โดย โอวตี๋
ตอนที่ (13)
ครั้งหนึ่ง พระสังฆราชจำต้องโดยสารรถแท็กซี่ไปเทศน์ตามโบสถ์สามแห่ง แต่ละแห่ง
ท่านก็เทศน์เรื่องแม่ยายของเปโตรไม่สบายเหมือนกันหมด คนขับแท็กซี่จึงได้ฟังเทศน์บท
เดิมถึงสามครั้งด้วยกัน
วันต่อมาแท็กซี่กำลังขับรถไปส่งผู้โดยสาร พอดีมีขบวนแห่ศพสวนทางมา
"ใครตายอีกละเนี่ย" ผู้โดยสารพูดขึ้นลอยๆ
"ผมว่าแม่ยายเปโตรแหงๆ" คนขับรถแท็กซี่ว่า
"ก็เมื่อวานพระคุณเจ้าท่านเทศน์ถึงเธอตั้งสามหนแน่ะ"
มิสซาวันอาทิตย์นี้ พ่อคำป่วนจะขึ้นเทศน์สอนว่าด้วยเรื่องโทษของการเล่นพนันขันต่อ
แต่พอคุณพ่อขึ้นไปบนธรรมาสน์ ก็มีเสียงจอแจดังมาจากที่นั่งแถวหลัง
"เงียบหน่อยสิ ทำอะไรกันน่ะ ทำไมเสียงดังจัง" พ่อคำป่วนถาม
"เอ่อ คือว่า พวกเรากำลังพนันกันว่า พ่อจะเทศน์ถึงสิบนาทีหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ"
คนหนึ่งตะโกนมาจากแถวหลัง
คุณพ่อองค์หนึ่งประกาศในวัดหลังจากเทศน์เสร็จว่า อาทิตย์หน้าท่านจะเทศน์เรื่อง
การโกหก ขอให้บรรดาสัตบุรุษไปอ่านพระวรสารนักบุญมาร์โก บทที่ 17 มา
ครั้นถึงวันอาทิตย์ คุณพ่อทำมิสซามาถึงช่วงเทศน์ ก็ขึ้นธรรมาสน์ถามว่า มีใครบ้างไหม
ที่ได้อ่านบทอ่านที่มอบหมายให้ หลายต่อหลายคนยกมือกันสลอน "นี่แหละ" คุณพ่อว่า "พวกคน
เหล่านี้จะเป็นพวกที่พ่ออยากจะพูดถึงมากที่สุด รู้ซะนะว่า พระวรสารของนักบุญมาร์โกน่ะมีแค่สิบหกบท"
คุณพ่อเดินขึ้นธรรมาสน์ กล่าวว่า "พวกลูกที่รัก ที่พวกลูกมาชุมนุมกันในวัดวันนี้ ก็เพื่อสวด
วิงวอนขอฝนจากพระเป็นเจ้า พวกลูกเชื่อว่า พวกลูกจะได้รับตามที่พวกลูกขอหรือ?"
"พวกลูกเชื่อ" สัตบุรุษตอบรับกระหึ่มพร้อมเพรียง เหมือนพิธีรื้อฟื้นรับศีลล้างบาป
"ถ้าอย่างงั้น" คุณพ่อกล่าวต่อ "ทำไมไม่มีใครเอาร่มมาเลยสักคนล่ะ?"
สงฆ์หนุ่มได้รับมอบหมายให้เทศน์ในมิสซาวันอาทิตย์ ท่านเตรียมบทเทศน์ตามพระวรสาร
วันนั้นคือ เรื่อง "ลูกล้างผลาญ" ตั้งใจว่าจะให้ซาบซึ้งตรึงใจผู้ฟังที่สุด วันอาทิตย์มาถึง หลังจากอ่าน
พระวรสารจบ คุณพ่อเจ้าวัดก็นั่งลง สัตบุรุษทั้งวัดก็พากันนั่งลง สงฆ์หนุ่มของเรากระแอม แล้วเริ่ม
บทเทศน์ไปอย่างที่เตรียมมาด้วยความมั่นใจ จนเมื่อมาถึงตอนสำคัญ ลูกล้างผลาญเกิดความสำนึก
อยากจะคืนสู่บ้านตน
"ผมจะกลับไปหาพ่อของผม" สงฆ์หนุ่มพูดด้วยเสียงสอดใส่อารมณ์ แล้วก็พลันลืมตอนต่อไป
สัตบุรุษในในวัดเงียบกริบ "ผมจะกลับไปหาพ่อของผม" สงฆ์หนุ่มของเราย้ำประโยคเดิม พยายาม
คิดว่าคำพูดต่อไปเป็นอะไร แต่อนิจจา สมองของเขาว่างเปล่า ด้วยเสียงแหบเครือ เขาย้ำประโยค
เดิมอีก "ผมจะกลับไปหาพ่อของผม" พยายามเค้นสมองเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรให้เค้นเอา
เสียจริงๆ แล้ว ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ สงฆ์หนุ่มของเราก็ตัดสินใจเดินกลับห้องซาคริสตี ที่อยู่หลังแท่น
ขณะที่เดินผ่านคุณพ่อเจ้าวัดที่นั่งอยู่ ท่านก็แตะแขนแล้วกระซิบว่า "ฝากความคิดถึงไปด้วยนะ"
สงฆ์หนุ่มอีกองค์ (คงจะเป็นรุ่นเดียวกัน) ได้รับมอบหมายให้เทศน์ในมิสซาสำคัญเหมือนกัน
แต่องค์นี้ประหม่ามากกว่า พอขึ้นต้นบทเทศน์สำหรับเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์เจ้าว่า
"จงเตรียมตัวไว้ เราจะมาแล้ว" ก็เกร็งมือจับธรรมาสน์ไว้แน่น คิดอะไรไม่ออกอีก "จงเตรียมตัวไว้
เราจะมาแล้ว" ย้ำคำเดิมเพื่อถ่วงเวลา แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี ตอนนี้มือเปลี่ยนจากเกร็งจับรรรมาสน์
เป็นเขย่า "จงเตรียมตัวไว้ เราจะมาแล้ว" ย้ำครั้งที่สามไม่ทันจบประโยค ทั้งคุณพ่อและธรรมาสน์ก็ล้ม
โครมลงมาจากพระแท่น ธรรมาสน์กระเด็นไปพาดกับที่คุกเข่าสัตบุรุษ เดชะบุญไม่ถูกใคร แต่ตัวคุณพ่อ
กลิ้งมาพาดบนตักสตรีใจศรัทธาผู้นั่งอยู่แถวหน้าสุด "ขอโทษครับ" คุณพ่อกล่าวเสียงแห้ง
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" เธอตอบ "ความผิดอิฉันเอง คุณพ่ออุตส่าห์เตือนตั้ง 3 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่ระวังตัวอีก"
"ไม่มีนักเทศน์คนไหนเยี่ยมไปกว่ามดแดงเลย ทำไมเหรอ ก็เพราะมดมันพูดไม่ได้น่ะสิ"
(เบนจามิน แฟรงคลิน)
ขณะที่กำลังเทศน์อย่างออกรสออกชาตินั้น คุณพ่อก็สังเกตว่า ณ ที่นั่งแถวหน้าสุดนั้น สุภาพสตรี
ผู้หนึ่งกำลังนั่งหลับ คุณพ่อเรียกเด็กช่วยมิสซามากระซิบบอกให้ไปปลุกเธอคนนั้น แต่เด็กช่วยมิสซา
กลับสั่นหัว กระซิบตอบว่า
"คุณพ่อปลุกเองซิครับ พ่อทำให้เค้าหลับนี่"