เรื่องสั้นสอนใจ ( ชุดที่ 10 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2024 11:08 pm

( 1 )


(%)เรื่องสั้น ชาวนาและลูกชาย

จาก Inspirational Moral
Stories เรื่อง “A farmer and his sons”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชาวนาคนหนึ่งมีลูกชายสามคนที่โตแล้ว ลูกทั้งสามมักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเอง
อยู่เป็นประจำ ผู้เป็นพ่อพยายามพูดสอนแนะนำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
แต่ก็ไม่เป็นผล พ่อจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พ่อนอนป่วยหนัก ท่านส่งคนไปตามลูกชายทั้งสามโดยให้แต่ละคนเก็บ
ก้านไม้ไผ่ราว 10 ก้านจนเต็มกำมือของตนมัดรวมกันไว้มาด้วย เมื่อทั้งสามมาหาพ่อพร้อมกับ
ก้านไม้ไผ่คนละมัดแล้ว พ่อก็บอกให้ลูกชายแต่ละคนใช้มือทั้งสองข้างหักมัดก้านไม้ไผ่ของตน
ลูกชายแต่ละคนพยายามอย่างหนักที่จะปฏิบัติตามแต่ไม่มีใครทำได้ ในที่สุดพ่อก็ให้ลูกชาย
แก้มัดก้านไม้ไผ่ออกและให้แต่ละคนหักก้านไม้ไผ่ในมือทีละก้าน ครั้งนี้พวกเขาทำตามได้อย่าง
ง่ายดาย พ่อจึงพูดว่า “ลูกรัก ลูกเห็นแล้วใช่ไหมว่า ลูกไม่สามารถหักก้านไม้ไผ่ได้เลยตราบที่
ก้านไม้ไผ่อยู่รวมกันเป็นมัด แต่ลูกสามารถหักก้านไม้ไผ่ได้ทุกก้านอย่างง่ายดายเมื่อลูกแยกออก
จากมัด ฉันใดก็ฉันนั้นกับความเป็นพี่น้องกัน ลูกทั้งสามจะแข็งแกร่งเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้
ก็ต่อเมื่อลูกสามัคคีกัน แต่เมื่อใดที่ลูกทะเลาะกัน แยกตัวออกจากกัน ลูกก็จะอ่อนแอและพ่ายแพ้
ต่ออุปสรรคเพราะ “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย” (United we stand and divided we fall.)

ทันทีที่ผู้เป็นพ่อพูดจบ ทั้งสามก็หันมาส่งยิ้มให้กันและจับมือกันต่อหน้าพ่อ พร้อมกับให้สัญญา
ต่อหน้าพ่อว่า ต่อไปพวกเขาจะเลิกทะเลาะกันและจะช่วยเหลือกันและกัน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ทั้งสามก็ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

********************** :s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 09, 2024 11:12 pm

( 2 )

(#)เรื่องสั้น ตลกหลวงและพระราชา

จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Jester and the King”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งมีกษัตริย์องค์หนึ่งมีตลกหลวงรับใช้อยู่ในราชสำนัก กษัตริย์ทรงโปรดปราน
ตลกหลวงผู้นี้มากเป็นพิเศษจนเขากล้าพูดเล่นหรือล้อเลียนทุกคนได้อย่างเสรีโดยไม่มีผู้ใดกล้า
ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งวันตลกหลวงผู้นี้ก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น เขากล้าพูดเล่นอย่างคะนองปากแม้
แต่กับบรรดาขุนนางและรัฐมนตรีและที่สุดก็กล้าพูดจาหยอกล้อกับพระราชาต่อหน้าธารกำนัลด้วย
ตลกหลวงผู้นี้รู้สึกหยิ่งผยองและภาคภูมิใจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดว่าตนอยู่เหนือทุกคน

อย่างไรก็ตาม อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระราชากำลังทรงงานสำคัญของรัฐอย่างจริงจังกับคณะรัฐมนตรี
อยู่ จู่ ๆ ตลกหลวงก็โผล่หน้าเข้ามาพูดจาหยอกล้อพระองค์ ครั้งนี้พระราชาทรงรู้สึกขุ่นเคืองพระทัย
เป็นอย่างยิ่งและรับสั่งให้นำตลกหลวงไปประหารชีวิตทันที

ตลกหลวงรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา แต่พระราชากำลังกริ้วมากและปฏิเสธคำขอชีวิต
ของเขา กระนั้นก็ดีตลกหลวงยังคงคุกเข่าร้องขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า จนที่สุดพระราชาตรัสว่า
“ยังไงเสียเจ้าก็จะต้องตายอยู่ดี แต่เราจะให้เจ้าเลือกตายแบบที่เจ้าต้องการได้”

ตลกหลวงที่ฉลาดรีบใช้ไหวพริบอย่างรวดเร็วและกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระองค์
ขอเลือกที่จะตายในวัยชราพะยะค่ะ”

พระราชาทรงประทับใจในสติปัญญาที่หลักแหลมของตลกหลวงที่ใช้คำพูดสื่อถึงอนาคตของ
พระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่จะต้องตายในวันหนึ่งด้วย และดังนั้นจึงทรงให้ตลกหลวง
รับใช้ต่อไปจนถึงวัยชรา

ข้อคิด : การทำอะไรที่เกินตัวไม่เคยส่งผลดีกับตัวเอง : It never pays to overreach yourself.

************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 14, 2024 12:02 am

( 3 )

(*)เรื่องสั้น กวางโง่

จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A Foolish Stag”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งในฤดูร้อน กวางตัวหนึ่งเดินไปที่สระน้ำเพื่อดื่มน้ำ มันก้าวเดินด้วยความภูมิใจ
กับการ มีเขาที่สวยงามของมันมาก แต่ในวันนั้นเนื่องจากน้ำในสระใสมาก มันจึงมองเห็นขา
ทั้ง 4 ของมันที่เป็นเงาสะท้อนอยู่ในน้ำได้อย่างชัดเจน มันรู้สึกเศร้าเมื่อมันเห็นขาของมันดูบอบบาง
เหมือนไม้ซีก และเกลียดขาของตัวเองมาก หลังจากดื่มน้ำเสร็จ มันก็ก้าวเดินไปจากสระน้ำพลาง
ครุ่นคิดถึงขาที่น่าเกลียดของมันอยู่ ทันใดนั้นมันได้ยินเสียงควบม้าของนายพรานและเสียงเห่าของ
สุนัขล่าเนื้อใกล้เข้ามา มันรีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาจะวิ่งได้ และไม่นานมันก็วิ่งหนี
ไปไกลจนแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของสุนัขล่าเนื้อ มันยังคงวิ่งหนีต่อไปผ่านบริเวณที่เป็นป่าทึบ และ
แทบจะทันทีที่วิ่งเข้าไปในป่าทึบ เขาที่สวยงามของมันก็ติดกิ่งของต้นไม้ต้นหนึ่ง มันพยายามดิ้นและ
สะบัดเขาที่มันเคยภูมิใจอย่างแรงเพื่อจะให้เขาหลุดจากกิ่งไม้แต่ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกันนายพราน
และสุนัขล่าเนื้อก็ไล่ใกล้เข้ามาทุกที และที่สุดสุนัขล่าเนื้อก็ไล่มาทันและจัดการฆ่ามันอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่มันจะคิดได้ว่าขาที่มันเกลียดกลับช่วยให้มันวิ่งหนีรอดไปจากสุนัขล่าเนื้อได้ แต่ที่สุดมันก็ต้อง
จบชีวิตลงเพราะเขาที่มันเคยภูมิใจนักหนา

ข้อคิด : ทุกสิ่งที่แวววาวไม่ใช่ทอง (All that glitters is not gold.) เพราะคุณค่าที่แท้จริงมิใช่สิ่ง
ที่เห็นภายนอกหรือผิวเผิน แต่เราอยู่ที่แก่นแท้ของสิ่งนั้น ๆ

**************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 14, 2024 12:11 am

( 4 )

ทุกเช้า ชายชราวัย 80 คนหนึ่ง นอกจากจะลากถังขยะที่วางอยู่ริมถนน เข้ามาเก็บที่โรงรถหน้าบ้าน
ตัวเองแล้ว เขายังเดินไปช่วยเก็บถังขยะของเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปด้วย...
.
ลูกสาวเคยสงสัย ถามคุณพ่อว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น คุณพ่อตอบว่า “เพราะสามีของเพื่อนบ้านคนนั้น
เพิ่งเสียชีวิต และการกระทำของพ่อ จะช่วยทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวในโลกนี้
ยังมีคนอื่น ๆ ที่คอยห่วงใย พร้อมจะช่วยเหลือดูแลกัน...”
. . . . .
.
ผู้หญิงกับลูกน้อยในอ้อมกอด กำลังยืนจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์ของซูเปอร์มาร์เก็ต เธอมีเงินไม่พอกับ
สิ่งของ ที่ต้องการซื้อ เลยจำใจต้องเอาบางสิ่งออกจากรายการ
.
ชายหนุ่มที่ยืนต่อแถวด้านหลังเห็นดังนั้น ยื่นเงิน 20 เหรียญให้ เธอปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความ
เกรงใจ แต่ชายหนุ่มยืนยัน เขาบอกเธอว่า
.
“คุณแม่ของผมนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ทุกเช้าที่ไปเยี่ยม ผมจะซื้อช่อดอกไม้ไปฝากท่านเสมอ
และท่านก็บอกผมว่ามันไม่จำเป็นเลย เปลืองเงินเปล่า ๆ ควรเอาเงินไปทำประโยชน์ให้ผู้อื่นดีกว่า...”
.
ชายหนุ่มยื่นเงินให้ผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง
“รับไว้เถอะครับ ถือเป็นช่อดอกไม้จากคุณแม่ของผมครับ”
. . . . .
.
ทุกครั้งที่เราโปรยความใจดีออกไป ไม่ว่าจะเป็นละอองเล็กน้อยแค่ไหน คุณสามารถเปลี่ยนโลกได้
ไม่ใช่เฉพาะโลกของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นทั้งโลกของทุกคน - - เพราะความใจดีเปิดโอกาสให้เรา
ได้ติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เปิดใจให้เข้าใจและยอมรับกันและกัน สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กับครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า
.
อีกทั้งมีการพิสูจน์ทางการแพทย์มาแล้วว่า ความมีน้ำใจดี เมตตากรุณานั้น ช่วยลดความทุกข์ความ
เครียดได้ และทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น มองโลกในแง่ดี อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อว่าเป็น
ส่วนสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตลดลง
.
ทุกเช้า ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง นอกจากกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือแล้ว อย่าลืมพกพา
‘น้ำใจ’ไปด้วย - - คอยเป็นมือที่เก็บ ‘ถังขยะแห่งความทุกข์”ของผู้อื่น และเป็นมือที่ยื่น ‘ช่อดอกไม้แห่ง
ความสุข’ในขณะเดียวกัน - - ทุก ๆ ที่ ที่โปรยหว่านละอองความใจดีออกไปนั้น จะเปลี่ยนโลกที่ร้อนรุ่ม
ให้อบอุ่นปลอดภัย เปลี่ยนโลกที่แล้งร้าย กลายเป็นทุ่งดอกไม้งาม!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรทุกมือที่เปลี่ยนโลกด้วยน้ำใจดี ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 17, 2024 8:27 pm

( 5 )

- บันทึกจากคนขับแท็กซี่ใจกลางมหานคร นิวยอร์ค -
มันเป็นเวลาเกือบจะหมดกะรถแท็กซี่ของผมแล้ว แต่ผมก็รับคำสั่งที่ให้ไปรับผู้โดยสารรายหนึ่ง
ทั้งๆ ที่ผมก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันและใจก็คิดอยากกลับบ้านไปพักผ่อนเหลือเกิน
ผมขับแท็กซี่คู่ใจไปถึงที่อยู่ของผู้โดยสาร ที่โทรเรียกบริการ และบีบแตรรถส่งสัญญาณให้ผู้โดยสาร
ทราบว่าผมมาถึงแล้ว สองสามนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมา ผมไม่รอช้ารีบบีบแตรซ้ำเพื่อเร่ง
ผู้โดยสาร ผมเกือบจะขับรถหนีไปโดยไม่รับผู้โดยสารที่ชักช้าคนนี้ เพราะไหนๆ นี่ก็เป็นเที่ยวโดยสาร
สุดท้ายก่อนหมดกะของผม แต่ผมกลับจอดรถ เดินลงไปที่ประตูบ้านและเคาะประตูเรียก “รอสักครู่นะคะ”
มันเป็นเสียงสั่นเครือ ของหญิงชราในวัยที่เปราะบาง ผมแอบได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกลากมากับพื้น
เสียงเงียบไปพักใหญ่ ประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงร่างเล็กวัยกว่า 90 ปียืนอยู่ตรงหน้าผม เธอสวมเสื้อ
ลายพิมพ์สีสดและหมวกทรงกลมเล็กๆ มีผ้าลูกไม้บางๆ กลัดไว้ มองแล้วเหมือนใครสักคนที่เพิ่งหลุดออก
มาจากภาพยนตร์ย้อนยุคเมื่อ 5 หรือ 60 ปีก่อน
ข้างตัวเธอมีกระเป๋าเดินทางที่กรุด้วยผ้าไนล่อนใบหนึ่ง อพาร์ตเม้นท์ของเธอดูราวกับไม่มีใครอาศัยอยู่
มาเป็นแรมปี เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าใบ บนฝาผนังบ้านไม่มีนาฬิกาสักเรือน ไม่มีข้าวของ
หรือเครื่องครัวบนเค้าท์เตอร์ แต่ที่มุมห้องกลับมีกล่องกระดาษหลายใบที่มีภาพถ่ายเก่าและเครื่องแก้ว
บรรจุอยู่เต็ม “พ่อหนุ่ม เธอจะช่วยยกกระเป๋าของฉันไปที่รถหน่อยได้ไหม?” หญิงชราถาม ผมยกกระเป๋า
ของเธอไปแล้วเดินกลับมาช่วยประคองเธอเดินไปขึ้นรถ หญิงชราจับมือของผมและเราทั้งสองก็เดินช้าๆ
ไปที่ทางเท้า เธอเฝ้าแต่กล่าวคำขอบคุณในความกรุณาของผม “มันไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตเลยครับ”
ผมบอกเธอ... “ผมก็แค่ปฏิบัติกับผู้โดยสารของผมเหมือนกับที่ผมอยากจะให้ผู้คนปฏิบัติกับแม่ผมเท่านั้น
เองครับ” “โอ้ เธอช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ” หญิงชราตอบ พอเราไปถึงที่รถแท็กซี่ เธอก็เอาที่อยู่ซึ่งเป็นจุด
หมายปลายทางที่เธอต้องการไปมาให้ผมและถามผมว่า “เธอจะช่วยขับรถผ่านเข้าไปกลางเมืองสักหน่อย
ได้ไหมจ๊ะ พ่อหนุ่ม” “แต่นั่นไม่ใช่ทางที่สั้นที่สุดนะครับ” ผมรีบตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอตอบ “ฉันไม่ได้รีบร้อนอะไร ฉันกำลังจะไปที่สถานดูแลคนชราวาระสุดท้าย”
ผมแอบมองหน้าเธอทางกระจกมองหลัง ดวงตาหญิงชราเป็นประกาย “ฉันไม่มีญาติพี่น้องหรือครอบครัว
เหลืออยู่แล้ว” เธอพูดต่อด้วยเสียงเบาบาง “หมอบอกว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก”
ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดมิเตอร์ค่าแท็กซี่ทิ้ง
“คุณอยากให้ผมขับพาคุณไปตามถนนสายไหนหรือครับ” ผมถาม
ระยะเวลาสองชั่วโมงจากนั้น เรานั่งรถผ่านกลางเมือง เธอชี้ให้ผมดูอาคารที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทำงานเป็น
คนคุมลิฟต์ เราขับผ่านละแวกบ้านที่เธอและสามีเคยอยู่อาศัยเมื่อทั้งคู่พบรักและแต่งงานกันใหม่ๆ และ
เธอก็ขอให้ผมจอดรถสักครู่ ที่หน้าโกดังโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานลีลาศที่เธอเคยมา
เต้นรำเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กสาว
บางครั้งเธอก็ขอให้ผมขับชลอรถลงช้าๆ เมื่อผ่านหน้าอาคารหรือมุมถนน และเธอจะนั่งนิ่งๆ มองผ่าน
หน้าต่างรถออกไปยังความมืดอันว่างเปล่า โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
เมื่อแสงตะวันอ่อนแรงลงที่ตรงปลายฟ้า เธอก็พูดขึ้นทันทีว่า “ฉันเหนื่อยแล้วหล่ะ เราไปกันเถอะ”
เราขับรถเงียบๆ ไปยังจุดหมายปลายทางที่เธอให้ไว้กับผม มันเป็นอาคารเตี้ยๆ เหมือนศูนย์พักฟื้นทั่วๆ ไป
มีช่องทางให้รถผ่านเข้าไปใต้หลังคาอาคารเพื่อส่งผู้โดยสาร
พนักงานบ้านพักคนชราสองคนออกมาต้อนรับเรา พวกเขาดูใส่ใจกับเธอมาก เฝ้าดูหญิงชราในทุกอริยบท
อย่างไม่ละสายตา พวกเขาคงรอการมาถึงของเธออยู่ก่อนแล้ว
ผมเปิดท้ายรถและเอากระเป๋าเดินทางของเธอไปที่ประตู หญิงชราได้นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแล้ว
“ฉันค้างจ่ายค่ารถเธอเท่าไร” หญิงชราถามพร้อมๆ กับเอื้อมมือเปิดกระเป๋าสตางค์ของเธอ
“ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยครับ” ผมตอบ
“แต่เธอก็ต้องอยู่ต้องกินนะ” หญิงชรากล่าว
“ผมยังมีผู้โดยสารรายอื่นๆ อีกครับ” ผมตอบ
โดยแทบไม่ได้คิดอะไรเลย ผมก้มตัวลงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน หญิงชรากอดผมไว้แน่น
“เธอได้มอบเวลาแห่งความสุขเล็กๆ ให้กับคนแก่คนหนึ่ง”
เธอพูด “ขอบใจมากนะ”
ผมบีบมือเธอแน่นเป็นการร่ำลาและเดินกลับออกไป เสียงประตูถูกปิดลง มันเป็นเสียงปิดลงของ
ชีวิตชีวิตหนึ่ง
ผมไม่ได้รับผู้โดยสารอื่นอีกเลยในกะนั้น ผมขับแท็กซี่ของผมไปอย่างไร้เป้าหมาย หลงล่องลอยอยู่
ในความคิดของตัวเอง วันนั้นทั้งวันผมแทบพูดอะไรไม่ถูก
มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงชราคนนั้นต้องพบกับคนขับรถแท็กซี่ขี้โมโห หรือคนขับที่คิดแต่จะส่งรถให้ทันกะ
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมปฏิเสธที่จะรับงานนั้น เพราะมันเกือบจะหมดกะของผมเหมือนกัน หรือถ้าผมแค่
กดแตรเรียกเพียงครั้งเดียว พอไม่มีใครขานตอบผมก็ขับหนีออกไปทันที
ผมทบทวนเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผมคิดไม่ออกว่าผมเคยได้ทำอะไรที่สำคัญกว่านี้มาบ้างหรือเปล่าในชีวิต
เราถูกทำให้เชื่อว่าชีวิตของเราได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สำคัญที่ยิ่งใหญ่
แต่บ่อยครั้งเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ว่านั้น มันกลับมาปรากฏต่อหน้าเราอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว
และมาปรากฎตัวในรูปที่ถูกห่อไว้อย่างหมดจดงดงามโดยที่คนอื่นๆ อาจไม่คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์
ที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย
......
– โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ / บันทึกนี้ผมแปลและเรียบเรียงจากที่อ่านพบในอินเทอร์เน็ตครับ
ภาพ:อินเตอร์เน็ท
FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 22, 2024 11:20 pm

( 6 )


'เชอรี่ของพ่อ'

มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้าน และสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแล
เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้น ทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ดีนี้ และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ
ใส่ปุ๋ยดูแลมันอย่างดี เป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน...ลูกชายชื่อจอร์จ ซึ่งได้ขวานเล็กๆ อันใหม่
มา ด้วยความซน ก็ฟันนู่นฟันนี่ แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้า

ต้นเชอรี่ค่อยๆ เอนตัว แล้วก็ล้มลงกับพื้น เหลือแต่ตอ ที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว

เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้าน เห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคน
ในบ้านมาถาม ก็ไม่มีใครทราบ

จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ ก็ตะโกนเรียก ด้วยเสียงอันดังว่า "จอร์จ มานี่ซิ!"

จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า

"จอร์จ ลูกรู้ไหมว่า ทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้?"

จอร์จก้มหน้า แต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า

"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับ ว่าผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"

คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน"

จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้อง และถามจอร์จว่า

"ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ?"

จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"

แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าเขาแดงด้วยควาละอาย แล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า

"จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ...ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจ ที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่า ที่ลูก
ของพ่อซื่อสัตย์และกล้าหาญ ที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดี
เต็มสวน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"

จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้ และใช้ความกล้าหาญ และซื่อสัตย์ตลอดมา...จนกระทั่งในการดำรงฐานะ
เป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ฟังแล้วประทับใจในวิธีการ สอนของคุณพ่อ..
.แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูก ด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของ
แต่คุณพ่อกลับพูดกับลูก อย่างอ่อนโยน ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต

ถ้าคุณพ่อทำโทษแรงๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ได้

ในชีวิตมีสักครั้งไหม ที่เราเกรี้ยวกราด กับสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน-แทนที่จะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่มากกว่า

ถ้าคุณยังไม่เคยได้นึกถึง รึว่าอาจลืมไป ยังไม่สายหรอก มาเติมเต็มชีวิตกันเถิด...😍
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ย. 23, 2024 7:19 pm

( 7 )

ชายคนหนึ่งลังเลที่จะตัดสินใจรับยาที่เขาสั่งซื้อ เขาถามพนักงานแผนกขายยาว่า “ทำไมถึงแพง
ขนาดนี้ครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะจ่ายไหว...”
.
ชายใส่เสื้อสีขาวได้ยินคำสนทนาของทั้งสอง เลยเดินเข้ามาถามว่า “เท่าไหร่หรือครับ?” ชายคนซื้อยา
ตอบว่า “200 เหรียญครับ” (ประมาณ 7,000 กว่าบาท) ชายคนเสื้อขาวตอบสั้น ๆ ว่า “ผมจ่ายให้เองครับ”
.
ชายคนซื้อยาหันมามองหน้าด้วยความตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามว่า ทำไม? คุณพูดจริงหรือนี่?
ต่อเมื่อชายเสื้อขาวควักกระเป๋าเงินออกมาจ่ายจริง เขารีบขอบคุณ แต่ไม่วายประหลาดใจ เขาถามชื่อ
ชายใจดีที่จ่ายค่ายาให้เขา ชายเสื้อขาวคนนั้นตอบว่า ชื่อ คอรีย์
.
ก่อนจากไป คอรีย์กระซิบข้างหูเขา - - “ไม่เป็นไร ผมมีเงิน” แล้วเขายังพูดอีกว่า “พระเจ้าให้ความ
สามารถพิเศษกับเราก็ด้วยเหตุผลบางอย่าง พระองค์จะดูแลคุณนะ”
.
คอรีย์ไม่ได้คุยโอ่อวด แต่เขาต้องการให้กำลังใจเพื่อให้ชายคนนั้นไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และดูเขาเป็น
ตัวอย่าง! การดูแลของพระองค์ ก็คือให้เราดูแลกัน...
. . . . .
.
เจมส์ จอห์นสันขับรถกลับบ้าน หลังจากเสร็จจากงานตัดหญ้าตลอด 12 ชั่วโมงตลอดทั้งวัน เขาเปิด
บริษัทรับจ้างตัดหญ้าของตัวเอง!
.
ระหว่างทาง เขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังตัดหญ้าโดยใช้รถเข็นตัดหญ้าบนสนามที่ค่อนข้างกว้าง
เจมส์รู้ดีว่ามันต้องเหนื่อยและใช้เวลานานกว่าจะตัดเสร็จ เลยขับรถย้อนกลับไป ถามชายคนนั้นว่า
ให้เขาช่วยไหมครับ?
.
ชายคนนั้นฉายประกายยินดีเต็มใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อย เจมส์ไม่รอช้า เขาเอารถตัดหญ้าแบบนั่งขับ
ของเขาลงจากรถ และเริ่มลงมือทันที - - เขาสังเกตเห็นชายคนนั้นนั่งพิงไหล่ภรรยาของเขาอย่าง
อ่อนแรง เขาดีใจที่ได้ตัดสินใจช่วย...
.
ไม่กี่นาทีต่อมา เจมส์ก็ตัดเสร็จเรียบร้อย ขณะเตรียมเก็บรถตัดหญ้าขึ้นรถ ภรรยาของชายคนนั้นรีบวิ่ง
มาขอบคุณ เห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมาก เธอเล่าว่าเครื่องตัดหญ้าของเขาเสีย เลยต้องใช้รถเข็นตัดหญ้าแทน
เจมส์เองก็รู้สึกดีเช่นกัน...
.
“มันใช้เวลาของผม เพียงแค่ 15 นาที แต่สามารถเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้ มันยอดเยี่ยมจริง ๆ”
- - เจมส์เล่าเรื่องนี้ ไม่ได้เพราะต้องการคุยโอ่อวด แต่หวังว่าหากใครได้อ่านแล้ว จะรู้สึกอยากทำ
สิ่งดี ๆ สำหรับคนอื่นบ้าง เพราะบางครั้งก็ใช้แรงและเวลาไม่มากเลย...
. . . . .
.
ชายคนนั้นที่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อยา จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาจ่ายค่ายาให้... หรือชายคนที่ใช้
รถเข็นตัดหญ้าบนสนามกว้างใหญ่ จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาช่วยตัดหญ้าให้เสร็จเรียบร้อยภายใน
ไม่กี่นาที - - พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เหลือเชื่อเหล่านี้ขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์
เลยทีเดียว!
.
อย่างที่คอรีย์พูด พระเจ้าให้ความสามารถพิเศษกับเราก็ด้วยเหตุผลบางอย่าง - - ความสามารถพิเศษ
นั้นมีอยู่กับเราทุกคน ทว่าบางครั้ง บางคนก็ค้นพบความสามารถพิเศษและประสบความสำเร็จก่อนใคร
ถ้าคุณเป็นคนนั้น อย่าลืมสร้างสิ่งมหัศจรรย์ ด้วยการดูแลผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยเงินหรือแรงกายเท่าที่ทำได้...
.
หรือ หากวันนี้ เราเห็นใครไร้รอยยิ้มบนใบหน้าเศร้าหมอง แค่ส่งยิ้มของเราให้เขา - - สิ่งมหัศจรรย์ก็
เกิดขึ้นได้ ด้วยคนธรรมดาอย่างเรา... ง่าย ๆ เช่นนี้เอง!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรเราให้ดูแลผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้าดูแลเรา ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 26, 2024 1:08 pm

( 8 )

11 มารยาทที่คนยุคนี้ควรมี
.
1. อย่าทักใครว่าอ้วน แก่ ดำ โทรมฯ แม้ว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะมันเป็นการทักทาย ที่ฟังไม่รื่นหู สำหรับคนที่ถูกทัก
2. อย่าลืมถามเขาว่า “คุยได้ไหม” เมื่อโทรหาใคร
เพราะเราไม่รู้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่หรือพร้อมที่จะคุยกับเราหรือเปล่า
จึงเป็นมารยาทที่ควรถามเขาเสียก่อน
3. อย่าขอยืมเงินคน ตอนเช้าตรู่
เพราะบางคนเขาถือว่าเป็นลางไม่ดีในการเริ่มต้นวันใหม่
4. อย่าคุยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ตอนกำลังคุยเรื่องสนุกสนาน
หรือในสถานการณที่ทุกคนกำลังรื่นรมย์มีความสุข
5. อย่าพูดเรื่องคอขาดบาดตายบนโต๊ะอาหาร
เพราะมันทำให้บรรยากาศในการกินอาหารร่วมกันชวนกระอักกระอ่วน
ขยะแขยงฯ จึงเป็นมารยาทที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
6. ไปบ้านใคร ถ้าเขาไม่เอ่ยปากให้
อย่าเที่ยวขอของในบ้านเขาไปเรื่อย เพราะเป็นการทำให้เจ้าของบ้าน
อึดอัด รำคาญ และรู้สึกไม่อยากให้เราไปบ้านเขาอีก
7. ไปบ้านใคร อย่าเที่ยวไปตำหนิบ้าน และสิ่งของในบ้านเขา
แม้มันจะขัดหูขัดตา ขัดใจเรามากเพียงใดก็ตาม
เพราะมันไม่ใช่บ้านเรา อีกทั้งเขาและเราต่างมีรสนิยมไม่เหมือนกัน
ไม่มีอะไรผิด อะไรถูกเสมอไปหรอก
8. อย่าต่อราคาสินค้าแม่ค้าแล้วไม่ซื้อ เมื่อเขาลดราคาตามที่ต่อรองให้แล้ว
โดยเฉพาะเวลาที่เขาเพิ่งเปิดร้าน หรือเพิ่งเปิดขายรายแรกๆ
เพราะถือว่า เป็นเป็นการเริ่มต้นการค้าขายไม่ดีแต่หัววัน
โดยมีเราเป็นตัวอัปมงคลทางการค้าการขายในวันนั้น
9. อย่าขอแรงให้เขาไปช่วยงานฟรีๆ ในงานที่เป็นอาชีพของเขา
ที่ใช้ทำมาหากิน เช่น ขอให้นักร้อง ไปร้องในงาน
ขอให้ผู้รับเหมาช่วยไปต่อเติมบ้าน ฯลฯ โดยอาจคิดว่า
เขาเป็นเพื่อน หรือเป็นคนคุ้นเคย ที่มีอาชีพนั้นๆ อยู่แล้ว
ควรขอให้เขาลดราคาให้หรือคิดราคาพิเศษให้จะเหมาะกว่า
10. อย่าเปิดดูมือถือของผู้อื่นโดยพลการ โดยไม่มีการขออนุญาต
เจ้าของมือถือเสียก่อน แม้เจ้าของมือถือจะเป็นคนในครอบครัว
หรือคนสนิท ก็ควรขออนุญาตเขาเสียก่อน ก่อนที่จะเปิดดู
11. อย่าคุยโทรศัพท์เสียงดัง เล่นมือถือเปิดเสียงดังเกินในที่สาธารณะ
หรือในที่ที่เขาต้องการความสงบโดยไม่มีความเกรงใจ
.
เครดิต : ดร.พนม ปีย์เจริญ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 06, 2024 8:36 pm

( 9 )

(มี2 ตอนจบ )

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงิน ตอนที่ ( 1 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Blue Jackal Story”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งชอบเข้าไปป้วนเปี้ยนในหมู่บ้านเพื่อหาอาหาร
สุนัขแทบทุกตัวในหมู่บ้านต่างกลัวสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ ทั้งที่จริงสุนัขจิ้งจอกเองก็กลัวสุนัขในหมู่บ้าน
เช่นกัน แต่เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกชอบกินอาหารในหมู่บ้านมาก มันจึงยอมเสี่ยงอันตรายและเข้า
ออกหมู่บ้านนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

วันหนึ่ง ขณะที่สุนัขจิ้งจอกกำลังจะเข้าไปหาอาหารในบ้านหลังหนึ่ง มันได้ยินเสียงสุนัขบ้าน
กลุ่มหนึ่งเห่าอย่างน่ากลัวพร้อมกับวิ่งตรงมาที่มัน ด้วยความตื่นตระหนกมันวิ่งหนีสุดชีวิตและพลัด
ตกลงไปในอ่างย้อมสีน้ำเงิน กลุ่มสุนัขบ้านที่วิ่งไล่กวดมันอยู่หามันไม่พบเพราะบัดนี้มันได้กลายเป็น
สุนัขสีน้ำเงินไปแล้ว ดังนั้นมันจึงหนีรอดไปได้

เมื่อรอดพ้นอันตรายมาได้ สุนัขจิ้งจอกก็สำรวจสภาพของตัวเองและพบว่าตัวของมันเป็นสีน้ำเงิน
ตั้งแต่หัวจรดเท้า มันรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งกับสภาพใหม่ของมันเพราะไม่มีสัตว์อื่นใดจำมันได้ และ
ดังนั้นต่อไปนี้มันก็จะสามารถหลอกสัตว์อื่นทุกตัวได้อย่างแนบเนียน มันคิดว่าจากนี้ไปสัตว์อื่นทุกตัว
ในป่าจะต้องประหลาดใจที่จะพบเห็นสัตว์ชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีในป่ามาก่อน และก็เป็นดังที่มันคาดคิดไว้
เมื่อมันกลับเข้าไปในป่า สัตว์เล็กใหญ่รวมทั้งเสือและสิงโตต่างก็ร้องถามมันว่า “ท่านเป็นสัตว์อะไรและ
ใครส่งท่านมาอยู่ในป่านี้”

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินยืดตัวอย่างสง่างามก่อนจะตอบว่า “พระเจ้าทรงส่งข้ามาปกครองดูแลสรรพสัตว์
ทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไปข้าคือเจ้าป่าแต่เพียงผู้เดียว”

เมื่อสิงโตได้ยินคำตอบเช่นนั้น สิงโตก็ประท้วงและอ้างว่าตนเป็นเจ้าป่ามาตลอดและจะไม่มีการเปลี่ยน
แปลงใดๆ อย่างไรก็ตามสุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินไม่ยอมรับการประท้วงของสิงโตและยืนยันอย่างอารมณ์ดีว่า
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเป็นการเริ่มต้นของศักราชใหม่ สิ่งที่จะเปลี่ยนไปจากเดิมคือ สัตว์ทุกตัวจะต้องเป็น
ข้ารับใช้ของข้าเท่านั้น”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 06, 2024 8:41 pm

( 10 )

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงิน ตอนที่ ( 2 )(ตอนจบ)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Blue Jackal Story”


แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังจากนั้น ก็ยังคงมีสัตว์บางตัวข้องใจอยู่อีก เช่นเสือที่ตั้งกระทู้ถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้น
หากมีสัตว์บางตัวไม่ปฏิบัติตาม”

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินตอบว่า “พระเจ้าจะทรงทำลายป่าจนราบเป็นหน้ากลองและสัตว์ทุกตัว
ก็จะต้องอดตายเพราะจะไม่มีป่าเป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไป”

ด้วยความหวาดกลัวต่อชีวิตและการจะไม่มีป่าเป็นที่อยู่อาศัย บรรดาสัตว์จึงถามสุนัขจิ้งจอก
สีน้ำเงินที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นเจ้าป่าว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเรามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง”

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินตอบโดยไม่ลังเลใดๆ ว่า “พวกเจ้าต้องรีบไปหาอาหารมาให้ข้าเยอะๆ เดี๋ยวนี้”

ทันทีที่สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินออกคำสั่ง พวกสัตว์ทั้งหลายก็รีบวิ่งกุลีกุจอไปหาอาหารและนำกลับมา
กองรวมกันให้สุนัขจิ้งจอกในเวลาไม่นาน
บัดนี้ สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินมีอาหารกองโตอยู่ข้างหน้า มันกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย และกินเท่าใดก็
ไม่หมด ที่สุดมันก็แบ่งอาหารที่เหลือให้สัตว์อี่นบ้าง และบอกพวกเขาว่า ต่อไปอาหารที่จะนำมาให้นั้น
ต้องเป็นอาหารที่สดใหม่ทุกวันเท่านั้น นอกจากนั้นมันยังออกคำสั่งให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกออกไปหากินนอก
เขตป่า เพราะมันรู้ดีว่าสักวันหนึ่งพวกสุนัขจิ้งจอกคงจะรู้ความจริงว่ามันเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเช่นกัน

สุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินมีความสุขมากที่สามารถหลอกสัตว์ทั้งป่าได้และใช้ชีวิตตามสบายโดยไม่ต้อง
เป็นกังวลเรื่องการตระเวนหาอาหารเองในหมู่บ้านที่ต้องเสื่ยงกับพวกสุนัขบ้านอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม
ฝูงสุนัขจิ้งจอกที่ถูกสั่งให้อยู่นอกเขตป่าไม่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตน ดังนั้นหลังจากที่พวกมัน
เดินวนไปมารอบป่าอยู่หลายวัน ที่สุดพวกมันก็ทนไม่ไหวและเริ่มส่งเสียงเห่าหอนดังก้องมาเข้าหูสุนัขจิ้งจอก
สีน้ำเงิน ทันใดนั้นสุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินก็ส่งเสียงหอนตอบตามสัญชาตญาณของสุนัขจิ้งจอก และความผิด
พลาดเพียงครั้งเดียวนี้เองทำให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังรับใช้อยู่รอบตัวมันรู้ทันทีว่า ที่แท้ “สัตว์ที่พระเจ้าทรง
ส่งมา” ก็คือสุนัขจิ้งจอกธรรมดาตัวหนึ่งนั่นเอง จากนั้นพวกมันก็พร้อมใจกันกระโจนเข้าจัดการสุนัขจิ้งจอก
สีน้ำเงินจนไม่เหลือซากในพริบตา

ข้อคิด : จงเป็นตัวของตัวเอง อย่าเสแสร้งทำตนเป็นคนอื่นเพราะเห็นแก่โชคลาภ ทั้งนี้เพราะความโลภ
มีแต่จะบ่อนทำลายตัวท่านในที่สุด : Be true to yourself and don’t pretend to be someone you
are not. Much greed is bad for you and will only cause you harm.

--------------------------------------
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 06, 2024 8:47 pm

( 11 )

สามีเดินพยุงภรรยาออกมาจากโรงพยาบาล เหตุเพราะเงินที่มีอยู่ไม่สามารถรักษา
ภรรยาของเขาต่อไปได้ ภรรยาของเขาซูบผอมมาก
หลังจากขึ้นรถโดยสาร เพื่อมุ่งสู่บ้านนอก เขาได้พบเจอกับชายคนหนึ่งแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย
หลังจากสนทนากัน ชายผู้นี้ จึงบอกแก่สองสามีภรรยาว่า
"ผมทำงานอยู่มูลนิธิ ผมขอที่อยู่ของคุณไว้นะ หากเรื่องของคุณผ่านมติที่ประชุม คุณก็จะได้
รับเงินค่าช่วยรักษาพยาบาล"
สองสามีภรรยายกมือไหว้ขอบคุณเขาด้วยความหวังและความซาบซึ้งใจ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
สองสามีภรรยาก็ได้รับธนาณัติเป็นเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท
เขาจึงพาภรรยาของเขากลับเข้ารับการรักษาพยาบาลอีกครั้ง
และทุกครั้งที่เงินกำลังจะขาดมือ เขาก็จะได้รับธนาณัติจากมูลนิธินั้นเสมือนว่ามูลนิธิรู้ว่าเขากำลัง
เงินหมด นอกเสียจากค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทาง สองสามีภรรยาไม่กล้าใช้เงินโดยพลการ
เพราะทั้งเธอและเขารู้ดีว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่มูลนิธิได้มาจากการบริจาคของคนทั่วไป
"เงินทำบุญของคนอื่น เราจะนำมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราจะต้องใช้ให้คุ่มค่าสมกับที่เขาเมตตาเรา"
สามีมักจะพูดกับภรรยา
ในช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ภรรยาของเขาเทียวไปเทียวมาเพื่อรักษาตัว มูลนิธิส่งเงินให้เขาและเธอ
เป็นจำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท เมื่อสุขภาพดีขึ้น สองสามีภรรยาจึงตัดสินใจเข้าเมืองเพื่อเข้าไปขอบคุณ
มูลนิธินั้น
แต่เมื่อมายืนอยู่หน้าสถานที่ๆ หน้าซองจดหมายแจ้งไว้ กลับกลายเป็นบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง
เจ้าของบ้าน ก็คือ ชายคนที่เขาและเธอพบเจอบนรถโดยสารวันนั้น
แท้ที่จริง ชายผู้นี้ไม่ได้ทำงานมูลนิธิอะไร เขาค้าขายเล็กๆน้อยๆ พอที่จะไม่ทำให้ครอบครัวและลูกเมีย
ลำบาก และเงินที่เขาส่งให้สองสามีภรรยา ก็เป็นเงินทุนของเขาเอง โดยมิใช่เงินของมูลนิธิตามที่เขา
บอกไว้..วันที่เขาพบเจอกับสองสามีภรรยานั้น เป็นวันที่เขาเดินทางไปชมนิทรรศการที่จังหวัดใกล้เคียง
เมื่อเรื่องราวนี้มีผู้คนรับรู้และแพร่กระจายเป็นวงกว้าง รายการโทรทัศน์ก็ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เขา
"ทำไมคุณถึงตัดสินใจช่วยเหลือสองสามีภรรยาคู่นี้ครับ?" นักข่าวยิงคำถาม
"ไม่มีอะไรครับ เพียงแค่เห็นว่า เขาทั้งสองคนยากลำบากจริงๆ คนเรายามอับจน ใครๆก็ต้องการ
ความหวัง ผมพอทำได้ผมก็เลยอาสาทำ" เขาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ทำไมคุณไม่บอกเขาและเธอว่า เงินเหล่านี้เป็นเงินส่วนตัวของคุณเอง?" นักข่าวถามต่อ
คราวนี้เขาไม่ได้ตอบคำถามของนักข่าวโดยตรง แต่เขาเล่าเรื่องในอดีตของเขาให้นักข่าวฟังว่า
"ตอนที่ผมเป็นเด็ก จำได้ดีว่า ปีหนึ่ง บ้านเรายากจนจนแทบจะไม่มีข้าวกรอกหม้อ ตอนที่พ่อกับแม่กำลัง
ทะเลาะกันอยู่นั้น ผู้ใหญ่บ้านก็แบกข้าวสารกระสอบหนึ่งมามอบให้กับครอบครัวเรา
ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เป็นข้าวสารที่ทางการมอบไว้ให้สำหรับช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน ใครๆก็รู้ว่า
บ้านของเรายากจน แถมลูกหลานก็เยอะ ข้าวคงไม่พอกิน ทางการก็เลยแจ้งให้ผู้ใหญ่นำข้าวมามอบ
ให้กับเรา
หลังจากปีนั้นผ่านไป ครอบครัวของเราเริ่มสบายขึ้น พ่อจึงได้รู้ความจริงจากปากลูกสะใภ้ผู้ใหญ่บ้านว่า
ข้าวกระสอบนั้นเป็นข้าวของผู้ใหญ่บ้านเอง ไม่ใช่ข้าวจากทางการตามที่ผู้ใหญ่บอก ทั้งๆที่บ้านผู้ใหญ่
ก็ลำบาก แต่แกก็ยังมีน้ำใจหยิบยื่นความรักความอาทรให้แก่ครอบครัวเรา
เพราะข้าวสารกระสอบนั้น ทำให้ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า หากวันใดที่ผมมีกำลัง และผมช่วยเหลือ
ใครๆได้ ผมจะช่วยเหลือทันที เพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่บ้านก็คือ เมื่อเราได้รับความอาทร
จากคนอื่น เราก็ควรให้ความอาทรนี้ต่อคนอื่นเช่นกัน"
พูดเสร็จ เขาก็หันไปมองภรรยาและลูกของเขาที่พยักหน้าและยิ้มให้กับเขาเช่นกัน
"แล้วทำไมคุณไม่มอบเงินทั้งหมดให้เขาเลย ทำไมต้องแบ่งเป็นงวดๆละครับ?" นักข่าวยิงคำถามสุดท้าย
คราวนี้เขายิ้มกว้าง "ผมสามารถทำได้อย่างนั้น แต่หากผมเอาเงินทั้งหมดให้กับเขาทั้งสอง มันก็แค่เงิน
ค่ารักษาตัว แต่ที่ผมแบ่งเป็นงวดๆ อย่างนี้ ก็เพื่อให้พี่ทั้งสองได้รับรู้ถึงความรักและความหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะคนที่ประสบกับความทุกข์นั้น พวกเขาไม่ได้ต้องการความสงสารจากใครๆ แต่เป็นความรักและ
ความหวังต่างหาก"
เมื่อเขาพูดจบ เสียงปรบมือของคนที่อยู่ในห้องก็ดังเกรียวกราว...

เพจ เป็นกำลังใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:07 pm

( 12 )

เรื่องสั้น

"จงฉลาดในการนับ" จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Be Wise While Counting”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาสูงอายุคนหนึ่งอยากแบ่งที่ดินของตน 2 แปลงที่มีขนาดไม่เท่ากัน
ให้กับลูกชายสองคนตามความสามารถของลูกแต่ละคน เขาจึงเรียกลูกชายทั้งสองคนมาและสั่ง
ให้ไปนับจำนวนแกะฝูงใหญ่ของตนในฟาร์ม ลูกชายคนโตตอบว่า เขาจะนับแกะทั้งหมดด้วยตัวเอง
ส่วนลูกคนเล็กบอกว่าเขาจะให้เพื่อน 2 คนมาช่วยนับด้วย
หลังจากนั้นลูกชายคนโตก็เริ่มนับแกะ แต่เนื่องจากเป็นแกะฝูงใหญ่มีจำนวนรวมกันมากกว่าร้อยตัว
และพวกมันต่างก็ไม่อยู่กับที่ ดังนั้นหลังจากอดทนนับอยู่ได้พักใหญ่โดยต้องเริ่มตั้งต้นนับใหม่อยู่หลาย
ครั้งเขาก็เลิกนับเพราะรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถจะนับจำนวนแกะทั้งหมดได้ ส่วนลูกคนเล็กไปเรียกเพื่อน
2 คนมาช่วยนับด้วย พวกเขาแยกแกะทั้งหมดออกเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่มและแต่ละคนก็เริ่มนับแกะใน
กลุ่มย่อยของตน ไม่นานลูกชายคนเล็กก็ทราบคำตอบจำนวนแกะทั้งหมดที่ถูกต้องเมื่อรวมจำนวนแกะ
ในกลุ่มย่อยทั้งสามเข้าด้วยกัน ดังนั้นลูกชายคนเล็กจึงได้ครองที่ดินแปลงใหญ่เป็นกรรมสิทธิ์เพราะ
ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้งสอง

ข้อคิด : เป็นการฉลาดที่จะขอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อจำเป็น
เพราะไม่มีผู้ใดจะรอบรู้ทุกอย่าง
: It is wise to take help from others when needed.
No individual has all the answers or capabilities.

-----------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:11 pm

( 13 )

เรื่องสั้น

"ช่างตัดเสื้อกับช้าง" จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Tailor and the Elephant”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีช่างตัดเสื้อคนหนึ่งเปิดร้านตัดเสื้อในเมืองแห่งหนึ่ง เขาเป็นคน
อารมณ์ดีและร่าเริง ขณะเดียวกันก็มีคนเลี้ยงช้างคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน ทุกวันเขาพาช้าง
ของเขาเดินไปดื่มน้ำที่สระน้ำนอกเมืองทุกวัน และขณะเดินผ่านร้านของช่างตัดเสื้อ เขาก็จะให้ขนมปัง
ช้างก้อนหนึ่งทุกวัน วันเวลาผ่านไป พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและต่างรู้สึกดีใจมากเมื่อได้
พบกัน บางวันเมื่อคนเลี้ยงช้างพาช้างมาผิดเวลา ช่างตัดเสื้อก็จะเก็บขนมปังไว้รอจนกว่าคนเลี้ยงช้าง
จะพาช้างเดินผ่านมา

วันหนึ่ง ช่างตัดเสื้อเกิดมีเรื่องทะเลาะรุนแรงกับลูกค้าคนหนึ่งและอารมณ์เสียตลอดทั้งวัน เมื่อคน
เลี้ยงช้างพาช้างผ่านมา ช้างก็เอางวงแหย่เข้าไปทางหน้าต่างในร้านเพื่อรับขนมปังเช่นที่เคยได้รับอยู่
ทุกวัน แต่ด้วยความที่ช่างตัดเสื้อยังมีอารมณ์เสียค้างอยู่ แทนที่เขาจะให้ขนมปังเช้าง เขากลับเอาเข็ม
เย็บผ้าแทงเข้าที่ปลายงวงของมัน ช้างรู้สึกเจ็บปวดมากแต่ก็อดใจไม่ตอบโต้ทันทีและเดินจากไปเพื่อ
ดื่มน้ำที่สระน้ำนอกเมืองตามปกติ

หลังจากช้างดื่มน้ำดับกระหายแล้ว ช้างก็ดูดน้ำโคลนในสระจนเต็มงวง หลังจากนั้นช้างก็เดินกลับมา
ที่ร้านช่างตัดเสื้อ แล้วยื่นงวงเข้าไปทางหน้าต่างของร้านก่อนจะพ่นน้ำโคลนในงวงเข้าไปทำให้ทั่วทั้งร้าน
มีแต่โคลนเปียกติดอยู่ตามชุดแฟนซีและชุดแต่งงานหรูหราที่ช่างตัดเสื้อเพิ่งตัดเสร็จและแขวนไว้รอลูกค้า
มารับ ช่างตัดเสื้อรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งมีสาเหตุจากการระบายอารมณ์โกรธของตนใส่ช้างซึ่งเป็น
มิตรที่ดีต่อกันมาก่อนนั่นเอง แต่น่าเสียดายที่เขาสำนึกผิดช้าไป

ข้อคิด : ดูให้ดีก่อนจะก้าวกระโดด หรือ “คิดก่อนทำ” : Look before you leap.

---------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:16 pm

( 14 )

เรื่องสั้น

"แมวที่รู้จักเอาตัวรอดกับสุนัขจิ้งจอกจอมโม้"
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Clever Cat and the Vain Fox”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งแมวและสุนัขจิ้งจอกมาพบกันในป่าแห่งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกพูดกับแมวว่า “สวัสดี แกจะ
ไปไหนหรือ มาคุยกันก่อนสิ ที่นี่ปลอดภัยดีนะ” แมวจึงหยุดและทักทายสุนัขจิ้งจอกพอเป็นพิธี
ก่อนจะพูดว่า “ฉันว่า... ที่นี่ไม่ปลอดภัยนักนะถ้าเราขืนหยุดคุยกันนานกว่านี้”

สุนัขจิ้งจอกพูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองว่า “ที่จริงฉันก็เจอพรานล่าสัตว์แถวนี้อยู่บ่อยๆ แต่ฉัน
ไม่สนใจพวกเขาหรอกเพราะฉันมีเทคนิคหลายวิธีที่จะหลบพวกเขาได้ง่ายๆ แกรู้จักเคล็ดลับวิธี
เอาตัวรอดจากพวกนายพรานบ้างไหมล่ะ”… แมวตอบอย่างเจียมตนว่า “ฉันก็รู้แค่วิธีปีนต้นไม้หนี
เมื่อจวนตัวเท่านั้นแหละ”

สุนัขจิ้งจอกขี้โม้มองหน้าแมวอย่างดูถูกดูแคลน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแกมสงสารว่า
“น่าสงสารจัง! แกรู้จักหนีวิธีเดียวเองเหรอ แล้วอย่างนี้แกจะเอาตัวรอดได้อย่างไรถ้าเกิดปีน
พลาดขึ้นมาล่ะ? เดี๋ยวฉันจะสอนเทคนิคอื่นให้เอาไหม”

ทันใดนั้นแมวก็เหลือบเห็นนายพรานคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาพร้อมกับสุนัขล่าเนื้อ 2 ตัว...
แมวร้องขึ้นว่า “ฉันเผ่นก่อนละนะเพื่อน" ว่าแล้วมันก็ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดอย่างคล่อง
แคล่วและเอาตัวรอดได้โดยปราศจากรอยขีดข่วน ขณะที่สุนัขล่าเนื้อทั้งสองกระโจนเข้าฉีกร่าง
ของสุนัขจิ้งจอกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่มันจะได้นำเทคนิคออกมาใช้ได้ทัน

ข้อคิด : อย่าดีแต่ปาก : Pride hath a fall. หรือ Pride goes before a fall.

----------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 7:20 pm

( 15 )


#เหนือฟ้ายังมีฟ้า ...
เหนือขงจื๊อ ยังมี....หยีฟู่

ขงจื๊อ นั่งดีดพิณร้องเพลง
ระหว่างการท่องเที่ยวป่าดำ ชายชราคิ้วขาว หนวดขาวยาวย้อยต่ำ ผมขาวกระจายคลุมไหล่
สองมือยัดใส่แขนเสื้อ ขึ้นจากเรือเดินเข้ามา ได้ยินเสียงเพลงก็นั่งคุกเข่า มือเท้าคาง
นั่งฟังอย่างตั้งใจ

เพลงจบ...พอรู้ว่าเป็นขงจื๊อ ผู้แสวงหาทางการเมือง หยีฟู่ก็หัวร่อ กล่าวว่า
"ที่เขาเหนื่อยยากถึงปานนี้ ก็น่ายกย่อง แต่ถ้าเขาขืนทำเช่นนี้ต่อไป ก็น่ากลัวว่าเขาจะห่างไกล
จากมรรคออกไปทุกวัน" แล้วก็เดินจากไป

เมื่อขงจื๊อทราบ ก็ผลักพิณไปข้างหนึ่ง บอกศิษย์ว่า "ชาวประมงนั้น เป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศ"
แล้วก็เดินตามไปทันหยีฟู่ ที่ริมทะเลสาบ ค้อมคำนับหยีฟู่ แล้วบอกว่า
"ถ้อยคำที่ท่านพูดสักครู่ ดูจะยังไม่จบ ข้าพเจ้าโง่เขลา ใคร่ขอฟังคำสอนจากท่านอีก"

หยีฟู่ : "ท่านนับเป็นคนรักการศึกษา"
ขงจื๊อ : "ข้าพเจ้ารักการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เวลานี้มีอายุ 69 ปีแล้ว"

คนเรามีโรคร้าย 8 ประการ
มีความทุกข์ 4 ประการ
จะไม่สนใจมิได้"

หยีฟู่กล่าว
"นั่นคือ...
1. ทำในสิ่งที่ท่านไม่ควรทำ นี่เรียกว่า... "แส่เสือก"
2. คนอื่นเขาไม่เชื่อในถ้อยคำของท่าน แต่ท่านก็พูดไม่รู้จบ นี่เรียกว่า ... "เพ้อพล่าม"
3. เดาใจของผู้อื่น พูดในสิ่งที่ผู้อื่นเขาอยากจะฟัง นี่เรียกว่า... "ประจบ"
4. ไม่รู้ดีชั่ว เออออตามคนอื่นเขา นี่เรียกว่า... "สอพลอ"
5. ชอบนินทาความผิดของผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ใส่ไคล้"
6. ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น นี่เรียกว่า... "ยุแยง"
7. ยกย่องคนชั่ว ขับไสคนที่เกลียดชัง นี่เรียกว่า... "เจ้าเล่ห์"
8. ไม่แยกดีชั่ว ทำดีกับสองฝ่าย เพื่อให้เขาชอบ นี่เรียกว่า... "กลิ้งกลอก"

หยีฟู่สรุปว่า "โรคร้ายทั้ง 8 ประการนี้ ต่อภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ต่อภายในก็ทำร้ายตัวเอง
นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีสติปัญญามิยอมชิดใกล้"

"ถ้าเช่นนั้น ที่ว่าความทุกข์ 4 ประการนั้นเล่า คืออย่างไร?" ขงจื๊อถามต่อ

หยีฟู่กล่าว นั่นคือ

1. คิดจะทำแต่เรื่องใหญ่ เพื่อหาชื่อเสียง นี่เรียกว่า... "มักใหญ่"
2. ทำเป็นอวดฉลาด ทำอะไรตามใจชอบ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงการ
ล่วงเกินผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ถือดี"
3. มองเห็นความผิดของตน แต่ไม่ยอมแก้ไข ครั้นเมื่อได้ฟังคำตักเตือนของคนอื่น ก็กลับ
โมโหโกรธา นี่เรียกว่า... "ยโส"
4. ถ้าความเห็นนั้นตรงกับของตนก็ว่าถูก ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงกับคนอื่น แม้จะดีก็ว่าไม่ดี
นี่เรียกว่า... "ทะนง" "

"คนคนหนึ่ง ถ้าหากมีความทุกข์ 4 ประการนี้แล้ว ก็ยากที่จะสนทนา"

ขงจื๊อได้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ค้อมคำนับอีกสามครา แล้วก็จากมา...

หยีฟู่ ชายชราคิ้วขาว เคราขาวยาวคลุมอก... ผู้กล้าสอนขงจื๊อ ทำให้ขงจื๊อต้องคำนับแล้ว
คำนับอีก จวงจื๊อ (ปราชญ์รุ่นหลังขงจื๊อ ผู้เขียนเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหน
บอกแต่เพียงว่า สอนขงจื๊อแล้ว ก็ลงเรือหายไปในทะเลสาบ แต่คำสอน โรคร้ายทั้ง 8
ความทุกข์ทั้ง 4 ยังมีผู้บันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า บ้านเมืองที่มีแต่คนป่วยเป็น
โรคร้ายทั้ง 8 มีแต่คนมีทุกข์ทั้ง 4 เป็นบ้านเมืองที่หามีความสงบสุขไม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 10, 2024 11:50 am

( 16 )

เรื่องสั้น

"ความฝันของพราหมณ์ " จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Brahmin’s dream”

แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

พราหมณ์ยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพียงลำพัง เขาไม่มีเพื่อนหรือญาติมิตรใดๆ
เขาเลี้ยงชีพด้วยการขออาหารประทังชีวิตไปวันๆ ทุกวันเมื่อได้อาหารมาแล้วเขาจะนำมาเก็บไว้ใน
หม้อดินที่แขวนอยู่ข้างเตียง และเมื่อหิวก็หยิบกินอาหารได้โดยสะดวก
วันหนึ่งเขาได้รับอาหารมามากมาย หลังจากกินข้าวเย็นแล้วก็ยังคงมีข้าวเหลืออยู่ในหม้ออีกมาก
คืนนั้นเขาฝันว่าเขามีข้าวมากจนล้นหม้อ และในความฝันเขายังคิดต่อไปว่า เขาก็จะขายข้าว
ของเขาจนมีเงินมาก จากนั้นเขาก็จะใช้เงินไปซื้อแพะคู่หนึ่งซึ่งจะให้ลูกแพะมากจนไม่นานก็จะมีแพะ
เป็นฝูง แล้วเขาก็จะนำฝูงแพะไปแลกกับวัวนมที่จะให้น้ำนมมากซึ่งเขาจะใช้ทำเนยและผลิตภัณฑ์
จากนมอีกมากมาย แล้วเขาก็จะนำผลิตภัณฑ์ของเขาไปขายในตลาดจนมีเงินมากขึ้นไปอีก ด้วยเงิน
จำนวนนี้ เขาก็จะสู่ขอแต่งงานกับผู้หญิงที่ร่ำรวย และก็จะมีลูกชายคนหนึ่งที่เขาจะรักและอบรมสั่งสอน
เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากลูกชายไม่อยู่ในโอวาท เขาก็จะถือไม้เท้าเฆี่ยนตีลูก และขณะที่ยังอยู่ในความฝัน
นั้นเอง มือของพราหมณ์ก็คว้าไม้เท้าที่วางอยู่ข้างเตียงโดยไม่รู้ตัวกวัดแกว่งไปมาในอากาศจนที่สุด
ไม้เท้าไปกระทบหม้อดินที่แขวนอยู่ข้างเตียงอย่างแรงจนหม้อดินแตกกระจาย และข้าวในหม้อก็
ตกกระเด็นใส่เขาจนตกใจตื่น ก่อนจะตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่เขาเห็นมาก่อนหน้านั้นเป็นเพียงความฝัน

ข้อคิด : อย่าสร้างวิมานในอากาศ : One should not build castles in the air.

-----------------------------------
ตอบกลับโพส