“ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์” น. กัสปาร์ แบร์โทนี่ ( ตอนที่11-20)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2024 10:42 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ

👉 ตอนที่ (11)👈

❇️ เส้นทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ ปรารถนารับความทุกข์ทรมาน ❇️

          ความปีติยินดีที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของคุณพ่อแบร์โทนีนี้ แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ
ของประสบการณ์ภายในของท่านที่ค่อยๆ พัฒนาผ่านทางธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขน และที่สุด ก็เข้า
สู่การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน
          เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า หลังจากที่คุณพ่อแบร์โทนีได้มีประสบการณ์ล้ำลึกนี้ บางสิ่งบางอย่าง
ในชีวิตของท่านก็เปลี่ยนไป และบางสิ่งบางอย่างนั้น ก็ได้แสดงตนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น บางที
ในพระหฤทัยที่ถูกทิ่มแทงด้วยหนามของพระเยซูเจ้านั้น คุณพ่อแบร์โทนีมองเห็นความเป็นไปได้ของ
"ความฝัน" ของท่านที่จะมีหมู่คณะนักบวชในอนาคต ที่จริง ท่านได้เคยบอกกับคุณพ่อโจวานนี มารา
นี ว่า ท่านได้ "นิมิต" เห็นการเริ่มต้นของหมู่คณะนักบวชของท่านด้วย
          ประสบการณ์นี้ได้กลายเป็นเครื่องหมาย และจุดเริ่มต้นของความเจ็บป่วย และความทุกข์ทรมาน
ของคุณพ่อแบร์โทนี ซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 40 ปี ท่านมองการนอนติดกับเตียงโดยลุกไปไปไหนมา
ไหนไม่ได้ของท่านว่า เป็นการเลียนแบบการถูกตองตรึงบนไม้กางเของพระเยซูคริสตเจ้า ท่านได้อดทน
และแบกรับความทุกข์ทรมานดังกล่าว เพื่อท่านจะได้เป็นเหมือนกับพระอาจารย์ของท่านอย่างครบสมบูรณ์
คือ พระเยซูเจ้า ผู้ถูกตรึงบนกางเขน นั่นเอง
      แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณพ่อแบร์โทนีปรารถนาที่จะเป็นเหมือน พระคริสต์เจ้า ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน นั้น
เริ่มต้นและชัดเจนตั้งแต่สมัยที่ท่านเป็นพระสงฆ์ใหม่ๆ แล้ว หลักฐานเรื่องนี้ เราพบในสมุดบันทึกวิญญาณ
ของท่าน ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1808 ท่านบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "มีพลังกระตุ้น (ภายใน) ข้าพเจ้าอย่าง
รุนแรงให้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างใกล้ชิด ในความยากจน และในการได้รับความอับอาย
แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม" และในอีก 2 วันต่อมา ท่านบันทึกว่า "ข้าพเจ้าปรารถนาจะแบ่งปัน และเป็น
หนึ่งเดียวกับพระทรมาน และความอับอายของพระองค์อย่างใกล้ชิด ข้าพเจ้าจึงวิงวอนขอพระหรรษทาน
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ทุกข์ทรมาน และได้รับการเกลียดชังเพื่อพระองค์" นี่เป็นการสารภาพ "ความปรารถนา
ที่จะเป็นมรณสักขี" ของท่าน และเป็นความปรารถนาที่ท่านไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยไป

❇️ เส้นทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ ผู้แนะนำชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ : "จงวางใจในพ่อแบร์โทนีเถิด" ❇️

          แม้ว่าซิสเตอร์เลโอโปลดีนา โนเดต์ จะเลือกคุณพ่อแบร์โทนีเป็นผู้ฟังแก้บาปของเธอมานานกว่า
3 ปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกท่านเป็นผู้แนะนำชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเธอ เหตุก็เพราะว่า
เธอต้องการเครื่องหมายที่ชัดเจนจากพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าในเรื่องนี้
          ไม่นานต่อมา เธอก็เริ่มมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในจิตใจของเธอว่า "จงวางใจในพ่อแบร์โทนีเถิด"
แต่เธอก็ยังคงรู้สึกแย้งในใจด้วยเหมือนกัน จึงตอบกลับไปว่า "แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้า ลูกก็มีพระองค์
ผู้เดียวมานาน และดีอยู่แล้วนี่" แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาในใจของเธอว่า "จงวางใจในท่านเถิด แล้วเธอ
จะยิ่งสนิทกับเรามากขึ้นอีก!"
          ซิสเตอร์โนเตต์ จึงได้เริ่มเข้าใจว่า หนทางของพระอาจารย์เจ้าที่จะทำให้เรามนุษย์ เข้าสู่ความ
ครบสมบูรณ์ตามคำแนะนำของพระวรสารได้นั้น "ต้องผ่านทางมนุษย์ที่มีใจสุภาพและเปี่ยมด้วยฤทธิ์กุศล"
เธอจึงยอมจำนนต่อเสียงพระเจ้า และนับจากนั้นเป็นต้นมา เธอก็เริ่มเริ่มเรียนรู้ที่จะพบพระคริสตเจ้าใน
พี่น้องร่วมคณะของเธอ ในพี่น้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจิตใจของ
ความเป็นมนุษย์ของเธอเอง

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ สวดภาวนากันทั้งเมือง ❇️

        หลังจากมารดาเสียชีวิตแล้ว คุณพ่อแบร์โทนีก็เริ่มมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ท่านก็ไม่ยอมผ่อน
ปรนการมัธยัสถ์ตัว และความเคร่งครัดในการถือความยากจน ท่านไม่เคยสร้างความยุ่งยากให้ใคร
และไม่เคยใช้ความเจ็บป่วยของท่านเป็นอุปสรรคขัดขวาง หรือลดทอนงานของท่านเลย ท่านกลับอุทิศ
ตัวมากขึ้นในการทำงานให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ศึกษาหาความรู้อย่างจริงจังและอย่างทุ่มเท และ
ใช้เวลาแทบจะตลอดทั้งคืนเพื่ออธิษฐานภาวนาและรำพึง นี่ทำให้ท่านถึงกลับล้มป่วยลง และ
มีอาการหนักจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
          หลังจากรับเป็นผู้ให้คำแนะนำชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของซิสเตอร์ เลโอโปลดีนา โนเดต์ ได้ไม่นาน
(ตุลาคม ค.ศ. 112) คุณพ่อแบร์โทนีก็ล้มป่วยหนักอีกครั้งหนึ่ง เมื่อชาวเวโรนารู้ข่าวนี้ ก็ร่วมใจกัน
อธิษฐานภาวนากันทั้งเมือง เพื่อหวังให้ท่านหายจากความเจ็บป่วย และกลับมาทำงานเพื่อพวกเขา
ได้ต่อไป ซึ่งในช่วงเวลานั้น ซิสเตอร์โนเดต์เองก็ถึงกับนิมิตเห็นชายคนหนึ่งกำลังสิ้นใจ และได้พูดกับ
เธอว่า ที่หลบภัยเดียวที่มีคือการภาวนาอย่างร้อนรนและอย่างวางใจ ในที่สุด สุขภาพของคุณพ่อแบร์โทนี
ก็กลับฟื้นขึ้นมาดังเดิม ท่านได้ไปขอบคุณซิสเตอร์โนเดต์ และชาวเมืองเวโรนาที่ร่วมใจกันอธิษฐานภาวนา
วิงวอนขอพระเป็นเจ้าเพื่อ "คนบาปที่น่าสงสาร" อย่างท่าน และท่านยังได้พูดกับพวกเขาอย่างสุภาพและ
ถ่อมตนว่า "จงรักที่จะอธิษฐานภาวนาต่อไปเถิด เพื่อพ่อจะได้สามารถรับพระคุณที่พระเจ้าประทานให้
ต่อไปได้ เพื่อวิญญาณของพ่อจะได้ปลอดภัย เหมือนอย่างที่ร่างกายของพ่อปลอดภัยแล้วในตอนนี้"

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:50 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (12)👈

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ บิดาของผู้ที่ทำผิดพลาด ❇️

          มีเรื่องราวที่น่าสลดใจเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น และเป็นที่โจษขานและวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไป สร้างรอยแผล
ที่เจ็บปวดได้กับชาวเวโรนาอย่างมาก เรื่องก็คือ มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งชื่อ อัลเจโล อัลเลกริ ก่อนหน้านี้ท่านเคย
เป็นภราดาในคณะของนักบุญเยโรม ได้พยายามวางยาพิษน้องชายของตัวเอง แต่กลับเป็นเหตุทำให้มารดา
ของตนเองต้องเสียชีวิต จึงมีความผิดฐานฆ่ามารดาของตัวเอง เหตุเกิดขึ้นในขณะที่ครอบครัวอัลเลกริ
ประกอบด้วย คุณพ่ออัลเจโล น้องชาย และมารดาของท่าน กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ที่ร้านอาหารแห่ง
หนึ่งชื่อ "ร้านโลวารา" ซึ่งอยู่ในตัวเมืองเวโรนา ทันใดนั้น น้องชายของท่านก็เกิดอาการจุกเสียดอย่างรุนแรง
อาเจียนออกมา คุณพ่ออัลเจโลทำเป็นตกใจและเข้ามาช่วย จากนั้นก็พากลับไปที่บ้าน และบอกมารดาของท่าน
ให้ทำน้ำซุปร้อนๆ ให้น้องชายของท่าน เพื่อจะได้มีอาการดีขึ้น ด้วยเหตุที่การใส่ยาพิษลงในอาหารในร้านอาหาร
ให้น้องชายของท่านกินนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ คุณพ่ออัลเจโลจึงแอบใส่ยาพิษเพิ่มเป็นสองเท่าลงในน้ำซุปนั้น
แล้วให้มารดายกไปให้น้องชาย แต่ด้วยเพราะอาการไม่ค่อยดีจึงไม่สามารถดื่มอะไรได้เลย มารดาของเขารู้สึก
เสียดายน้ำซุปนั้น และไม่รู้ว่ามียาพิษผสมอยู่ด้วย จึงได้รับประทานจนหมด นางจึงได้เสียชีวิตลงด้วยน้ำซุปผสม
ยาพิษถ้วยนั้น
          คุณพ่ออัลเจโลจึงมีความผิดทั้งในข้อหาพยายามฆ่า ฆาตกรรมและมาตุฆาต ศาลได้พิจารณา
และพิพากษาให้ท่านรับโทษประหารชีวิต
          แต่เรื่องเลวร้ายไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระสงฆ์ท่านนี้ก็ปฏิเสธไม่ยอมให้พระสงฆ์
องค์ใดไปเยี่ยม ปฏิเสธไม่ยอมรับศีลอภัยบาป และไม่ยอมกลับคืนดีกับพระศาสนจักร และที่มากกว่านั้นคือ
เขาเริ่มกล่าวคำหยาบคาย สาปแช่ง และพูดจาต่อต้านพระเยซูคริสต์เจ้า พฤติกรรมของเขาเป็นที่รับรู้ทั่วไป
ของชาวเวโรนา ทุกคนตกใจในพฤติกรรมของเขา และก็เริ่มหมดหวังที่จะนำเขามากลับคืนดีกับพระคริสต์เจ้า
และพระศาสนจักร
          พระสังฆราชแห่งเวโรนา ได้ขอให้อุปสังฆราชของท่าน คือ มองซิน  ญอร์ ดิโอนิซีโอ เดย มาร์เกซี่ ดิโอนิซี
ให้พยายามทุกวิถีทาง ที่จะช่วยให้พระสงฆ์ที่น่าสงสารผู้นี้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า หรืออย่างน้อยช่วยเขาให้
สิ้นชีวิตอย่างสงบ
          ทันทีที่มองซินญอร์ได้รับคำขอเช่นนี้จากพระสังฆราช ท่านก็คิดถึงคุณพ่อแบร์โทนีในทันที เพราะรู้ว่ามีเพียง
คุณพ่อแบร์โทนีเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยเหลือพระสงฆ์ท่านนั้นได้ ท่านจึงได้รีบเดินทางไปพบคุณพ่อแบร์โทนี
และขอให้ท่านช่วยในเรื่องนี้ ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว คุณพ่อแบร์โทนีก็รับปาก และพร้อมที่จะไป
ในทันที แต่ท่านมองซินญอร์ก็แนะนำให้ท่านไปในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า ซึ่งท่านก็ปฏิบัติตาม
          คุณพ่อแบร์โทนีใช้เวลาแทบจะตลอดทั้งคืนในคืนนั้นเพื่ออธิษฐานภาวนา ในตอนเช้าตรู่ หลังถวายมิสซา
เสร็จแล้ว ท่านก็รีบเดินทางไปที่คุกทันที แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะผ่านกรงเข้าไปในห้องขัง ก็มีเสียงของพระสงฆ์ท่าน
นั้นตะโกนออกมาว่า "นี่แหละคือคนที่จะมาช่วยผม" แล้วก็รีบวิ่งมาหาท่าน
          พระสงฆ์ท่านนี้ ซึ่งได้รับการอภิเษกเป็นของพระเจ้าแล้ว เขาเป็นเหมือนเครื่องหมายของความมีเมตตา
อย่างไม่มีขอบเขตของบิดาที่ต้องการจะพบบุตรของตนที่หลงผิดไป และบัดนี้ได้พบแล้ว โดยผ่านทางการอภัย
การปลอบโยนจิตใจ และความรัก ทำให้เขา "ลูกที่หลงผิดไป" ได้กลับมืชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง และบัดนี้ พร้อมที่
จะเดินหน้าเพื่อพบกับความตายอย่างสงบและสันติแล้ว พระสงฆ์ท่านนี้ถูกประหารชีวิตที่จัตุรัสนาโวนา
(ปัจจุบันคือจัตุรัสวิวีอานี่) เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1813 เวลาบ่ายสองโมง
          ในเวลาต่อมา คุณพ่อแบร์โทนี ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในสมุดบันทึกชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของท่านด้วย ซึ่งแม้
จะดูเรียบง่าย และไม่เป็นประโยคที่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก แต่ก็แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายจิต
วิญญาณของท่าน "คำปลอบใจสำหรับพี่น้องคนหนึ่งที่ได้หลงทางไป แต่บัดนี้ได้พบแล้ว" (25 มิถุนายน ค.ศ. 1813)

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ มิชชันนารีของประชาชน ❇️

          ในคืนวันพระคริสตสมภพ ปี ค.ศ. 1817 สมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ VII ได้ประทานชื่อ
"ธรรมทูตแพร่ธรรม" ให้แก่คุณพ่อแบร์โทนี เพื่อเป็นการขอบคุณและให้เกียรติท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ที่
ได้รับ พระพรพิเศษ ในการเป็นผู้ประกาศ พระวรสารของพระคริสต์เจ้า (นักเทศน์และสอนคำสอน)
          คุณพ่อแบร์โทนี่ได้พิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้รับพระคุณพิเศษ ในการเป็นศาสนบริกร
แห่งพระวาจาของพระเจ้า เป็นผู้ที่เข้าใจจิตใจมนุษย์ดี เป็นผู้รอบรู้เรื่องพระคัมภีร์ และเป็นผู้รับใช้ที่ชาญฉลาดยิ่ง
ท่านใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละวันในการรำพึงภาวนาอย่างหนัก ซึ่งยิ่งทียิ่งทำให้ท่านมีชีวิตฝ่ายจิต
วิญญาณที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น นี่ส่งผลให้วาจาที่เทศน์สอนของท่านเป็นวาจาที่ทรงพลัง มีเสน่ห์ และดึง
ดูดใจผู้ฟังอย่างมาก ยิ่งผนวกรวมกับแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของท่านเอง ยิ่งทำให้การเทศน์สอน
ของท่านมีพลังมากขึ้น จนผู้ฟังไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้
          ในปี ค.ศ. 1816 เมื่อครั้งที่คุณพ่อแบร์โทนีได้รับการชักชวนจาก มองซิน ญอร์ ปาชิฟิโก ปาเช็ตตี
ให้ไปช่วยเทศน์มิสชั่นที่วัดนักบุญฟีร์มุส ท่านก็ตอบรับโดยทันที เมื่อชาวเวโรนารู้ข่าวดีนี้ ต่างก็มุ่งหน้ากัน
ไปที่วัดนักบุญฟีร์มุส เพื่อฟังท่านเทศน์ และทุกคนก็ไม่ผิดหวัง ส่งผลให้เวโรนา กลับมาเป็นเมืองที่ยึดมั่น
ในหลักศีลธรรมอย่างเคร่งครัดเหมือนดังแต่ก่อน
          มองซินญอร์ปาเช็ตตีเอง ก็ชื่นชมในรูปแบบและวิธีการเทศน์ของคุณพ่อแบร์โทนีอย่างมาก จึงได้ส่ง
เสริม และสนับสนุนให้รูปแบบวิธีการเทศน์เช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ด้วย และด้วยความมั่นใจใน
ความสามารถ และจิตตารมณ์การเป็นมิชชันนารีของคุณพ่อแบร์โทนี มองซินญอร์ปาเช็ตตี จึงได้นำเสนอ
เรื่องนี้ต่อสันตะสำนัก เพื่อขอให้สันตะสำนักรับรู้ และรับรองพระพรพิเศษในการเป็น "นักเทศน์"
ของคุณพ่อแบร์โทนี โดยประทานชื่อ "ธรรมทูตแพร่ธรรม" ให้กับคุณพ่อแบร์โทนี

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:56 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (13)👈

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ คนแห่งพระวาจา ❇️

คุณพ่อแบร์โทนียังมีคุณลักษณะพิเศษของการเป็น "คนแห่งพระวาจาของพระเจ้า" ด้วย เหตุเพราะ
ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในพระวาจา หล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพระวาจา ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตในการรำพึง
พระวาจา และตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยอาศัยแสงสว่างจากพระวาจาของพระเจ้า ท่านเคยเขียนบันทึก
ไว้ว่า "ใครที่มีรากฐานอยู่บนพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ แม้อาจจะมีความอ่อนแอหรือเจ็บป่วยบ้าง แต่เขาก็ยัง
คงยืนอยู่อย่างเข้มแข็งและมั่นคงได้"
คุณพ่อแบร์โทนีได้อ่านพระคัมภีร์จบเล่มตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้ว และท่านก็ได้อ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่
หลายรอบ จนสามารถจดจำได้จนขึ้นใจ ท่านได้อุทิศและทุ่มเทตนในการศึกษาและค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ
เกี่ยวกับพระคัมภีร์ จนกลายเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญ นี่นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและสรรเสริญ
สำหรับยุคสมัยที่ให้เวลาน้อยในการอ่าน และศึกษาพระคัมภีร์ แต่คุณพ่อแบร์โทนีกลับอุทิศตัวด้วยใจรัก
และศรัทธาในการอ่าน และศึกษาคำอธิบายจากบรรดาปิตาจารย์ต่างๆ ของพระศาสนจักร ซึ่งไม่ใช่เพียง
ในเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์เท่านั้น แต่รวมถึงประเพณี และศาสตร์สาขาต่างๆ ของพระศาสนจักรด้วย
การอ่านและศึกษาด้วยตัวเองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่คุณพ่อแบร์โทนีกระทำมาตลอด และอย่างต่อเนื่อง เนื่อง
จากในยุคสมัยของท่าน ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ และเทววิทยา ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจพบได้ง่ายทั่วไป
ตามมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาต่างๆ การศึกษาด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น และคุณพ่อแบร์โทนีก็ได้
ทำเช่นนี้ ทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อนๆ ของท่านให้ทำเช่นนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ "นับแต่เริ่มต้นที่คุณพ่อแบร์โทนี
และกลุ่มเพื่อนของท่าน ได้ย้ายเข้าไปอยู่ประจำที่อารามสติมมาเต ท่านได้จัดหาหนังสือเกี่ยวกับการตีความ
พระคัมภีร์ และผลงานเขียนต่างๆ ของบรรดาปีตาจารย์ของพระศาสนจักรไว้ในอารามทันที"
คุณพ่อยาโกบเบ ผู้เขียนชีวประวัติของคุณพ่อแบร์โทนีเป็นคนแรก ได้พูดถึงคุณพ่อแบร์โทนีว่า "ท่าน
เป็นคนที่ชื่นชอบพระวาจา ท่านทำให้พระวาจากลับมามีชีวิตใหม่ในตัวท่าน และส่งต่อไปยังผู้อื่น ท่านพูด
พระวาจา ท่านอธิบายพระวาจา และทำตนให้เป็นเครื่องมือของพระวาจา จนถึงขนาดว่า พระวาจาได้กลาย
เป็นเลือดและเนื้อของตัวท่านเองเลยทีเดียว" ท่านรัก ภาวนาและรำพึงพระวาจา จนทำให้พระวาจากลายเป็น
ความคิด และรูปแบบปฏิบัติของชีวิตของท่าน เป็นเครื่องชี้นำชีวิต และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
ของท่าน
"ถ้าจะกล่าววาจาใด ก็จงกล่าวดุจกล่าวพระวาจาของพระเจ้า" (1 ปต 4:11) ดูเหมือนคุณพ่อแบร์โทนีจะ
เข้าใจพระวาจาตอนนี้อย่างดีทีเดียว เพราะงานแห่งการประกาศพระวรสารของท่าน มักจะหยั่งรากลึกใน
พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ที่จริง ท่านให้ความเป็นเอก แก่พระวาจาของพระเจ้า นับแต่สมัยที่ท่านเป็นสงฆ์
หนุ่มแล้ว และท่านก็ใช้ความรู้อย่างลุ่มลึกในพระคัมภีร์ของท่าน ให้เป็นประโยชน์ต่องานศาสนบริการของ
ท่านเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการเทศน์ การสอน และการทำงานศาสนบริการในรูปแบบต่างๆ
ในการสอนคำสอนแก่ผู้ใหญ่ ท่านได้อธิบายบท "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย" ไว้อย่างดีเยี่ยม
จนดูเหมือนว่าบทภาวนาบทนี้ เป็นบทสรุปของพระวรสารตลอดทั้งเล่มเลยทีเดียว และในระหว่างให้การอบรม
ด้านชีวิตฝ่ายจิตแก่สามเณรในบ้านเณร ท่านได้นำหนังสือพงศ์กษัตริย์ไปอ่าน รำพึง และจัดทำเป็นบทรำพึงที่
มีค่ายิ่ง เพื่อแบ่งปันแก่บรรดาสามเณรอีกด้วย
"นับตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว คุณพ่อแบร์โทนีได้อ่าน และศึกษาหาความรู้ในพระคัมภีร์อยู่หลายรอบ
เมื่อได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว พระคัมภีร์ก็ยังคงเป็นวิชาที่ท่านขึ้นชอบ และเป็นวิชาหลักที่ท่านศึกษาด้วย
ท่านมักจะถือหนังสือพระคัมภีร์เล่มเล็กๆ ติดมืออยู่เสมอ และท่านก็ได้พระคัมภีร์เสมือนเป็นหนังสือคู่มือประจำตัว
ท่าน นี่เป็นหนึ่งในขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ท่านได้มอบให้กับลูกๆ ในคณะของท่าน ท่านไม่เพียงแต่แนะนำพวกเขา
ให้รักในการอ่าน และศึกษาพระวาจาของพระเจ้าที่บรรจุอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ท่านยังชี้ทางให้พวกเขา
อ่านพระวาจาของพระเจ้าทุกวัน และนำพระวาจานั้นไปใช้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต และหมั่นรำพึงพระวาจา
ของพระเจ้าจนเป็นนิสัย" นี่เป็นประจักษ์พยานจากคุณพ่อยาโกบเบ ที่ได้เขียนบันทึกไว้ในหนังสือชีวประวัติ
ของคุณพ่อแบร์โทนี

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ ความฝันเป็นจริง ❇️

ประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญของคุณพ่อแบร์โทนี ในการไปช่วยมองซินญอร์ปาเช็ตตีเทศน์
แพร่ธรรมที่วัดนักบุญฟีร์มุสนั้น ทำให้ความคิดและความฝันที่จะตั้งนักบวชขึ้นมาสักคณะหนึ่งเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยให้เป็นคณะที่มีลักษณะเป็น "ธรรมทูตแพร่ธรรม" ซึ่งท่านก็ได้เริ่มตระเตรียมโครงการและแผนการต่างๆ
ร่วมกับเพื่อนๆ พระสงฆ์ที่มีความคิดเดียวกันท่านมาระยะหนึ่งแล้ว จะขาดไปก็เพียงแค่การทำให้ความฝันนั้น
เป็นจริงเท่านั้น
แล้วพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าก็มีมาถึงคุณพ่อแบร์โทนี เมื่อมีผู้เสนอมอบอารามและวัดที่ติดกับ
อารามให้กับท่าน เพื่อใช้เปิดเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กและเยาวชนที่ยากจน และยังสามารถใช้เป็นสถานที่
สำหรับตั้งคณะนักบวชใหม่ตามความฝันของท่านได้ ซึ่งท่านก็รับไว้ด้วยความยินดียิ่ง โดยในวันที่ 4 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1816 คุณพ่อแบร์โทนี พร้อมกับเพื่อนที่กล้าหาญของท่านอีก 2 คน คือ คุณพ่อโจวานนี มารีย์ มารานี
และฆราวาสชื่อ เปาโล ซาโนลี่ ก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอารามสติมมาเตเป็นวันแรก จากนั้น พวกท่านทั้ง 3 ก็เริ่ม
ผจญภัยกับชีวิตหมู่คณะใหม่ในทันที ไม่นานต่อมา พวกท่านก็เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กและเยาวชนที่ยากจน
และในเวลาเดียว ก็เริ่มปฏิบัติงานศาสนบริการให้แก่ชาวเวโรนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนยากจนและคนป่วย
นี่คือจุดเริ่มต้นของ "คณะสติกมาติน แห่งพระเยซูคริสตเจ้า" (คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ฯ)

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2024 10:46 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (14)👈

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ พระแม่มารีย์และนักบุญโยเซฟ : ผู้นำทางและแบบอย่าง ❇️

          ที่จริง ผู้สถาปนาคณะที่แท้จริงของคณะสติกมาตินก็คือ พระแม่มารีย์และนักบุญโยเซฟ ซึ่งเป็น
ต้นแบบของชีวิตการสนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคู่สมรสที่เป็นแบบอย่างทั้งในเรื่องความรัก
ความซื่อสัตย์ และการอุทิศตน ท่านทั้งสองยังเป็นคู่แรกที่เป็นแบบอย่างของชีวิตที่ได้รับการไถ่กู้แล้ว
ในการวิวาห์ของท่านทั้งสอง พันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระคริสต์เจ้า ได้รับการตระเตรียม ได้รับการ
ต้อนรับ ได้งอกงามเติบโต และเกิดสำเร็จในที่สุด
          ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อแบร์โทนีจึงปฏิเสธไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่าเป็น "ผู้ตั้งคณะ" และแม้เมื่อสถานการณ์
บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ท่านก็ไม่อยากใครเรียกท่านด้วยชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านมักจะพูดอย่างสุภาพ
และถ่อมตัวกับบรรดาลูกๆ ของท่านเสมอว่า "พ่อไม่สามารถเป็นผู้ตั้งคณะนักบวชได้"
          ด้วยเหตุผลนี้เอง คุณพ่อแบร์โทนีจึงได้มอบการเริ่มต้นคณะนักบวชของท่านไว้ในความคุ้มครองของ
พระแม่มารีย์และนักบุญโยเซฟ ที่พระแท่นกลางภายในวัดของอาราม สติมมาเต ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของวัด
ดังกล่าว ท่านได้มอบอุทิศให้กับพระแม่มารีย์และนักบุญโยเซฟ เพื่อให้ท่านทั้งสองเป็นผู้นำทางและเป็นแบบ
อย่าง ไม่ใช่เฉพาะสำหรับสมาชิกคณะสติกมาตินเท่านั้น แต่ยังเพื่อคู่สมรสทุกคนด้วย ไม่นานต่อมา
ความศรัทธาต่อคู่วิวาห์ศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ได้แผ่ขยายไปทั่วเวโรนา

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ บ้านที่จะต้องสร้าง ❇️

          การเริ่มต้นของคณะนักบวชสติก
มาตินเป็นไปอย่างเรียบง่ายที่สุด อารามสติมมาเตในขณะที่ย้ายเข้าไปอยู่นั้น อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมสำหรับ
เข้าไปอยู่อาศัยเลย นอกจากความผุพังของตัววัดและอารามที่พักแล้ว สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นก็แทบ
จะไม่มีเลย แต่ที่หนักที่สุดคือ พื้นที่สำหรับใช้เป็นที่พักอาศัย ทุกๆ เช้า พระสงฆ์ที่พักในอารามจะตัองรีบเก็บ
ที่นอน และยกเตียงนอนออกจากห้องเพื่อทำให้ห้องว่าง จากนั้นก็นำโต๊ะเรียนเข้าไปวางไว้แทน เพื่อใช้สำหรับ
สอนเรียน แต่สิ่งที่ทำให้ลำบากมากที่สุดคือ หิมะและอากาศหนาวที่สามารถทะลุเข้ามาได้จากหลังคาที่ผุพัง
อยู่ทั่วไป
          ความมัธยัสถ์ในทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นได้อย่างเด่นชัดในอารามสติมมาเต เหตุเนื่องจากในช่วง
เวลานั้น ความกันดารอาหารและความอดอยาก ได้แผ่ขยายไปทั่วเมืองเวโรนา ด้วยเหตุนี้ สมาชิกในอาราม
สติมมาเต จึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความมัธยัสถ์ และละเว้นสิ่งฟุ่มเฟือยโดยสิ้นเชิง พระสงฆ์ทุกคนอุทิศตัวอย่าง
ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยในการให้การศึกษา และการอบรมแก่เด็กนักเรียนที่ยากจน นี่เป็นคุณลักษณะที่สามารถพบ
และสังเกตเห็นได้จากกลุ่มพระสงฆ์ที่พักอยู่ในอารามสติมมาเต และเป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองเวโรนา จนถึงขนาดว่า
เมื่อเห็นพระสงฆ์คนใดคนหนึ่งเดินผ่านไปในเมืองเวโรนา ประชาชนจะสังเกตรู้และพูดทันทีว่า
"ท่านมาจากอารามสติมมาเต"
          แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดไปจากอารามสติมมาเตแห่งนี้คือ ความสุข ความมีชีวิตชีวา และจิตตารมณ์แห่งการ
ริเริ่มสิ่งดีใหม่ๆ ในช่วงเวลานั้น วัดของอารามสติมมาเตจำเป็นต้องได้รับการบูรณะซ่อมแซมทั้งหมด เนื่องจาก
ใช้การอะไรไม่ได้เลย การซ่อมแซมครั้งใหญ่จึงได้เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากหลังคาก่อน ส่วนคนงานที่ซ่อมแซมก็คือ
คุณพ่อแบร์โทนีและเพื่อนๆ สมาชิกในอารามของท่านนั้นเอง ทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจคนละไม้คนละมือ ซ่อม
แซมและต่อเติมตัววัดและอาราม จนสามารถใช้การได้อีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน การสอนเรียนและงาน
อภิบาลต่างๆ ก็ดำเนินไปพร้อมๆ กันด้วย นี่เป็นงานที่หนัก และเรียกร้องการทุ่มเทอย่างมาก แต่ทุกอย่าง
ก็ดำเนินไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
          การเสกและเปิดใช้อารามอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในอีกหลายปีถัดมา กล่าวคือ ได้กระทำในวันที่ 4
ตุลาคม ค.ศ. 1822 พิธีการคงดำเนินไปอย่างสง่าและงดงามมาก บุคคลที่มีอำนาจในบ้านเมืองและบุคคล
สำคัญต่างๆ ของเมืองเวโรนาคงได้อยู่ร่วมในพิธีอันสำคัญและน่าชื่นชมในวันนั้น
          แต่กระนั้นก็ดี คณะสติกมาตินในขณะนั้นคงเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการด้วยชื่อ "โรงเรียนการกุศล"
และคุณพ่อแบร์โทนีเองก็คงอยู่ในฐานะ "ครูใหญ่" ของโรงเรียน ส่วนสมาชิกสงฆ์ท่านอื่นๆ ก็เป็น "ครู" นั่นเอง

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ โรงเรียน : สถานอบรมจิตใจ ❇️

          ที่อารามสติมมาเต ภารกิจแรกของคณะสงฆ์แห่งนี้คือ การเปิดโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่เด็กๆ
ที่ยากจน สมาชิกทุกคนในอารามต่างทำงานอย่างทุ่มเทในการให้การศึกษาและอบรมเด็กๆ เหล่านั้น
พวกท่านอุทิศทั้งเวลาและศักยภาพทั้งหมดที่มี รวมถึงพื้นที่ทั้งหมดที่มีในอาราม แม้แต่ห้องนอนของพวก
ท่านและวัดน้อยด้วย เพื่อใช้เป็นห้องเรียนและห้องอบรมเด็กๆ และเยาวชนเหล่านั้น โดยจุดประสงค์แรก
และเหนือสิ่งอื่นใดหมดของการเปิดโรงเรียนแห่งนี้คือ เพื่อ "อบรมจิตใจ" ของพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่
คุณพ่อยาโกบเบเขียนบันทึกไว้เป็นพยานหลักฐาน
          ในฐานะเป็นพระสงฆ์และครู เป้าหมายแรกของการให้การอบรมเด็กๆ และเยาวชนเหล่านั้นคือ
"การอบรมจิตใจ" ของพวกเขา กล่าวคือ เป็นการอบรมความเป็นบุคคลทั้งครบของพวกเขา ท่านรู้ว่า
ควรจะทำอย่างไร ถึงจะให้นักเรียนของท่านรักที่จะศึกษาหาความรู้ และมีความพร้อมที่จะใช้ชีวิตท่าม
กลางสังคมที่เสื่อมทราม ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนของท่านจึงเป็นสถานทีุ่พ ที่ไม่ใช่ให้ความรู้แต่เพียงอย่าง
เดียว แต่ยังได้อบรมและฝึกฝนจิตใจของพวกเขาให้เป็นคนที่มีศาสนาในหัวใจ เพื่อพวกเขาจะได้
สามารถออก ไปประกอบอาชีพ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุขด้วย
          โรงเรียนของคุณพ่อแบร์โทนีจึงเป็นสถานที่ที่ให้มากกว่าความรู้ทางสติปัญญา เป็นสถานที่ที่ให้
มากกว่าการท่องจำ และเป็นสถานที่ที่ที่ให้มากกว่าความรู้ในวิชาชีพ แต่ให้การอบรม "ครบทุกมิติของชีวิต"
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนา ศีลธรรม และการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม โรงเรียนสติมมาเตไม่ได้สอน
ด้วยระบบการเรียนรู้ทางสติปัญญา แต่มีการใช้เหตุใช้ผล วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ซักถาม หรือแม้แต่โต้เถียง
และที่สุด นำไปสู่การมีประสบการณ์จริงในชีวิต นี่เป็นวิธีการของคุณพ่อแบร์โทนีที่เกิดผลสำเร็จแก่เด็กๆ
นักเรียนของท่านอย่างมาก
          อย่างไรก็ตาม การให้ศึกษาอบรมของท่านนี้จะหยุดในทุกวันอาทิตย์และวันฉลอง เพราะในวันดังก
ล่าวนั้น คุณพ่อแบร์โทนีและคณะสงฆ์ของท่านจะสงวนไว้สำหรับงานศาสนบริการ ไม่ว่าจะเป็นการบริการ
ศีลศักดิ์สิทธิ์ สอนคำสอน ฟังแก้บาป และกิจกรรมอื่นๆ ทางศาสนา เราจึงอาจกล่าวได้ว่า กิจการงานของ
คณะสงฆ์ในอารามสติมมาเตนั้นเป็นไปอย่างรอบด้าน กล่าวคือ ครบถ้วนทั้งในด้านทางโลกและทางธรรม

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2024 10:51 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (15)👈

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ วางใจในการนำทางของพระเจ้า : ปฏิเสธไม่รับของถวายทองคำ ❇️

          วัดน้อยของอารามสติมมาเตจะมีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างจากวัดอื่นๆ เช่น ไม่มีกล่องสำหรับใส่เงิน
ทำบุญ ไม่รับมิสซาประเภทตลอดชีพ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทางพิธีกรรม และไม่มีการรับค่าศาสนบริการใดๆ
ทั้งสิ้น แม้แต่พระสงฆ์ที่ไปฟังแก้บาปสามเณรที่บ้านเณรก็ไม่รับเงินทำบุญ และพระสงฆ์ที่ไปช่วยงานในคุก
ก็ไม่รับค่าตอบแทนจากรัฐบาลด้วย นี่เป็นกฎของคุณพ่อแบร์โทนีที่สมาชิกทุกคนในอารามถือปฏิบัติอย่าง
เคร่งครัด เพราะท่านถือว่า ศาสนบริการใดๆ ก็ตาม จะต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความรักต่อพระเจ้าและ
เพื่อนพี่น้องเสมอและเท่านั้น ไม่ควรมีเรื่องทรัพย์สินและค่าตอบแทนใดๆ เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอน
สมาชิกทุกคนในอารามของท่านว่า ไม่ว่าจะเป็นการบริการงานในด้านใดก็แล้วแต่ จะต้องเป็นการบริการ
แบบ "ให้เปล่า" นี่เป็นเจตนาของคุณพ่อแบร์โทนี ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนนับตั้งแต่เปิดโรงเรียน
ที่สติมมาเตแล้ว ที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กที่ยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่อยู่ในชนบทห่าง
ไกลจากตัวเมืองและความเจริญ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
          ส่วนในเรื่องการบูรณะซ่อมแซมวัดนั้น คุณพ่อแบร์โทนีก็ปฏิเสธไม่ยอมรับแม้แต่ของถวายที่มีผู้มีใจ
ศรัทธามอบให้ เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง มีผู้มีใจศรัทธาคนหนึ่ง ได้นำถุงใบหนึ่งซึ่งข้างในบรรจุไว้ด้วยทองคำ
มาวางไว้บนพระแท่น แล้วก็รีบออกจากวัดไปโดยพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น ไม่นานต่อมา เมื่อผู้มีใจ
ศรัทธาคนนั้นกลับถึงบ้าน ก็พบว่าถุงทองคำใบนั้นวางอยู่ที่บ้านของตนแล้ว เป็นคุณพ่อแบร์โทนีเองที่ได้นำ
ถุงทองคำใบนั้นกลับไปคืนให้เจ้าของ และยืนยันถึงเจตนารมณ์อันมั่นคงของตนที่จะไม่รับของถวายใดๆ
จากผู้มีใจศรัทธา ผู้มีใจศรัทธาคนนั้นก็คือ นายโจวานนี เตรวิซานี่ ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยและใจศรัทธา
เขาต้องการจะทำบุญช่วยเหลือคุณพ่อแบร์โทนี ในการบูรณะซ่อมแซมวัด แต่รู้ก็ว่าถ้านำเงินหรือสิ่งใดมา
ถวาย คุณพ่อแบร์โทนีจะปฏิเสธไม่ยอมรับแน่ จึงได้แอบเอาถุงทองคำไปวางไว้บนพระแท่นดังกล่าว และ
พยายามทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ในที่สุด แผนการช่วยเหลือของเขาก็ไม่สำเร็จ

❇️ ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ➡️ วางใจในการนำทางของพระเจ้า : ปฏิเสธรับมรดกจากคนรวย ❇️

          ในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1846 คุณพ่อฟรันเชสโก การ์โตลารี่ สมาชิกท่านหนึ่งของอารามสติมมาเต
ได้เสียชีวิตลง ท่านเป็นที่สุภาพ และดำเนินชีวิตในความยากจนอย่างเคร่งครัด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ท่านเป็น
ขุนนางและร่ำรวยมาก แต่ท่านได้ละทิ้งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และสมัครใจมาดำเนินชีวิตอย่างสมถะและยากจน
ร่วมกับคุณพ่อแบร์โทนี หลังจากที่ท่านได้สิ้นใจแล้ว ได้มีการเปิดพินัยกรรมของท่าน ปรากฏว่าท่านได้ยก
ทรัพย์สินทั้งหมดของท่านให้แก่คุณพ่อแบร์โทนี ทรัพย์สินของท่านมีมูลค่าประมาณครึ่งล้านเหรียญออสเตรีย
ในสมัยนั้น ถ้าเป็นเงินสกุลปัจจุบันคงมีค่าหลายล้านเหรียญทีเดียว อย่างไรก็ตาม คุณพ่อการ์โตลารี่ก็รู้ดีว่า
อธิการของท่าน คือคุณพ่อแบร์โทนีเป็นคนเช่นไร ท่านคงปฏิเสธไม่ยอมรับมรดกเหล่านี้แน่ ท่านจึงได้ระบุไว้
ในพินัยกรรมถึงชื่อสมาชิกของอารามสติมมาเตอีก 3 ชื่อ ให้เป็นผู้รับมรดกแทนหากคุณพ่อแบร์โทนีปฏิเสธ
ไม่ยอมรับ กล่าวคือ หากคุณพ่อแบร์โทนีปฏิเสธไม่ยอมรับ ก็มอบให้แก่คุณพ่อมิเกลอันเจโล กราเมโก้ หาก
ท่านไม่รับก็มอบให้คุณพ่อกาเยตาโน บรุนโญลี หากท่านไม่รับอีกก็มอบให้คุณพ่อฟรันเชสโก เบ็นโชลินี่
เมื่อได้อ่านพินัยกรรมจบแล้ว คุณพ่อแบร์โทนีก็ปฏิเสธทันที โดยกล่าวว่า "สำหรับพ่อ พ่อไม่รับแม้แต่เหรียญเดียว"
แล้วท่านก็พูดกับสมาชิกทั้ง 3 ท่านว่า "สำหรับพวกท่าน ขอให้พวกท่านพิจารณาตัดสินใจกันเอง" การปฏิเสธไม่
ขอรับมรดกของคุณพ่อแบร์โทนีเป็นไปอย่างจริงใจและเด็ดเดี่ยว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่ตัดใจจาก
ทรัพย์สมบัติใดๆ ฝ่ายโลก สมาชิกทั้ง 3 ท่าน ต่างก็สัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นนี้ของท่าน และพวกเขาก็เลือก
ที่ยืนอยู่เคียงข้างแนวทางของคุณพ่อแบร์โทนี โดยทั้งหมดปฏิเสธไม่มีใครยอมรับมรดกดังกล่าวนั้นเลย ที่สุด
มรดกดังกล่าวจึงตกไปเป็นของขุนนางที่ชื่อ อันโตนีโอ การ์โตลารี่ ซึ่งเป็นน้องชายของคุณพ่อ
ฟรันเชสโก การ์โตลารี่ นั่นเอง
          หลังการอ่านพินัยกรรมจบลงแล้ว คุณพ่อแบร์โทนีได้เรียกสมาชิกทุกคนประชุมร่วมกัน แล้วกล่าวกับ
พวกเขาสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ขอให้เราติดตามพระเยซูคริสตเจ้าผู้ยากจนอย่างใกล้ชิด" สมาชิกทุกคนก็เห็นด้วย
และน้อมรับเจตนารมณ์นี้ด้วยความยินดี ก่อนเลิกประชุม พวกเขาได้ร่วมกับขับร้องบทเพลง "เตเดอุม" เพื่อเป็น
การขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความกล้าหาญและพระหรรษทาน จนทำให้พวกท่านสามารถรักษามรดกล้ำค่า
คือ "ฤทธิ์กุศล" ในการถือความยากจน และไม่ติดใจกับทรัพย์สมบัติใดๆ ไว้ในอารามต่อไปได้

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 07, 2024 12:22 am

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์ แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (16)👈

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ ทางแห่งไม้กางเขน : ที่โรงเรียนของพระเจ้า ❇️

การล้มเจ็บของคุณพ่อแบร์โทนีเมื่อปี ค.ศ. 1812 ถือเป็นการป่วยหนักครั้งแรกของท่าน และ
นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่เคยหายจากโรคดังกล่าวนั้นเลย และในบางครั้ง โรคดังกล่าวยังทำ
ให้ท่านต้องทรุดหนักจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด บ่อยครั้งที่ท่านต้องนอนติดกับเตียงเป็นเวลานาน
และทรมานกับความเจ็บปวดดังกล่าว ยิ่งวันใดที่อากาศหนาวเย็น ความเจ็บปวดของท่านจะเพิ่มขึ้น
อีกเป็นเท่าตัว นี่ส่งผลให้กิจการงานหลายๆ อย่างของท่านต้องล่าช้าออกไป แต่คุณพ่อแบร์โทนีก็ไม่
เคยปริปากบ่นต่อความเจ็บป่วยของท่านเลย ท่านวางใจในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพร้อมที่จะรับ
ทุกอย่างที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
เหนืออื่นใด คุณพ่อแบร์โทนีรู้สึกสำนึกในพระทัยดีของพระเจ้า สำหรับ "โรงเรียน" ที่พระองค์
ประทานให้ท่าน คือ โรงเรียนสอนความทุกข์ทรมานที่พระจิตเจ้าทรงส่งมาให้ท่าน เพื่อสอนท่านให้
รู้จักน้อมรับด้วยความสุภาพและด้วยความรัก ท่านกล่าวว่า ความเจ็บป่วยเป็นอะไรที่เหมือนกับการ
พักผ่อนที่พระเจ้าประทานให้ท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงมอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระเจ้า
เหมือนบุตรที่วางใจในมารดาของตน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตแห่งการเป็นมรณสักขีก็ได้เริ่มต้นกับคุณพ่อแบร์โทนีในอีกไม่นานต่อมา
เนื่องจากเนื้องอกที่ขาข้างขวาของท่านได้ลุกลามและโตขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความเจ็บปวดอย่างแสน
สาหัสให้แก่ท่าน อาการได้กำเริบหนักที่สุดในปี ค.ศ. 1821 เมื่อขาของท่านเริ่มบวมแดงและอักเสบ
มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน แผลก็เริ่มติดเชื้อและลุกลามไปยังหัวเข่า การผ่าตัดจึงเกิดขึ้นอย่างไม่อาจ
หลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่มากกว่า 300 ครั้ง เพื่อตัดชิ้นเนื้อร้ายนั้นออก เพื่อทำความสะอาด
แผล และเพื่ออะไรต่างๆ อีกมากมาย โดยไม่มียาสลบหรือยาชาแต่อย่างโด สิ่งที่เป็นเครื่องมือแพทย์ที่
ใช้กันในสมัยนั้น มีเพียงแท่งเหล็กร้อนเพื่อใช้ฆ่าเชื้อเท่านั้น
คุณพ่อแบร์โทนีต้องทุกข์ทรมานกับอาการของโรคนี้ยาวนานกว่า 5 ปี โดยที่คุณหมอผู้รักษาและ
ทำการผ่าตัดได้เล่าในภายหลังว่า ท่านไม่เคยได้ยินคำบ่นจากปากของคุณพ่อแบร์โทนีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จะมีก็เพียงในตอนที่คุณหมอขูดกระดูกต้นขาของท่านเพื่อเอาเนื้อร้ายออก นั่นทำให้ท่านเจ็บปวดอย่างมาก
จนน้ำตาไหลออกมายังแก้มของท่าน แต่นั่นก็เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ โดยที่ท่านไม่ได้ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด
ปฏิกิริยาเดียวที่คุณหมอสังเกตเห็นขณะที่คุณพ่อแบร์โทนีกำลังเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดคือ ท่านขยับ
ริมฝีปากเพื่อสวดภาวนา นี่ทำให้คุณหมอที่ผ่านการผ่าตัดผู้คนมาจำนวนมาก ถึงกับอดไม่ได้ที่จะพูดว่า
"ผมว่าท่านเป็นนักบุญแน่ๆ"
แล้วอะไรล่ะที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนี้ของท่าน? คำตอบคือ จิตตารมณ์แห่งความรัก และการ
ใส่ใจในความรู้สึกของคนอื่นของท่านนั่นเอง ท่านไม่ต้องการ "รบกวน" ใครที่ยืนอยู่รอบๆ ท่าน ท่านไม่
ต้องการทำตัวเป็นภาระให้กับใคร และไม่ต้องการให้ใครมีความวิตกกังวล หรือเป็นห่วงในตัวท่าน
มากกว่านั้นคือ ท่านได้รับพระคุณแห่งสันติสุขจากพระเจ้า จึงทำให้ท่านสามารถยิ้มอยู่ตลอดเวลาได้
และยังทำให้คนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอาการของท่านยิ้มตามท่านไปด้วย แม้ในขณะที่ท่านกำลังอยู่ในภาวะ
อันตรายถึงชีวิต รอยยิ้มของท่านยังสามารถสร้างความผ่อนคลาย และลดความวิตกกังวลของคนที่
ยืนอยู่รอบๆ เตียงของท่านได้

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ ชาวเมืองอยู่ล้อมรอบเตียงของท่าน : "เทวทูตแห่งที่ปรึกษา" ❇️

ยิ่งทีคุณพ่อแบร์โทนียิ่งถูกจำกัดอาณาบริเวณให้อยู่แค่ในห้องนอนของท่านเท่านั้น แต่ในเมื่อท่าน
ไม่สามารถออกไปเดินตามท้องถนนในเมืองเวโรนาได้เหมือนแต่ก่อน ชาวเมืองเวโรนาจึงพากันมาเยี่ยม
ท่านถึงห้องนอนเป็นการตอบแทน
จากเก้าอี้ในห้องนอนของท่าน คุณพ่อแบร์โทนียังคงเทศน์อบรมให้แก่บุคคลต่างๆ ต่อไป ท่านเทศน์
ฟื้นฟูจิตใจให้กับกลุ่มสามเณร ฟังแก้บาป และต้อนรับทุกคนที่มาขอความช่วยเหลือ และคำแนะนำในเรื่อง
ต่างๆ จากท่าน ท่านให้ความเอาใส่ใจเป็นพิเศษแก่ลูกๆ ในคณะของท่าน ทั้งการเทศน์ อบรม สั่งสอน และ
ให้คำแนะนำแก่พวกเขา ท่านมักจะมีคำคมพร้อมกับรอยยิ้มให้กับทุกคนที่มาพบท่าน ด้วยเหตุนี้ อาราม
สติมมาเตแห่งนี้ คือ ห้องนอนของคุณพ่อแบร์โทนีนั่นเอง จึงกลายเป็นเหมือนสถานที่แสวงบุญ ที่มีผู้คนต่างๆ
จำนวนมากเดินทางมาพบท่าน ทั้งเพื่อขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษา ขอกำลังใจ และขอคำชี้แนะในเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บุคคลสำคัญทางการเมือง นักบวช พระสงฆ์ และแม้แต่
พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลเวโรนาเอง คือ พระสังฆราชจูเซปเป้ กรัสเซอร์ ท่านจะไม่ตัดสินใจในเรื่องสำคัญ
ใดๆ จนกว่าจะได้ปรึกษาหารือกับคุณพ่อแบร์โทนีก่อน และรวมถึงพระคาร์ดินัลหลุยจี ดิ กานอสซา
ที่มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมท่านอยู่เสมอ
แม้แต่ผู้ปกครองและผู้นำระดับสูงของรัฐบาล ก็ยังเดินทางมาพบคุณพ่อแบร์โทนีในห้องนอนของท่านนี้
ในปี ค.ศ. 1825 ครอบครัวของจักรพรรดิฟรันซิส ที่ 1 พร้อมด้วยผู้ติดตาม ได้เดินทางมาเยี่ยมชมอาคาร
ใหม่ที่อารามสติมมาเตกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ โดยมิได้แจ้งล่วงหน้า ในครั้งนั้น แม้คุณพ่อแบร์โทนีจะ
ยังคงป่วยหนักด้วยอาการติดเชื้อที่ขา แต่ท่านก็ยังพาแขกผู้มาเยือนเยี่ยมชมสถานที่และห้องต่างๆ ในอาราม
พร้อมทั้งอธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของอาราม และกิจการงานต่างๆ ที่คณะกำลังดำเนินอยู่ คำพูดให้กำลังใจ
และการรับรองของผู้มีอำนาจฝ่ายปกครอง สร้างความภาคภูมิใจให้กับสมาชิกในคณะทุกคน จะมีก็เพียง
คุณพ่อแบร์โทนีคนเดียวเท่านั้นที่พูดอย่างสุภาพและถ่อมตนว่า "ผู้มีอำนาจได้แสดงให้เห็นถึงความอดทนต่อ
ความมานะพยายามของเรา แม้ว่าเราไม่สามารถจะอวดอ้างอะไรได้เลย นอกจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น"
ในปี ค.ศ. 1838 พระจักรรดิเฟอร์ดินัล ที่ 1 ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมคุณพ่อแบร์โทนีที่ล้มป่วยอยู่นี้ เพื่อขอให้ท่าน
ภาวนาให้ นี่จึงไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุผลที่ชาวเมืองเวโรมาจะพร้อมใจกันเรียกพ่อแบร์โทนีว่า "เทวทูตแห่งที่ปรึกษา"
คำแนะนำต่างๆ ที่คุณพ่อแบร์โทนีมอบให้ เป็นเหมือนดวงประทีปส่องทางสำหรับชาวเมืองเวโรนาทุกคน
คุณพ่ออันโตนีโอ เบรสชานี่ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวารสาร "ชีวีตะ กัตโตลิกา" ได้พูดถึงคุณพ่อแบร์โทนีว่า
"สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ดูเหมือนกิจการทุกอย่างที่ท่านทำจะได้รับการไตร่ตรอง และนำทางโดยแรงบันดาลใจ
ของพระจิตเจ้า"
ครั้งเมื่ออหิวาตกโรคแพร่ระบาด และสร้างความโกลาหลแก่ชาวเมืองเวโรนาอย่างมากในปี ค.ศ. 1831
ครั้งนั้นคุณพ่อแบร์โทนีได้แสดงตนเป็นเหมือนบิดาของทุกคนในเมือง ท่านได้พูดคุยปลอบใจพวกเขา
และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้พวกเขาวางใจในญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2024 10:36 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (17)👈

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ หนึ่งในหมู่นักบุญ ❇️

          ความมีชีวิตชีวาในการเป็น "ธรรมทูตแพร่ธรรม" ของคุณพ่อแบร์โทนีได้ค่อยๆ ถ่ายทอดมา
สู่ลูกๆ ในหมู่คณะของท่าน สมาชิกทุกคนในอารามสติมมาเตจึงค่อยๆ พัฒนา และเติบโตในการคิด
ริเริ่มงานศาสนบริการใหม่ๆ งานเมตตาสงเคราะห์ และการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลทั่วไป แต่ที่
เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่อแบร์โทนีที่ค่อยๆ ฉายแสงส่องต่อไปยังคนรอบข้างและ
ต่อๆ ไปยังชาวเมืองเวโรนา ส่งผลให้ชาวเมืองทั้งชายและหญิงต่างดำเนินชีวิตด้วยความเสียสละตน
และเอาใจใส่อย่างจริงจังในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของตน
          แบบอย่างความศักดิ์สิทธิ์ และการอุทิศตนเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้อื่นของคุณพ่อแบร์โทนีนี้
ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อบรรดาสมาชิกในอารามสติมมาเตเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้บุคลต่างๆ
ที่ได้พบ และสัมผัสท่านอุทิศ และทุ่มเทตนเพื่อทำงานรับใช้พระเจ้าและพี่น้องเพื่อนมนุษย์อย่างเกิดผล
ตัวอย่างเช่น อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณพ่อนิโคลา มัสซา กำลังภาวนาอย่างศรัทธาอยู่นั้น ท่านได้ยินเสียง
ลึกลับเสียงหนึ่งถามท่านว่า "ท่านจะทำอย่างไรกับเด็กหญิงเหล่านั้น? ท่านจะทำให้พวกเธออ่อนโยน
อย่างที่ควรจะเป็นได้อย่างไร?" เรื่องมีอยู่ว่า พระสงฆ์ท่านนี้ได้รวมบรรดาเด็กหญิงจากตามท้องถนน
และสถานที่อันตรายต่างๆ ในเมืองเวโรนาให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ท่านยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเด็กหญิง
เหล่านี้ จึงรู้สึกเป็นทุกข์และกังวลใจในภาระและอุปสรรคต่างๆ ที่รออยู่ตรงหน้า แต่ความวิตกกังวลของ
ท่านนี้ ก็ไม่อาจหลุดรอดพ้นการสังเกตของคุณพ่อแบร์โทนี ซึ่งเป็นผู้แนะนำวิญญาณของท่านได้ และเป็น
คุณพ่อแบร์โทนีนี้เองที่ให้ความกระจ่างชัดแก่แผนการของท่าน และช่วยให้ท่านสามารถตัดสินใจได้อย่าง
เด็ดเดี่ยว คุณพ่อแบร์โทนีได้บอกกับท่านว่า "ลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่งเถิด" ในตอนแรก คุณพ่อมัสซาก็มี
ความวิตกกังวลอยู่บ้าง "แล้วข้าพเจ้าควรจะทำอะไรล่ะ? ข้าพเจ้าจะทำได้อย่างไร?" แต่คุณพ่อแบร์โทนีก็
ตอบกลับในทันทีว่า "ลงมือทำเถิด" ไม่นานต่อมา คุณพ่อมัสซาก็ได้ก่อตั้ง "สถานศึกษาอบรมสำหรับ
เด็กหญิง" ซึ่งอีก 2 ปีต่อมา สถามศึกษาอบรมแห่งนี้ก็แผ่ขยายสาขาออกเป็นงานอีกประเกทหนึ่ง คือ
"บ้านศึกษาอบรมสำหรับเด็กยากจน"
          คุณพ่อมัสซารู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมในคำแนะนำที่ท่านได้รับจากคุณพ่อแบร์โทนี พระสงฆ์ผู้แนะนำ
ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของท่าน แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะไม่นานต่อมา ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งก็ตามมา
คือ มีกลุ่มเด็กหญิงผิวดำจำนวนหนึ่งที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาส ร้องขอเพื่อจะเข้ามารับการ
ศึกษาอบรมจากสถานศึกษาของท่าน ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นกับท่านคือ ความรู้สึกสับสนว่าจะทำอย่างไรดี
ต่อมากลายเป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับเด็กหญิงผิวดำเหล่านั้น เหตุเพราะท่านมีความกังวลว่า เมื่อเด็กเหล่านั้น
เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับอนาคตของพวกเธอ? เมื่อพวกเธอเรียนจบแล้ว จะมีใคร
บ้างที่จะรับเธอไปทำงาน?"
          เป็นคุณพ่อแบร์โทนีที่ได้ให้คำแนะนำแก่ท่านว่า "ไม่ต้องกังวลในเรื่องเหล่านั้นหรอก แล้วท่านจะเห็นว่า
พระเจ้าจะทรงจัดการทุกอย่างได้อย่างแน่นอน" ไม่นานต่อมา คุณพ่อมัสซาก็ได้ก่อตั้งสถาบันสำหรับชาวแอฟริกา
โดยมีคติพจน์ว่า "ช่วยเหลือแอฟริกันเพื่อแอฟริกา"
       นี่ถือเป็นการเริ่มต้นงาน การประกาศพระวรสารในแอฟริกา รูปแบบของสมัยแรกๆ คือ โดยชาวแอฟริกันเอง
ไม่นานต่อมา ได้มีนักบวชทั้งชายและหญิงเป็นจำนวนมากได้ไปหาคุณพ่อแบร์โทนีเพื่อขอคำแนะนำ และขอ
กำลังใจจากคุณพ่อแบร์โทนีสำหรับภารกิจต่างๆ ที่พวกเขากำลังทำอยู่ และจะทำต่อไปในอนาคต ดังเช่น คุณพ่อ
อันโตนีโอ โปรโวโล ผู้ตั้งคณะเพื่อมารีย์ เพื่อให้การศึกษาแก่คนใบ้และคนหูหนวก ท่านมีความคิดเช่นนี้ใน
ตอนแรก และได้ไปปรึกษากับ "พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งที่ได้รับพระพรพิเศษจากพระเจ้าในการให้คำปรึกษา"
นั่นคือ คุณพ่อแบร์โทนี ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถคลายข้อสงสัยทั้งหมดของเขา และสามารถชี้แนวทางที่ถูกต้องเสมอ
ให้แก่เขา" บุญราศีการ์โล สตีบ เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้ยืนยันว่า คุณพ่อแบร์โทนีเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมาก ในการ
ตัดสินใจตั้งคณะซิสเตอร์แห่งเมตตาธรรมของเขา ยังมีซิสเตอร์ที่อุทิศตนทำงานอย่างกล้าหาญมากอีก 2 ท่าน
ที่ได้ขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคุณพ่อแบร์โทนี นับตั้งแต่ครั้งที่ท่านไปเทศน์เข้าเงียบ และให้คำ
ปรึกษาวิญญาณที่อารามนักบุญยอแซฟของพวกเธอ คือ ซิสเตอร์มาร์คิโอเนส แห่งกานอสซา ผู้ก่อตั้งซิสเตอร์
คณะธิดาเมตตาธรรมในเวลาต่อมา และ ซิสเตอร์ โลโอโปรดีนา โนเดต์ ผู้ก่อตั้งซิสเตอร์คณะครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ในเวลาต่อมา นอกจากซิสเตอร์ 2 ท่าน นี้แล้ว ยังมีซิสเตอร์ในอารามนักบุญยอแซฟนี้อีกท่านหนึ่ง ชื่อ
ซิสเตอร์ เทโอโดรา กัมโปสตรีนี่ ที่ได้ไปขอคำปรึกษาเรื่องการตั้งคณะนักบวชจากคุณพ่อแบร์โทนี ขณะที่ท่าน
ยังเป็นวิญญาณรักษ์ประจำที่อารามของเธอ และในเวลาต่อมา เธอก็ได้ตั้งคณะซิสเตอร์น้อยแห่งเมตตาธรรม
แห่งมารดาผู้ระทมทุกข์ และยังได้ขอให้ท่านช่วยพิจารณากฎพระวินัยของคณะใหม่ของเธอด้วย
          นอกจากชาวเมืองเวโรนาแล้ว ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงจากเมืองอื่น ๆ ได้เดินทางมาเพื่อขอคำแนะนำ
จากคุณพ่อแบร์โทนีด้วย เช่น คุณพ่อโรสมินี่ ที่มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับกระแสเรียกในการก่อตั้งคณะนักบวช
ของท่าน รวมถึงการเขียนพระวินัยสำหรับคณะนักบวชใหม่ของท่านด้วย ในจดหมายที่คุณพ่อโรสมินี่เขียนถึง
สมาชิกในคณะของท่าน ในปี ค.ศ. 1831 ได้กล่าวยกย่องคุณพ่อแบร์โทนีว่าเป็น "ผู้ศักดิ์สิทธิ์" ท่านหนึ่งเลยทีเดียว

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2024 10:42 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (18)👈

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ คนของพระศาสนจักร ❇️

       เนื่องจากคุณพ่อแบร์โทนีมีบทบาทในสังฆมณฑลของท่าน ในฐานะเป็นผู้นำที่ดีและซื่อสัตย์ ท่านจึง
ได้รับการกล่าวถึงในฐานะเป็น "คนของพระศาสนจักร" ด้วย โดยตั้งแต่ท่านได้ย้ายออกจากบ้านบิดา
ของท่าน ท่านก็ได้มอบชีวิตและทุกสิ่งทั้งหมดของท่านไว้กับพระศาสนจักร ผู้เป็นมารดาศักดิ์สิทธิ์ ท่าน
มอบตัวเองและความไว้วางใจทั้งหมดของท่านไว้กับพระศาสนจักร เหมือนบุตรที่มอบชีวิตทั้งหมด
ของตนไว้ในการดูแลของมารดา พระศาสนจักรจึงเป็นเหมือนมารดาและอาจารย์ของท่าน และด้วย
เหตุนี้เอง ท่านจะทำตัวเองให้พร้อมเสมอและอย่างเต็มความสามารถในการ "รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
และพระศาสนจักรของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งข้าพเจ้าไว้"
          ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความรักที่คุณพ่อแบร์โทนีมีต่อพระศาสนจักรก็คือ การ
เตรียมตัวของท่านให้พร้อมอยู่เสมอ และด้วยความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ในการทำงานรับใช้พระศาสนจักร
ท้องถิ่น นั่นคือ สังฆมณฑลเวโรนา ท่านได้มอบตัวท่านเอง อุทิศตนอย่างทุ่มเท และทำงานอย่างดีที่สุด
เพื่อสังมณฑลเวโรนาของท่าน ปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่ท่านพบในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ท่านจะ
คอยแก้ไข และนำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลดีที่สุดเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านเปิดตัวต่อการนำทางของ
พระจิตเจ้า ทั้งยังปฏิบัติตามการนำทาง และการชี้แนะของผู้ใหญ่ของท่านด้วยความสุภาพเสมอ ไม่ว่า
จะเป็นพระสงฆ์เจ้าอาวาส พระสังฆราช หรือพระสันตะปาปา ซึ่งผู้แทนทั้งสามของพระคริสตเจ้านี้ ก็ได้เป็น
พยานยืนยันถึงการเป็นคนสุภาพ และความนอบน้อมเชื่อฟังของท่าน คุณพ่อแบร์โทนีปรารถนาให้ลูกๆ
ในคณะของท่าน "พร้อมในการรับใช้บรรดาพระสังฆราช" ด้วยเช่นกัน ท่านปรารถนาให้พวกเขาเป็นเหมือน
"ทีมนักบินที่คอยช่วยพระสังฆราช" พร้อมที่จะไปทุกแห่งที่ท่านร้องขอ

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ "ท่านต้องมอบตัวท่านเองไว้ในพระหฤทัยของพระคริสตเจ้า" ❇️

          นับจากครั้งที่ท่านมีประสบการณ์อย่างเหนือธรรรมชาติ ต่อหน้าพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน
ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ของคุณพ่อแบร์โทนีก็ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และ
ได้แสดงออกให้เห็นประจักษ์อย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1829 เมื่อท่านได้สมัครให้ตัวท่านเอง และคณะของท่าน
เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ของกลุ่มพระสงฆ์ของนักบุญเปาโลอัครสาวก
แห่งกรุงโรม องค์กรนี้เกิดขึ้นโดยการริเริ่มของคณะเยสุอิต ที่สนับสนุนให้พระสงฆ์รวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อ
มอบตัวไว้ในพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ในธรรมนูญของคณะสติกมาติน คุณพ่อแบร์โทนีได้ให้
ความสำคัญอย่างมากกับจิตตารมณ์ของการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ โดยท่านเขียนไว้ว่า ให้ทุกคนรักษา
เอกภาพแห่งความรักและความปรองดองนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ขัดขวางเอกภาพนี้
กล่าวคือ ความขัดแย้งและความแตกแยกซึ่งต้องหลีกเลี่ยงด้วยความอุตสาหะ ระลึกถึงคำของเพลงสวด
(สดด. 132) ที่ว่า "ช่างน่าชื่นชมยินดีปานใด ที่พี่น้องจะอยู่ด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน" แน่นอนว่า นี่เป็น
ความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า พระหฤทัยที่เต็มไปด้วยรอยแผลแห่งความรัก
          คุณพ่อแบร์โทนียังได้พร่ำสอน และปลูกฝังความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้านี้
แก่กลุ่มเยาวชนที่ท่านได้ก่อตั้งขึ้นด้วย ท่านได้เสนอให้พวกเด็กๆ เหล่านั้นหมั่นสวดสายประคำพระหฤทัย
ศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อมารานีได้เป็นพยานยืนยันไว้ แม้หลังจากที่คุณพ่อแบร์โทนีได้
จากโลกนี้ไปแล้ว ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้านี้ ก็ยังคงอยู่คู่กับคณะสติกมาติน
ตลอดมา สมาชิกทุกคนในคณะยังได้ส่งเสริม และสนับสนุนความศรัทธานี้ต่อไป ยังประชาสัตบุรุษที่พวก
ท่านได้พบปะในขณะทำงานอภิบาลในที่ต่างๆ ด้วย
          ในธรรมประเพณีเก่าแก่ของมนุษย์ "หัวใจ" ถูกถือว่าเป็นเครื่องหมายของ "ความรัก" แต่สำหรับผู้
มีความเชื่อ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าที่ถูกแทงด้วยหอกนั้น "เปิด" และ "พร้อม" ต้อนรับทุกคนที่ยืนจ้อง
จากใต้เชิงกางเขน พระหฤทัยของพระองค์นี้ได้ถูก "มอบ" ให้กับทุกคนในโลกที่มาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์
พระหฤทัยของพระเยซูเจ้านี้ เป็นแหล่งที่มาของเลือดที่ไหลออกจนหยดสุดท้าย ผ่านทางรอยแผลที่ทรวงอก
ซึ่งเป็นเครื่องหมาย "ทรงชีวิต" ของความรักที่พระองค์มอบให้แก่มนุษย์ คุณพ่อแบร์โทนีประทับใจ และ
ศรัทธาต่อเครื่องหมายแห่งความรักของพระเยซูเจ้านี้ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพระองค์ได้อย่างไร นอก
จากมอบอุทิศตนอย่างไม่มีเงื่อนไข ในการทำงานเพื่อรับใช้พระหฤทัยแห่งความรักของพระองค์ และความ
ไว้วางใจในพระหฤทัยที่เปี่ยมด้วยความรักของพระเยซูเจ้า ของคุณพ่อแบร์โทนีนี้ ในเวลาต่อมา ได้พัฒนา
เป็นการมอบถวายตัวทั้งครบของท่านแต่พระองค์

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2024 10:50 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (19)👈

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ ดำเนินชีวิตพร้อมกับพระคริสตเจ้าจนตลอดชีวิต ❇️

ในที่สุด ดูเหมือนแผลที่ขาของคุณพ่อแบร์โทนีจะหายเป็นปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม บททดสอบ
ในการเป็นพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังไม่ได้จบสิ้นลง ท่านสามารถกลับมาเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
อีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงออกเดินไปทั่วเมืองเวโรนา เพื่อมอบตัวทำงานรับใช้พี่น้องชาวเวโรนาที่ท่านรัก
แต่ท่านก็ทำเช่นนั้นได้ไม่นานนัก เพราะแท้ที่จริงแล้ว แผลของท่านยังไม่หายขาด และก็ได้สร้างความ
เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแก่ท่านยิ่งทียิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคุณพ่อแบร์โทนีอายุครบ 60 ปี ท่านได้กลายเป็นคนที่ต้องนอนติดกับเตียงตลอดเวลา สิ่งที่
ท่านทำได้อย่างมากที่สุดในตอนที่อาการดีขึ้นคือ ลุกจากเตียงมานั่งบนเก้าอี้รถเข็น ท่านได้ใช้เวลา
นานถึง 11 ปี ในห้องนอนที่เรียบง่าย ไม่มีเครื่องตกแต่งอะไรในห้องเลย นอกจาก "ไม้กางเขน" ที่ท่านรัก
และเป็นเครื่องตกแต่งชิ้นเดียวที่ติดอยู่บนผนังห้องของท่าน
อย่างไรก็ตาม แม้จะตกอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดอย่างไร คุณพ่อแบร์โทนีก็ทำตนให้พร้อมเสมอ
ที่จะต้อนรับทุกคนที่มาขอคำแนะนำ คำปลอบโยนจิตใจ และการชี้แนะจากท่าน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
แจ่มใส และด้วยคำพูดที่เปี่ยมด้วยความรักและมีเมตตา และในบางครั้งยังใช้สำนวนที่หลักแหลมและ
คมคาย จนสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่มาพบท่านทุกรายไป
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะท่านได้นิมิตเห็นพระคริสตเจ้า ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนทรงเรียกร้องท่าน และ
หล่อเลี้ยงท่านด้วยจิตตารมณ์แห่งความไว้วางใจอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่จึงทำให้ท่านมอบชีวิต และความวางใจ
ทั้งหมดของท่านไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เหมือนเด็กน้อยที่วางใจในอ้อมกอดของมารดาของตน
สำหรับคุณพ่อแบร์โทนีแล้ว ท่านมีความคิดว่า ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นกับตัวท่านนั้นเป็นของ
ประทานจากพระเจ้า ผู้จะทรงจัดหาความสุขที่แท้จริงให้แก่มนุษย์ ความทุกข์ทรมานเป็นภาษารักที่พระเจ้า
ทรงใช้เพื่อสนทนากับท่าน ผ่านทางประสบการณ์ความทุกข์ทรมานนี้ มนุษย์จะสามารถเข้าติดต่อสัมพันธ์
กับพระเยซูเจ้า ยิ่งทียิ่งใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น พระองค์ผู้ซึ่งยอมรับทรมานบนไม้กางเขนเพราะความรักที่มีต่อ
มนุษย์ "ข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าแล้ว" (กท 6:17) และ
"ด้วยการทรมานในกายของข้าพเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร" (คส 1:24) นี่เป็นสิ่งที่
เกิดขึ้นกับคุณพ่อแบร์โทนีในช่วงเวลาท้ายๆ ของชีวิตของท่าน กล่าวคือ การมีความปรารถนาเหมือนกับ
อัครสาวก ที่จะร่วมในพระทรมานขององค์พระผู้เป็นเจ้า และปรารถนาที่จะแบกกางเขนร่วมกับพระองค์
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ท่านจะกำลังทุกข์ทรมานอยู่อย่างแสนสาหัส ท่านก็ยังคุ้นเคยที่จะกล่าวซ้ำๆ ว่า
"โปรดเฆี่ยนตีข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า พระองค์ทรงมีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น โปรดเฆี่ยนตีข้าพเจ้าอีกเถิด
เพราะข้าพเจ้าสมควรแล้วที่จะได้รับ" และในตอนท้ายๆ ของชีวิต สมาชิกที่อยู่ใกล้เตียงนอนของท่านก็
ได้ยินท่านมักพูดเบาๆ เสมอว่า "พ่อต้องการการทรมานอีก"
กุญแจสำคัญของคุณพ่อแบร์โทนี สำหรับการดำรงตนอยู่ในความรักของพระเจ้าอยู่เสมอคือ การ
ปฏิบัติตามแบบอย่างของพระคริสต์เจ้า "ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย"
(ยน 15:13) ภารกิจสุดท้ายที่ท่านได้ทำก่อนจะจากโลกนี้ไปคือ การรับศีลอภัยบาป และศีลเจิมคนไข้ ซึ่ง
ท่านร้องขอที่จะรับด้วยความรู้ตัว และด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความสุขยินดีอย่างยิ่ง

❇️ สิ้นใจอย่างศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญ ➡️ อาทิตย์อัสดง พบกันในสวรรค์ ❇️
เวลาบ่ายสามโมงสามสิบนาทีของวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1853 ข่าวการจากโลกนี้ไปเฝ้า
พระบิดาเจ้าในสวรรค์ของคุณพ่อแบร์โทนี ก็กระจายไปทั่วเมืองเวโรนา ซึ่งในขณะนั้น สมาชิกในอาราม
สติมมาเต ออกไปปฏิบัติหน้าที่ธรรมทูตตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองเวโรนา สมาชิกสงฆ์สี่ท่านออกไปปฏิบัติ
หน้าที่สงฆ์ และสอนคำสอนที่วัดต่างๆ สี่วัดด้วยกัน ทันทีที่ชาวเวโรนาได้รู้ข่าวเรื่องมรณกรรมของคุณพ่อ
แบร์โทนี คำพูดเดียวที่ออกจากปากของพวกเขาคือ "ท่านนักบุญได้สิ้นใจแล้ว" และจากจุดเริ่มต้นของ
พระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งของพระเจ้านี้ การผจญภัยครั้งใหม่ก็ได้เกิดขึ้นกับเหล่าสมาชิกคณะสติกมาติน
นั่นคือ ภารกิจแห่งการประกาศพระวาจาของพระเจ้าที่ได้เริ่มต้นที่เมืองเวโรนาแห่งนี้ แต่หลังจากนี้ไป
ภารกิจ ดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เมืองเวโรนาอีกต่อไป แต่ได้แผ่กระจายไปทั่วทั้งสี่มุมของโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในที่ที่สมาชิกของคณะกำลังดำเนินชีวิตและกำลังทำงานอยู่

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา
➡️ "การวางใจในพระเจ้าเป็นเรื่องที่มั่นใจได้" ❇️

คุณพ่อแบร์โทนีได้เชื้อเชิญเรามนุษย์ที่มีความระแวงสงสัยไม่สิ้นสุด ให้มอบชีวิตทั้งหมดของเราไว้
กับพระเจ้า และมีความไว้วางใจพระองค์โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด เพราะการวางใจในพระเจ้าเป็นเรื่องที่
มั่นใจได้ คุณพ่อแบร์โทนีเป็นผู้ที่มีความไว้วางใจในพระเจ้ามาก ท่านได้มอบชีวิตและตัวท่านเองทั้งหมด
ไว้แด่พระเจ้า ให้พระองค์เป็นผู้จัดการดูแลและแนะนำแนวทางในการดำเนินชีวิต เหมือนบุตรที่รู้สึกปลอดภัย
และวางใจขณะอยู่ในอ้อมแขนของมารดาของตน การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ท่านเป็นคนเชื่อถือโชคช
ะตา อยู่เฉยๆ ไม่ยอมทำอะไรเลย หรือเป็นคนเกียจคร้าน ตรงกันข้าม ท่านเป็นนักแสวงหาที่ไม่เคยหยุดพัก
ท่านแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ ไม่ใช่สำหรับตัวท่านเองเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนและสำหรับทุกสิ่ง
ที่ท่านทำด้วย เพื่อท่านจะได้เดินตามพระประสงค์นั้น และจะไม่เคยเดินนำหน้าพระประสงค์ของพระเจ้าเลย

👼--- โปรดติดตามตอนต่อไป ---👼
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 13, 2024 11:54 pm

🌺 ปรารถนาความศักดิ์สิทธิ์ : นักบุญกัสปาร์  แบร์โทนี 🌺
เขียนโดย Luisa Muzii
แปลโดย คุณพ่อวสันต์  พิรุฬห์วงศ์

👉 ตอนที่ (20)👈 ตอนจบ

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา ➡️
"เราควรวาดภาพของพระคริสตเจ้าให้เกิดขึ้นในตัวเรา" ❇️
          ด้วยเพราะความวางใจอย่างลึกซึ้งในพระเจ้าของคุณพ่อแบร์โทนี จึงทำให้ท่านปรารถนาที่จะ
ติดตามพระคริสตเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน นี่ทำให้ท่านน้อมรับ
กางเขนทุกชนิดที่เข้ามาในชีวิตของท่าน เพราะท่านเข้าใจดีว่า กางเขนที่หนักที่สุดนั้น พระคริสตเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลายได้ทรงเคยแบก มีประสบการณ์ และมีชัยชนะเหนือกางเขนนั้นมาแล้ว
          กางเขนที่หนักที่สุดของคุณพ่อแบร์โทนีคือ บาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายของท่าน แต่ท่านก็น้อม
รับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนั้นด้วยรอยยิ้ม นี่เป็นการเดินทางของชีวิตที่เต็มไปด้วยความ
ทุกข์ทรมาน ที่ท่านได้มอบให้แก่เรามนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ เพื่อเราจะได้น้อมรับความทุกข์ทรมาน
และความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตของเราด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นกางเขนที่พระคริสตเจ้า
ได้ทรงแบกมาก่อนหน้านี้แล้ว และได้ทรงมีชัยชนะเหนือกางเขนนี้มาแล้ว

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา
➡️ "ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เลียนแบบพระศาสนจักร เหมือนอย่างที่พระศาสนจักร
เป็นผู้เลียนแบบพระองค์ด้วยเถิด" ❇️

          ด้วยการรับรู้ที่ว่า "ใครที่ไม่ยอมรับพระเจ้าเป็นบิดาของตน ก็จะไม่ยอมรับพระศาสนจักรเป็น
มารดาของตนด้วย" คุณพ่อแบร์โทนีจึงได้ยึดเกาะพระศาสนจักร ด้วยทัศนคติเยี่ยงบุตรที่ยึดเกาะ
มารดาของตน ดังนั้น สำหรับท่าน ยามใดที่พระศาสนจักรต้องเผชิญกับความยากลำบาก และต้อง
ประสบความทุกข์ทรมานใดๆ ความทุกข์ทรมานและความยากลำบากดังกล่าว ก็ได้เพิ่มเติมเข้าใน
ความทุกข์ทรมานของตัวท่านเองด้วย เช่นเดียวกับความยินดีและชัยชนะของพระศาสนจักร ก็นำมา
ซึ่งความยินดีแก่ชีวิตและจิตใจของท่านด้วย ความสัมพันธ์ของท่านกับพระศาสนจักรจึงเป็นไปอย่าง
กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน และแม้ในยามที่พระศาสนจักรประสบความยากลำบาก ท่านก็ยังคง
เดินหน้าเพื่อประกาศความเป็นมารดา และอาจารย์ของพระศาสนจักรอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
          ด้วยการมีทัศนคติต่อพระศาสนจักรเยี่ยงบุตรที่มีต่อมารดาเช่นนี้ คุณพ่อแบร์โทนีได้เชื้อเชิญเรา
ทุกคนให้มีทัศนคติในแบบเดียวกันนี้ และแนะนำเราให้มองดูพระศาสนจักรในแบบองค์รวม ที่มีโครง
สร้างทางจิตความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ไม่ใช่มองแค่โครงสร้างภายนอกทางสังคมเท่านั้น
          มีเพียงความเชื่อในแบบเดียวกับความเชื่อของคุณพ่อแบร์โทนีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราเคารพนับถือ
และชื่นชมพระศาสนจักรได้ มีเพียงความเชื่อในแบบนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราหลอมตัวเองเข้าเป็นหนึ่งกับ
พระศาสนจักร และร่วมงานอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระศาสนจักร เพื่อเราจะได้เข้าใกล้ชิดพระคริสตเจ้า
พร้อมกับพระศาสนจักรได้

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา
➡️ "ท่านจะไม่สามารถได้ประโยชน์อะไรสำหรับตัวท่านเลย หากท่านไม่เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน" ❇️

          การเปิดเผยและการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเพื่อนพี่น้อง ไม่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง แต่สนใจใน
ความต้องการของคนรอบข้าง นี่เป็นอีกข้อเสนอหนึ่งที่คุณพ่อแบร์โทนีมอบให้แก่เรา ตัวท่านเองได้ดำเนิน
ชีวิต "เป็นนักพรตในบ้าน แต่เป็นธรรมทูตนอกบ้าน" และท่านก็ปรารถนาให้เราคริสตชนทุกคนในยุคสมัยนี้
ดำเนินชีวิตในแบบเดียวกันนี้ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ระหว่างความเชื่อ
กับชีวิต และระหว่างพระเจ้ากับเพื่อนพี่น้องรอบข้าง แต่ก็สามารถนำความแตกต่างนี้มาสู่ความกลมกลืน
ในชีวิตของเราได้
          คุณพ่อแบร์โทนีเชื้อเชิญเราเป็นพิเศษ ในการทำงานเมตตาจิตที่เพื่อนพี่น้องช่วยเหลือกันและกันอย่าง
จริงใจ เช่น ดูแลคนเจ็บป่วย ปลอบโยนคนที่เป็นทุกข์ระทมใจ ช่วยเหลือผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมในชีวิต
ให้กำลังใจผู้ที่ท้อแท้หมดหวัง และที่สุด ตักเตือน และพยุงคนที่ล้มลงให้ลุกขึ้น

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา
➡️ "ในท้ายที่สุด ในความว่างเปล่าของมนุษย์ พระเจ้าอยู่ที่นั่น" ❇️

          นี่เป็นคำเชื้อเชิญที่พวกเราทุกคนควรยึดจับไว้ให้แน่น และทำให้เกิดผลในชีวิตจริงของเรา
คุณพ่อแบร์โทนีได้นำเสนอความเป็นจริงของชีวิตเช่นนี้ เพราะท่านเข้าใจถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์
ที่ว่า "ในความต้องการที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่นับจากวินาทีที่ข้าพเจ้ารู้ตัว
ว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ข้าพเจ้าก็จะสามารถเป็นได้ทุกสิ่งต่อหน้าพระเจ้า"

❇️ เผยแผ่ความศักดิ์สิทธิ์ : สารของคุณพ่อแบร์โทนีถึงประชาชนทุกคนในยุคสมัยของเรา
➡️ บางตอนจากบทเทศน์ของคุณพ่อแบร์โทนี ขณะประจำอยู่ที่วัดนักบุญฟีร์มุส  วันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1808
วันฉลองนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี ❇️
          คนจำนวนมากติดตามพระคริสต์เจ้าเหมือน "คนรับจ้าง" ที่หวังรางวัลชั่วคราว แต่เมื่อคนรับจ้างมา
ถึงประตูบ้านแล้ว ก็ได้รับเพียงแค่ค่าจ้างเท่านั้น จากนั้นก็ต้องกลับไป
          คนอีกจำนวนมากติดตามพระคริสต์เจ้าเหมือน "คนใช้" แต่เพราะความกลัว จึงเดินตามพระองค์ไปห่างๆ
และยืนอยู่ไกลจากพระองค์ พวกเขาจึงไม่ได้มีส่วนรับรู้ในเรื่องความลับต่างๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา
          บางคนติตตามพระคริสต์เจ้าเหมือน "บุตร" เขาสนใจในการปกป้องคุ้มครองที่เขาได้รับ และสนใจใน
มรดกที่เขาจะได้รับ แต่กระนั้นก็ดี บุตรมักได้รับความรักมากกว่าที่จะเป็นผู้ให้ความรัก และบางครั้งบุตรก็
เกลียดชังบิดามารดาของตน หากพวกเขาสั่งให้ทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ
          มีคนจำนวนน้อยที่ติดตามพระคริสต์เจ้าเหมือน "เพื่อน" พวกเขาชอบที่จะแบ่งปันสิ่งของต่างๆ ให้แก่
พระองค์ แต่เมื่อใดที่พระองค์เรียกรัองพวกเขาให้แบ่งปันบางสิ่งบางอย่างที่ยากลำบาก และอาจจะนำมาซึ่ง
ความทุกข์เจ็บปวด อย่างเช่น การให้ความช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องด้วยกัน พวกเขาก็มักจะละทิ้งพระองค์และ
วิ่งหนีไป
          มีน้อยคนมากที่ติดตามพระคริสต์เจ้าเหมือน "คู่รัก" พวกเขาตกหลุมรักพระองค์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ
ชีวิต พวกเขาไม่เคยเลิก แต่ติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่งที่พระองค์ไป ซึ่งอาจจะไปมีประสบการณ์ที่รุ่งโรจน์
บนภูเขาทาบอร์ หรืออาจจะไปพบความทุกข์ระทม เจ็บปวด และถึงกับตายบนเนินเขากัลวารีโอ แต่พวกเขา
เป็นเหมือนเจ้าสาวที่ถูกเสน่ห์ของเจ้าบ่าวดึงดูดใจ และเจ้าบ่าวก็จูงมือพาวิ่งและบินไปพร้อมกับเขา

🎀----- จบบริบูรณ์ -----🎀
ตอบกลับโพส