น.โฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า (26-50 )
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (26)
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: หลังการเข้าเงียบซิสเตอร์ได้รับจดหมาย จากทางบ้านซึ่งแจ้งมาว่ามารดากำลังป่วยขั้นวิกฤติ
และขอพบเธออีกสักครั้ง เธอจากบ้านมาได้ 13 ปีแล้ว ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1922 ข่าวนี้ทำให้
เธอเศร้าสะเทือนใจมาก เธออยากพบมารดาที่รักยิ่งของเธอ แต่เธอฝากเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์
ของพระเจ้า และน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์โดยสิ้นเชิง
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ วันฉลองศาสนนามของเธอ คุณแม่อธิการได้มอบจดหมายฉบับที่สอง
จากครอบครัวให้เธอ และอนุญาตให้เธอกลับบ้านตามความปรารถนา สุดท้ายของมารดา
ซิสเตอร์โฟสตินาออกเดินทางจากวิลนีอุสเย็นวันนี้ เธอถวายคืนนี้ทั้งคืนวอนขอพระเจ้าให้
ประทานพระหรรษทาน แก่มารดาที่ป่วยหนักของเธอ และให้ความทุกข์ทรมานของนางได้รับ
อานิสงส์เติมที่....
เธอมาถึงโกลกอเวียตส์เวลาสองทุ่มของวันรุ่งขึ้น เธอทักทายมารดาตามธรรมเนียมว่า
"ขอสรรเสริญพระเยซูคริสตเจ้า" เธอคุก เข่าลงข้างเตียงมารดา กล่าวว่า "แม่จะลุกขึ้นเดินได้อีก
ลูกอยากคุยกับแม่" มารดาของเธอก็ชันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง พอแม่เห็นหน้าเธอแม่ก็หายป่วยทันที
ซิสเตอร์โฟสตินาเห็นบิดาของเธอภาวนา เธอรู้สึกละอายใจไม่น้อย และยอมรับว่าหลายปี
ที่ใช้ชีวิตในอาราม เธอยังไม่สามารถภาวนาได้จริงใจ และร้อนรนเท่าบิดาเลย ด้วยเหตุนี้เธอ
จึงขอบคุณพระเจ้าอยู่เนือง ๆ ที่ประทานบิดา มารดา ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เธอ เธอเล่าถึง
การเยี่ยมครอบครัวครั้งนี้อย่างซื่อ ๆ ว่า :
โอ ! ทุกอย่างช่างเปลี่ยน แปลงไปจนจำไม่ได้ในช่วงสิบปีมานี้ ! ช่วงเวลาที่บ้านหมดไปกับ
การวิสาสะกับแขกผู้มาเยือนจำนวนไม่น้อยที่อยากมาพบปะพูดคุยกับดิฉัน บ่อยครั้งที่นับได้
ถึง 25 คน พวกเขาตั้งอกตั้งใจฟังดิฉันเล่าชีวประวัตินักบุญ ดิฉันรู้สึกเหมือนว่าบ้านของเรา
เป็นบ้านของพระจริง ๆ เพราะทุกเย็นเราคุยกันแต่เรื่องพระเรื่องเจ้า พอคุยกันจนหายอยากแล้ว
เธออยากปลีกวิเวกอยู่เงียบ ๆ ในตอนเย็น เธอก็ย่องออกไปอยู่ในสวนเพื่อสนทนากับพระตามลำพัง
แม้เรื่องแค่นี้ก็กลับทำไม่สำเร็จ พี่น้องของเธอจะมาตามให้เธอเข้าบ้านทันที แต่เธอก็เข้าบ้าน
เพื่อพักผ่อน เธอขอให้น้องชายร้องเพลงให้ฟังเนื่องจากน้อง ๆ ของเธอเสียงดีกันทุกคน แถมน้อง
คนหนึ่งสีไวโอลิน อีกคนเล่นแมนโดลินด้วย ระหว่างนี้แหละที่เธอสามารถทุ่มเทจิตใจภาวนาได้
โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงพวกเขา....
มีเรื่องที่ซิสเตอร์ต้องใช้ความพยายามสักหน่อยคือต้องจูบเด็ก ๆ พวกผู้หญิงที่เธอรู้จักหอบ
ลูกจูงหลานมา แล้วขอให้เธออุ้มเด็ก ๆ และจูบเด็ก ๆ ด้วย เธอถือโอกาสฝึกฝนฤทธิ์กุศลไปในตัว
เนื่องจากเด็กหลายคนมอมแมมมาก แต่เพื่อปราบความรู้สึกของตัวเอง และไม่แสดงท่าทีรังเกียจ
เธอจึงจูบเด็กมอมแมมเหล่านี้ซ้ำ มีเด็กคนหนึ่งเป็นโรคตาที่เยิ้มด้วยหนองเธออุ้มเด็กคนนั้น
แล้วจูบที่ดวงตาที่ติดเชื้อของเด็กคนนั้นถึงสองครั้ง และขอให้พระเจ้ารักษาตาของเด็กให้หาย......
โปรดติดตาม ตอนที่ (27 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: หลังการเข้าเงียบซิสเตอร์ได้รับจดหมาย จากทางบ้านซึ่งแจ้งมาว่ามารดากำลังป่วยขั้นวิกฤติ
และขอพบเธออีกสักครั้ง เธอจากบ้านมาได้ 13 ปีแล้ว ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1922 ข่าวนี้ทำให้
เธอเศร้าสะเทือนใจมาก เธออยากพบมารดาที่รักยิ่งของเธอ แต่เธอฝากเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์
ของพระเจ้า และน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์โดยสิ้นเชิง
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ วันฉลองศาสนนามของเธอ คุณแม่อธิการได้มอบจดหมายฉบับที่สอง
จากครอบครัวให้เธอ และอนุญาตให้เธอกลับบ้านตามความปรารถนา สุดท้ายของมารดา
ซิสเตอร์โฟสตินาออกเดินทางจากวิลนีอุสเย็นวันนี้ เธอถวายคืนนี้ทั้งคืนวอนขอพระเจ้าให้
ประทานพระหรรษทาน แก่มารดาที่ป่วยหนักของเธอ และให้ความทุกข์ทรมานของนางได้รับ
อานิสงส์เติมที่....
เธอมาถึงโกลกอเวียตส์เวลาสองทุ่มของวันรุ่งขึ้น เธอทักทายมารดาตามธรรมเนียมว่า
"ขอสรรเสริญพระเยซูคริสตเจ้า" เธอคุก เข่าลงข้างเตียงมารดา กล่าวว่า "แม่จะลุกขึ้นเดินได้อีก
ลูกอยากคุยกับแม่" มารดาของเธอก็ชันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง พอแม่เห็นหน้าเธอแม่ก็หายป่วยทันที
ซิสเตอร์โฟสตินาเห็นบิดาของเธอภาวนา เธอรู้สึกละอายใจไม่น้อย และยอมรับว่าหลายปี
ที่ใช้ชีวิตในอาราม เธอยังไม่สามารถภาวนาได้จริงใจ และร้อนรนเท่าบิดาเลย ด้วยเหตุนี้เธอ
จึงขอบคุณพระเจ้าอยู่เนือง ๆ ที่ประทานบิดา มารดา ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เธอ เธอเล่าถึง
การเยี่ยมครอบครัวครั้งนี้อย่างซื่อ ๆ ว่า :
โอ ! ทุกอย่างช่างเปลี่ยน แปลงไปจนจำไม่ได้ในช่วงสิบปีมานี้ ! ช่วงเวลาที่บ้านหมดไปกับ
การวิสาสะกับแขกผู้มาเยือนจำนวนไม่น้อยที่อยากมาพบปะพูดคุยกับดิฉัน บ่อยครั้งที่นับได้
ถึง 25 คน พวกเขาตั้งอกตั้งใจฟังดิฉันเล่าชีวประวัตินักบุญ ดิฉันรู้สึกเหมือนว่าบ้านของเรา
เป็นบ้านของพระจริง ๆ เพราะทุกเย็นเราคุยกันแต่เรื่องพระเรื่องเจ้า พอคุยกันจนหายอยากแล้ว
เธออยากปลีกวิเวกอยู่เงียบ ๆ ในตอนเย็น เธอก็ย่องออกไปอยู่ในสวนเพื่อสนทนากับพระตามลำพัง
แม้เรื่องแค่นี้ก็กลับทำไม่สำเร็จ พี่น้องของเธอจะมาตามให้เธอเข้าบ้านทันที แต่เธอก็เข้าบ้าน
เพื่อพักผ่อน เธอขอให้น้องชายร้องเพลงให้ฟังเนื่องจากน้อง ๆ ของเธอเสียงดีกันทุกคน แถมน้อง
คนหนึ่งสีไวโอลิน อีกคนเล่นแมนโดลินด้วย ระหว่างนี้แหละที่เธอสามารถทุ่มเทจิตใจภาวนาได้
โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงพวกเขา....
มีเรื่องที่ซิสเตอร์ต้องใช้ความพยายามสักหน่อยคือต้องจูบเด็ก ๆ พวกผู้หญิงที่เธอรู้จักหอบ
ลูกจูงหลานมา แล้วขอให้เธออุ้มเด็ก ๆ และจูบเด็ก ๆ ด้วย เธอถือโอกาสฝึกฝนฤทธิ์กุศลไปในตัว
เนื่องจากเด็กหลายคนมอมแมมมาก แต่เพื่อปราบความรู้สึกของตัวเอง และไม่แสดงท่าทีรังเกียจ
เธอจึงจูบเด็กมอมแมมเหล่านี้ซ้ำ มีเด็กคนหนึ่งเป็นโรคตาที่เยิ้มด้วยหนองเธออุ้มเด็กคนนั้น
แล้วจูบที่ดวงตาที่ติดเชื้อของเด็กคนนั้นถึงสองครั้ง และขอให้พระเจ้ารักษาตาของเด็กให้หาย......
โปรดติดตาม ตอนที่ (27 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (27 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: เทศกาลมหาพรตเป็นอีกโอกาสหนึ่งทึ่ทำให้ ซิสเตอร์โฟสตินาใกล้ชิดพระมากขึ้น ขณะรำพึงถึง
มหาทรมานของพระเยซูเจ้า ซิสเตอร์ให้ได้รับอนุญาตให้เห็นภาพชัดเจน ทั้งรู้ซึ้งว่าพระเยซูเจ้า
ทรงทนรับความทุกข์มรมานเนื่องจากบาปอย่างไรบ้าง
เมื่อดิฉันดื่มด่ำในพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า ดิฉันมักเห็นพระเยซูเจ้าในระหว่างเฝ้าศีล
ในทำนองนี้ คือ หลังทรงถูกเฆี่ยน คนที่ทรมานพระองค์จับพระองค์เปลื้องฉลองพระองค์ซึ่งติด
กรังกับบาดแผลของพระองค์อยู่แล้ว พอเขาถอดฉลองพระองค์ ปากแผลก็เปิดอีก แล้วพวกเขา
ก็โยนเสื้อคลุมสีแดงที่สกปรก และขาดรุ่งริ่งมาปิดแผลสดของพระองค์ ชายเสื้อคลุมตัวนี้ยาว
ไม่ถึงเข่า พวกเขาจับพระองค์นั่งบนขอนไม้ แล้วก็สานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร ให้พระองค์
ถือไม้อ้อแล้วล้อเลียนพระองค์ โค้งคำนับพระองค์เหมือนคำนับกษัตริย์ บางคนถ่มน้ำลายรด
พระพักตร์ ขณะที่คนอื่น ๆ เอาไม้รวกมาฟาดพระเศียร บางคนทำร้ายพระองค์ด้วยการตบพระพักตร์
ขณะที่คนอื่น ๆคลุมพระพักตร์แล้วชกพระองค์ เยซูเจ้าทรงทนรับสารพัดนี้ด้วยความนอบน้อม
ใครเล่าจะเข้าใจพระ องค์ เข้าใจความทุกข์ทรมานของพระองค์ แววพระเนตรเศร้าสร้อยหดหู่
ดิฉันตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในดวงพระทัย ที่งด งามยิ่งของพระเยซูเจ้าในเวลานั้น วิญญาณทุก
ดวงจงใคร่ครวญ ถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องรับทนในห้วงเวลานั้นเถิด ดิฉันมาใคร่ครวญว่าความมุ่งร้าย
ในตัวมนุษย์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ มันเกิดจากบาป ความรักและบาปได้มาบรรจบพบกันแล้ว
ระหว่างพิธีมิสซา เธอเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยครั้งในวิญญาณ เธอสัมผัสได้ว่าการประทับอยู่
ของพระองค์แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย เธอสนทนากับพระองค์เป็นเวลานานโดยปราศจากคำพูด
เธอรักพระองค์มาก และรู้ว่าพระ องค์ก็ทรงรักเธอ แต่ห้วงเวลาเหล่านี้แสนสั้นนัก เพราะวิญญาณ
ไม่สามารถอยู่ในภวังค์ได้ทีละนาน ๆ โดยไม่แยกออกจากร่างเสียก่อน แต่พลังที่ถ่ายทอดมาสู่วิญญาณ
ยังคงอยู่กับเธอเป็นเวลานาน เธอยังสำรวมจิตใจอย่างลึกซึ้งระหว่างพิธีมิสซา การสำรวมจิตใจนี้
มิได้ลดน้อยลงขณะที่เธอสนทนากับคนทั่วไป อีกทั้งมิได้รบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ "ดิฉันรู้สึกว่า
ดิฉันใกล้ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เสมือนน้ำหยดหนึ่งที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ
มหาสมุทรอันล้ำลึกสุดคณนา ".....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 28 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: เทศกาลมหาพรตเป็นอีกโอกาสหนึ่งทึ่ทำให้ ซิสเตอร์โฟสตินาใกล้ชิดพระมากขึ้น ขณะรำพึงถึง
มหาทรมานของพระเยซูเจ้า ซิสเตอร์ให้ได้รับอนุญาตให้เห็นภาพชัดเจน ทั้งรู้ซึ้งว่าพระเยซูเจ้า
ทรงทนรับความทุกข์มรมานเนื่องจากบาปอย่างไรบ้าง
เมื่อดิฉันดื่มด่ำในพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า ดิฉันมักเห็นพระเยซูเจ้าในระหว่างเฝ้าศีล
ในทำนองนี้ คือ หลังทรงถูกเฆี่ยน คนที่ทรมานพระองค์จับพระองค์เปลื้องฉลองพระองค์ซึ่งติด
กรังกับบาดแผลของพระองค์อยู่แล้ว พอเขาถอดฉลองพระองค์ ปากแผลก็เปิดอีก แล้วพวกเขา
ก็โยนเสื้อคลุมสีแดงที่สกปรก และขาดรุ่งริ่งมาปิดแผลสดของพระองค์ ชายเสื้อคลุมตัวนี้ยาว
ไม่ถึงเข่า พวกเขาจับพระองค์นั่งบนขอนไม้ แล้วก็สานมงกุฎหนามมาสวมพระเศียร ให้พระองค์
ถือไม้อ้อแล้วล้อเลียนพระองค์ โค้งคำนับพระองค์เหมือนคำนับกษัตริย์ บางคนถ่มน้ำลายรด
พระพักตร์ ขณะที่คนอื่น ๆ เอาไม้รวกมาฟาดพระเศียร บางคนทำร้ายพระองค์ด้วยการตบพระพักตร์
ขณะที่คนอื่น ๆคลุมพระพักตร์แล้วชกพระองค์ เยซูเจ้าทรงทนรับสารพัดนี้ด้วยความนอบน้อม
ใครเล่าจะเข้าใจพระ องค์ เข้าใจความทุกข์ทรมานของพระองค์ แววพระเนตรเศร้าสร้อยหดหู่
ดิฉันตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในดวงพระทัย ที่งด งามยิ่งของพระเยซูเจ้าในเวลานั้น วิญญาณทุก
ดวงจงใคร่ครวญ ถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องรับทนในห้วงเวลานั้นเถิด ดิฉันมาใคร่ครวญว่าความมุ่งร้าย
ในตัวมนุษย์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ มันเกิดจากบาป ความรักและบาปได้มาบรรจบพบกันแล้ว
ระหว่างพิธีมิสซา เธอเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยครั้งในวิญญาณ เธอสัมผัสได้ว่าการประทับอยู่
ของพระองค์แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย เธอสนทนากับพระองค์เป็นเวลานานโดยปราศจากคำพูด
เธอรักพระองค์มาก และรู้ว่าพระ องค์ก็ทรงรักเธอ แต่ห้วงเวลาเหล่านี้แสนสั้นนัก เพราะวิญญาณ
ไม่สามารถอยู่ในภวังค์ได้ทีละนาน ๆ โดยไม่แยกออกจากร่างเสียก่อน แต่พลังที่ถ่ายทอดมาสู่วิญญาณ
ยังคงอยู่กับเธอเป็นเวลานาน เธอยังสำรวมจิตใจอย่างลึกซึ้งระหว่างพิธีมิสซา การสำรวมจิตใจนี้
มิได้ลดน้อยลงขณะที่เธอสนทนากับคนทั่วไป อีกทั้งมิได้รบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ "ดิฉันรู้สึกว่า
ดิฉันใกล้ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เสมือนน้ำหยดหนึ่งที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ
มหาสมุทรอันล้ำลึกสุดคณนา ".....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 28 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (28 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"การเปิดเผยภาพพระเมตตาเป็นครั้งแรก" ซิสเตอร์โฟสตินาได้เปิดเผยความปรารถนาของ
พระเยซูเจ้าต่อพระสงฆ์ผู้แนะนำวิญญาณของเธอทันทีที่เธอสามารถทำได้ เธอบอกท่านให้ตั้ง
ภาพเป็นเวลาสามวันที่ออสตราบรามา (เมืองวิลนีอุส) ซึ่งจะมีการจัดฉลองปิดปี ครบรอบการ
ไถ่กู้โลก และตรงกับวันฉลองพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าปรารถนาให้ประกอบพิธีขึ้นในวันอาทิตย์
แรกหลังปาสกา คุณพ่อโซปอชโก คิดว่าโครงการนี้ไม่เป็นไปได้ ! ท่านคิดว่า ใครจะกล้าเสนอ
กิจศรัทธาอีกรูปแบบในสักการสถานของแม่พระได้ คำขอร้องเช่นนั้นย่อมถูกปฏิเสธแน่
แล้วจริงหรือที่จะมีการจัดฉลองสามวันอย่างที่ซิสเตอร์บอก....
ไม่นานนักท่านก็ได้ข่าวว่าจะมีการฉลองสามวันที่ ออสตราบรามาจริง ๆ ตั้งแต่วันที่ 26-28 เมษายน
และคุณพ่อเจ้าอาวาส สตานิสวอฟซาวัดซกี ได้เชิญคุณพ่อโซปอซโกไปเทศน์ ท่านรู้สึกทึ่งและ
เชื่อสนิทใจว่าสารที่ซิสเตอร์ ฯ ได้รับเป็นเรื่องจริง ท่านรับเป็นผู้เทศน์โดยตั้งเงื่อนไขว่า ให้ประดับ
ภาพพระเมตตาไว้ที่หน้าต่างวัดใกล้พระรูปแม่พระ ตอนแรกท่านไม่ได้รับอนุญาต แต่แล้ว
พระอัครสังฆราชก็อนุมัติในที่สุด ซิสเตอร์ ฯ ขอไปอยู่ที่นั่นขณะแขวนภาพวาดด้วย....
ต่อไปนี้คือบันทึกของซิสเตอร์โฟสตืนาเรื่องงานฉลองสามวันนั้น : ก่อนวันแสดงภาพพระเมตตา
ดิฉันไปหาพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเรา พร้อมกับคุณแม่อธิการ เมื่อพูดคุยกันถึงภาพวาด คุณพ่อ
ได้ขอให้ภคินีรูปหนึ่งมาช่วยจัดดอกไม้ คุณแม่อธิการตอบว่า ซิสเตอร์โฟสตินาจะมาช่วย ทำให้
ดิฉันดีใจเหลือเกิน พอเรากลับถึงบ้าน ดิฉันรีบจัดเตรียมใบไม้สด ๆ และนำไปที่นั่น ทุกอย่างจัด
เสร็จเรียบร้อย ภาพพระเมตตาก็แขวนเข้าที่เรียบร้อยด้วย แต่มีผู้หญิงบางคนเห็นดิฉันยืนป้วนเปี้ยน
อยู่แถวนั้นวันต่อมาพวกเธอจึงถามพวกภคินีเรื่องภาพที่งดงาม และ ความหมาย พวกภคินีพากันงง
เพราะไม่มีใครรู้เรื่องเลยสักคน ทุกคนอยากเห็นภาพและเริ่มสงสัยดิฉันและบอกว่า
"ซิสเตอร์โฟสตินาต้องรู้เรื่องนี้แน่" พอพวกเธอเริ่มซักถาม ในเมื่อบอกความจริงไม่ได้ดิฉันก็เงียบกริบ
ยิ่งดิฉันไม่พูด พวกเธอก็ยิ่งอยากรู้ ทำให้ดิฉันต้องระวังตัวไม่พูดปดหรือเล่าความจริง เนื่องจากดิฉัน
ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ พวกเธอเริ่มหงุดหงิดและตำหนิดิฉันตรง ๆ ว่า "อะไรกัน คนข้างนอก
ยังรู้เรื่อง แต่พวกเรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย" มีการคาดเดาเรื่องของดิฉันไปต่าง ๆ นานา ดิฉันหนักใจ
ไม่น้อยตลอดเวลาสามวัน แต่มีพลังพิเศษอย่างหนึ่งเข้าแทนที่ในวิญญาณ ดิฉันยินดีรับทนเพื่อพระ
และเพื่อวิญญาณที่ได้รับพระเมตตาในระหว่างสามวันนี้ ดิฉันจึงถือเสียว่ามิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
ตราบใดที่วิญญาณมากมายได้รับพระเมตตา ต่อให้ต้องทุกข์ยากตรากตรำสุดแสนจนถึงวันสิ้นพิภพ
ก็ตาม เพราะมันย่อมสิ้นสุดลงสักวัน ในขณะที่วิญญาณเหล่านี้ได้รอดพ้นจากทารุณกรรมซึ่งไร้ที่สิ้นสุด
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของดิฉันก็คือการได้เห็นคนอื่น ๆ กลับมาสู่ต้นธารความบรมสุข
คืออ้อมอุระแห่งพระเมตตา....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 29 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"การเปิดเผยภาพพระเมตตาเป็นครั้งแรก" ซิสเตอร์โฟสตินาได้เปิดเผยความปรารถนาของ
พระเยซูเจ้าต่อพระสงฆ์ผู้แนะนำวิญญาณของเธอทันทีที่เธอสามารถทำได้ เธอบอกท่านให้ตั้ง
ภาพเป็นเวลาสามวันที่ออสตราบรามา (เมืองวิลนีอุส) ซึ่งจะมีการจัดฉลองปิดปี ครบรอบการ
ไถ่กู้โลก และตรงกับวันฉลองพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าปรารถนาให้ประกอบพิธีขึ้นในวันอาทิตย์
แรกหลังปาสกา คุณพ่อโซปอชโก คิดว่าโครงการนี้ไม่เป็นไปได้ ! ท่านคิดว่า ใครจะกล้าเสนอ
กิจศรัทธาอีกรูปแบบในสักการสถานของแม่พระได้ คำขอร้องเช่นนั้นย่อมถูกปฏิเสธแน่
แล้วจริงหรือที่จะมีการจัดฉลองสามวันอย่างที่ซิสเตอร์บอก....
ไม่นานนักท่านก็ได้ข่าวว่าจะมีการฉลองสามวันที่ ออสตราบรามาจริง ๆ ตั้งแต่วันที่ 26-28 เมษายน
และคุณพ่อเจ้าอาวาส สตานิสวอฟซาวัดซกี ได้เชิญคุณพ่อโซปอซโกไปเทศน์ ท่านรู้สึกทึ่งและ
เชื่อสนิทใจว่าสารที่ซิสเตอร์ ฯ ได้รับเป็นเรื่องจริง ท่านรับเป็นผู้เทศน์โดยตั้งเงื่อนไขว่า ให้ประดับ
ภาพพระเมตตาไว้ที่หน้าต่างวัดใกล้พระรูปแม่พระ ตอนแรกท่านไม่ได้รับอนุญาต แต่แล้ว
พระอัครสังฆราชก็อนุมัติในที่สุด ซิสเตอร์ ฯ ขอไปอยู่ที่นั่นขณะแขวนภาพวาดด้วย....
ต่อไปนี้คือบันทึกของซิสเตอร์โฟสตืนาเรื่องงานฉลองสามวันนั้น : ก่อนวันแสดงภาพพระเมตตา
ดิฉันไปหาพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเรา พร้อมกับคุณแม่อธิการ เมื่อพูดคุยกันถึงภาพวาด คุณพ่อ
ได้ขอให้ภคินีรูปหนึ่งมาช่วยจัดดอกไม้ คุณแม่อธิการตอบว่า ซิสเตอร์โฟสตินาจะมาช่วย ทำให้
ดิฉันดีใจเหลือเกิน พอเรากลับถึงบ้าน ดิฉันรีบจัดเตรียมใบไม้สด ๆ และนำไปที่นั่น ทุกอย่างจัด
เสร็จเรียบร้อย ภาพพระเมตตาก็แขวนเข้าที่เรียบร้อยด้วย แต่มีผู้หญิงบางคนเห็นดิฉันยืนป้วนเปี้ยน
อยู่แถวนั้นวันต่อมาพวกเธอจึงถามพวกภคินีเรื่องภาพที่งดงาม และ ความหมาย พวกภคินีพากันงง
เพราะไม่มีใครรู้เรื่องเลยสักคน ทุกคนอยากเห็นภาพและเริ่มสงสัยดิฉันและบอกว่า
"ซิสเตอร์โฟสตินาต้องรู้เรื่องนี้แน่" พอพวกเธอเริ่มซักถาม ในเมื่อบอกความจริงไม่ได้ดิฉันก็เงียบกริบ
ยิ่งดิฉันไม่พูด พวกเธอก็ยิ่งอยากรู้ ทำให้ดิฉันต้องระวังตัวไม่พูดปดหรือเล่าความจริง เนื่องจากดิฉัน
ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ พวกเธอเริ่มหงุดหงิดและตำหนิดิฉันตรง ๆ ว่า "อะไรกัน คนข้างนอก
ยังรู้เรื่อง แต่พวกเรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย" มีการคาดเดาเรื่องของดิฉันไปต่าง ๆ นานา ดิฉันหนักใจ
ไม่น้อยตลอดเวลาสามวัน แต่มีพลังพิเศษอย่างหนึ่งเข้าแทนที่ในวิญญาณ ดิฉันยินดีรับทนเพื่อพระ
และเพื่อวิญญาณที่ได้รับพระเมตตาในระหว่างสามวันนี้ ดิฉันจึงถือเสียว่ามิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
ตราบใดที่วิญญาณมากมายได้รับพระเมตตา ต่อให้ต้องทุกข์ยากตรากตรำสุดแสนจนถึงวันสิ้นพิภพ
ก็ตาม เพราะมันย่อมสิ้นสุดลงสักวัน ในขณะที่วิญญาณเหล่านี้ได้รอดพ้นจากทารุณกรรมซึ่งไร้ที่สิ้นสุด
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของดิฉันก็คือการได้เห็นคนอื่น ๆ กลับมาสู่ต้นธารความบรมสุข
คืออ้อมอุระแห่งพระเมตตา....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 29 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 29)
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"การเปิดเผยภาพพระเมตตา" เมื่อตั้งแสดงภาพวาดในตอนเย็นวันพฤหัสบดี ซิสเตอร์โฟสตินา
ได้เห็นพระเยซูเจ้าเคลื่อนพระหัตถ์ทำสำคัญมหากางเขนขนาดใหญ่ คืนนั้นตอนเธอเข้านอน
เธอมองเห็นพระเยซูเจ้าในภาพดำเนินไปเหนือเมือง ซึ่งดูเหมือนถูกร่างแหตาข่ายคลุมไว้
ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จตัดผ่านร่างแหไป ทรงทำสำคัญมหากางเขนขนาดใหญ่ แล้วหายลับไป
จากนั้น เธอก็เห็นตัวเองถูกร่างฝูงใหญ่ที่อาฆาตแค้นรุมเธอ ข่มขู่เธอสารพัด แต่พวกมันไม่ได้
แตะต้องเธอ หลังจากนั้นชั่วขณะภาพนี้ก็หายไป แต่เธอกลับนอนไม่หลับอยู่เป็นนาน....
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน ซิสเตอร์โฟสตินาได้ไปร่วมพิธี และได้ยินพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเธอ
เทศน์สอนเรื่องพระเมตตา นี่คือการดำเนินการตามความปรารถนาแรกของพระเยซูเจ้าที่ทรงขอ
ไว้นานแล้ว เมื่อคุณพ่อเริ่มเอ่ยถึงความเมตตายิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า เธอก็เห็นภาพวาดเสมือน
มีชีวิตจริง ๆ ลำแสงส่องผ่านจิตใจของบุคคลที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะสัมผัสแสงนี้
ในระดับเดียวกัน บางคนสัมผัสได้มาก บางคนสัมผัสได้น้อย เธอดีใจอย่างยิ่งและได้ยินคำพูดว่า
"ลูกคือพยานยืนยันความเมตตาของเรา ลูกจะยืนเบื้องหน้าบัลลังก์ของเราตลอดไป ในฐานะพยาน
ยืนยันความเมตตาของเราที่มีชีวิต..."
เธอไม่ได้รอจนจบพิธีและรีบกลับอารามทันทีที่จบบทเทศน์ พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็ถูกฝูงปีศาจ
เข้าขวางทาง มันคุกคามเธออย่างหนัก เธอได้ยินมันพูดว่า "มันแย่งชิงทุกอย่างที่เราลงแรงทำมา
ตั้งหลายปี ! " เธอถามพวกมันว่า "พวกเจ้ามาจากไหนกันตั้งมากมายขนาดนี้ " ปีศาจตอบ
"ก็ออกมาจากหัวใจมนุษย์น่ะสิ หยุดรังควานพวกข้าซะทีเถอะ ! "
เมื่อรู้ว่าปีศาจเกลียดเธอมาก เธอจึงร้องขอความช่วยเหลือจากอารักขเทวดาพลัน ร่างสว่างเจิดจ้า
ปรากฏขึ้น ท่านบอกเธอว่า "อย่ากกลัวเลย คู่วิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ไม่
ทรงอนุญาต จิตเหล่านี้ก็ทำร้ายเธอไม่ได้ " พวกจิตชั่วหายวับไปกับตา เธอบันทึกว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า
ลูกยอมตรากตรำลำบากและรับความทุกข์ยากตลอดชีวิตของลูก เพื่อแลกกับการได้ชื่นชมพระบารมี
เพียงชั่วขณะเดียว ทั้งเพื่อประ โยชน์สุขของวิญญาณทั้งหลาย "
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน ปี 1935 ซิสเตอร์โฟสตินาบันทึกว่า : วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกหลังปาสกา
เป็นวันฉลองพระเมตตา และเป็นวันฉลองปิดปีครบรอบการไถ่บาป เมื่อพวกเราเข้าไปร่วมพิธีฉลองนั้น
ดิฉันตื่นเต้นยินดียิ่งที่มีการรวมพิธีทั้งสองนี้เข้าไว้ด้วยกัน ดิฉันวิงวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าเพื่อ
วิญญาณคนบาป.....
ในช่วงสุดท้ายของพิธี เมื่อพระสงฆ์ยกศีลมหาสนิทขึ้นอวยพรสัตบุรุษ ดิฉันแลเห็นพระเยซูเจ้าปรากฏ
พระองค์ให้เห็นเหมือนกับในภาพวาด พระองค์ทรงอวยพร แล้วลำแสงก็ฉายออกไปปกคลุมทั่วโลก
ในทันใดนั้น ดิฉันเห็นความสว่างซึ่งผ่านเข้าไปไม่ได้ สอดสานกันเป็นรูปทรงตำหนักแก้วผลึกที่ถักทอ
ด้วยระลอกคลื่นของความสุกใสโชติช่วงที่สิ่งสร้างและจิตทั้งหลายไม่สามารถเข้าไปได้ มีประตูอยู่
สามบานที่เปิดเข้าไปสู่ความเจิดจรัสนี้ ในช่วงเวลานั้นพระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์เหมือนในภาพ
เสด็จเข้าประตูที่สองสู่เอกภาพภาย ในความเจิดจ้าเรืองรองนี้ นี่คือพระตรีเอกภาพหนึ่งเดียวซึ่งโพ้น
ความเข้าใจ ซึ่งก็คืออนันตภาพ ดิฉันได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวว่าดังนี้
"วันฉลองนี้เกิดขึ้นจากห้วงลึกแห่งความเมตตาอันอ่อนโยนของเราโดยแท้ และได้รับการยืนยันแล้ว
ด้วยความล้ำลึกของความเมตตารักใคร่อันไพศาลของเรา วิญญาณที่เชื่อและวางใจในความเมตตา
ของเราล้วนได้รับความเมตตานี้ " ดิฉันดีใจเหลือล้นเมื่อได้ประจักษ์ในพระมหากรุณา
และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของดิฉัน....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 30 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"การเปิดเผยภาพพระเมตตา" เมื่อตั้งแสดงภาพวาดในตอนเย็นวันพฤหัสบดี ซิสเตอร์โฟสตินา
ได้เห็นพระเยซูเจ้าเคลื่อนพระหัตถ์ทำสำคัญมหากางเขนขนาดใหญ่ คืนนั้นตอนเธอเข้านอน
เธอมองเห็นพระเยซูเจ้าในภาพดำเนินไปเหนือเมือง ซึ่งดูเหมือนถูกร่างแหตาข่ายคลุมไว้
ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จตัดผ่านร่างแหไป ทรงทำสำคัญมหากางเขนขนาดใหญ่ แล้วหายลับไป
จากนั้น เธอก็เห็นตัวเองถูกร่างฝูงใหญ่ที่อาฆาตแค้นรุมเธอ ข่มขู่เธอสารพัด แต่พวกมันไม่ได้
แตะต้องเธอ หลังจากนั้นชั่วขณะภาพนี้ก็หายไป แต่เธอกลับนอนไม่หลับอยู่เป็นนาน....
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน ซิสเตอร์โฟสตินาได้ไปร่วมพิธี และได้ยินพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเธอ
เทศน์สอนเรื่องพระเมตตา นี่คือการดำเนินการตามความปรารถนาแรกของพระเยซูเจ้าที่ทรงขอ
ไว้นานแล้ว เมื่อคุณพ่อเริ่มเอ่ยถึงความเมตตายิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า เธอก็เห็นภาพวาดเสมือน
มีชีวิตจริง ๆ ลำแสงส่องผ่านจิตใจของบุคคลที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะสัมผัสแสงนี้
ในระดับเดียวกัน บางคนสัมผัสได้มาก บางคนสัมผัสได้น้อย เธอดีใจอย่างยิ่งและได้ยินคำพูดว่า
"ลูกคือพยานยืนยันความเมตตาของเรา ลูกจะยืนเบื้องหน้าบัลลังก์ของเราตลอดไป ในฐานะพยาน
ยืนยันความเมตตาของเราที่มีชีวิต..."
เธอไม่ได้รอจนจบพิธีและรีบกลับอารามทันทีที่จบบทเทศน์ พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็ถูกฝูงปีศาจ
เข้าขวางทาง มันคุกคามเธออย่างหนัก เธอได้ยินมันพูดว่า "มันแย่งชิงทุกอย่างที่เราลงแรงทำมา
ตั้งหลายปี ! " เธอถามพวกมันว่า "พวกเจ้ามาจากไหนกันตั้งมากมายขนาดนี้ " ปีศาจตอบ
"ก็ออกมาจากหัวใจมนุษย์น่ะสิ หยุดรังควานพวกข้าซะทีเถอะ ! "
เมื่อรู้ว่าปีศาจเกลียดเธอมาก เธอจึงร้องขอความช่วยเหลือจากอารักขเทวดาพลัน ร่างสว่างเจิดจ้า
ปรากฏขึ้น ท่านบอกเธอว่า "อย่ากกลัวเลย คู่วิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ไม่
ทรงอนุญาต จิตเหล่านี้ก็ทำร้ายเธอไม่ได้ " พวกจิตชั่วหายวับไปกับตา เธอบันทึกว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า
ลูกยอมตรากตรำลำบากและรับความทุกข์ยากตลอดชีวิตของลูก เพื่อแลกกับการได้ชื่นชมพระบารมี
เพียงชั่วขณะเดียว ทั้งเพื่อประ โยชน์สุขของวิญญาณทั้งหลาย "
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน ปี 1935 ซิสเตอร์โฟสตินาบันทึกว่า : วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกหลังปาสกา
เป็นวันฉลองพระเมตตา และเป็นวันฉลองปิดปีครบรอบการไถ่บาป เมื่อพวกเราเข้าไปร่วมพิธีฉลองนั้น
ดิฉันตื่นเต้นยินดียิ่งที่มีการรวมพิธีทั้งสองนี้เข้าไว้ด้วยกัน ดิฉันวิงวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าเพื่อ
วิญญาณคนบาป.....
ในช่วงสุดท้ายของพิธี เมื่อพระสงฆ์ยกศีลมหาสนิทขึ้นอวยพรสัตบุรุษ ดิฉันแลเห็นพระเยซูเจ้าปรากฏ
พระองค์ให้เห็นเหมือนกับในภาพวาด พระองค์ทรงอวยพร แล้วลำแสงก็ฉายออกไปปกคลุมทั่วโลก
ในทันใดนั้น ดิฉันเห็นความสว่างซึ่งผ่านเข้าไปไม่ได้ สอดสานกันเป็นรูปทรงตำหนักแก้วผลึกที่ถักทอ
ด้วยระลอกคลื่นของความสุกใสโชติช่วงที่สิ่งสร้างและจิตทั้งหลายไม่สามารถเข้าไปได้ มีประตูอยู่
สามบานที่เปิดเข้าไปสู่ความเจิดจรัสนี้ ในช่วงเวลานั้นพระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์เหมือนในภาพ
เสด็จเข้าประตูที่สองสู่เอกภาพภาย ในความเจิดจ้าเรืองรองนี้ นี่คือพระตรีเอกภาพหนึ่งเดียวซึ่งโพ้น
ความเข้าใจ ซึ่งก็คืออนันตภาพ ดิฉันได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวว่าดังนี้
"วันฉลองนี้เกิดขึ้นจากห้วงลึกแห่งความเมตตาอันอ่อนโยนของเราโดยแท้ และได้รับการยืนยันแล้ว
ด้วยความล้ำลึกของความเมตตารักใคร่อันไพศาลของเรา วิญญาณที่เชื่อและวางใจในความเมตตา
ของเราล้วนได้รับความเมตตานี้ " ดิฉันดีใจเหลือล้นเมื่อได้ประจักษ์ในพระมหากรุณา
และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของดิฉัน....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 30 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 30 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
สายประคำพระเมตตา วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 1935 พระเยซูเจ้าทรงเผยให้ซิสเตอร์โฟสตินา
ได้รู้จัก เครื่องมือทรงพลังอย่างหนึ่งเพื่อวิงวอนขอความเมตตาของพระเจ้าให้ชาวโลก เธอบันทึ
ข้อความต่อไปนี้ :
ในเวลาเย็น ขณะที่ดิฉันอยู่ในห้องพัก ดิฉันเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ดำเนินการลงทัณฑ์
ตามพระบัญชาจากพระเจ้า ท่านสวมชุดยาวเป็นประกาย ใบหน้าสว่างสุกใส ท่านยืนอยู่เหนือ
ก้อนเมฆ เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าพุ่งจากเมฆเข้าไปอยู่ในมือท่านแล้วพุ่งออกไปฟาดลงมายังโลก
เมื่อดิฉันได้เห็นเครื่องหมายพระพิโรธของพระเจ้านี้กำลังฟาดลงมายังสถานทึ่แห่งหนึ่ง ดิฉันเริ่มวิงวอน
ทูตสวรรค์ให้ยั้งมือไว้ชั่วครู่เพื่อ ให้ชาวโลกทำกิจใช้โทษบาป แต่คำขอร้องของดิฉันกลับไม่เป็นผล
เบื้องหน้าพระพิโรธของพระเจ้า...
ในตอนนั้นเอง ดิฉันแลเห็นพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ดิฉันซาบซึ้งในพระบารมีที่ยิ่งใหญ่
ของพระองค์และไม่กล้าวิงวอนซ้ำ ในช่วงนั้นเอง วิญญาณดิฉันรับรู้ได้ถึงอานุภาพแห่งพระหรรษทาน
ของพระเยซูเจ้าซึ่งอยู่ในวิญญาณดิฉัน ทันทีที่ดิฉันตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานนี้ ดิฉันก็ถูกนำตัวขึ้นไป
เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเรานั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ
และความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ ! ดิฉันไม่ขอบรรยายถึงความยิ่งใหญ่นี้
เพราะในไม่ช้าเราก็จะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ดิฉันได้ยินตนเองวิงวอนพระเจ้าเพื่อ
ชาวโลก ด้วยคำพูดที่ดิฉันได้ยินภาพในใจ....
ขณะที่ดิฉันกำลังภาวนาในลักษณะนี้ ดิฉันเห็นทูตสวรรค์หมดสิ้นหนทาง ไม่สามารถดำเนินการ
ลงโทษได้ตามความบาปอันสมควรได้รับ ดิฉันไม่เคยภาวนาด้วยพลังจากภายในเช่นในครั้งนี้มาก่อนเลย...
วันรุ่งขึ้น พอดิฉันเข้าวัดน้อย ดิฉันได้ยินคำพูดภายในใจว่า ทุกครั้งที่ลูกเข้าวัดน้อย
จงสวดบทภาวนาที่เราสอนลูกเมื่อวานนี้ทันที....
เมื่อดิฉันสวดบทภาวนานั้นแล้ว ดิฉันได้ยินถ้อยความว่า บทภาวนานี้จะช่วยบรรเทาความโกรธ
ของเรา ลูกควรสวดเป็นเวลาเก้าวัน ตามเม็ดสายประคำดังนี้ ก่อนอื่น ลูกควรสวดบทข้าแต่พระบิดา
บทวันทามารีย์ และข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า..
จากนั้น ด้วยเม็ดสายประคำที่ใช้สวดบทข้าแต่พระบิดาลูกควรสวดว่าดังนี้: "ข้าแต่พระบิดานิรันดร
ลูกขอถวายแด่พระองค์ ซึ่งพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพแห่งพระบุตรสุดที่รัก
ของพระองค์ พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของลูกทั้งหลาย เพื่อชดเชยบาปของลูกและของชาวโลกทั้งมวล"...
ด้วยเม็ดประคำที่ใช้สวดบทวันทามารีย์ ลูกควรสวดว่าดังนี้: "เดชะพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดยิ่ง
ของพระเยซูเจ้า โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ"....
ในตอนท้าย: ลูกควรสวดสามจบว่า "ข้าแต่พระเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้มิรู้ตาย
โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ "....
นี่คือบทสวดสายประคำพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าให้ซิสเตอร์โฟสตินาสอนชาวคณะ ฯ และชาวโลก
ในปี 1936 คุณพ่อโซปอซโก ได้ให้สำนักพิมพ์ซีบูลสกีในคราคูฟ พิมพ์บทสวดนี้ไว้ด้านหลังภาพ
พระเมตตาซึ่งอูกันนา คาซิมีรอฟสกี วาดขึ้นที่ วิลนีอุส
โปรดติดตาม ตอนที่ (31 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
สายประคำพระเมตตา วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 1935 พระเยซูเจ้าทรงเผยให้ซิสเตอร์โฟสตินา
ได้รู้จัก เครื่องมือทรงพลังอย่างหนึ่งเพื่อวิงวอนขอความเมตตาของพระเจ้าให้ชาวโลก เธอบันทึ
ข้อความต่อไปนี้ :
ในเวลาเย็น ขณะที่ดิฉันอยู่ในห้องพัก ดิฉันเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ดำเนินการลงทัณฑ์
ตามพระบัญชาจากพระเจ้า ท่านสวมชุดยาวเป็นประกาย ใบหน้าสว่างสุกใส ท่านยืนอยู่เหนือ
ก้อนเมฆ เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าพุ่งจากเมฆเข้าไปอยู่ในมือท่านแล้วพุ่งออกไปฟาดลงมายังโลก
เมื่อดิฉันได้เห็นเครื่องหมายพระพิโรธของพระเจ้านี้กำลังฟาดลงมายังสถานทึ่แห่งหนึ่ง ดิฉันเริ่มวิงวอน
ทูตสวรรค์ให้ยั้งมือไว้ชั่วครู่เพื่อ ให้ชาวโลกทำกิจใช้โทษบาป แต่คำขอร้องของดิฉันกลับไม่เป็นผล
เบื้องหน้าพระพิโรธของพระเจ้า...
ในตอนนั้นเอง ดิฉันแลเห็นพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ดิฉันซาบซึ้งในพระบารมีที่ยิ่งใหญ่
ของพระองค์และไม่กล้าวิงวอนซ้ำ ในช่วงนั้นเอง วิญญาณดิฉันรับรู้ได้ถึงอานุภาพแห่งพระหรรษทาน
ของพระเยซูเจ้าซึ่งอยู่ในวิญญาณดิฉัน ทันทีที่ดิฉันตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานนี้ ดิฉันก็ถูกนำตัวขึ้นไป
เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเรานั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ
และความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ ! ดิฉันไม่ขอบรรยายถึงความยิ่งใหญ่นี้
เพราะในไม่ช้าเราก็จะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ดิฉันได้ยินตนเองวิงวอนพระเจ้าเพื่อ
ชาวโลก ด้วยคำพูดที่ดิฉันได้ยินภาพในใจ....
ขณะที่ดิฉันกำลังภาวนาในลักษณะนี้ ดิฉันเห็นทูตสวรรค์หมดสิ้นหนทาง ไม่สามารถดำเนินการ
ลงโทษได้ตามความบาปอันสมควรได้รับ ดิฉันไม่เคยภาวนาด้วยพลังจากภายในเช่นในครั้งนี้มาก่อนเลย...
วันรุ่งขึ้น พอดิฉันเข้าวัดน้อย ดิฉันได้ยินคำพูดภายในใจว่า ทุกครั้งที่ลูกเข้าวัดน้อย
จงสวดบทภาวนาที่เราสอนลูกเมื่อวานนี้ทันที....
เมื่อดิฉันสวดบทภาวนานั้นแล้ว ดิฉันได้ยินถ้อยความว่า บทภาวนานี้จะช่วยบรรเทาความโกรธ
ของเรา ลูกควรสวดเป็นเวลาเก้าวัน ตามเม็ดสายประคำดังนี้ ก่อนอื่น ลูกควรสวดบทข้าแต่พระบิดา
บทวันทามารีย์ และข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า..
จากนั้น ด้วยเม็ดสายประคำที่ใช้สวดบทข้าแต่พระบิดาลูกควรสวดว่าดังนี้: "ข้าแต่พระบิดานิรันดร
ลูกขอถวายแด่พระองค์ ซึ่งพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพแห่งพระบุตรสุดที่รัก
ของพระองค์ พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของลูกทั้งหลาย เพื่อชดเชยบาปของลูกและของชาวโลกทั้งมวล"...
ด้วยเม็ดประคำที่ใช้สวดบทวันทามารีย์ ลูกควรสวดว่าดังนี้: "เดชะพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดยิ่ง
ของพระเยซูเจ้า โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ"....
ในตอนท้าย: ลูกควรสวดสามจบว่า "ข้าแต่พระเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้มิรู้ตาย
โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ "....
นี่คือบทสวดสายประคำพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าให้ซิสเตอร์โฟสตินาสอนชาวคณะ ฯ และชาวโลก
ในปี 1936 คุณพ่อโซปอซโก ได้ให้สำนักพิมพ์ซีบูลสกีในคราคูฟ พิมพ์บทสวดนี้ไว้ด้านหลังภาพ
พระเมตตาซึ่งอูกันนา คาซิมีรอฟสกี วาดขึ้นที่ วิลนีอุส
โปรดติดตาม ตอนที่ (31 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 31 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับแรงดลใจให้ตั้งคณะนักบวชขึ้นใหม่ : วันที่ 19 ตุลาคม ซิสเตอร์โฟสตินา
กับซิสเตอร์อันโตนีนาขึ้นรถไฟจากวิลนีอุสแล้วแวะพักที่อารามในวอร์ชอ อารักขเทวดาของ
ซิสเตอร์โฟสตินาปรากฏให้เธอเห็นคนเดียวและร่วมทางไปกับพวกเธอ พอถึงประตูอาราม
ท่านก็หายไป ท่านปรากฏให้เห็นอีกเมื่อพวกเธอขึ้นรถไฟจากวอร์ซอไปคราคูฟ ซิสเตอร์มอง
เห็นท่านนั่งข้างเธอ สำรวมจิตภาวนาเพ่งพิศพระเจ้า เธอก็ทำตามท่าน พอพวกเธอมาถึงประตู
อารามท่านก็หายไปอีก...
ตลอดการเข้าเงียบครั้งนี้ ซิสเตอร์โฟสตินา มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตาม
พระประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็มีบางเวลาที่เธอถูกประจญ และรู้สึกสับสน จนบางครั้งเธอถึงกับ
หมดเรี่ยวแรงและอ่อนเพลียมาก สิ่งที่ทำให้เธอไม่สบาย ใจมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือการ
ตระหนักว่าเธอไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเธอเอง และเรื่องที่สอง เธอจะต้องออกจากคณะที่เธอรัก
ในไม่ช้าเพื่อตั้งคณะใหม่ด้วยพระเยซูเจ้ามีพระประ สงค์เช่นนั้น...
ในวันที่สองของการเข้าเงียบท่านอธิการนัดให้เธอเข้าพบกับคุณพ่ออันดราชในห้องรับแขก
พระเจ้าประทานพระหรรษทานให้เธอมีความมั่นใจเต็มที่ หลังการสนทนา เธอได้รับสันติสุขและ
ความสว่างอันล้ำลึกเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คุณพ่ออันดราชแนะนำเธอ ไม่ให้เธอทำอะไรโดยปราศจาก
การเห็นชอบของผู้ใหญ่ เนื่องจากเธอปฏิญาณตนตลอดชีพในคณะนี้แล้ว คุณพ่อจึงรับรู้ได้ว่านั่นคือ
หลักฐานบ่งบอกพระประ สงค์ของพระสำหรับเธอและ เธอสมควรอยู่ในคณะนี้ต่อไป ถ้าเธอยังมี
ความจริงใจและมีจิตตารมณ์แห่งความนบนอบเช่นนี้อยู่พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เธอผิดพลาด
แต่คุณพ่ออันดราช ก็กล่าวเสริมด้วยว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่ ถ้าจะมีวิญญาณกลุ่มหนึ่งช่วยวิงวอน
พระเจ้าแทนชาวโลก เธอรับคำแนะนำของท่านมาเป็นข้อตั้งใจของการเข้าเงียบของเธอครั้งนี้..
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคมเป็นวันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล เธอ
ภาวนาอย่างร้อนรนเพื่อวอนขอพระเยซูเจ้ามาเป็นกษัตริย์ครองหัวใจทุกดวง และเพื่อขอให้พระ
หรรษทานของพระองค์ส่องสว่างในวิญญาณทุกดวง พระเยซูเจ้าตรัสกับเธอ "ลูกรัก ลูกถวาย
เกียรติมงคลแก่เรามากที่สุดโดยการปฏิบัติตามความปรารถนาของเรา...
ระหว่างมิสซาวันสุดท้ายของการเข้าเงียบ เธอเห็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสกับเธอว่า ลูกคือ
ความปิติยินดียิ่งใหญ่ของเรา ความรักและความสุภาพของลูกทำให้เราละจากบัลลังก์สวรรค์มาร่วม
สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับลูก ความรักถมเหวลึกที่อยู่ระหว่างความยิ่งใหญ่ของเรากับความว่างเปล่าของลูก...
เธอภาวนาว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดบันดาลให้หัว ใจของลูกเป็นเหมือน ดวงพระทัยของพระองค์
หรือเปลี่ยนสภาพให้เป็นดวงพระทัยของพระองค์ไปเสียเลย เพื่อว่าลูกจะได้ซาบซึ้งถึงความต้องการ
ของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่กำลังโศกเศร้าและเป็นทุกข์ ขอให้รังสีพระเมตตาแผ่คลุมจิตใจของลูกเถิด "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 32 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับแรงดลใจให้ตั้งคณะนักบวชขึ้นใหม่ : วันที่ 19 ตุลาคม ซิสเตอร์โฟสตินา
กับซิสเตอร์อันโตนีนาขึ้นรถไฟจากวิลนีอุสแล้วแวะพักที่อารามในวอร์ชอ อารักขเทวดาของ
ซิสเตอร์โฟสตินาปรากฏให้เธอเห็นคนเดียวและร่วมทางไปกับพวกเธอ พอถึงประตูอาราม
ท่านก็หายไป ท่านปรากฏให้เห็นอีกเมื่อพวกเธอขึ้นรถไฟจากวอร์ซอไปคราคูฟ ซิสเตอร์มอง
เห็นท่านนั่งข้างเธอ สำรวมจิตภาวนาเพ่งพิศพระเจ้า เธอก็ทำตามท่าน พอพวกเธอมาถึงประตู
อารามท่านก็หายไปอีก...
ตลอดการเข้าเงียบครั้งนี้ ซิสเตอร์โฟสตินา มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตาม
พระประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็มีบางเวลาที่เธอถูกประจญ และรู้สึกสับสน จนบางครั้งเธอถึงกับ
หมดเรี่ยวแรงและอ่อนเพลียมาก สิ่งที่ทำให้เธอไม่สบาย ใจมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือการ
ตระหนักว่าเธอไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเธอเอง และเรื่องที่สอง เธอจะต้องออกจากคณะที่เธอรัก
ในไม่ช้าเพื่อตั้งคณะใหม่ด้วยพระเยซูเจ้ามีพระประ สงค์เช่นนั้น...
ในวันที่สองของการเข้าเงียบท่านอธิการนัดให้เธอเข้าพบกับคุณพ่ออันดราชในห้องรับแขก
พระเจ้าประทานพระหรรษทานให้เธอมีความมั่นใจเต็มที่ หลังการสนทนา เธอได้รับสันติสุขและ
ความสว่างอันล้ำลึกเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คุณพ่ออันดราชแนะนำเธอ ไม่ให้เธอทำอะไรโดยปราศจาก
การเห็นชอบของผู้ใหญ่ เนื่องจากเธอปฏิญาณตนตลอดชีพในคณะนี้แล้ว คุณพ่อจึงรับรู้ได้ว่านั่นคือ
หลักฐานบ่งบอกพระประ สงค์ของพระสำหรับเธอและ เธอสมควรอยู่ในคณะนี้ต่อไป ถ้าเธอยังมี
ความจริงใจและมีจิตตารมณ์แห่งความนบนอบเช่นนี้อยู่พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เธอผิดพลาด
แต่คุณพ่ออันดราช ก็กล่าวเสริมด้วยว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่ ถ้าจะมีวิญญาณกลุ่มหนึ่งช่วยวิงวอน
พระเจ้าแทนชาวโลก เธอรับคำแนะนำของท่านมาเป็นข้อตั้งใจของการเข้าเงียบของเธอครั้งนี้..
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคมเป็นวันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล เธอ
ภาวนาอย่างร้อนรนเพื่อวอนขอพระเยซูเจ้ามาเป็นกษัตริย์ครองหัวใจทุกดวง และเพื่อขอให้พระ
หรรษทานของพระองค์ส่องสว่างในวิญญาณทุกดวง พระเยซูเจ้าตรัสกับเธอ "ลูกรัก ลูกถวาย
เกียรติมงคลแก่เรามากที่สุดโดยการปฏิบัติตามความปรารถนาของเรา...
ระหว่างมิสซาวันสุดท้ายของการเข้าเงียบ เธอเห็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสกับเธอว่า ลูกคือ
ความปิติยินดียิ่งใหญ่ของเรา ความรักและความสุภาพของลูกทำให้เราละจากบัลลังก์สวรรค์มาร่วม
สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับลูก ความรักถมเหวลึกที่อยู่ระหว่างความยิ่งใหญ่ของเรากับความว่างเปล่าของลูก...
เธอภาวนาว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดบันดาลให้หัว ใจของลูกเป็นเหมือน ดวงพระทัยของพระองค์
หรือเปลี่ยนสภาพให้เป็นดวงพระทัยของพระองค์ไปเสียเลย เพื่อว่าลูกจะได้ซาบซึ้งถึงความต้องการ
ของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่กำลังโศกเศร้าและเป็นทุกข์ ขอให้รังสีพระเมตตาแผ่คลุมจิตใจของลูกเถิด "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 32 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 32 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: นับวันเธอก็ยิ่งครุ่นคิดแต่เรื่องการตั้งคณะใหม่ที่ต้องเร่งดำเนินการ ระหว่างการเฝ้าศิลค่ำวันที่
14 พฤศจิกายน เธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถภาวนาหรือรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าได้
เธอจึงนอนราบ ยกถวายพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดนี้แด่พระบิดาเพื่อชดเชยบาปของชาวโลกทั้งมวล....
หลังจากภาวนาแล้ว เธอลุกขึ้นเดินไปยังที่คุกเข่า พลันมองเห็นพระเยซูเจ้าอยู่ข้างกาย ทรงปรากฏ
พระองค์ในสภาพถูกเฆี่ยน ถืออาภรณ์ขาวและรัดประคด (เชือก) ไว้ในพระหัตถ์ พระองค์สวมอาภรณ์ขาว
ให้เธอแล้วคาดเอวให้เธอด้วยรัดประคด จากนั้น พระเยซูเจ้าทรงคลุมเธอไว้ด้วยเสื้อคลุมสีแดงเหมือนกับ
ฉลองพระองค์ที่สวมอยู่ระหว่างรับทรมาน แล้วคลุมศีรษะเธอด้วยผ้าสีเดียวกัน และตรัสว่า:
ลูกกับเพื่อนร่วมคณะจะแต่งกายแบบนี้ ชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตายบนไม้กางเขนจะเป็นพระวินัย
สำหรับลูก จงเพ่งสายตามองเราและดำเนินชีวิตตามที่ลูกเห็น เราปรารถนาให้ลูกเข้าถึงจิตตารมณ์
ของเราให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และรู้ว่าเรามีจิตใจอ่อนโยนและสุภาพ
เธอตระหนักแก่ใจว่าควรเร่งลงมือทำงานให้สำเร็จตามความปรารถนาของพระเยซูเจ้า เธอพยา ยาม
ร่างพระวินัยและกฎระเบียบที่จะใช้ปกครองคณะใหม่ คืนหนึ่งขณะเขียนหนังสืออยู่เธอได้ยินเสียงในห้อง
เธอพูดว่า "อย่าออกจากคณะนี้เลย สงสารตัวเองบ้างเถอะ ความทุกข์สาหัสรอเจ้าอยู่แล้ว" พอเธอหันไป
ทางต้นเสียงก็ไม่เห็นอะไร เธอจึงเขียนต่อ พลันได้ยินเสียงพูดว่า "ถ้าเจ้าออกเราจะทำลายเจ้าซะ อย่า
จองเวรพวกข้าเลย" เธอกวาดสายตาไปเห็นปิศาจอัปลักษณ์หลายตน เธอทำสำคัญมหากางเขนทางจิต
แล้วพวกมันก็หายตัวไปทันที "ซาตานช่างน่าเกลียดน่ากล้วเสียจริง น่าสงสารวิญญาณในนรกที่ต้องอยู่
ร่วมกับมัน แค่เห็นมันก็น่าขยะแขยง พระเยซูเจ้าปลอบใจเธออีกครั้งว่าไม่มีอะไรเกิดกับเธอได้ถ้า
พระองค์ไม่ยินยอม วิญญาณเธอได้รับพลังอันน่าอัศจรรย์เมื่อได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนี้...
ครั้งหนึ่งพอซิสเตอร์เข้าวัดน้อย เธอได้เห็นนิมิตอาคารสภาพชำรุดทรุดโทรมหลังหนึ่งและ
ได้ยินคำพูดว่า “อารามจะตั้งอยู่ที่นี่แหละ “ เธอค่อนข้างผิดหวังที่ซากอาคารเหล่านี้จะเป็นอาราม...
พระเยซูเจ้าปรากฏพระองค์แก่เธอตรัสกับเธอว่า: เรายินดีที่ได้ร่วมสนิทกับลูก เราปรารถนาเป็น
อย่างยิ่ง และรอคอยเวลาที่เราจะพำนักอยู่ในศิลศักดิ์สิทธิ์ในอารามของลูก พระจิตของเราจะพำนัก
ในอารามนั้น และเราจะอวยพรคนในย่านนั้นเป็นพิเศษเพราะ ความรักที่เรามีต่อลูกทุกคน เราจะเลี่ยง
การลงทัณฑ์อันสมควรได้รับตามความเที่ยงธรรมของพระบิดาของเรา
ลูกรัก ใจเราเห็นชอบกับความต้องการทั้งหลายของลูก งานและหน้าที่ที่ลูกได้รับมอบหมายบนโลกนี้
คือ การวิงวอนขอพระเมตตาเพื่อชาวโลก ไม่มีวิญญาณใดจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ จนกว่าเขา
จะหันมาพึ่งความเมตตาของเราด้วยความวางใจ และเพราะเหตุนี้ วันอาทิตย์แรกหลังปาสกาจึงสมควร
เป็นวันฉลองพระเมตตา ในวันนั้นพระสงฆ์ทั้งหลายควรประกาศให้ทุกคนรู้จักพระเมตตาอันยิ่งใหญ่และ
ลํ้าลึกของเรา เรากำลังให้ลูกเป็นผู้ดูแลงานพระเมตตาของเรา จงบอกพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปว่าควรตั้ง
ภาพวาดให้เห็นในวัด เราจะใช้ภาพนี้มอบพระหรรษทาน มากมายแก่วิญญาณทั้งหลาย
ดังนั้น จงให้วิญญาณทุกดวงมีโอกาสเข้าถึงภาพนี้เถิด...
วันที่ 21 ธันวาคม คุณพ่อโซปอชโกให้ซิสเตอร์โฟสตินาไปดูบ้านหลังหนึ่งว่าเป็นบ้านหลังเดียวกัน
กับที่เธอเห็นในนิมิตหรือไม่ เมื่อเธอเข้าไปดูบ้านหลังนี้พร้อมกับท่าน เธอก็จำได้ว่าซากอาคารนี้ตรง
ตามที่เธอเห็นในนิมิต คุณพ่อจึงยอกแนวคิดของท่านเรื่องการจัดห้องพักกับเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเธอจำได้ว่า
แนวคิดนี้ตรงกับที่พระเยซูเจ้าทรงบอกกับเธอไว้ทุกอย่าง....
ทันทีที่กลับบ้านเธอแวะพักใจในวัดน้อย เธอได้ยินคำพูดในวิญญาณ : อย่าวิตกไปเลย เราอยู่กับลูก
/ความเมตตาของเรา เพราะไม่มีสิ่งใดขัดความประสงค์ของเราได้...
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 33 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: นับวันเธอก็ยิ่งครุ่นคิดแต่เรื่องการตั้งคณะใหม่ที่ต้องเร่งดำเนินการ ระหว่างการเฝ้าศิลค่ำวันที่
14 พฤศจิกายน เธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถภาวนาหรือรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าได้
เธอจึงนอนราบ ยกถวายพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดนี้แด่พระบิดาเพื่อชดเชยบาปของชาวโลกทั้งมวล....
หลังจากภาวนาแล้ว เธอลุกขึ้นเดินไปยังที่คุกเข่า พลันมองเห็นพระเยซูเจ้าอยู่ข้างกาย ทรงปรากฏ
พระองค์ในสภาพถูกเฆี่ยน ถืออาภรณ์ขาวและรัดประคด (เชือก) ไว้ในพระหัตถ์ พระองค์สวมอาภรณ์ขาว
ให้เธอแล้วคาดเอวให้เธอด้วยรัดประคด จากนั้น พระเยซูเจ้าทรงคลุมเธอไว้ด้วยเสื้อคลุมสีแดงเหมือนกับ
ฉลองพระองค์ที่สวมอยู่ระหว่างรับทรมาน แล้วคลุมศีรษะเธอด้วยผ้าสีเดียวกัน และตรัสว่า:
ลูกกับเพื่อนร่วมคณะจะแต่งกายแบบนี้ ชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตายบนไม้กางเขนจะเป็นพระวินัย
สำหรับลูก จงเพ่งสายตามองเราและดำเนินชีวิตตามที่ลูกเห็น เราปรารถนาให้ลูกเข้าถึงจิตตารมณ์
ของเราให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และรู้ว่าเรามีจิตใจอ่อนโยนและสุภาพ
เธอตระหนักแก่ใจว่าควรเร่งลงมือทำงานให้สำเร็จตามความปรารถนาของพระเยซูเจ้า เธอพยา ยาม
ร่างพระวินัยและกฎระเบียบที่จะใช้ปกครองคณะใหม่ คืนหนึ่งขณะเขียนหนังสืออยู่เธอได้ยินเสียงในห้อง
เธอพูดว่า "อย่าออกจากคณะนี้เลย สงสารตัวเองบ้างเถอะ ความทุกข์สาหัสรอเจ้าอยู่แล้ว" พอเธอหันไป
ทางต้นเสียงก็ไม่เห็นอะไร เธอจึงเขียนต่อ พลันได้ยินเสียงพูดว่า "ถ้าเจ้าออกเราจะทำลายเจ้าซะ อย่า
จองเวรพวกข้าเลย" เธอกวาดสายตาไปเห็นปิศาจอัปลักษณ์หลายตน เธอทำสำคัญมหากางเขนทางจิต
แล้วพวกมันก็หายตัวไปทันที "ซาตานช่างน่าเกลียดน่ากล้วเสียจริง น่าสงสารวิญญาณในนรกที่ต้องอยู่
ร่วมกับมัน แค่เห็นมันก็น่าขยะแขยง พระเยซูเจ้าปลอบใจเธออีกครั้งว่าไม่มีอะไรเกิดกับเธอได้ถ้า
พระองค์ไม่ยินยอม วิญญาณเธอได้รับพลังอันน่าอัศจรรย์เมื่อได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนี้...
ครั้งหนึ่งพอซิสเตอร์เข้าวัดน้อย เธอได้เห็นนิมิตอาคารสภาพชำรุดทรุดโทรมหลังหนึ่งและ
ได้ยินคำพูดว่า “อารามจะตั้งอยู่ที่นี่แหละ “ เธอค่อนข้างผิดหวังที่ซากอาคารเหล่านี้จะเป็นอาราม...
พระเยซูเจ้าปรากฏพระองค์แก่เธอตรัสกับเธอว่า: เรายินดีที่ได้ร่วมสนิทกับลูก เราปรารถนาเป็น
อย่างยิ่ง และรอคอยเวลาที่เราจะพำนักอยู่ในศิลศักดิ์สิทธิ์ในอารามของลูก พระจิตของเราจะพำนัก
ในอารามนั้น และเราจะอวยพรคนในย่านนั้นเป็นพิเศษเพราะ ความรักที่เรามีต่อลูกทุกคน เราจะเลี่ยง
การลงทัณฑ์อันสมควรได้รับตามความเที่ยงธรรมของพระบิดาของเรา
ลูกรัก ใจเราเห็นชอบกับความต้องการทั้งหลายของลูก งานและหน้าที่ที่ลูกได้รับมอบหมายบนโลกนี้
คือ การวิงวอนขอพระเมตตาเพื่อชาวโลก ไม่มีวิญญาณใดจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ จนกว่าเขา
จะหันมาพึ่งความเมตตาของเราด้วยความวางใจ และเพราะเหตุนี้ วันอาทิตย์แรกหลังปาสกาจึงสมควร
เป็นวันฉลองพระเมตตา ในวันนั้นพระสงฆ์ทั้งหลายควรประกาศให้ทุกคนรู้จักพระเมตตาอันยิ่งใหญ่และ
ลํ้าลึกของเรา เรากำลังให้ลูกเป็นผู้ดูแลงานพระเมตตาของเรา จงบอกพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปว่าควรตั้ง
ภาพวาดให้เห็นในวัด เราจะใช้ภาพนี้มอบพระหรรษทาน มากมายแก่วิญญาณทั้งหลาย
ดังนั้น จงให้วิญญาณทุกดวงมีโอกาสเข้าถึงภาพนี้เถิด...
วันที่ 21 ธันวาคม คุณพ่อโซปอชโกให้ซิสเตอร์โฟสตินาไปดูบ้านหลังหนึ่งว่าเป็นบ้านหลังเดียวกัน
กับที่เธอเห็นในนิมิตหรือไม่ เมื่อเธอเข้าไปดูบ้านหลังนี้พร้อมกับท่าน เธอก็จำได้ว่าซากอาคารนี้ตรง
ตามที่เธอเห็นในนิมิต คุณพ่อจึงยอกแนวคิดของท่านเรื่องการจัดห้องพักกับเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเธอจำได้ว่า
แนวคิดนี้ตรงกับที่พระเยซูเจ้าทรงบอกกับเธอไว้ทุกอย่าง....
ทันทีที่กลับบ้านเธอแวะพักใจในวัดน้อย เธอได้ยินคำพูดในวิญญาณ : อย่าวิตกไปเลย เราอยู่กับลูก
/ความเมตตาของเรา เพราะไม่มีสิ่งใดขัดความประสงค์ของเราได้...
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 33 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (33 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ต้นเดือนมกราคมปี 1936 ซิสเตอร์ โฟสตินาเข้าเยี่ยมคารวะพระสังฆราชแห่งวิลนีอุส เพื่อยํ้ากับ
พระคุณเจ้า ฯ เรื่องที่พระเยซูเจ้าปรารถนาให้เธอภาวนาวอนขอความเมตตาของพระเจ้าเพื่อ
ชาวโลก และให้ตั้งคณะนักบวชขึ้น ซึ่งจะสวดวิงวอนขอพระเมตตาสำหรับชาวโลก เมื่อปีกลาย
ตอนเธอขออนุญาตพระคุณเจ้าฯ เพื่อทำทุกอย่างตามที่พระเยซูเจ้าเรียกร้องจากเธอนั้น พระคุณเจ้า
ได้บอกเธอว่าการพิจารณาเรื่องออกจากคณะปัจจุบันนั้น เป็นการประจญภายในที่ร้ายแรง
"ถ้าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า ก็จะเผยให้รู้ไม่ช้าก็เร็ว" คราวนี้ท่านตอบเธอว่า "เรื่องการภาวนานั้น
นอกจากพ่อจะอนุญาตแล้ว ยังสนับสนุนให้เธอภาวนาให้มากที่สุด เพื่อวิงวอนขอความเมตตาจาก
พระเจ้าเพื่อชาวโลก เพราะความเมตตาคือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการ แต่เรื่องคณะนักบวชนี้
จงรอไปสักพักเถอะซิสเตอร์ ให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน....
ซิสเตอร์โฟสตินารู้แน่ว่านี่มิใช่เวลาที่ควรลาออกจากคณะ เพราะเธอยอมรับหน้าที่ใหม่ใน
วาแลนดอฟ์เวีย ซึ่งเป็นแถบชนบทห่างจากวอร์ซอ 20 กิโลเมตร พวกภคินีให้การต้อนรับเธอด้วย
น้ำใสใจจริง ซิสเตอร์รูปหนึ่งบอกเธอว่า "ซิสเตอร์มาอยู่กับเราแล้วทีนี้ทุกอย่างก็จะราบรื่นสักที "
เธอถามว่า ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ" "ก็ดิฉันมีความรู้สึกอย่างนั้นน่ะสิ" ความจริงก็คือ บ้านหลังนี้
กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน พวกภคินึจำเป็นต้องทำไร่ ทำนา ตั้งแต่เข้ายันค่ำ เพื่อหารายได้
ประทังชีวิตจนไม่สามารถปฏิบัติกิจศรัทธาได้อย่างพอเพียง...
เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สุขภาพของซิสเตอร์โฟสตินาก็เริ่มทรุดลงอีก แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่น
และถือว่านี่เป็นจังหวะที่ดีในการทำพลีกรรม และข่มใจตนเองอย่างหนึ่งในรายการมหาพรตของเธอ...
ก่อนรับศิลวันศุกร์ต้นเดือน เธอมองเห็นผอบศิลขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแผ่นศิล มีมือหนึ่งยื่นผอบ
ให้เธอตรงหน้า เธอก็รับมาถือ ภายในผอบนั้นมีแผ่นศิลทรงชีวิตนับพัน เธอได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวว่า
แผ่นศืลเหล่านี้แหละ คือแผ่นศิลที่บรรดาวิญญาณที่ลูกรับพระหรรษทานแห่งการกลับใจแท้จริงให้
พวกเขานั้น ได้รับไปในช่วงมหาพรตครั้งนี้....
พระเยซูได้ประทานสารสำคัญแก่เธอว่า : จงหมั่นสวดสายประคำตามที่เราสอนลูกไว้ ใครก็ตาม
ที่สวดสายประคำนี้จะได้รับความเมตตายิ่งใหญ่ ในเวลาที่เขาจะสิ้นใจพระสงฆ์ควรแนะนำให้คนบาป
สวดสายประคำนี้ อันเป็นความหวังสุดท้ายเพื่อความรอดของพวกเขา แม้กระทั่งคนบาปผู้ใจแข็งกระด้าง
ที่สุดถ้าเขาสวดสายประคำนี้แม้เพียงครั้งเดียว เขาก็จะได้รับพระหรรษทานจากความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุด
ของเรา เราอยากให้คนทั้งโลกรู้จักความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุดของเรา เราอยากมอบพระหรรษทานซึ่ง
เหนือความคาดคิดให้แก่วิญญาณเหล่านั้นที่วางใจในความเมตตาของเรา....
ลูกรักจงบอกชาวโลกเกี่ยวกับความเมตตาอันน่าพิศวงของเรา เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา
เป็นดังที่หลบภัย และที่กำบังสำหรับวิญญาณทั้งมวล โดยเฉพาะสำหรับคนบาปที่น่าสงสาร ในวันนั้น
แหละความล้ำลึกของความเมตตาอันอ่อนโยนของเราเปิดกว้าง เราระบายมหาสมุทรแห่ง
พระหรรษทานทั้งสิ้นออกมาเหนือวิญญาณที่เข้าถึงต้นธารความเมตตาของเรา วิญญาณที่จะ
ไปแก้บาป และ รับศีลมหาสนิทจะได้รับการอภัยบาป และยกโทษบาปทั้งหมด
ในวันนั้นประตูทำนบสวรรค์จะเปิดออกให้พระหรรษทานไหลผ่าน....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 34 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ต้นเดือนมกราคมปี 1936 ซิสเตอร์ โฟสตินาเข้าเยี่ยมคารวะพระสังฆราชแห่งวิลนีอุส เพื่อยํ้ากับ
พระคุณเจ้า ฯ เรื่องที่พระเยซูเจ้าปรารถนาให้เธอภาวนาวอนขอความเมตตาของพระเจ้าเพื่อ
ชาวโลก และให้ตั้งคณะนักบวชขึ้น ซึ่งจะสวดวิงวอนขอพระเมตตาสำหรับชาวโลก เมื่อปีกลาย
ตอนเธอขออนุญาตพระคุณเจ้าฯ เพื่อทำทุกอย่างตามที่พระเยซูเจ้าเรียกร้องจากเธอนั้น พระคุณเจ้า
ได้บอกเธอว่าการพิจารณาเรื่องออกจากคณะปัจจุบันนั้น เป็นการประจญภายในที่ร้ายแรง
"ถ้าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า ก็จะเผยให้รู้ไม่ช้าก็เร็ว" คราวนี้ท่านตอบเธอว่า "เรื่องการภาวนานั้น
นอกจากพ่อจะอนุญาตแล้ว ยังสนับสนุนให้เธอภาวนาให้มากที่สุด เพื่อวิงวอนขอความเมตตาจาก
พระเจ้าเพื่อชาวโลก เพราะความเมตตาคือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการ แต่เรื่องคณะนักบวชนี้
จงรอไปสักพักเถอะซิสเตอร์ ให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน....
ซิสเตอร์โฟสตินารู้แน่ว่านี่มิใช่เวลาที่ควรลาออกจากคณะ เพราะเธอยอมรับหน้าที่ใหม่ใน
วาแลนดอฟ์เวีย ซึ่งเป็นแถบชนบทห่างจากวอร์ซอ 20 กิโลเมตร พวกภคินีให้การต้อนรับเธอด้วย
น้ำใสใจจริง ซิสเตอร์รูปหนึ่งบอกเธอว่า "ซิสเตอร์มาอยู่กับเราแล้วทีนี้ทุกอย่างก็จะราบรื่นสักที "
เธอถามว่า ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ" "ก็ดิฉันมีความรู้สึกอย่างนั้นน่ะสิ" ความจริงก็คือ บ้านหลังนี้
กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน พวกภคินึจำเป็นต้องทำไร่ ทำนา ตั้งแต่เข้ายันค่ำ เพื่อหารายได้
ประทังชีวิตจนไม่สามารถปฏิบัติกิจศรัทธาได้อย่างพอเพียง...
เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สุขภาพของซิสเตอร์โฟสตินาก็เริ่มทรุดลงอีก แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่น
และถือว่านี่เป็นจังหวะที่ดีในการทำพลีกรรม และข่มใจตนเองอย่างหนึ่งในรายการมหาพรตของเธอ...
ก่อนรับศิลวันศุกร์ต้นเดือน เธอมองเห็นผอบศิลขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแผ่นศิล มีมือหนึ่งยื่นผอบ
ให้เธอตรงหน้า เธอก็รับมาถือ ภายในผอบนั้นมีแผ่นศิลทรงชีวิตนับพัน เธอได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวว่า
แผ่นศืลเหล่านี้แหละ คือแผ่นศิลที่บรรดาวิญญาณที่ลูกรับพระหรรษทานแห่งการกลับใจแท้จริงให้
พวกเขานั้น ได้รับไปในช่วงมหาพรตครั้งนี้....
พระเยซูได้ประทานสารสำคัญแก่เธอว่า : จงหมั่นสวดสายประคำตามที่เราสอนลูกไว้ ใครก็ตาม
ที่สวดสายประคำนี้จะได้รับความเมตตายิ่งใหญ่ ในเวลาที่เขาจะสิ้นใจพระสงฆ์ควรแนะนำให้คนบาป
สวดสายประคำนี้ อันเป็นความหวังสุดท้ายเพื่อความรอดของพวกเขา แม้กระทั่งคนบาปผู้ใจแข็งกระด้าง
ที่สุดถ้าเขาสวดสายประคำนี้แม้เพียงครั้งเดียว เขาก็จะได้รับพระหรรษทานจากความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุด
ของเรา เราอยากให้คนทั้งโลกรู้จักความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุดของเรา เราอยากมอบพระหรรษทานซึ่ง
เหนือความคาดคิดให้แก่วิญญาณเหล่านั้นที่วางใจในความเมตตาของเรา....
ลูกรักจงบอกชาวโลกเกี่ยวกับความเมตตาอันน่าพิศวงของเรา เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา
เป็นดังที่หลบภัย และที่กำบังสำหรับวิญญาณทั้งมวล โดยเฉพาะสำหรับคนบาปที่น่าสงสาร ในวันนั้น
แหละความล้ำลึกของความเมตตาอันอ่อนโยนของเราเปิดกว้าง เราระบายมหาสมุทรแห่ง
พระหรรษทานทั้งสิ้นออกมาเหนือวิญญาณที่เข้าถึงต้นธารความเมตตาของเรา วิญญาณที่จะ
ไปแก้บาป และ รับศีลมหาสนิทจะได้รับการอภัยบาป และยกโทษบาปทั้งหมด
ในวันนั้นประตูทำนบสวรรค์จะเปิดออกให้พระหรรษทานไหลผ่าน....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 34 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (34 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ภาพนิมิตนรก ; ซิสเตอร์โฟสตินาถูกนำเข้าสู่ห้วงฌานแห่งการสนิทเป็นหนึ่งเดียวชั้นสูง
ทั้งยังได้เห็นขุมนรกหลายขุม และเครื่องทรมานหลายลักษณะเธอบรรยายลักษณะ ของนรก
ตามคำสั่งของพระเยซูเจ้าไว้ดังนี้ :
วันนี้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำดิฉันไปสู่เหวนรก เป็นสถานที่ที่มีการทรมานมากมาย
มันช่างกว้างขวางใหญ่โตจนน่ากล้ว ! รูปแบบทารุณกรรมที่ดิฉันเห็นมามีดังนี้...
ทารุณกรรมแรก ที่สร้างนรกขึ้นมาก็คือ การสูญเสียพระเจ้า
ทารุณกรรมที่สอง คือมโนธรรมที่สำนึกเสียใจชั่วกัลปาวสาน
ทารุณกรรมที่สาม คือสภาพของแต่ละคนจะไม่มีวันเปลี่ยน
ทารุณกรรมที่สี่ คือไฟซึ่งทะลวงลึกเข้าไปในวิญญาณโดยไม่ทำลายวิญญาณนั้น
นี่คือความทุกข์มรมานที่เลวร้าย เพราะเป็นไฟฝ่ายจิตล้วน ๆ ที่พระพิโรธของ
พระเจ้าจุดขึ้น
ทารุณกรรมที่ห้า คือความมืดต่อเนื่องและกลิ่นสาบสางที่ทำให้อึดอัด แต่ทั้ง ๆ ที่มืดขนาดนี้
ปีศาจกับวิญญาณผู้ต้องโทษนรกก็ยังมองเห็นกันได้ รวมทั้งเห็นความชั่วทั้งหมด ทั้งของตนเอง
และของผู้อื่น
ทารุณกรรมที่หก คือการต้องอยู่ร่วมกับซาตานตลอดเวลา
ทารุณกรรมที่เจ็ด คือความสิ้นหวัง ความเกลียดชังพระเจ้า คำพูดหยาบคาย คำสาปแช่ง
และคำสบประมาท ทั้งหมดนี้ทารุณกรรมที่ผู้ต้องโทษนรกต้องทนรับร่วมกัน แต่ความทุกข์ทรมาน
มิได้จบเพียงเท่านี้ ยังมีทารุณกรรมเฉพาะที่กำหนดให้วิญญาณนั้น ๆ ด้วย นี่คือทารุณกรรมทาง
ประสาทสัมผัส วิญญาณแต่ละดวงต้องทนทุกข์อย่างเลวร้ายสุดจะบรรยายได้ ตามลักษณะของบาป
ที่ตนกระทำ มีคูหา และ หลุมทรมาน ซึ่งสร้างความเจ็บปวดที่แตกต่างกันไป ดิฉันคงตายแน่ถ้าได้
เห็นทารุณกรรมเหล่านี้หากพระสรรพานุภาพของพระเจ้าไม่ได้ค้ำจุนดิฉันไว้...
ขอให้คนบาปจงรู้ไว้เถิดว่า เขาจะถูกทรมานทางประสาทสัมผัสที่เขาใช้ทำบาปไปชั่วนิรันดร์
ดิฉันบันทึกเรื่องเหล่านี้ตามบัญชาของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีวิญญาณใดหาข้อแก้ตัวได้ว่านรก
ไม่มีอยู่จริง หรือว่าไม่มีใครเคยไปที่นั่น จะไม่มีใครบอกได้ว่านรกเป็นอย่างไร....
ดิฉันได้ไปเยี่ยมขุมนรกแล้วตามบัญชาของพระเจ้า เพื่อดิฉันจะได้เล่าเรื่องนรกให้วิญญาณทั้งหลาย
ได้รู้ และเพื่อเป็นพยานยืนยันว่านรกมีอยู่จริง ปิศาจเกลียดดิฉันมาก แต่มันต้องเชื่อฟังดิฉันตามบัญชา
ของพระเจ้า ดิฉันสังเกตเห็นอยู่อย่างหนึ่ง คือ วิญญาณส่วนใหญ่คือวิญญาณที่ไม่เชื่อว่านรกมีจริง
เมื่อได้ไปมาแล้วดิฉันก็ยังหวาดกลัวไม่หาย ดิฉันจึงร้อนรนภาวนาให้คนบาปกลับใจ ดิฉันวิง วอนเพื่อ
ขอพระเมตตาของพระเจ้าให้ช่วยเขาเหล่านั้น.
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 35 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ภาพนิมิตนรก ; ซิสเตอร์โฟสตินาถูกนำเข้าสู่ห้วงฌานแห่งการสนิทเป็นหนึ่งเดียวชั้นสูง
ทั้งยังได้เห็นขุมนรกหลายขุม และเครื่องทรมานหลายลักษณะเธอบรรยายลักษณะ ของนรก
ตามคำสั่งของพระเยซูเจ้าไว้ดังนี้ :
วันนี้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำดิฉันไปสู่เหวนรก เป็นสถานที่ที่มีการทรมานมากมาย
มันช่างกว้างขวางใหญ่โตจนน่ากล้ว ! รูปแบบทารุณกรรมที่ดิฉันเห็นมามีดังนี้...
ทารุณกรรมแรก ที่สร้างนรกขึ้นมาก็คือ การสูญเสียพระเจ้า
ทารุณกรรมที่สอง คือมโนธรรมที่สำนึกเสียใจชั่วกัลปาวสาน
ทารุณกรรมที่สาม คือสภาพของแต่ละคนจะไม่มีวันเปลี่ยน
ทารุณกรรมที่สี่ คือไฟซึ่งทะลวงลึกเข้าไปในวิญญาณโดยไม่ทำลายวิญญาณนั้น
นี่คือความทุกข์มรมานที่เลวร้าย เพราะเป็นไฟฝ่ายจิตล้วน ๆ ที่พระพิโรธของ
พระเจ้าจุดขึ้น
ทารุณกรรมที่ห้า คือความมืดต่อเนื่องและกลิ่นสาบสางที่ทำให้อึดอัด แต่ทั้ง ๆ ที่มืดขนาดนี้
ปีศาจกับวิญญาณผู้ต้องโทษนรกก็ยังมองเห็นกันได้ รวมทั้งเห็นความชั่วทั้งหมด ทั้งของตนเอง
และของผู้อื่น
ทารุณกรรมที่หก คือการต้องอยู่ร่วมกับซาตานตลอดเวลา
ทารุณกรรมที่เจ็ด คือความสิ้นหวัง ความเกลียดชังพระเจ้า คำพูดหยาบคาย คำสาปแช่ง
และคำสบประมาท ทั้งหมดนี้ทารุณกรรมที่ผู้ต้องโทษนรกต้องทนรับร่วมกัน แต่ความทุกข์ทรมาน
มิได้จบเพียงเท่านี้ ยังมีทารุณกรรมเฉพาะที่กำหนดให้วิญญาณนั้น ๆ ด้วย นี่คือทารุณกรรมทาง
ประสาทสัมผัส วิญญาณแต่ละดวงต้องทนทุกข์อย่างเลวร้ายสุดจะบรรยายได้ ตามลักษณะของบาป
ที่ตนกระทำ มีคูหา และ หลุมทรมาน ซึ่งสร้างความเจ็บปวดที่แตกต่างกันไป ดิฉันคงตายแน่ถ้าได้
เห็นทารุณกรรมเหล่านี้หากพระสรรพานุภาพของพระเจ้าไม่ได้ค้ำจุนดิฉันไว้...
ขอให้คนบาปจงรู้ไว้เถิดว่า เขาจะถูกทรมานทางประสาทสัมผัสที่เขาใช้ทำบาปไปชั่วนิรันดร์
ดิฉันบันทึกเรื่องเหล่านี้ตามบัญชาของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีวิญญาณใดหาข้อแก้ตัวได้ว่านรก
ไม่มีอยู่จริง หรือว่าไม่มีใครเคยไปที่นั่น จะไม่มีใครบอกได้ว่านรกเป็นอย่างไร....
ดิฉันได้ไปเยี่ยมขุมนรกแล้วตามบัญชาของพระเจ้า เพื่อดิฉันจะได้เล่าเรื่องนรกให้วิญญาณทั้งหลาย
ได้รู้ และเพื่อเป็นพยานยืนยันว่านรกมีอยู่จริง ปิศาจเกลียดดิฉันมาก แต่มันต้องเชื่อฟังดิฉันตามบัญชา
ของพระเจ้า ดิฉันสังเกตเห็นอยู่อย่างหนึ่ง คือ วิญญาณส่วนใหญ่คือวิญญาณที่ไม่เชื่อว่านรกมีจริง
เมื่อได้ไปมาแล้วดิฉันก็ยังหวาดกลัวไม่หาย ดิฉันจึงร้อนรนภาวนาให้คนบาปกลับใจ ดิฉันวิง วอนเพื่อ
ขอพระเมตตาของพระเจ้าให้ช่วยเขาเหล่านั้น.
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 35 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 35 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ระหว่างการเข้าเงียบ พระเยซูเจ้าทรงสอนซิสเตอร์โฟสตินาว่า การสักการะพระเมตตา
ของพระองค์ อย่างแท้จริงนั้น ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง :
ลูกรัก เมื่อเราเรียกร้องผ่านลูกให้คนทั้งหลายสักการะความเมตตาของเรานั้น ลูกควรเ
ป็นคนแรกที่แสดงความวางใจในความเมตตาของเราให้เห็นเด่นชัด เราเรียกร้องให้ลูกทำ
กิจเมตตาซึ่งเกิดจากความรักที่มีต่อเรา ลูกควรแสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ทุกเวลา
และทุกสถานที่ ลูกไม่ควรหลีกเลี่ยง หรือพยายามหาข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำกิจเมตตานี้...
เราขอบอกสามวิธีที่ลูกจะแสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ได้ วิธีแรก คือ ด้วยกิจการ
วิธีที่สอง คือ ด้วยคำพูด วิธีที่สาม คือ ด้วยการภาวนา ในความเมตตาทั้งสามระดับนี้
มีความเมตตาอย่างครบถ้วนและเป็นการพิสูจน์ความรักต่อเราอย่างไม่มีข้อสงสัย วิญญาณ
สรรเสริญ และ แสดงความเคารพบูชาความเมตตาของเราด้วยวิธีนี้ ถูกแล้ว วันอาทิตย์แรก
หลังปาสกาคือวันฉลองพระเมตตา แต่ควรมีกิจเมตตาด้วย และเราเรียกร้องให้มีการสักการะ
ความเมตตาของเราด้วยพิธีสมโภชอย่างสง่า ด้วยการแสดงความเคารพต่อภาพพระเมตตาที่
วาดขึ้นมานี้ เราจะมอบพระหรรษทานมากมายแก่วิญญาณทั้งหลายด้วยภาพนี้ ภาพนี้ควรเป็น
เครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงสิ่งที่ความเมตตาของเราปรารถนา เพราะแม้แต่ความเชื่อที่แข็งแกร่ง
ที่สุดก็ไร้ประโยชน์ หากปราศจากกิจการ....
สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับ ซิสเตอร์โฟสตินาตั้งแต่เริ่มเข้าเงียบเริ่มมีผล เธอเขียนในบันทึก
วันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาลเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1936 ว่าดังนี้ :
ระหว่างพิธีบูชามิสซา ดิฉันดื่มด่ำอยู่ในไฟรักของพระเจ้า และมีความปรารถนาจะช่วยวิญญาณ
ให้รอดอย่างยิ่งจนบรรยายไม่ถูก ดิฉันรู้สึกกระตือ รือร้นเต็มที่ ดิฉันจะต่อสู้ความชั่วทั้งหมดโดย
ใช้ความเมตตาเป็นอาวุธ ดิฉันกำลังลุกร้อนด้วยไฟปรารถนาที่จะช่วยวิญญาณทั้งหลายให้รอด
ดิฉันสำรวจความยาวและ ความกว้างของพิภพจน ถึงสูดปลายแผ่นดิน และท่องไปในดินแดนที่
ห่างไกลความเจริญที่สุดเพื่อช่วยวิญญาณทั้งหลาย ดิฉันทำดังนี้ด้วยคำภาวนา และพลีกรรม
ดิฉันต้องการให้วิญญาณทุกดวงสรรเสริญความเมตตาของพระเจ้า เพื่อให้แต่ละคนได้รับผลแห่ง
ความเมตตานั้นด้วยตนเอง นักบุญในสวรรค์สักการะความเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันต้อง
การสักการะความเมตตาแม้กระทั่งตอนนี้ ขณะที่อยู่บนโลกนี้ และเผยแพร่ความศรัทธา
ต่อพระเมตตาอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนา ให้ดิฉันทำ....
เธอตระหนักว่าเมื่อเธอปรารถนาอย่างยิ่งที่จะช่วยวิญญาณให้รอด เธอจำเป็นต้องกลายเป็น
เครื่องบูชาบริสุทธิ์โดยทางความรัก เธอต้องเดินตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้า เส้นทางแห่ง
ความทุกข์การดูถูก การเยาะเย็น การข่มเหงและความอัปยศ จะเป็นชะตากรรมของเธอเสมอ
เธอยอมรับทั้งหมดนี้เพราะเธอรู้ว่าพระเยซูเจ้าจะอยู่กับเธอ เธอบันทึกว่า : ข้าแต่พระเยซูผู้ทรงเป็น
ขุมกำลัง และความหวังเดียวของลูก พระองค์แต่ผู้เดียวคือความหวังทั้งหมดของลูก
ไม่มีสิ่งใดทำลายความวางใจของลูกได้ "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 36 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ระหว่างการเข้าเงียบ พระเยซูเจ้าทรงสอนซิสเตอร์โฟสตินาว่า การสักการะพระเมตตา
ของพระองค์ อย่างแท้จริงนั้น ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง :
ลูกรัก เมื่อเราเรียกร้องผ่านลูกให้คนทั้งหลายสักการะความเมตตาของเรานั้น ลูกควรเ
ป็นคนแรกที่แสดงความวางใจในความเมตตาของเราให้เห็นเด่นชัด เราเรียกร้องให้ลูกทำ
กิจเมตตาซึ่งเกิดจากความรักที่มีต่อเรา ลูกควรแสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ทุกเวลา
และทุกสถานที่ ลูกไม่ควรหลีกเลี่ยง หรือพยายามหาข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำกิจเมตตานี้...
เราขอบอกสามวิธีที่ลูกจะแสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ได้ วิธีแรก คือ ด้วยกิจการ
วิธีที่สอง คือ ด้วยคำพูด วิธีที่สาม คือ ด้วยการภาวนา ในความเมตตาทั้งสามระดับนี้
มีความเมตตาอย่างครบถ้วนและเป็นการพิสูจน์ความรักต่อเราอย่างไม่มีข้อสงสัย วิญญาณ
สรรเสริญ และ แสดงความเคารพบูชาความเมตตาของเราด้วยวิธีนี้ ถูกแล้ว วันอาทิตย์แรก
หลังปาสกาคือวันฉลองพระเมตตา แต่ควรมีกิจเมตตาด้วย และเราเรียกร้องให้มีการสักการะ
ความเมตตาของเราด้วยพิธีสมโภชอย่างสง่า ด้วยการแสดงความเคารพต่อภาพพระเมตตาที่
วาดขึ้นมานี้ เราจะมอบพระหรรษทานมากมายแก่วิญญาณทั้งหลายด้วยภาพนี้ ภาพนี้ควรเป็น
เครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงสิ่งที่ความเมตตาของเราปรารถนา เพราะแม้แต่ความเชื่อที่แข็งแกร่ง
ที่สุดก็ไร้ประโยชน์ หากปราศจากกิจการ....
สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับ ซิสเตอร์โฟสตินาตั้งแต่เริ่มเข้าเงียบเริ่มมีผล เธอเขียนในบันทึก
วันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาลเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1936 ว่าดังนี้ :
ระหว่างพิธีบูชามิสซา ดิฉันดื่มด่ำอยู่ในไฟรักของพระเจ้า และมีความปรารถนาจะช่วยวิญญาณ
ให้รอดอย่างยิ่งจนบรรยายไม่ถูก ดิฉันรู้สึกกระตือ รือร้นเต็มที่ ดิฉันจะต่อสู้ความชั่วทั้งหมดโดย
ใช้ความเมตตาเป็นอาวุธ ดิฉันกำลังลุกร้อนด้วยไฟปรารถนาที่จะช่วยวิญญาณทั้งหลายให้รอด
ดิฉันสำรวจความยาวและ ความกว้างของพิภพจน ถึงสูดปลายแผ่นดิน และท่องไปในดินแดนที่
ห่างไกลความเจริญที่สุดเพื่อช่วยวิญญาณทั้งหลาย ดิฉันทำดังนี้ด้วยคำภาวนา และพลีกรรม
ดิฉันต้องการให้วิญญาณทุกดวงสรรเสริญความเมตตาของพระเจ้า เพื่อให้แต่ละคนได้รับผลแห่ง
ความเมตตานั้นด้วยตนเอง นักบุญในสวรรค์สักการะความเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันต้อง
การสักการะความเมตตาแม้กระทั่งตอนนี้ ขณะที่อยู่บนโลกนี้ และเผยแพร่ความศรัทธา
ต่อพระเมตตาอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนา ให้ดิฉันทำ....
เธอตระหนักว่าเมื่อเธอปรารถนาอย่างยิ่งที่จะช่วยวิญญาณให้รอด เธอจำเป็นต้องกลายเป็น
เครื่องบูชาบริสุทธิ์โดยทางความรัก เธอต้องเดินตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้า เส้นทางแห่ง
ความทุกข์การดูถูก การเยาะเย็น การข่มเหงและความอัปยศ จะเป็นชะตากรรมของเธอเสมอ
เธอยอมรับทั้งหมดนี้เพราะเธอรู้ว่าพระเยซูเจ้าจะอยู่กับเธอ เธอบันทึกว่า : ข้าแต่พระเยซูผู้ทรงเป็น
ขุมกำลัง และความหวังเดียวของลูก พระองค์แต่ผู้เดียวคือความหวังทั้งหมดของลูก
ไม่มีสิ่งใดทำลายความวางใจของลูกได้ "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 36 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (36 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1936 ซิสเตอร์โฟสตินาเปิดเผยเรื่องราวของความเจ็บปวด
ซ่อนเร้นอีกอย่างหนึ่ง คือ รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ : ดิฉันได้รับความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นครั้งแรก
ขณะที่กำลังภาวนาหลังการปฏิญาณตนชั่วคราวประจำปี ดิฉันเห็นความสว่างเจิดจ้า แล้วก็
มีลำแสงพวยพุ่งออกมาจากความสว่างนั้นเข้ามาปกคลุมดิฉันไว้ทั้งร่าง แล้วดิฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบ
ที่มือ เท้า และ สีข้าง กับตรงรอยหนามของมงกุฎหนาม ดิฉันรู้สึกเจ็บเช่นนี้ระหว่างมิสซา
ในวันศุกร์ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ทุกวันศุกร์ ต่อเนื่องกันหลาย
สัปดาห์ หลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกเลยจนถึงเดี๋ยวนี้....
ในระหว่างที่ป่วย ดิฉันรู้สึกเจ็บแปลบแบบเดียวกันนี้ระหว่างมิสซาทุก ๆ วันศุกร์ ในบางครั้ง
เมื่อดิฉันพบวิญญาณที่ไม่อยู่ในสถานะพระหรรษทาน แม้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเจ็บช่วงสั้น ๆ ดิฉัน
ไม่อาจทนรับได้หากปราศจากพระหรรษทานพิเศษจากพระเจ้า ไม่มีเครื่องหมายภายนอกที่บ่งบอก
ถึงความเจ็บปวดเหล่านี้ ดิฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวิญญาณทั้งหลายเท่านั้น...
เธอบันทึกว่า "ดิฉันรับรู้ว่าแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจเส้นทางที่พระเจ้านำดิฉันไปอย่างเสมอ
และ ดิฉันไม่แปลกใจที่เป็นเช่นนี้ "....
วันต่อมา ระหว่างสารภาพบาป พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเธอผ่านพระสงฆ์โดยที่ท่านเองก็ไม่รู้ตัว
พระสงฆ์องค์นั้นไม่รู้จักวิญญาณของเธอ เธอเพียงบอกบาปของเธอเพียงเท่านั้น แต่ท่านกลับพูด
ปลอบใจเธอ เป็นคำปลอบใจเธอที่มีความหมายสำหรับเธอมากในวันนั้น "จงยึดมั่นทำตามที่
พระเยซูเจ้าทรงขอเธอไว้ให้สำเร็จ ถึงจะมีอุปสรรคก็ตาม จงรู้ไว้ว่าแม้ผู้คนจะโกรธเธอก็ตามที่
แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้โกรธและจะไม่มีวันโกรธเธอเลย อย่าไปใส่ใจกับความเห็นประสามนุษย์เลย "
เธอขานรับในใจด้วยความยินดีว่า "โอ้รหัสธรรมศักดิ์สิทธิ์ ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่อยู่ในเจ้า !
โอ้ความเชื่อศักดิ์สิทธิ์เจ้าคือป้ายบอกทางให้ข้า ฯ.
ระหว่างนั้นเธอก็ได้รับจดหมายจากคุณพ่อโซปอชโก ในวันที่ 24 พฤศจิกายน และได้รู้รายละเอียด
เกี่ยวกับการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตากับเรื่องการตั้งคณะใหม่ หลังอ่านจดหมายแล้ว
เธอบันทึกว่า: ดิฉันทราบจากจดหมายว่า พระเจ้าทรงจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยพระองค์เอง และเมื่อ
พระองค์ทรงเริ่มงานนี้แล้ว พระองค์ก็จะสนับสนุนงานนี้ต่อไป ยิ่งมองเห็นความยากลำบาก ดิฉันก็
ยิ่งมีสันติสุข หากเรื่องทั้งหมดนี้มิได้เป็นไปเพื่อเกียรติมงคลของพระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อ
วิญญาณอย่างมหาศาลแล้วไซร้ซาตานก็คงไม่ขัดขวางถึงขนาดนี้ แต่เพราะมันรู้ตัวว่ามันต้องพ่ายแพ้
เพราะงานนี้ บัดนี้ดิฉันทราบแล้วว่าซาตานเกลียดความเมตตา ยิ่งกว่าอะไร นับเป็นทารุณกรรมที่
หนักหนาสาหัสของมัน แม้กระนั้นพระวาจาของพระเจ้าก็จะไม่สูญเปล่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสย่อมมีชีวิต
ความยากลำบากจะไม่ยับยั้งงานของพระเจ้า แต่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คืองานของพระเจ้า....
โปรดติดตาม ตอนที่ (37 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1936 ซิสเตอร์โฟสตินาเปิดเผยเรื่องราวของความเจ็บปวด
ซ่อนเร้นอีกอย่างหนึ่ง คือ รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ : ดิฉันได้รับความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นครั้งแรก
ขณะที่กำลังภาวนาหลังการปฏิญาณตนชั่วคราวประจำปี ดิฉันเห็นความสว่างเจิดจ้า แล้วก็
มีลำแสงพวยพุ่งออกมาจากความสว่างนั้นเข้ามาปกคลุมดิฉันไว้ทั้งร่าง แล้วดิฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบ
ที่มือ เท้า และ สีข้าง กับตรงรอยหนามของมงกุฎหนาม ดิฉันรู้สึกเจ็บเช่นนี้ระหว่างมิสซา
ในวันศุกร์ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ทุกวันศุกร์ ต่อเนื่องกันหลาย
สัปดาห์ หลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกเลยจนถึงเดี๋ยวนี้....
ในระหว่างที่ป่วย ดิฉันรู้สึกเจ็บแปลบแบบเดียวกันนี้ระหว่างมิสซาทุก ๆ วันศุกร์ ในบางครั้ง
เมื่อดิฉันพบวิญญาณที่ไม่อยู่ในสถานะพระหรรษทาน แม้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเจ็บช่วงสั้น ๆ ดิฉัน
ไม่อาจทนรับได้หากปราศจากพระหรรษทานพิเศษจากพระเจ้า ไม่มีเครื่องหมายภายนอกที่บ่งบอก
ถึงความเจ็บปวดเหล่านี้ ดิฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวิญญาณทั้งหลายเท่านั้น...
เธอบันทึกว่า "ดิฉันรับรู้ว่าแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจเส้นทางที่พระเจ้านำดิฉันไปอย่างเสมอ
และ ดิฉันไม่แปลกใจที่เป็นเช่นนี้ "....
วันต่อมา ระหว่างสารภาพบาป พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเธอผ่านพระสงฆ์โดยที่ท่านเองก็ไม่รู้ตัว
พระสงฆ์องค์นั้นไม่รู้จักวิญญาณของเธอ เธอเพียงบอกบาปของเธอเพียงเท่านั้น แต่ท่านกลับพูด
ปลอบใจเธอ เป็นคำปลอบใจเธอที่มีความหมายสำหรับเธอมากในวันนั้น "จงยึดมั่นทำตามที่
พระเยซูเจ้าทรงขอเธอไว้ให้สำเร็จ ถึงจะมีอุปสรรคก็ตาม จงรู้ไว้ว่าแม้ผู้คนจะโกรธเธอก็ตามที่
แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้โกรธและจะไม่มีวันโกรธเธอเลย อย่าไปใส่ใจกับความเห็นประสามนุษย์เลย "
เธอขานรับในใจด้วยความยินดีว่า "โอ้รหัสธรรมศักดิ์สิทธิ์ ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่อยู่ในเจ้า !
โอ้ความเชื่อศักดิ์สิทธิ์เจ้าคือป้ายบอกทางให้ข้า ฯ.
ระหว่างนั้นเธอก็ได้รับจดหมายจากคุณพ่อโซปอชโก ในวันที่ 24 พฤศจิกายน และได้รู้รายละเอียด
เกี่ยวกับการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตากับเรื่องการตั้งคณะใหม่ หลังอ่านจดหมายแล้ว
เธอบันทึกว่า: ดิฉันทราบจากจดหมายว่า พระเจ้าทรงจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยพระองค์เอง และเมื่อ
พระองค์ทรงเริ่มงานนี้แล้ว พระองค์ก็จะสนับสนุนงานนี้ต่อไป ยิ่งมองเห็นความยากลำบาก ดิฉันก็
ยิ่งมีสันติสุข หากเรื่องทั้งหมดนี้มิได้เป็นไปเพื่อเกียรติมงคลของพระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อ
วิญญาณอย่างมหาศาลแล้วไซร้ซาตานก็คงไม่ขัดขวางถึงขนาดนี้ แต่เพราะมันรู้ตัวว่ามันต้องพ่ายแพ้
เพราะงานนี้ บัดนี้ดิฉันทราบแล้วว่าซาตานเกลียดความเมตตา ยิ่งกว่าอะไร นับเป็นทารุณกรรมที่
หนักหนาสาหัสของมัน แม้กระนั้นพระวาจาของพระเจ้าก็จะไม่สูญเปล่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสย่อมมีชีวิต
ความยากลำบากจะไม่ยับยั้งงานของพระเจ้า แต่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คืองานของพระเจ้า....
โปรดติดตาม ตอนที่ (37 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 37 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ภาพนิมิตสวรรค์ ก่อนหน้านี้ ซิสเตอร์โฟสตินา ได้เห็นภาพนิมิตของไฟชำระกับนรก
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ขณะที่เธอต้องนอนพักรักษาตัว เธอบันทึกภาพนิมิตของสวรรค์ไว้ดังนี้ :
วันนี้จิตดิฉันไปอยู่ในแดนสวรรค์ ดิฉันได้เห็นความงามน่าพิศวงและความปิติสุขซึ่งรอคอย
เราอยู่เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ดิฉันได้เห็นสิ่งสร้างทั้งปวงแซ่ซ้องสรรเสริญพระเจ้าไม่ขาดสาย
ดิฉันได้เห็นความบรมสุขนี้ในพระเจ้าซึ่งแผ่กระจายไปยังสรรพชีวิตบันดาลให้สิ่งสร้างเหล่านั้น
เบิกบาน จากนั้น พระสิริรุ่งโรจน์และคำถวายพระพรซึ่งพรั่งพรูออกมาจากความสุขนี้ได้ย้อนกลับ
ไปหาพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นธารความปิติสุข พวกเขาได้เข้าไปในความล้ำลึกของพระเจ้า เพิ่งพิศ
ชีวิตภายในพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระจิต ผู้ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจหรือหยั่งถึงได้....
แก่นแท้ของบ่อเกิดแห่งความปิติสุขนี้ไม่มีวันผันแปร แต่เป็นสิ่งใหม่ที่นำความสุขมาสู่สรรพ
ชีวิตเสมอ บัดนี้ดิฉันเข้าใจที่ท่านนักบุญเปาโลกล่าวไว้แล้วว่า "ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน
หัวใจไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ซึ่งรักพระองค์ "......
โอ้! ช่างเป็นพระมหากรุณาอันเหลือเชื่อที่โปรดประทานพระพรให้แก่ผู้ที่รักพระองค์อย่างจริงใจ !
โอ้ วิญญาณบนโลกที่ได้รับสิทธิพิเศษของพระองค์เหล่านี้ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร ! และวิญญาณ
เช่นนี้ได้แก่บรรดาวิญญาณที่ตํ่าต้อย และสุภาพอ่อนโยน....
การได้เห็นพระบารมียิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งดิฉันเริ่มเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และซึ่งบรรดาจิตศักดิ์สิทธิ์
ในสวรรค์ต่างพากันสักการะพระองค์ตามแต่พระหรรษทาน ที่เขาเหล่านั้นได้รับ วิญญาณดิฉันเต็มเปี่ยม
ด้วยสันติสุข และความรัก และยิ่งดิฉันได้มารู้จักความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ดิฉันก็ยิ่งปิติยินดีที่พระองค์
เป็นอย่างที่พระองค์ทรงเป็น....
ข้าแต่พระเจ้าลูกสงสารคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อในชีวิตนิรันดร ดิฉันหมั่นสวดภาวนาให้แก่เขาเหล่านั้น
เพื่อให้รังสีพระเมตตาโอบคลุมพวกเขาไว้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเรี่ยวแรงของเธอถดถอยลงเรื่อย ๆ เธอสังเกตว่าเธอเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองง่ายเกินไปกับทุกเรื่อง
และเธอควรระวังตัวให้มากขึ้น เธอบันทึกว่า : เรื่องที่ดิฉันไม่เคยใส่ใจในตอนที่ สุขภาพแข็งแรงดี
กลับทำให้ดิฉันเป็นทุกข์เป็นร้อนในวันนี้ " เธอภาวนาขอพละกำลังให้เธอได้รับชัยชนะในการสู้รบวันนั้น
ในเวลาเดียวกันเธอก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเจ็บป่วย และความไม่สะดวกสบายฝ่ายกาย เพราะบัดนี้
มันทำให้เธอมีเวลาอยู่กับพระเจ้าได้คราวละหลายชั่วโมง แต่ช่วงเวลาหลายชั่วโมงนี้ก็ผ่านไปรวดเร็ว
เหมือนไม่กี่นาที เธอลืมเวลาไปแล้ว.....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 38 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ภาพนิมิตสวรรค์ ก่อนหน้านี้ ซิสเตอร์โฟสตินา ได้เห็นภาพนิมิตของไฟชำระกับนรก
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ขณะที่เธอต้องนอนพักรักษาตัว เธอบันทึกภาพนิมิตของสวรรค์ไว้ดังนี้ :
วันนี้จิตดิฉันไปอยู่ในแดนสวรรค์ ดิฉันได้เห็นความงามน่าพิศวงและความปิติสุขซึ่งรอคอย
เราอยู่เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ดิฉันได้เห็นสิ่งสร้างทั้งปวงแซ่ซ้องสรรเสริญพระเจ้าไม่ขาดสาย
ดิฉันได้เห็นความบรมสุขนี้ในพระเจ้าซึ่งแผ่กระจายไปยังสรรพชีวิตบันดาลให้สิ่งสร้างเหล่านั้น
เบิกบาน จากนั้น พระสิริรุ่งโรจน์และคำถวายพระพรซึ่งพรั่งพรูออกมาจากความสุขนี้ได้ย้อนกลับ
ไปหาพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นธารความปิติสุข พวกเขาได้เข้าไปในความล้ำลึกของพระเจ้า เพิ่งพิศ
ชีวิตภายในพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระจิต ผู้ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจหรือหยั่งถึงได้....
แก่นแท้ของบ่อเกิดแห่งความปิติสุขนี้ไม่มีวันผันแปร แต่เป็นสิ่งใหม่ที่นำความสุขมาสู่สรรพ
ชีวิตเสมอ บัดนี้ดิฉันเข้าใจที่ท่านนักบุญเปาโลกล่าวไว้แล้วว่า "ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน
หัวใจไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ซึ่งรักพระองค์ "......
โอ้! ช่างเป็นพระมหากรุณาอันเหลือเชื่อที่โปรดประทานพระพรให้แก่ผู้ที่รักพระองค์อย่างจริงใจ !
โอ้ วิญญาณบนโลกที่ได้รับสิทธิพิเศษของพระองค์เหล่านี้ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร ! และวิญญาณ
เช่นนี้ได้แก่บรรดาวิญญาณที่ตํ่าต้อย และสุภาพอ่อนโยน....
การได้เห็นพระบารมียิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งดิฉันเริ่มเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และซึ่งบรรดาจิตศักดิ์สิทธิ์
ในสวรรค์ต่างพากันสักการะพระองค์ตามแต่พระหรรษทาน ที่เขาเหล่านั้นได้รับ วิญญาณดิฉันเต็มเปี่ยม
ด้วยสันติสุข และความรัก และยิ่งดิฉันได้มารู้จักความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ดิฉันก็ยิ่งปิติยินดีที่พระองค์
เป็นอย่างที่พระองค์ทรงเป็น....
ข้าแต่พระเจ้าลูกสงสารคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อในชีวิตนิรันดร ดิฉันหมั่นสวดภาวนาให้แก่เขาเหล่านั้น
เพื่อให้รังสีพระเมตตาโอบคลุมพวกเขาไว้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเรี่ยวแรงของเธอถดถอยลงเรื่อย ๆ เธอสังเกตว่าเธอเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองง่ายเกินไปกับทุกเรื่อง
และเธอควรระวังตัวให้มากขึ้น เธอบันทึกว่า : เรื่องที่ดิฉันไม่เคยใส่ใจในตอนที่ สุขภาพแข็งแรงดี
กลับทำให้ดิฉันเป็นทุกข์เป็นร้อนในวันนี้ " เธอภาวนาขอพละกำลังให้เธอได้รับชัยชนะในการสู้รบวันนั้น
ในเวลาเดียวกันเธอก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเจ็บป่วย และความไม่สะดวกสบายฝ่ายกาย เพราะบัดนี้
มันทำให้เธอมีเวลาอยู่กับพระเจ้าได้คราวละหลายชั่วโมง แต่ช่วงเวลาหลายชั่วโมงนี้ก็ผ่านไปรวดเร็ว
เหมือนไม่กี่นาที เธอลืมเวลาไปแล้ว.....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 38 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (38 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ในสถานที่สันโดษที่พระเยซูเจ้าโปรดให้เธอมาอยู่นี้ พระองค์สอนและโปรดให้เธอเข้าใจ
ธรรมล้ำลึกเหนือความเข้าใจ เธอบันทึกว่า :
มีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งซึ่งร้อยรัดดิฉันให้ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้
แม้แต่ทูตสวรรค์ และแม้ว่าดิฉันต้องการจะบอกเล่าเรื่องเหล่านี้ ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร
แต่กระนั้น ธรรมล้ำลึกจะหล่อเลี้ยงชีวิตของดิฉันตลอดไป ธรรมล้ำลึกนี้จะทำให้ดิฉันแตกต่างจาก
วิญญาณอื่น ทั้งที่อยู่บนโลกนี้ และในนิรันดรภาพ...
จากนั้น เธอได้บรรยายถึงวันตายของเธออย่างมีความสุขว่า โอ้วันปลอดโปร่งแจ่มใส วันซึ่งความ
ใฝ่ฝันทั้งหมดของดิฉันจะกลายเป็นจริง วันสุดท้ายปลายชีวิตที่ดิฉันปรารถนายิ่ง ดิฉันรอคอยด้วย
ความยินดี ซึ่งจะทำให้วิญญาณของดิฉันมีความงามที่เป็นเลิศผิดแผกไปจากความงามของวิญญาณอื่น ๆ
โอ้วันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะตอกย้ำความรักมั่นคงของพระเจ้าในตัวดิฉัน ข้าแต่พระจิตของพระเจ้า โปรดสอน
และปั้นแต่งวิญญาณของลูกด้วยพระองค์เอง เพื่อให้บทเพลงจากวิญญาณลูกนั้นเป็นที่พอพระทัยพระตรี
เอกภาพศักดิ์สิทธิ์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา ลูกจะเพียรทนรอคอยการเสด็จมาของ
พระองค์ และสำหรับความเจ็บปวดที่น่ากลัว กับความกล้วตายนั้นเล่า ลูกวางใจในความลึกล้ำแห่ง
พระเมตตาของพระองค์ในเวลานั้นเสียยิ่งกว่าในช่วงเวลาอื่นใด ข้าแต่พระเยซูผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา
พระผู้ไถ่ผู้ทรงพระทัยดี โปรดระลึกถึงคำสัญญาทั้งหมดที่พระองค์ให้ไว้แก่ลูกเถิด....
ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลเธอได้รับพระหรรษทานพิเศษให้ตระหนักรู้ว่าคนใกล้ตายต้องการคำภาวนา
ตลอดจนทราบถึงประสิทธิภาพของบทสายประคำพระเมตตาดังได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เมื่อนั้น เธอจะ
ภาวนาจนเธอรู้สึกว่าวิญญาณของเธอมีสันติสุข ซึ่งใช้เวลานานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่วิญญาณ
เข้าตรีทูต พระเจ้าโปรดให้เธอมีสายสัมพันธ์พิเศษกับคนใกล้ตาย....
ข้าแต่พระเจ้าแห่งความเมตตาอันล้ำลึกสุดคณนา ผู้ทรงยินยอมให้ลูกบรรเทาทุกข์ และช่วยเหลือคน
ใกล้ตายด้วยคำภาวนาอันไม่ควรค่าของลูก ขอทรงได้รับการถวายพรมากมายหลายหมื่นครั้งเท่าจำนวน
ดวงดาวบนผืนฟ้า และหยดน้ำในมหาสมุทร ! ขอให้พระเมตตาของพระองค์จงเกริกก้องกังวานในห้วงพิภพ
และล่องลอยขึ้นไปถึงเชิงพระบัลลังก์เพื่อสรรเสริญ คุณลักษณะอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์
คือความเมตตาเหนือความเข้าใจของพระองค์....
ระหว่างสองสัปดาห์แรกที่เธออยู่ในโรงพยาบาล ซิสเตอร์โฟสตินาทนรับความทุกข์ เสนอวิงวอนและ
ภาวนา เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ฯ เธอจึงเตรียมตัวรับเสด็จพระเยซูเจ้า แม่พระสอน
เธอให้เจริญชีวิตภายในร่วมกับพระเยซูเจ้าโดยเฉพาะระหว่างรับศีลมหาสนิทว่า "เพียงในนิรันดรภาพเท่านั้น
ที่เราจะเข้าใจธรรมล้ำลึกยิ่งใหญ่ที่ศิลมหาสนิทก่อให้เกิดขึ้นในตัวเราได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด
ในชีวิตของดิฉัน...
ข้าแต่พระนางพรหมจารีมารีย์ พระแม่บริสุทธิ์ดั่งหยาดเพชร และเปี่ยมด้วยพระเจ้า ลูกของฝากชีวิต
ฝ่ายจิตไว้กับพระแม่ โปรดจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระบุตรของพระแม่ด้วยเทอญ....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 39 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: ในสถานที่สันโดษที่พระเยซูเจ้าโปรดให้เธอมาอยู่นี้ พระองค์สอนและโปรดให้เธอเข้าใจ
ธรรมล้ำลึกเหนือความเข้าใจ เธอบันทึกว่า :
มีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งซึ่งร้อยรัดดิฉันให้ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้
แม้แต่ทูตสวรรค์ และแม้ว่าดิฉันต้องการจะบอกเล่าเรื่องเหล่านี้ ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร
แต่กระนั้น ธรรมล้ำลึกจะหล่อเลี้ยงชีวิตของดิฉันตลอดไป ธรรมล้ำลึกนี้จะทำให้ดิฉันแตกต่างจาก
วิญญาณอื่น ทั้งที่อยู่บนโลกนี้ และในนิรันดรภาพ...
จากนั้น เธอได้บรรยายถึงวันตายของเธออย่างมีความสุขว่า โอ้วันปลอดโปร่งแจ่มใส วันซึ่งความ
ใฝ่ฝันทั้งหมดของดิฉันจะกลายเป็นจริง วันสุดท้ายปลายชีวิตที่ดิฉันปรารถนายิ่ง ดิฉันรอคอยด้วย
ความยินดี ซึ่งจะทำให้วิญญาณของดิฉันมีความงามที่เป็นเลิศผิดแผกไปจากความงามของวิญญาณอื่น ๆ
โอ้วันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะตอกย้ำความรักมั่นคงของพระเจ้าในตัวดิฉัน ข้าแต่พระจิตของพระเจ้า โปรดสอน
และปั้นแต่งวิญญาณของลูกด้วยพระองค์เอง เพื่อให้บทเพลงจากวิญญาณลูกนั้นเป็นที่พอพระทัยพระตรี
เอกภาพศักดิ์สิทธิ์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา ลูกจะเพียรทนรอคอยการเสด็จมาของ
พระองค์ และสำหรับความเจ็บปวดที่น่ากลัว กับความกล้วตายนั้นเล่า ลูกวางใจในความลึกล้ำแห่ง
พระเมตตาของพระองค์ในเวลานั้นเสียยิ่งกว่าในช่วงเวลาอื่นใด ข้าแต่พระเยซูผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา
พระผู้ไถ่ผู้ทรงพระทัยดี โปรดระลึกถึงคำสัญญาทั้งหมดที่พระองค์ให้ไว้แก่ลูกเถิด....
ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลเธอได้รับพระหรรษทานพิเศษให้ตระหนักรู้ว่าคนใกล้ตายต้องการคำภาวนา
ตลอดจนทราบถึงประสิทธิภาพของบทสายประคำพระเมตตาดังได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เมื่อนั้น เธอจะ
ภาวนาจนเธอรู้สึกว่าวิญญาณของเธอมีสันติสุข ซึ่งใช้เวลานานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่วิญญาณ
เข้าตรีทูต พระเจ้าโปรดให้เธอมีสายสัมพันธ์พิเศษกับคนใกล้ตาย....
ข้าแต่พระเจ้าแห่งความเมตตาอันล้ำลึกสุดคณนา ผู้ทรงยินยอมให้ลูกบรรเทาทุกข์ และช่วยเหลือคน
ใกล้ตายด้วยคำภาวนาอันไม่ควรค่าของลูก ขอทรงได้รับการถวายพรมากมายหลายหมื่นครั้งเท่าจำนวน
ดวงดาวบนผืนฟ้า และหยดน้ำในมหาสมุทร ! ขอให้พระเมตตาของพระองค์จงเกริกก้องกังวานในห้วงพิภพ
และล่องลอยขึ้นไปถึงเชิงพระบัลลังก์เพื่อสรรเสริญ คุณลักษณะอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์
คือความเมตตาเหนือความเข้าใจของพระองค์....
ระหว่างสองสัปดาห์แรกที่เธออยู่ในโรงพยาบาล ซิสเตอร์โฟสตินาทนรับความทุกข์ เสนอวิงวอนและ
ภาวนา เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ฯ เธอจึงเตรียมตัวรับเสด็จพระเยซูเจ้า แม่พระสอน
เธอให้เจริญชีวิตภายในร่วมกับพระเยซูเจ้าโดยเฉพาะระหว่างรับศีลมหาสนิทว่า "เพียงในนิรันดรภาพเท่านั้น
ที่เราจะเข้าใจธรรมล้ำลึกยิ่งใหญ่ที่ศิลมหาสนิทก่อให้เกิดขึ้นในตัวเราได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด
ในชีวิตของดิฉัน...
ข้าแต่พระนางพรหมจารีมารีย์ พระแม่บริสุทธิ์ดั่งหยาดเพชร และเปี่ยมด้วยพระเจ้า ลูกของฝากชีวิต
ฝ่ายจิตไว้กับพระแม่ โปรดจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระบุตรของพระแม่ด้วยเทอญ....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 39 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 39 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ในวันที่ 27 ธันวาคม ซิสเตอร์เดเมียน ขับรถพา ซิสเตอร์โฟสตินากลับไปส่ง ที่สถานพยาบาล
ความกระหายหาพระเจ้าที่เพิ่มพูนขึ้นในช่วงวันหยุดไม่ได้ลดน้อยลงเลย จิตของเธอพุ่งไปหา
พระเจ้าทุกครั้งที่ได้ยินพระนามของพระเยซูเจ้า
วันต่อมา เธอได้เริ่มทำนพวารพระเมตตาเพื่ออัครสังฆราช แห่งวิลนีอุส และ คุณพ่อโซปอชโก
โดยขอให้พระเยซูเจ้าทรงดลใจท่านอัครสังฆราชให้อนุมัติเรื่องการสวดสายประคำพระเมตตา
และภาพวาดโดยเร็ว การทำนพวารนั้นรวมถึงการสวดสายประคำที่พระเยซูเจ้าสอนเธอ เธอตั้ง
จิตภาวนาอยู่เบื้องหน้าภาพพระเมตตา ในวันที่สองของการทำนพวาร เธอเห็นภาพวาดกลับมีชีวิต
ภาพนั้นประดับด้วยตะเกียงนับไม่ถ้วน เธอเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังขอความช่วยเหลือจากภาพนี้
ในจำนวนนี้มีคนมากมายที่อิ่มเอิบใจด้วยความสุข....
หลังรับศีลมหาสนิท เธอได้ยินเสียงหนึ่งพูดในวิญญาณว่า ลูกรัก จงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเรา
จะมาโดยไม่คาดฝัน เธอทูลว่า "พระเยซูเจ้าข้า พระองค์ไม่ประสงค์จะแจ้งเวลาที่ลูกตั้งตารอคอยนี้หรือ"
ลูกรัก นี่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกเอง ลูกจะได้รู้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ จงเฝ้าดูเถิด....
เธอทูลว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดปฏิบัติต่อลูกตามที่พระองค์พอพระทัยเถิด ลูกรู้ว่าพระองค์คือ
พระมหาไถ่ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระองค์จะเป็นเช่นนั้นในเรื่องของลูกไม่มีเปลี่ยนแปลง เมื่อถึง
เวลาที่ลูกจะตาย หากในเวลานี้พระองค์ยังแสดงความรักต่อลูกมากมายเป็นพิเศษ ทั้งทรงลดองค์ลงมา
ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแบบนี้ และด้วยความกรุณาปราณีขนาดนี้แล้ว ลูกคาดการณ์ว่าลูกจะได้รับ
มากยิ่งกว่านี้อีกในเวลาที่ลูกจะตาย... ขอ โปรดเสด็จมาตามที่พระองค์ปรารถนาเถิด ข้าแต่พระบิดา
แห่งความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุด ลูกของพระองค์คนนี้กำลังเฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระองค์....
ระหว่างการฟื้นฟูจิตใจหนึ่งวันในวันที่ 30 ธันวาคม ซิสเตอร์โฟสตินา เพ่งพิศคุณประโยชน์ต่าง ๆ
ที่พระเจ้าทุ่มเทให้เธอตลอดปี 1936 เธอนมัสการและขอบคุณพระเจ้าหนึ่งชั่วโมงเต็ม เธอคิดในใจ
"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ถูกรวมไว้ในห้วงลึกแห่งนิรันดรภาพแล้วโดยไม่มีสิ่งใดสูญหายไป
ดิฉันดีใจที่จะไม่มีสิ่งใดสูญหายไปเลย....
วันที่ 31 ธันวาคม 1936 ซิสเตอร์โฟสตินาอุทิศคำภาวนาเพื่อบืดา มารดา และ ญาติพี่น้อง
คุณแม่เจ้าคณะและชาวคณะทุกคนเยาวชน หญิงในความดูแลของคณะ ตลอดจนพระสงฆ์สามองค์
ที่มีพระคุณต่อเธอมากมาย จากนั้น เธอได้ยกถวายชาวโลกทั้งหมด ขอบคุณในความเมตตาสุด
จะหยั่งถึงได้ของพระเจ้าสำหรับพระหรรษทานทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่คนทั้งหลาย ทั้งขอให้
พระองค์ยกโทษให้เขาเหล่านั้นสำหรับทุกสิ่งที่กระทำล่วงเกินพระองค์....
ซิสเตอร์กล่าวอำลาปีเก่าเมื่อเวลาเที่ยงคืน และต้อน รับปี 1937ด้วย เธอวิตกกังวลกับสิ่งที่รอ
เธออยู่เบื้องหน้า เธอภาวนา "พระเยซูผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ลูกจะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งและ
การต่อสู้อย่างกล้าหาญพร้อมกับพระองค์ ลูกจะทำทุกเรื่องให้สำเร็จและเอาชนะทุกสิ่งในนามของ
พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงกรุณาไม่มีที่สิ้นสุด ลูกวิงวอนพระองค์ โปรดให้พระเมตตาเหลือคณานับ
ของพระองค์ร่วมทางไปกับลูกทุกเวลา และในทุกสิ่งด้วยเทอญ"....
พระเยซูเจ้าทรงทำให้เธอหายกลัวระหว่างที่ภาวนา และโปรดให้เธอรู้ว่างานเผยแพร่พระเมตตา
จะเป็นการถวายพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่แด่พระองค์ ประสบการณ์นี้ กระตุ้นให้เธอบันทึกว่า
"มีบางช่วงในชีวิตที่วิญญาณพบความบรรเทาใจได้จากการภาวนาที่ลึกซึ้งเท่านั้น ขอเพียงให้วิญญาณ
เหล่านี้รู้ว่าควรพากเพียรภาวนาอย่างไรในเวลาเช่นนั้นเถิด เรื่องนี้สำคัญมาก "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 40 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ในวันที่ 27 ธันวาคม ซิสเตอร์เดเมียน ขับรถพา ซิสเตอร์โฟสตินากลับไปส่ง ที่สถานพยาบาล
ความกระหายหาพระเจ้าที่เพิ่มพูนขึ้นในช่วงวันหยุดไม่ได้ลดน้อยลงเลย จิตของเธอพุ่งไปหา
พระเจ้าทุกครั้งที่ได้ยินพระนามของพระเยซูเจ้า
วันต่อมา เธอได้เริ่มทำนพวารพระเมตตาเพื่ออัครสังฆราช แห่งวิลนีอุส และ คุณพ่อโซปอชโก
โดยขอให้พระเยซูเจ้าทรงดลใจท่านอัครสังฆราชให้อนุมัติเรื่องการสวดสายประคำพระเมตตา
และภาพวาดโดยเร็ว การทำนพวารนั้นรวมถึงการสวดสายประคำที่พระเยซูเจ้าสอนเธอ เธอตั้ง
จิตภาวนาอยู่เบื้องหน้าภาพพระเมตตา ในวันที่สองของการทำนพวาร เธอเห็นภาพวาดกลับมีชีวิต
ภาพนั้นประดับด้วยตะเกียงนับไม่ถ้วน เธอเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังขอความช่วยเหลือจากภาพนี้
ในจำนวนนี้มีคนมากมายที่อิ่มเอิบใจด้วยความสุข....
หลังรับศีลมหาสนิท เธอได้ยินเสียงหนึ่งพูดในวิญญาณว่า ลูกรัก จงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเรา
จะมาโดยไม่คาดฝัน เธอทูลว่า "พระเยซูเจ้าข้า พระองค์ไม่ประสงค์จะแจ้งเวลาที่ลูกตั้งตารอคอยนี้หรือ"
ลูกรัก นี่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกเอง ลูกจะได้รู้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ จงเฝ้าดูเถิด....
เธอทูลว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดปฏิบัติต่อลูกตามที่พระองค์พอพระทัยเถิด ลูกรู้ว่าพระองค์คือ
พระมหาไถ่ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระองค์จะเป็นเช่นนั้นในเรื่องของลูกไม่มีเปลี่ยนแปลง เมื่อถึง
เวลาที่ลูกจะตาย หากในเวลานี้พระองค์ยังแสดงความรักต่อลูกมากมายเป็นพิเศษ ทั้งทรงลดองค์ลงมา
ชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแบบนี้ และด้วยความกรุณาปราณีขนาดนี้แล้ว ลูกคาดการณ์ว่าลูกจะได้รับ
มากยิ่งกว่านี้อีกในเวลาที่ลูกจะตาย... ขอ โปรดเสด็จมาตามที่พระองค์ปรารถนาเถิด ข้าแต่พระบิดา
แห่งความเมตตาไม่มีที่สิ้นสุด ลูกของพระองค์คนนี้กำลังเฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระองค์....
ระหว่างการฟื้นฟูจิตใจหนึ่งวันในวันที่ 30 ธันวาคม ซิสเตอร์โฟสตินา เพ่งพิศคุณประโยชน์ต่าง ๆ
ที่พระเจ้าทุ่มเทให้เธอตลอดปี 1936 เธอนมัสการและขอบคุณพระเจ้าหนึ่งชั่วโมงเต็ม เธอคิดในใจ
"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ถูกรวมไว้ในห้วงลึกแห่งนิรันดรภาพแล้วโดยไม่มีสิ่งใดสูญหายไป
ดิฉันดีใจที่จะไม่มีสิ่งใดสูญหายไปเลย....
วันที่ 31 ธันวาคม 1936 ซิสเตอร์โฟสตินาอุทิศคำภาวนาเพื่อบืดา มารดา และ ญาติพี่น้อง
คุณแม่เจ้าคณะและชาวคณะทุกคนเยาวชน หญิงในความดูแลของคณะ ตลอดจนพระสงฆ์สามองค์
ที่มีพระคุณต่อเธอมากมาย จากนั้น เธอได้ยกถวายชาวโลกทั้งหมด ขอบคุณในความเมตตาสุด
จะหยั่งถึงได้ของพระเจ้าสำหรับพระหรรษทานทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่คนทั้งหลาย ทั้งขอให้
พระองค์ยกโทษให้เขาเหล่านั้นสำหรับทุกสิ่งที่กระทำล่วงเกินพระองค์....
ซิสเตอร์กล่าวอำลาปีเก่าเมื่อเวลาเที่ยงคืน และต้อน รับปี 1937ด้วย เธอวิตกกังวลกับสิ่งที่รอ
เธออยู่เบื้องหน้า เธอภาวนา "พระเยซูผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ลูกจะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งและ
การต่อสู้อย่างกล้าหาญพร้อมกับพระองค์ ลูกจะทำทุกเรื่องให้สำเร็จและเอาชนะทุกสิ่งในนามของ
พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงกรุณาไม่มีที่สิ้นสุด ลูกวิงวอนพระองค์ โปรดให้พระเมตตาเหลือคณานับ
ของพระองค์ร่วมทางไปกับลูกทุกเวลา และในทุกสิ่งด้วยเทอญ"....
พระเยซูเจ้าทรงทำให้เธอหายกลัวระหว่างที่ภาวนา และโปรดให้เธอรู้ว่างานเผยแพร่พระเมตตา
จะเป็นการถวายพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่แด่พระองค์ ประสบการณ์นี้ กระตุ้นให้เธอบันทึกว่า
"มีบางช่วงในชีวิตที่วิญญาณพบความบรรเทาใจได้จากการภาวนาที่ลึกซึ้งเท่านั้น ขอเพียงให้วิญญาณ
เหล่านี้รู้ว่าควรพากเพียรภาวนาอย่างไรในเวลาเช่นนั้นเถิด เรื่องนี้สำคัญมาก "....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 40 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 40 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันที่ 22 มกราคม แพทย์ไม่ยอมให้ซิสเตอร์โฟสตินา ไปร่วมมิสซา แต่ให้ไปรับศีลมหาสนิท
ได้เท่านั้น เธอบอกเรื่องนี้กับพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป ท่านเห็นด้วยกับแพทย์และบอกเธอว่า
"ซิสเตอร์ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอหายป่วย และเธอต้องไม่รับอาสาทรมานกาย
ทุกประเภท จงนบนอบเถิด แล้วพระเจ้าจะทรงให้รางวัลเธอสำหรับความนบนอบนี้" เธอถือว่า
คำพูดของพระสงฆ์คือพระดำรัสของพระเยซูเจ้า แม้เธอจะเศร้าใจที่ขาดมิสซาเนื่องจากพระเจ้า
ได้ประทานพระหรรษทานให้เธอเห็นพระกุมารเยซูแล้ว แต่เธอก็ยกให้ความนบนอบอยู่เหนือทุกสิ่ง
ขณะภาวนาหลังการสารภาพบาป เธอเห็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสว่า ลูกเอ๋ย จงรู้ไว้เถิดว่าลูก
ถวายสิริรุ่งโรจน์แก่เราด้วยการแสดงความนบนอบเพียงเรื่องเดียว ได้มากยิ่งกว่าด้วยการภาวนา
ตลอดจนการทรมานกายเป็นเวลานาน ๆ เสียอีก....
วันที่ 23 มกราคม เธอรู้สึกว่าไม่อยากเขียนหนังสือ บางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดที่กำเริบขึ้น
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จากนั้นเธอได้ยินเสียงในวิญญาณว่า : ลูกรักลูกมิได้มีชีวิตเพื่อตนเอง
แต่เพื่อวิญญาณทั้งหลายจงเขียนเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ลูกก็รู้ว่าความประสงค์ของเราเกี่ยวกับ
การเขียนบันทึกนี้ได้รับการยืนยันหลายครั้งจากพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของลูก ลูกรู้ว่าสิ่งใดที่เราพอใจ
และถ้าลูกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เราพูด ลูกก็รู้อีกว่าลูกควรถามใคร เราให้ความสว่างแก่เขาในการ
วินิจฉัยกรณีของเราได้ เราเฝ้ามองเขาอยู่.... จงให้คำตัดสินของเขาอยู่เหนือทุกสิ่งที่เราเรียกร้อง
เขาจะชี้นำลูกตามที่เราต้องการ หากเขาไม่ยินยอมให้ลูกปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของเรา ก็จงมี
สันติสุขเถิด เราจะไม่ตัดสินลูก แต่นี่จะเป็นเรื่องระหว่างเรากับเขา ลูกเพียงแต่ต้องนบนอบเท่านั้น....
สองวันต่อมา เธอยังจมอยู่ในความทุกข์และความขมขื่น เธอบันทึกว่า "พระเยซูเจ้าของลูก วันนี้
ไม่ว่าใครก็เติมความขมขื่นให้ลูกได้ทั้งนั้น พวกเขาสามารถทำให้ลูกเจ็บปวดได้ไม่ว่าเขาจะเป็น
มิตรหรือศัตรู... โอ้ศิลศักดิ์สิทธิ์ โปรดค้ำจุนลูกและปิดปากลูกมิให้ พรํ่าบ่นและโอดครวญเถิด ".....
หลังจากนั้นสองวัน อาการของเธอกระเตื้องขึ้นจนเธอรู้สึกเกือบเป็นปกติ เธอบันทึกว่า : พระเยซูเจ้า
ทรงนำดิฉันจากประตูสู่ความตายมาสู่ชีวิต เพราะดิฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้วเว้นแต่ความตาย ดูเอาเถิด
องค์พระผู้เป็นเจ้ากรุณาประทานความเต็มเปี่ยมแห่งชีวิตให้แก่ดิฉัน "....
พระองค์จะไม่ปล่อยดิฉันไว้ในแดนเนรเทศอีกต่อไป เพราะสวรรค์คือบ้านของดิฉัน แต่ก่อนที่เรา
กลับบ้านเกิดของเรานั้น เราต้องปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในโลกนี้เสียก่อน กล่าวคือเรา
ต้องเผชิญกับความทุกข์ และ ความยากลำบากต่าง ๆ เสียก่อน... ดิฉันปรารถนาความตายเหลือเกิน !
ดิฉันไม่รู้ว่าดิฉันจะมีความปรารถนาพระเจ้ามากเช่นนี้ได้อีกในชีวิตนี้หรือไม่.... โลกนี้น่าชังเหลือเกิน
เมื่อเรารู้จักสวรรค์แล้ว ดิฉันต้องทำร้ายตนเองเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป พระประ สงค์ของพระเจ้า คือ
อาหารหล่อเลี้ยงดิฉัน ".....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 41 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันที่ 22 มกราคม แพทย์ไม่ยอมให้ซิสเตอร์โฟสตินา ไปร่วมมิสซา แต่ให้ไปรับศีลมหาสนิท
ได้เท่านั้น เธอบอกเรื่องนี้กับพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป ท่านเห็นด้วยกับแพทย์และบอกเธอว่า
"ซิสเตอร์ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอหายป่วย และเธอต้องไม่รับอาสาทรมานกาย
ทุกประเภท จงนบนอบเถิด แล้วพระเจ้าจะทรงให้รางวัลเธอสำหรับความนบนอบนี้" เธอถือว่า
คำพูดของพระสงฆ์คือพระดำรัสของพระเยซูเจ้า แม้เธอจะเศร้าใจที่ขาดมิสซาเนื่องจากพระเจ้า
ได้ประทานพระหรรษทานให้เธอเห็นพระกุมารเยซูแล้ว แต่เธอก็ยกให้ความนบนอบอยู่เหนือทุกสิ่ง
ขณะภาวนาหลังการสารภาพบาป เธอเห็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสว่า ลูกเอ๋ย จงรู้ไว้เถิดว่าลูก
ถวายสิริรุ่งโรจน์แก่เราด้วยการแสดงความนบนอบเพียงเรื่องเดียว ได้มากยิ่งกว่าด้วยการภาวนา
ตลอดจนการทรมานกายเป็นเวลานาน ๆ เสียอีก....
วันที่ 23 มกราคม เธอรู้สึกว่าไม่อยากเขียนหนังสือ บางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดที่กำเริบขึ้น
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จากนั้นเธอได้ยินเสียงในวิญญาณว่า : ลูกรักลูกมิได้มีชีวิตเพื่อตนเอง
แต่เพื่อวิญญาณทั้งหลายจงเขียนเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ลูกก็รู้ว่าความประสงค์ของเราเกี่ยวกับ
การเขียนบันทึกนี้ได้รับการยืนยันหลายครั้งจากพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของลูก ลูกรู้ว่าสิ่งใดที่เราพอใจ
และถ้าลูกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เราพูด ลูกก็รู้อีกว่าลูกควรถามใคร เราให้ความสว่างแก่เขาในการ
วินิจฉัยกรณีของเราได้ เราเฝ้ามองเขาอยู่.... จงให้คำตัดสินของเขาอยู่เหนือทุกสิ่งที่เราเรียกร้อง
เขาจะชี้นำลูกตามที่เราต้องการ หากเขาไม่ยินยอมให้ลูกปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของเรา ก็จงมี
สันติสุขเถิด เราจะไม่ตัดสินลูก แต่นี่จะเป็นเรื่องระหว่างเรากับเขา ลูกเพียงแต่ต้องนบนอบเท่านั้น....
สองวันต่อมา เธอยังจมอยู่ในความทุกข์และความขมขื่น เธอบันทึกว่า "พระเยซูเจ้าของลูก วันนี้
ไม่ว่าใครก็เติมความขมขื่นให้ลูกได้ทั้งนั้น พวกเขาสามารถทำให้ลูกเจ็บปวดได้ไม่ว่าเขาจะเป็น
มิตรหรือศัตรู... โอ้ศิลศักดิ์สิทธิ์ โปรดค้ำจุนลูกและปิดปากลูกมิให้ พรํ่าบ่นและโอดครวญเถิด ".....
หลังจากนั้นสองวัน อาการของเธอกระเตื้องขึ้นจนเธอรู้สึกเกือบเป็นปกติ เธอบันทึกว่า : พระเยซูเจ้า
ทรงนำดิฉันจากประตูสู่ความตายมาสู่ชีวิต เพราะดิฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้วเว้นแต่ความตาย ดูเอาเถิด
องค์พระผู้เป็นเจ้ากรุณาประทานความเต็มเปี่ยมแห่งชีวิตให้แก่ดิฉัน "....
พระองค์จะไม่ปล่อยดิฉันไว้ในแดนเนรเทศอีกต่อไป เพราะสวรรค์คือบ้านของดิฉัน แต่ก่อนที่เรา
กลับบ้านเกิดของเรานั้น เราต้องปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในโลกนี้เสียก่อน กล่าวคือเรา
ต้องเผชิญกับความทุกข์ และ ความยากลำบากต่าง ๆ เสียก่อน... ดิฉันปรารถนาความตายเหลือเกิน !
ดิฉันไม่รู้ว่าดิฉันจะมีความปรารถนาพระเจ้ามากเช่นนี้ได้อีกในชีวิตนี้หรือไม่.... โลกนี้น่าชังเหลือเกิน
เมื่อเรารู้จักสวรรค์แล้ว ดิฉันต้องทำร้ายตนเองเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป พระประ สงค์ของพระเจ้า คือ
อาหารหล่อเลี้ยงดิฉัน ".....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 41 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (41 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
เพื่อเป็นการชดเชยบาป ซิสเตอร์โฟสตินา ได้ถวายการรับศีลมหาสนิท และทุกสิ่งที่เธอทำ
ระหว่างสองวันนั้นเพื่อคนบาป เธอวิงวอนพระเยซูเจ้าว่า " ขอให้ลูกเป็นผู้รับโทษทัณฑ์จาก
ความเที่ยงธรรมของพระองค์ และขอให้ทะเลแห่งความเมตตาของพระองค์ไหลท่วมคนบาป
ที่น่าสงสารเถิด " พระเยซูเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนของเธอ วิญญาณจำนวนมากได้กลับมา
หาพระ แต่เธอเองกลับต้องทรมานอยู่ใต้แอกความเที่ยงธรรมของพระเจ้า เธอรู้สึกว่าเธอ
คือผู้ที่พระเจ้าสูงสุดโกรธ เธอถึงกับหดหู่ใจจนเผลอครํ่าครวญออกมา เธอเห็นพระเยซูเจ้า
พระองค์กอดเธอแนบพระทัย บอกเธอว่า อย่าร้องไห้ลูกรักเราไม่อาจทนเห็นน้ำตาของลูกได้
เราจะให้ทุกอย่างตามที่ลูกขอ แต่จงหยุดร้องไห้....
10 กุมภาพันธ์ วันพุธรับเถ้า ระหว่างพิธีมิสซา เธอสัมผัสความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าได้
ตามร่างกายเป็นช่วงสั้น ๆ เธอบันทึกว่า "มหาพรตคือช่วงเวลาพิเศษสำหรับงานของพระสงฆ์
เราควรสนับสนุนพวกท่านในการช่วยวิญญาณให้รอด " เธอเชื่อพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า
ลูกรัก จงเข้าใจ และทำตามนี้ สิ่งใดก็ตามที่ทำด้วยความนบนอบต่อผู้แทนของเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อย
สักเท่าใด ย่อมทำให้เราพอใจ และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของเรา เธออุทิศกิจการทั้งหมดนี้เพื่อ
วิงวอนขอพระเมตตาเพื่อคนบาป และเพื่อขอให้พระสงฆ์มีพลังที่จะทำให้คนบาปสำนึกกลับใจ....
ระหว่างมิสซาวันศุกร์ เธอรู้สึกเจ็บที่มือ เท้า และสีข้าง เธอถวายความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เพื่อ
คนบาป เธอสัมผัสความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีนั้นได้อย่างชัดเจน และ เป็นเวลานาน
เธอบันทึกว่า : วิญญาณ คนบาปเอ๋ย พวกท่านได้พรากพระเยซูเจ้าไปจากดิฉัน แต่ก็ไม่เป็นไร
หรอกนะ ไม่เป็นไร พวกท่านรู้แล้วสินะว่าพระเยซูเจ้าทรงพระทัยดีเพียงใด ขอให้ทะเลแห่งความ
ขมขื่นไหลท่วมหัวใจของดิฉันเถิด ดิฉันได้ยกความบรรเทาใจทั้งหมดที่ได้รับจากพระเจ้าให้ท่านแล้ว....
วันต่อมา พระเจ้าโปรดให้เธอได้รับความบรรเทาใจ เธอบันทึกว่า : วันนี้การประทับอยู่ของพระเจ้า
ทะลวงร่างของดิฉัน เหมือนรังสีจากดวงอาทิตย์ วิญญาณ ดิฉันโหยหาพระเจ้าอย่างมากจนถึงกับวูบไป
ครั้งแล้วครั้งเล่า ดิฉันรู้สึกว่าองค์ความรักนิรันดรกำลังสัมผัสหัวใจของดิฉัน และดิฉันตํ่าต้อยเกินกว่า
จะรับไหว จึงเป็นเหตุให้ดิฉันวูปไป... ธรรมล้ำลึกของวิญญาณกับพระเจ้านั้นช่างยากหยั่งถึงจริงหนอ
บางขณะวิญญาณได้แต่อัศจรรย์ใจเมื่อพิจราณา ถึงความมีอำนาจไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าที่ลดฐานะ
ลงมาเท่าเสมอระดับวิญญาณดิฉัน.....
วันอาทิตย์ระหว่างการขับ "บทเพลงครํ่าครวญ" เธอเห็นพระเยซูเจ้าถูกทรมาน ถูกจับสวมมงกุฎหนาม
และ ถือไม้อ้อ เธอบันทึกว่า : พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสสักคำ ทอดพระเนตรมายังดิฉันสายตาคู่นั้น ดิฉันรับรู้
ได้ถึงความเจ็บปวด เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าพระองค์ต้องทรมานเพื่อเรามากมายแค่ไหนก่อนถูกตรึงบนกางเขน....
ดิฉันใจสลายเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าถูกทรมาน นึกในใจว่าอะไรจะเกิดกับคนบาปหนอ ถ้าเขาไม่หา
ประโยชน์จากพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า ดิฉันมองเห็นมวลมหาสมุทรแห่งความเมตตา
ในพระมหาทรมานของพระองค์....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 42 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
เพื่อเป็นการชดเชยบาป ซิสเตอร์โฟสตินา ได้ถวายการรับศีลมหาสนิท และทุกสิ่งที่เธอทำ
ระหว่างสองวันนั้นเพื่อคนบาป เธอวิงวอนพระเยซูเจ้าว่า " ขอให้ลูกเป็นผู้รับโทษทัณฑ์จาก
ความเที่ยงธรรมของพระองค์ และขอให้ทะเลแห่งความเมตตาของพระองค์ไหลท่วมคนบาป
ที่น่าสงสารเถิด " พระเยซูเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนของเธอ วิญญาณจำนวนมากได้กลับมา
หาพระ แต่เธอเองกลับต้องทรมานอยู่ใต้แอกความเที่ยงธรรมของพระเจ้า เธอรู้สึกว่าเธอ
คือผู้ที่พระเจ้าสูงสุดโกรธ เธอถึงกับหดหู่ใจจนเผลอครํ่าครวญออกมา เธอเห็นพระเยซูเจ้า
พระองค์กอดเธอแนบพระทัย บอกเธอว่า อย่าร้องไห้ลูกรักเราไม่อาจทนเห็นน้ำตาของลูกได้
เราจะให้ทุกอย่างตามที่ลูกขอ แต่จงหยุดร้องไห้....
10 กุมภาพันธ์ วันพุธรับเถ้า ระหว่างพิธีมิสซา เธอสัมผัสความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าได้
ตามร่างกายเป็นช่วงสั้น ๆ เธอบันทึกว่า "มหาพรตคือช่วงเวลาพิเศษสำหรับงานของพระสงฆ์
เราควรสนับสนุนพวกท่านในการช่วยวิญญาณให้รอด " เธอเชื่อพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า
ลูกรัก จงเข้าใจ และทำตามนี้ สิ่งใดก็ตามที่ทำด้วยความนบนอบต่อผู้แทนของเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อย
สักเท่าใด ย่อมทำให้เราพอใจ และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของเรา เธออุทิศกิจการทั้งหมดนี้เพื่อ
วิงวอนขอพระเมตตาเพื่อคนบาป และเพื่อขอให้พระสงฆ์มีพลังที่จะทำให้คนบาปสำนึกกลับใจ....
ระหว่างมิสซาวันศุกร์ เธอรู้สึกเจ็บที่มือ เท้า และสีข้าง เธอถวายความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เพื่อ
คนบาป เธอสัมผัสความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีนั้นได้อย่างชัดเจน และ เป็นเวลานาน
เธอบันทึกว่า : วิญญาณ คนบาปเอ๋ย พวกท่านได้พรากพระเยซูเจ้าไปจากดิฉัน แต่ก็ไม่เป็นไร
หรอกนะ ไม่เป็นไร พวกท่านรู้แล้วสินะว่าพระเยซูเจ้าทรงพระทัยดีเพียงใด ขอให้ทะเลแห่งความ
ขมขื่นไหลท่วมหัวใจของดิฉันเถิด ดิฉันได้ยกความบรรเทาใจทั้งหมดที่ได้รับจากพระเจ้าให้ท่านแล้ว....
วันต่อมา พระเจ้าโปรดให้เธอได้รับความบรรเทาใจ เธอบันทึกว่า : วันนี้การประทับอยู่ของพระเจ้า
ทะลวงร่างของดิฉัน เหมือนรังสีจากดวงอาทิตย์ วิญญาณ ดิฉันโหยหาพระเจ้าอย่างมากจนถึงกับวูบไป
ครั้งแล้วครั้งเล่า ดิฉันรู้สึกว่าองค์ความรักนิรันดรกำลังสัมผัสหัวใจของดิฉัน และดิฉันตํ่าต้อยเกินกว่า
จะรับไหว จึงเป็นเหตุให้ดิฉันวูปไป... ธรรมล้ำลึกของวิญญาณกับพระเจ้านั้นช่างยากหยั่งถึงจริงหนอ
บางขณะวิญญาณได้แต่อัศจรรย์ใจเมื่อพิจราณา ถึงความมีอำนาจไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าที่ลดฐานะ
ลงมาเท่าเสมอระดับวิญญาณดิฉัน.....
วันอาทิตย์ระหว่างการขับ "บทเพลงครํ่าครวญ" เธอเห็นพระเยซูเจ้าถูกทรมาน ถูกจับสวมมงกุฎหนาม
และ ถือไม้อ้อ เธอบันทึกว่า : พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสสักคำ ทอดพระเนตรมายังดิฉันสายตาคู่นั้น ดิฉันรับรู้
ได้ถึงความเจ็บปวด เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าพระองค์ต้องทรมานเพื่อเรามากมายแค่ไหนก่อนถูกตรึงบนกางเขน....
ดิฉันใจสลายเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าถูกทรมาน นึกในใจว่าอะไรจะเกิดกับคนบาปหนอ ถ้าเขาไม่หา
ประโยชน์จากพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า ดิฉันมองเห็นมวลมหาสมุทรแห่งความเมตตา
ในพระมหาทรมานของพระองค์....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 42 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (42 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"วันฉลองพระเมตตา" วันที่ 23 มีนาคม ดิฉันพบว่าตนเองอยู่ที่กรุงโรม ในวัดน้อยของ
พระสันตะปาปา แล้วก็อยู่ในวัดน้อยของเราในเวลาเดียวกัน ดิฉันร่วมพิธีฉลองอย่างสง่าทั้ง
ที่นี่ และ ที่กรุงโรม ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการฉลองเกี่ยวข้องกันกับกรุงโรมมาก จนแม้
ขณะที่ดิฉันกำลังเขียนอยู่นี้ ดิฉันก็ยังแยกพิธีทั้งสองแห่งไม่ออก แต่ดิฉันบันทึกตามที่ดิฉันเห็น
ดิฉันเห็นพระเยซูเจ้าในวัดน้อยของเราในรัศมีบนพระแท่น วัดน้อยได้รับการประดับประดาคล้าย
กับพิธีฉลอง และในวันนั้นทุกคนที่อยากเข้ามาในวัดต่างก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ ฝูงชนที่
จำนวนมากมายมหาศาลจนโพ้นสายตา ทุกคนร่วมในพิธีด้วยความชื่นชมยินดียิ่ง หลายคนได้รับ
สิ่งที่ตนปรารถนา พิธีฉลองเดียวกันนี้เกิดขึ้นในวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งที่กรุงโรมด้วย
พระสันตะปาปาพร้อมด้วยคณะสงฆ์กำลังร่วมพิธีฉลองนี้ แล้วทันใดนั้น ดิฉันเห็นนักบุญเปโตรยืน
อยู่ระหว่างพระแท่น กับ พระสันตะปาปา ดิฉันไม่ได้ยินที่นักบุญเปโตรพูด แต่เห็นได้ว่าพระสันตะปาปา
ทรงเข้าใจ คำพูดของท่าน....
จากนั้นดิฉันเห็นลำแสงสองสายเหมือนในภาพวาดส่องออกมาจากแผ่นศิล และแผ่กระจายออกไป
ทั่วโลก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่รู้สึกเหมือนกับว่าเกิดขึ้นตลอดวัน วัดน้อยของเราคับคั่งไป
ด้วยฝูงชนตลอดวัน และตลอดวันนี้มีแต่ความชื่นชมยินดี....
ดิฉันเห็นพระเยซูเจ้าผู้ทรงชีวิตประทับอยู่บนพระแท่นของเราในลักษณะเดียวกันกับในภาพวาด
แต่ดิฉันรู้สึกว่าพวกภคินี และ ผู้คนทั้งหมดไม่ได้เห็นพระองค์อย่างที่ดิฉันเห็น พระเยซูเจ้าทรงมอง
พระสันตะปาปา พระสงฆ์บางองค์ นักบาชทั้งหมด คนทั่วไปและคณะของเราด้วยความกรุณา
และความชื่นชมยินดี...
ครั้นแล้วในชั่วพริบตา ดิฉันถูกนำตัวมาอยู่ข้างพระเยซูเจ้า และดิฉันยืนอยู่บนพระแท่นถัดจาก
พระองค์ จิตของดิฉันรู้สึกเป็นสุขเหลือล้นจนไม่อาจบรรยายได้ พระเยซูโน้มองค์ลงมาหาดิฉัน ตรัสอย่าง
เมตตาว่า "ลูกรัก ลูกปรารถนาอะไร?" ดิฉันทูลตอบว่า "ลูกปรารถนาให้พระเมตตาของพระองค์ได้รับการ
นมัสการ และ การสรรเสริญ" พระ องค์ตรัสว่า "เราได้รับการนมัสการแล้วด้วยการสถาปนา และสมโภช
วันฉลองนี้ ลูกยังปรารถนาอะไรอีก" ดิฉันจึงมองไปที่ฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังนมัสการพระเมตตาอยู่
และกราบทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดอวยพรทุกคนที่มารวมตัวกันเพื่อถวายพระสิริรุ่งโรจน์
แด่พระองค์ และมาแสดงความเคารพต่อพระเมตตาไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์เถิด" พระเยซูเจ้าทรง
ใช้พระหัตถ์ทำสำคัญมหากางเขน การอวยพรนี้สะท้อนเข้าไปในวิญญาณทั้งหลายราวกับสายฟ้า จิตของ
ดิฉันท่วมล้นด้วยความรักของพระองค์ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวได้เลือนสลายเข้าไปในพระเจ้าจนหมดสิ้น
และเมื่อดิฉันรู้สึกตัววิญญาณดิฉันท่วมล้นไปด้วยสันติสุข และดิฉันได้รับความเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง
เป็นความเข้าใจที่พระเจ้าไม่เคยประทานให้ดิฉันมาก่อนเลย....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 43 )ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
"วันฉลองพระเมตตา" วันที่ 23 มีนาคม ดิฉันพบว่าตนเองอยู่ที่กรุงโรม ในวัดน้อยของ
พระสันตะปาปา แล้วก็อยู่ในวัดน้อยของเราในเวลาเดียวกัน ดิฉันร่วมพิธีฉลองอย่างสง่าทั้ง
ที่นี่ และ ที่กรุงโรม ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการฉลองเกี่ยวข้องกันกับกรุงโรมมาก จนแม้
ขณะที่ดิฉันกำลังเขียนอยู่นี้ ดิฉันก็ยังแยกพิธีทั้งสองแห่งไม่ออก แต่ดิฉันบันทึกตามที่ดิฉันเห็น
ดิฉันเห็นพระเยซูเจ้าในวัดน้อยของเราในรัศมีบนพระแท่น วัดน้อยได้รับการประดับประดาคล้าย
กับพิธีฉลอง และในวันนั้นทุกคนที่อยากเข้ามาในวัดต่างก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ ฝูงชนที่
จำนวนมากมายมหาศาลจนโพ้นสายตา ทุกคนร่วมในพิธีด้วยความชื่นชมยินดียิ่ง หลายคนได้รับ
สิ่งที่ตนปรารถนา พิธีฉลองเดียวกันนี้เกิดขึ้นในวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งที่กรุงโรมด้วย
พระสันตะปาปาพร้อมด้วยคณะสงฆ์กำลังร่วมพิธีฉลองนี้ แล้วทันใดนั้น ดิฉันเห็นนักบุญเปโตรยืน
อยู่ระหว่างพระแท่น กับ พระสันตะปาปา ดิฉันไม่ได้ยินที่นักบุญเปโตรพูด แต่เห็นได้ว่าพระสันตะปาปา
ทรงเข้าใจ คำพูดของท่าน....
จากนั้นดิฉันเห็นลำแสงสองสายเหมือนในภาพวาดส่องออกมาจากแผ่นศิล และแผ่กระจายออกไป
ทั่วโลก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่รู้สึกเหมือนกับว่าเกิดขึ้นตลอดวัน วัดน้อยของเราคับคั่งไป
ด้วยฝูงชนตลอดวัน และตลอดวันนี้มีแต่ความชื่นชมยินดี....
ดิฉันเห็นพระเยซูเจ้าผู้ทรงชีวิตประทับอยู่บนพระแท่นของเราในลักษณะเดียวกันกับในภาพวาด
แต่ดิฉันรู้สึกว่าพวกภคินี และ ผู้คนทั้งหมดไม่ได้เห็นพระองค์อย่างที่ดิฉันเห็น พระเยซูเจ้าทรงมอง
พระสันตะปาปา พระสงฆ์บางองค์ นักบาชทั้งหมด คนทั่วไปและคณะของเราด้วยความกรุณา
และความชื่นชมยินดี...
ครั้นแล้วในชั่วพริบตา ดิฉันถูกนำตัวมาอยู่ข้างพระเยซูเจ้า และดิฉันยืนอยู่บนพระแท่นถัดจาก
พระองค์ จิตของดิฉันรู้สึกเป็นสุขเหลือล้นจนไม่อาจบรรยายได้ พระเยซูโน้มองค์ลงมาหาดิฉัน ตรัสอย่าง
เมตตาว่า "ลูกรัก ลูกปรารถนาอะไร?" ดิฉันทูลตอบว่า "ลูกปรารถนาให้พระเมตตาของพระองค์ได้รับการ
นมัสการ และ การสรรเสริญ" พระ องค์ตรัสว่า "เราได้รับการนมัสการแล้วด้วยการสถาปนา และสมโภช
วันฉลองนี้ ลูกยังปรารถนาอะไรอีก" ดิฉันจึงมองไปที่ฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังนมัสการพระเมตตาอยู่
และกราบทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดอวยพรทุกคนที่มารวมตัวกันเพื่อถวายพระสิริรุ่งโรจน์
แด่พระองค์ และมาแสดงความเคารพต่อพระเมตตาไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์เถิด" พระเยซูเจ้าทรง
ใช้พระหัตถ์ทำสำคัญมหากางเขน การอวยพรนี้สะท้อนเข้าไปในวิญญาณทั้งหลายราวกับสายฟ้า จิตของ
ดิฉันท่วมล้นด้วยความรักของพระองค์ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวได้เลือนสลายเข้าไปในพระเจ้าจนหมดสิ้น
และเมื่อดิฉันรู้สึกตัววิญญาณดิฉันท่วมล้นไปด้วยสันติสุข และดิฉันได้รับความเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง
เป็นความเข้าใจที่พระเจ้าไม่เคยประทานให้ดิฉันมาก่อนเลย....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 43 )ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 43 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: การหายป่วยเฉียบพลัน ซิสเตอร์โฟสตินา เขียนจดหมายถึง คุณพ่อโซปอชโก แต่ไม่ทันได้ส่ง
ก็ล้มป่วยลงเสียก่อน พอเธอรอสัญญาณว่าพระเจ้าต้องการให้เธอส่งจดหมายฉบับนี้หรือไม่ เธอกลับ
ป่วยหนักขึ้นอีกจนต้องนอนพักตลอดเธอไอมากจนคิดว่าถ้าอาการยังคงทรงอยู่แบบนี้ เธอคงต้อง
ขาดใจตายแน่ สองวันต่อมาเธอก็ยังต้องนอนพัก อาการไอรุนแรงทำให้เพลียจนเดินไม่ไหว
วันต่อมา เธอแทบจะไปร่วมมิสซาไม่ได้ เธอรู้สึกป่วยหนักกว่าคราวที่อยู่โรงพยาบาลเสียอีก
มีอาการหอบ และมีเสียงครืดคราดอยู่ในปอดเธอ อีกทั้งยังมีอาการปวดแปลก ๆ หลังจากรับ
ศีลมหาสนิทแล้ว เธอรู้สึกอยากภาวนาว่าดังนี้ : "พระเยซูเจ้าข้า หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์แล้ว
ขอให้พระโลหิตอันบริสุทธิ์ และสมบูรณ์ด้วยพลานามัยของพระองค์นั้น ไหลเวียนในร่างกายที่เจ็บป่วย
ของลูก ขอให้พระวรกายอันบริสุทธิ์ และ สมบูรณ์ด้วยพระพลานามัยของพระองค์ ฟื้นฟูสุขภาพที่อ่อนแอ
ของลูก ขอให้ลูกมีจิตใจที่เบิกบานผ่องใส เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ทั้งนี้ หากพระองค์มีพระประสงค์
ให้ลูกเริ่มทำงานชิ้นนี้จริง ก็จะเป็นเครื่องหมาย ชัดเจนที่บ่งบอกพระประสงค์ของพระองค์สำหรับลูก "....
ขณะที่เธอกำลังภาวนาในทำนองนี้ เธอรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างทำให้ร่าง กายของเธอกระตุก
และเธอ ก็รู้สึกสบายตัว และ หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ปอดก็โล่ง เธอไม่เจ็บปวด นี่คือสัญญาณที่เกิดขึ้น
ระหว่างทำ นพวารแด่พระจิตเจ้าวันสุดท้ายให้เธอเริ่มงานก่อตั้งคณะใหม่ พระเยซูเจ้าทำให้เธอมั่นใจขึ้น
และยืนยันสิ่งที่พระองค์เรียกร้องอย่างหนักแน่น เธออยู่ใกล้ชิดพระองค์ ตลอดวันนั้น และพูดคุยกับพระองค์
เกี่ยวกับรายละเอียด ของคณะใหม่...
ในวันรื้อฟื้นคำปฎิญาณตนเมื่อวันที่ 30 เมษายน พระเจ้าประทับอยู่ในตัวเธอ ทันทีที่เธอรู้สึกตัว
ความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในวิญญาณของเธอ เธอรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระประสงค์
ของพระเจ้า เธอได้ยินพระองค์ตรัสว่า "เราต้องการมอบพระคุณการุณย์ ให้แก่วิญญาณ ที่จะไปแก้บาป
และรับศิลมหาสนิทในวันฉลองพระเมตตาของเรา ".....
วันที่ 5 พฤษภาคม 1937 เธอมองหาความช่วยเหลือในที่แก้บาป เรื่องความรู้สึกวุ่นวายใจทุกครั้งที่
เธอขอลาออกจากคณะ พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปบอกเธอว่า เวลานี้อาจไม่เหมาะ เธอควรภาวนา และ
อดใจรอ แต่ที่แน่น ๆ ความทุกข์ใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับเธอ ....
วันต่อมาเป็นวันฉลองพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ เธอกลับเบิกบานใจขึ้นมาทันที พระเจ้าทรงสัมผัส
วิญญาณเธอ เธอสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาเจ้าครู่หนึ่ง ความรักมหาศาลต่อพระบิดาเจ้าห่อหุ้มเธอไว้จน
เธอเรียกวันนี้ว่า "ภวังค์ความรักอันต่อเนื่อง" ความรักของพระเจ้าที่มีให้เธอ ทำให้เธอมีสันติสุขใน
วิญญาณอย่างลึกล้ำ...
วันที่ 20 พฤษภาคม เธอบันทึกว่า เธอมีสุขภาพดีมาหนึ่งเดือนเต็มโดยที่เธอไม่รู้ว่าพระเยซูเจ้า
พอพระทัยอะไรมากกว่ากัน ระหว่างการรับใช้พระองค์ในยามเจ็บป่วย หรือในยามที่มีสุขภาพแข็งแรง
อย่างที่เธอขอพระองค์ไว้... เธอทูลพระองค์ว่า "พระเยซูเจ้าข้าโปรดปฏิบัติต่อลูกตามที่พระองค์พอพระทัยเถิด"
และในวันนั้น พระเยซูเจ้าโปรดให้สุขภาพของเธอทรุดลงเหมือนเดิม !....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 44 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: การหายป่วยเฉียบพลัน ซิสเตอร์โฟสตินา เขียนจดหมายถึง คุณพ่อโซปอชโก แต่ไม่ทันได้ส่ง
ก็ล้มป่วยลงเสียก่อน พอเธอรอสัญญาณว่าพระเจ้าต้องการให้เธอส่งจดหมายฉบับนี้หรือไม่ เธอกลับ
ป่วยหนักขึ้นอีกจนต้องนอนพักตลอดเธอไอมากจนคิดว่าถ้าอาการยังคงทรงอยู่แบบนี้ เธอคงต้อง
ขาดใจตายแน่ สองวันต่อมาเธอก็ยังต้องนอนพัก อาการไอรุนแรงทำให้เพลียจนเดินไม่ไหว
วันต่อมา เธอแทบจะไปร่วมมิสซาไม่ได้ เธอรู้สึกป่วยหนักกว่าคราวที่อยู่โรงพยาบาลเสียอีก
มีอาการหอบ และมีเสียงครืดคราดอยู่ในปอดเธอ อีกทั้งยังมีอาการปวดแปลก ๆ หลังจากรับ
ศีลมหาสนิทแล้ว เธอรู้สึกอยากภาวนาว่าดังนี้ : "พระเยซูเจ้าข้า หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์แล้ว
ขอให้พระโลหิตอันบริสุทธิ์ และสมบูรณ์ด้วยพลานามัยของพระองค์นั้น ไหลเวียนในร่างกายที่เจ็บป่วย
ของลูก ขอให้พระวรกายอันบริสุทธิ์ และ สมบูรณ์ด้วยพระพลานามัยของพระองค์ ฟื้นฟูสุขภาพที่อ่อนแอ
ของลูก ขอให้ลูกมีจิตใจที่เบิกบานผ่องใส เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ทั้งนี้ หากพระองค์มีพระประสงค์
ให้ลูกเริ่มทำงานชิ้นนี้จริง ก็จะเป็นเครื่องหมาย ชัดเจนที่บ่งบอกพระประสงค์ของพระองค์สำหรับลูก "....
ขณะที่เธอกำลังภาวนาในทำนองนี้ เธอรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างทำให้ร่าง กายของเธอกระตุก
และเธอ ก็รู้สึกสบายตัว และ หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ปอดก็โล่ง เธอไม่เจ็บปวด นี่คือสัญญาณที่เกิดขึ้น
ระหว่างทำ นพวารแด่พระจิตเจ้าวันสุดท้ายให้เธอเริ่มงานก่อตั้งคณะใหม่ พระเยซูเจ้าทำให้เธอมั่นใจขึ้น
และยืนยันสิ่งที่พระองค์เรียกร้องอย่างหนักแน่น เธออยู่ใกล้ชิดพระองค์ ตลอดวันนั้น และพูดคุยกับพระองค์
เกี่ยวกับรายละเอียด ของคณะใหม่...
ในวันรื้อฟื้นคำปฎิญาณตนเมื่อวันที่ 30 เมษายน พระเจ้าประทับอยู่ในตัวเธอ ทันทีที่เธอรู้สึกตัว
ความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในวิญญาณของเธอ เธอรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระประสงค์
ของพระเจ้า เธอได้ยินพระองค์ตรัสว่า "เราต้องการมอบพระคุณการุณย์ ให้แก่วิญญาณ ที่จะไปแก้บาป
และรับศิลมหาสนิทในวันฉลองพระเมตตาของเรา ".....
วันที่ 5 พฤษภาคม 1937 เธอมองหาความช่วยเหลือในที่แก้บาป เรื่องความรู้สึกวุ่นวายใจทุกครั้งที่
เธอขอลาออกจากคณะ พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปบอกเธอว่า เวลานี้อาจไม่เหมาะ เธอควรภาวนา และ
อดใจรอ แต่ที่แน่น ๆ ความทุกข์ใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับเธอ ....
วันต่อมาเป็นวันฉลองพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ เธอกลับเบิกบานใจขึ้นมาทันที พระเจ้าทรงสัมผัส
วิญญาณเธอ เธอสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาเจ้าครู่หนึ่ง ความรักมหาศาลต่อพระบิดาเจ้าห่อหุ้มเธอไว้จน
เธอเรียกวันนี้ว่า "ภวังค์ความรักอันต่อเนื่อง" ความรักของพระเจ้าที่มีให้เธอ ทำให้เธอมีสันติสุขใน
วิญญาณอย่างลึกล้ำ...
วันที่ 20 พฤษภาคม เธอบันทึกว่า เธอมีสุขภาพดีมาหนึ่งเดือนเต็มโดยที่เธอไม่รู้ว่าพระเยซูเจ้า
พอพระทัยอะไรมากกว่ากัน ระหว่างการรับใช้พระองค์ในยามเจ็บป่วย หรือในยามที่มีสุขภาพแข็งแรง
อย่างที่เธอขอพระองค์ไว้... เธอทูลพระองค์ว่า "พระเยซูเจ้าข้าโปรดปฏิบัติต่อลูกตามที่พระองค์พอพระทัยเถิด"
และในวันนั้น พระเยซูเจ้าโปรดให้สุขภาพของเธอทรุดลงเหมือนเดิม !....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 44 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 44 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ชั่วโมงแห่งความเมตตา ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับคำชี้แนะจากพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับ องค์ประกอบ
สำคัญอีกประการหนึ่งของความศรัทธาต่อพระเมตตา กล่าวคือ ชั่วโมงแห่งความเมตตา :
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง จงวิงวอนขอความเมตตาของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อคนบาป
ทั้งหลาย และหากทำได้แม้เพียงชั่วครู่ จงสำรวมจิตรำพึงถึงมหาทรมานของเรา โดยเฉพาะ
การยอมมอบตัวเราไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ขณะที่เราเข้าตรีทูต นี้คือชั่วโมงแห่งความเมตตา
ยิ่งใหญ่เพื่อชาวโลกทั้งมวล เราจะให้ลูกเข้ามาร่วมรับความเศร้าแสนสาหัสของเรา ระหว่าง
ชั่วโมงนี้ เราจะไม่ปฏิเสธสิ่งที่วิญญาณเรียกร้องจากเรา ด้วยบารมีแห่งมหาทรมานของเรา....
และเธอได้บันทึกบทภาวนาบทหนึ่งซึ่งอาจใช้สวดในกิจศรัทธานี้ : ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์
ได้สิ้นพระชนม์ สายธารแห่งชีวิตได้หลั่งไหลออกมา เพื่อวิญญาณทั้งหลาย และมหาสมุทรแห่ง
พระเมตตา ได้เผยออกเพื่อมวลมนุษย์ โอ้องค์ธารแห่งชีวิต พระเมตตาอันสุดจะหยั่งได้ของพระองค์
โปรดทรงห่อหุ้ม และชโลมชาวโลกทั้งมวลด้วยพระเมตตา และประทานพระเมตตาของพระองค์
แก่ลูกทั้งหลายจนหมดพระหฤทัยด้วยเถิด พระเจ้าข้า...
ในระหว่างการรำพึงภาวนาประจำเดือนในวันที่ 26 พฤศจิกายน ซิสเตอร์ได้เรียนรู้คุณค่าของการ
ทนทรมานได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เธอเรียนรู้ว่าความทุกข์ทรมานทำให้เธอเหมือนพระเยซูเจ้า หากจะมีวิธี
อื่นที่ดีกว่านี้ พระเยซูเจ้าก็คงสอนเธอแล้ว ท่ามกลางความทุกข์ทรมาน เธออิ่มเอิบกับสันติสุขอันลึกล้ำ
แต่สันติสุขนั้นก็มิได้บรรเทาความเจ็บปวดที่ได้รับแต่อย่างใด เธอบันทึกว่า "แม้ดิฉันซบหน้าลงกับพื้น
น้ำตาไหลพรากอยู่เนือง ๆ แต่วิญญาณของดิฉันกลับมีแต่สันติสุข และ ความสุขใจในเวลาเดียวกัน"....
"ความรักต่อพระนางมารีย์ปฏิสนธินิรมล" เพื่อโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับเอกสิทธิ์ที่พระองค์ประทาน
แก่พระนางมารีย์ และหัวใจของเธอก็ร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับดวงหทัยของพระแม่ และเธอยังแสดง
ความเคารพต่อพระแม่ด้วยการสวดบท วันทามารีย์หนึ่งพันบทต่อวัน เพื่อถวายเกียรติแด่พระแม่....
ดิฉันเห็นแม่พระงดงามโพ้นคำบรรยาย พระนางทรงยิ้มให้แล้วตรัสว่า "ลูกแม่ พระเจ้าทรงมีพระบัญชา
ให้แม่ เป็น แม่ที่สนิทสนมกับลูกเป็นพิเศษ เพียงแต่แม่ปรารถนาให้ลูกเป็นลูกที่สนิทสนมกับแม่เป็นพิเศษด้วย....
ลูกรักของแม่ แม่ปรารถนาให้ลูกปฏิบัติฤทธิ์กุศลสามประการที่แม่โปรด ปรานมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่
โปรดปรานของพระเจ้าที่ สุด ฤทธิ์กุศลประการแรกคือ ความสุภาพ ฤทธิ์กุศลประการที่สองคือ ความบริสุทธิ์
และฤทธิ์กุศลประการที่สามคือ ความรักพระเจ้า ในฐานะลูกของแม่ ลูกต้องแผ่ฤทธิ์กุศลทั้งสามประการที่
ให้ปรากฏ พระแม่กอดดิฉันไว้แนบพระทัยก่อนจากไป ดิฉันปฏิบัติฤทธิ์กุศลเหล่านี้โดยเคร่งครัดราวกับจารึก
ไว้ในจิตใจทีเดียว....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 45 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
ชั่วโมงแห่งความเมตตา ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับคำชี้แนะจากพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับ องค์ประกอบ
สำคัญอีกประการหนึ่งของความศรัทธาต่อพระเมตตา กล่าวคือ ชั่วโมงแห่งความเมตตา :
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง จงวิงวอนขอความเมตตาของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อคนบาป
ทั้งหลาย และหากทำได้แม้เพียงชั่วครู่ จงสำรวมจิตรำพึงถึงมหาทรมานของเรา โดยเฉพาะ
การยอมมอบตัวเราไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ขณะที่เราเข้าตรีทูต นี้คือชั่วโมงแห่งความเมตตา
ยิ่งใหญ่เพื่อชาวโลกทั้งมวล เราจะให้ลูกเข้ามาร่วมรับความเศร้าแสนสาหัสของเรา ระหว่าง
ชั่วโมงนี้ เราจะไม่ปฏิเสธสิ่งที่วิญญาณเรียกร้องจากเรา ด้วยบารมีแห่งมหาทรมานของเรา....
และเธอได้บันทึกบทภาวนาบทหนึ่งซึ่งอาจใช้สวดในกิจศรัทธานี้ : ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์
ได้สิ้นพระชนม์ สายธารแห่งชีวิตได้หลั่งไหลออกมา เพื่อวิญญาณทั้งหลาย และมหาสมุทรแห่ง
พระเมตตา ได้เผยออกเพื่อมวลมนุษย์ โอ้องค์ธารแห่งชีวิต พระเมตตาอันสุดจะหยั่งได้ของพระองค์
โปรดทรงห่อหุ้ม และชโลมชาวโลกทั้งมวลด้วยพระเมตตา และประทานพระเมตตาของพระองค์
แก่ลูกทั้งหลายจนหมดพระหฤทัยด้วยเถิด พระเจ้าข้า...
ในระหว่างการรำพึงภาวนาประจำเดือนในวันที่ 26 พฤศจิกายน ซิสเตอร์ได้เรียนรู้คุณค่าของการ
ทนทรมานได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เธอเรียนรู้ว่าความทุกข์ทรมานทำให้เธอเหมือนพระเยซูเจ้า หากจะมีวิธี
อื่นที่ดีกว่านี้ พระเยซูเจ้าก็คงสอนเธอแล้ว ท่ามกลางความทุกข์ทรมาน เธออิ่มเอิบกับสันติสุขอันลึกล้ำ
แต่สันติสุขนั้นก็มิได้บรรเทาความเจ็บปวดที่ได้รับแต่อย่างใด เธอบันทึกว่า "แม้ดิฉันซบหน้าลงกับพื้น
น้ำตาไหลพรากอยู่เนือง ๆ แต่วิญญาณของดิฉันกลับมีแต่สันติสุข และ ความสุขใจในเวลาเดียวกัน"....
"ความรักต่อพระนางมารีย์ปฏิสนธินิรมล" เพื่อโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับเอกสิทธิ์ที่พระองค์ประทาน
แก่พระนางมารีย์ และหัวใจของเธอก็ร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับดวงหทัยของพระแม่ และเธอยังแสดง
ความเคารพต่อพระแม่ด้วยการสวดบท วันทามารีย์หนึ่งพันบทต่อวัน เพื่อถวายเกียรติแด่พระแม่....
ดิฉันเห็นแม่พระงดงามโพ้นคำบรรยาย พระนางทรงยิ้มให้แล้วตรัสว่า "ลูกแม่ พระเจ้าทรงมีพระบัญชา
ให้แม่ เป็น แม่ที่สนิทสนมกับลูกเป็นพิเศษ เพียงแต่แม่ปรารถนาให้ลูกเป็นลูกที่สนิทสนมกับแม่เป็นพิเศษด้วย....
ลูกรักของแม่ แม่ปรารถนาให้ลูกปฏิบัติฤทธิ์กุศลสามประการที่แม่โปรด ปรานมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่
โปรดปรานของพระเจ้าที่ สุด ฤทธิ์กุศลประการแรกคือ ความสุภาพ ฤทธิ์กุศลประการที่สองคือ ความบริสุทธิ์
และฤทธิ์กุศลประการที่สามคือ ความรักพระเจ้า ในฐานะลูกของแม่ ลูกต้องแผ่ฤทธิ์กุศลทั้งสามประการที่
ให้ปรากฏ พระแม่กอดดิฉันไว้แนบพระทัยก่อนจากไป ดิฉันปฏิบัติฤทธิ์กุศลเหล่านี้โดยเคร่งครัดราวกับจารึก
ไว้ในจิตใจทีเดียว....
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 45 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 45 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
กลับเข้าสู่สถานพยาบาล ซิสเตอร์โฟส ตินารู้มาว่า เธอจะต้องกลับไปอยู่ในสถานพยาบาล
ที่ปราดนิกถึงสองเดือน หรือนานกว่านั้น เธอกังวลว่าเขาจะจัดให้เธออยู่ในห้องคนไข้รวม เธอ
เข้าไปปรับทุกข์กับพระเยซูเจ้าในวัดน้อยอยู่เป็นนาน พระองค์สดับฟังเธออย่างเอ็นดู แล้วตรัสว่า
"ลูกเอ๋ย จงสบายใจเถอะนะ เราอยู่กับลูก จงไปในสันติสุขเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราได้สั่งการ
เป็นกรณีพิเศษให้เขาจัดเตรียมห้องส่วนตัวให้ลูกแล้ว" ซิสเตอร์ เฟลืเซีย ขับรถพาเธอไปส่งสถาน
พยาบาล ที่นั่นเตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้เธอจริง ๆ พอเราเข้าไปในห้อง ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่า
มีการจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้วอย่างดี สะอาด และ เป็นระเบียบ ส่วนโต๊ะก็มีผ้าปู และประดับด้วย
ดอกไม้ เมื่อดิฉันอยู่ตามลำพังกับพระเยซูเจ้า ดิฉันขอบคุณพระองค์สำหรับพระหรรษทาน
ที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้....
หลังจากที่เธอพักอยู่ที่นั่นนานราวสองสัปดาห์ เธอก็ได้รับอนุญาตให้ลุกจากเตียงได้
เธอสามารถไปฟังมิสซา และใช้เวลาอยู่กับพระเยซูเจ้าในวัดน้อยได้..
เมื่อตรวจอาการครั้งแรกนายแพทย์อาดัม ซีลเบิร์ก พบว่าอาการของเธอหนักจริงตามที่คาดไว้
เขาบอกเธอว่า "แต่พระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง " เธอสำนึกในพระคุณสำหรับทุกสิ่งที่พระเจ้าส่งมา
ให้เธอตลอดชีวิตเธอแสนจะเบิกบานใจ และสงบสุขจนเธอบันทึกว่า : ถ้าความตายมาเยือนในเวลานั้น
ดิฉันคงไม่ผลัด ว่า "คอยก่อนนะ ฉันยังมีบางเรื่องที่ต้องทำ" เปล่าเลย ดิฉันคงรับความตายด้วย
ความยินดี เพราะดิฉันพร้อมที่จะพบองค์พระเยซูเจ้าแล้ว ไม่เฉพาะในวันนี้เท่านั้น หากนับตั้งแต่
นาทีที่ดิฉันวางใจในพระเมตตาเป็นต้นมา....
วันนี้ดิฉันถวายตัวในฐานะยัญบูชาเพื่อคนบาปอีกครั้งหนึ่ง และในฐานะยัญบูชาซึ่งลูกถวาย
แด่พระองค์ในวันนี้ ในขณะที่ลูกยังมีสติสัมปชัญญะ และน้ำใจที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อจุดประ
สงค์สามประการนี้ :
*** ประการแรก เพื่องานพระเมตตาของพระองค์จะได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลก
*** ประการที่สอง เพื่อให้คนบาป โดยเฉพาะคนบาปใกล้ตายเข้ามาพึ่งความเมตตาของพระองค์
*** ประการที่สาม เผยแพร่พระเมตตาทั้งหมดเกิดขึ้นจริงสมตามความปรารถนาของพระองค์....
ข้าแต่พระเยซูผู้ทรงเมตตายิ่ง ขอให้พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตานั้น
เติมสิ่งที่พร่องอยู่ในเครื่องบูชาของลูก และนำถวายแด่องค์พระบิดาเพื่อการ กลับใจของคนบาป
ข้าแตุ่พระคริสตเจ้า ลูกกระหายจะได้รับวิญญาณทั้งหลาย..
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 46 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
กลับเข้าสู่สถานพยาบาล ซิสเตอร์โฟส ตินารู้มาว่า เธอจะต้องกลับไปอยู่ในสถานพยาบาล
ที่ปราดนิกถึงสองเดือน หรือนานกว่านั้น เธอกังวลว่าเขาจะจัดให้เธออยู่ในห้องคนไข้รวม เธอ
เข้าไปปรับทุกข์กับพระเยซูเจ้าในวัดน้อยอยู่เป็นนาน พระองค์สดับฟังเธออย่างเอ็นดู แล้วตรัสว่า
"ลูกเอ๋ย จงสบายใจเถอะนะ เราอยู่กับลูก จงไปในสันติสุขเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราได้สั่งการ
เป็นกรณีพิเศษให้เขาจัดเตรียมห้องส่วนตัวให้ลูกแล้ว" ซิสเตอร์ เฟลืเซีย ขับรถพาเธอไปส่งสถาน
พยาบาล ที่นั่นเตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้เธอจริง ๆ พอเราเข้าไปในห้อง ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่า
มีการจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้วอย่างดี สะอาด และ เป็นระเบียบ ส่วนโต๊ะก็มีผ้าปู และประดับด้วย
ดอกไม้ เมื่อดิฉันอยู่ตามลำพังกับพระเยซูเจ้า ดิฉันขอบคุณพระองค์สำหรับพระหรรษทาน
ที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้....
หลังจากที่เธอพักอยู่ที่นั่นนานราวสองสัปดาห์ เธอก็ได้รับอนุญาตให้ลุกจากเตียงได้
เธอสามารถไปฟังมิสซา และใช้เวลาอยู่กับพระเยซูเจ้าในวัดน้อยได้..
เมื่อตรวจอาการครั้งแรกนายแพทย์อาดัม ซีลเบิร์ก พบว่าอาการของเธอหนักจริงตามที่คาดไว้
เขาบอกเธอว่า "แต่พระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง " เธอสำนึกในพระคุณสำหรับทุกสิ่งที่พระเจ้าส่งมา
ให้เธอตลอดชีวิตเธอแสนจะเบิกบานใจ และสงบสุขจนเธอบันทึกว่า : ถ้าความตายมาเยือนในเวลานั้น
ดิฉันคงไม่ผลัด ว่า "คอยก่อนนะ ฉันยังมีบางเรื่องที่ต้องทำ" เปล่าเลย ดิฉันคงรับความตายด้วย
ความยินดี เพราะดิฉันพร้อมที่จะพบองค์พระเยซูเจ้าแล้ว ไม่เฉพาะในวันนี้เท่านั้น หากนับตั้งแต่
นาทีที่ดิฉันวางใจในพระเมตตาเป็นต้นมา....
วันนี้ดิฉันถวายตัวในฐานะยัญบูชาเพื่อคนบาปอีกครั้งหนึ่ง และในฐานะยัญบูชาซึ่งลูกถวาย
แด่พระองค์ในวันนี้ ในขณะที่ลูกยังมีสติสัมปชัญญะ และน้ำใจที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อจุดประ
สงค์สามประการนี้ :
*** ประการแรก เพื่องานพระเมตตาของพระองค์จะได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลก
*** ประการที่สอง เพื่อให้คนบาป โดยเฉพาะคนบาปใกล้ตายเข้ามาพึ่งความเมตตาของพระองค์
*** ประการที่สาม เผยแพร่พระเมตตาทั้งหมดเกิดขึ้นจริงสมตามความปรารถนาของพระองค์....
ข้าแต่พระเยซูผู้ทรงเมตตายิ่ง ขอให้พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตานั้น
เติมสิ่งที่พร่องอยู่ในเครื่องบูชาของลูก และนำถวายแด่องค์พระบิดาเพื่อการ กลับใจของคนบาป
ข้าแตุ่พระคริสตเจ้า ลูกกระหายจะได้รับวิญญาณทั้งหลาย..
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 46 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 46 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันหนึ่ง หลังจากรับศีลมหาสนิท ซิสเตอร์โฟสตินาต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ามาในหัวใจ
ของเธอว่า "องค์ความรักของลูก โปรดครองราชย์ในส่วนที่ลึกเป็นส่วนตัวที่สุดในหัวใจของลูก
ที่ซึ่งพระองค์แต่ผู้เดียวทรงเข้าถึงได้โดยเสรี ขอให้พระองค์พำนักอยู่ในนั้นเพียงผู้เดียว...
แล้วเธอได้ยินเสียงพูดว่า "ถ้าลูกไม่ได้ขัดขวางเราไว้ เราคงส่งโทษทัณฑ์มากมายลงมาบน
โลกแล้ว ลูกรัก ท่าทีของลูกปลด เปลื้องความโกรธของเรา แม้ว่าลูกไม่ได้ปริปาก แต่ลูกกลับ
ร้องเรียกหาเราได้ทรงพลังจนสวรรค์สะเทือน เราไม่สามารถหนีรอดจากข้อเรียกร้องของลูกได้
เพราะลูกไล่ตามเรา หาใช่จากที่ไกลไม่ แต่ภายในหัวใจของลูกนั่นเอง"...
เธอรู้ตัวว่า แม้ผู้ใหญ่และแพทย์จะดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี แต่สุขภาพของเธอกลับทรุด
ลงเรื่อย ๆ เธอบันทึกว่า "แต่ลูกก็ดีใจมากที่พระองค์ทรงเรียก พระเจ้า และองค์ความรักของลูก
เพราะลูกรู้ว่าภารกิจของลูกจะเริ่มต้นในนาทีที่ลูกสิ้นใจ" จากนั้นเธอยืนยันความเชื่อของเธอ
ในความเมตตาของพระเจ้า...
คืนหนึ่งราวปลายเดือนพฤษภาคม ลมพายุทำให้ซิสเตอร์โฟสตินาตกใจตื่น เธอบรรยาย
เหตุการณ์ว่า : วันนี้ ดิฉันตกใจตื่นเพราะเกิดพายุหนัก ลมกรรโชกและฝนก็ตกหนักอย่างไม่ลืม
หูลืมตา สายฟ้าฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าดิฉันเริ่มต้นภาวนาขออย่าให้เกิดอันตรายจากพายุ
พลันได้ยินคำพูดว่า "จงสวดสายประคำตามที่เราสอนลูก แล้วพายุจะสงบ" ดิฉันเริ่มสวดสาย
ประคำพระเมตตาทันที ยังไม่ทันได้สวดสายประคำจบสายพายุก็สงบลงในทันใด ดิฉันได้ยินคำ
พูดว่า "ลูกจะได้รับทุกสิ่งจากการสวดสายประคำนี้ หากสิ่งที่ลูกขอสอดคล้องกับความประสงค์
ของเรา....
หรือพายุครั้งนี้จะเป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดพายุใหญ่อีกระลอกที่กระหน่ำประเทศที่เธอรักยิ่ง
ในปีนั้น ซิสเตอร์รู้ว่าสงครามที่ยืดเยื้อ และน่ากล้ว เต็มไปด้วยภัยพิบัติภัย กำลังจะเกิดขึ้น ด้วย
เหตุนี้เธอจึงเร่งภาวนาเพื่อประเทศโปแลนด์ วันหนึ่ง ขณะภาวนาอยู่ เธอได้ยินคำพูดว่า
"เรารักประเทศโปแลนด์มากเป็นพิเศษ และหากเธอนบนอบต่อพระประสงค์ของเรา เราจะยกย่อง
เธอให้ยิ่งใหญ่และ ศักดิ์สิทธิ์จากประเทศนี้จะเกิดประกายพวยพุ่งออกมา ซึ่งจะเตรียมชาวโลก
สำหรับการกลับมาครั้งสุดท้ายของเรา....
พระเยซูเจ้าโปรดให้เธอได้เห็นบางอย่างในอนาคต เธอบันทึกว่า : ดิฉันเห็นพระสิริรุ่งโรจน์
ของพระเจ้าซึ่งหลั่งไหลออกมาจากภาพวาด วิญญาณจำนวนมากกำลังรับพระหรรษทาน พระเจ้า
ก็ทรงได้รับเกียรติมงคลจากการนี้ ความพยายามของซาตาน และของคนชั่วล้มเหลว พระเมตตา
ของพระเจ้าจะมีชัยชนะเหนือชาวโลกทั้งมวล ทั้งจะได้รับการสักการบูชาจากวิญญาณทุกดวง !..
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 47 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
วันหนึ่ง หลังจากรับศีลมหาสนิท ซิสเตอร์โฟสตินาต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ามาในหัวใจ
ของเธอว่า "องค์ความรักของลูก โปรดครองราชย์ในส่วนที่ลึกเป็นส่วนตัวที่สุดในหัวใจของลูก
ที่ซึ่งพระองค์แต่ผู้เดียวทรงเข้าถึงได้โดยเสรี ขอให้พระองค์พำนักอยู่ในนั้นเพียงผู้เดียว...
แล้วเธอได้ยินเสียงพูดว่า "ถ้าลูกไม่ได้ขัดขวางเราไว้ เราคงส่งโทษทัณฑ์มากมายลงมาบน
โลกแล้ว ลูกรัก ท่าทีของลูกปลด เปลื้องความโกรธของเรา แม้ว่าลูกไม่ได้ปริปาก แต่ลูกกลับ
ร้องเรียกหาเราได้ทรงพลังจนสวรรค์สะเทือน เราไม่สามารถหนีรอดจากข้อเรียกร้องของลูกได้
เพราะลูกไล่ตามเรา หาใช่จากที่ไกลไม่ แต่ภายในหัวใจของลูกนั่นเอง"...
เธอรู้ตัวว่า แม้ผู้ใหญ่และแพทย์จะดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี แต่สุขภาพของเธอกลับทรุด
ลงเรื่อย ๆ เธอบันทึกว่า "แต่ลูกก็ดีใจมากที่พระองค์ทรงเรียก พระเจ้า และองค์ความรักของลูก
เพราะลูกรู้ว่าภารกิจของลูกจะเริ่มต้นในนาทีที่ลูกสิ้นใจ" จากนั้นเธอยืนยันความเชื่อของเธอ
ในความเมตตาของพระเจ้า...
คืนหนึ่งราวปลายเดือนพฤษภาคม ลมพายุทำให้ซิสเตอร์โฟสตินาตกใจตื่น เธอบรรยาย
เหตุการณ์ว่า : วันนี้ ดิฉันตกใจตื่นเพราะเกิดพายุหนัก ลมกรรโชกและฝนก็ตกหนักอย่างไม่ลืม
หูลืมตา สายฟ้าฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าดิฉันเริ่มต้นภาวนาขออย่าให้เกิดอันตรายจากพายุ
พลันได้ยินคำพูดว่า "จงสวดสายประคำตามที่เราสอนลูก แล้วพายุจะสงบ" ดิฉันเริ่มสวดสาย
ประคำพระเมตตาทันที ยังไม่ทันได้สวดสายประคำจบสายพายุก็สงบลงในทันใด ดิฉันได้ยินคำ
พูดว่า "ลูกจะได้รับทุกสิ่งจากการสวดสายประคำนี้ หากสิ่งที่ลูกขอสอดคล้องกับความประสงค์
ของเรา....
หรือพายุครั้งนี้จะเป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดพายุใหญ่อีกระลอกที่กระหน่ำประเทศที่เธอรักยิ่ง
ในปีนั้น ซิสเตอร์รู้ว่าสงครามที่ยืดเยื้อ และน่ากล้ว เต็มไปด้วยภัยพิบัติภัย กำลังจะเกิดขึ้น ด้วย
เหตุนี้เธอจึงเร่งภาวนาเพื่อประเทศโปแลนด์ วันหนึ่ง ขณะภาวนาอยู่ เธอได้ยินคำพูดว่า
"เรารักประเทศโปแลนด์มากเป็นพิเศษ และหากเธอนบนอบต่อพระประสงค์ของเรา เราจะยกย่อง
เธอให้ยิ่งใหญ่และ ศักดิ์สิทธิ์จากประเทศนี้จะเกิดประกายพวยพุ่งออกมา ซึ่งจะเตรียมชาวโลก
สำหรับการกลับมาครั้งสุดท้ายของเรา....
พระเยซูเจ้าโปรดให้เธอได้เห็นบางอย่างในอนาคต เธอบันทึกว่า : ดิฉันเห็นพระสิริรุ่งโรจน์
ของพระเจ้าซึ่งหลั่งไหลออกมาจากภาพวาด วิญญาณจำนวนมากกำลังรับพระหรรษทาน พระเจ้า
ก็ทรงได้รับเกียรติมงคลจากการนี้ ความพยายามของซาตาน และของคนชั่วล้มเหลว พระเมตตา
ของพระเจ้าจะมีชัยชนะเหนือชาวโลกทั้งมวล ทั้งจะได้รับการสักการบูชาจากวิญญาณทุกดวง !..
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 47 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 47 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: วาระสุดท้าย วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1938 คุณแม่ไอรีนทราบข่าวว่า ซิสเตอร์โฟสตินาอาการ
ทรุดลง ท่านอธิการิณีไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล คุณพ่อธีโอดอร์ ซาปูต้า ซึ่งเป็นพระสงฆ์ประจำ
อารามที่ยอเซฟ็อฟ โด้โปรดศีลเจิมคนป่วยให้เธอ แต่อาการของซิสเตอร์ก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย
ซิสเตอร์อัลเฟลด้า พยาบาลคนใหม่ในบ้านคราคูฟเห็นว่า ซิสเตอร์โฟสตินาป่วยหนักมาก
จึงถามว่าเธออยากกลับไปตายที่คณะหรือไม่ รอยยิ้มด้วยความยินดีคือคำตอบของซิสเตอร์
แต่หลังจากที่เธอคิดได้ เธอกล่าวว่า "ดิฉันยังไม่ตายหรอกค่ะ ดังนั้น ให้ดิฉันอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด
เพราะดิฉันจะเป็นภาระแก่ทุกคนในคณะต้องมีคนอยู่เฝ้าดิฉันตลอดเวลา" แต่เธอก็เสริมว่า
"แต่กรุณาทำสิ่งที่ซิสเตอร์คิดว่าเหมาะสมที่สุดและตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเถิด"
สองสัปดาห์ต่อมา วันที่ 17 กันยายน ซิสเตอร์อัลเฟรด้ามารับ ซิสเตอร์โฟสตินากลับไปบ้าน
พอกลับมาพักในห้องส่วนตัวที่อาราม เธอได้รับการดูแลเอาใจใส่จากซิสเตอร์เอมิเลีย
เนื่องจากอาการป่วยของเธอทรุดลงมาก เธอรับประทานอาหารไม่ได้เลย พลังชีวิตของเธอค่อย ๆ
ถดถอย....
หลายวันก่อนมรณกรรมของเธอ ซิสเตอร์ผู้ดูแลสวนมาเยี่ยมซิสเตอร์โฟสตินาซึ่งซูบผอม
และถามเธอว่า "ซิสเตอร์ไม่กลัวตายหรือ" เธอตอบว่า "กลัวทำไมคะ บาปและข้อบกพร่อง
ทั้งหมดของดิฉันจะมอดไหม้เหมือนฟางในกองไฟพระเมตตาเลยแหละ" จากนั้นก็หันไปสนทนา
กันต่อ
เรื่องสงครามซิสเตอร์ผู้ดูแลสวนเชื่อว่ามันจะเป็นสงครามสั้น ๆ แต่เธอตอบว่า เปล่าเลยสงคราม
จะยืดเยื้อยาวนาน จะมีความทุกข์ยากมากมาย ประชาชนจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน
แสนสาหัส ผู้ดูแลสวนถามว่า "โปแลนด์จะเหลือไหม" เธอตอบว่า "โปแลนด์จะยังอยู่แน่ แต่จะมี
ประชากรเหลือรอดน้อยคนเพราะคนมากมายจะตาย และพวกเขาจะรักกันมาก และอยากอยู่ด้วยกัน "....
ระหว่างสงครามที่ยืดเยื้อซึ่งเริ่มขึ้นหนึ่งปีหลังมรณกรรมของซิสเตอร์โฟสตินา คณะภคินีถูก
พวกนาซีข่มขู่จริงถึงสามครั้งให้อพยพออกไป เมื่อนั้นแหละพวกเขาจึงนึกถึงคำพูดของซิสเตอร์โฟสตินา
ขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่เกิดเหตุวิกฤติ พวกซิสเตอร์จะรีบไปที่หลุมศพของซิสเตอร์โฟสตินาเพื่อขอให้เธอ
ช่วยเสนอวิงวอนต่อพระเมตตาเพื่อว่าพวกเธอจะไม่ถูกรังควาน ไม่มีการลงมือตามคำขู่ และพวกภคินี
ก็อยู่ในวาเกียฟนีกิต่อไปตามคำพยากรณ์ของซิสเตอร์โฟสตินา...
วันที่ 5 ตุลาคม เธอกระซิบบอกซิสเตอร์เฟลิเซียว่า "พระเยซูเจ้าจะทรงรับดิฉันไปในวันนี้"
คุณพ่อโยเซฟ อันดราช มาฟังเธอสารภาพบาปเวลาบ่ายสี่โมง ขณะนั้นเธอกำลังทรมานมาก
สอง สามชั่วโมงต่อมา เธอร้องขอให้ฉีดยาระงับปวด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่รับยาเพื่อปฏิบัติตาม
พระประสงค์ของพระเจ้าให้ถึงที่สุด เวลาสี่ทุ่มสิบห้านาที เธอได้ยกสายตาขึ้นเบื้องบนเหมือนกำลัง
ตกอยู่ในภวังค์ แล้ว ซิสเตอร์โฟสตินาจึงจากไปรับบำเหน็จรางวัลของเธออย่างสงบ (สุสาน)...
มีพิธีปลงศพซิสเตอร์โฟสตินาในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1938 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ
และเป็นวันศุกร์ต้นเดือน และเพื่อมิให้ครอบครัวของเธอต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ซิสเตอร์โฟสตินาได้ขอร้องมิให้แจ้งครอบครัวเกี่ยวกับอาการป่วยตลอดจนมรณกรรมของเธอ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนในครอบครัวของเธอมาร่วมในพิธีปลงศพ หลังพิธีมิสซา เพื่อนภคินีและ
เด็กนักเรียนแบกหีบศพบนบ่าและวางซิสเตอร์โฟสตินาลงในหลุมศพของคณะ
ในวาเกียฟนีกิ
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 48 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: วาระสุดท้าย วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1938 คุณแม่ไอรีนทราบข่าวว่า ซิสเตอร์โฟสตินาอาการ
ทรุดลง ท่านอธิการิณีไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล คุณพ่อธีโอดอร์ ซาปูต้า ซึ่งเป็นพระสงฆ์ประจำ
อารามที่ยอเซฟ็อฟ โด้โปรดศีลเจิมคนป่วยให้เธอ แต่อาการของซิสเตอร์ก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย
ซิสเตอร์อัลเฟลด้า พยาบาลคนใหม่ในบ้านคราคูฟเห็นว่า ซิสเตอร์โฟสตินาป่วยหนักมาก
จึงถามว่าเธออยากกลับไปตายที่คณะหรือไม่ รอยยิ้มด้วยความยินดีคือคำตอบของซิสเตอร์
แต่หลังจากที่เธอคิดได้ เธอกล่าวว่า "ดิฉันยังไม่ตายหรอกค่ะ ดังนั้น ให้ดิฉันอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด
เพราะดิฉันจะเป็นภาระแก่ทุกคนในคณะต้องมีคนอยู่เฝ้าดิฉันตลอดเวลา" แต่เธอก็เสริมว่า
"แต่กรุณาทำสิ่งที่ซิสเตอร์คิดว่าเหมาะสมที่สุดและตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเถิด"
สองสัปดาห์ต่อมา วันที่ 17 กันยายน ซิสเตอร์อัลเฟรด้ามารับ ซิสเตอร์โฟสตินากลับไปบ้าน
พอกลับมาพักในห้องส่วนตัวที่อาราม เธอได้รับการดูแลเอาใจใส่จากซิสเตอร์เอมิเลีย
เนื่องจากอาการป่วยของเธอทรุดลงมาก เธอรับประทานอาหารไม่ได้เลย พลังชีวิตของเธอค่อย ๆ
ถดถอย....
หลายวันก่อนมรณกรรมของเธอ ซิสเตอร์ผู้ดูแลสวนมาเยี่ยมซิสเตอร์โฟสตินาซึ่งซูบผอม
และถามเธอว่า "ซิสเตอร์ไม่กลัวตายหรือ" เธอตอบว่า "กลัวทำไมคะ บาปและข้อบกพร่อง
ทั้งหมดของดิฉันจะมอดไหม้เหมือนฟางในกองไฟพระเมตตาเลยแหละ" จากนั้นก็หันไปสนทนา
กันต่อ
เรื่องสงครามซิสเตอร์ผู้ดูแลสวนเชื่อว่ามันจะเป็นสงครามสั้น ๆ แต่เธอตอบว่า เปล่าเลยสงคราม
จะยืดเยื้อยาวนาน จะมีความทุกข์ยากมากมาย ประชาชนจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน
แสนสาหัส ผู้ดูแลสวนถามว่า "โปแลนด์จะเหลือไหม" เธอตอบว่า "โปแลนด์จะยังอยู่แน่ แต่จะมี
ประชากรเหลือรอดน้อยคนเพราะคนมากมายจะตาย และพวกเขาจะรักกันมาก และอยากอยู่ด้วยกัน "....
ระหว่างสงครามที่ยืดเยื้อซึ่งเริ่มขึ้นหนึ่งปีหลังมรณกรรมของซิสเตอร์โฟสตินา คณะภคินีถูก
พวกนาซีข่มขู่จริงถึงสามครั้งให้อพยพออกไป เมื่อนั้นแหละพวกเขาจึงนึกถึงคำพูดของซิสเตอร์โฟสตินา
ขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่เกิดเหตุวิกฤติ พวกซิสเตอร์จะรีบไปที่หลุมศพของซิสเตอร์โฟสตินาเพื่อขอให้เธอ
ช่วยเสนอวิงวอนต่อพระเมตตาเพื่อว่าพวกเธอจะไม่ถูกรังควาน ไม่มีการลงมือตามคำขู่ และพวกภคินี
ก็อยู่ในวาเกียฟนีกิต่อไปตามคำพยากรณ์ของซิสเตอร์โฟสตินา...
วันที่ 5 ตุลาคม เธอกระซิบบอกซิสเตอร์เฟลิเซียว่า "พระเยซูเจ้าจะทรงรับดิฉันไปในวันนี้"
คุณพ่อโยเซฟ อันดราช มาฟังเธอสารภาพบาปเวลาบ่ายสี่โมง ขณะนั้นเธอกำลังทรมานมาก
สอง สามชั่วโมงต่อมา เธอร้องขอให้ฉีดยาระงับปวด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่รับยาเพื่อปฏิบัติตาม
พระประสงค์ของพระเจ้าให้ถึงที่สุด เวลาสี่ทุ่มสิบห้านาที เธอได้ยกสายตาขึ้นเบื้องบนเหมือนกำลัง
ตกอยู่ในภวังค์ แล้ว ซิสเตอร์โฟสตินาจึงจากไปรับบำเหน็จรางวัลของเธออย่างสงบ (สุสาน)...
มีพิธีปลงศพซิสเตอร์โฟสตินาในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1938 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ
และเป็นวันศุกร์ต้นเดือน และเพื่อมิให้ครอบครัวของเธอต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ซิสเตอร์โฟสตินาได้ขอร้องมิให้แจ้งครอบครัวเกี่ยวกับอาการป่วยตลอดจนมรณกรรมของเธอ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนในครอบครัวของเธอมาร่วมในพิธีปลงศพ หลังพิธีมิสซา เพื่อนภคินีและ
เด็กนักเรียนแบกหีบศพบนบ่าและวางซิสเตอร์โฟสตินาลงในหลุมศพของคณะ
ในวาเกียฟนีกิ
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 48 ) ในวันต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ก.ย. 24, 2022 7:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ (48 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: บทสรุป มีสมาชิกในคณะไม่กี่คนที่พอจะรู้เรื่องประสบการณ์แห่งญาณของซิสเตอร์โฟสตินา
แทบไม่มีใคร่เอ่ยถึงเธอตลอด สองปีหลังมรณกรรมของเธอ จากนั้น ความศรัทธาต่อพระเมตตา
จึงเริ่มแพร่หลายในวิลนีอุส และชื่อของซิสเตอร์ก็ถูกเอ่ยพ่วงท้ายไปด้วย...
พวกภคินีประหลาดใจกันยกใหญ่ คนหนึ่งพูดว่า "เธอซื่อเหลือเกินนะ เธอไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
ไปกว่าพวกเราเลย เพียงแต่มีฤทธิ์กุศลมากกว่า สงบสำรวมมากกว่า แล้วก็สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า
มากกว่า หลังจากที่เธอตายไปแล้วพระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวเธอ และ ผ่านเธอ
เราไม่อยากเชื่อเลย ! พวกเธอต่างดีอกดีใจกันที่พระแม่แห่งความเมตตา องค์อุปถัมภ์ของคณะ
จัดหาพระคุณยิ่งใหญ่มาให้พวกเธอโดยมอบผ่านทางซิสเตอร์โฟสตินา ให้พวกเธอเตือนชาวโลก
บาปหนาน่าสังเวชให้ระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้า...
พันธกิจของซิสเตอร์โฟสตินาเริ่มขึ้นจริงหลังมรณกรรมของเธอเหมือนที่เธอเคยบอกไว้
วัดน้อยของอารามเปิดต้อนรับสาธารณชนระหว่างเกิดสงคราม จากนั้นมาผู้คนทุกชนชั้นก็มา
เยี่ยมหลุมศพของเธอไม่ขาดสายเพื่อขอให้เธอช่วยเสนอวิงวอนให้ หรือมาขอบคุณเธอสำหรับ
พระหรรษทานที่พวกเขาได้รับ..
วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1959 สันตะสำนักสั่งห้ามเผยแพร่กิจศรัทธาต่อพระเมตตาในรูปแบบที่
ซิสเตอร์โฟสตินาเสนอ เนื่องจากได้พิจารณาตามข้อมูลที่ผิดพลาด และไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
เกี่ยวกับการเปิดเผยการเคลื่อนย้ายภาพพระเมตตาซึ่งตั้งไว้ให้สาธารณชนแสดงความเคารพ
ออกจากวัดนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบรรดาพระสังฆราช...
ด้วยเหตุนี้ภาพวาดจึงถูกเก็บออกจากวัดหลายแห่งและพระสงฆ์บางองค์เลิกเทศน์เกี่ยวกับ
พระเมตตาคุณพ่อโซปอชโกเองถูกสันตะสำนักตำหนิอย่างรุนแรง และต้องสู้ทนความยากลำบาก
มากมายเกี่ยวกับการเผยแพร่ความศรัทธานี้ คณะภคินีพระแม่แห่งความเมตตาก็ถูกสั่งห้ามมิให้
เผยแพร่ความศรัทธานี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ภาพวาด บทสวดสายประคำพระเมตตา บทนพวาร
พระเมตตา และทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจเป็นการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตาจึงถูกยกเลิก
ดูเหมือนว่างานพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าทรงฝากฝังให้ซิสเตอร์โฟสตินาดูแลอย่างเร่งด่วนนั้นได้
ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง....
วันที่ 15 เมษายน 1978 สันตะสำนักได้เพิกถอนประกาศเมื่อปี ค.ศ. 1959 หลังจากได้ตรวจสอบ
เอกสารต้นฉบับอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งแรกเนื่องจากทาง สันตะสำนักไม่เคยได้รับเอกสารนี้มาก่อน
สันตะสำนักอนุญาตให้ทำการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตาในรูปแบบที่ ซิสเตอร์โฟสตินา
เสนอไว้ หลังจากที่สั่งห้ามมานานถึง 20 ปี ผู้ที่ดำเนินเรื่องการยกเลิกคำสั่งห้ามนี้คือ
พระคาร์ดินัลคาโรล วอยติวา ซึ่งต่อมาท่านได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา
และทรงไดัรับ พระนามว่า จอห์น ปอล ที่ 2....
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา และประดิษฐานภาพ
พระเมตตาที่ศูนย์พระเมตตาในสังฆมณฑลโรม ในวัดพระจิตเจ้าที่ซัสเซีย พระสันตะปาปาทรง
กล่าวสุนทรพจน์เชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสความเมตตานี้ เพื่อจะ
ได้มีความเมตตาเต็มเปี่ยมและรู้จักให้อภัย...
การฉลองวันอาทิตย์พระเมตตาได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1999
ณ.จตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 49 ) ในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: บทสรุป มีสมาชิกในคณะไม่กี่คนที่พอจะรู้เรื่องประสบการณ์แห่งญาณของซิสเตอร์โฟสตินา
แทบไม่มีใคร่เอ่ยถึงเธอตลอด สองปีหลังมรณกรรมของเธอ จากนั้น ความศรัทธาต่อพระเมตตา
จึงเริ่มแพร่หลายในวิลนีอุส และชื่อของซิสเตอร์ก็ถูกเอ่ยพ่วงท้ายไปด้วย...
พวกภคินีประหลาดใจกันยกใหญ่ คนหนึ่งพูดว่า "เธอซื่อเหลือเกินนะ เธอไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
ไปกว่าพวกเราเลย เพียงแต่มีฤทธิ์กุศลมากกว่า สงบสำรวมมากกว่า แล้วก็สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า
มากกว่า หลังจากที่เธอตายไปแล้วพระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวเธอ และ ผ่านเธอ
เราไม่อยากเชื่อเลย ! พวกเธอต่างดีอกดีใจกันที่พระแม่แห่งความเมตตา องค์อุปถัมภ์ของคณะ
จัดหาพระคุณยิ่งใหญ่มาให้พวกเธอโดยมอบผ่านทางซิสเตอร์โฟสตินา ให้พวกเธอเตือนชาวโลก
บาปหนาน่าสังเวชให้ระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้า...
พันธกิจของซิสเตอร์โฟสตินาเริ่มขึ้นจริงหลังมรณกรรมของเธอเหมือนที่เธอเคยบอกไว้
วัดน้อยของอารามเปิดต้อนรับสาธารณชนระหว่างเกิดสงคราม จากนั้นมาผู้คนทุกชนชั้นก็มา
เยี่ยมหลุมศพของเธอไม่ขาดสายเพื่อขอให้เธอช่วยเสนอวิงวอนให้ หรือมาขอบคุณเธอสำหรับ
พระหรรษทานที่พวกเขาได้รับ..
วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1959 สันตะสำนักสั่งห้ามเผยแพร่กิจศรัทธาต่อพระเมตตาในรูปแบบที่
ซิสเตอร์โฟสตินาเสนอ เนื่องจากได้พิจารณาตามข้อมูลที่ผิดพลาด และไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
เกี่ยวกับการเปิดเผยการเคลื่อนย้ายภาพพระเมตตาซึ่งตั้งไว้ให้สาธารณชนแสดงความเคารพ
ออกจากวัดนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบรรดาพระสังฆราช...
ด้วยเหตุนี้ภาพวาดจึงถูกเก็บออกจากวัดหลายแห่งและพระสงฆ์บางองค์เลิกเทศน์เกี่ยวกับ
พระเมตตาคุณพ่อโซปอชโกเองถูกสันตะสำนักตำหนิอย่างรุนแรง และต้องสู้ทนความยากลำบาก
มากมายเกี่ยวกับการเผยแพร่ความศรัทธานี้ คณะภคินีพระแม่แห่งความเมตตาก็ถูกสั่งห้ามมิให้
เผยแพร่ความศรัทธานี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ภาพวาด บทสวดสายประคำพระเมตตา บทนพวาร
พระเมตตา และทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจเป็นการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตาจึงถูกยกเลิก
ดูเหมือนว่างานพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าทรงฝากฝังให้ซิสเตอร์โฟสตินาดูแลอย่างเร่งด่วนนั้นได้
ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง....
วันที่ 15 เมษายน 1978 สันตะสำนักได้เพิกถอนประกาศเมื่อปี ค.ศ. 1959 หลังจากได้ตรวจสอบ
เอกสารต้นฉบับอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งแรกเนื่องจากทาง สันตะสำนักไม่เคยได้รับเอกสารนี้มาก่อน
สันตะสำนักอนุญาตให้ทำการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตาในรูปแบบที่ ซิสเตอร์โฟสตินา
เสนอไว้ หลังจากที่สั่งห้ามมานานถึง 20 ปี ผู้ที่ดำเนินเรื่องการยกเลิกคำสั่งห้ามนี้คือ
พระคาร์ดินัลคาโรล วอยติวา ซึ่งต่อมาท่านได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา
และทรงไดัรับ พระนามว่า จอห์น ปอล ที่ 2....
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา และประดิษฐานภาพ
พระเมตตาที่ศูนย์พระเมตตาในสังฆมณฑลโรม ในวัดพระจิตเจ้าที่ซัสเซีย พระสันตะปาปาทรง
กล่าวสุนทรพจน์เชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสความเมตตานี้ เพื่อจะ
ได้มีความเมตตาเต็มเปี่ยมและรู้จักให้อภัย...
การฉลองวันอาทิตย์พระเมตตาได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1999
ณ.จตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 49 ) ในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 49 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: คำประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องพระเมตตาของพระเจ้า เกี่ยวกับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา
ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2000
โดยอาศัยอำนาจตามกฤษฎีกา ออก ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2000
โดยสมณกระทรวงพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ สันตะสำนัก
ขอประกาศให้วันอาทิตย์ที่สองเทศกาลปัสกาเป็นวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตาด้วย...
กฤษฎีกา
"พระเจ้าโปรดปรานและทรงเมตตากรุณา" "ผู้ทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา"
และด้วยพระมหากรุณาเหลือที่จะพรรณนา ได้ประทานพระเอกบุตรให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ของชาวเรา เพื่อว่า ด้วยเดชะการสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนพระชนมชีพขององค์พระบุตร
พระองค์จักเปิดช่องทางสู่ชีวิตนิรันดรให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเพื่อว่าบรรดาบุตรบุญธรรม
ของพระองค์ ผู้ได้รับพระเมตตาภายในพระวิหารของพระองค์ จักได้กล่าวคำสรรเสริญสดุดี
ตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ...
ในยุคสมัยของเรานั้น คริสตชนในหลายภาคส่วนของโลกปรารถนาที่จะสรรเสริญ
พระเมตตาของพระเจ้าในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะในการฉลองธรรมลํ้าลึกปัสกา
เพื่อสนองความจำนงเหล่านี้ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 จึงโปรดให้เติมท้ายชื่อเรียก
"สัปดาห์ที่สอง เทศกาลปัสกา" ของบทภาวนาในหนังสือ มิสซาว่า " วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา "
สมณกระทรวงพิธีกรรม และศีลศักดิ์สิทธิ์ได้ประกาศ คำวินิจฉัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเหล่านี้
เพื่อจักได้มีผลบังคับใช้ ถ้าไม่มีสิ่งใดขัดแย้ง
--พระคาร์ดินัลจอร์จ เอ. มิดีนา เอสเตเบส (Jorge A. Medina Esteves ) สมณมนตรี
+ฟรังเซสโก ปีโอ ทัมบูรริโน (Francesco Pio Tamburrino Archbishop Secretary)
พระอัครสังฆราชเลขาธิการ
*******************
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 50 ) ตอนสุดท้ายในวันต่อไป
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก
: คำประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องพระเมตตาของพระเจ้า เกี่ยวกับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา
ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2000
โดยอาศัยอำนาจตามกฤษฎีกา ออก ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2000
โดยสมณกระทรวงพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ สันตะสำนัก
ขอประกาศให้วันอาทิตย์ที่สองเทศกาลปัสกาเป็นวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตาด้วย...
กฤษฎีกา
"พระเจ้าโปรดปรานและทรงเมตตากรุณา" "ผู้ทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา"
และด้วยพระมหากรุณาเหลือที่จะพรรณนา ได้ประทานพระเอกบุตรให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ของชาวเรา เพื่อว่า ด้วยเดชะการสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนพระชนมชีพขององค์พระบุตร
พระองค์จักเปิดช่องทางสู่ชีวิตนิรันดรให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเพื่อว่าบรรดาบุตรบุญธรรม
ของพระองค์ ผู้ได้รับพระเมตตาภายในพระวิหารของพระองค์ จักได้กล่าวคำสรรเสริญสดุดี
ตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ...
ในยุคสมัยของเรานั้น คริสตชนในหลายภาคส่วนของโลกปรารถนาที่จะสรรเสริญ
พระเมตตาของพระเจ้าในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะในการฉลองธรรมลํ้าลึกปัสกา
เพื่อสนองความจำนงเหล่านี้ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 จึงโปรดให้เติมท้ายชื่อเรียก
"สัปดาห์ที่สอง เทศกาลปัสกา" ของบทภาวนาในหนังสือ มิสซาว่า " วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา "
สมณกระทรวงพิธีกรรม และศีลศักดิ์สิทธิ์ได้ประกาศ คำวินิจฉัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเหล่านี้
เพื่อจักได้มีผลบังคับใช้ ถ้าไม่มีสิ่งใดขัดแย้ง
--พระคาร์ดินัลจอร์จ เอ. มิดีนา เอสเตเบส (Jorge A. Medina Esteves ) สมณมนตรี
+ฟรังเซสโก ปีโอ ทัมบูรริโน (Francesco Pio Tamburrino Archbishop Secretary)
พระอัครสังฆราชเลขาธิการ
*******************
โปรดติดตาม ตอนที่ ( 50 ) ตอนสุดท้ายในวันต่อไป
หนังสือ "นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ธรรมทูตพระเมตตาของพระเจ้า ตอนที่ ( 50 )
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก (ตอนสุดท้าย )
พระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์สำหรับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา
# กฤษฎีกาของสมณองค์กรเรื่องการใช้โทษบาป :
พระคุณการุณย์ที่ได้รับจากการถวายคารวกิจต่อพระเมตตาของพระเจ้า
" ข้าแต่พระเจ้า พระเมตตาของพระองค์มิรู้สิ้นสุดและความไพบูลย์แห่งพระมหากรุณา
ของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาล"
" ข้าแต่พระเจ้าพระองค์ทรงสำแดงพระเดชานุภาพ เฉพาะอย่างยิ่ง
โดยทรงพระกรุณา และอภัยโทษ"
ในคำภาวนาเหล่านี้ พระศาสนจักรมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขับร้องสดุดีพระเมตตา ด้วยความสุภาพ
และจริงใจ เมื่อองค์พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพพระองค์เอง ทรงอภัยต่อบาป เยี่ยงบิดาผู้ใจดี
ทรงอนุญาตให้ผู้กระทำผิด ซึ่งสมควรสูญเสียความเป็นมิตรของพระองค์ไป
ให้กลับมาเป็นมิตรของพระองค์อีก
เงื่อนไขสามประการในการรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์:
สัตบุรุษสามารถรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ ภายใต้เงื่อนไขตามที่เคยปฏิบัติกันมา
1. รับศีลอภัยบาป
2.รับศีลมหาสนิท
3.สวดภาวนาตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ในวันอาทิตย์ที่สองเทศกาลปัสกา
หรือ วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตาในโบสถ์หรือวัดน้อยใดก็ได้..
ผู้มีส่วนร่วมในการภาวนา และคารวกิจที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อพระเมตตา
หรือมานมัสการศีลมหาสนิทบนพระแท่น หรือในตู้ศีล สวดบทข้าแต่พระบิดาฯ บทวันทามารีย์ ฯ
และบทข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า ตามด้วยบทภาวนาวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตากรุณา
ด้วยความนอบน้อมจริงใจ เช่น "พระเยซูผู้ทรงพระเมตตากรุณา ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ !"...
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถไปวัด หรือป่วยหนัก: ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาลูกเรือที่ปฏิบัติงานในท้องทะเล
ผู้ประสบภัยจากสงคราม เหตุการณ์ทางการเมือง สถานการณ์รุนแรงในระดับท้องถิ่น ฯลฯ
คนป่วยและผู้ดูแลคนป่วย.... จะได้รับพระคุณการุณย์ในวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา หากเขา
รังเกียจบาปโดยสิ้นเชิง และมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขสามประการ
ตามที่ถือปฏิบัติกันมาในทันทีที่กระทำได้ ...
หน้าที่ของพระสงฆ์ : แจ้งสัตบุรุษ ฟังสารภาพบาป นำสวด
บรรดาพระสงฆ์ผู้มีหน้าที่อภิบาลสัตบุรุษ โดยเฉพาะบรรดาพระสงฆ์ในเขตวัดควรแจ้ง
ให้สัตบุรุษทราบเงื่อนไข และพร้อมที่จะฟังการสารภาพบาปของสัตบุรุษโดยไม่ลังเล และด้วย
ความเต็มใจ พระสงฆ์ควรนำสวดบทภาวนาต่าง ๆ ที่ให้ไว้ข้างต้น พระสงฆ์ควรส่งเสริม
ให้สัตบุรุษปฏิบัติกิจการเพื่อแสดงความรัก หรือกิจเมตตาให้เป็นกิจวัตรเท่าที่เขาเหล่านั้น
สามารถทำได้ โดยปฏิบัติตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า
กฤษฎีกาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ถาวร ถึงแม้จะมีข้อกำหนดใดเป็นอย่างอื่น
--พระอัครสังฆราชลูยยี เดมายีสทรีช ( Luigi De Magistris ) ตำแหน่งมุขนายกแห่งโนวา
ประธานสำนักสมณองค์กรผู้สนับสนุนเรื่องการใช้โทษบาป
คุณพ่อจิอันฟรังโก ยีรอตตี O.F.M. Conv., ผู้ว่าการสำนัก ฯ
แปลจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของซิสเตอร์โซเฟีย มีคาเลนโก (ตอนสุดท้าย )
พระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์สำหรับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา
# กฤษฎีกาของสมณองค์กรเรื่องการใช้โทษบาป :
พระคุณการุณย์ที่ได้รับจากการถวายคารวกิจต่อพระเมตตาของพระเจ้า
" ข้าแต่พระเจ้า พระเมตตาของพระองค์มิรู้สิ้นสุดและความไพบูลย์แห่งพระมหากรุณา
ของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาล"
" ข้าแต่พระเจ้าพระองค์ทรงสำแดงพระเดชานุภาพ เฉพาะอย่างยิ่ง
โดยทรงพระกรุณา และอภัยโทษ"
ในคำภาวนาเหล่านี้ พระศาสนจักรมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขับร้องสดุดีพระเมตตา ด้วยความสุภาพ
และจริงใจ เมื่อองค์พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพพระองค์เอง ทรงอภัยต่อบาป เยี่ยงบิดาผู้ใจดี
ทรงอนุญาตให้ผู้กระทำผิด ซึ่งสมควรสูญเสียความเป็นมิตรของพระองค์ไป
ให้กลับมาเป็นมิตรของพระองค์อีก
เงื่อนไขสามประการในการรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์:
สัตบุรุษสามารถรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ ภายใต้เงื่อนไขตามที่เคยปฏิบัติกันมา
1. รับศีลอภัยบาป
2.รับศีลมหาสนิท
3.สวดภาวนาตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ในวันอาทิตย์ที่สองเทศกาลปัสกา
หรือ วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตาในโบสถ์หรือวัดน้อยใดก็ได้..
ผู้มีส่วนร่วมในการภาวนา และคารวกิจที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อพระเมตตา
หรือมานมัสการศีลมหาสนิทบนพระแท่น หรือในตู้ศีล สวดบทข้าแต่พระบิดาฯ บทวันทามารีย์ ฯ
และบทข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า ตามด้วยบทภาวนาวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตากรุณา
ด้วยความนอบน้อมจริงใจ เช่น "พระเยซูผู้ทรงพระเมตตากรุณา ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ !"...
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถไปวัด หรือป่วยหนัก: ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาลูกเรือที่ปฏิบัติงานในท้องทะเล
ผู้ประสบภัยจากสงคราม เหตุการณ์ทางการเมือง สถานการณ์รุนแรงในระดับท้องถิ่น ฯลฯ
คนป่วยและผู้ดูแลคนป่วย.... จะได้รับพระคุณการุณย์ในวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา หากเขา
รังเกียจบาปโดยสิ้นเชิง และมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขสามประการ
ตามที่ถือปฏิบัติกันมาในทันทีที่กระทำได้ ...
หน้าที่ของพระสงฆ์ : แจ้งสัตบุรุษ ฟังสารภาพบาป นำสวด
บรรดาพระสงฆ์ผู้มีหน้าที่อภิบาลสัตบุรุษ โดยเฉพาะบรรดาพระสงฆ์ในเขตวัดควรแจ้ง
ให้สัตบุรุษทราบเงื่อนไข และพร้อมที่จะฟังการสารภาพบาปของสัตบุรุษโดยไม่ลังเล และด้วย
ความเต็มใจ พระสงฆ์ควรนำสวดบทภาวนาต่าง ๆ ที่ให้ไว้ข้างต้น พระสงฆ์ควรส่งเสริม
ให้สัตบุรุษปฏิบัติกิจการเพื่อแสดงความรัก หรือกิจเมตตาให้เป็นกิจวัตรเท่าที่เขาเหล่านั้น
สามารถทำได้ โดยปฏิบัติตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า
กฤษฎีกาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ถาวร ถึงแม้จะมีข้อกำหนดใดเป็นอย่างอื่น
--พระอัครสังฆราชลูยยี เดมายีสทรีช ( Luigi De Magistris ) ตำแหน่งมุขนายกแห่งโนวา
ประธานสำนักสมณองค์กรผู้สนับสนุนเรื่องการใช้โทษบาป
คุณพ่อจิอันฟรังโก ยีรอตตี O.F.M. Conv., ผู้ว่าการสำนัก ฯ