เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" มี(9)ตอน เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่ง
ที่ถูกรถชนจนเป็นอัมพาต เเต่ด้วยพระพรของพระ เเละการอยากที่จะมีชีวิต
อยู่ต่อไปของเธอ ทำให้เธอสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาในชีวิตไปได้
เรื่องราวของเธอน่าติดตามในทุกๆตอน
โปรดติดตามได้ในทุกวัน
เรื่อง “ มหัศจรรย์แห่งชีวิต”
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" (ตอนที่ 1)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………พร้อมจะไปโรงเรียน
บรูก : การหยุดภาคเรียนช่วงฤดูร้อนปี 1990 ปิดฉากลง ดูเหมือนความหวังในปีนี้จะสดใส
กว่าที่ผ่าน ๆ มา ‘จีน’ แม่ของฉันกำลังจะเริ่มงานใหม่เป็นครู แม่กลับไปเรียนต่อจนได้
ประกาศนียบัตรวิชาชีพครูและเพิ่งสำเร็จการศึกษาได้ไม่นาน วันที่ 4 กันยายน 1990
เป็นวันเริ่มงานของแม่และเป็นวันที่ฉันจะเริ่มชีวิตนักเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง
วันนั้นพ่อหยุดงานเพราะอยากมีส่วนร่วมในวาระสำคัญของภรรยาและลูก
“ที่รัก” แม่เรียกมาจากชั้นบนตอนเช้าตรู่ ส่วนน้องชายของฉันกับคริสทีน พี่สาวยังหลับอยู่
“ว่าไง” พ่อซึ่งนั่งที่โต๊ะในครัวขานรับ
“รถจะมารับ ‘บรูก’ กี่โมง และจอดตรงไหน” แม่ชอบถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว
นี่คือวิธีการเฉพาะตัวของแม่ในการย้ำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน เช้าวันนั้น แม่ดูลุกลี้ลุกลน
กว่าปกติ เพราะไม่ใช่วันแรกในการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นวันแรกที่ต้องปล่อย
ให้ลูกทั้งสามคนดูแลตัวเองด้วย
พ่อคว้าตารางเวลาที่ติดไว้ที่ตู้เย็นมาอ่านอย่างคล่องแคล่วเหมือนจำได้ขึ้นใจ
“บรูกขึ้นรถตอน 9 โมงและรถมาส่งตอนบ่ายโมง”
ฉันกับพ่อมองหน้ากันและยิ้ม ตอนนี้แม่แต่งตัวเสร็จแล้วและเดินลงมานั่งกับเราสองคน
สักครู่ ก่อนออกจากบ้าน
“แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่า ลูกขึ้นชั้นมัธยมหนึ่งแล้ว ดูสิ” แม่หยุดพูดพลางโอบไหล่และจูบแก้มฉัน
“อย่าลืมถามครูเรื่องวงออเคสตราของโรงเรียนกับเรียนเชลโลด้วยนะ” แม่พูดต่อ
“เริ่มเรียนเต้นรำสัปดาห์นี้ เพราะฉะนั้นต้องจัดเวลาให้ดีว่าควรทำการบ้านให้เสร็จตอนไหน”
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………พร้อมจะไปโรงเรียน
บรูก : การหยุดภาคเรียนช่วงฤดูร้อนปี 1990 ปิดฉากลง ดูเหมือนความหวังในปีนี้จะสดใส
กว่าที่ผ่าน ๆ มา ‘จีน’ แม่ของฉันกำลังจะเริ่มงานใหม่เป็นครู แม่กลับไปเรียนต่อจนได้
ประกาศนียบัตรวิชาชีพครูและเพิ่งสำเร็จการศึกษาได้ไม่นาน วันที่ 4 กันยายน 1990
เป็นวันเริ่มงานของแม่และเป็นวันที่ฉันจะเริ่มชีวิตนักเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง
วันนั้นพ่อหยุดงานเพราะอยากมีส่วนร่วมในวาระสำคัญของภรรยาและลูก
“ที่รัก” แม่เรียกมาจากชั้นบนตอนเช้าตรู่ ส่วนน้องชายของฉันกับคริสทีน พี่สาวยังหลับอยู่
“ว่าไง” พ่อซึ่งนั่งที่โต๊ะในครัวขานรับ
“รถจะมารับ ‘บรูก’ กี่โมง และจอดตรงไหน” แม่ชอบถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว
นี่คือวิธีการเฉพาะตัวของแม่ในการย้ำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน เช้าวันนั้น แม่ดูลุกลี้ลุกลน
กว่าปกติ เพราะไม่ใช่วันแรกในการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นวันแรกที่ต้องปล่อย
ให้ลูกทั้งสามคนดูแลตัวเองด้วย
พ่อคว้าตารางเวลาที่ติดไว้ที่ตู้เย็นมาอ่านอย่างคล่องแคล่วเหมือนจำได้ขึ้นใจ
“บรูกขึ้นรถตอน 9 โมงและรถมาส่งตอนบ่ายโมง”
ฉันกับพ่อมองหน้ากันและยิ้ม ตอนนี้แม่แต่งตัวเสร็จแล้วและเดินลงมานั่งกับเราสองคน
สักครู่ ก่อนออกจากบ้าน
“แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่า ลูกขึ้นชั้นมัธยมหนึ่งแล้ว ดูสิ” แม่หยุดพูดพลางโอบไหล่และจูบแก้มฉัน
“อย่าลืมถามครูเรื่องวงออเคสตราของโรงเรียนกับเรียนเชลโลด้วยนะ” แม่พูดต่อ
“เริ่มเรียนเต้นรำสัปดาห์นี้ เพราะฉะนั้นต้องจัดเวลาให้ดีว่าควรทำการบ้านให้เสร็จตอนไหน”
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
……เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่(2)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
จีน : เช้าวันนั้น ฉันขับรถเก่า ๆ คันเดิมออกไปทำงาน ฉันกับ ‘เอ็ด’สามี หวังว่ารายได้จาก
การเป็นครูคงพอจะช่วยให้เรามีเงินเปลี่ยนรถได้ ทุกวันนี้ ครอบครัวเราแทบจะไม่มีเงินพอ
ใช้จ่าย เอ็ดทำงานที่สำนักงานสวัสดิการสังคมซึ่งมั่นคงดี แต่เงินเดือนไม่ค่อยพอเลี้ยง
ปากท้องถึง 5 คน
บรูก : พ่อนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ทางเดินหน้าบ้าน ฉันตามออกไปสมทบหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
ฉันทาเล็บมือสีชมพูสด และสวมแหวนที่นิ้วนางทั้งสองข้าง แฟ้มที่ถือก็สีชมพูเข้ากับสีเล็บ
ข้างในมีแฟ้มย่อยสารพัดสีสำหรับแต่ละวิชา ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียนหลังปิดเทอมมานาน
“บรูก ลูกสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบ “ขอบคุณคุณพ่อที่ลางานมาส่งหนูวันนี้”
ฉันกับพ่อเหมือนเพื่อนสนิทกัน แค่มองหน้าหรือขยับตัวเล็กน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ลูกอยากเดินไปขึ้นรถคนเดียวหรือให้พ่อเดินไปเป็นเพื่อน แบบไหนก็ได้ที่ไม่ทำให้ลูกอึดอัด”
พ่อถาม
“หนูไม่เคยอึดอัดหรอกค่ะเวลาอยู่กับพ่อ เดินไปคนเดียวเมื่อไหร่ก็ทำได้” ฉันตอบ
เราเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ขณะที่พ่อจับมือฉันตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าวันนั้นฉันจะรับรู้สัมผัสจากมือ
พ่อเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ฉันคงไม่ยอมปล่อยมือพ่อแน่ ๆ
จีน : แม้จะกังวลไม่น้อยที่ต้องทิ้งลูกมา แต่พอเริ่มทำงาน ฉันก็ตัดสินใจลืมเรื่องที่บ้านได้
อย่างไรก็ตามทันทีที่กลับจากกินข้าวกลางวัน มีเพื่อนร่วมงานเดินตรงมาหาฉันแล้วบอกว่า
“จีน มีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณ เขารอสายอยู่”
“ของฉันเหรอ จากใครล่ะ” ฉันถาม
“จากเอ็ด สามีคุณ”
“เขาบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” ฉันถามด้วยใจระทึก
“ไม่ได้บอก” เพื่อนร่วมงานตอบ “บอกแค่ว่าเรื่องด่วน”
ประโยคนี้ไม่ต่างจากได้รับโทรศัพท์ปลุกกลางดึก ตอนแรกฉันยังงง ๆ ต่อมาก็เริ่มกลัว
ไปต่าง ๆ นานา ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามเอ็ด
“เกิดอุบัติเหตุ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงค่อนข้างวุ่นวายใจ
“อะไรนะ ที่ไหน” ฉันถามต่อ
“บรูกเกิดอุบัติเหตุ” เสียงเขาเริ่มสั่น “มาที่ห้องฉุกเฉินด่วน”
พอฉันไปถึงโรงพยาบาล เอ็ดก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เขากับคริสทีนไปยืนรอรับบรูกที่หน้าบ้าน
แต่พอรถโรงเรียนมาจอด กลับไม่มีร่างของลูก
“แปลกมาก” เอ็ดปรารภกับคริสทีน “บรูกน่าจะกลับมากับรถคันนี้”
เอ็ดเริ่มใจเสีย เขาหันไปเห็นเพื่อนบรูกซึ่งบ้านอยู่ถัดไปเล็กน้อยวิ่งตรงมาหา ท่าทางกระหืด
กระหอบและหน้าตาตื่น
“บรูกค่ะ” หนูน้อยชะงักเพราะพูดไม่ออก “บรูกถูกรถชนที่ถนนนิโคลล์”
เอ็ดกับคริสทีนกระโดดขึ้นเบาะหลังรถเพื่อนบ้านซึ่งทะยานออกไปทันที
พอรถไปถึงถนนนิโคลล์ซึ่งปกติมีเจ้าหน้าที่ช่วยคนข้ามถนนยืนอยู่เสมอ ทุกอย่างปกติดี
เมื่อมองไปทางซ้ายเมื่อเดินเข้าไปใกล้สี่แยก
“นี่มันอะไรกันนี่” เอ็ดถามขณะหันไปดูอีกด้านของถนนห่างออกไปทางขวาราว 500 เมตร
เขาเห็นรถหลายคันจอดอยู่กับรถพยาบาลคันหนึ่ง
โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
จีน : เช้าวันนั้น ฉันขับรถเก่า ๆ คันเดิมออกไปทำงาน ฉันกับ ‘เอ็ด’สามี หวังว่ารายได้จาก
การเป็นครูคงพอจะช่วยให้เรามีเงินเปลี่ยนรถได้ ทุกวันนี้ ครอบครัวเราแทบจะไม่มีเงินพอ
ใช้จ่าย เอ็ดทำงานที่สำนักงานสวัสดิการสังคมซึ่งมั่นคงดี แต่เงินเดือนไม่ค่อยพอเลี้ยง
ปากท้องถึง 5 คน
บรูก : พ่อนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ทางเดินหน้าบ้าน ฉันตามออกไปสมทบหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
ฉันทาเล็บมือสีชมพูสด และสวมแหวนที่นิ้วนางทั้งสองข้าง แฟ้มที่ถือก็สีชมพูเข้ากับสีเล็บ
ข้างในมีแฟ้มย่อยสารพัดสีสำหรับแต่ละวิชา ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียนหลังปิดเทอมมานาน
“บรูก ลูกสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบ “ขอบคุณคุณพ่อที่ลางานมาส่งหนูวันนี้”
ฉันกับพ่อเหมือนเพื่อนสนิทกัน แค่มองหน้าหรือขยับตัวเล็กน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ลูกอยากเดินไปขึ้นรถคนเดียวหรือให้พ่อเดินไปเป็นเพื่อน แบบไหนก็ได้ที่ไม่ทำให้ลูกอึดอัด”
พ่อถาม
“หนูไม่เคยอึดอัดหรอกค่ะเวลาอยู่กับพ่อ เดินไปคนเดียวเมื่อไหร่ก็ทำได้” ฉันตอบ
เราเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ขณะที่พ่อจับมือฉันตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าวันนั้นฉันจะรับรู้สัมผัสจากมือ
พ่อเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ฉันคงไม่ยอมปล่อยมือพ่อแน่ ๆ
จีน : แม้จะกังวลไม่น้อยที่ต้องทิ้งลูกมา แต่พอเริ่มทำงาน ฉันก็ตัดสินใจลืมเรื่องที่บ้านได้
อย่างไรก็ตามทันทีที่กลับจากกินข้าวกลางวัน มีเพื่อนร่วมงานเดินตรงมาหาฉันแล้วบอกว่า
“จีน มีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณ เขารอสายอยู่”
“ของฉันเหรอ จากใครล่ะ” ฉันถาม
“จากเอ็ด สามีคุณ”
“เขาบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” ฉันถามด้วยใจระทึก
“ไม่ได้บอก” เพื่อนร่วมงานตอบ “บอกแค่ว่าเรื่องด่วน”
ประโยคนี้ไม่ต่างจากได้รับโทรศัพท์ปลุกกลางดึก ตอนแรกฉันยังงง ๆ ต่อมาก็เริ่มกลัว
ไปต่าง ๆ นานา ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามเอ็ด
“เกิดอุบัติเหตุ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงค่อนข้างวุ่นวายใจ
“อะไรนะ ที่ไหน” ฉันถามต่อ
“บรูกเกิดอุบัติเหตุ” เสียงเขาเริ่มสั่น “มาที่ห้องฉุกเฉินด่วน”
พอฉันไปถึงโรงพยาบาล เอ็ดก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เขากับคริสทีนไปยืนรอรับบรูกที่หน้าบ้าน
แต่พอรถโรงเรียนมาจอด กลับไม่มีร่างของลูก
“แปลกมาก” เอ็ดปรารภกับคริสทีน “บรูกน่าจะกลับมากับรถคันนี้”
เอ็ดเริ่มใจเสีย เขาหันไปเห็นเพื่อนบรูกซึ่งบ้านอยู่ถัดไปเล็กน้อยวิ่งตรงมาหา ท่าทางกระหืด
กระหอบและหน้าตาตื่น
“บรูกค่ะ” หนูน้อยชะงักเพราะพูดไม่ออก “บรูกถูกรถชนที่ถนนนิโคลล์”
เอ็ดกับคริสทีนกระโดดขึ้นเบาะหลังรถเพื่อนบ้านซึ่งทะยานออกไปทันที
พอรถไปถึงถนนนิโคลล์ซึ่งปกติมีเจ้าหน้าที่ช่วยคนข้ามถนนยืนอยู่เสมอ ทุกอย่างปกติดี
เมื่อมองไปทางซ้ายเมื่อเดินเข้าไปใกล้สี่แยก
“นี่มันอะไรกันนี่” เอ็ดถามขณะหันไปดูอีกด้านของถนนห่างออกไปทางขวาราว 500 เมตร
เขาเห็นรถหลายคันจอดอยู่กับรถพยาบาลคันหนึ่ง
โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (3)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นแฟ้มสีชมพูกับกระดาษเกลื่อนถนน ภาพตรงหน้าเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ
เหมือนอยู่ในความฝัน เอ็ดหายใจไม่ทั่วท้องขณะจ้องภาพความโกลาหลตรงหน้า รถตำรวจ
จอดอยู่เปิดไซเรนดังแสบแก้วหู ตำรวจกันพวกอยากรู้อยากเห็นไม่ให้เกะกะ มีคนตะโกนและ
ออกคำสั่งอยู่ตลอดเวลา แต่เอ็ดสับสนจนจำรายละเอียดไม่ได้
เขาจำได้เพียงว่า เห็นลูกนอนเหยียดยาวอยู่ตรงช่องกลางถนน แรงปะทะส่งร่างน้อยกระเด็นไป
เกือบ 30 เมตร บรูกเลือดออกและสลบไป ร่างอ่อนระทวยขณะเจ้าหน้าที่สองคนช่วยกันปั๊มหัวใจ
รถที่ชนบรูกจอดอยู่ข้างถนน กระโปรงหน้าและหม้อน้ำยู่เข้าไปข้างใน กระจกหน้าแตก
ตำรวจรุมกันอยู่รอบรถเพื่อหาดูว่า เครื่องยนต์บกพร่องตรงไหน ตำรวจนักสืบตรวจรอยเบรก
เพื่อคำนวณว่ารถแล่นมาด้วยความเร็วเท่าไร
“บรูกไม่ได้ขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้าน” เพื่อนบ้านบอกเอ็ด
“หมายความว่าไง”
“แกตัดสินใจเดินกลับบ้านเอง” เพื่อนบ้านเล่า
บรูกกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเดินตัดสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน จากนั้นก็เดินเลาะไปตามทางเดิน
ในป่าละเมาะจนโผล่ออกที่ถนนนิโคลล์ช่วงที่ไม่มีราวเหล็กกั้นทำให้สามารถวิ่งข้ามถนนได้
แต่บรูกข้ามไม่พ้น
ราว 3 ทุ่ม หมออนุญาตให้ฉันกับเอ็ดเข้าเยี่ยมลูกได้หลังรออยู่นาน 7 ชั่วโมง เราผุดลุกผุดนั่ง
ในใจพยายามคิดหาคำตอบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
‘ริชาร์ด’กุมารแพทย์ประจำครอบครัวเรามาช่วยประสานงานกับแพทย์ประจำโรงพยาบาลด้วย
เขาเดินนำเราผ่านประตูใหญ่สองบานเข้าไปในห้องที่มีเตียงเรียงกันเป็นแถว แต่บรูกเป็นคนไข้
รายเดียวในห้องนั้น
“บรูกมีอาการโคม่าและไม่ได้สติ” ริชาร์ดอธิบาย “หน้าผากมีแผลใหญ่มากจึงต้องพันผ้าพันแผล
ทั่วศีรษะ ท่อที่ต่อเข้าไปในปากเชื่อมกับเครื่องช่วยหายใจช่วยให้แกยังมีลมหายใจอยู่ได้”
ฉันรู้สึกลำคอตีบตัน บรูกอยู่ในสภาพที่จำเกือบไม่ได้ ส่วนเดียวที่ไม่มีอะไรปกปิดคือใบหน้าที่
บวมเป่งเพราะปะทะกระจกหน้ารถและครูดไถลไปกับพื้นถนน
“บรูก ได้ยินแม่พูดไหม นี่แม่เอง แม่รักลูกนะ” ฉันพูด
ราว 2.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่นำบรูกไปยังห้องเวชบำบัดวิกฤตแผนกคนไข้เด็ก
ฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ พยายามจะสัมผัสและสวมกอดลูก แต่ทำไม่ได้เพราะมีท่อระโยงระยาง
และจอแสดงการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเต็มไปหมด
โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นแฟ้มสีชมพูกับกระดาษเกลื่อนถนน ภาพตรงหน้าเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ
เหมือนอยู่ในความฝัน เอ็ดหายใจไม่ทั่วท้องขณะจ้องภาพความโกลาหลตรงหน้า รถตำรวจ
จอดอยู่เปิดไซเรนดังแสบแก้วหู ตำรวจกันพวกอยากรู้อยากเห็นไม่ให้เกะกะ มีคนตะโกนและ
ออกคำสั่งอยู่ตลอดเวลา แต่เอ็ดสับสนจนจำรายละเอียดไม่ได้
เขาจำได้เพียงว่า เห็นลูกนอนเหยียดยาวอยู่ตรงช่องกลางถนน แรงปะทะส่งร่างน้อยกระเด็นไป
เกือบ 30 เมตร บรูกเลือดออกและสลบไป ร่างอ่อนระทวยขณะเจ้าหน้าที่สองคนช่วยกันปั๊มหัวใจ
รถที่ชนบรูกจอดอยู่ข้างถนน กระโปรงหน้าและหม้อน้ำยู่เข้าไปข้างใน กระจกหน้าแตก
ตำรวจรุมกันอยู่รอบรถเพื่อหาดูว่า เครื่องยนต์บกพร่องตรงไหน ตำรวจนักสืบตรวจรอยเบรก
เพื่อคำนวณว่ารถแล่นมาด้วยความเร็วเท่าไร
“บรูกไม่ได้ขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้าน” เพื่อนบ้านบอกเอ็ด
“หมายความว่าไง”
“แกตัดสินใจเดินกลับบ้านเอง” เพื่อนบ้านเล่า
บรูกกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเดินตัดสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน จากนั้นก็เดินเลาะไปตามทางเดิน
ในป่าละเมาะจนโผล่ออกที่ถนนนิโคลล์ช่วงที่ไม่มีราวเหล็กกั้นทำให้สามารถวิ่งข้ามถนนได้
แต่บรูกข้ามไม่พ้น
ราว 3 ทุ่ม หมออนุญาตให้ฉันกับเอ็ดเข้าเยี่ยมลูกได้หลังรออยู่นาน 7 ชั่วโมง เราผุดลุกผุดนั่ง
ในใจพยายามคิดหาคำตอบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
‘ริชาร์ด’กุมารแพทย์ประจำครอบครัวเรามาช่วยประสานงานกับแพทย์ประจำโรงพยาบาลด้วย
เขาเดินนำเราผ่านประตูใหญ่สองบานเข้าไปในห้องที่มีเตียงเรียงกันเป็นแถว แต่บรูกเป็นคนไข้
รายเดียวในห้องนั้น
“บรูกมีอาการโคม่าและไม่ได้สติ” ริชาร์ดอธิบาย “หน้าผากมีแผลใหญ่มากจึงต้องพันผ้าพันแผล
ทั่วศีรษะ ท่อที่ต่อเข้าไปในปากเชื่อมกับเครื่องช่วยหายใจช่วยให้แกยังมีลมหายใจอยู่ได้”
ฉันรู้สึกลำคอตีบตัน บรูกอยู่ในสภาพที่จำเกือบไม่ได้ ส่วนเดียวที่ไม่มีอะไรปกปิดคือใบหน้าที่
บวมเป่งเพราะปะทะกระจกหน้ารถและครูดไถลไปกับพื้นถนน
“บรูก ได้ยินแม่พูดไหม นี่แม่เอง แม่รักลูกนะ” ฉันพูด
ราว 2.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่นำบรูกไปยังห้องเวชบำบัดวิกฤตแผนกคนไข้เด็ก
ฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ พยายามจะสัมผัสและสวมกอดลูก แต่ทำไม่ได้เพราะมีท่อระโยงระยาง
และจอแสดงการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเต็มไปหมด
โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (4)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
บรูก : ฉันฝันถึงชั้นเรียนเต้นรำ ฉันเล่นเซลโลประจำวงออเคสตราของโรงเรียนและเป็นนักร้อง
ประสานเสียงเยาวชนประจำโบสถ์ ฉันเริ่มเรียนเต้นรำตั้งแต่ 2 ขวบ
ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงหวีดแหลมน่ากลัวที่ดังไม่หยุด ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกของฉันนี่
พอลืมตาก็ไม่เห็นผนังห้องสีชมพูและม่านคลุมเตียงสีรุ้งเหมือนทุกวัน มีแต่ผนังห้องสีขาว
กระด้างและเตียงที่มีราวเหล็กกั้นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกรอบตัวมัวซัวและดูลึกลับชอบกล ตรงหน้ามีเสาสำหรับแขวนขวดน้ำเกลือและน้ำยาต่าง ๆ
ดูเหมือนต้นไม้ที่มีผลอยู่เต็มต้น ถัดไปเล็กน้อยมีเสาอีกต้นแขวนตุ๊กตารูปสัตว์ต่าง ๆ เต็มไปหมด
นี่ไม่ใช่ห้องของฉัน ฉันอยู่ที่ไหน การ์ดและป้ายนับร้อย ๆ แผ่นมีข้อความว่า “หายเร็ว ๆ นะ”
ติดอยู่บนผนังห้องรอบด้าน ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจขณะที่ฉันพยายามคิดว่า ใบหน้าที่ยืนจ้อง
อยู่นั้นเป็นใคร สถานที่น่ากลัวแห่งนี้คือที่ไหน คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่อยู่ที่บ้าน
ฉันลืมตาอีกครั้ง จำไม่ได้ว่าหลับไปอีกหรือไม่ แต่คิดว่าหลับแน่ ๆ เพราะคนแปลกหน้าหายไป
เกือบหมดแล้ว
ขณะจ้องมองดูความวุ่นวาย ฉันก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นเป็นลำดับพร้อมกับรับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่
จับเป็นลิ่มอยู่ในปาก ศีรษะปวดตุบ ๆ เสียงอึกทึกในห้องยิ่งทำให้รู้สึกปวดจนแทบทนไม่ได้
ฉันพยายามนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น พลางบอกตัวเองว่า “ชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว” แม้จะไม่รู้ชัดว่า
เปลี่ยนไปอย่างไร ฉันพยายามตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบ แต่พอเปิดปากกลับไม่มีเสียง
เล็ดลอดออกมาเลย สมองยังสั่งการได้ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แต่เอ๊ะ ร่างกายของฉันหาย
ไปไหน ทำไมฉันถึงไม่มีความรู้สึกเลย เหมือนร่างกายยังไม่ตื่นจากการหลับไหล
“ตามหมอเถอะ รู้สึกว่าลูกจะฟื้นแล้ว” ฉันได้ยินเสียงพ่อพูด
ฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงที่เหมือนเครื่องทรมานนักโทษสมัยโบราณมากกว่า ฉันไม่เห็นพ่อกับ
แม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง
“พูดช้า ๆ” ชายสวมชุดคลุมสีขาวบอกพ่อกับแม่ “เรายังไม่รู้ว่าแกจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดแค่ไหน”
เสียงนุ่ม ๆ ของพ่อแว่วมาจากปลายเตียง
“ลูกได้ยินที่พ่อพูดไหม เราทุกคนอยู่ที่นี่”
ชายชุดขาวใช้ไฟฉายส่องตาฉันทีละข้างแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “บรูกรู้ไหมว่าตัวเองเป็นใครและเกิดอะไร
ขึ้นกับหนู”
ฉันตอบไม่ได้ แม้สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มชัดเจนขึ้น ฉันก็ยังไม่อยากรู้ความจริงในตอนนี้
แต่ฉันพอจะรับรู้อยู่บ้าง เสียงเฟี้ยว ๆ ดังมาจากเครื่องขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
มีเสียงนี้ทุกครั้งที่ฉันหายใจเข้า ต่อมาจึงรู้ว่ามันต่อเข้ากับท่อหายใจเข้า หลังจากนั้นก็รู้ว่ามันต่อ
เข้ากับท่อในปากและทำหน้าที่หายใจแทนฉัน
ฉันขยับตัวไม่ได้ หายใจเองก็ไม่ได้ เเถมพูดไม่ได้ด้วย ฉันกลัวมาก แต่พอพยายามจ้องตา
ชายชุดขาว เขากลับหยุดตรวจ
“หมอจะปล่อยให้คุณอยู่กับลูกตามลำพัง” เขาพูดราวกับว่า แค่ใช้ไฟฉายส่องก็เข้าใจความรู้สึก
ของฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง
โปรดติดตามตอนที่ (5) ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
บรูก : ฉันฝันถึงชั้นเรียนเต้นรำ ฉันเล่นเซลโลประจำวงออเคสตราของโรงเรียนและเป็นนักร้อง
ประสานเสียงเยาวชนประจำโบสถ์ ฉันเริ่มเรียนเต้นรำตั้งแต่ 2 ขวบ
ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงหวีดแหลมน่ากลัวที่ดังไม่หยุด ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกของฉันนี่
พอลืมตาก็ไม่เห็นผนังห้องสีชมพูและม่านคลุมเตียงสีรุ้งเหมือนทุกวัน มีแต่ผนังห้องสีขาว
กระด้างและเตียงที่มีราวเหล็กกั้นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกรอบตัวมัวซัวและดูลึกลับชอบกล ตรงหน้ามีเสาสำหรับแขวนขวดน้ำเกลือและน้ำยาต่าง ๆ
ดูเหมือนต้นไม้ที่มีผลอยู่เต็มต้น ถัดไปเล็กน้อยมีเสาอีกต้นแขวนตุ๊กตารูปสัตว์ต่าง ๆ เต็มไปหมด
นี่ไม่ใช่ห้องของฉัน ฉันอยู่ที่ไหน การ์ดและป้ายนับร้อย ๆ แผ่นมีข้อความว่า “หายเร็ว ๆ นะ”
ติดอยู่บนผนังห้องรอบด้าน ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจขณะที่ฉันพยายามคิดว่า ใบหน้าที่ยืนจ้อง
อยู่นั้นเป็นใคร สถานที่น่ากลัวแห่งนี้คือที่ไหน คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่อยู่ที่บ้าน
ฉันลืมตาอีกครั้ง จำไม่ได้ว่าหลับไปอีกหรือไม่ แต่คิดว่าหลับแน่ ๆ เพราะคนแปลกหน้าหายไป
เกือบหมดแล้ว
ขณะจ้องมองดูความวุ่นวาย ฉันก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นเป็นลำดับพร้อมกับรับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่
จับเป็นลิ่มอยู่ในปาก ศีรษะปวดตุบ ๆ เสียงอึกทึกในห้องยิ่งทำให้รู้สึกปวดจนแทบทนไม่ได้
ฉันพยายามนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น พลางบอกตัวเองว่า “ชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว” แม้จะไม่รู้ชัดว่า
เปลี่ยนไปอย่างไร ฉันพยายามตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบ แต่พอเปิดปากกลับไม่มีเสียง
เล็ดลอดออกมาเลย สมองยังสั่งการได้ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แต่เอ๊ะ ร่างกายของฉันหาย
ไปไหน ทำไมฉันถึงไม่มีความรู้สึกเลย เหมือนร่างกายยังไม่ตื่นจากการหลับไหล
“ตามหมอเถอะ รู้สึกว่าลูกจะฟื้นแล้ว” ฉันได้ยินเสียงพ่อพูด
ฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงที่เหมือนเครื่องทรมานนักโทษสมัยโบราณมากกว่า ฉันไม่เห็นพ่อกับ
แม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง
“พูดช้า ๆ” ชายสวมชุดคลุมสีขาวบอกพ่อกับแม่ “เรายังไม่รู้ว่าแกจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดแค่ไหน”
เสียงนุ่ม ๆ ของพ่อแว่วมาจากปลายเตียง
“ลูกได้ยินที่พ่อพูดไหม เราทุกคนอยู่ที่นี่”
ชายชุดขาวใช้ไฟฉายส่องตาฉันทีละข้างแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “บรูกรู้ไหมว่าตัวเองเป็นใครและเกิดอะไร
ขึ้นกับหนู”
ฉันตอบไม่ได้ แม้สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มชัดเจนขึ้น ฉันก็ยังไม่อยากรู้ความจริงในตอนนี้
แต่ฉันพอจะรับรู้อยู่บ้าง เสียงเฟี้ยว ๆ ดังมาจากเครื่องขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
มีเสียงนี้ทุกครั้งที่ฉันหายใจเข้า ต่อมาจึงรู้ว่ามันต่อเข้ากับท่อหายใจเข้า หลังจากนั้นก็รู้ว่ามันต่อ
เข้ากับท่อในปากและทำหน้าที่หายใจแทนฉัน
ฉันขยับตัวไม่ได้ หายใจเองก็ไม่ได้ เเถมพูดไม่ได้ด้วย ฉันกลัวมาก แต่พอพยายามจ้องตา
ชายชุดขาว เขากลับหยุดตรวจ
“หมอจะปล่อยให้คุณอยู่กับลูกตามลำพัง” เขาพูดราวกับว่า แค่ใช้ไฟฉายส่องก็เข้าใจความรู้สึก
ของฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง
โปรดติดตามตอนที่ (5) ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอน(5)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……สัญญาของแม่
จีน : บรูกลืมตาแต่พูดไม่ได้ ฉันอ่านสีหน้าลูกออกว่าพยายามตอบคำถามในใจฉัน
แววตาของลูกไม่ได้ว่างเปล่าหรือไร้แวว แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“บรูก นี่แม่เอง ลูกจำแม่ได้ใช่ไหม”
ฉันเห็นตาลูกฉายแววหวาดกลัวและระทมทุกข์
“บรูก กะพริบตาหนึ่งครั้งถ้าลูกเข้าใจที่แม่พูด”
ฉันจ้องหน้าลูกด้วยใจระทึก ลูกกะพริบตาอย่างตั้งใจ บอกให้รู้ว่าเข้าใจคำพูดของฉัน
“ลูกยังรู้เรื่องดี” ฉันบอกเอ็ด
“บรูก รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ลูกถูกรถชน จำได้ไหม”
ลูกกะพริบตา 2 ครั้งซึ่งเท่ากับบอกว่าจำไม่ได้
“ตอนนี้ลูกอยู่ในโรงพยาบาล” ฉันบอก “หมอกับพยาบาลทุกคนพยายามช่วยกันเต็มที่ให้ลูกหาย”
“แม่กับพ่อก็อยู่ด้วยและไม่หนีไปไหนเด็ดขาด” เอ็ดบอก
บรูก : หัวใจฉันแตกสลายแต่ไม่อยากฟูมฟาย เพราะไม่อยากให้ปัญหายุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งวันมีหมอเวียนกันเข้ามาดูอาการฉันตลอด ซึ่งไม่น่าจะเลวร้ายนักถ้าไม่มองโลก
ในแง่ร้ายเกินไป
หมอคนหนึ่งมาที่ห้องฉันทุกเช้า เอาเข็มมาจิ้มฉันแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “เจ็บไหม” โดยไม่สนใจ
ว่าฉันตอบไม่ได้
หมอพวกนี้พูดถึงฉันราวกับว่าฉันไม่ได้นอนอยู่ตรงหน้า ศัลยแพทย์โรคกระดูกคนหนึ่งอธิบาย
ถึงเส้นเอ็นที่ขาดตรงหัวเข่า หมอฝึกหัดถามว่าต้องผ่าตัดต่อเอ็นไหม อาจารย์หมอตอบว่า
คงไม่มีประโยชน์เพราะถึงอย่างไรฉันก็เดินไม่ได้ เนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลายไปแล้ว
วันนั้นพ่อเกือบจะเหลืออด พ่อบอกว่า ครอบครัวเราเข้าใจดีว่าฉันบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน
ฉันเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปและหายใจเองไม่ได้ แต่ถ้าหมอยังไม่หยุดอภิปรายอาการของฉัน
ในเชิงบั่นทอนกำลังใจ พวกหมอนั่นแหละอาจต้องกลายเป็นคนไข้นอนให้ศัลยแพทย์โรคกระดูกรักษา
จีน : หลังจากอยู่ในห้องเวชบำบัดวิกฤตหนึ่งสัปดาห์ บรูกก็ยังหายใจเองไม่ได้
ศัลยแพทย์ต้องผ่าตัดหลอดลมทิ้งแล้วสอดท่อเข้าไปในคอแทน
ตอนนี้บรูกเริ่มขยับริมฝีปากได้แล้ว ฉันกับเอ็ดสามารถอ่านริมฝีปากของลูกได้ การสื่อสารเริ่มดีขึ้น
แม้ว่าตอนแรกจะขลุกขลักบ้าง บรูกมีคำถามมากมาย ฉันพยายามเดาอย่างเต็มที่ว่า ลูกอยากพูดอะไร
“หนูจะ...” บรูกขยับปาก แต่ยังเปล่งเสียงไม่ได้
“จะอะไรหรือ” ฉันถามอย่างตื่นเต้น ลูกอยากรู้อะไร หนูจะหายใจเองได้อีกไหม หนูจะหายจากอาการ
อัมพาตหรือไม่ หนูจะตายไหม ฉันรู้สึกกลัวที่ต้องรับรู้ท่อนท้ายของคำถามจากปากลูกว่า
“หมดอนาคตหรือเปล่า” ลูกถาม
จากคำถามทั้งหมดที่ลูกน่าจะถาม ฉันรู้สึกสบายใจที่สุดที่ได้ยินคำถามนี้ ฉันตอบว่า
ลูกจะต้องหายแล้วกลับบ้าน กลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม
“สัญญาได้ไหม” ลูกถามอีกครั้ง
ฉันจะสัญญาได้อย่างไรในเมื่อลูกอาการหนักขนาดนี้ แต่ใคร ๆ ก็คงจะประณามฉันแน่
ถ้าฉันท้อแท้และมองโลกในแง่ร้าย
“แม่สัญญาจ้ะ” ฉันตอบ
โปรดติดตามตอนที่ (6)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……สัญญาของแม่
จีน : บรูกลืมตาแต่พูดไม่ได้ ฉันอ่านสีหน้าลูกออกว่าพยายามตอบคำถามในใจฉัน
แววตาของลูกไม่ได้ว่างเปล่าหรือไร้แวว แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“บรูก นี่แม่เอง ลูกจำแม่ได้ใช่ไหม”
ฉันเห็นตาลูกฉายแววหวาดกลัวและระทมทุกข์
“บรูก กะพริบตาหนึ่งครั้งถ้าลูกเข้าใจที่แม่พูด”
ฉันจ้องหน้าลูกด้วยใจระทึก ลูกกะพริบตาอย่างตั้งใจ บอกให้รู้ว่าเข้าใจคำพูดของฉัน
“ลูกยังรู้เรื่องดี” ฉันบอกเอ็ด
“บรูก รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ลูกถูกรถชน จำได้ไหม”
ลูกกะพริบตา 2 ครั้งซึ่งเท่ากับบอกว่าจำไม่ได้
“ตอนนี้ลูกอยู่ในโรงพยาบาล” ฉันบอก “หมอกับพยาบาลทุกคนพยายามช่วยกันเต็มที่ให้ลูกหาย”
“แม่กับพ่อก็อยู่ด้วยและไม่หนีไปไหนเด็ดขาด” เอ็ดบอก
บรูก : หัวใจฉันแตกสลายแต่ไม่อยากฟูมฟาย เพราะไม่อยากให้ปัญหายุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งวันมีหมอเวียนกันเข้ามาดูอาการฉันตลอด ซึ่งไม่น่าจะเลวร้ายนักถ้าไม่มองโลก
ในแง่ร้ายเกินไป
หมอคนหนึ่งมาที่ห้องฉันทุกเช้า เอาเข็มมาจิ้มฉันแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “เจ็บไหม” โดยไม่สนใจ
ว่าฉันตอบไม่ได้
หมอพวกนี้พูดถึงฉันราวกับว่าฉันไม่ได้นอนอยู่ตรงหน้า ศัลยแพทย์โรคกระดูกคนหนึ่งอธิบาย
ถึงเส้นเอ็นที่ขาดตรงหัวเข่า หมอฝึกหัดถามว่าต้องผ่าตัดต่อเอ็นไหม อาจารย์หมอตอบว่า
คงไม่มีประโยชน์เพราะถึงอย่างไรฉันก็เดินไม่ได้ เนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลายไปแล้ว
วันนั้นพ่อเกือบจะเหลืออด พ่อบอกว่า ครอบครัวเราเข้าใจดีว่าฉันบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน
ฉันเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปและหายใจเองไม่ได้ แต่ถ้าหมอยังไม่หยุดอภิปรายอาการของฉัน
ในเชิงบั่นทอนกำลังใจ พวกหมอนั่นแหละอาจต้องกลายเป็นคนไข้นอนให้ศัลยแพทย์โรคกระดูกรักษา
จีน : หลังจากอยู่ในห้องเวชบำบัดวิกฤตหนึ่งสัปดาห์ บรูกก็ยังหายใจเองไม่ได้
ศัลยแพทย์ต้องผ่าตัดหลอดลมทิ้งแล้วสอดท่อเข้าไปในคอแทน
ตอนนี้บรูกเริ่มขยับริมฝีปากได้แล้ว ฉันกับเอ็ดสามารถอ่านริมฝีปากของลูกได้ การสื่อสารเริ่มดีขึ้น
แม้ว่าตอนแรกจะขลุกขลักบ้าง บรูกมีคำถามมากมาย ฉันพยายามเดาอย่างเต็มที่ว่า ลูกอยากพูดอะไร
“หนูจะ...” บรูกขยับปาก แต่ยังเปล่งเสียงไม่ได้
“จะอะไรหรือ” ฉันถามอย่างตื่นเต้น ลูกอยากรู้อะไร หนูจะหายใจเองได้อีกไหม หนูจะหายจากอาการ
อัมพาตหรือไม่ หนูจะตายไหม ฉันรู้สึกกลัวที่ต้องรับรู้ท่อนท้ายของคำถามจากปากลูกว่า
“หมดอนาคตหรือเปล่า” ลูกถาม
จากคำถามทั้งหมดที่ลูกน่าจะถาม ฉันรู้สึกสบายใจที่สุดที่ได้ยินคำถามนี้ ฉันตอบว่า
ลูกจะต้องหายแล้วกลับบ้าน กลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม
“สัญญาได้ไหม” ลูกถามอีกครั้ง
ฉันจะสัญญาได้อย่างไรในเมื่อลูกอาการหนักขนาดนี้ แต่ใคร ๆ ก็คงจะประณามฉันแน่
ถ้าฉันท้อแท้และมองโลกในแง่ร้าย
“แม่สัญญาจ้ะ” ฉันตอบ
โปรดติดตามตอนที่ (6)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (6)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…………ฝันแสนสวย
จีน : บรูกย้ายออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์
เข้าไปที่ท่อลมเพื่อให้ลูกพูดได้ แต่แม่กับพ่อใจจะขาดรอน ๆ เมื่อเห็นลูกกระเสือกกระสน
จะทำให้ร่างกายกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแต่ไม่สำเร็จ ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมาก
ฉันกับเอ็ดเชื่อว่าถ้ามีความหวังทุกอย่างก็เป็นไปได้ แต่เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯไม่มีความปรานีเท่าที่ควร
“อย่าพูดให้เด็กมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม” เขาพูดใส่หน้าฉัน
อยู่บ่อย ๆ “ไม่มีเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ มีสองอย่างเท่านั้นคือ มีหวังกับไม่มีหวัง” ฉันแย้ง
ถ้าศูนย์ฯทำให้ลูกมีอาการทรง ๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องพาลูกกลับบ้านและดำเนินชีวิตต่อไป
ระหว่างนั้น เอ็ดกับฉันตกแต่งบ้านใหม่ ขยายห้องใต้บันไดให้กว้างขึ้น สร้างห้องน้ำที่นำรถเข็น
เข้าไปได้ พร้อมกับสร้างทางสำหรับรถเข็นที่บริเวณข้างบ้าน ทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก
ครอบครัวเรามีปัญหาด้านการเงินตั้งแต่ก่อนบรูกประสบอุบัติเหตุ แต่ชุมชนที่เราอยู่รณรงค์หาเงิน
มาช่วยจนเรารู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งบุญคุณอย่างยิ่ง
ราวเดือนพฤษภาคม ทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอย บรูกออกจากศูนย์ฯเพื่อกลับบ้าน
พอรถพยาบาลถอยหลังเข้าบ้าน บรูกก็เห็นลูกโป่งพวงใหญ่ผูกกับตู้จดหมายและเหนือประตูบ้าน
มีข้อความว่า “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ญาติมิตรและเพื่อนบ้านยืนรอรับขวัญบรูกอยู่ใต้ห่วงบาสเกตบอล
ลูกมองหน้าฉันพร้อมกับส่งยิ้มกว้าง “ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน จริง ๆ นะคะแม่”
บรูก : ฉันรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่ต้องตื่นไปโรงเรียน ขณะที่พี่น้องจะตื่นนอน กินอาหารเช้า แต่งตัว
และวิ่งเข้ามาลาฉันในห้อง ส่วนฉันได้แต่นั่งตาปริบ ๆ
แม่คอยดูแลเรื่องกินยา สวมเสื้อผ้าให้และจับนั่งรถเข็นโดยไม่เคยปริปากบ่น ฉันก็พยายาม
ไม่บ่นเหมือนกัน แต่รู้สึกห่อเหี่ยวอยู่บ่อย ๆ
ฉันเกือบทนไม่ได้แม้จะทำใจกับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว สิ่งต่าง ๆ ในอดีตที่ไม่มีทาง
ย้อนเดินกลับคอยทิ่มแทงใจไม่หยุดหย่อน. ไม่มีใครตำหนิเลยถ้าฉันจะนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
และเอาแต่ดูโทรทัศน์อย่างเดียว แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเห็นแก่พ่อแม่และตัวเองด้วย
ถึงจะเจ็บป่วยแค่ไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนมาสอนหนังสือให้ฉันทุกวัน แต่ก็น้อยเกินกว่าจะกลับไปเรียน
พร้อมกับเพื่อน ๆ ได้ในเดือนกันยายน แม่ยังจำสัญญาที่รับปากไว้ได้จึงวางแผนการเรียนช่วงฤดูร้อน
ให้ฉัน มีครูระดับมัธยมต้น 4 คนมาสอนที่บ้าน ตอนแรกฉันรู้สึกวิตกไม่น้อย
เพราะไม่รู้ว่าครูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับอาการของฉัน ฉันต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสมองยังใช้การ
ได้ดีไม่แพ้คนอื่น และควรค่าแก่การยอมรับนับถือ ฉันไม่อยากให้ใครมองด้วยความสงสาร
ฉันไม่เคยเรียนภาษาต่างประเทศมาก่อน จึงตัดสินใจเริ่มต้นด้วยภาษาละติน ทีแรกครูเตือนว่า
ฉันคงเรียนไม่ไหวและน่าจะเรียนภาษาที่ง่ายกว่านี้
ครูไม่ได้ใจดีกับฉันเป็นพิเศษซึ่งฉันก็ต้องการอย่างนั้น ในที่สุดฉันก็พิสูจน์ว่าครูคิดผิด
พอหมดฤดูร้อน ฉันก็ผ่านการทดสอบทั้งหมดและพร้อมจะกลับไปเรียนต่อในเดือนกันยายน
โปรดติดตามตอนที่ (7)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…………ฝันแสนสวย
จีน : บรูกย้ายออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์
เข้าไปที่ท่อลมเพื่อให้ลูกพูดได้ แต่แม่กับพ่อใจจะขาดรอน ๆ เมื่อเห็นลูกกระเสือกกระสน
จะทำให้ร่างกายกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแต่ไม่สำเร็จ ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมาก
ฉันกับเอ็ดเชื่อว่าถ้ามีความหวังทุกอย่างก็เป็นไปได้ แต่เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯไม่มีความปรานีเท่าที่ควร
“อย่าพูดให้เด็กมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม” เขาพูดใส่หน้าฉัน
อยู่บ่อย ๆ “ไม่มีเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ มีสองอย่างเท่านั้นคือ มีหวังกับไม่มีหวัง” ฉันแย้ง
ถ้าศูนย์ฯทำให้ลูกมีอาการทรง ๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องพาลูกกลับบ้านและดำเนินชีวิตต่อไป
ระหว่างนั้น เอ็ดกับฉันตกแต่งบ้านใหม่ ขยายห้องใต้บันไดให้กว้างขึ้น สร้างห้องน้ำที่นำรถเข็น
เข้าไปได้ พร้อมกับสร้างทางสำหรับรถเข็นที่บริเวณข้างบ้าน ทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก
ครอบครัวเรามีปัญหาด้านการเงินตั้งแต่ก่อนบรูกประสบอุบัติเหตุ แต่ชุมชนที่เราอยู่รณรงค์หาเงิน
มาช่วยจนเรารู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งบุญคุณอย่างยิ่ง
ราวเดือนพฤษภาคม ทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอย บรูกออกจากศูนย์ฯเพื่อกลับบ้าน
พอรถพยาบาลถอยหลังเข้าบ้าน บรูกก็เห็นลูกโป่งพวงใหญ่ผูกกับตู้จดหมายและเหนือประตูบ้าน
มีข้อความว่า “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ญาติมิตรและเพื่อนบ้านยืนรอรับขวัญบรูกอยู่ใต้ห่วงบาสเกตบอล
ลูกมองหน้าฉันพร้อมกับส่งยิ้มกว้าง “ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน จริง ๆ นะคะแม่”
บรูก : ฉันรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่ต้องตื่นไปโรงเรียน ขณะที่พี่น้องจะตื่นนอน กินอาหารเช้า แต่งตัว
และวิ่งเข้ามาลาฉันในห้อง ส่วนฉันได้แต่นั่งตาปริบ ๆ
แม่คอยดูแลเรื่องกินยา สวมเสื้อผ้าให้และจับนั่งรถเข็นโดยไม่เคยปริปากบ่น ฉันก็พยายาม
ไม่บ่นเหมือนกัน แต่รู้สึกห่อเหี่ยวอยู่บ่อย ๆ
ฉันเกือบทนไม่ได้แม้จะทำใจกับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว สิ่งต่าง ๆ ในอดีตที่ไม่มีทาง
ย้อนเดินกลับคอยทิ่มแทงใจไม่หยุดหย่อน. ไม่มีใครตำหนิเลยถ้าฉันจะนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
และเอาแต่ดูโทรทัศน์อย่างเดียว แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเห็นแก่พ่อแม่และตัวเองด้วย
ถึงจะเจ็บป่วยแค่ไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนมาสอนหนังสือให้ฉันทุกวัน แต่ก็น้อยเกินกว่าจะกลับไปเรียน
พร้อมกับเพื่อน ๆ ได้ในเดือนกันยายน แม่ยังจำสัญญาที่รับปากไว้ได้จึงวางแผนการเรียนช่วงฤดูร้อน
ให้ฉัน มีครูระดับมัธยมต้น 4 คนมาสอนที่บ้าน ตอนแรกฉันรู้สึกวิตกไม่น้อย
เพราะไม่รู้ว่าครูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับอาการของฉัน ฉันต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสมองยังใช้การ
ได้ดีไม่แพ้คนอื่น และควรค่าแก่การยอมรับนับถือ ฉันไม่อยากให้ใครมองด้วยความสงสาร
ฉันไม่เคยเรียนภาษาต่างประเทศมาก่อน จึงตัดสินใจเริ่มต้นด้วยภาษาละติน ทีแรกครูเตือนว่า
ฉันคงเรียนไม่ไหวและน่าจะเรียนภาษาที่ง่ายกว่านี้
ครูไม่ได้ใจดีกับฉันเป็นพิเศษซึ่งฉันก็ต้องการอย่างนั้น ในที่สุดฉันก็พิสูจน์ว่าครูคิดผิด
พอหมดฤดูร้อน ฉันก็ผ่านการทดสอบทั้งหมดและพร้อมจะกลับไปเรียนต่อในเดือนกันยายน
โปรดติดตามตอนที่ (7)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (7)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…ทางสายใหม่
จีน : ขณะที่บรูกขะมักเขม้นกับการเรียนให้ทันเพื่อน ฉันกับเอ็ดก็วางแผนไปคุยกับผู้บริหารของ
โรงเรียนในเขตที่เราอยู่ซึ่งยังไม่เคยมีนักเรียนที่ต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตไปเรียนรวมกับนักเรียนทั่วไป
บรูกต้องนั่งรถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ มีคนคอยจดโน้ตให้ รวมทั้งต้องมีคนคอยดูแลพยาบาล
ทางโรงเรียนตกลงจะจัดหาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องพยาบาล ในที่สุดฉันบอกเอ็ดว่า “ถ้าฉันไป
โรงเรียนกับลูก คุณจะว่ายังไง ฉันดูแลลูกได้ดีพอ ๆ กับพยาบาลทีเดียว”
เราโทรฯไปสอบถามผู้บริหารโรงเรียนซึ่งไม่ขัดข้อง ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้ยืนสอนอยู่หน้าชั้นตาม
ความตั้งใจเดิม ฉันกลับนั่งอยู่หลังห้องเพื่อทำหน้าที่พยาบาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือได้อยู่ใกล้ลูก
วันเปิดเรียน รถมารับช้าเล็กน้อย พอไปถึงบริเวณที่ปล่อยให้บรูกลงจากรถจึงมีนักเรียนอยู่บางตา
เมื่อถึงตึกเรียน ฉันจับประตูไว้ให้เอ็ดเข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนข้ามธรณีประตู
“เราพาลูกมาถึงโรงเรียนแล้ว” ฉันบอก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่า หนูจะได้กลับมาเรียนอีก” บรูกพูดแต่ยิ้มอย่างกังวล
บรูก : “บรูก” เสียงเรียกชื่อฉันดังมาจากข้างหลัง
คนพูดเป็นเพื่อนฉันเองชื่อไมเคิล วันที่กลับจากศูนย์ฯเขาก็ไปรอรับอยู่ที่บ้านด้วย แม้ตอนนั้นฉันจะ
ยังไม่รู้จักเขา แต่เราก็สนิทกันอย่างรวดเร็ว ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน เขามาเยี่ยมบ่อย ๆ
และชอบมาขลุกอยู่ทั้งวัน ไมเคิลเป็นเพื่อนในจำนวนไม่กี่คนที่มาเยี่ยมสม่ำเสมอ
เพื่อนบางคนที่สนิทกับฉันก่อนเกิดอุบัติเหตุมาเยี่ยมระยะหนึ่งตอนกลับมาอยู่บ้านใหม่ ๆ
แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ หายหน้าไป ฉันคิดว่าทุกคนคงไม่อยากเห็นฉันในสภาพนี้เพราะเคยเห็น
ในสภาพสมบูรณ์มาก่อน แต่ไมเคิลรู้จักฉันก็เมื่อเป็นอัมพาตแล้ว จึงยอมรับได้ไม่ยาก
และฉันก็ชอบเขาเพราะจุดนี้
โปรดติดตาม(ตอนที่ 8)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…ทางสายใหม่
จีน : ขณะที่บรูกขะมักเขม้นกับการเรียนให้ทันเพื่อน ฉันกับเอ็ดก็วางแผนไปคุยกับผู้บริหารของ
โรงเรียนในเขตที่เราอยู่ซึ่งยังไม่เคยมีนักเรียนที่ต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตไปเรียนรวมกับนักเรียนทั่วไป
บรูกต้องนั่งรถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ มีคนคอยจดโน้ตให้ รวมทั้งต้องมีคนคอยดูแลพยาบาล
ทางโรงเรียนตกลงจะจัดหาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องพยาบาล ในที่สุดฉันบอกเอ็ดว่า “ถ้าฉันไป
โรงเรียนกับลูก คุณจะว่ายังไง ฉันดูแลลูกได้ดีพอ ๆ กับพยาบาลทีเดียว”
เราโทรฯไปสอบถามผู้บริหารโรงเรียนซึ่งไม่ขัดข้อง ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้ยืนสอนอยู่หน้าชั้นตาม
ความตั้งใจเดิม ฉันกลับนั่งอยู่หลังห้องเพื่อทำหน้าที่พยาบาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือได้อยู่ใกล้ลูก
วันเปิดเรียน รถมารับช้าเล็กน้อย พอไปถึงบริเวณที่ปล่อยให้บรูกลงจากรถจึงมีนักเรียนอยู่บางตา
เมื่อถึงตึกเรียน ฉันจับประตูไว้ให้เอ็ดเข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนข้ามธรณีประตู
“เราพาลูกมาถึงโรงเรียนแล้ว” ฉันบอก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่า หนูจะได้กลับมาเรียนอีก” บรูกพูดแต่ยิ้มอย่างกังวล
บรูก : “บรูก” เสียงเรียกชื่อฉันดังมาจากข้างหลัง
คนพูดเป็นเพื่อนฉันเองชื่อไมเคิล วันที่กลับจากศูนย์ฯเขาก็ไปรอรับอยู่ที่บ้านด้วย แม้ตอนนั้นฉันจะ
ยังไม่รู้จักเขา แต่เราก็สนิทกันอย่างรวดเร็ว ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน เขามาเยี่ยมบ่อย ๆ
และชอบมาขลุกอยู่ทั้งวัน ไมเคิลเป็นเพื่อนในจำนวนไม่กี่คนที่มาเยี่ยมสม่ำเสมอ
เพื่อนบางคนที่สนิทกับฉันก่อนเกิดอุบัติเหตุมาเยี่ยมระยะหนึ่งตอนกลับมาอยู่บ้านใหม่ ๆ
แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ หายหน้าไป ฉันคิดว่าทุกคนคงไม่อยากเห็นฉันในสภาพนี้เพราะเคยเห็น
ในสภาพสมบูรณ์มาก่อน แต่ไมเคิลรู้จักฉันก็เมื่อเป็นอัมพาตแล้ว จึงยอมรับได้ไม่ยาก
และฉันก็ชอบเขาเพราะจุดนี้
โปรดติดตาม(ตอนที่ 8)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่( 8)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……มุ่งสู่เป้าหมาย
บรูก : ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงฝีเท้าคุ้นหูเดินผ่านห้องโถง “สวัสดีค่ะ
มีใครอยู่ไหมคะ” เสียงของนักฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานนั่นเอง ฉันเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่
ในห้องโดยเอาหนังสือวางบนขาตั้งโน้ตเพลงที่ตั้งอยู่หน้าเก้าอี้ล้อเลื่อน
“มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ” ฉันทัก “ช่วยพลิกหน้าหนังสือให้หน่อยได้ไหมคะ”
นักฟื้นฟูฯกระเซ้าว่า “อ่านหนังสือไม่ยอมพักเลยนะ”
ใคร ๆ ก็เห็นว่าฉันอ่านหนังสือไม่ได้หยุดซึ่งฉันก็หวังว่าจะขยันให้ได้อย่างนั้น
ปัญหาคือตอนทำการบ้าน ฉันต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นเพราะขยับมือและแขนไม่ได้
ถ้าต้องเขียนบทความก็ต้องอาศัยมือคนอื่น ถ้าเป็นการบ้านคณิตศาสตร์ก็ต้องคำนวณ
ในหัวแล้ววานให้คนอื่นช่วยเขียนวิธีทำใส่กระดาษ
จีน : บรูกจบมัธยมต้นด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในชั้น จึงมีสิทธิ์เรียนในแผนกวิทยาศาสตร์ซึ่ง
เรียนรวมนักเรียนระดับหัวกะทิ ฉันกับเอ็ดพาลูกไปสำรวจสภาพโรงเรียนก่อนเปิดเทอม
และพบอาจารย์หัวหน้าแผนกซึ่งเป็นสตรีร่างเล็ก
อาจารย์ท่านนี้มีกิตติศัพท์ว่าเข้มงวดมาก ไม่นานเราก็ประจักษ์ว่าคำร่ำลือนั้นเป็นจริง
“เธอต้องเป็นบรูกแน่ ๆ” อาจารย์ทักทายและประกาศกฎเกณฑ์ทันที
“ห้ามส่งรายงานช้าเกินกำหนด และครูไม่เคยยืดกำหนดส่ง” เธอพูดห้วน ๆ “ครูจะปฏิบัติต่อ
เธอเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ บอกตามตรงนะบรูก ครูไม่แน่ใจว่าเธอจะเรียนแผนกนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เพราะมีงานที่ต้องทำด้วยมือมากมายซึ่งหลายอย่างเธอทำเองไม่ได้ เรามาพยายามดูสักตั้ง
ก็ได้ถ้าเธออยากลอง”
พูดจบครูก็หันไปพูดกับนักเรียนคนอื่นทันที ฉันเดินตามเก้าอี้ล้อเลื่อนของบรูกออกมานอกห้อง
และเห็นลูกหน้าซีด “แม่คะ หนูไม่รู้ว่าจะเรียนไหวหรือเปล่า” ลูกบอก
“คนเรามักจะคิดเอาเองล่วงหน้าและยึดติดกับความคิดนั้น” ฉันเตือนลูก “นี่คือแผนกที่หนูจะต้อง
ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอนไปพร้อม ๆ กัน”
ฉันรู้ว่าลูกไม่มีกำลังใจ แต่หวังว่าลูกจะเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
นี่เป็นเพียงอุปสรรคอีกอย่างที่ต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้นเอง
บรูก : ชีวิตการเรียนมัธยมปลายโดยมีแม่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อน ๆ
เริ่มคุ้นกับการมีแม่มานั่งอยู่ในห้อง
เวลาเปลี่ยนห้องเรียน ฉันเห็นเพื่อนเก่าหลายคนยืนอยู่ในห้องโถง ทุกคนจะหันมาทักทายฉัน
แต่ก็เป็นไปอย่างผิวเผิน พลายคนทำเป็นมองไม่เห็น
ฉันหงุดหงิดกับปฏิกิริยาเช่นนี้มาก อยากรู้ว่าทำไมทุกคนจึงรู้สึกเคอะเขินเวลาเห็นฉัน
บางคนทำท่ากลัวด้วยซ้ำ ฉันคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตพวกเขาเปราะบางแค่ไหนกระมัง
ฉันเขียนบทความระบายความในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งครูในวิชาภาษาอังกฤษใจความว่า
“มีใครรู้จักฉันอย่างแท้จริงบ้าง ฉันคือเด็กผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้ล้อเลื่อนและใช้เครื่องช่วยหายใจ
คุณคิดว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน หรือเป็นเพียงภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคุณเท่านั้น
ฉันยังเป็นเด็กหญิงคนเดิมอย่างที่เคยเป็น ยังมีความหวัง ความปรารถนา และความฝันเหมือนเดิม
ฉันเคยเป็นนักเต้นรำ ฉันเล่นเชลโล ฉันรักสิ่งสวยงามทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ศิลปะ
มิตรภาพ และโลกที่มีน้ำใจให้กัน”
“จิตใจคนเราซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด ก่อนจะตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น เราต้อง
เอาใจใส่ให้มากพอจึงจะรู้ใจกันอย่างถ่องแท้ เมื่อคุณเห็นฉัน ขอให้มองทะลุผ่านโลหะ
และอุปกรณ์ทั้งหลายแล้วจึงกล่าวสวัสดี ฉันอยากรู้จักคุณอย่างแท้จริงพอ ๆ กับที่อยาก
ให้คุณรู้จักตัวจริงของฉัน”
โปรดติดตามตอนที่ (9)ในวันพรุ่งนี้
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……มุ่งสู่เป้าหมาย
บรูก : ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงฝีเท้าคุ้นหูเดินผ่านห้องโถง “สวัสดีค่ะ
มีใครอยู่ไหมคะ” เสียงของนักฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานนั่นเอง ฉันเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่
ในห้องโดยเอาหนังสือวางบนขาตั้งโน้ตเพลงที่ตั้งอยู่หน้าเก้าอี้ล้อเลื่อน
“มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ” ฉันทัก “ช่วยพลิกหน้าหนังสือให้หน่อยได้ไหมคะ”
นักฟื้นฟูฯกระเซ้าว่า “อ่านหนังสือไม่ยอมพักเลยนะ”
ใคร ๆ ก็เห็นว่าฉันอ่านหนังสือไม่ได้หยุดซึ่งฉันก็หวังว่าจะขยันให้ได้อย่างนั้น
ปัญหาคือตอนทำการบ้าน ฉันต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นเพราะขยับมือและแขนไม่ได้
ถ้าต้องเขียนบทความก็ต้องอาศัยมือคนอื่น ถ้าเป็นการบ้านคณิตศาสตร์ก็ต้องคำนวณ
ในหัวแล้ววานให้คนอื่นช่วยเขียนวิธีทำใส่กระดาษ
จีน : บรูกจบมัธยมต้นด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในชั้น จึงมีสิทธิ์เรียนในแผนกวิทยาศาสตร์ซึ่ง
เรียนรวมนักเรียนระดับหัวกะทิ ฉันกับเอ็ดพาลูกไปสำรวจสภาพโรงเรียนก่อนเปิดเทอม
และพบอาจารย์หัวหน้าแผนกซึ่งเป็นสตรีร่างเล็ก
อาจารย์ท่านนี้มีกิตติศัพท์ว่าเข้มงวดมาก ไม่นานเราก็ประจักษ์ว่าคำร่ำลือนั้นเป็นจริง
“เธอต้องเป็นบรูกแน่ ๆ” อาจารย์ทักทายและประกาศกฎเกณฑ์ทันที
“ห้ามส่งรายงานช้าเกินกำหนด และครูไม่เคยยืดกำหนดส่ง” เธอพูดห้วน ๆ “ครูจะปฏิบัติต่อ
เธอเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ บอกตามตรงนะบรูก ครูไม่แน่ใจว่าเธอจะเรียนแผนกนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เพราะมีงานที่ต้องทำด้วยมือมากมายซึ่งหลายอย่างเธอทำเองไม่ได้ เรามาพยายามดูสักตั้ง
ก็ได้ถ้าเธออยากลอง”
พูดจบครูก็หันไปพูดกับนักเรียนคนอื่นทันที ฉันเดินตามเก้าอี้ล้อเลื่อนของบรูกออกมานอกห้อง
และเห็นลูกหน้าซีด “แม่คะ หนูไม่รู้ว่าจะเรียนไหวหรือเปล่า” ลูกบอก
“คนเรามักจะคิดเอาเองล่วงหน้าและยึดติดกับความคิดนั้น” ฉันเตือนลูก “นี่คือแผนกที่หนูจะต้อง
ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอนไปพร้อม ๆ กัน”
ฉันรู้ว่าลูกไม่มีกำลังใจ แต่หวังว่าลูกจะเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
นี่เป็นเพียงอุปสรรคอีกอย่างที่ต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้นเอง
บรูก : ชีวิตการเรียนมัธยมปลายโดยมีแม่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อน ๆ
เริ่มคุ้นกับการมีแม่มานั่งอยู่ในห้อง
เวลาเปลี่ยนห้องเรียน ฉันเห็นเพื่อนเก่าหลายคนยืนอยู่ในห้องโถง ทุกคนจะหันมาทักทายฉัน
แต่ก็เป็นไปอย่างผิวเผิน พลายคนทำเป็นมองไม่เห็น
ฉันหงุดหงิดกับปฏิกิริยาเช่นนี้มาก อยากรู้ว่าทำไมทุกคนจึงรู้สึกเคอะเขินเวลาเห็นฉัน
บางคนทำท่ากลัวด้วยซ้ำ ฉันคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตพวกเขาเปราะบางแค่ไหนกระมัง
ฉันเขียนบทความระบายความในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งครูในวิชาภาษาอังกฤษใจความว่า
“มีใครรู้จักฉันอย่างแท้จริงบ้าง ฉันคือเด็กผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้ล้อเลื่อนและใช้เครื่องช่วยหายใจ
คุณคิดว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน หรือเป็นเพียงภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคุณเท่านั้น
ฉันยังเป็นเด็กหญิงคนเดิมอย่างที่เคยเป็น ยังมีความหวัง ความปรารถนา และความฝันเหมือนเดิม
ฉันเคยเป็นนักเต้นรำ ฉันเล่นเชลโล ฉันรักสิ่งสวยงามทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ศิลปะ
มิตรภาพ และโลกที่มีน้ำใจให้กัน”
“จิตใจคนเราซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด ก่อนจะตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น เราต้อง
เอาใจใส่ให้มากพอจึงจะรู้ใจกันอย่างถ่องแท้ เมื่อคุณเห็นฉัน ขอให้มองทะลุผ่านโลหะ
และอุปกรณ์ทั้งหลายแล้วจึงกล่าวสวัสดี ฉันอยากรู้จักคุณอย่างแท้จริงพอ ๆ กับที่อยาก
ให้คุณรู้จักตัวจริงของฉัน”
โปรดติดตามตอนที่ (9)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ 9(ตอนจบ)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……พลังแห่งความหวัง
จีน : หลังบรูกกลับเข้าเรียนในชั้นมัธยมสอง ฉันกับเอ็ดต่างเห็นตรงกันว่า
ถ้าลูกจบมัธยมและทุกอย่างราบรื่นก็คงจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐใกล้ ๆ บ้าน
แต่แล้ววันหนึ่งบรูกถามฉันว่า “แม่จะว่ายังไง ถ้าหนูอยากไปเรียนไกล ๆ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันลูก” ฉันถาม “อยู่ที่นี่เรายังไม่มีเงินจ้างพยาบาลมาดูแลลูกเลย
ว่าแต่ว่าอยากไปเรียนที่ไหนล่ะ”
“มหาวิทยาลัยชื่อดังค่ะแม่”
ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ลูกรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งเสียขนาดนั้นหรอก”
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่คะแม่” ลูกพูด
“ลองดูก็ได้” ฉันว่า
จากนั้นฉันกับเอ็ดก็ปรึกษากันและตกลงว่าน่าจะให้ลูกสมัครดู บรูกตัดสินใจสมัครเรียน
รอบแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ฉันกับบรูกรวบรวมเอกสารประกอบใบสมัครไปส่งให้เจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษา
“หนูพอจะมีหวังไหมคะ” บรูกถาม
“มีโอกาสเท่ากับคนอื่น ๆ” เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมกับสอดใบแสดงผลการศึกษาและ
จดหมายรับรองลงในซอง หนึ่งในนั้นมาจากอาจารย์หัวหน้าแผนกที่โรงเรียนซึ่งเดิมไม่แน่ใจว่า
บรูกจะเรียนจบหลักสูตร แต่ต่อมากลับเป็นปากเสียงสำคัญให้ลูก
เมื่อส่งใบสมัครไปแล้วก็ได้แต่รอฟังผล สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันสัญญากับลูกหลังเกิดอุบัติเหตุคือ
แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของลูกได้ ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีชีวิต
ดีที่สุดไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากสักเพียงใดก็ตาม
บรูก : วันที่ 15 ธันวาคมเป็นวันประกาศผลการคัดเลือก ฉันตัดสินใจโทรฯไปถามแผนก
รับนักศึกษาของฮาร์วาร์ด
แม่กดโทรศัพท์ในห้องพยาบาลของโรงเรียนแล้วยกหูโทรศัพท์ให้ฉันพูด หลังแจ้งชื่อและ
รายละเอียดส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่า “ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับเข้า
เป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ด”
ทั้งฉันและแม่ร้องไห้ ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้ รู้สึกว่าการได้เข้าเป็นนักศึกษา
ในสถาบันชื่อดังแห่งนี้ เป็นการตอบแทนความทุ่มเทที่ครอบครัวเราร่วมแรงร่วมใจกันมาตลอด 6 ปี
จีน : บรูกโทรฯไปบอกพ่อที่สำนักงานทันที เอ็ดตื่นเต้นดีใจแต่ก็เดินหัวหมุนเหมือนฉัน
เพราะคิดไม่ออกว่าจะหาเงินที่ไหนมาส่งเสียลูกเรียนจนจบ
พอวางโทรศัพท์ ฉันกับบรูกก็ออกไปเข้าห้องเรียน พอเข้าไปในห้องวิจัย
อาจารย์หัวหน้าแผนกก็ตะโกนถามว่า “ว่าไง โทรฯไปถามแล้วหรือยัง”
บรูกยิ้มแก้มแทบปริ เพราะฉะนั้นไม่ต้องตอบก็รู้ได้ อาจารย์วิ่งเข้ามาจูบบรูกที่หน้าผาก
และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ดีใจด้วย นักศึกษาใหม่ของฮาร์วาร์ด”
บรูก : ฉันต้องแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบว่าตกลงใจจะเข้าเรียนที่นั่น ทางมหาวิทยาลัยเสนอ
ความช่วยเหลือทางการเงิน แต่ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอ
ครอบครัวเราตกลงใจขับรถไปดูสภาพมหาวิทยาลัยและพบผู้บริหารซึ่งบอกว่า “ไม่มีปัญหา”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง ห้องพักใหญ่พิเศษ ห้องน้ำที่เอาเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้าไปได้
หรือแม้แต่การที่แม่ต้องมาอยู่ด้วย ท่าทางผู้บริหารกระตือรือร้นที่จะมีนักศึกษาพิเศษอย่างฉัน
แม้จะไม่อยากจากครอบครัวไปไกล ๆ แต่ฉันก็อยากไปเรียนมากเพื่อพัฒนาตัวเอง
ให้สูงที่สุดตามที่พ่อแม่พร่ำสอนมาตลอด
และเรื่องน่าตลกในท้ายที่สุดก็คือ พวกที่ชอบค่อนแคะฉันนี่เองที่ผลักดันให้ฉันตัดสินใจ
ไปเรียนฮาร์วาร์ด แม้ฉันจะได้เกรดสี่ทุกวิชา แต่บางคนก็ยังคิดว่ามหาวิทยาลัยรับฉัน
เพราะความพิการจนต้องนั่งรถเข็น พวกนี้ปรามาสว่าฉันจะเรียนไม่จบด้วยซ้ำไป
ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักฉัน และพูดออกมาเพราะมีอคติที่เกิดจากความไม่รู้
ฉันจะต้องสอนบทเรียนบางอย่างแก่พวกเขา ดังนั้นจึงตัดสินใจไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด
และบางทีก็ต้องสอนบทเรียนให้คนอื่นไปพร้อม ๆ กันด้วย
บรูกเรียนที่ฮาร์วาร์ด 4 ปีโดยมีแม่ตามไปด้วยและพ่อคอยสนับสนุนอย่างดี เธอเลือกเรียน
ประสาทวิทยาด้านการรับรู้เป็นวิชาเอก วิชานี้เน้นสองสาขาคือ จิตวิทยากับชีววิทยา
หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอว่าด้วยเรื่องความหวัง ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
บรูกสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมในเดือนมิถุนายน 2000
ทุกวันนี้ บรูกทำงานแนะแนวแก่นักเรียนมัธยมและกลุ่มอื่น ๆ เธอตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
“มหัศจรรย์มีจริง” บรูกกล่าว “เพราะเกิดขึ้นกับฉันมาแล้ว และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นกับพวกคุณ
แค่มองดูผู้คนรอบข้าง คุณก็จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเสมอ”
****************************
จบบริบูรณ์
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……พลังแห่งความหวัง
จีน : หลังบรูกกลับเข้าเรียนในชั้นมัธยมสอง ฉันกับเอ็ดต่างเห็นตรงกันว่า
ถ้าลูกจบมัธยมและทุกอย่างราบรื่นก็คงจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐใกล้ ๆ บ้าน
แต่แล้ววันหนึ่งบรูกถามฉันว่า “แม่จะว่ายังไง ถ้าหนูอยากไปเรียนไกล ๆ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันลูก” ฉันถาม “อยู่ที่นี่เรายังไม่มีเงินจ้างพยาบาลมาดูแลลูกเลย
ว่าแต่ว่าอยากไปเรียนที่ไหนล่ะ”
“มหาวิทยาลัยชื่อดังค่ะแม่”
ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ลูกรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งเสียขนาดนั้นหรอก”
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่คะแม่” ลูกพูด
“ลองดูก็ได้” ฉันว่า
จากนั้นฉันกับเอ็ดก็ปรึกษากันและตกลงว่าน่าจะให้ลูกสมัครดู บรูกตัดสินใจสมัครเรียน
รอบแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ฉันกับบรูกรวบรวมเอกสารประกอบใบสมัครไปส่งให้เจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษา
“หนูพอจะมีหวังไหมคะ” บรูกถาม
“มีโอกาสเท่ากับคนอื่น ๆ” เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมกับสอดใบแสดงผลการศึกษาและ
จดหมายรับรองลงในซอง หนึ่งในนั้นมาจากอาจารย์หัวหน้าแผนกที่โรงเรียนซึ่งเดิมไม่แน่ใจว่า
บรูกจะเรียนจบหลักสูตร แต่ต่อมากลับเป็นปากเสียงสำคัญให้ลูก
เมื่อส่งใบสมัครไปแล้วก็ได้แต่รอฟังผล สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันสัญญากับลูกหลังเกิดอุบัติเหตุคือ
แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของลูกได้ ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีชีวิต
ดีที่สุดไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากสักเพียงใดก็ตาม
บรูก : วันที่ 15 ธันวาคมเป็นวันประกาศผลการคัดเลือก ฉันตัดสินใจโทรฯไปถามแผนก
รับนักศึกษาของฮาร์วาร์ด
แม่กดโทรศัพท์ในห้องพยาบาลของโรงเรียนแล้วยกหูโทรศัพท์ให้ฉันพูด หลังแจ้งชื่อและ
รายละเอียดส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่า “ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับเข้า
เป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ด”
ทั้งฉันและแม่ร้องไห้ ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้ รู้สึกว่าการได้เข้าเป็นนักศึกษา
ในสถาบันชื่อดังแห่งนี้ เป็นการตอบแทนความทุ่มเทที่ครอบครัวเราร่วมแรงร่วมใจกันมาตลอด 6 ปี
จีน : บรูกโทรฯไปบอกพ่อที่สำนักงานทันที เอ็ดตื่นเต้นดีใจแต่ก็เดินหัวหมุนเหมือนฉัน
เพราะคิดไม่ออกว่าจะหาเงินที่ไหนมาส่งเสียลูกเรียนจนจบ
พอวางโทรศัพท์ ฉันกับบรูกก็ออกไปเข้าห้องเรียน พอเข้าไปในห้องวิจัย
อาจารย์หัวหน้าแผนกก็ตะโกนถามว่า “ว่าไง โทรฯไปถามแล้วหรือยัง”
บรูกยิ้มแก้มแทบปริ เพราะฉะนั้นไม่ต้องตอบก็รู้ได้ อาจารย์วิ่งเข้ามาจูบบรูกที่หน้าผาก
และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ดีใจด้วย นักศึกษาใหม่ของฮาร์วาร์ด”
บรูก : ฉันต้องแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบว่าตกลงใจจะเข้าเรียนที่นั่น ทางมหาวิทยาลัยเสนอ
ความช่วยเหลือทางการเงิน แต่ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอ
ครอบครัวเราตกลงใจขับรถไปดูสภาพมหาวิทยาลัยและพบผู้บริหารซึ่งบอกว่า “ไม่มีปัญหา”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง ห้องพักใหญ่พิเศษ ห้องน้ำที่เอาเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้าไปได้
หรือแม้แต่การที่แม่ต้องมาอยู่ด้วย ท่าทางผู้บริหารกระตือรือร้นที่จะมีนักศึกษาพิเศษอย่างฉัน
แม้จะไม่อยากจากครอบครัวไปไกล ๆ แต่ฉันก็อยากไปเรียนมากเพื่อพัฒนาตัวเอง
ให้สูงที่สุดตามที่พ่อแม่พร่ำสอนมาตลอด
และเรื่องน่าตลกในท้ายที่สุดก็คือ พวกที่ชอบค่อนแคะฉันนี่เองที่ผลักดันให้ฉันตัดสินใจ
ไปเรียนฮาร์วาร์ด แม้ฉันจะได้เกรดสี่ทุกวิชา แต่บางคนก็ยังคิดว่ามหาวิทยาลัยรับฉัน
เพราะความพิการจนต้องนั่งรถเข็น พวกนี้ปรามาสว่าฉันจะเรียนไม่จบด้วยซ้ำไป
ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักฉัน และพูดออกมาเพราะมีอคติที่เกิดจากความไม่รู้
ฉันจะต้องสอนบทเรียนบางอย่างแก่พวกเขา ดังนั้นจึงตัดสินใจไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด
และบางทีก็ต้องสอนบทเรียนให้คนอื่นไปพร้อม ๆ กันด้วย
บรูกเรียนที่ฮาร์วาร์ด 4 ปีโดยมีแม่ตามไปด้วยและพ่อคอยสนับสนุนอย่างดี เธอเลือกเรียน
ประสาทวิทยาด้านการรับรู้เป็นวิชาเอก วิชานี้เน้นสองสาขาคือ จิตวิทยากับชีววิทยา
หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอว่าด้วยเรื่องความหวัง ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
บรูกสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมในเดือนมิถุนายน 2000
ทุกวันนี้ บรูกทำงานแนะแนวแก่นักเรียนมัธยมและกลุ่มอื่น ๆ เธอตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
“มหัศจรรย์มีจริง” บรูกกล่าว “เพราะเกิดขึ้นกับฉันมาแล้ว และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นกับพวกคุณ
แค่มองดูผู้คนรอบข้าง คุณก็จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเสมอ”
****************************
จบบริบูรณ์