื่อความรู้สึกของเราได้ดีกว่า โอเคนะคะ
เข้าเรื่องจริง ๆ ละ
ก่อนอื่นเลย เราขอพูดคำว่า "ขอโทษ" สำหรับหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา และจะไม่ขอให้ลืมหรือว่าทำเป็นไม่เห็น เพราะตราบที่เวลายังเดินเป็นเส้นตรง ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับมัน
ขอโทษค่ะ
ต่อไป อยากจะบอกว่า จริง ๆ เราก็พอเข้าใจอะไร ๆ บ้าง เพราะจริง ๆ เราก็โตแล้วในระดับหนึ่ง ว่าจากการแสดงออกของเรา ทำให้หลาย ๆ ท่านหรืออาจจะทุกท่านเลยไม่ชอบใจ ซึ่งก็ไม่ขอปฏิเสธว่าเราก็แรงไปจริง ๆ หลายครั้งเพราะเราจงใจที่จะแรงเอง แต่บางทีอารมณ์มันก็พาไปเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่มันดูเหมือนเด็ก ๆ (จริง ๆ เราก็ยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองเซ้นซิทิฟแล้วจะออกตัวแรงกว่าปกติมาก และเป็นคนเครียดง่าย ขี้กังวล และมักจะคิดมากจนบางทีทำให้อะไร ๆ เลวร้ายกว่าเดิม)
แล้วทำไมถึงยังทำอยู่ล่ะหือ? ก็นั่นแหละที่อยากจะพูดต่อไปนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ฟังเราบ้าง ถือซะว่าเป็นการฟังเสียงในอีกมุมมองหนึ่งก็แล้วกัน ยุคสมัยนี้แล้ว คงไม่มีใครคิดแบบพวกล่าแม่มดคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองอีกแล้วใช่ไหมคะ
พูดตามตรง หลายครั้งเราไม่พอใจ และกดดันมากนะคะ เวลามีใครมาทำตัวเป็นทายอายุเราเพียงเพราะเห็นเราพูดอะไรแรง ๆ เพราะเราก็คน มีศักดิ์ศรี เมื่อดีใจก็หัวเราะเป็น เมื่อเสียใจก็ร้องไห้เป็น เมื่อโกรธไม่พอใจอะไรก็คงไม่อยากเฟคด้วยการทำเป็นพูดจาหวาน ๆ และหลายครั้ง(อาจไม่ใช่ทุกครั้ง) เราก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ และคาดหวังมากจนผิดหวังแล้วจะแสดงอาการออกมา การที่มาพูดเหมือนกับว่า เราไม่มีสิทธิ์จะโกรธ เราไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ ไม่มีสิทธิ์ระบายความในใจเนี่ย มันไม่เป็นการปิดกั้นกันไปหน่อยหรอกหรือคะ
ยอมรับค่ะ หลายครั้งเราแรงไป ยิ่งถ้าโพสในอารมณ์ที่แบบว่า ขึ้นมาก ปรี๊ดแตก เนี่ย แทบจะหาความเกรงใจกันไม่เจอ เอาจริง ๆ บางทีมาอ่านทีหลังยังตกใจเองเลยว่า เราพูด(พิมพ์)ออกไปได้ไงวะเนี่ย ก็เข้าใจค่ะว่ารู้สึกไม่ดีกัน แต่ตรงนี้ เราอยากขอร้องทุกท่านหน่อยว่า
"อยากให้ทำความเข้าใจกับเหตุผล ในแต่ละครั้งของเรากันบ้างค่ะ"
การที่ตัดสินหรือทำเป็นตั้งคำถามเหมือนยั่วกันเนี่ย มันเหมือนกับไม่คิดจะฟังเหตุผลของเราเลย เสียความรู้สึกนะคะ
เราก็มีหัวสมองเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่า ที่นี่เป็นบอร์ดศาสนา และก่อนหน้านี้เราก็ไว้ใจคนหลายคนอยู่เหมือนกัน ถึงมันอาจจะเป็นการคาดหวังมากเกินไปก็ตาม แต่ก็เพราะเราก็ยังเชื่อใจนะคะ เชื่อใจว่า คนที่นี่จะช่วยเราได้บ้าง หรือบางทีที่เราทำเป็นแย้ง ก็อาจเพราะต้องการคำตอบที่มากขึ้นไปอีก หรือต้องการคำยืนยัน (บางทีเราก็ต้องการให้สวดให้ อธิษฐานเผื่อ อะไรก็ว่าไปด้วยก็ได้) เพียงแต่บางครั้งบางอารมณ์ที่แปรปรวน ทำให้ยากจะสื่อสารออกมาดี ๆ ได้
(มันยากนะคะ ที่เวลายังทำใจอะไรไม่ได้ แล้วจะเรียบเรียงอะไรต่อมิอะไรให้มันรื่นหูได้ แน่นอนรู้อยู่หรอกว่า โพสที่บอร์ดสาธารณะอย่างพันทิบอะไรเนี่ย โดนแบนโดนแจ้งลบไม่ก็ล่าแม่มดไปแล้วแหง ๆ )
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เอ๊ะ ถ้าพระองค์ช่วยเราไม่ได้ คนในนี้ก็ไม่น่าจะช่วยได้ แต่ทำไมยังมารบเร้า มากระจองอแงใส่อยู่อีกล่ะ อันนี้ยอมรับว่าคำตอบคงกวนส้นเท้าเกินไปต้องขอโทษจริง ๆ แต่ว่า
บางที....เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไปทำไม
บางทีก็รู้สึกแค่ว่า เพราะไม่มีที่ไหนอีกแล้วถ้าขนาดที่นี่ยังไม่ได้ล่ะมั้ง
พูดจาเหมือนเอาแต่ใจ ใช่ ก็เอาแต่ใจจริง ๆ นั่นแหละ....
แล้วก็ขอพูดนิดนึง เราเองถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากมีสภาพในแบบที่เป็นนี้หรอกค่ะ ยอมรับว่าเราค่อนข้าง inability แทบทุกเรื่อง เรียกว่าถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้เลย ไม่ใช่อะไรที่รู้สึกภูมิใจกับตัวเองได้สักนิดเดียว แล้วก็ อาจจะเพราะพัฒนาการ รวมถึงสิ่งที่เจอ การตีความ อะไรต่อมิอะไร อาจมีมุมมองที่ต่างจากที่นี่ ด้วยพื้นฐานถูกปลูกฝังการมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด และความอ่อนไหวต่อสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ง่ายมาก ๆ บางทีสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราก็อาจจะ impact มาก ๆ ก็ได้ เอาจริง ๆ บางทีก็อาจเป็นเพราะเราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยก็ได้
แต่พอหลัง ๆ มานี่ มีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้น รวมถึงแผลเก่าที่ไม่จางหายบางทีมีเหตุการณ์ให้ฝังลึกขึ้นไปอีก แต่เราก็แสวงหาทางที่จะหนีให้พ้นจากมันเหมือนกันแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
มาตอนนี้ขออธิบายสภาพปัจจุบันของเราก่อนละกันว่า ในตอนนี้
- ไม่สามารถมีความเชื่อหรือศรัทธาแบบเมื่อก่อนได้ เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจ
- ไม่สามารถสวด หรืออธิษฐานด้วยตัวเองได้
- สูญเสียแรงจูงใจ ที่จะเข้าโบสถ์ หรืออ่านพระคัมภีร์ บางทีก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้สองข้อแรกฝังลึกกว่าเดิม
เพราะต่อให้พยายามจะทำ ความสับสนและขัดแย้งในใจจะคอยขัดขวาง และปฏิเสธมัน หนึ่งในเหตุผลนั้นคือเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความคาดหวังในความรัก ความถูกต้อง คุณธรรม ซึ่งยิ่งนับวันเรายิ่งต้องแยกออกมาคิดในแบบของตัวเองมากกว่าจะฟังศาสนาอย่างเดียว เพราะโลกนี้ไม่ง่ายและโหดร้าย หลายอย่างอย่าเพิ่งคิดว่าเราคิด เราเข้าใจในแง่ลบ เพราะมารพาไป เพราะต่อให้มีส่วนก็ตาม อยากให้มองในแง่รูปธรรม ว่าอะไรทำให้เราคิดแบบนั้นมากกว่า
บางครั้งเราก็เลยไม่พอใจเวลามีคนพูดจาตัดสินเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย และบางคนเหมือนจะไม่ยอมเข้าใจด้วย ตั้งแง่กับเราด้วยความคิดแบบเดิม ๆ แต่ทำไมไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อเลยสักคน
ถึงเราจะเกรียนแตกยังไง แต่อยากให้เข้าใจกันบ้างว่า ใจลึก ๆ เราก็ไม่อยากให้มันจบลงแค่คิดเห็นขัดแย้งแล้วทะเลาะกันแค่นั้น แต่บางครั้งเราก็อยากเรียกร้องหรือให้ลองปรับทัศนคติกันบ้างเหมือนกัน
เช่นเรื่องชายหญิงที่เราชอบพูดเนี่ย หลายทีอาจดูแรง แต่ไหน ๆ แล้วขอพูดตรงนี้ว่า ในมุมมองเราจริง ๆ ก็คือ
-ถึงแม้ตามหลัก ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายข่มผู้หญิงเพราะถือว่าตนแข็งแรงกว่าและมีบทบาทบางเรื่องมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การข่มเหงทางเพศมันก็ยังมีอยู่จริง แค่พูดอธิบายเท่านี้มันสามารถแก้ไขปัญหาได้รึเปล่า?
-ต่อให้มันแตกต่างกัน แต่ในกรณีที่ผู้ชายบางคนชอบละเอียดอ่อนทำงานของผู้หญิง หรือผู้หญิงบางคนแรงเยอะทำงานของผู้ชายได้เนี่ย เราว่าไม่ควรไปดูถูกหรือมองว่าเขาแปลกแยก หรือเบียดเบียนกีดกันเขาหากสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขารักชอบจะทำ แต่ในความเป็นจริง กลับมีคนคิดเช่นนี้อยู่มากมาย
-พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้อ้างเพื่อการนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีคนทำ ยังไม่ต้องพูดถึงสมัยล่าแม่มดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่หมดไป
พวกนี้หากมันไม่มีจริงในโลก เราคงไม่รู้จะพูดทำไม และจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรคิดหาทางแก้ไขมันในชีวิตประจำวันหรอกเหรอ? มันจะหายไปเมื่อสามารถรุมด่าเราหมดสภาพเรียบร้อยอย่างเดียวงั้นหรือ?
ที่อยากบอกอีกเรื่องก็..... รู้หรือไม่ เราเคยเห็นเพจหรือกลุ่มพวก Atheist ในเฟซบุ๊คหรืออะไรทำนองนี้มาแล้ว บอกตรง ๆ แม้ตอนนี้เราจะทำตัวกบฎยังไง เราก็ทำใจเข้าเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นไม่ลงจริง ๆ (มันยิ่งกว่าเราอีก เข้าขั้นเลวร้ายหรือสติแตกเลยก็ว่าได้) และถึงคนที่นี่จะไม่เชื่อ เราก็อยากบอกว่าเราก็ไม่ชอบเหมือนกันเวลามีใครมาว่าอะไรพระเจ้าและศาสนาคริสต์ ไม่อ่านเลยก็เยอะ แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ ข้อกล่าวหาหลายข้อ มันไม่ต่างอะไรกับข้อครหาที่ยังเป็นความจริง และเรื่องเสีย ๆ ที่มีอยู่จริงก็เยอะมากเกินกว่าจะปฏิเสธ
แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วเราเข้าใจเหตุผลของเค้า เพราะความผิดหวังกับบางเรื่องของแต่ละคน บางคนก็เหมือนกับเรา คือเข้าใจพระเจ้าในแง่ร้าย ชอบแย่งชิงความสุขของมนุษย์ตามใจชอบ ฯลฯ โดยที่หลายครั้งมันยากจะปฏิเสธความคิดนั้น เพราะสภาพแวดล้อม หรือหลักความสมเหตุสมผล รวมถึงบางคนก็พยายามปฏิเสธนรกสวรรค์ด้วยความกลัว แค่พูดว่า "จงเชื่อ" มันไม่เพียงพอจริง ๆ เพราะเราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน และอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องลงนรกทั้งแบบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เราว่านะ เท่าที่เห็น คริสตชนส่วนใหญ่ ยึดติดกับความคิดที่ว่า พระเจ้ากำหนด หรือมารล่อลวง มากไปรึเปล่า เราเห็นมาหลายทีแล้ว ทั้งที่บางเรื่อง มันน่าจะเน้นมองที่ปัญหาก่อนมากกว่านะ เช่นเรื่องเพศที่สาม อะไรงี้ ก็ใช่ มันก็ถูกที่ว่ามีปัญหาในแง่การสืบพันธุ์ แต่อยากให้มองที่จิตใจและความเป็นคนกันก่อนมากกว่า ไม่อยากให้ยึดติดว่าคนเรารักกันเพื่อต้องคลอดลูกเสมอไป (อย่าอ้างว่าถ้าเป็นทั้งโลกไม่สูญพันธุ์หมด เพราะเราไม่คิดหรอกว่าจะไม่มีคู่รักชายหญิงเลย)
ตอนนี้เราเองก็เปลี่ยนไปในแง่ที่อาจจะเลวลง เพราะแม้จะโทษตัวเอง โทษบาปตัวเองแค่ไหน แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มักจะลากมาโทษด้วย เพราะมีเหตุการณ์ทำให้รู้สึกว่า แค่โทษตัวเองฝั่งเดียวมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงไม่รุ้เหมือนกันว่าตอนนี้ทำไปแล้วมันได้อะไรจริง ๆ รึเปล่าก็เถอะนะ
ร่ายมายาว สรุปที่เราต้องการสื่อก็คือ
หากคริสตชนเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนพระเจ้าในชีวิตของเขาจริง แต่แค่กับคนแบบเรายังรับมือไม่ได้ แล้วจะสามารถประกาศพระต่อผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้หรือไร?
.........ที่อยากพูดก็คงมีแค่นี้แหละ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะ เพราะคนอย่างเราเนี่ย เวลาพูดอะไรแบบนี้ มักจะโดนหาว่าเข้าข้างตัวเอง ทำตัวให้ดูดี ทุกทีนั่นแหละ
แต่เราก็อยากประเมินเหมือนกัน ว่าอดีตที่เคยร่วมความเชื่อด้วยกันมาก่อนแม้แค่สั้น ๆ เนี่ย จะยังมีค่าพอให้จดจำอยู่ไหม
กระทู้นี้เราจะ(พยายาม)ไม่พูดพาดพิงพระเจ้า (ขอกลับมาเรียกแบบปกติก็แล้วกัน แต่อย่าเข้าใจผิด ทำตามอารมณ์เท่านั้น เพราะคนที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ย่อมไม่สามารถสื่อสารอะไรกับใครได้) หรือศาสนจักร หรือศาสนาใด ๆ ในโลก หรือเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยตาหรือหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่จะอยากให้เป็นการพูดกับคนด้วยกันในนี้เท่านั้น หรือถ้าจะมีการอิงบุคคลหรือสิ่งที่กล่าวข้างต้น จะพยายามพูดถึงให้น้อยที่สุด
กระทู้นี้ขอให้มีแต่ "คน" เท่านั้น คุยกันในฐานะที่เรามองคุณเป็น "คน" เหมือนกัน และคงต้องขอให้มองเราเป็น "คน" ด้วยเหมือนกัน ขอใช้หลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แน่นอนเราไม่ว่าถ้าคุณจะพูดอะไรกับเราแรง ๆ แต่ก็ขอให้เป็นการพูดกันด้วยเหตุและผล และอะไรที่เคยเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจกันก็ขอให้เคลียร์กันตรงนี้ไปเลย
แต่ถ้าใครคนไหนคิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่ง ได้รับความรักและพระพรเปี่ยมล้นเต็มที่ จนเป็นชนชั้นสูง คนคิดต่างหรือมีรสนิยมแตกต่างคือคนที่ขัดต่อคำสอนคือคนบาป สมควรลงนรกน่ะดีแล้ว ใครที่คิดงี้ ไม่ต้องมาคุยกัน
(ขอบอกไม่อ้อมค้อมเลยว่า คนบางคนในบอร์ดนี้ ทำให้เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจผิดก็ขอโทษ และคุยกันในนี้ได้ตามปกติค่ะ)
*เสริมเพิ่ม เราใช้คำว่าค่ะ คะ เพราะแบบนี้สื่อความรู้สึกของเราได้ดีกว่า โอเคนะคะ
เข้าเรื่องจริง ๆ ละ
ก่อนอื่นเลย เราขอพูดคำว่า "ขอโทษ" สำหรับหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา และจะไม่ขอให้ลืมหรือว่าทำเป็นไม่เห็น เพราะตราบที่เวลายังเดินเป็นเส้นตรง ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับมัน
ขอโทษค่ะ
ต่อไป อยากจะบอกว่า จริง ๆ เราก็พอเข้าใจอะไร ๆ บ้าง เพราะจริง ๆ เราก็โตแล้วในระดับหนึ่ง ว่าจากการแสดงออกของเรา ทำให้หลาย ๆ ท่านหรืออาจจะทุกท่านเลยไม่ชอบใจ ซึ่งก็ไม่ขอปฏิเสธว่าเราก็แรงไปจริง ๆ หลายครั้งเพราะเราจงใจที่จะแรงเอง แต่บางทีอารมณ์มันก็พาไปเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่มันดูเหมือนเด็ก ๆ (จริง ๆ เราก็ยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองเซ้นซิทิฟแล้วจะออกตัวแรงกว่าปกติมาก และเป็นคนเครียดง่าย ขี้กังวล และมักจะคิดมากจนบางทีทำให้อะไร ๆ เลวร้ายกว่าเดิม)
แล้วทำไมถึงยังทำอยู่ล่ะหือ? ก็นั่นแหละที่อยากจะพูดต่อไปนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ฟังเราบ้าง ถือซะว่าเป็นการฟังเสียงในอีกมุมมองหนึ่งก็แล้วกัน ยุคสมัยนี้แล้ว คงไม่มีใครคิดแบบพวกล่าแม่มดคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองอีกแล้วใช่ไหมคะ
พูดตามตรง หลายครั้งเราไม่พอใจ และกดดันมากนะคะ เวลามีใครมาทำตัวเป็นทายอายุเราเพียงเพราะเห็นเราพูดอะไรแรง ๆ เพราะเราก็คน มีศักดิ์ศรี เมื่อดีใจก็หัวเราะเป็น เมื่อเสียใจก็ร้องไห้เป็น เมื่อโกรธไม่พอใจอะไรก็คงไม่อยากเฟคด้วยการทำเป็นพูดจาหวาน ๆ และหลายครั้ง(อาจไม่ใช่ทุกครั้ง) เราก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ และคาดหวังมากจนผิดหวังแล้วจะแสดงอาการออกมา การที่มาพูดเหมือนกับว่า เราไม่มีสิทธิ์จะโกรธ เราไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ ไม่มีสิทธิ์ระบายความในใจเนี่ย มันไม่เป็นการปิดกั้นกันไปหน่อยหรอกหรือคะ
ยอมรับค่ะ หลายครั้งเราแรงไป ยิ่งถ้าโพสในอารมณ์ที่แบบว่า ขึ้นมาก ปรี๊ดแตก เนี่ย แทบจะหาความเกรงใจกันไม่เจอ เอาจริง ๆ บางทีมาอ่านทีหลังยังตกใจเองเลยว่า เราพูด(พิมพ์)ออกไปได้ไงวะเนี่ย ก็เข้าใจค่ะว่ารู้สึกไม่ดีกัน แต่ตรงนี้ เราอยากขอร้องทุกท่านหน่อยว่า
"อยากให้ทำความเข้าใจกับเหตุผล ในแต่ละครั้งของเรากันบ้างค่ะ"
การที่ตัดสินหรือทำเป็นตั้งคำถามเหมือนยั่วกันเนี่ย มันเหมือนกับไม่คิดจะฟังเหตุผลของเราเลย เสียความรู้สึกนะคะ
เราก็มีหัวสมองเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่า ที่นี่เป็นบอร์ดศาสนา และก่อนหน้านี้เราก็ไว้ใจคนหลายคนอยู่เหมือนกัน ถึงมันอาจจะเป็นการคาดหวังมากเกินไปก็ตาม แต่ก็เพราะเราก็ยังเชื่อใจนะคะ เชื่อใจว่า คนที่นี่จะช่วยเราได้บ้าง หรือบางทีที่เราทำเป็นแย้ง ก็อาจเพราะต้องการคำตอบที่มากขึ้นไปอีก หรือต้องการคำยืนยัน (บางทีเราก็ต้องการให้สวดให้ อธิษฐานเผื่อ อะไรก็ว่าไปด้วยก็ได้) เพียงแต่บางครั้งบางอารมณ์ที่แปรปรวน ทำให้ยากจะสื่อสารออกมาดี ๆ ได้
(มันยากนะคะ ที่เวลายังทำใจอะไรไม่ได้ แล้วจะเรียบเรียงอะไรต่อมิอะไรให้มันรื่นหูได้ แน่นอนรู้อยู่หรอกว่า โพสที่บอร์ดสาธารณะอย่างพันทิบอะไรเนี่ย โดนแบนโดนแจ้งลบไม่ก็ล่าแม่มดไปแล้วแหง ๆ )
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เอ๊ะ ถ้าพระองค์ช่วยเราไม่ได้ คนในนี้ก็ไม่น่าจะช่วยได้ แต่ทำไมยังมารบเร้า มากระจองอแงใส่อยู่อีกล่ะ อันนี้ยอมรับว่าคำตอบคงกวนส้นเท้าเกินไปต้องขอโทษจริง ๆ แต่ว่า
บางที....เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไปทำไม
บางทีก็รู้สึกแค่ว่า เพราะไม่มีที่ไหนอีกแล้วถ้าขนาดที่นี่ยังไม่ได้ล่ะมั้ง
พูดจาเหมือนเอาแต่ใจ ใช่ ก็เอาแต่ใจจริง ๆ นั่นแหละ....
แล้วก็ขอพูดนิดนึง เราเองถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากมีสภาพในแบบที่เป็นนี้หรอกค่ะ ยอมรับว่าเราค่อนข้าง inability แทบทุกเรื่อง เรียกว่าถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้เลย ไม่ใช่อะไรที่รู้สึกภูมิใจกับตัวเองได้สักนิดเดียว แล้วก็ อาจจะเพราะพัฒนาการ รวมถึงสิ่งที่เจอ การตีความ อะไรต่อมิอะไร อาจมีมุมมองที่ต่างจากที่นี่ ด้วยพื้นฐานถูกปลูกฝังการมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด และความอ่อนไหวต่อสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ง่ายมาก ๆ บางทีสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราก็อาจจะ impact มาก ๆ ก็ได้ เอาจริง ๆ บางทีก็อาจเป็นเพราะเราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยก็ได้
แต่พอหลัง ๆ มานี่ มีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้น รวมถึงแผลเก่าที่ไม่จางหายบางทีมีเหตุการณ์ให้ฝังลึกขึ้นไปอีก แต่เราก็แสวงหาทางที่จะหนีให้พ้นจากมันเหมือนกันแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
มาตอนนี้ขออธิบายสภาพปัจจุบันของเราก่อนละกันว่า ในตอนนี้
- ไม่สามารถมีความเชื่อหรือศรัทธาแบบเมื่อก่อนได้ เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจ
- ไม่สามารถสวด หรืออธิษฐานด้วยตัวเองได้
- สูญเสียแรงจูงใจ ที่จะเข้าโบสถ์ หรืออ่านพระคัมภีร์ บางทีก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้สองข้อแรกฝังลึกกว่าเดิม
เพราะต่อให้พยายามจะทำ ความสับสนและขัดแย้งในใจจะคอยขัดขวาง และปฏิเสธมัน หนึ่งในเหตุผลนั้นคือเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความคาดหวังในความรัก ความถูกต้อง คุณธรรม ซึ่งยิ่งนับวันเรายิ่งต้องแยกออกมาคิดในแบบของตัวเองมากกว่าจะฟังศาสนาอย่างเดียว เพราะโลกนี้ไม่ง่ายและโหดร้าย หลายอย่างอย่าเพิ่งคิดว่าเราคิด เราเข้าใจในแง่ลบ เพราะมารพาไป เพราะต่อให้มีส่วนก็ตาม อยากให้มองในแง่รูปธรรม ว่าอะไรทำให้เราคิดแบบนั้นมากกว่า
บางครั้งเราก็เลยไม่พอใจเวลามีคนพูดจาตัดสินเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย และบางคนเหมือนจะไม่ยอมเข้าใจด้วย ตั้งแง่กับเราด้วยความคิดแบบเดิม ๆ แต่ทำไมไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อเลยสักคน
ถึงเราจะเกรียนแตกยังไง แต่อยากให้เข้าใจกันบ้างว่า ใจลึก ๆ เราก็ไม่อยากให้มันจบลงแค่คิดเห็นขัดแย้งแล้วทะเลาะกันแค่นั้น แต่บางครั้งเราก็อยากเรียกร้องหรือให้ลองปรับทัศนคติกันบ้างเหมือนกัน
เช่นเรื่องชายหญิงที่เราชอบพูดเนี่ย หลายทีอาจดูแรง แต่ไหน ๆ แล้วขอพูดตรงนี้ว่า ในมุมมองเราจริง ๆ ก็คือ
-ถึงแม้ตามหลัก ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายข่มผู้หญิงเพราะถือว่าตนแข็งแรงกว่าและมีบทบาทบางเรื่องมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การข่มเหงทางเพศมันก็ยังมีอยู่จริง แค่พูดอธิบายเท่านี้มันสามารถแก้ไขปัญหาได้รึเปล่า?
-ต่อให้มันแตกต่างกัน แต่ในกรณีที่ผู้ชายบางคนชอบละเอียดอ่อนทำงานของผู้หญิง หรือผู้หญิงบางคนแรงเยอะทำงานของผู้ชายได้เนี่ย เราว่าไม่ควรไปดูถูกหรือมองว่าเขาแปลกแยก หรือเบียดเบียนกีดกันเขาหากสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขารักชอบจะทำ แต่ในความเป็นจริง กลับมีคนคิดเช่นนี้อยู่มากมาย
-พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้อ้างเพื่อการนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีคนทำ ยังไม่ต้องพูดถึงสมัยล่าแม่มดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่หมดไป
พวกนี้หากมันไม่มีจริงในโลก เราคงไม่รู้จะพูดทำไม และจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรคิดหาทางแก้ไขมันในชีวิตประจำวันหรอกเหรอ? มันจะหายไปเมื่อสามารถรุมด่าเราหมดสภาพเรียบร้อยอย่างเดียวงั้นหรือ?
ที่อยากบอกอีกเรื่องก็..... รู้หรือไม่ เราเคยเห็นเพจหรือกลุ่มพวก Atheist ในเฟซบุ๊คหรืออะไรทำนองนี้มาแล้ว บอกตรง ๆ แม้ตอนนี้เราจะทำตัวกบฎยังไง เราก็ทำใจเข้าเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นไม่ลงจริง ๆ (มันยิ่งกว่าเราอีก เข้าขั้นเลวร้ายหรือสติแตกเลยก็ว่าได้) และถึงคนที่นี่จะไม่เชื่อ เราก็อยากบอกว่าเราก็ไม่ชอบเหมือนกันเวลามีใครมาว่าอะไรพระเจ้าและศาสนาคริสต์ ไม่อ่านเลยก็เยอะ แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ ข้อกล่าวหาหลายข้อ มันไม่ต่างอะไรกับข้อครหาที่ยังเป็นความจริง และเรื่องเสีย ๆ ที่มีอยู่จริงก็เยอะมากเกินกว่าจะปฏิเสธ
แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วเราเข้าใจเหตุผลของเค้า เพราะความผิดหวังกับบางเรื่องของแต่ละคน บางคนก็เหมือนกับเรา คือเข้าใจพระเจ้าในแง่ร้าย ชอบแย่งชิงความสุขของมนุษย์ตามใจชอบ ฯลฯ โดยที่หลายครั้งมันยากจะปฏิเสธความคิดนั้น เพราะสภาพแวดล้อม หรือหลักความสมเหตุสมผล รวมถึงบางคนก็พยายามปฏิเสธนรกสวรรค์ด้วยความกลัว แค่พูดว่า "จงเชื่อ" มันไม่เพียงพอจริง ๆ เพราะเราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน และอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องลงนรกทั้งแบบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เราว่านะ เท่าที่เห็น คริสตชนส่วนใหญ่ ยึดติดกับความคิดที่ว่า พระเจ้ากำหนด หรือมารล่อลวง มากไปรึเปล่า เราเห็นมาหลายทีแล้ว ทั้งที่บางเรื่อง มันน่าจะเน้นมองที่ปัญหาก่อนมากกว่านะ เช่นเรื่องเพศที่สาม อะไรงี้ ก็ใช่ มันก็ถูกที่ว่ามีปัญหาในแง่การสืบพันธุ์ แต่อยากให้มองที่จิตใจและความเป็นคนกันก่อนมากกว่า ไม่อยากให้ยึดติดว่าคนเรารักกันเพื่อต้องคลอดลูกเสมอไป (อย่าอ้างว่าถ้าเป็นทั้งโลกไม่สูญพันธุ์หมด เพราะเราไม่คิดหรอกว่าจะไม่มีคู่รักชายหญิงเลย)
ตอนนี้เราเองก็เปลี่ยนไปในแง่ที่อาจจะเลวลง เพราะแม้จะโทษตัวเอง โทษบาปตัวเองแค่ไหน แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มักจะลากมาโทษด้วย เพราะมีเหตุการณ์ทำให้รู้สึกว่า แค่โทษตัวเองฝั่งเดียวมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงไม่รุ้เหมือนกันว่าตอนนี้ทำไปแล้วมันได้อะไรจริง ๆ รึเปล่าก็เถอะนะ
ร่ายมายาว สรุปที่เราต้องการสื่อก็คือ
หากคริสตชนเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนพระเจ้าในชีวิตของเขาจริง แต่แค่กับคนแบบเรายังรับมือไม่ได้ แล้วจะสามารถประกาศพระต่อผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้หรือไร?
.........ที่อยากพูดก็คงมีแค่นี้แหละ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะ เพราะคนอย่างเราเนี่ย เวลาพูดอะไรแบบนี้ มักจะโดนหาว่าเข้าข้างตัวเอง ทำตัวให้ดูดี ทุกทีนั่นแหละ
แต่เราก็อยากประเมินเหมือนกัน ว่าอดีตที่เคยร่วมความเชื่อด้วยกันมาก่อนแม้แค่สั้น ๆ เนี่ย จะยังมีค่าพอให้จดจำอยู่ไหม
อยากให้คุณเริ่มต้นด้วยความเชื่อก่อนนะครับ เมื่อคุณเชื่อแล้วความรู้สึกยินดีก็จะตามมา สาเหตุทั้งหลายประการที่คุณเป็นแบบนี้ อาจเป็นแผนการของพระองค์ที่กำลังทดสอบความเชื่อของคุณก็เป็นได้ ซึ่งคุณคงยอมรับว่ามันยังไม่มากพอ พระเจ้าให้อภัยคุณเสมอครับ รวมถึงทุกๆคนด้วย ขอพระเจ้าอวยพรให้คุณมีจิจใจเข้าแข็งที่จะกลับมาเชื่อในพระองค์อย่างเต็มใจครับ
หลักๆแล้วการตัดสินผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่คริสตชนที่ดีพึงกระทำครับ มันขัดแย้งกับคำสอนของพระเยซูเจ้าแต่คนเราก็มักจะปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งการซ้ำเติมคนที่กำลังมีทุกข์ยิ่งไม่ควรทำ แต่ที่หลายๆคนในนี้โต้ตอบคุณแรงๆอาจจะเป็นเพราะคุณออกตัวแรงและเค้าไม่เข้าใจคุณ คุณควรให้อภัยและมองข้ามมันไปบ้างครับ
การ post ข้อความในบอร์ดสาธารณะแรงๆจะก่อปัญหาตามมาได้มากครับ และมันอาจจะย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ด้วย บางบอร์ดไม่อนุญาตให้เราลบหรือแก้ไขข้อความเองได้ต้องให้ admin เท่านั้นทำ หรือต่อให้ลบได้บางข้อความก็มีคนเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ เหมือนกับการอัดคลิปเสียง ดังนั้นเราควรจะคิดก่อนพิมพ์ครับ
เวลาคนเราอารมณ์ร้อนเราจะขาดสติได้ง่ายๆดังนั้นไม่ควรรีบ post อะไรถ้ารู้ตัวว่าเวลานั้นยังสติแตกไม่งั้นเวลาคุณ post อะไรไม่เข้าท่านอกจากมันจะเป็นหลักฐานประจานตัวเองแล้วยังอาจจะมีคนมาโต้ตอบให้คุณหงุดหงิดหัวเสียมากยิ่งขึ้น
คุณ valkyrie ต้องหาจุดที่เหมาะสมระหว่างการไม่เสแสร้งหรือเฟคกับมารยาทสังคมครับ ผมจะบอกให้ว่ามารยาทไทยๆหรือทางเอเชียเรานั้นทำให้คนดูตอแหลมากกว่าพวกฝรั่ง แต่ความตรงไปตรงมาเกินเหตุอย่างฝรั่งก็ใช่จะดีไปซะหมด ความเห็นส่วนตัวผมว่าการพูดหรือพิมพ์อะไรตรงๆไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ในสังคมไทยเพียงแต่ต้องใช้ภาษาที่สุภาพหน่อย
การ post ข้อความในบอร์ดสาธารณะแรงๆจะก่อปัญหาตามมาได้มากครับ และมันอาจจะย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ด้วย บางบอร์ดไม่อนุญาตให้เราลบหรือแก้ไขข้อความเองได้ต้องให้ admin เท่านั้นทำ หรือต่อให้ลบได้บางข้อความก็มีคนเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ เหมือนกับการอัดคลิปเสียง ดังนั้นเราควรจะคิดก่อนพิมพ์ครับ
เวลาคนเราอารมณ์ร้อนเราจะขาดสติได้ง่ายๆดังนั้นไม่ควรรีบ post อะไรถ้ารู้ตัวว่าเวลานั้นยังสติแตกไม่งั้นเวลาคุณ post อะไรไม่เข้าท่านอกจากมันจะเป็นหลักฐานประจานตัวเองแล้วยังอาจจะมีคนมาโต้ตอบให้คุณหงุดหงิดหัวเสียมากยิ่งขึ้น
คุณ valkyrie ต้องหาจุดที่เหมาะสมระหว่างการไม่เสแสร้งหรือเฟคกับมารยาทสังคมครับ ผมจะบอกให้ว่ามารยาทไทยๆหรือทางเอเชียเรานั้นทำให้คนดูตอแหลมากกว่าพวกฝรั่ง แต่ความตรงไปตรงมาเกินเหตุอย่างฝรั่งก็ใช่จะดีไปซะหมด ความเห็นส่วนตัวผมว่าการพูดหรือพิมพ์อะไรตรงๆไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ในสังคมไทยเพียงแต่ต้องใช้ภาษาที่สุภาพหน่อย
ใครจะไปทราบได้อาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งคุณจึงดลใจให้คุณมาบ่นอะไรมากมายในนี้ ไม่งั้นคุณอาจจะแปรเปลี่ยนความสับสนตอนนี้เป็นความไม่เชื่อแล้วอาจจะกลายเป็นคนไร้ศีลธรรมไปเลยก็ได้ แต่นี่ไม่ใช่คุณรู้สึกผิดระคนสับสน คุณยังอยากหาที่ระบาย
การมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายเกินไปส่งผลเสียทั้งคู่ครับ สายกลางคงจะดีที่สุด แต่กลางของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน
คุณบอกประมาณว่าคุณเสียความศรัทธาไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณรู้สึกว่าอาศัยเพียงความเชื่อความศรัทธามันแก้ปัญหาชีวิตและปัญหาหลายๆอย่างให้คุณและชาวโลกคนอื่นๆไม่ได้ จะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมีหน้าที่มาแก้ปัญหาให้เราทุกเรื่องนะครับ ชีวิตหลังความตายหรือความรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคริสตชน รางวัลและการบรรเทาใจไม่ใช่ว่าพระองค์จะประทานให้เราในโลกนี้ทั้งหมดอยู่แล้ว แน่นอนอุปสรรคความทุกข์ยากย่อมทำให้เราเสียกำลังใจ เหตุการณ์เลวร้ายในสังคมไทยและสังคมโลกทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีพระเจ้า
ถ้าคุณมีศรัทธาและความรู้ในศาสนาเพียงพอคุณน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าโลกของเรานี้เป็นแต่เพียงสถานทดลองชั่วคราว ชั่วชีวิตคนเรามีอายุขัยไม่ค่อยจะถึงร้อยปีด้วยซ้ำเทียบไม่ได้กับนิรันดรภาพ ถ้าเป็นคำสอนของพุทธศาสนาแบบที่เชื่อกันในบ้านเราเวลาที่คนเราไปเกิดในสวรรค์หรือใช้กรรมในนรกนั้นยาวนานกว่าการเกิดเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่เท่า ในทางคริสต์เราก็เชื่อว่าพระเจ้ามีทั้งพระเมตตาและพระยุติธรรมดังนั้นการชดเชยหรือตอบแทนให้กับมนุษย์ทุกคนนั้นพระองค์ไม่ทรงจัดให้อย่างมั่วๆแน่นอน แต่คุณหรือผมหรือใครก็มีความสามารถในการรับรู้จำกัดและมีอายุกันอย่างมากไม่เกินร้อยปีจะไปเห็นได้สักแค่ไหนเชียวครับ
พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญากับเรานะครับว่าถ้าทำดีแล้วต้องได้ดีแบบเห็นผลทันตา ถ้าทำชั่วพระองค์จะทรงลงโทษทันที เรามีอิสระและโอกาสแก้ไขเสมอถ้ายังไม่ตาย
การมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายเกินไปส่งผลเสียทั้งคู่ครับ สายกลางคงจะดีที่สุด แต่กลางของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน
คุณบอกประมาณว่าคุณเสียความศรัทธาไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณรู้สึกว่าอาศัยเพียงความเชื่อความศรัทธามันแก้ปัญหาชีวิตและปัญหาหลายๆอย่างให้คุณและชาวโลกคนอื่นๆไม่ได้ จะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมีหน้าที่มาแก้ปัญหาให้เราทุกเรื่องนะครับ ชีวิตหลังความตายหรือความรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคริสตชน รางวัลและการบรรเทาใจไม่ใช่ว่าพระองค์จะประทานให้เราในโลกนี้ทั้งหมดอยู่แล้ว แน่นอนอุปสรรคความทุกข์ยากย่อมทำให้เราเสียกำลังใจ เหตุการณ์เลวร้ายในสังคมไทยและสังคมโลกทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีพระเจ้า
ถ้าคุณมีศรัทธาและความรู้ในศาสนาเพียงพอคุณน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าโลกของเรานี้เป็นแต่เพียงสถานทดลองชั่วคราว ชั่วชีวิตคนเรามีอายุขัยไม่ค่อยจะถึงร้อยปีด้วยซ้ำเทียบไม่ได้กับนิรันดรภาพ ถ้าเป็นคำสอนของพุทธศาสนาแบบที่เชื่อกันในบ้านเราเวลาที่คนเราไปเกิดในสวรรค์หรือใช้กรรมในนรกนั้นยาวนานกว่าการเกิดเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่เท่า ในทางคริสต์เราก็เชื่อว่าพระเจ้ามีทั้งพระเมตตาและพระยุติธรรมดังนั้นการชดเชยหรือตอบแทนให้กับมนุษย์ทุกคนนั้นพระองค์ไม่ทรงจัดให้อย่างมั่วๆแน่นอน แต่คุณหรือผมหรือใครก็มีความสามารถในการรับรู้จำกัดและมีอายุกันอย่างมากไม่เกินร้อยปีจะไปเห็นได้สักแค่ไหนเชียวครับ
พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญากับเรานะครับว่าถ้าทำดีแล้วต้องได้ดีแบบเห็นผลทันตา ถ้าทำชั่วพระองค์จะทรงลงโทษทันที เรามีอิสระและโอกาสแก้ไขเสมอถ้ายังไม่ตาย
ในเมื่อคุณและพวกเราทั้งหลายก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าโลกนี้เป็นแต่เพียงสถานทดลองชั่วคราวดังนั้นถ้ามันจะโหดร้าย ไม่ยุติธรรม เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่ถูกต้องบ้างมันก็ไม่ได้แปลกอะไร
คุณบอกว่าหลายๆคนมาตัดสินคุณ หาว่าคุณเป็นเด็กไม่มีวุฒิภาวะ แต่กลับไม่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่คุณอยากสื่อ คุณลองพิจารณาดูสิครับว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันอาจจะเป็นเพราะว่าคุณออกตัวแรงสื่อสารแบบไม่ค่อยเกรงใจคนอ่านแต่ทีนี้คุณกลับคาดหวังว่าคนอ่านแล้วจะ get จะเข้าใจที่เนื้อหาที่ต้องการสื่อและตอบแบบที่คุณต้องการอย่างนี้ผมว่ามันก็เป็นการคาดหวังกับคนอื่นมากเกินไปนะครับ คุณอยากให้คนอ่านเค้าปรับมาความคิดมาเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อและให้มองข้ามการใช้ภาษาหรือสำนวนแรงๆ คุณก็ต้องเข้าใจเค้าก่อนสิครับว่าคนอาจจะส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านเค้าไม่ได้มีเวลาว่างมาตอบหรือถกเถียงแลกเปลี่ยนกับคุณยาวๆแบบที่ผมกำลังทำอยู่ แต่การออกตัวแรงของคุณไปกระทบความเชื่อความศรัทธาของเค้ามันก็ไม่แปลกที่คุณจะได้แต่เสียงดุว่าหรือปรามาสกลับมาโดยไม่ได้คำตอบหรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างที่คุณคาดหวังจะได้
คุณบอกว่าหลายๆคนมาตัดสินคุณ หาว่าคุณเป็นเด็กไม่มีวุฒิภาวะ แต่กลับไม่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่คุณอยากสื่อ คุณลองพิจารณาดูสิครับว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันอาจจะเป็นเพราะว่าคุณออกตัวแรงสื่อสารแบบไม่ค่อยเกรงใจคนอ่านแต่ทีนี้คุณกลับคาดหวังว่าคนอ่านแล้วจะ get จะเข้าใจที่เนื้อหาที่ต้องการสื่อและตอบแบบที่คุณต้องการอย่างนี้ผมว่ามันก็เป็นการคาดหวังกับคนอื่นมากเกินไปนะครับ คุณอยากให้คนอ่านเค้าปรับมาความคิดมาเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อและให้มองข้ามการใช้ภาษาหรือสำนวนแรงๆ คุณก็ต้องเข้าใจเค้าก่อนสิครับว่าคนอาจจะส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านเค้าไม่ได้มีเวลาว่างมาตอบหรือถกเถียงแลกเปลี่ยนกับคุณยาวๆแบบที่ผมกำลังทำอยู่ แต่การออกตัวแรงของคุณไปกระทบความเชื่อความศรัทธาของเค้ามันก็ไม่แปลกที่คุณจะได้แต่เสียงดุว่าหรือปรามาสกลับมาโดยไม่ได้คำตอบหรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างที่คุณคาดหวังจะได้
การกดขี่สตรีเป็นสิ่งไม่ถูกต้องซึ่งพระเยซูเจ้าไม่เห็นด้วยและเราทราบได้ผ่านคำสอนของพระองค์ที่มีบันทึกไว้ในพระวรสาร
สิ่งผิดบาปทั้งหลาย ความอยุติธรรม การด่วนตัดสินผู้อื่น เป็นความโน้มเอียงในทางชั่วที่มนุษย์เรามีกันทั้งนั้นเพียงแต่จะมากน้อยแค่ไหนจะรู้จักควบคุมความคิดกายใจได้แค่ไหน
คนที่มองโลกแคบไม่ยอมรับในความหลากหลายก็มีอยู่ไม่น้อยมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอย่างนี้เยอะและลำพังคุณ ผม หรือใครก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดคนพวกนี้ได้หมด เปลี่ยนความคิดตัวเองยังยากนับประสาอะไรจะไปเปลี่ยนคนอื่นหละครับ อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงให้อำเภอใจกับมนุษย์ทุกคน
คนบางคนคิดว่าผู้หญิงไม่ควรทำงานแบบนี้ ผู้ชายไม่ควรทำแบบนี้มันมีเยอะครับ คุณ valkyrie จะไปตามทะเลาะตามแก้ความคิดให้คนพวกนี้ได้สักกี่คนครับ เมื่อก่อนผู้หญิงไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ผู้หญิงเป็นหมอยังมีน้อย แพทย์เฉพาะทางบางสาขาไม่น่าจะมีผู้หญิงเข้ามาเรียนหรืออาจารย์เองก็ไม่อยากรับเข้าเรียน แต่เดี๋ยวนี้ผู้หญิงยึดครองไปตั้งไม่รู้กี่ภาควิชาแล้วครับ ขณะที่ผู้ชายเป็นบุรุษพยาบาลเยอะแยะก็ไม่แปลก สมัยผมเป็นแพทย์ใช้ทุนก็มีเพื่อนหมอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแฟนกับบุรุษพยาบาลก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร
สิ่งผิดบาปทั้งหลาย ความอยุติธรรม การด่วนตัดสินผู้อื่น เป็นความโน้มเอียงในทางชั่วที่มนุษย์เรามีกันทั้งนั้นเพียงแต่จะมากน้อยแค่ไหนจะรู้จักควบคุมความคิดกายใจได้แค่ไหน
คนที่มองโลกแคบไม่ยอมรับในความหลากหลายก็มีอยู่ไม่น้อยมันช่วยไม่ได้ที่จะมีคนอย่างนี้เยอะและลำพังคุณ ผม หรือใครก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดคนพวกนี้ได้หมด เปลี่ยนความคิดตัวเองยังยากนับประสาอะไรจะไปเปลี่ยนคนอื่นหละครับ อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงให้อำเภอใจกับมนุษย์ทุกคน
คนบางคนคิดว่าผู้หญิงไม่ควรทำงานแบบนี้ ผู้ชายไม่ควรทำแบบนี้มันมีเยอะครับ คุณ valkyrie จะไปตามทะเลาะตามแก้ความคิดให้คนพวกนี้ได้สักกี่คนครับ เมื่อก่อนผู้หญิงไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ผู้หญิงเป็นหมอยังมีน้อย แพทย์เฉพาะทางบางสาขาไม่น่าจะมีผู้หญิงเข้ามาเรียนหรืออาจารย์เองก็ไม่อยากรับเข้าเรียน แต่เดี๋ยวนี้ผู้หญิงยึดครองไปตั้งไม่รู้กี่ภาควิชาแล้วครับ ขณะที่ผู้ชายเป็นบุรุษพยาบาลเยอะแยะก็ไม่แปลก สมัยผมเป็นแพทย์ใช้ทุนก็มีเพื่อนหมอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแฟนกับบุรุษพยาบาลก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร
ปัญหาโลกแตกมีร้อยแปดครับ ไม่มีใครแก้ได้หมดหรอกครับ ต่อให้เป็นผู้นำประเทศ ผู้นำศาสนา หรือทูตสวรรค์ นักบุญองค์ไหนๆก็แก้ไม่ได้หมดหรอกครับ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงกระทำได้แต่ทรงปล่อยให้เป็นไปตามอำเภอใจของมนุษย์เพราะพระองค์ทรงให้เกียรติ์พวกเราทุกคน ตามที่ผมเข้าใจก็คือพระเจ้าจะไม่ทรงเข้ามาแทรกแซงเรื่องของมนุษย์อย่างพร่ำเพรื่อ
ปัญหาหลายๆอย่างเป็นเรื่องเกินตัวเรามนุษย์ตัวเล็กๆเปลี่ยนอะไรไม่ได้มากครับ ผมไม่ได้บอกว่าเราควรทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้นพอ แต่หากเราจะมีส่วนเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ต้องดูให้เหมาะสม ดูความคุ้มค่าด้วยครับ บางอย่างมีกระแสขึ้นมาถึงคุณไม่อยากให้เปลี่ยนมันก็ต้องเปลี่ยน เมืองไทยทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีระบบทาส ไม่ได้มีการจำกัดสิทธิ์ของคนส่วนใหญ่เหมือนในสมัยโบราณ การกดขี่สตรีก็ไม่หนักเท่าสมัยก่อน แต่ปัญหาสังคมใหม่ๆมันก็มีเยอะ บางเรื่องมันเห็นกันอยู่ว่าแย่แต่มันไม่มีกระแสที่แรงพอคนส่วนใหญ่เค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาคุณอาจจะต้องวางเฉยบ้าง พูดกับคนสนิทที่รู้ใจกันก็พอแล้วครับ ไปออกตัวแรงชนกับคนโน้นคนนี้มั่วไปหมดมันเหนื่อยและไม่คุ้ม บางคนคุณไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเค้าด้วยซ้ำแต่ต้องมาทะเลาะกัน
ปัญหาหลายๆอย่างเป็นเรื่องเกินตัวเรามนุษย์ตัวเล็กๆเปลี่ยนอะไรไม่ได้มากครับ ผมไม่ได้บอกว่าเราควรทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้นพอ แต่หากเราจะมีส่วนเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ต้องดูให้เหมาะสม ดูความคุ้มค่าด้วยครับ บางอย่างมีกระแสขึ้นมาถึงคุณไม่อยากให้เปลี่ยนมันก็ต้องเปลี่ยน เมืองไทยทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีระบบทาส ไม่ได้มีการจำกัดสิทธิ์ของคนส่วนใหญ่เหมือนในสมัยโบราณ การกดขี่สตรีก็ไม่หนักเท่าสมัยก่อน แต่ปัญหาสังคมใหม่ๆมันก็มีเยอะ บางเรื่องมันเห็นกันอยู่ว่าแย่แต่มันไม่มีกระแสที่แรงพอคนส่วนใหญ่เค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาคุณอาจจะต้องวางเฉยบ้าง พูดกับคนสนิทที่รู้ใจกันก็พอแล้วครับ ไปออกตัวแรงชนกับคนโน้นคนนี้มั่วไปหมดมันเหนื่อยและไม่คุ้ม บางคนคุณไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเค้าด้วยซ้ำแต่ต้องมาทะเลาะกัน
เรื่องข้อครหานินทาต่อพระศาสนจักรหรือองค์กรศาสนามันมีมาตั้งแต่ตั้งพระศาสนจักรแล้วด้วยซ้ำครับ มนุษย์เราไม่ได้มีใครดีหรือเลวร้อยเปอร์เซนต์ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์นักบวชนะครับ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องพึ่งพระทรมานของพระเยซูเจ้าเพื่อพ้นจากบาป อะไรมันผิดจริงเลวจริงก็ต้องแก้ไขกันไปครับ พระศาสนจักรสมัยกลางเคยสนับสนุนสงครามครูเสด ครั้งที่เสื่อมสุดๆคือครั้งที่ 4 เพราะมีการยกทัพไปปล้นเมืองคาทอลิกที่โครเอเชียแล้วยังไปทำลายกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลอีกด้วย การเบียดเบียนนักวิทยาศาสตร์ การใช้ตำแหน่งหาผลประโยชน์จนเป็นที่สะดุดแล้วเกิดการแตกแยกนิกาย สิ่งเลวร้ายพวกนี้พระศาสนจักรได้ยอมรับและบางเรื่องก็มีการขอขมาลาโทษกันอย่างเป็นทางการมาแล้ว เช่นสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยกล่าวขอโทษต่อพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์สำหรับความผิดที่กองทัพครูเสดก่อเมื่อ 800 ปีมาแล้ว
คนบางคนถูกกางเขนและการประจญทำให้เสียความเชื่อหรือบางครั้งทำบาปร้ายแรง ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ผิด แต่การตัดสินว่าผิดมากแค่ไหนถึงขั้นลงนรกหรือไม่นั้น พระเจ้าทรงประทานมโนธรรมในใจมาให้เราทุกคน ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป เราก็จะได้รับโทษตามความผิดจากเจตนาของเราซึ่งผมว่าเราไม่ต้องไปกลัวว่าพระเจ้าท่านจะลำเอียงหรือหาเรื่องเพิ่มโทษอะไรอย่างนั้นหรอกครับ
ผมยังมีความเชื่อว่าคนที่สูญเสียความเชื่อนั้นหากเขาเคยมีความเชื่ออยู่พระเจ้าจะทรงประทานโอกาสสุดท้ายก่อนตายให้เค้าแน่นอนอาจจะเป็นเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตก็ได้
ผมยังมีความเชื่อว่าคนที่สูญเสียความเชื่อนั้นหากเขาเคยมีความเชื่ออยู่พระเจ้าจะทรงประทานโอกาสสุดท้ายก่อนตายให้เค้าแน่นอนอาจจะเป็นเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตก็ได้
พระศาสนจักรและชาวคาทอลิกที่ดีไม่ได้มองว่าคนที่มีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนกับคนทั่วๆไปหรือคนเพศที่สามมีความเป็นคนน้อยกว่าเรานะครับ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเพศที่สามก็มีพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าเหมือนกันหมดครับ
ในความเข้าใจของผมการเป็นคนเพศที่สามนั้นน่าจะเป็นความผิดปกติที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ การผ่าตัดแปลงเพศไปเลยยังจะง่ายซะกว่า ดังนั้นจึงมีการอนุโลมปรับเปลี่ยนท่าทีคือไม่มองว่าเป็นโรค (disease) แต่มองเป็นความหลากหลายในคนปกติ (normal variation) ซึ่งวิธีการนี้ก็ดีตรงที่ต่อไปเราจะมองคนเหล่านี้อย่างยอมรับและเข้าใจมากขึ้น แต่หากมีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันมีการสร้างสถาบันครอบครัวทีเป็นพ่อกับพ่อ หรือแม่กับแม่ หรือมั่วไปหมดคงจะเกิดความสับสนกับเด็กที่จะเกิดมาและน่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกพระศาสนจักรจึงไม่ยอมรับสิ่งนี้ และให้ถือว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเป็นบาป (แต่อย่าลืมว่าบาปหนักแค่ไหน ตกนรกหรือไม่ไม่ใช่หน้าที่พระศาสนจักรหรือใครไปตัดสินได้ แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงตัดสินจากมโนธรรมของเค้าเอง)
ในความเข้าใจของผมการเป็นคนเพศที่สามนั้นน่าจะเป็นความผิดปกติที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ การผ่าตัดแปลงเพศไปเลยยังจะง่ายซะกว่า ดังนั้นจึงมีการอนุโลมปรับเปลี่ยนท่าทีคือไม่มองว่าเป็นโรค (disease) แต่มองเป็นความหลากหลายในคนปกติ (normal variation) ซึ่งวิธีการนี้ก็ดีตรงที่ต่อไปเราจะมองคนเหล่านี้อย่างยอมรับและเข้าใจมากขึ้น แต่หากมีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันมีการสร้างสถาบันครอบครัวทีเป็นพ่อกับพ่อ หรือแม่กับแม่ หรือมั่วไปหมดคงจะเกิดความสับสนกับเด็กที่จะเกิดมาและน่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกพระศาสนจักรจึงไม่ยอมรับสิ่งนี้ และให้ถือว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเป็นบาป (แต่อย่าลืมว่าบาปหนักแค่ไหน ตกนรกหรือไม่ไม่ใช่หน้าที่พระศาสนจักรหรือใครไปตัดสินได้ แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงตัดสินจากมโนธรรมของเค้าเอง)
ปัญหาหลายอย่างเราโทษแต่ตัวเองไม่ได้ แต่เราไปแก้ไขคนอื่นยากกว่าแก้ไขตัวเอง ดังนั้นเราควรจะแก้ไขตัวเองก่อน แก้คนอื่นถ้ามีโอกาสค่อยแก้ครับ บางอย่างแก้ไม่ไหวก็ขอพระเจ้าช่วย แต่อย่าไปบังคับกะเกณฑ์พระองค์ครับ
สุดท้ายนะครับไอ้ที่คุณ valkyrie พิมพ์มายาวเหยียด ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ครับ ผมว่าคนที่รับได้มีเยอะแต่อาจจะไม่ว่างมาสนทนากับคุณครับ
สุดท้ายนะครับไอ้ที่คุณ valkyrie พิมพ์มายาวเหยียด ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ครับ ผมว่าคนที่รับได้มีเยอะแต่อาจจะไม่ว่างมาสนทนากับคุณครับ
- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:
โอ้โห ระบายยาวตอบยาว ดีครับ อ่านยังไม่จบเลยครับ ขอบคุณที่เเบ่งปันครับ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
อยากบอกว่า...... ที่คุณ sansrepos พูดมานั้น
หลาย ๆ คำ เป็นคำที่เราอยากได้ยินมานานแล้ว และถ้าเราสามารถกลับมามองแง่แบบคุณได้เร็วกว่านี้ บางทีอาจไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นได้
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถ้ามีโอกาสก็อยากเล่าให้ฟังมากกว่านี้ ถ้าพร้อม ถึงมันจะดูไม่สวยงามสักเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าถ้าได้แลกเปลี่ยนมุมมองอะไรสักอย่างด้วยกันอาจจะทำให้สบายใจขึ้นบ้างก็ได้
ยังไงก็ ขอบคุณค่ะ..... เพราะนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่ไม่ได้อ่านกระทู้ด้วยความรู้สึกโล่งใจกว่าปกติแบบนี้ ขนาดเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
หลาย ๆ คำ เป็นคำที่เราอยากได้ยินมานานแล้ว และถ้าเราสามารถกลับมามองแง่แบบคุณได้เร็วกว่านี้ บางทีอาจไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นได้
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถ้ามีโอกาสก็อยากเล่าให้ฟังมากกว่านี้ ถ้าพร้อม ถึงมันจะดูไม่สวยงามสักเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าถ้าได้แลกเปลี่ยนมุมมองอะไรสักอย่างด้วยกันอาจจะทำให้สบายใจขึ้นบ้างก็ได้
ยังไงก็ ขอบคุณค่ะ..... เพราะนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่ไม่ได้อ่านกระทู้ด้วยความรู้สึกโล่งใจกว่าปกติแบบนี้ ขนาดเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
-
- โพสต์: 46
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 3:00 pm
ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด (ลก 7:50)
เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน.
เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน.
อ่านจบแล้วครับ และอยากบอกว่า "ผมเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ" นะ
เท่าที่ผมตามอ่านข้อความของคุณมา อยากบอกว่า ควรทำใจให้เย็นลง ก่อนเริ่มพิมพ์สิ่งใดลงไป เพราะถึงแม้สิ่งที่พิมพ์ลงไปนั้น เราอาจจะกระทำไปด้วยอารมณ์บ้างบางครั้ง และแม้เราหันกลับมามองสิ่งที่เหมือนกระจกสะท้อนกายเรา และนั่นทำให้เราตื่นตระหนกว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะพยายามลบออกไป แต่เมล็ดแห่งการกระทำนั้นได้ออกดอกออกผลไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเชื่อในเรื่องบาป ผมมองว่ามนุษย์ทุกคนมีบาปและไม่มีวันจะหมดสิ้นลงไปเองได้ ผมมองว่าการสารภาพบาปนั้นเป็นเหมือนกับการให้เรายอมรับว่าเราบาป แต่บาปไม่หายไปไหน บาปยังคงอยู่กับเรา และเราต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เราเคยทำอะไรลงไป กับใคร ที่ไหน อย่างไร
สุดท้าย ผมไม่เคยตัดสินใคร และไม่อยากให้คุณเอาข้อความที่โต้เถียงกันในบอร์ดมาเป็นอารมณ์
ผมยังไม่เป็นคาทอลิก และยังไม่เป็นโปรแตสแตนท์ แต่ผมเชื่อมั่นในพระเจ้า ผมเคยเจอบททดสอบอันเจ็บปวดและโหดร้ายมาเยอะ ชนิดที่เรียกว่าเอามาสร้างเป็นละครได้ 1 เรื่องเลย แต่ผมไม่เคยตัดพ้อต่อว่า ผมได้แต่นั่งทบทวนชีวิตตัวเอง ปล่อยให้พระองค์นำทางไป เพราะผมอยากเห็นสิ่งที่พระองค์ได้เตรียมไว้ให้ผม
เท่าที่ผมตามอ่านข้อความของคุณมา อยากบอกว่า ควรทำใจให้เย็นลง ก่อนเริ่มพิมพ์สิ่งใดลงไป เพราะถึงแม้สิ่งที่พิมพ์ลงไปนั้น เราอาจจะกระทำไปด้วยอารมณ์บ้างบางครั้ง และแม้เราหันกลับมามองสิ่งที่เหมือนกระจกสะท้อนกายเรา และนั่นทำให้เราตื่นตระหนกว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะพยายามลบออกไป แต่เมล็ดแห่งการกระทำนั้นได้ออกดอกออกผลไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเชื่อในเรื่องบาป ผมมองว่ามนุษย์ทุกคนมีบาปและไม่มีวันจะหมดสิ้นลงไปเองได้ ผมมองว่าการสารภาพบาปนั้นเป็นเหมือนกับการให้เรายอมรับว่าเราบาป แต่บาปไม่หายไปไหน บาปยังคงอยู่กับเรา และเราต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เราเคยทำอะไรลงไป กับใคร ที่ไหน อย่างไร
สุดท้าย ผมไม่เคยตัดสินใคร และไม่อยากให้คุณเอาข้อความที่โต้เถียงกันในบอร์ดมาเป็นอารมณ์
ผมยังไม่เป็นคาทอลิก และยังไม่เป็นโปรแตสแตนท์ แต่ผมเชื่อมั่นในพระเจ้า ผมเคยเจอบททดสอบอันเจ็บปวดและโหดร้ายมาเยอะ ชนิดที่เรียกว่าเอามาสร้างเป็นละครได้ 1 เรื่องเลย แต่ผมไม่เคยตัดพ้อต่อว่า ผมได้แต่นั่งทบทวนชีวิตตัวเอง ปล่อยให้พระองค์นำทางไป เพราะผมอยากเห็นสิ่งที่พระองค์ได้เตรียมไว้ให้ผม
-
- โพสต์: 282
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm
ขอพระเจ้าทรงอวยพร คุณ Valkyrie
ขอบคุณพระองค์ที่นำคุณมาบ่นให้เราฟัง
นั้นคือ การเปิดใจ ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย ที่จะทำให้คุณ สบายใจ
พระเจ้าทรงใช้วิธีหลายวิธีที่จะช่วยคุณ
ขอขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงนำคุณกลับมา
ขอบคุณพระองค์ที่นำคุณมาบ่นให้เราฟัง
นั้นคือ การเปิดใจ ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย ที่จะทำให้คุณ สบายใจ
พระเจ้าทรงใช้วิธีหลายวิธีที่จะช่วยคุณ
ขอขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงนำคุณกลับมา
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
พระเจ้าอวยพรนะครับ :D
-
- โพสต์: 5
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 17, 2014 4:36 am
เผอิญพึ่งมาครับ ใครอยู่ใน้เหตุนี้เล่าให้ฟังบ้างจิ ว่ามันเปนมายังไง