“ จิบชา “ โดย โอวตี๋ ( ตอนที่ 25 -35 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 09, 2024 6:59 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (25)

💠 จิปาถะนิยาย : เกินไป 💠
จินตหราพบรักแท้ เขาไม่หล่อเหลามาก แต่จริงใจและจริงจังกับเธอ สุธีคือชื่ออันเหมาะเจาะ
กับบุคลิกของเขา และเมื่อความรักถูกบ่มจนสุกงอมแล้ว เธอก็ตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับเขา ไม่มีปัญหา
สุธียินดีที่จะถือความเชื่อคาทอลิก เขาไปเรียนคำสอนกับพ่อเจ้าวัด ไปร่วมมิสซาและพิธีทางศาสนา
กับเธอ และเพื่อจะให้ความเชื่อฝังรากลึกซึ้งยิ่งขึ้น จินตหราจึงมอบหนังสือคาทอลิกจำนวนมากมาย
ให้เขาอ่าน (อาทิ อุดมศานต์ ดอนบอสโก แม่พระยุคใหม่ และ...แฮ่ม...จิบชาด้วย) ทุกสิ่งทุกอย่าง
กำลังไปได้สวย กระทั่งวันหนึ่ง คุณแม่ก็พบว่าจินตหรากำลังร้องไห้น้ำตานองหน้า
"เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ ลูก" คุณแม่ตกใจ
"สุธีค่ะแม่" จินตหราสะอื้นตอบ
"สุธี!" คุณแม่อุทาน "เขาเป็นอะไรหรือ"
"เขาไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่เขาจะไม่แต่งงานกับหนูแล้ว"
คุณแม่ยกมือทาบอก "ทำไมล่ะลูก?"
"เขาบอกว่า เขาอยากจะบวช" เสียงจินตหราสั่นเครือ
"ตอนนี้ กำลังเข้าค่ายสัมผัสชีวิตเณรอยู่ค่ะ"

💠 จิปาถะนิยาย 💠
"โชคร้ายที่สุดของพวกอเทวะก็คือ เวลาที่ได้เจอเรื่องดีๆ ในชีวิตแล้ว ไม่รู้จะขอบคุณใคร"

💠 จิปาถะนิยาย : ผลัดกัน 💠
เชิงเทียนอันมีค่าของวัดมักจะหายไปอย่างลึกลับเสมอ บ่ายวันหนึ่ง คนดูแลวัดจึงเข้าไป
แอบอยู่ในที่ฟังแก้บาป เพื่อคอยจับขโมย ปรากฏว่ารองเท้าของเขาโผล่จากฝาแก้บาป สร้าง
ความเข้าใจผิดให้กับสุภาพสตรีผู้หนึ่ง เธอเดินเข้ามาคุกเข่าข้างฝาแก้บาป และสารภาพบาป
ของตน คนดูแลวัดพยายามบอกเธอว่าเขาไม่ใช่คุณพ่อ แต่เธอคิดไปว่า คุณพ่อกำลังสวดบท
อภัยบาปให้ จนเมื่อเธอบอกบาปหมดสิ้นแล้ว คนดูแลวัดจึงมีโอกาสแสดงตัว พอรู้ว่าเป็นใคร
เธอก็ร้องกรี๊ดสุดเสียง
"ชั้นจะไปฟ้องคุณพ่อ"
"ก็ได้" คนดูแลวัดตอบอย่างสงบ
"ผมก็จะไปฟ้องสามีคุณนายเรื่องที่คุณนายพูดเมื่อกี้"

💠 จิปาถะนิยาย 💠
หนุ่มธรรมะธรรมโมกำลังเลือกคู่ควงระหว่างหญิงสาวสาวสองคน คนหนึ่งผอมเป็นแผ่น
กระดาน แถมตัวเตี้ยอีกต่างหาก ส่วนอีกคนสูงยาวเข่าดี หุ่นสะบึ้มส์ไม่ใช่เล่น
หนุ่มเลือกใครรู้ไหมครับ?
เขาเลือกคนแรก
โดยให้เหตุผลกับเราว่า
"ผมพยายามเลือกทำบาปให้น้อยที่สุดครับ"

💠 จิปาถะนิยาย : ใครขอก็จะได้ 💠
"เพื่อนหญิงคนหนึ่งของดิฉันสวดภาวนาทุกๆ วันแก่นักบุญโยเซฟ เพื่อให้เธอได้สามีที่ดี
เธอสวดร่วมสิบปี แต่ไม่มีวี่แววว่าจะให้ตามที่ขอ เธอเริ่มจะเสียความเชื่อมั่นแล้ว กระทั่งเช้าวันหนึ่ง
เธอกลับจากร่วมมิสซา และคุกเข่าต่อหน้านักบุญโยเซฟ วอนขอในสิ่งที่เธอต้องการ เวลาผ่านไป
10 นาที ความอัดอั้นตันใจพลุ่งขึ้นถึงขีดสุด เธอก็ฉวยรูปปั้นจากโต๊ะ ขว้างออกไปนอกหน้าต่าง
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมา และรูปปั้นนั้นโดนศีรษะเขาพอดี เขาเคาะประตูบ้านขอความ
ช่วยเหลือ (และคงขอคำอธิบายด้วย) เพื่อนดิฉันขอโทษเขาเป็นการใหญ่ และช่วยรักษาทำแผล
ให้เขาด้วย ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเมื่อหกเดือนที่แล้วมานี้เอง ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน
อย่างมีความสุข"
Marie Mulrooney ผู้เล่าเรื่อง

💠 จิปาถะนิยาย 💠
"ถ้าจะแต่งงาน ต้องใช้จ่ายสักเท่าไหร่ครับพ่อ?"
ลูกชายวัยหนุ่มถามบิดา
"ไม่รู้สิ เพราะตอนนี้พ่อยังจ่ายค่าแต่งงาน ไม่หมดเลย"

💠 จิปาถะนิยาย : Nothing is perfect 💠
ชายคนหนึ่งออกรำคาญเต็มทีเมื่ออ่านพบว่า ในหนังสือพระคัมภีร์แต่ละเล่มต้องมีข้อผิดพลาด
ตรงนี้นิดตรงนี้หน่อย บางทีก็พิมพ์ผิด บางทีก็ตกหล่น เขาจึงประกาศว่าจะพิมพ์พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์
ที่สุด ชนิดที่ไม่มีคำผิดเลยสักนิดเดียว แล้วเขาก็ลงมือทำงานของเขาอย่างจริงจัง เขาทำงานหามรุ่ง
หามค่ำเป็นเวลาหลายปี เขาตรวจตราทุกบรรทัด ทุกหน้าอย่างละเอียดลออ ด้วยตัวเขาเอง จนในที่สุด
งานก็สำเร็จลง เขาส่งอาร์ตเวิร์คให้โรงพิมพ์ เพื่อพิมพ์ออกจำหน่ายด้วยยอด 50,000 เล่ม สามวันต่อมา
พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ที่สุดของเขาก็แล้วเสร็จ เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม เปิดออกดูเพื่อชื่นชมกับผลงาน
ของตัวเอง บรรทัดแรกที่ปรากฏแก่สายตาของเขาคือ
Genesis : In the be ginning God created the henvens and the earth.

💠 จิปาถะนิยาย : แด่ผู้สร้างสันติ... 💠
"จำไว้เถอะว่า ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงการประลองกำลังข้อมือเวลาเชคแฮนด์กัน"

💠 จิปาถะนิยาย 💠
"พ่อครับ ผมขอไอศกรีมซันเดย์ได้ไหมฮะ?" ลูกชายถามพ่อ
"หุบปาก และดื่มเบียร์ของแกให้หมด"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 10, 2024 11:34 am

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (26)

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : นานมาแล้ว 💠
อาดัมกับเอวาเดินจูงมือกันในสวนเอเดน ทั้งสองเพิ่งได้รับคำสั่งจากพระเป็นเจ้าให้ตั้งชื่อ
สัตว์ต่างๆ ขณะกำลังเดินคุยกันกระหนุงกระหนิง อยู่นั่นเอง ก็มีสัตว์ตัวหนึ่งเดินผ่านหน้าทั้งสอง
"สัตว์ตัวนี้ ตัวโตไม่เบา มีจมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวง เรียกว่างา มีหูมีตา หางยาว
" เอวาเห็นเข้า ก็เขย่าแขน อาดัมเป็นการใหญ่ ร้องว่า
"พี่ดัมๆ เราจะเรียกสัตว์แปลกประหลาดตัวนี้ว่าอะไรดี"
"ช้าง" อาดัมว่า
"ช้าง" เอวาอุทาน "ทำไมล่ะคะ"
"เอ๊..." อาดัมตอบ "ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันเป็นช้าง"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
เพื่อนๆ ต่างเป็นห่วงมาร์ค ทเวน นักประพันธ์ใหญ่ชาวอเมริกัน เพราะเขาสูบบุหรี่จัดเหลือเกิน
เพื่อนๆ จึงแนะนำให้เขาเลิกบุหรี่ แต่เขาบอกว่า
"เลิกบุหรี่น่ะเหรอ ง่ายจะตายไป ผมคิดเลิกมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้วละ"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : เราลืมไป 💠
เล่ากันมาว่า หลังจากกลับคืนชีพแล้ว พระเยซูเจ้าได้ไปหาบรรดาอัครสาวก เผยแสดงตัวแก่
พวกเขา ได้ให้โทมัส สาวกขี้สงสัยเอานิ้วแยงพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ กินอาหารให้พวกเขาดู
จนพวกเขาเชื่อแน่แล้วว่า พระองค์เป็นพระเยซูเจ้า พระอาจารย์ของพวกเขาจริงๆ
และเพราะพระองค์ได้เลือกนักบุญเปโตรให้เป็นศิลาแห่งพระศาสนาจักรของพระองค์ พระองค์
จึงต้องมีอะไรสั่งเสียเขามากสักหน่อย พระองค์ได้ชวนเปโตรออกมาเดินด้วยกันที่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี
ขณะที่เดินพระองค์ก็สั่งสอนเขาไปด้วย พวกสาวกที่เหลือ ได้แล่นเรือออกไปกลางทะเล ซ้อมจับปลากัน
เป็นการใหญ่ เพื่อจะได้มีความคล่องแคล่วในการใช้อวนใช้แหจับมนุษย์ในอนาคตอันใกล้
หลังจากสั่งเสียเปโตรเสร็จแล้ว พระองค์ก็ชวนเขาให้เดินบนผิวน้ำไปหาพวกสาวกที่อยู่บนเรือ
เปโตรออกจะอิดเอื้อนรสชาติของการสำลักน้ำเมื่อคราวก่อนได้ แต่นั่นก็ไม่เท่าไรหรอก ที่สำคัญก็คือ
อายพวกเพื่อนๆ นี่สิ ครั้นจะปฏิเสธหรือก็กลัวว่าพระเจ้าจะตำหนิว่าไม่มีความเชื่ออีก เปโตรจึงกัดฟัน
ตกลง กลั้นใจค่อยๆ วางเท้าบนผิวน้ำ ปรากฏว่าไม่จม ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง จึงลองวางอีกเท้าตามไป
ไม่จมเหมือนกัน คราวนี้ เปโตรจึงโล่งอก เดินอย่างมั่นใจเคียงไปกับพระเยซูเจ้า พวกสาวกบนเรือพากัน
โห่ร้องเป็นการใหญ่ บางคนก็ปรบมือด้วย
แต่พ้นจากฝั่งได้ไม่ไกล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น ร่างของพระเยซูเจ้ากลับเป็นฝ่ายค่อยๆ
จมลงในน้ำ พระองค์คว้าแขนของเปโตรไว้ พยายามดันตัวขึ้นมาให้พ้นน้ำ และร้องละล่ำละลักออกมาว่า
"ช่วยเราด้วยเปโตร เราลืมไปว่าที่เท้าของเรามีรอยตะปู"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
หลังจากสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก ชายหญิงคู่หนึ่งก็พบว่า เหลือเพียงแค่เขาสองคนเพียงลำพัง
บนโลกเท่านั้น ฝ่ายชายจึงพยายามเข้าไปผูกสัมพันธ์กับฝ่ายหญิง แต่ก็ไร้ผล เธอไม่สนใจเขาเลย อยู่มา
วันหนึ่ง หญิงสาวปีนขึ้นไปบนต้นแอปเปิล ปลิดแอปเปิลผลหนึ่งส่งให้ชายหนุ่ม และกล่าวว่า
"นี่ไง เพื่อนรัก กินซะสิ เธอคงไม่เคยได้ลิ้มรสแอปเปิลอร่อยอย่างนี้แน่ๆ"
หญิงสาวเปิดทางให้แล้ว แต่ชายหนุ่มไม่รับมา เขาบอกว่า
"อย่าคิดว่าเธอจะหลอกฉันด้วยอุบายนี้อีกเลย ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่งเคยเสียทีมาแล้ว
และดูสิว่าเรื่องมันลงเอยอย่างไร"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ตามต้องการ 💠
มีเรื่องเล่าว่า...สงฆ์คณะเยสุอิตกับคณะฟรังซิสกันทานอาหารเที่ยงด้วยกันในวันศุกร์ มีปลา
อยู่ 2 ตัวในจาน ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ตัวเล็กตัวหนึ่ง สงฆ์คณะเยสุอิตจัดแจงตักปลาตัวใหญ่ใส่จานตัวเอง
และตักปลาตัวเล็กให้พระสงฆ์คณะฟรังซิสกัน
"นี่หรือครับ การอบรมแบบเยสุอิต?"
พระสงฆ์ฟรังซิสกันถามประชด
"คุณพ่อหมายความว่าอย่างไรมิทราบ" สงฆ์เยสุอิตย้อนถาม
"ตามการอบรมที่ผมได้รับมา ในเรื่องการถือความยากจน"
สงฆ์ฟรังซิสกันว่าเชิงสั่งสอน
"ถ้าหากจะต้องเสิร์ฟปลาแบบเมื่อกี้ ผมจะตักตัวที่ใหญ่กว่าใส่จานคุณพ่อ และตัวเอง
จะรับเอาปลาตัวเล็กกว่า"
สงฆ์เยสุอิตตอบอย่างสุภาพว่า
"ก็เป็นไปอย่างที่คุณพ่อต้องการแล้วนี่ครับ"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ 💠
ในสมัยพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 เป็นธรรมเนียมที่ทหารสวิสที่เฝ้าพระราชวังวาติกันที่มา
ประจำการใหม่ จะต้องเข้าเฝ้าพระองค์ และในโอกาสนั้น องค์พระสันตะปาปาจะมีพระดำรัสถาม
เป็นลำดับว่า "เธออายุเท่าไร?" "เธออดอาหารได้นานเพียงไหน?" และ "คุณพ่อหรือคุณแม่ของเธอยัง
มีชีวิตอยู่?"
แล้ววันหนึ่ง ทหารใหม่ก็ถูกนำตัวเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา เขายังไม่คุ้นกับภาษาอิตาเลียนดีนัก
แต่ก็ได้รับคำแนะนำให้เตรียมตัวท่องคำตอบเป็นลำดับอย่างดี ทว่าครั้นถึงเวลาเข้าจริง พระสันตะปาปา
กลับทรงเปลี่ยนลำดับคำถามใหม่ ทรงเริ่มคำถามที่สองก่อน
"เธออดอาหารได้นานเพียงไหน?"
"ยี่สิบสี่ปีพ่ะย่ะค่ะ"
"เธออายุเท่าไร?"
"สองวันพ่ะย่ะค่ะ"
"เอ๊ะ..." พระองค์ทรงอุทานแกมสรวล
"ไม่เธอก็ฉันคงจะประสาทไม่ค่อยดีละมัง?"
ทหารใหม่ตอบอย่างซาบซึ้งในพระกรุณา
"ทั้งสองคนละพ่ะย่ะค่ะ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 8:34 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (27 )

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ไม่ถูกใครเลย 💠
ไม่นานนัก หลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ทรงออก
ปราศรัยกับฝูงชนที่มาแออัดยัดเยียดกันในบริเวณจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ พระองค์ทรงตื่นเต้นพระทัย
ยิ่งนักกับความห่วงใย และจงรักภักดี ของบรรดาคริสตศาสนิกชน จึงมีพระดำรัสว่า
"สมมุติว่าพ่อต้องการหัวใจใหม่ มีใครในที่นี้บ้างไหมที่อาสาจะสละหัวใจให้พ่อ"
เสียงที่ตอบมาประสานกระหึ่มเป็นเสียงเดียวกันว่า
"ข้าพเจ้าเอง ท่านบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าเอง"
"เอาละ ถ้าเช่นนั้น..." พระองค์ทรงหยิบขนนกระเบียงขึ้นมา
"พ่อจะปล่อยขนนกเส้นนี้ลงไป หากว่าขนนกนี้ถูกใคร ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้เสียสละมอบ
หัวใจให้กับพ่อ ในกรณีที่พ่อต้องการ"
กระแสลมพัดขนนกเส้นนั้นล่องลอยลงมา มันพลิ้วอ้อยอิ่งอยู่เหนือฝูงชน แต่นับว่า
ประหลาดมาก เพราะมันหล่นลงกับพื้นโดยไม่กระทบถูกใครเลย
ทำไมน่ะหรือ?
ก็เพราะว่าเมื่อขนนกนั้นลอยเข้ามาใกล้ใคร แต่ละคนก็จะเป่ามันออกไปให้ห่างตัวน่ะเซ่ !!

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางด้วยม้า นักบุญเบเนดิกต์พบชาวนาคนหนึ่งเดินสวนมา
"พวกท่านที่เป็นฤาษีช่างสบายจริงๆ" ชาวนาคนนั้นว่า
"ทำไมหนอ ทำไมผมจึงไม่เลือกเอาชีวิตสวดภาวนา แล้วก็เที่ยวเดินทางไปไหนมาไหน
บนหลังม้าแบบนี้"
"เธอคิดว่าการภาวนาเป็นเรื่องง่ายๆ หรือ?" นักบุญเบเนดิกต์ตอบเขา
"เอาอย่างนี้ไหม ถ้าหากเธอสวดบทข้าแต่พระบิดาได้จบโดยไม่วอกแวกเลย เราจะยกม้าตัวนี้ให้"
"ตกลงๆ" ชาวนารีบรับคำ
เขาปิดตา พนมมือ แล้วสวดออกมาดังๆ "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิต
ในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง ...น้ำพระทัย..." สวดมาถึงตอนนี้
เขาก็ลืมตาขึ้นถามว่า
"ผมจะได้อานด้วยไหม?"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
เมื่อยังหนุ่ม ผมคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ ตอนนี้ผมแก่แล้ว และพบว่า
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ ออสการ์ ไวลด์

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : พระวรสารโดยคุณพ่อ 💠
ในขณะที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงบนกางเขน พระองค์มองลงไปยังกลุ่มผู้ที่รักพระองค์ ซึ่งยืนห่าง
ออกไปไม่ไกล พระองค์ผงกศีรษะให้กับจอห์น จอห์นสังเกตเห็น แต่ไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปคนเดียว
หรือพามารดาของพระองค์เข้าไปด้วย หลังจากที่หันไปซุบซิบกันในกลุ่ม เขาก็ตัดสินใจก้าวเท้า
เข้ามาพร้อมกับพระนางมารีย์ ทั้งสองมาหยุดใต้เชิงกางเขนของพระองค์ ห่างกันเพียงฟุตเดียว
พระเยซูเหยียดกายขึ้น พยายามกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวด แล้วพูดเสียงสั่นๆ กับจอห์นว่า
"ยอห์น เราอยู่ข้างบนนี่ มองเห็นบ้านเจ้าด้วยล่ะ!"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
เซอร์วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมตรีอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นนักพูดที่เก่งกาจ
และยังเป็นนักฟังที่ดีอีกด้วย วันหนึ่งท่านไปฟังการพูดไฮปาร์คในสวนสาธารณะ แต่นักพูดคนนั้น
ก็พูดนานเหลือเกิน จนใครๆ ก็เบื่อ คนนั่งข้างๆ สะกิดบอกท่านเซอร์
"ท่านเซอร์ช่วยหยุดเจ้าหมอนั่นหน่อยเถอะครับ"
เชอร์ชิลล์ยิ้มน้อยๆ แล้วจัดแจงเขียนโน้ตสั้นๆ ฝากใครคนหนึ่งขึ้นไปให้นักพูดที่ยืนอยู่บนเวที
หลังจากที่นักพูดได้อ่านโน้ตนั้น เขาก็จบการพูดปราศรัยของเขาโดยทันที
"ท่านเซอร์เขียนโน้ตอะไรถึงเขาหรือครับ?"
คนที่ถือโน้ตขึ้นไปถาม
"ฉันเขียนว่า คุณไม่ได้รูดซิป น่ะ" ท่านเซอร์ตอบ

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
หนุ่มอเมริกันนายหนึ่งไปเที่ยวไอร์แลนด์ด้วยความสบายใจ เพราะรู้ดีว่าในประเทศนี้
พวกคาทอลิกกำลังมีเรื่องกับพวกโปรเตสตันต์ และค่าที่เขาเป็นยิวจึง ไม่รู้สึกเดือนร้อนอะไรด้วย
แต่แล้วค่ำคืนหนึ่ง เขาก็ถูกไอ้โม่งคนหนึ่งเอาปืนดักจี้ที่กลางถนน
"เอ็งอยู่นิกายไหน?" ไอ้โม่งถาม
"ผมเป็นยิวครับ" หนุ่มอเมริกันตอบอย่างภาคภูมิใจ
"เออดี แต่ข้าเป็นอาหรับว่ะ" ไอ้โม่งคำราม แล้วง้างไกปืน

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ทรงพระขี้เล่น 💠
พระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จไปเยี่ยมวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของโรม
สัตบุรุษมา ยืนต้อนรับกันแน่นถนน คุณพ่อเจ้าวัดคือ คุณพ่ออิกนิโอ เรเซนเตแห่งคณะฟรังซิสกัน
ท่านทูลเย้าพระองค์ว่า
"สัตบุรุษบางคนเคยพูดว่า โป๊ปจะไม่เสด็จมาวัดของพวกเราหรอก เพราะพระองค์ไม่ค่อย
ชอบพวกเรา เป็นความจริงหรือไม่ ท่านบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์?"
พระสันตะปาปาทรงยิ้ม ตรัสตอบว่า
"คุณพ่อคงเห็นว่าเรายืนอยู่ที่นี่แล้ว"
แล้วทรงหันไปตรัสกับฝูงชน พระเนตรเป็นประกาย
"ดังนั้น พวกลูกก็คงเห็นแล้วว่า พ่อเจ้าวัดของพวกลูกเป็นประกาศกปลอม
เพราะเขาทำนายไม่ถูกเลย"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ไม่มีสิทธิ์ 💠
เมื่อตอนที่ไมเคิลแองเจโลวาดภาพนรก ในวัดของพระสันตะปาปา เขาได้วาดใบหน้า
ของพระคาร์ดินัลองค์หนึ่ง ที่เป็นศัตรูของเขา รวมอยู่ในจำนวนวิญญาณที่กำลังรับทุกข์ทรมาน
ในนรกนั้นด้วย มีผู้สังเกตเห็น และนำความไปทูลพระสันตะปาปาเคลเมนต์ เพื่อว่าพระองค์จะ
ได้สั่งให้ลบภาพนั้นออกไปเสีย แต่พระองค์ตรัสตอบว่า
"ท่านก็รู้ดีว่าเรามีอำนาจที่จะช่วยวิญญาณในไฟชำระได้ แต่นี่อยู่ในนรกนะท่าน เราไม่มีสิทธิ์หรอก"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 8:38 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (28)

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
ลุงแก่ชาวปาเลสไตน์ร้องว่า
"อย่าบ่นกันนักเลย ชาวอิสราเอลทั้งหลาย อย่าบ่นเรื่องที่โมเสสแบกบัญญัติสิบประการ
สองแผ่นใหญ่ๆ ลงมาจากภูเขาซีนายนั่นน่ะ ดีเท่าไหร่แล้วที่ท่านไม่ถือแผ่นดิสก์สองแผ่นลงมา"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
(ยังมีเรื่องเกี่ยวกับบัญญัติสิบประการอีกเรื่องหนึ่ง)
"นายรู้ไหมว่า ทำไมพระเป็นเจ้าถึงเอาบัญญัติสิบประการมาให้ชาวยิว" นายอินเอ่ยถาม
"ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ?" นายจันอยากรู้
"ตอนแรก พระเจ้าไปถามชาวฝรั่งเศสว่า 'ต้องการไหม?' พวกนั้นว่า 'ไม่มีทาง พวกเรา
ไม่ยอมรับบัญญัติข้อหกและข้อเก้า'
พระเจ้าเลยไปหาคนอิหร่าน ถามว่า 'ต้องการไหม?' พวกนั้นว่า 'ไม่มีทาง พวกเราจะรัก
เพื่อนบ้านได้อย่างไร ในเมื่อประเทศเราติดกับอิรัก'
พระเจ้าเลยไปถามคนยิวว่า 'ต้องการไหม?' พวกยิวถามว่า 'ราคาเท่าไหร่ละ?'
พระเจ้าว่า 'ไม่คิดเงิน'
พวกยิวเลยว่า 'งั้นขอสองแผ่นเลยนะ'
บัญญัติสิบประการสองแผ่นก็อุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
วันหนึ่งที่สนามบินนานาชาติ หญิงชราแห่งฟาติมากับหญิงม่ายแห่งกัวดาลูป
กำลังนั่งคุยกันว่า ที่ไหนมีคนไปแสวงบุญมากกว่ากัน
"ที่บ้านฉันมากกว่า มีคนไปดื่มน้ำที่น้ำพุ และหายจากโรคเป็นแสนๆ คนแล้ว"
"ที่บ้านฉันก็มาก ใครๆ ก็อยากไปดูภาพพิมพ์บนผ้าคลุมอินเดียนแดงทั้งนั้น"
"เเย่นะคะ บ้านหนูไม่เห็นมีแบบนั้นเลย พวกเราเลยต้องไปเที่ยวที่บ้านของพวกน้ากันหมด"
เสียงดังดังมาจากข้างหลัง หญิงทั้งสองหันไปตามเสียงนั้น
อ๋อ เด็กหญิงชาวไทยนั่นเอง

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
(ตลกเรื่องนี้เป็นตลกสำหรับนักเรียนชั้นปรัชญา)
ครั้งหนึ่งราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน กำลังถกปัญหากับเพื่อนปราชญ์คนหนึ่ง
เขาบอก
"ผมเห็นด้วยกับค้านท์ที่ว่า เวลาเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งทางความคิดของมนุษย์เท่านั้น
หาได้มีตัวตนอยู่จริงเลย"
จากนั้น เขาก็ก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วร้องขึ้น "ตายละ อีก 15 นาทีรถไฟจะออกแล้ว"
ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งออกไป

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
ชายหนุ่มเพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านทุ่งสีการ้องไห้ แต่เวลาหลายปีผ่านไป บ้านทุ่งสีกาก็ยัง
แห้งแล้งเหมือนเดิม ไม่มีฝนตกเลยสักครั้ง เขาเลยไปถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน
"ที่นี่ฝนไม่ตกเลยหรือครับ?"
"หลานเอ้ย เอ็งพอจะจำเรื่องฝนตกสี่สิบวันสี่สิบคืนได้ไหม?" ผู้เฒ่าถาม
"ได้สิครับ เรื่องโนอาห์นี่นา" หนุ่มตอบ
"แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราเลย"
"เกี่ยวสิ" ผู้เฒ่าว่า
"ตอนนั้น บ้านทุ่งฯ ของเรามีฝนตกมาแค่สองนิ้วกว่าๆ เอง"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ที่มาแห่งบาป 💠
ก่อนบวชเป็นพระ จินตกวีชาเรียส เวดเนอร์ ชอบทำอะไรล้ำเส้นเห็นอยู่เสมอ เมื่อบวชแล้ว
วันอาทิตย์หนึ่งใน ค.ศ. 1809 ท่านเทศน์ที่กรุงเวียนนาเรื่อง "เนื้อชิ้นเล็กๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบ
ที่อันตรายที่สุดของเรือนร่างมนุษย์" สุภาพบุรุษหน้าซีด สุภาพสตรีหน้าแดง ดวงตาของสาธุคุณ
เป็นประกาย ในขณะที่แจกแจงถึงโทษอเนกอนันต์ของเนื้อชิ้นนั้น ถ้าใช้มันในทางที่ผิด ก่อนเทศน์จบ
ท่านตะโกนถามด้วยเสียงอันดังว่า
"จะให้อาตมาออกชื่อเนื้อชิ้นนั้นไหม"
ผู้ฟังเงียบกริบ ท่านตะเบ็งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมว่า
"จะให้อาตมาเอาเนื้อชิ้นนั้นออกมาไหม"
เงียบสนิท ไม่มีเสียงกระซิบ ไม่มีเสียงพลิกหนังสือสวดมนต์ คุณพ่อเวอเนอร์หยุดเทศน์
รอยยิ้มแฝงเล่ห์กลปรากฏบนใบหน้า
"สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ" ท่านว่า "ดูที่มาแห่งบาปของเราซิ"
แล้วท่านก็แลบลิ้นออกมา

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ทำงานเหมือนกัน 💠
มีคนถามนักบุญเบอร์นาแดต แห่งลูร์ด ว่า ท่านทำอะไรขณะนอนไม่สบายอยู่บนเตียง
ท่านตอบว่า "ฉันก็ทำงานของฉันน่ะสิ"
"งาน?" อีกคนไม่เข้าใจ
"ก็ป่วยนี่ไง"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
มีเรื่องจริงเล่าสู่กันฟังว่า ครั้งหนึ่ง ท่านสังฆราชพอตเตอร์ แห่งเมืองนิวยอร์ก มีภารกิจ
ต้องไปยุโรป โดยเดินทางไปกับเรือเดินสมุทร ท่านจะต้องพักร่วมห้องกับผู้โดยสารอีกคนหนึ่ง
แต่เมื่อได้เห็นลักษณะท่าทางของผู้โดยสารคนนั้นแล้ว ท่านก็ไปพบกับเจ้าที่ดูแลเรื่องทรัพย์สิน
ของเรือ ถามเขาว่า ท่านจะฝากนาฬิกาเรือนทอง และของมีค่าอื่นๆ ไว้ในตู้นิรภัยของเรือได้ไหม
ท่านอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ปรกติแล้ว ท่านก็ไม่เคยเรียกร้องสิทธิพิเศษอะไรอย่างนี้ แต่เป็น
เพราะว่าเมื่อได้เจอคนที่จะพักร่วมห้องกับท่านแล้ว ท่านรู้สึกว่าท่าทางหมอนั่นจะไม่น่าไว้วางใจ
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตกลง เขาบอกท่านว่า
"ไม่มีปัญหาครับ ผมจะเก็บของมีค่าของท่านไว้ในตู้นิรภัย" แล้วเขาก็เสริมอีกด้วยว่า
"ผู้โดยสารที่อยู่ร่วมห้องกับท่าน ก็เพิ่งมาฝากของๆ เขา เมื่อกี้นี้เอง"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : การตัดสิน 💠
มีครอบครัวหนึ่ง บิดาเป็นซิฟิลิส มารดาเป็นวัณโรค พวกเขามีลูก 4 คน คนโตตาบอด
คนที่สองตายแต่เล็ก คนที่สามหูหนวกเป็นใบ้ คนที่สี่เป็นวัณโรค
ปรากฏว่าผู้เป็นมารดาตั้งครรภ์ลูกคนที่ห้า
ท่านเห็นด้วยใช่ไหมว่า เธอควรทำแท้ง?
อย่างนั้นท่านก็ฆ่าบีโธเฟ่น!
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 8:46 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (29)

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : เรื่องของพระธาตุ 💠
ออกจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะสำรวจว่า ในทวีปยุโรปนั้นมีพระธาตุของนักบุญจำนวน
เท่าใดกันแน่ พระธาตุที่เป็นอวัยวะส่วนต่างๆ ของบรรดานักบุญอยู่กระจัดกระจายกันตามวัดต่างๆ
ทั่วประเทศ บางชิ้นส่วนของท่านนักบุญก็เพิ่มจำนวน เหมือนอัศจรรย์เรื่องการทวี ปลาและขนมปัง
ของพระเยซู ตัวอย่างเช่น มีทรวงอกถึง 9 ข้างของนักบุญยูลิสเซีย ที่อยู่ในอิตาลี ซิซิลี และสเปน
นักบุญยอห์น บัปติสตา มีศีรษะถึง 4 ศีรษะที่อยู่ในฝรั่งเศส ดามัสกัส เวนิส และในโรม
นิ้วของนักบุญยอห์นก็เช่นกัน ที่วัดนักบุญมาร์คูโอลา เมืองเวนิส มีมือของท่านเป็นพระธาตุ
ประจำวัด แต่ปรากฏว่า เมื่อนับดูตามวัดต่างๆ ในอิตาลีที่อ้างว่าเก็บรักษานิ้วของท่านนักบุญไว้
เราจะได้ทั้งหมด 25 นิ้ว ยังไม่นับอีก 3 นิ้ว ที่อาสนวิหารมิวเซียม เมืองฟลอเรนซ์ และนอกจากนี้
แขนขวาทั้งข้างของท่าน (พร้อมมือ) เป็นพระธาตุประจำอาสนวิหารเมืองซีเอนา พระธาตุนี้ยังได้รับ
การประกาศรับรองโดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 2

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : รอบคอบไว้ก่อน 💠
อาดัมหายหน้าไปทั้งวัน กลับมาที่อยู่อีกครั้งก็เมื่อตกดึกแล้ว เอวาซึ่งนั่งคอยอย่างกระสับกระส่าย
ก็ปราดเข้าถามประชดตามวิสัยหญิงว่า อาดัมไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่นมากระมัง อาดัมหัวเราะยกใหญ่
"โธ่ เธอก็รู้นี่นาว่า ในโลกนี้น่ะมีผู้หญิงคนเดียวคือเธอ"
อย่างไรก็ตาม เมื่ออาดัมนอนหลับสนิท เอวาก็ย่องเข้าไปใกล้ๆ และลงมือนับกระดูกซี่โครง
ของเขาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ไม่ใช่เทวดา 💠
พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 เป็นผู้มีอารมณ์ขันอย่างน่ารัก ครั้งหนึ่ง สถาปนิกได้เสนอแบบแปลน
ตึกใหม่ที่จะสร้างเพิ่มในวาติกัน พระองค์พิจารณาแบบแปลนนั้นแล้ว ให้ข้อสังเกตเป็นภาษาลาตินว่า
"Non sumus angeli" (เราไม่ใช่เทวดาเด้อ) ตอนแรกสถาปนิกและคณะงุนงงไปตามๆ กัน พวกเขา
มาเข้าใจในภายหลัง เมื่อตรวจดูแบบแปลนนั้นอีกครั้ง และพบว่า ตึกนั้นไม่มีห้องน้ำ!

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : มีมานานแล้ว 💠
ว่ากันว่าความแตกแยกภายในพระศาสนจักร เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเจ้าเลยทีเดียว เรื่องมี
อยู่ว่า คนตาบอดจาก (ยน.9:11) มาพบคนตาบอดจาก (ลก.18:35-43) ตอนแรกทั้งสองต่างปฏิสันถาร
กันเป็นอย่างดี เเสดงความชื่นชมแก่กันที่สามารถมองเห็นได้อีกครั้ง แล้วต่อมา คนตาบอดคนแรกก็บอกว่า
"พระอาจารย์เอาโคลนป้ายตานาย แล้วบอกว่า 'จงเปิดออก' แล้วนายก็มองเห็นใช่มั้ยล่ะ?"
"ไม่ใช่" คนที่สองปฏิเสธ "พระองค์แค่พูดว่า 'จงมองเห็น' แล้วผมก็มองเห็น แค่นี้เอง"
"แน้ ...แค่นี้ได้ไง" คนแรกแย้ง "ถ้าพระองค์ไม่เอาโคลนป้ายตานายก่อน นายก็ยังเป็นไอ้บอดอยู่
นั่นแหละ พระองค์ทำอย่างนี้กับฉันนี่"
แล้วการถกเถียงก็เริ่มขึ้น ความแตกแยกของพระศาสนจักรก็เริ่มแต่นั้นเป็นต้นมา

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ง่ายมาก 💠
สังฆราชแห่งบังกอร์ถูกเรียกตัวโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 (ถ้าคุณรู้จัก คงจำได้ว่าพระเจ้าเฮนรี่
องค์นี้เหี้ยมมากขนาดไหน) ทั้งนี้เพื่อไปตอบคำถามพระองค์ และถ้าหากว่าสังฆราชตอบไม่ได้
โทษที่ได้รับคือ ถูกตัดหัว ท่านสังฆราชรู้ดีว่าตนไม่ใช่คนคงแก่เรียน หากไปตามคำสั่ง ไม่แคล้ว
ศีรษะของตนจะต้องเปลี่ยนที่อยู่แน่ ท่านจึงปรึกษากับพี่น้องร่วมคณะของท่าน ก็ได้พระสงฆ์องค์หนึ่ง
ชื่อคุณพ่อซีมอน ซึ่งหน้าตาคล้ายท่าน และยังเป็นผู้คงแก่เรียนอีกด้วย ตกลงจะไปตอบคำถามแทนท่าน
"ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ" คุณพ่อซีมอนว่า "กษัตริย์ไม่เคยพบคุณพ่อมาก่อน พระองค์
ไม่รู้หรอกว่าผมเป็นตัวแทน"
ดังนั้น คุณพ่อซีมอนจึงไปปรากฏตัวต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระองค์ประทับนั่ง
บนบัลลังก์ ทอดพระเนตรลงมายังท่าน และตรัสด้วยเสียงทรงอำนาจว่า
"ข้าพเจ้ามีคำถามสามข้อจะถามท่าน พระคุณเจ้าก็คงทราบดีแล้วว่า หากตอบไม่ได้ โทษของ
พระคุณเจ้าคือถูกกุดหัว"
คุณพ่อซีมอนตอบอย่างสุภาพว่าท่านรับทราบแล้ว
"ข้อแรก..." พระองค์ตรัสว่า
"...ตอบมาซิว่า มหาสมุทรลึกเท่าไร"
คุณพ่อซีมอนยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า
"ลึกเท่ากับก้อนหินที่จมลงไป"
พระเจ้าเฮนรี่ผงกศีรษะ ทรงคิดในใจว่าเป็นคำตอบที่เข้าที
"ข้อสอง ใครเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"
คุณพ่อซีมอนสบสายตาพระองค์ ตอบอย่างกล้าหาญว่า "ข้าพระองค์ทราบดีว่า ฝ่าบาทมีพระประสงค์
ให้ข้าพระองค์ตอบว่าเป็นฝ่าพระบาทเอง แต่ทว่า...ข้าพระองค์ก็คงตอบว่าคือ พระเยซูคริสตเจ้า"
พระเจ้าเฮนรี่ขุ่นพระทัยขึ้นมาตะหงิด แต่ก็ทรงยอมรับในคำตอบนี้ ทรงเขม้นมองคุณพ่อซีมอน
แล้วตรัสว่า "อย่ามั่นใจในตัวเองให้มากนักเลยพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าป็นนักอ่านตัวฉกาจ ฉะนั้นจง
ต้องลองอ่านใจข้าพเจ้าดูซิ ว่าข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่" แล้วพระองค์ก็สรวลน้อยๆ อย่างย่ามพระทัย
"โอ้...ข้าพระองค์โล่งใจอย่างที่สุด" คุณพ่อซีมอนยิ้มเบิกบาน "คำถามนี้ง่ายดายมาก ฝ่าพระบาท
กำลังคิดว่า ข้าพระองค์คือท่านสังฆราชแห่งบังกอร์ แต่ความจริงข้าพระองค์มิใช่ ข้าพระองค์เป็นเพื่อน
ร่วมคณะของท่านต่างหาก"
คุณพ่อซีมอนกลับออกมาอย่างปลอดภัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 8:53 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (30)

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
ชาวยิวที่ส่งบุตรหลานไปเรียนในประเทศที่เป็นคาทอลิกต่างพากันกลุ้มใจ เมื่อบุตรหลานของ
ตนพากันกลับใจเป็นคาทอลิก ด้วยความร้อนใจจึงพากันไปปรึกษากับหัวหน้ารับไบที่กรุงเยรูซาเล็ม
"ท่านจะต้องหาวิธียับยั้งพวกเขาไม่ให้เป็นคาทอลิก" พวกชาวยิวอุทธรณ์
แต่หัวหน้ารับไบส่ายหน้าอย่างหมดหวัง "ข้าฯ ช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้หรอก" ท่านกล่าว
"ข้าฯ เองก็ประสบปัญหาเหมือนพวกท่าน ลูกชายข้าฯ สองคนก็เป็นคาทอลิกไปแล้ว"
ด้วยความสิ้นท่า พวกยิวพากันเข้าไปในพระวิหาร และสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า ทันใดนั้น มีเสียง
ดังออกมาจากลุ่มควันว่า "ลูกรัก เราจะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร เราเองก็ประสบปัญหาเหมือนพวกเจ้า
เมื่อสองพันปีที่แล้ว เราส่งลูกชายของเราไปในโลกมนุษย์ และเขาก็เป็นคาทอลิก"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : เปรียบเทียบน่ารัก 💠
หลายวันก่อนสิ้นใจ นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูไออย่างรุนแรง (คุณคงจำได้ว่าเธอเป็นวัณโรค)
เธอกล่าวกับผู้ที่อยู่พยาบาลเธอว่า "ดิฉันก็เหมือนรถไฟขบวนหนึ่ง เวลาที่รถไฟวิ่งเข้าจอดที่สถานีปลายทาง
ก็จะเปิดหวูดประกาศให้ใครๆ รู้ ดิฉันเองก็กำลังจะเข้าจอดที่สถานีปลายทาง คือเมืองสวรรค์ ต่างกันที่ว่า
ดิฉันเปิดหวูดให้ใครๆ รู้ก่อนเท่านั้นเอง"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : พระองค์ดีกว่า 💠
หลังจากที่วาดแบบแปลนอาสนวิหารนักบุญเปโตรเสร็จเรียบร้อย บรามันเต้ก็ส่งลูกชายคนเล็กให้นำ
แบบแปลนนี้ไปส่งพระสันตะปาปาจูลีอูสที่ 2 พระสันตะปาปาทรงพอพระทัยแบบแปลนนี้มาก และอยากให้
รางวัลแก่เด็กน้อยด้วย พระองค์ทรงเปิดกล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญทองออก ตรัสให้เด็กน้อยเอามือลงไปคว้า
ให้เต็มกำมือ เด็กน้อยมองประกายวับวาวของทองอย่างละลานตา เขาเงยหน้าขึ้นมองพระสันตะปาปาเเล้ว
กล่าวอย่างสุภาพว่า "หากพระองค์จะกรุณา โปรดกำให้ข้าพระองค์เถิด" และหลังจากอิดเอื้อนอยู่ครู่หนึ่ง
เขาก็เสริมว่า "มือพระองค์ใหญ่กว่า"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : บินน่ะเรื่องของเทวดา 💠
นานมาแล้ว...
บิชอปโปรเตสแตนท์ผู้หนึ่งได้ทำการเดินทางเยี่ยมเยียนตามวิทยาลัยต่าง ๆ ในแถบตะวันตก
อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี ปีหนึ่งที่ท่านได้พักที่บ้านของเพื่อนอาจารย์ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย
หลังอาหาร ท่านบิชอปได้คุยกันเรื่องจุดจบของโลก ท่านบิชอปบอกว่าวันสิ้นโลกนั้นอยู่ไม่ห่างไกลแล้ว
เพราะว่าธรรมชาติได้ถูกค้นพบโดยมนุษย์แทบจะหมดสิ้น และการประดิษฐ์อะไรก็ทำได้ทุกอย่างหมดแล้ว
อาจารย์ผู้นั้นตอบด้วยความเสียใจที่ไม่อาจจะเห็นด้วยได้ เขาคิดว่าอีก 50 ปีข้างหน้า จะยังมีการค้นพบ
อะไรใหม่ๆ และการประดิษฐ์ต่างๆ อีกมาก
ท่านบิชอป ซึ่งเลือดชักจะขึ้นหน้า ท้าให้อาจารย์เอ่ยชื่อสิ่งประดิษฐ์อะไรสักอย่างออกมา อาจารย์
ตอบว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า มนุษย์จะสามารถบินได้เหมือนนก
"เหลวไหล" ท่านบิชอปตะโกน
"การบินน่ะเป็นเรื่องของเทวดา"
ชื่อของบิชอปท่านนี้คือ Wright และท่านมีบุตรสองคนชื่อ Orvill และ Wilbur

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ฮูว์ 💠
เอ่ยชื่อพระสังฆราช ฟูลตัน ชีน หลายท่านคงรู้จัก เพราะท่านเป็นนักเทศน์นามกระเดื่องของสหรัฐอเมริกา
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับเชิญไปเทศน์ในวัดแห่งหนึ่งแถบฟิลาเดลเฟีย กำหนดเวลาเทศน์เป็นตอนเย็น
ท่านจึงมีเวลาเตร็ดเตร่ชมเมืองที่ท่านไม่เคยมาก่อนนี้แต่เช้า ครั้นตกบ่าย ท่านก็พบว่า ท่านเองหลงทางเสียแล้ว
ท่านเจอเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นในถนน จึงเข้าไปหา
เด็กคนหนึ่งบอกทางให้ท่าน แล้วถามท่านว่า
"ท่านจะไปทำอะไรที่นั่น?"
"พ่อจะไปเทศน์"
"เทศน์เรื่องอะไร?"
"เทศน์เรื่องทางเข้าสู่สวรรค์ เธออยากเข้ามั้ยล่ะ"
"ฮูว์" เด็กคนนั้นว่า "ไปวัดแค่นี้ ท่านยังไปไม่ถูกเลย"

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : "โธ่คุณแม่" 💠
เหตุการณ์กำลังตึงเครียด พวกชาวยิวได้ฉุดลากหญิงที่ทำผิดประเวณีมาทิ้งไว้ที่แทบเท้าของ
พระเยซู นางทรุดกายปิดหน้าสะอื้นไห้ อัปยศอดสูเป็นที่สุด ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เริ่มมุงกันเข้ามา
พวกที่เป็นต้นคิดพากันซ่อนยิ้ม ถามพระองค์ว่า
"พระอาจารย์ เราควรจะทำอย่างไรกับนางนี้ เราจับนางได้อย่างคาหนังคาเขา ขณะกำลัง
ประพฤติผิด ตามกฎของโมเสสแล้ว เราต้องทุ่มนางให้ตายด้วยก้อนหิน"
พระเยซูเจ้าก้มลงมองดูร่างที่สั่นสะท้านอยู่แทบเท้าของพระองค์ แล้วเงยขึ้นมองใบหน้ากระเหี้ยน
กระหือของคนเหล่านั้น พระองค์สบตากับพวกเขา เห็นการท้าทายฉายอยู่ในแววตา พระองค์ไม่พูดอะไร
แต่ทรุดกายลงแล้วทำกิริยาประดุจเด็ก คือขีดเขียนเล่นบนพื้นดิน พวกเขาพากันงุนงง เงียบงันไปพักใหญ่
จนในที่สุดก็มีคนเอ่ยถามอีกครั้ง
"เราควรทำอย่างไรดีล่ะ พระอาจารย์"
พระองค์เงยหน้าขึ้นช้าๆ พูดชัดถ้อยชัดคำแก่ทุกคนที่รายรอบอยู่
"ใครคิดว่าตัวเองไม่มีบาป ก็จงเป็นคนแรกที่ใช้หินขว้างนางเถิด"
แล้วพระองค์ก็ก้มลงเขียนอะไรบนพื้นต่อไป
ถ้อยคำของพระองค์ประดุจอสุนีบาตฟาดผ่าลงมาในฤดูแล้ง พวกเขาตะลึงงันกันไปหมด และแล้ว...
ทีละคนสองคน พวกเขาก็ค่อยๆ ถอนกายเดินจากไป จนในที่สุด ลานแห่งนั้นก็ว่างเปล่า พระเยซูเจ้าลุกขึ้น
ยิ้มแก่สตรีนางนั้น ขณะกำลังจะเอื้อนเอ่ยกับนาง ก็มีหินก้อนหนึ่งลอยมา กระทบร่างของนางดัง ปุ๊!
พระเยซูเจ้าหันขวับไปยังที่มาของหินก้อนนั้น แล้วที่นั่น พระองค์ก็พบกับ มารีย์ พระมารดาของพระองค์
ยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
พระเยซูเจ้าได้แต่ถอนใจออกมา "โธ่...คุณแม่"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 9:01 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (31)

💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ 💠
เรื่องอะไรที่ถูกเล่าหลายๆ ปาก ก็มักจะผิดเพี้ยนไปบ้างเป็นธรรมดาๆ เช่น เรื่องการทวี
ขนมปัง และปลา เป็นต้น เมื่อแพร่ไปถึงแอฟริกาใต้ใหม่ๆ ครูสอนคำสอนได้เล่าให้ผู้สนใจ
ในเผ่าของตนฟังว่า
"อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในวันนั้น พระเยซูได้ทวีขนมปังและปลาจำนวนมากมาย
มีขนมปังถึง 5,000 ก้อน ปลา 2,000 ตัว และพวกสาวกของพระองค์ทั้ง 12 คน ก็พากันกินขนมปัง
และปลาเหล่านั้นจนหมด อัศจรรย์ก็คือ พวกเขาไม่ท้องแตกตายเพราะกินอาหารมากมายขนาดนั้น"


💠 ใส่สีประวัติศาสตร์ : ผู้ยิ่งใหญ่ 💠
มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งที่พระสันตะปาปาจอห์น ปอล 2 เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งขณะที่
พระองค์นั่งรถไปบนถนนที่มีการจราจรพลุกพล่านของมหานครนิวยอร์ก พระองค์เกิดนึกสนุก ขอ
ขับรถด้วยตนเอง แต่ด้วยความซิ่งเกินเหตุ หัวปิงปองแห่งนครนิวยอร์กก็เรียกรถที่พระองค์ขับให้จอด
นายตำรวจยื่นหน้าเข้าไปในรถ เห็นโป๊ปยิ้มเผล่อยู่ ก็ผงะหงายออกมาด้วยความตกใจ รีบวอไปหา
หัวหน้าที่สถานีทันที
"หัวหน้าครับ ผมจับคนขับรถเร็วเกินกำหนดได้คนหนึ่ง"
นายตำรวจเสียงสั่น
"ก็เขียนใบสั่งให้ซะเสียสิ ไอ้โง่!" หัวหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
"ไม่ได้ครับหัวหน้า เขาเป็นบุคคลสำคัญระดับโลกเลยนะครับ"
นายตำรวจเสียงกระเส่ายิ่งขึ้น
"ระดับโลก? ท่านประธานาธิบดีเรอะ?" หัวหน้าตะโกนถาม
"ไม่ครับ ใหญ่กว่านั้นอีก" นายตำรวจเริ่มหน้าเขียว
"งั้นก็โป๊ปละสิ"
หัวหน้าทราบดีถึงกำหนดการมาเยือนของพระองค์
"ใหญ่กว่านั้นอีกครับ"
"เฮ้ย ใครวะใหญ่กว่าโป๊ปอีก เหรอ?" หัวหน้าถามอย่างไม่เชื่อ
"ไม่รู้ละครับ ขนาดโป๊ปยังเป็นได้แค่คนขับรถของเขาเอง หัวหน้าคิดเอาก็แล้วกัน"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
(บทสนทนานี้เกิดขึ้นหลังจากชั่วโมงเรียนเทวศาสตร์การสร้างผ่านไป)
เณรด๋อย : นายว่าปะ พระเจ้านี่ช่างรอบคอบเหลือเกิน สร้างมนุษย์ให้มีสองตา ไว้ชื่นชมสิ่งสร้าง
แถมสร้างสองหูไว้แนบหัวเสียอีก
เณรต๋อย : การสร้างหูไว้แนบหัวนี่มันรอบคอบยังไงวะ
เณรด๋อย : โธ่ แกไม่รู้อะไร พระองค์ท่านมองการณ์ไกลโว้ย พระองค์เห็นว่า ต่อไปพวกมนุษย์
จะต้องรู้จักประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า 'แว่นตา' ขึ้นแหงๆ พระองค์เลยสร้างสองหูไว้แนบหัว จะได้เอา
ไว้วางขาแว่นไงเล่า

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ผมนอนห้องเดียวกับเณรด๋อย ด๋อยเขาเป็นคนขี้เซา มักตื่นสาย เข้าวัดไม่ทันบ่อยครั้ง
เลยโดนพ่ออธิการจดชื่อเป็นประจำ วันหนึ่งเกิดมีการเลื่อนตารางช่วงเช้า ให้ตื่นเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง
ผมเข้านอนตามปรกติ เห็นเณรด๋อยกรอกน้ำเข้าไปห้าหกแก้ว เลยถามว่า
"เฮ้ย ด๋อยทำไมกินน้ำเยอะขนาดนั้นละวะ?"
"กันกลัวไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกว่ะ" ด๋อยว่า

💠 ริมรั้วอาราม 💠
สามเณรสอนชัยไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญทางโสตประสาท คุณหมอตรวจดูหูของเณรสอนชัย
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงว่า "เอ เณรสอนชัย หมอตรวจดูหูของเธออย่างดีแล้วนะ ไม่เห็นว่ามันจะผิดปกติ
ถึงขั้นหูหนวกเลย ไม่ทราบว่า ทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองจะหูหนวกละ"
"ก็เพื่อนเณรผมนั้นเหละที่ทำให้ผมคิดอย่างนั้น" เณรสอนชัยว่า
"เพื่อนๆ เขายืนยันกับผมว่า เวลานอนอยู่ในห้องนอนรวม จะได้ยินเสียงกรนดังสนั่นยังกับ
ฟ้าร้อง แต่ไหงผมไม่เคยได้ยินเสียงอะไรที่ว่านั่นเลยก็ไม่รู้"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ณ ชั้นเรียนปรัชญาปีสอง มีเจ้าตูบตัวหนึ่งชอบเข้ามาเดิมเพ่นพ่านในห้องเรียนเป็นประจำ
บางทีก็ขึ้นมานอนแผ่สองสลึงกลางห้อง บางวันมันทำหนักข้อ ขึ้นมานอนหมอบข้างโต๊ะอาจารย์
เฉยเลย วันหนึ่ง ในชั่วโมงปรัชญาสังคมและการเมือง ขณะที่คุณพ่อชาวฝรั่งเศสกำลังสอนอยู่
เจ้าตูบก็เดินเข้ามาในห้องอีก ทำท่าจะหย่อนก้นลงนอน แต่มันต้องรีบเผ่นแทบไม่ทัน เมื่อคุณพ่อ
ตะโกนเสียงดังว่า
"ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้ตูบ พ่อรู้นะว่าแกลงเรียนวิชานี้ไปแล้ว!!"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
"วันเกิดปีนี้ บราเดอร์อยากให้เราเขียนหน้าเค้กวันเกิดว่าอะไรดีครับ" บราเดอร์ประจำ
ห้องครัวถามบราเดอร์อาวุโส เจ้าของวันเกิดที่ใกล้เข้ามา
"ผมอยากให้บราเดอร์ช่วยเขียนบทสวดเทวทูตถือสารลงไปบนหน้าเค้กวันเกิดครับ"
บราเดอร์ผู้อาวุโสตอบ ทำให้บราเดอร์ประจำห้องครัวรู้สึกทึ่งในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
"บทสวดเทวทูตถือสารมันมีความหมายอะไรลึกซึ้งหรือเปล่าครับนี่?" เขาถาม
"มีสิครับ" บราเดอร์ผู้อาวุโสตอบ พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
"บทเทวทูตถือสารมันยาวมากใช่ไหมละ กว่าจะเขียนบนหน้าเค้กหมด คงต้องใช้เค้ก
ก้อนเบ้อเร่อเท่ออย่างแน่นอน ฮ่าๆๆ"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
"เฮ้ยเดี๋ยวนี้ พ่ออธิการข้า แกไปลดน้ำหนักด้วยการขี่ม้าว่ะ" เณรด๋อยมาคุยโวที่วิทยาลัย
"แหม หรูจังอธิการเอ็ง ว่าแต่น้ำหนักเขาลดหรือเปล่าล่ะ" เพื่อนๆ ถาม
"น้ำหนักพ่อแกข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าม้าน้ำหนักลดไปสิบกิโลฯแล้วว่ะ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 9:06 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (32)

💠 ริมรั้วอาราม : เมื่อพ่ออธิการเผชิญหน้ามาเฟีย 💠
วันหนึ่งคุณพ่ออธิการไปซื้อของเข้าบ้าน คุณพ่อขับรถปร๋อไปถึงแม็คโครเเต่เช้า เพราะ
กลัวรถติด แต่กว่าจะซื้อของเสร็จก็ปาไปเกือบสิบเอ็ดโมง มีคนแห่มาซื้อของเหมือนได้ของฟรี
ที่จอดรถข้างนอกแน่นเอี๊ยด ขณะที่คุณพ่อกำลังเข็นรถข้ามถนนไปยังที่จอดรถ ก็มีรถเบนซ์สีบร็อนซ์
ติดฟิล์มกรองแสงสีดำสนิทเข้ามาจอดตัดหน้า กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลง หนุ่มหน้าเหี้ยมสวมแว่นดำ
โผล่หน้าออกมา พูดเกือบตะคอกว่า "ขึ้นรถ!!" คุณพ่ออธิการแทบเข่าอ่อน ตอบตะกุกตะกักว่า
"ไม่ต้องหรอกคร๊าบ...ผมเดินไปที่รถเองได้"
"ไม่ได้!!" หมอนั่นเปิดประตูให้ "ขึ้นไปเดี๋ยวนี้"
พ่ออธิการมองหน้ามองหลัง เผื่อจะเจอ รปภ.สักคน แต่หนุ่มหน้าเหี้ยมก็ทำในสิ่งที่คุณพ่อ
ไม่คาดคิด เขาคุกเข่าลงแทบเท้า พร่ำว่า
"กรุณาเถอะครับ ผมขับรถวนอยู่ในนี้เกือบสองชั่วโมงแล้ว ยังหาที่จอดไม่ได้เลย
ผมอยากได้ที่จอดรถของคุณน่ะ"

💠 ริมรั้วอาราม : ม้าวิเศษ 💠
คุณเคยได้ยินเรื่องม้าวิเศษตัวหนึ่งไหม มันเป็นม้าของอารามนักพรตแห่งหนึ่ง และเพราะว่า
มันเติบโตมาในบรรยากาศของธรรมะ มันจึงพอจะเข้าใจภาษาทางธรรมะอยู่บ้าง คือ ถ้าใครขึ้น
ขี่มัน และอยากจะให้มันวิ่งออกไป เขาต้องร้องว่า "ขอบคุณพระเจ้า"
ถ้าจะให้เลี้ยวไปทางซ้าย ต้องบอกว่า "วันทามารีอา"
ถ้าจะให้เลี้ยวไปทางขวา ก็ต้อง "ข้าแต่พระบิดา"
และถ้าต้องการให้มันหยุดต้องบอกว่า "อาแมน" และม้าตัวนี้ ฝีเท้าของมันจัดจ้านมาก วิ่งเร็ว
ประดุจลมพัดเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่ง มีคุณพ่อองค์หนึ่งมาเข้าเงียบที่อารามนักพรตแห่งนั้น และได้แลเห็นทีท่าปราดเปรียว
พ่วงพีของม้าวิเศษตัวนี้เข้า ก็เกิดอยากจะขึ้นควบขี่เป็นกำลัง จึงขออนุญาตอธิการอาราม อธิการเอง
ก็ได้พยายามอธิบายถึงความแปลกพิสดารของม้าตัวนี้ให้ฟัง แต่ก็หาหยุดยั้งความต้องการของคุณพ่อไม่
ท่านจึงจำใจอนุญาต และได้บรรยายอย่างละเอียดถึงคำสั่งที่ต้องใช้ในการควบคุมม้าตัวนี้ คุณพ่อผู้
อยากขี่ม้ารับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จดจำทุกอย่างไว้ และก็กระโดดขึ้นหลังม้าทันที
"ขอบคุณพระเจ้า" ท่านร้องออกมาพร้อมกับกระตุกบังเหียน ม้าวิเศษก็แล่นปราดออกราวลูกธนู
หลุดจากแล่ง คุณพ่ออุทานออกมาอย่างพอใจ ท่านแนบตัวลงกับหลังม้า เสื้อผ้าผมเผ้าปลิวไปตามกระแสลม
และเมื่อมาถึงทางแยก ท่านก็ร้องว่า "วันทามารีอา" ม้าก็เลี้ยวไปทางซ้าย ท่านอดหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจ
ไม่ได้ และเมื่อม้ามาถึงทางแยกอีกทาง ท่านก็ร้องว่า "ข้าแต่พระบิดา" ม้าก็เลี้ยวไปทางขวาดังใจ ท่านถึงกับ
หัวเราะออกมาดังๆ เลยทีเดียว แต่ทันใด ท่านก็สังเกตเห็นว่า ณ ปลายทางที่ม้ากำลังวิ่งไปนั้นเป็นหน้าผา
และฝีเท้าอันรวดเร็วของม้าก็กำลังนำท่านเข้าไปใกล้หน้าผานั้นทุกที ท่านตกใจร้องออกว่า "อัลเลลูยา"
แต่ม้าก็ไม่หยุด "ข้าพเจ้าเชื่อ" ท่านตะโกนแต่ม้าก็ไม่หยุด คราวนี้ท่านหลุดออกมาเป็นพรวน "สิริพึงมี"
"ข้าพเจ้าไว้ใจ" "ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ถึงบาป" "เทวทูตถือสาร" "วันทาพระราชินี" แต่เจ้าม้าวิเศษก็หาหยุดไม่
และอีกไม่กี่วาก็จะถึงหน้าผาอยู่แล้ว คุณพ่อนึกออกได้ในนาทีสุดท้าย ท่านตะโกนเสียงดังราวฟ้าร้อง
"อาแมน" เจ้าม้าวิเศษก็หยุดชะงัก อยู่ห่างจากหน้าผาแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น คุณพ่อควักผ้าเช็ดหน้าออกมา
เช็ดเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งหน้า ถอนหายใจโล่งอก กระซิบออกมาเบาๆ ว่า "ขอบคุณพระเจ้า" เจ้าม้าวิเศษก็
กระโจนพรวดไปข้างหน้าทันที...

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ซิสเตอร์รูปหนึ่งเดินไปตามถนนในเมืองดับลิน มีชาย 2 คนกำลังขุดพื้นถนน พวกเขาแสดง
ความเคารพเธอด้วยการเปิดหมวก เธอโค้งกายรับการทักทายของเขา แล้วก็พลันสะดุดเศษหินล้มลง
ชายทั้งสองรีบวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเธอ แต่พอมาถึงอีกคนก็จับแขนเพื่อนไว้
"เดี๋ยวๆ" เขาบอก
"เธอเป็นของศักดิ์สิทธิ์ อย่าแตะต้องนะ ไปเอาถุงมือมา"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ฤาษีผู้หนึ่งแวะเยี่ยมเพื่อนฤาษีที่อยู่อีกอารามหนึ่ง และได้อยู่ร่วมรับประทานอาหาร เป็นธรรมเนียม
ของอารามแห่งนั้น ที่ผู้เป็นแขกจะได้รับเกียรติให้ตักอาหารก่อน จานเปลใส่เนยแข็งสำหรับคนทั้งอาราม
จึงถูกส่งมาวางต่อหน้าเขา ฤๅษีผู้เป็นแขกมองเนยปริมาณมากมายนั้นอย่างประหลาดใจ ที่สุด เขาจึงเอ่ย
กับผู้เสิร์ฟด้วยความสุภาพว่า
"นี่มันมากเกินไปสำหรับผม ขอแค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว"

💠 ริมรั้วอาราม : มิน่าล่ะ 💠
ในเวลารำพึงเช้า พิธีกรประจำวัน ได้ก่อบทเทวทูตถือสารว่า
"เทวทูตถือขวานมาแจ้งแก่พระนางมารีย์"
ตั้งแต่นั้นมา ผู้น้อยก็เริ่มที่จะเข้าใจรางๆ ถึงสาเหตุที่พระนางมารีย์รับสารไว้

💠 ริมรั้วอาราม 💠
เณรตึ๋งเอามือไขว้หลัง เดินหน้าเศร้าเข้ามาในออฟฟิศ อธิการถามคุณพ่อว่า
"คุณพ่อ ทำไมคนเราต้องตายด้วยล่ะครับ?"
"เป็นเรื่องธรรมดา ตึ๋งเอ้ย ทุกอย่างถึงเวลาต้องสูญสลายไปตามกาลของมัน" อธิการเดาะ
ปรัชญาเซ็นให้เณรตึ๋งเสียนี่
"ถ้างั้น" เณรตึ๋งหยิบเศษจานในมือขึ้น "จานใบนี้มันก็ถึงเวลาของมันแล้วสิครับ"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ทุกๆ เช้าวันจันทร์อันแสนเซ็ง เหล่านวกชนจะสวดทำวัตรกันอย่างศักดิ์สิทธิ์ เห็นจะมีแต่
บราเดอร์ดู๋นั่งตาปรือ เพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย พอถึงคราวที่จะต้องอ่านบทอ่าน
บราเดอร์ดู๋ก็ยืนขึ้นอ่านเสียงดังว่า
"บทอ่านจากจดหมายของนักบุญเปโตรเออ... ถึงนักบุญเปาโล"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 9:10 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (33)

💠 ริมรั้วอาราม : กรรมของเณร 💠
เรือโดยสารลำหนึ่งชนหินโสโครกเข้าอย่างจัง น้ำทะเลไหลปรี่เข้าตามรูรั่ว เรือก็ค่อยๆ
จมลง พระสังฆราช พระสงฆ์ ซิสเตอร์ และเณรต่างกระวีกระวาดหนีออกมายืนตั้งหลักได้ที่กราบเรือ
ซึ่งกำลังปริ่มน้ำ ปรากฏว่ามีเรือช่วยชีวิตเหลือเพียงลำเดียว และเรือลำนี้ก็สามารถบรรทุกคนได้
เพียง 3 คนเท่านั้น
พระคุณเจ้ามองสถานการณ์แล้ว กระแอมเบาๆ กล่าวว่า
"รถไฟจะขาดหัวจักรไม่ได้ เรือก็มิอาจไร้นายท้าย พระศาสนจักรก็ต้องมีผู้นำ ฉะนั้น จึงไม่มีอะไร
น่าสงสัย เราจำเป็นต้องขึ้นเรือลำนี้ และทำหน้าที่คัดเลือกอีก 2 คนด้วย"
ท่านหยุดคิดนิดหน่อย แล้วกล่าวต่อ
"เอาอย่างนี้ เพื่อความยุติธรรมที่สุด เราจะขอตั้งคำถามถามพวกลูกแต่ละคน ใครตอบได้
ก็มีสิทธิ์ขึ้นเรือ ดีไหม"
"ดีครับ" "ดีค่ะ" "ดีขอรับ" ทั้งสามไม่มีใครข้ดข้อง
"ซิสเตอร์ก่อน..." พระคุณเจ้าเริ่ม
"ตอบมาซิว่าเรือเดินสมุทรลำใด ที่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรง คนตายมากมาย และเรือก็จม
ทั้งๆ ที่ได้รับฉายาว่า เรือที่มิอาจจะจมได้?"
ซิสเตอร์อึกอัก กลอกตาไปมา
"เอ้า...ขอใบ้ให้นิดนึง" พระคุณเจ้าว่า "เรือนั้นชื่อไตตัน...ไตตันอะไร?"
"ไตตันนิกค่ะ" ดีที่ซิสเตอร์เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน
"ถูกต้อง" แล้วพระคุณเจ้าก็หันมาหาคุณพ่อ
"คุณพ่อทราบไหมว่าบนเรือลำนี้มีคนเสียชีวิตเท่าไร"
โชคดีมากที่คุณพ่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับเรือลำนี้มาก่อน ท่านตอบทันทีว่า
"1,517 คนครับ"
"ถูกต้อง" พระคุณเจ้าหันมาหาเณรบ้าง
"ทีนี้ ลูกจงบอกรายชื่อของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นซิ"

💠 ริมรั้วอาราม : คำภาวนาของอธิการ 💠
"พระเจ้าข้า โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าพบเณรแบบนี้เลย
พวกเขาไม่พูดโกหก แต่ก็ไม่บอกความจริง
พวกเขาไม่เอาอะไรของใคร แต่ก็ไม่เคยให้อะไรใคร
พวกเขาไม่เอาเท้าราน้ำ แต่ก็ไม่เคยจับพาย
พวกเขาไม่ทำร้ายใคร แต่ก็ไม่เคยช่วยใคร
พวกเขาไม่เกลียดใคร แต่ก็ไม่รักใคร
พวกเขาไม่เคยเกียจคร้านในการทำงาน แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำงาน
อย่าให้ข้าพเจ้าพบเขาเลย...พระเจ้าข้า
พวกที่อยู่เฉยๆ..."

💠 ริมรั้วอาราม : ซิสเตอร์ใจเพชร 💠
ในฝรั่งเศส ซิสเตอร์คณะ "ซิสเตอร์ผู้ต่ำต้อยของคนจน" (ในไทยไม่มีหรอกครับ)
จะภิกขาจารไปตามบ้านคนมั่งมี เพื่อขอรับเงินทาน
เมื่อซิสเตอร์ใจเพชรของเรามาถึงบ้านหลังหนึ่ง เจ้าบ้านซึ่งอยากจะหาเรื่องหยอก
ซิสเตอร์เล่น จึงบอกว่า
"ผมจะให้เงินซิสเตอร์ 1,000 ฟรังค์ แต่มีข้อแม้ว่า ซิสเตอร์ต้องดื่มแชมเปญกับผมแก้วหนึ่ง"
ซิสเตอร์ลังเลใจนิดนึง ก่อนตอบตกลง เงินตั้ง 1,000 ฟรังค์ ซื้อขนมปังได้มากมายเชียวแหละ
คนใช้นำเอาแชมเปญมาเสิร์ฟ ซิสเตอร์รับมา ยกขึ้นดื่มจนเกลี้ยงแก้ว ท่านยิ้ม แล้วยื่นแก้ว
ในมือออกมา กล่าวว่า "ขออีกแก้วค่ะท่าน ราคาเดิมนะคะ"
แน่นอน ซิสเตอร์ของเราได้รับตามที่ประสงค์

💠 ริมรั้วอาราม 💠
ในงานชุมนุมสามเณรทั่วประเทศไทย เณรด๋อยกับเณรจ่อยมาเจอกัน เลยพูดเกทับกันตามเคย
เณรด๋อย : นายรู้เปล่า คุณพ่อคณะเรานะ มีแต่อเมริกันทั้งนั้น เราเลยพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ
เจ๋งอย่างนี้เลย
เณรจ่อย : สู้เราไม่ได้ คุณพ่อในคณะเรามีทั้งอเมริกัน เยอรมัน ญี่ปุ่นก็มี แต่เราก็พูดกับพวก
ท่านรู้เรื่องหมดเลย
เณรด๋อย : เฮ้ย นายพูดได้ทุกภาษาเลยเรอะ
เณรจ่อย : เปล่า พวกคุณพ่อเขาพูดภาษาไทยได้น่ะ

💠 ริมรั้วอาราม 💠
วันนี้อธิการใจดี อนุญาตให้บรรดาเณรได้ลิ้มรสไวน์กันทั่วหน้า เป็นการฉลองสอบเสร็จ
พวกเราเลยลาภปาก ดวดกันเต็มคราบ ตกดึกขณะที่ผมกลับไปที่ห้อง เห็นพี่เณรจ๊าบกำลังยืน
หลุกหลิก แอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่ที่ประตูห้องนานสองนาน
"ไงเพ่ หาอะไรอยู่เรอะ กุญแจห้องหายละซิ?"
"เปล่าโว้ย กุญแจไม่ได้หาย แต่รูกุญแจน่ะสิ อั๊วไม่รู้มันหายไป
ไหนว่ะ" พี่จ๊าบตะโกนมา

💠 ริมรั้วอาราม 💠
"คุณพ่อรู้ไหมฮะว่า ความขี้เกียจบางครั้งมันก็เป็นผลดีเหมือนกัน"
สามเณรตุ๋ยบอกขึ้นในวันหนึ่ง
"ความขี้เกียจเป็นนิสัยที่ไม่ดี มันจะให้ผลดีได้ไงวะ"
อธิการฟังแล้วงง ๆ
"ก็ถ้าผมขี้เกียจเดินไปทิ้งขยะ ผมก็จะโยนขยะให้ลงถังจากระยะไกลๆ พอผมโยนบ่อยเข้าๆ
จนแม่นมากขึ้น ผมก็จะได้ติดทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนไงฮะ"
สามเณรตุ๋ยเฉลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 9:14 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (34)

💠 ริมรั้วอาราม : ความเงียบ 💠
ฤาษี 4 ตนนั่งถือศีลภาวนาตั้งสติว่าจะไม่พูดกันใน 7 วัน วันแรกผ่านไปอย่างเรียบร้อย
พอถึงวันที่ 4 ไฟในตะเกียงก็หรี่ลงเพราะน้ำมันใกล้จะหมด ฤาษีตนหนึ่งทนไม่ได้จึงร้องบอก
เพื่อนว่า "ใครก็ได้ช่วยเติมน้ำมันตะเกียงที" ฤาษีตนที่สองจึงท้วงว่า
"ไหนบอกว่าจะไม่พูดไง" ฤาษีตนที่ 3 ก็ท้วงขึ้นมาบ้างว่า "ท่านทั้งสอง ผิดสัญญา" ฤาษีตนที่สี่
ยิ้มอย่างพอใจ กล่าวว่า "มีอาตมาคนเดียวที่ไม่ได้พูด ฮิฮิ!!"

💠 ริมรั้วอาราม : น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลูร์ด 💠
ทุกวันบราเดอร์คณะฟรังซิส
กันองค์หนึ่ง (ที่ต้องเป็นฟรังซิสกัน ก็เพราะต้นเค้าเขาเล่ามาอย่างนี้ ไม่ต้องคิดมากมายครับ)
จะต้องนำเพื่อนร่วมคณะซึ่งตาบอดไปยังถ้ำแม่พระเมืองลูร์ด บราเดอร์ใช้อุ้งมือตักน้ำ แล้วค่อยๆ
เทใส่ดวงตาที่มืดสนิทของเพื่อน และหลังจากทำหน้าที่ดังกล่าวเรียบร้อย บราเดอร์ก็เหลียวซ้าย
แลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น
"ความติดใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ" ของท่าน ท่านจะค่อยๆ บรรจงเทน้ำอีกสองสามหยดลงบนศีรษะ
อันล้านเลี่ยนของท่านเอง

💠 ริมรั้วอาราม 💠
สามเณรสมเดื่อยชอบโดดเรียนวิชาภาษาละตินเป็นประจำ วันนี้เขากะโดดตามเคย
เลยเข้าไป ขออนุญาตอธิการ
"พ่อครับ ผมรู้สึกปวดหัวมาก เหมือนมีอะไรไม่รู้วิ่งจี๊ดๆ อยู่ในหัว คันไปหมดเลยครับ"
อธิการครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า
"พ่อว่ามันต้องมีสาเหตุมาจากที่ในหัวเธอมีขี้เลื่อยมากเกินไปแน่ๆ"

💠 ริมรั้วอาราม : สามเณรนักเคมี 💠
"สารภาพมาซะดีๆ ว่า เมื่อคืนนี้แอบเข้าไปขโมยกินเหล้าองุ่นในห้องซาคริสตีใช่ไหม กลิ่นเหล้า
ถึงได้ฉุนอย่างนี้" คุณพ่อธิการเรียกเณรสมตุ้ยมาต่อว่า
"เปล่าครับ เมื่อคืนผมกินขนมปังทาเนยกับนมสดตะหากครับ แต่อาจเป็นไปได้ที่ทำให้มีกลิ่น
เหล้าแบบนี้" เณรสมตุ้ยแก้ตัว ขณะถูกดึงหู
"มันจะเป็นไปได้ยังไง ขนมปังทาเนยกับนมสดจะไปเกี่ยวกับกลิ่นเหล้าได้ไง" อธิการถาม
"เกี่ยวสิครับ" เณรสมตุ้ยตอบอย่างมั่นใจ
"ก็ขนมปังทาเนยกับนมสดจะถูกน้ำย่อยในกระเพาะย่อยเป็นน้ำตาล จากนั้นยีสต์ในขนมปัง
จะย่อยน้ำตาลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ แล้วหมักอยู่ในท้องของผมที่เปรียบได้กับถังไม้โอ๊กจนได้ที่
พอเช้ามันเลยส่งกลิ่นเหล้าอย่างที่เป็นอยู่นี่ไงฮะ"

💠 ริมรั้วอาราม : ยุติธรรมน่ะ 💠
อะแฮ่ม....ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า เรื่องนี้คณะไหนเป็นผู้เล่า ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบละ
ครับพี่น้อง
เรื่องมีอยู่ว่า นักบวชหลายคณะมาชุมนุมกันในโอกาสหนึ่ง เลยมีการถกเถียงสนุกๆ ว่า
พระเป็นเจ้ารักคณะไหนมากที่สุด ตกลงกันได้ว่า จะเขียนคำถามถามพระเป็นเจ้าแล้ววางไว้ในวัด
วันรุ่งขึ้นจะไปเก็บคำตอบ
และคำตอบที่ปรากฏในกระดาษเช้าวันรุ่งขึ้น คือ
"พวกลูกที่รัก เรารักทุกคณะเท่ากันหมดเลย"
จากพระเป็นเจ้า, C.Ss.R.

💠 ริมรั้วอาราม : เปล่าว่า 💠
เณรคนหนึ่งให้อรรถาธิบายกับพ่ออธิการว่า "ผมไม่ได้ว่าแม่ครัวทำอาหารเลวนะครับ
ผมเพียงพูดว่า ผมรู้แล้วละว่า ทำไมเราถึงสวดก่อนทานอาหารทุกมื้อ ก็เท่านั้นเอง"

💠 ริมรั้วอาราม : ตามพระวินัย 💠
"หากมีนักพรตแสวงบุญมาแต่ไกล ปรารถนาจะพักอยู่กับอาราม และจะพึงพอใจกับกฎระเบียบ
ของอาราม และจะไม่ทำอะไรที่เป็นการรบกวนสมาชิกของอาราม แต่จะพึงใจกับทุกสิ่งที่เขาได้รับ
ก็ให้ต้อนรับเขา ให้เขาอยู่ได้นานเท่าที่เขาต้องการ
แต่หากว่าไม่พอใจ หรือคิดว่ากฎระเบียบของอารามเป็นเรื่องไร้เหตุผล อธิการบ้านจะเป็นคน
อธิบายให้เขาฟังอย่างสุภาพ และด้วยความรักว่า สิ่งเหล่านี้เป็นน้ำพระทัยของพระ
หากว่าเขายังบ่น และแสดงความไม่พอใจอยู่อีก ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้รับเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ของอารามเท่านั้น ควรต้องบอกแก่เขาตรงๆ ว่า เขาต้องจากไป
อนึ่ง หากเขาไม่ยอมไป ขอให้พี่น้องนักพรตที่ร่างกายกำยำสัก 2 ท่าน ช่วยอธิบายความจำเป็น
ให้เขาฟังอีกครั้งหนึ่ง.... ในพระนามของพระเป็นเจ้า"
(จากวินัยของนักบุญเบเนดิก พบบนกำแพงในห้องรับแขกของบ้านเข้าเงียบแห่งหนึ่ง)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 21, 2024 9:19 pm

🍵จิบชา🍵
โดย โอวตี๋

ตอนที่ (35)

💠 ริมรั้วอาราม : เคร่งวินัย 💠
สงฆ์ฟรังซิสกันและโดมินิกันเดินทางร่วมกัน ครั้นมาถึงริมฝั่งลำธารแห่งหนึ่ง สงฆ์โดมินิกัน
ก็ขอร้องให้สงฆ์ฟรังซิสกันแบกตนข้ามลำธาร ทั้งนี้ เพราะสงฆ์ฟรังซิสกันเท้าเปล่า และชุดที่สวม
ก็มีชายเสื้อที่สั้นกว่า สงฆ์ฟรังซิสกันก็ตกลงโดยดี ก้มหลังให้สงฆ์โดมินิกันขี่และแบกข้ามลำธาร
ขณะมาได้ครึ่งทางสงฆ์ฟรังซิส กันก็เอ่ยขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้
"ท่านมีเงินติดตัวหรือไม่"
"มี" สงฆ์โดมินิกันตอบแบบสบายอารมณ์จากบนหลัง "แต่แค่สองลีร์เท่านั้น"
ไม่ทันขาดคำ สงฆ์ฟรังซิสกันก็ปล่อยมือ ร่างของสงฆ์โดมินิกันจึงร่วงลงน้ำดังตูม
"เสียใจจริงๆ" สงฆ์ฟรังซิสกันส่ายหน้าเป็นเชิงขออภัย "วินัยของคณะเรา ห้ามพกเงินเด็ดขาด"

💠 ริมรั้วอาราม 💠
คุณพ่อตุ่ยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิการบ้าน แกเข้าไปนั่งในออฟฟิศใหม่อย่างสง่าผ่าเผย
พอดีมีบราเดอร์เดินเข้ามาในห้องพอดี พ่อตุ่ยเลยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพูดโอ่ใส่บราเดอร์ "แหมเจ้า
คณะหรือครับ ผมว่าจะไปหาท่านเย็นนี้แหละครับ ขอบคุณมากครับที่พ่อไว้วางใจผมให้รับตำแหน่งนี้"
เมื่อรู้สึกว่าได้สร้างประทับใจให้กับบราเดอร์แล้ว จึงหันไปถามบราเดอร์ว่า "มีอะไรหรือ"
"ก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ" บราเดอร์ว่า "ผมแค่จะเข้ามาต่อสายโทรศัพท์ให้พ่อเท่านั้นเอง"

💠 ริมรั้วอาราม : ก็ซึมไป 💠
ใครๆ ก็กลัววิชาปรัชญากรีกด้วยกันทั้งนั้น ต่างคร่ำเคร่งดูหนังสือกันหามรุ่งหามค่ำทีเดียว
แต่ครั้นผลการสอบออกมา สามเณรเอ็มก็เข่าอ่อน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าได้ F เขารุดไปหา
คุณพ่อทันที
"พ่อครับ ผมคิดว่าวิชาปรัชญากรีกของพ่อนี่ ผมไม่สมควรจะได้ F นะครับ"
"พ่อก็ว่าอย่างเธอ" คุณพ่อตอบด้วยใบหน้ายิ้มแป้น "แต่ F ก็เป็นเกรดต่ำสุดที่พ่อจะให้ได้แล้ว
ไม่มีอะไรที่ต่ำกว่านี้อีกแล้ว เธอต้องเข้าใจนะ"

💠 ริมรั้วอาราม : รำคาญเต็มที 💠
ในอารามนักพรตแห่งหนึ่ง มีระเบียบวินัยเคร่งครัดมาก ไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยปากพูดอะไร
ทั้งสิ้น ทุกคนในอารามซึ่งประกอบด้วย พ่ออธิการ นักพรตพระสงฆ์ 2 รูป และนักพรตบราเดอร์ 1 รูป
ก็ปฏิบัติกันเช่นนี้มาช้านาน จนกระทั่งวันหนึ่ง นักพรตทั้งสามก็เข้าพบอธิการ เพื่อขออนุญาตให้พูด
ได้บ้างในโอกาสวันฉลองสำคัญ ๆ อธิการตกลงใจอนุญาต โดยจะให้พูดปีละ 1 ประโยค
ในวันฉลองปัสกา ทั้งนี้ เริ่มจากปีแรกให้นักพรตพระสงฆ์ที่มีอาวุโสกว่าพูดก่อน ปีที่สองให้นักพรต
พระสงฆ์ที่อาวุโสน้อยกว่าพูด และปีถัดไปจึงให้นักพรตบรา เดอร์พูดได้ และวันปัสกาของปีแรกก็มาถึง
นักพรตพระสงฆ์อาวุโสพูดว่า
"ผมเบื่อข้าวโอ๊ตต้มเต็มทีแล้ว"
วันปัสกาปีที่สอง นักพรตอาวุโสน้อยพูดว่า
"ผมชอบข้าวโอ๊ตต้มที่สุดเลย"
วันปัสกาปีที่สาม นักพรตบราเดอร์พูดว่า
"เลิกเถียงกันเรื่องข้าวโอ๊ตต้มชะทีเถอะ ผมล่ะเหลือจะรำคาญ"

💠 ริมรั้วอาราม : อัศจรรย์คาตา 💠
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผู้น้อยขอบอกกล่าวก่อนว่าเป็นเรื่องจริง
วันนั้นเป็นเช้าวันศุกร์ ณ อารามของซิสเตอร์คณะ "รักคนจน" ในเมืองชิคาโก ซิสเตอร์เเอนนี่
ผู้ทำหน้าที่เป็นแม่ครัวของอารามพบว่า ไม่มีอาหารเพื่อปรุงสำหรับเลี้ยงซิสเตอร์ร่วม 30 คนที่พักอาศัย
ในอาราม ทว่าซิสเตอร์แอนนี่ก็ไม่ได้แสดงความตระหนกใด ๆ ออกมา เธอได้เข้าไปในวัด คุกเข่าต่อหน้า
ตู้ศีล และสวดขอต่อพระเยซูเจ้าด้วยความไว้วางใจ
เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านไป 8 โมง 9 โมง 10 โมง 11 โมง ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ซิสเตอร์เเอนนี่
ไม่คลอนแคลน เธอยังคุกเข่าอยู่ที่นั่น สวดต่อไป
และแล้วเมื่อถึงเวลา 11.30 น. เสียงกระดิ่งดังที่ประตูอาราม
ซิสเตอร์แอนนี่ลุกเดินไปเปิด ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น เขาพูดอย่างอ่อนน้อมว่า "ผมมาส่งอาหาร
ขอโทษครับที่มาช้า เพียงแต่อุ่นอาหารเหล่านี้ในเตานิดหน่อย สักประมาณเที่ยงก็ทานได้พอดีครับ"
เวลา 12:30 น. ซิสเตอร์ทุกคนในอารามได้ทานอาหารกันอย่างยิ้มหมีพีมัน ต่างกำลังพูดคุยกัน
อย่างออกรสถึงอัศรรย์ที่เกิดขึ้น ชนิดที่เห็นทันตา ทันใดนั้น กระดิ่งดังขึ้นที่ประตูอาราม เป็นซิสเตอร์แอนนี่ค
นเดิมที่เดินไปเปิด และก็ได้เห็นชายคนเดิมยืนอยู่ที่นั่น
ทันทีที่เห็นหน้าซิสเตอร์ เขาก็พูดด้วยท่าทีร้อนอกร้อนใจมาก
"อาหารอยู่ที่ไหนครับ ผมมาส่งผิดที่ ที่จริงผมต้องไปส่งให้มหาวิทยาลัยเดอปอล ฝั่งตรงข้าม"
ตอบกลับโพส