บทความที่น่าสนใจ ( 1 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.พ. 22, 2025 11:51 pm

( 1 )

• เกียรตินิยมอันดับ1 • ทุนอานันทมหิดล
• ทุนรัฐบาลนอร์เวย์ • ทุนวิจัย36ล้าน

#อนาคตเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการลงมือทำในปัจจุบัน

ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่ค่อยมีทุนทรัพย์ในการเรียนสักเท่าไหร่
ที่จะเขียนโพสเพียงเพื่อ..อยากให้กำลังใจ แก่ใครก็ตามที่แวะเข้ามาอ่าน
และกำลังเผชิญกับความยากลำบาก ในการศึกษา

สมัยอนุบาล ผมเป็นเด็กที่หัวช้า ิเรียนไม่เก่งที่สุดในห้อง จำได้ว่าขนาดเลขบวกกันธรรมดาข้อเดียว
ใครทำเสร็จไปวิ่งเล่นได้ ผ่านไป 15 นาที เด็กคนอื่นๆในห้องออกไปวิ่งเล่นหมดแล้ว
เหลือแต่เด็กชายปัญญาเพียงคนเดียว ที่นั่งจ๋อยอยู่บนโต๊ะจนหมดชั่วโมง

สมัย ป 2 พ่อเคยถูก รร. เชิญไปพบ เพราะจะบอกว่า.. ลูกชายเรียนภาษาอังกฤษห่วยเพียงใด
และยังตีมือเราต่อหน้าพ่ออีกด้วย ตอนเดินกลับบ้าน นอกจากพ่อจะจูงมือกลับบ้านตามปกติแล้ว
พ่อไม่โกรธเรา หรือมีท่าทีผิดหวัง ในตัวเราแม้แต่น้อย

(1) ผมเคยเกือบจะไม่ได้เรียนต่อ ม 1 เพราะไม่มีเงินค่าเทอม เงินค่าเทอมสมัยนั้น 800 บาท
แต่ในกระป๋องที่ขายขนมได้วันนั้น คือ 300 บาท .. ผมคอตกเลยครับ

สุดท้าย.. แม่ผมเป็นฮีโร่ วิ่งเข้าไปยืมเงินในตลาด จนได้มา 800 บาทจริงๆ
ใส่ในมือผมให้รีบไปจ่ายค่าเทอมที่โรงเรียน

(2) สมัย ม 1 จน ม 6 ปกตินอนเกือบเที่ยงคืน และตื่นราวตีสี่ทุกวัน
เนื่องจาก ครอบครัวเลี้ยงปากท้อง ด้วยการขายขนมข้างถนน

ที่นอนน้อย เพราะต้องช่วยที่บ้านทำขนมขาย เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน ไปรับแม่ที่ตลาด
ช่วยหิ้วของกลับบ้าน เพราะแม่มือไม่ดี โดนรถสิบล้อชนจนเส้นเอ็นขาด สมัยตัวเอง อยู่ ป 2

กลับถึงบ้านผมจะขูดมะพร้าว และทำอะไรๆอีกหลายอย่าง ตีสี่จะเข็นรถไปตลาดกับพ่อไปตั้งร้าน
เคยจำได้ว่า.. มีวันนึง แม่ตะโกนเรียกไม่ตื่น โดนแม่เอาน้ำสาดหน้า ตั้งแต่วันนั้น
ได้ยินเสียงแม่เรียกจะสะดุ้ง ลงมาแทบไม่ทัน แต่แม่นึกเสียใจถึงทุกวันนี้ ที่สาดน้ำใส่หน้า
ในขณะที่ลูกชายหัวเราะ ขำอดีตสมัยก่อน

(3) สมัยเรียนวิทยาศาสตร์ ม 2 ผมสอบ pretest ได้ที่โหล่ของห้อง ได้คะแนน 3 คะแนนจาก 30
ครูเดินมาบอกว่า..ไม่เป็นไร แค่ pretest เอง
ผมจึงตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจชนิดที่เรียกว่า.. อ่านไปเลยสิบรอบ อ่านเข้าไป

สอบกลางภาคอีกครั้ง ได้คะแนนสูงสุดในห้อง 29.5 เต็ม 30 และนั่นคือ บทเรียนครั้งที่สอง
ในชีวิตที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องมาพร่ำสอน
(ครั้งแรกคือเพลงชาติ)

(4) คนเราจะเข้มแข็งขึ้น เมื่อมีแรงบันดาลใจ และมีความตั้งใจ ที่จะทำอะไรเพื่อใครสักคน

ผมในวัย ม 3 คิดว่า.. จะตั้งใจเรียนเพื่อพ่อแม่ เพราะเห็นแก่ความลำบากของพ่อแม่
ที่ทำงานหนักส่งเสียเลี้ยงดูตัวเอง จึงตั้งใจเรียน ถึงขึ้นที่ว่า..อดหลับอดนอนหลายคืน
เพื่อจะได้อ่านหนังสือเพราะอยากสอบได้ที่ 1 ของห้องเพียงแค่สักครั้งก็ยังดี
ผลคือเทอมแรก ได้ที่ 2 และ เทอมสอง ได้ที่ 1

(5) ผมได้รับความอนุเคราะห์ จากรพ.จุฬาลงกรณ์ และโบสถ์พระมหาไถ่
ในการศึกษาเล่าเรียนจนจบ ม.6 นอกจากนี้ ยังมีผู้มีพระคุณอีกมากมาย
ที่ไม่อาจจะเอ่ยชื่อได้ครบในโรงเรียน @พระโขนงพิทยาลัย

คุณคิดดูครับ ..ในช่วงหนึ่งที่ตรงถนน ที่เราไปขายขนมซ่อมแซม
ไม่มีใครผ่านไปมาแถวนั้น ผมขายขนมไม่ได้เลย

สุดท้าย.. ผมเอาขนมเป็นร้อยๆห่อ ไปขายที่โรงเรียน อาจารย์หมวดภาษาไทย อ.พิกุล ภพพินิจ
และหลายท่านสงสาร จึงเอาไปช่วยขายในห้องเรียนที่อาจารย์แต่ละท่านสอนโดยบอกเด็กว่า..
ถ้าซื้อขนมที่เอามาขาย จะอนุญาตให้กินในห้องเรียนได้ ตอนเย็นจึงไปรับเงินกลับบ้านไปให้แม่
ทำแบบนี้เป็นอาทิตย์จนถนนซ่อมเสร็จ ครอบครัวผมจึงเอาชีวิตรอดไปได้

(6) ผมเอ็นติดคณะประมง แต่ไม่มีเงินเล่าเรียน จึงเดินทางไปคณะประมง มก บอกกับคณะว่า..
สวัสดี ผมชื่อปัญญาครับ ผมเอ็นติดคณะครับ แต่ผมไม่มีเงินเรียน จะให้ผมเรียนได้ไหมครับ ?

ในตอนนั้นพี่เค้างง จึงไปตาม รศ ประไพสิริ สิริกาญจน มา อาจารย์ถามว่า.. เธอเป็นใคร?
มาจากไหน? ทำไมไม่มีเงินเรียน? จนคุยเสร็จ อาจารย์ประไพสิริ บอกว่า..เราจะช่วยเธอ
แต่รับปากอาจารย์สามข้อได้ไหมว่าเธอจะขยันตั้งใจเรียน จะซื่อสัตย์ และกตัญญู

.. ผมรับปาก อาจารย์ประไพสิริจึงบอกว่า..ให้เธอกลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

วันรุ่งขึ้น ผมมา..มีชุดนิสิต รองเท้า ปากกา สมุด กระเป๋า ถุงเท้า วางรออยู่ อาจารย์ให้ไป
สมัครกองทุนกู้ยืม และที่สำคัญคือ น้าเล็ก บาร์ใหม่ ผู้ใจบุญที่สุดในสามโลก
น้าเล็กให้ผมทานอาหารฟรี ที่ร้านสามมื้อตลอด 4 ปี...

(7) ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ผมมีความตั้งใจ ตั้งใจที่จะทำเพื่อพ่อแม่
ยิ่งตอนนั้นคุณพ่อเสีย ความตั้งใจยิ่งเพิ่มพูน เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง

ผมนอน 6 โมงเย็น ตื่นเที่ยงคืนทุกวัน ไป ศร 3 ไปอ่านหนังสือ
ตั้งแต่วันแรกๆที่เริ่มเปิดภาคเรียนจนถึงเช้า ไปอ่านจนยุงกัดเป็นไข้เลือดออก
ไปจนหมา ศร 3 จำหน้าได้ จำได้ว่า.. เคยอ่านเคมีทั่วไป อ่านจนเหนื่อยไปนอนที่พื้น
บางวัน ตื่นขึ้นมามียากันยุงวางไว้ ไม่รู้ใคร .. สงสัยจะสงสาร บางวันนอนตื่นมา
มีหมามานอนด้วยหลายตัว .. หายเหงาเลย

(8) หลังจากเรียนจบ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
ไปเรียนต่อด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำ ที่ต่างประเทศแล้ว ความรู้ที่ต่างประเทศ
ไปไกลกว่าบ้านเรามาก พื้นฐานที่เรามี ขนาดว่าที่ไทยก็ตั้งใจเรียนมากแล้ว ยังไม่เพียงพอเลย
ต้องเรียน และใช้เวลา กับการอ่านหนังสือหนักมาก จนแทบแย่

สุดท้ายก็สามารถจบโทเอกได้ตามกำหนดเวลาของหลักสูตร ด้วยเปเปอร์ 5 เปเปอร์
และวิทยานิพนธ์อีกสามเล่ม อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า..คุณเปลี่ยนไปมาก จากวันแรกที่มา
ยังดู เหมือนเป็นเด็กน้อย ภาษาก็ไม่ดีพอ ดูคุณวันนี้สิ พัฒนาการของคุณยอดเยี่ยมมาก

(9) เรียกได้ว่าเป็นคนไทยคนเดียว ที่เขียน proposal postdoc ด้วยตัวเองเพื่อชิงทุนจากรัฐบาลนอร์เวย์
และชนะได้สองทุน ทั้งทุนวิจัย และทุนเดินทางไปทำงานวิจัยต่างประเทศ

ในช่วงpostdoc ผมมีงานวิจัย ทั้งที่อยู่ในรูปแบบ full publication และบทคัดย่อ มากกว่า 20 ชิ้น
ผมทำงานวิจัยหนักมาก จนก่อนกลับ แม้นจะมีตำแหน่งประจำรออยู่ที่นอร์เวย์ และเงินทุนวิจัยอีก
36 ล้านบาทไทยรออยู่ ผมเลือกที่จะกลับประเทศไทย เพราะผมต้องการเอาความรู้ความสามารถ
มาพัฒนาประเทศ

...กว่าจะมาเป็นผม ดร.ปัญญา ในวันนี้ ผมผ่านอุปสรรคมากมาย แต่ที่ผ่านมาได้ เพราะมีคนมากมาย
ที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ครบช่วยเหลือเรา

แต่ก่อนที่เค้าจะเข้ามาช่วย..สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ เพียรพยายามทำด้วยตัวเอง
โดยนึกถึงความลำบากของพ่อแม่ เอาไว้ให้มาก นั่นล่ะ คือ.. พลังของผม

Cr : จากเพื่อนในไลน์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 9:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 3 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.พ. 22, 2025 11:57 pm

( 2 )


🌺信誉值千金🌺
传给子孙收
"ชื่อเสียงที่สั่งสมไว้ดี ย่อมส่งผลดีต่อลูกหลานได้"
คุณค่าของ "อดีต"
เขียน โดย หนุ่ม เมืองจันท์

วันก่อน มีโอกาสได้คุยกับ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์
ได้ภาษาจีนแต้จิ๋วมาคำหนึ่งครับ
"เปี่ยงเจี๊ย"
คำนี้คำเดียว เป็นคำเปลี่ยนชีวิตของ"วิชิต"
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตอนที่เขาอายุ 22 ปี เพิ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครอบครัวของ"วิชิต"ทำโรงงานกล่องกระดาษ
ตอนที่ยังเรียนอยู่ เขาก็เริ่มเข้ามาช่วยงานของครอบครัว คุมโรงงาน ดูแลเครื่องจักร
ตอนแรกธุรกิจของครอบครัวก็รุ่งเรืองดี แต่ยิ่งนานวัน คู่แข่งก็เพิ่มขึ้น เครื่องจักรก็ทันสมัยกว่า
โรงงานของเขา
ธุรกิจเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ คุณพ่อของ ดร.วิชิต เป็นเพื่อนกับคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ ( 郑午楼 ) มา
ตั้งแต่เด็ก ในยุคนั้น "อุเทน" ถือเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เป็นเจ้าของแบงก์ศรีนคร
ตระกูลเตชะไพบูลย์ยิ่งใหญ่มาก
ทั้ง "อุเทน" และคุณพ่อ ดร.วิชิต เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือสังคมเหมือนกัน คุณพ่อ ดร.วิชิต เป็นนายก
สมาคมแต้จิ๋ว ส่วน"อุเทน" เป็นประธานกรรมการมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ทั้งคู่คบหากันมานาน
จนวันที่โรงงานกล่องกระดาษย่ำแย่ ต้องการเงินก้อนหนึ่งเพื่อนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่มาสู้กับคู่แข่ง
คนแรกที่เขาคิดถึงคือ "อุเทน" เพื่อนเก่า "แต่คุณพ่อเป็นคนรักษาหน้า ไม่ยอมไปกู้เงินจากคุณอุเทน"
คนที่รับหน้าที่ไปเจรจากับเจ้าของแบงก์ศรีนคร จึงเป็น "วิชิต"
เขาไปนั่งรอหน้าห้องคุณอุเทนตั้งแต่เช้า มีคิวก่อนหน้าเขาหลายคน จนเที่ยง คุณอุเทนจึงชวนเขา
ไปนั่งกินข้าวกลางวันในห้องทำงานด้วยกัน คุยกับแบบ "อา-หลาน"
เขาเริ่มเล่าปัญหาของโรงงานให้ฟัง คุยถึงวิธีคิดในการแก้ปัญหา ก่อนจะเอ่ยปากขอกู้เงินเพื่อซื้อ
เครื่องจักรใหม่
"เท่าไร"
"สามล้านสี่แสนบาทครับ"
"มีอะไรค้ำประกัน"
"ไม่มีครับ บ้านก็จำนองไปแล้ว"
ดร.วิชิตเล่าว่า ตอนนั้นสถานะทางบ้านแย่มาก บ้านและโรงงานก็เอาไปจำนอง ไม่เหลืออะไรเลย
"อะไรนะ" คุณอุเทนอุทาน "แล้วจะปล่อยกู้ได้อย่างไร"
"วิชิต" บอกว่าวินาทีนั้น เขาตัดสินใจบอกกับเจ้าสัวอุเทนตรงๆ "ตัวผมเป็นหลักประกันครับ"
"วิชิต" เล่าว่าคุณอุเทนอึ้งไป มองตาเขาด้วยท่าทีครุ่นคิด
พักหนึ่ง เจ้าของแบงก์ศรีนครก็ถอนใจ เอ่ยประโยคเปลี่ยนชีวิตของเขา
"เปี่ยงเจี๊ย..เปี่ยงเจี๊ย" แล้วพยักหน้า.. อนุมัติ
"เปี่ยงเจี๊ย" เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วครับ. แปลว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ในอารมณ์ประมาณว่าจำยอม
คำพูดของ ดร.วิชิตที่บอกว่า "ผมเป็นหลักประกัน" นั้น จะไม่มี "ความน่าเชื่อถือ" เลย ถ้าระหว่างการ
สนทนากับเจ้าสัวอุเทน เขาไม่แสดงให้เห็นว่ารู้เรื่องธุรกิจนี้อย่างดี
ทุกคำถามของ "อุเทน" เขาตอบได้หมดเพราะทำมากับมือ
แต่คำพูดของเขาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เพราะสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดกลับเป็นคุณพ่อของเขาที่ไม่ได้มาด้วย
ช่วงเวลาที่คุณอุเทนครุ่นคิดนั้น ดร.วิชิตเชื่อว่าเขากำลังคิดถึงความสัมพันธ์เก่าๆ นิสัยใจคอและ
ความรับผิดชอบของคุณพ่อ ก่อนจะตัดสินใจอนุมัติให้ "วิชิต" กู้เงิน 3.4 ล้านบาท
คุณอุเทนให้เหตุผลกับ "วิเชียร เตชะไพบูลย์" ลูกชายที่รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยประโยคสั้นๆ "พ่อเขาเป็นคนดี"
คุณพ่อของ ดร.วิชิตเป็นคนทำงานจริง ใจกว้าง มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง ทำอะไรโดยไม่หวังผล เขาคงไม่
ได้คิดว่าสิ่งที่เขาทำในอดีตจะส่งผลถึงมาถึงปัจจุบัน
คำว่า "เปี่ยงเจี๊ย" เพียงคำเดียว พลิกชีวิตของ "วิชิต" และครอบครัว ถ้า "อุเทน" ไม่ให้เขากู้เงินในวันนั้น
โรงงานกล่องกระดาษก็คงเจ๊ง
"วิชิต" บอกว่า วันที่เป็นนายแบงก์เอง หลายครั้งที่เขาต้องเจอห้วงเวลาแบบเดียวกับ "อุเทน" ถ้ายอดเงินกู้
ไม่มากนัก ไม่มีผลกระทบต่อสถานะของแบงก์ เขาจะนึกถึงวันนั้น วันที่เขานั่งอยู่ข้างหน้าเจ้าสัวอุเทน คนที่
เคยลำบากจะเข้าใจถึงความลำบาก
วินาทีนั้นมีเพียง 2 ทางเลือก.. จะ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ"
ลูกค้าคนนี้ ถามว่า "ความเชื่อ" นั้นจะเกิดขึ้นจากอะไร ไม่ใช่เรื่องราวใน "ปัจจุบัน" หรือโครงการที่สวยหรูใน
"อนาคต" แต่เป็น "อดีต" นิสัยใจคอของคนนั้น.. ความรับผิดชอบ การใช้ชีวิต เครดิตทางการเงิน ฯลฯ
ทั้งหมดจะผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า "ความเชื่อ"
"ความเชื่อ" ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่วันเดียว แต่ต้องสั่งสม "อดีตที่ดี" มาอย่างยาวนาน "ความเชื่อ"
จึงเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มี "มูลค่า" แบบอสังหาริมทรัพย์ แต่มี "คุณค่า" ยิ่งกว่า

ป.ล.
เพื่อนเป็นอะไรที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้

หนุ่ม เมืองจันท์ เขียน
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 05, 2025 11:53 pm

( 3 )

ในชีวิตของผู้หญิง​ ​👩‍🦰 เป็นเจ้าหญิง 20 ปี​ 👸 เป็นราชินี 1 วัน👰 เป็นนางสนม 10 เดือน🤰
เป็นแม่นม ทั้งชีวิต🤱 นี่คือทั้งชีวิตของลูกผู้หญิง😓
เธออุ้มลูกไปด้วย ทำกับข้าวไปด้วย ซักผ้าไปด้วย เธอใช้มือที่เต็มไปด้วยฟองของผงซักผ้าปาดเหงื่อที่ไหล
บนใบหน้าและบอกกับตัวเองว่า รอสักวัน เมื่อลูกของแม่โต แม่ก็คงจะได้พัก กับเขาบ้างสักที😴
เมื่อลูกของเธอโต พอที่จะเข้าอนุบาล หลังจาก ส่งลูกน้อย เธอยังคงไปจ่ายตลาด
ซื้อผักทำกับข้าว เธอกลับมาทำงาน🤔 ที่ค้างไว้ ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ตอนอุ้มลูกน้อยกลับบ้าน
เธอบอกกับลูกน้อยว่าหากลูกแม่ นั่งรถไปโรงเรียนเองได้ แม่คง จะเหนื่อยน้อยลง แม่คง
จะได้พักบ้างสินะ เธอไม่รู้ ริ้วรอย เริ่มปรากฏบนใบหน้าของเธออย่างไม่รู้ตัว เมื่อลูกของเธอ
เริ่มเรียนในระดับประถม เธอยิ่งยุ่งมากกว่าเดิม นอกจาก งานที่ต้องทำเธอต้องคอยสอดส่องว่า
ลูกคบเพื่อนยังไงเพื่อนคนนั้นของลูก จะเป็นคนดีหรือคนร้าย วงเวียนชีวิต ของเธอวกไปวนมาอยู่กับ
ที่ทำงาน ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ตลาด ลูกและสามีของเธอ คือทางช้างเผือก ส่วนเธอคือโลกทั้งใบ
ผู้หญิง แก่เพราะสาเหตุนี้ เธอรอให้ลูกโต รอให้ลูกจบมหาลัย รอให้ลูกมีงานทำ รอให้ลูกมีครอบครัว
รอให้ลูกมีหลาน เธอบอกกับตัวเอง รอสักวัน ฉันคงได้สบาย เวลาเป็นผู้พรากความอ่อนเยาว์
ของเธอไปเหลือทิ้งไว้แต่รอยเหี่ยวย่น ไฝ ฝ้า กระ ผมที่ขาวโพลน ผู้หญิง แก่เพราะสาเหตุนี้
เมื่อลูกเติบใหญ่ ออกเรือนจากไป เหลือ ไว้แต่แม่ผู้ชรา มาบัดนี้ เธอได้แต่ถอนหายใจ
ถึงเวลาแล้วสินะ ที่ฉันจะได้พักผ่อน บ้างเสียทีแต่น่าเสียดาย ฟันเริ่มโยก หูเริ่มตึง ตาเริ่มฝ้าฟาง
คบเขี้ยวของแข็ง ที่ต้องอดกลืนน้ำลายแทน ในอดีตไม่ได้ไม่อาจฟังเพลงเพราะ
ในอดีตที่แทบหาเวลาฟังไม่ได้ มองอะไรที่สวยงามเป็นภาพเบลอ เหมือนกันไปหมด ไม่เหลือ
สิ่งที่ศิวิไลซ์ ลูกที่ออกเรือนไป กลับมาเยี่ยมเธออีกครั้ง พร้อมกับเด็กตัวน้อย
เธอเริ่มยุ่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยไม่ได้เรียกเธอว่าแม่ แต่เรียกเธอว่า ย่าและยาย
ผู้หญิง แก่เพราะสาเหตุนี้ เธอรักสามี รักลูก รักหลาน รักครอบครัวของเธอ แต่เธอแทบจะไม่สนใจ
และรักคนๆหนึ่งเลยใครคนนั้น คือใคร ก็คือตัวของเธอเอง หญิงสาวเอ๋ย เธอจะรักตัวเธอเอง
ได้เมื่อไหร่เธอก็ไม่เคย รักตัวเองเลยใช่หรือไม่ คุณสามีและลูกๆทั้งหลาย
ควรรักเธอให้มากเข้าไว้ อย่าปล่อย ให้เธอ แก่ลงโดยคุณ

Cr : เพื่อนในไลน์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 05, 2025 11:57 pm

( 4 )

ใช้ชีวิตใน 4,000 สัปดาห์ได้คุ้มค่า “ตั้งเป้าหมายชีวิต”

1. ระบุเป้าหมายสำคัญในชีวิต รู้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และตัวเอง
2. โฟกัสกับสิ่งสำคัญ ใช้เวลาไปกับสิ่งที่สร้างคุณค่าให้คุณมากที่สุด
3. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ระยะสั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจและพัฒนาไปสู่เป้าหมายใหญ่
4. เรียนรู้จากความล้มเหลว ใช้บทเรียนจากอดีตเพื่อก้าวต่อไป
5. อย่ารอเวลาที่ “เหมาะสมที่สุด” เริ่มทำสิ่งที่คุณต้องการตั้งแต่วันนี้ “บริหารเวลา”⏳
6. ใช้หลักการ 80/20 โฟกัสที่ 20% ของสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ 80%
7. เลิกทำสิ่งที่ไม่สำคัญ ตัดกิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่าออกจากชีวิต
8. วางแผนทุกวัน กำหนดสิ่งที่ต้องทำล่วงหน้า
9. ให้เวลากับคนสำคัญ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและเพื่อน
10. แบ่งเวลาพักผ่อน หลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินไปจนลืมดูแลตัวเอง “การพัฒนาตัวเอง”
11. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เพิ่มทักษะและประสบการณ์ให้ตัวเอง
12. ออกจาก Comfort Zone ท้าทายตัวเองเพื่อเติบโต
13. ออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ ร่างกายที่แข็งแรงส่งผลต่อจิตใจที่ดี
14. อ่านหนังสือและหาความรู้ เสริมสร้างความคิดและมุมมอง
15. ฝึกสมาธิและสติ เพื่อรับมือกับความเครียดและจดจ่อกับปัจจุบัน “สร้างชีวิตที่มีความหมาย”
16. ใช้เวลาทำในสิ่งที่รัก ทำสิ่งที่คุณรู้สึกมีความสุขและเติมเต็ม
17. ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งปันความสุขและความสำเร็จให้กับคนรอบข้าง
18. ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตไม่ได้ต้องสมบูรณ์เสมอไป
19. สร้างความทรงจำดีๆ ให้เวลากับกิจกรรมที่คุณจะจดจำไปตลอดชีวิต
20. ใช้ชีวิตในปัจจุบัน อย่าหมกมุ่นกับอดีตหรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต
สรุป📖
ชีวิต 4,000 สัปดาห์ไม่ใช่เวลามากมาย แต่เพียงพอที่จะสร้างความหมาย
หากเราเลือก โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าในแต่ละวัน
แนะนำให้อ่าน ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์
สนใจสั่งซื้อคลิก
📍 https://s.shopee.co.th/40RE8xTrMG
📍 https://s.lazada.co.th/s.GnoR8?cc
#ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์
#เคล็ดความสำเร็จ
#หนังสือขายดี
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:01 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 05, 2025 11:59 pm

( 5 )

“สุนัข…แว้งกัดคนแปลกหน้า มนุษย์…แว้งกัดคนคุ้นเคย”
สุนัขแว้งกัดคนแปลกหน้า…เพื่อเจ้าของ
มนุษย์แว้งกัดคนคุ้นเคย…เพื่อตัวเอง
#มนุษย์ ต่างจาก #สุนัข ตรงที่
สุนัขเป็นสุนัขตั้งแต่ต้นจนจบ.
แต่มนุษย์ อาจไม่ใช่มนุษย์เสมอไป.
ให้ข้าวสุนัข 3 วัน มันจำคุณ 3 ปี
คุณดีกับใครคนหนึ่ง 3 ปี วันไหนที่คุณไม่ดี เขาชักสีหน้าทันที
สุดท้าย…คนที่ทำร้ายคุณสาหัสที่สุด ก็คือคนคุ้นเคย
ความไร้เดียงสาของเราก็คือ เปิดอกพูด อย่ามีความลับ
แต่เมื่อใดที่คุณพูดความลับออกไปมากเท่าใด กับดัก หลุมพรางและอันตราย
ก็รอคุณอยู่มากเท่านั้น เพราะคนที่สามารถ ทำให้คุณล้มทั้งยืนได้ ร้อยทั้งร้อยคือ
“คนที่รู้ความลับของคุณมากที่สุดคนนั้น
🍂
Cr. สามก๊ก
………………………………

คนที่โดนกระทำ แต่เลือกที่จะนิ่ง... ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่สู้คน
แต่เพราะผ่านโลกมามากพอ จึงเลือกใช้ความสงบ...
สยบความเคลื่อนไหว-ตัดปัญหา
บางคนไม่พูด เพราะไม่อยากต่อความ มองข้าม เพราะไม่อยากถือสา
ยอม เพราะไม่อยากมีเรื่องมีราว
คนที่วางใจถูก จะรู้ว่าการปล่อยวางคือความสุข
และถือโอกาสเรียนรู้สันดานคน คนที่ยอมถูกเอาเปรียบ
เขาไม่ได้โง่ แต่เขาเลือกที่จะ "ให้" กับคนที่ "อยากได้ " แค่นั้นเอง
เพราะ "ผู้ให้" มีความสุขกว่า "ผู้รับ" เสมอ

Cr :#ที่ว่าการคำคม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:12 am

. ( 6 )

ผ่านมาครึ่งชีวิต...อยากบอกว่า

▪️ มี "เงิน"
อย่าใช้หมด ต้องคอย "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาเกิดวิกฤต
คนมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย ทุกข์ต่างกันมากมาย
▪️มี "งาน"
ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตี ความมั่นคงอีกแล้ว
ต้องเป็นพนักงาน ที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ
▪️มี "คนที่รัก"
ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก ต้องสร้าง "สัมพันธ์" กันให้ดี
หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้
เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก
▪️มี "เวลา"
ต้องใช้ให้ดี อย่างปล่อยให้เวลา ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะที่เคยคิดกันว่า
ทุกคน มีเวลาอย่างน้อย 70-80 ปี ต่อจากนี้จะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว
▪️มี "ร่างกาย"
ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าบอกว่า ไม่มีเวลา ร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น
"ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ
การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี
▪️มี "จิตใจ"
ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่ทุกข์ ไม่กังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ
กับคนไม่ดี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
▪️ มี "ชีวิต"
ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต"
ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง❤️

Cr. รักมึงนะ
#จำไว้นะลูก
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:18 am

( 7 )


*อย่าลืมอ่านนะครับ*

คนแก่มักถูกเยาะเย้ยเวลาพูดมากเกินไป แต่หมอมองว่า *เป็นพร* : แพทย์บอกว่า
คนวัยเกษียณ (ผู้สูงอายุ) ควรพูดให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการ
สูญเสีย ความจำได้ วิธีเดียวคือ *การพูดคุยมากขึ้น* มีประโยชน์อย่างน้อยสาม
ประการ ที่ผู้สูงอายุ พูดคุยกันมากขึ้น

1.*การพูดคุย* จะกระตุ้นสมอง เนื่องจากภาษาและความคิดสื่อสารถึงกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดเร็วจะช่วยเร่งการคิดและเพิ่มความจำ ผู้สูงอายุที่ไม่พูด
มีแนวโน้มที่จะสูญเสียความทรงจำมากขึ้น

2.* พูดมากขึ้น* ช่วยคลายเครียด ป้องกันอาการป่วย* ทางจิต* และลดความเครียด
เพราะคนสูงอายุ มักจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจ โดยไม่พูด จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่
ได้พูดคุยกันมากขึ้น

3_*การพูด* เป็นการออกกำลังกาย *กล้ามเนื้อใบหน้า* บริหารลำคอ เพิ่มความจุของปอด
และลด อันตรายเวียนศีรษะและหูหนวก

*สรุป* ในฐานะผู้
เกษียณอายุ คือ พลเมืองอาวุโส วิธีเดียวที่จะป้องกัน*โรคอัลไซเมอร์*
ได้ คือ *การพูดคุย และโต้ตอบกับผู้คนให้มากที่สุด* เท่าที่จะทำได้ ไม่มีวิธีอื่นสำหรับเรื่องนี้

...จาก กรมสุขภาพจิต
(Fri.Aug.23' 2024 at KK)

:s001: :s003: :s006:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2025 12:22 am

( 8 )

1.คนที่ ”น่าอิจฉาที่สุด“ คือ ”คนที่ไม่อิจฉาใครเลย“ มันเป็นเคล็ดลับความสุขง่ายๆ
ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกัน
2.ทุกอย่างบนโลกใบนี้ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว
”ถ้ามันดี“ ให้มีความสุขกับมัน เพราะมันจะอยู่กับเราได้ไม่นาน
”ถ้ามันไม่ดี“ อย่าไปกังวลกับมัน เพราะมันจะอยู่กับเราไม่นานอีกเหมือนกัน
3.เวลาโกรธ หรือโมโหใคร อย่าไปด่าเขา เพราะเมื่อความโกรธหายไป แต่คำด่ายังจำฝังใจ
4.ทุกวินาทีที่หายใจอยู่ คือโอกาสของชีวิต อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ และอย่าแคร์สายตาใคร
หายใจด้วยจมูกของเราเอง ยืนด้วยลำแข้งของเราเอง
5.ไม่ยุ่งกับชีวิตคนอื่น ไม่ขัดความสุขคนอื่น ไม่คิดแทนคนอื่น ไม่อิจฉาคนอื่น ไม่ดูถูกคนอื่น
6.จงอย่าอิจฉาคนอื่น และจงอย่าใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา แต่จงใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นเคารพรักและนับถือ
7.ไม่ว่าจะมีใครหายไปจากชีวิตเรา แต่เวลาก็ยังคงเดินต่อไปตามเดิม และเวลาก็สอนให้เราได้รู้ว่า
ระหว่างที่เรามีเวลาอยู่นั้น เราควรจะดูแลรักษาคนที่เรารักอย่างไร เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อเขาจากไป
เราจะไม่เสียใจเพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว
8.ความสุขแม้จะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดีจะอยู่กับเราตลอดไป อยากมีความทรงจำดีๆ
ก็จงให้สิ่งดีๆกับผู้อื่น
9.บางครั้งเราไม่ต้องคิดว่า ”เราจะได้อะไรจากสิ่งที่เราทำ?“ แค่ทำแล้วมันสุขใจ.. มันก็คือกำไรของชีวิตแล้ว
10.ชีวิตคนเรามี 3 วัน
”เมื่อวาน“ เราใช้ไปแล้วเอามาใช้ไม่ได้
”วันนี้“ เรากำลังใช้อยู่และใช้ได้แค่ครั้งเดียว
”พรุ่งนี้“ ยังมาไม่ถึง และไม่รู้ว่าจะได้ใช้มั้ย
เพราะฉะนั้น หากวันนี้เรายังมีโอกาสใช้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดี และสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข

Cr : เพื่อนในไลน์

:s002: :s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มี.ค. 15, 2025 2:31 pm

( 9 )
"อังเกลา แมร์เคิล" นายกฯเยอรมัน ผู้นำแบบอย่างของโลก นักการเมืองในอุดมคติที่มีอยู่จริง
เยี่ยงอย่างวิถีผู้นำที่เรียบง่าย พอเพียง เก่ง ฉลาด ทำมากกว่าพูด พูดแล้วทำตามคำพูด ถ่อมตัว
สุภาพ ไม่ก้าวร้าว ยะโสโอหัง....ซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาผลประโยชน์ รักประชาชนทุกชาติพันธ์
ทุกผิวสี...

เยอรมนีอำลา Merkel ด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่น 6 นาที

ชาวเยอรมันเลือกให้เธอเป็นผู้นำพวกเขาและเธอนำชาวเยอรมัน 80 ล้านคนเป็นเวลา18 ปี
ด้วยความสามารถทักษะ ความทุ่มเทและความจริงใจ

ในช่วงสิบแปดปีที่เธอเป็นผู้นำของผู้มีอำนาจในประเทศของเธอ ไม่มีการล่วงละเมิดกล่าวหาใด ๆ ต่อเธอ ..

เธอไม่ได้แต่งตั้งให้ญาติ หรือลูกหลานของเธอเป็นเลขานุการ หรือรับตำแหน่งสูงๆในรัฐบาล..

เธอไม่เคยอ้างว่าเธอเป็นผู้สร้างความรุ่งโรจน์ ความมั่งคั่ง หรือความเจริญให้กับประเทศ...

เธอไม่ได้รวยเงินล้านเมื่อพ้นตำแหน่ง

เธอไม่สร้างภาพที่ไร้สาระเพื่อให้ดูดี

เธอไม่ใช้กระเป๋าถือ นาฬิกาข้อมือ หรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพง

เธอไม่ได้รับปากว่าจะทำแล้วไม่ทำตามสัญญา

เธอไม่ต่อสู้คุกคามฝ่ายค้าน หรือฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับเธอ หรือยกมือสวนทางนโยบาย

เธอไม่พูดเรื่องไร้สาระ ไม่ร้องเพลงเต้นรำตามงานสาธารณะ

เธอไม่ปรากฏตัวในตรอกซอกซอยของเบอร์ลินเพื่อมีภาพถ่ายว่าเป็นคนของประชาชน
แต่ช่วยด้วยการลงมือทำ

เธอ คือ (Angela Merkel) ผู้หญิงที่ถูกขนานนามว่า "The Lady of the World" และได้รับการอธิบายว่า
เทียบเท่ากับผู้ชายหกล้าน

เมื่อวันที่ Merkel ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และส่งมอบให้กับคนที่ตามหลังเธอ เยอรมนีและ
คนเยอรมันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

ปฏิกิริยาของชาวเยอรมันนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาวเยอรมัน .. ผู้คนทั้งหมด
ออกไปที่ระเบียงบ้านและปรบมือให้เธออย่างเป็นธรรมชาติเป็นเวลา 6 นาทีด้วยเสียงปรบมืออันอบอุ่น
ต่อเนื่องโดยไม่หยุด

ชาวเยอรมันนียืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวในการอำลาผู้นำเยอรมัน ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์เคมีที่ไม่ยอมถูกล่อลวง
ให้หลงใหลในแฟชั่น หรือแสงสี

และไม่สะสมซื้ออสังหาริมทรัพย์ รถยนต์เรือยอซ์ก และเครื่องบินส่วนตัว โดยตระหนักรู้ว่าเธอมาจาก
เยอรมนีตะวันออก ในอดีตที่ยากจน..

เธอออกจากตำแหน่งที่สูงสุดของประเทศ.. ในช่วงสิบแปดปีไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าของเธอ ใส่ซ้ำของ
ที่มีอยู่แล้วสลับสีกันไปมา..จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชย เมื่อเทียบกับผู้นำสตรีของโลกคนอื่นๆ
ที่เน้นแต่ความสวยงาม และภาพลักษณ์ แต่ไร้สมองเมื่อเทียบกับเธอ!!

พระเจ้าอยู่เหนือผู้นำที่สงบเสงี่ยมนี้ ขอให้พระเจ้าอยู่เหนือความยิ่งใหญ่ของเยอรมนี ..

ในงานแถลงข่าวมีนักข่าวหญิงคนหนึ่งถาม Merkel: เราสังเกตเห็นว่าชุดของคุณใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีกใช่ไหม?

เธอตอบว่า: ฉันเป็นพนักงานราชการ ไม่ใช่นางแบบ!!

ในงานแถลงข่าวอีกครั้งพวกเขาถามเธอว่า: คุณมีแม่บ้านที่ทำความสะอาดบ้าน เตรียมอาหารและอื่น ๆ หรือไม่?

คำตอบของเธอคือ..'ไม่'

ฉันไม่มีแม่บ้านหญิง และฉันไม่ต้องการพวกเขา ฉันและสามีทำงานบ้านทุกวัน

นักข่าวอีกคนถามว่าใครเป็นคนซักเสื้อผ้า คุณหรือสามีของคุณ?

คำตอบของเธอ: ฉันจัดเสื้อผ้าและสามีของฉันเป็นคนนำไปใส่เครื่องซักผ้าและโดยปกติจะเป็นเวลากลางคืน
เนื่องจากมีไฟฟ้าราคาถูก และไม่มีแรงกดดันใดๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึงเวลาที่ไม่รบกวน
เพื่อนบ้าน ความไม่สะดวก และกำแพงกั้นอพาร์ตเมนต์ของเรากับเพื่อนบ้าน

เธอกล่าวว่า: สำหรับคุณฉันคาดหวังว่าคุณจะถามฉันเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวในการทำงาน
ของเราในรัฐบาลมากกว่าคำถามเรื่องส่วนตัวข้างต้น

นาง Merkel อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ธรรมดาเหมือนพลเมืองคนอื่นๆ ..
อพาร์ทเมนต์แห่งนี้เธออาศัยอยู่ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีและเธอไม่ได้ย้ายออกไป
และไม่ได้ซื้อบ้าน ไม่มีคนรับใช้ สระว่ายน้ำและสวน ..

นี่คือ Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป !!

นี่คือวิถีชีวิตของผู้นำประเทศที่เจริญแล้ว ! ไม่มีคนใช้ อยู่บ้านแบบสามัญชนทั่วไป...

บริหารประเทศนานถึง 18 ปี สร้างประเทศให้รุ่งเรือง ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป หรือ
อาจจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ! ...

นี้คือความจริง ! ที่สมควร ยกย่อง นำไปแบบอย่างในโรงเรียน ,มหาวิทยาลัย ....
เธอเป็นผู้หญิง ...เธอบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไม่ด่างพร้อย เก่งยิ่งกว่าชายอกสามศอก
....น่าทึ่งเอามากๆ

ตลอดเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน ...เธอไม่รู้จัก คำว่า คอรัปชั่น ...เงินพิเศษใต้โต๊ะ ...เล่นพรรค
เล่นพวก วางอำนาจ... ใช้ความอยุติธรรม ลำเอียง ใช้โทสะ ฯลฯ อันเป็นปัญหาอย่างร้ายแรงอย่างยิ่ง
ที่ไม่เคยเปลี่ยนในประเทศที่ด้อยพัฒนา

:s007: :s007:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 16, 2025 11:20 pm

( 10 )

ยูจีน โอ'เคลลี่ (Eugene O'Kelly)
ผู้บริหารสูงสุด ของบริษัทตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ KPMG ที่มีเครือข่ายไปทั่วโลก

ถ่ายทอดเรื่องราวช่วงสุดท้ายในชีวิต ไว้ในหนังสือ “Chasing Daylight”
ยูจีน ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ ขณะที่เขามีอายุ 53 ปี และ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุด
ในชีวิต ที่ยากจะเอาชนะ นั่นคือ (fire)“ความตาย”
'ยูจีน โอ'เคลลี่' ใช้เวลา 53 ปีที่ผ่านมา ทำงานอย่างหนัก จนประสบความสำเร็จ

(*)ได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของ KPMG บริษัทผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอบบัญชี และ ภาษีระดับโลก
'ยูจีน โอ'เคลลี่'
เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เขาออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และ เข้านอนตรงเวลา

(fire)เขาแทบไม่เคยป่วยเลยตลอดชีวิต แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็เกิดปวดหัวอย่างหนัก จนถูกหามส่งโรงพยาบาล

ผลตรวจที่ออกมา (!) ทำให้ ยูจีน รู้ว่า
ตัวเองกำลังป่วยเป็น มะเร็งสมอง ระยะสุดท้าย และ เขาเหลือเวลาใช้ชีวิต อีกเพียง 100 วันเท่านั้น

สิ่งแรกที่ ยูจีน ทำ หลังจากรู้ตัวว่า เขากำลังจะจากโลกนี้ไป คือ

(#)การลาออกจากตำแหน่ง ประธานบริษัท และ CEO ของ KPMG ท่ามกลางความช็อค
ของ พนักงาน กว่า 2 หมื่นคน
ยูจีน
ใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตไปกับ การลิสต์รายชื่อ ผู้คนที่เขารู้จัก ทั้งที่สนิท และ ไม่สนิท
จากนั้นพยายามติดต่อทุกคน ด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การโทรหา เขียนอีเมล เขียนจดหมาย

เพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่า ครั้งหนึ่ง ยูจีน ดีใจที่ได้ใช้เวลาไปพวกเขา รวมถึง ขอบคุณ และ ขอโทษ
กับสิ่งต่างๆ ที่อาจทำผิดพลาดไป

ในบันทึกหน้าท้ายๆ ของ ยูจีน เขาพูดถึงความสัมพันธ์อันเรียบง่าย ระหว่าง เขา และ คนรอบข้าง
รวมถึง โมเมนต์ที่ประทับใจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกไปทานข้าว กับ เพื่อนสนิท ตีกอล์ฟ กับ
พาร์ทเนอร์บริษัท ตั้งแต่ คนวงนอก จนมาถึง คนสนิท อย่าง ครอบครัว ญาติ พี่น้อง ภรรยา และลูกสาว

ยูจีน
ได้เขียนความตั้งใจสุดท้ายไว้ว่า เขาอยากพา ลูกสาว ไปเที่ยว กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ค
แต่ตอนนี้เขาพบว่า ตัวเองไม่มีแรงเหลือพอ ที่จะทำเช่นนั้น เขาจึงเปลี่ยนสถานที่ไปพักผ่อน
ที่ทะเลสาบ ทาโฮ แทน

ยูจีน
เขียนบันทึกไว้ว่า ช่วงเวลาที่ได้พักผ่อน ที่ทะเลสาบ ทาโฮ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
เขาได้ออกไปแล่นเรือกับครอบครัว ได้นั่งพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ นั่งดูคนตีกอล์ฟกับลูกสาว

ยูจีน
บอกว่า คนมากมายต่างพูดกันว่า เขาจากโลกนี้เร็วเกินไป แต่เขากลับมองว่า ตัวเองมีโอกาส
ได้ร่ำลาคนที่รัก มีโอกาสได้พูดคุยถึงสิ่งต่างๆ ที่ค้างคา ยูจีน มองว่า ตัวเองเป็นคนที่โชคดี

หลังจากที่เขียนบันทึกนี้จบ ยูจีน ก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ

ภรรยาของ ยูจีน โอ'เคลลี่ ได้เขียนสรุป บทเรียน 5 ข้อ ที่เธอได้รับ จากช่วงเวลาสุดท้าย ของชีวิตสามี

1. ยอมรับความพ่ายแพ้ในบางครั้ง :
ยูจีน โอ'เคลลี่ เป็นคนเก่ง และสามารถหาทางออกให้กับ ปัญหาทุกเรื่อง ได้เสมอ แม้บางครั้งจะพ่ายแพ้
แต่เขาก็กลับขึ้นมาลุกได้อีกครั้ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “ความตาย” ที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้
เขาก็ยินดีที่จะยอมรับมัน และใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิต ได้อย่างคุ้มค่า

2. ต้องมีมากแค่ไหน :
ภรรยาของ ยูจีน เล่าว่า ในขณะที่ ยูจีน มีชีวิตอยู่ เขามีทรัพย์สินมากมายที่คนอื่นๆ ล้วนอยากมี แต่เมื่อ
"ความตาย" เดินทางมาถึง เขากลับต้องการเพียง “เวลา” ที่จะอยู่กับครอบครัวเท่านั้น-

3. จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน :
หลังจากรู้ว่า ตัวเองป่วยเป็น มะเร็ง เขาก็หันหลังให้กับ อนาคตทั้งหมด และใช้เวลา อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
เขาเริ่มมองหา Perfect Moment จากทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ฟังเสียงน้ำไหล
ได้ทานอาหารอร่อยๆ หรือ ได้นั่งฟังภรรยาอ่านหนังสือ

4. พยายามตามหา Perfect Moment ทุกช่วงขณะ :
ยูจีน ใช้ชีวิตมากว่า 53 ปี แต่เขาเพิ่งค้นพบ Perfect Moment ใน 100 วันสุดท้ายของชีวิต
เขาบอกว่า : "ชีวิตที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขา จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาด ภรรยา และ ลูกๆ
มาร่วมใช้เวลาไปกับมัน"
ภรรยาของยูจีน เล่าว่า เธอเคยพูดเรื่อง ลูกน้องคนหนึ่ง ให้ ยูจีน ฟัง
ลูกน้องคนนั้น ทำงานอย่างหนัก เมื่อกลับถึงบ้าน สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรก คือ การเช็คอีเมล
เธอจึงถามลูกน้องคนนั้นว่า "ทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออะไร?" เขาตอบว่า "เพื่อครอบครัว”
เรื่องนี้ทำให้ ยูจีน คิดเรื่องการจัด Piority ในชีวิตใหม่
เพราะบางครั้ง สิ่งที่เราคิด กับ สิ่งที่เราทำ ผลลัพธ์ที่ออกมา ดันตรงกันข้ามกัน
ดังนั้น อย่าทำงานจนมองข้าม Perfect Moment ที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกนาที

5. สร้างความสมดุลให้กับชีวิต :
มันสำคัญมากที่เราจะหาจุดกึ่งกลางของชีวิตให้เจอ คำว่า “บาลานซ์” ไม่ได้หมายถึง แค่เวลา
แต่ยังรวมไปถึง อารมณ์ พลังงาน ความคิด ความเชื่อ ทุกๆ อย่าง ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา

จงใช้ทุกช่วงเวลาให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวเหมือนดั่งใจหวัง
คนส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรู้ว่า นี่คือ 100 วันสุดท้าย ของตัวเองด้วยซ้ำ

Cr : Mission to the moon


บทเรียนชีวิตที่เหลือเวลาแค่ 100 วัน
The BookTeller Story บันทึกบันดาลใจ

https://youtu.be/7cCktMrkLPw?si=XnTaPX8A1ytoBAL7
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 31, 2025 11:48 pm

( 11 )

“ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น แล้วก็พลาดในสิ่งที่เชื่อ”

ฉันเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือ ที่ตั้งของร้านอยู่บนซอยที่ยาวมากๆ มีผู้คนทั้งที่อาศัยและทำ
การค้าเป็นร้อยครัวเรือน และก็มักจะมีผู้คนนำสิ่งของสารพัดชนิดมาเดินเร่ขายในซอย

บ่ายวันนี้ ฝนตกหนักมาก พอฝนหยุด ฉันก็รีบออกจากร้านไปทำธุระแถวๆนั้น พอเดินมาถึง
ปากซอย ก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุคงราวๆสักสิบสองสิบสามขวบ เนื้อตัวเปียกปอน บนหลัง
เขาแบกเข่งค่อนข้างใหญ่ไว้ใบหนึ่ง

พอเห็นฉันมองดูเขา เขาก็พูดกับฉันแบบกล้าๆกลัวๆว่า “คุณน้าสนใจจะอุดหนุนลูกแพร์ไหมครับ
เพิ่งเด็ดจากต้นมาสดๆ อร่อยนะครับ” ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบทานลูกแพร์นัก กำลังคิดจะปฏิเสธ
แต่พอเห็นแววตาที่คาดหวังของเด็กน้อย พร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกปอน ผมเผ้าก็เปียกแฉะ เกิด
ใจอ่อนขึ้นมา เลยถามไปว่า “ลูกแพร์พวกนี้แบกมาขายเองเหรอ”

เด็กน้อยรีบผงกหัวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ ผมเดินทางมาจากหมู่บ้านเชิงเขาด้านตะวันตก
ระยะทางสามสิบกว่าลี้ พอดีเจอฝนตกหนักระหว่างทาง เนื้อตัวเลยเปียกหมด”

ฉันมองดูลูกแพร์ที่อยู่ในเข่ง กะเคร่าๆว่าคงประมาณเกินยี่สิบชั่ง มองดูเด็กน้อยที่อุตส่าห์เดินทาง
มาไกลพอควร พร้อมแบกเข่งใบเขื่องที่ใหญ่กว่าตัว คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เลยถามไปว่า “ขายยังไง”
พอเห็นฉันถามราคา เด็กน้อยยิ่งดีใจใหญ่ “คุณน้า ผมขายแค่สองหยวนต่อชั่ง เพิ่งเด็ดจากต้น
ในบ้านผมเอง ทั้งอร่อยทั้งถูก”

ฉันยิ้มก่อนพูดว่า “พูดเก่งนี่เรา ถ้าน้าจะเหมาหมด คิดเท่าไหร่”

เด็กน้อยมีแววตาตื่นเต้น “คุณน้าคงไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมชั่งมาจากบ้านแล้ว ทั้งหมดยี่สิบสองชั่ง
ถ้าคุณน้าเหมาหมด ผมคิดแค่ยี่สิบชั่งก็พอ รวมเป็นเงินสี่สิบหยวนครับ คุณน้า”

เด็กน้อยพูดจาดี คำก็คุณน้า สองคำก็คุณน้า ฟังแล้วสบายใจจริงๆ เงินสี่สิบหยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
สำหรับฐานะอย่างฉัน จึงควักเงินสี่สิบหยวนออกมาจ่ายไปทันที เด็กน้อยรีบหยิบย่ามจักสานออกมา
สองใบใหญ่ เทลูกแพร์ทั้งหมดออกมาได้สองถุงใหญ่แล้วยื่นให้ฉัน

ฉันรับลูกแพร์ถือไว้ในมือพร้อมถามว่า “ทำไมขายแต่ลูกแพร์ แล้วไม่ขายผลไม้อย่างอื่นเหรอ”

เด็กน้อยตอบด้วยความสบายใจ “บ้านผมมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว ปีนี้ออกลูกมาไม่มากนัก
พ่อแม่ ผมก็ออกไปทำงานต่างถิ่นกันหมด เหลือผมอยู่กับปู่และย่าเท่านั้นเอง ปู่บอกว่าต้นลูกแพร์นี้
ให้ผมดูแล ผมก็เลยเด็ดมาขายเข่งนึง ขายได้เงินเท่าไหร่ปู่ยกให้ผม ผมเหลือลูกแพร์ไว้บนต้นหน่อยนึง
ให้ปู่กับย่า” เด็กน้อยพูดด้วยหน้าตาที่สดใส แบกเข่งเปล่าขอตัวเดินจากฉันไปด้วยความปรีดาพร้อม
คำขอบคุณอีกหลายๆ คำ

ฉันมองดูลูกแพร์สองถุงใหญ่ในมือ ตัดสินใจแบกกลับไปเก็บไว้ที่บ้านก่อน ใช้เวลาสิบกว่านาทีกับการ
เดินไปและเดินกลับ พอกลับมาถึงปากซอยอีกครั้ง เอ้า เด็กน้อยคนเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม พร้อมผลไม้
เข่งใหม่บนหลังเขา ผู้ชายวันกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับเขา ท่าทางคงกำลังตัดสินใจจะซื้อ

ฉันรู้ทันที่ว่าฉันถูกหลอกแล้ว เคยได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนเขาเล่าสู่กันฟังบ่อยๆ ว่า มักมีพวกพ่อค้าจากถิ่น
อื่นนำเอาผลไม้มาขายกันเป็นคันรถ แล้วจ้างชาวบ้านท้องถิ่นมาเดินเร่ขาย แต่โกหกว่าผลไม้มาจาก
สวนของตนเอง ทำให้คนซื้อ ซื้อได้ง่ายขึ้น อาจจะเพราะอยากอุดหนุนคนกันเอง และคิดว่าคงไม่ค่อยมี
สารกำจัดแมลงที่รุนแรง พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กน้อย แล้วถามด้วยเสียงที่เย็นชาว่า
“คราวนี้ขายผลไม้อะไรอีก”
เด็กน้อยหันมามองหน้าฉันด้วยความตกใจ หน้าซีดทันที ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “อะ…องุ่นครับ…คุณน้า”
“เอ้า ก็เห็นบอกว่าทั้งบ้านมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว แล้วต้นลูกแพร์ที่บ้านยังสามารถออกลูกเป็นองุ่นอีกเหรอ”

เด็กน้อยก้มหน้า ตอบด้วยเสียงบางเบาว่า “องุ่นพวกนี้ ผมช่วยคนอื่นขายครับ” ผู้ชายคนที่กำลังควักเงิน
จะซื้อ พอได้ยินคำสนทนาของเราก็เปลี่ยนใจทันที “เอ้า เมื่อกี้เพิ่งจะบอกว่าองุ่นพวกนี้ปลูกในบ้านตัวเอง
อายุแค่นี้ก็หัดโกหกหน้าตาเฉยเลยเหรอ ไม่ไหว….” แกเดินจากไปด้วยความโกรธ

ฉันถือโอกาสยืนสั่งสอนเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปทำธุระด้วยอารมณ์ที่ไม่โสภานัก เดินไปได้
ไกลพอควร ยังทำใจไม่ค่อยได้ หันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เห็นเด็กน้อยนั่งอยู่บนโขดหินข้างทาง ก้มหน้า
เช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ
ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อครู่นี้คงจะพูดรุนแรงไปหน่อย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า เรื่องแบบนี้ไม่ควร
จะส่งเสริม และคนสมัยนี้ก็ย่ำแย่เต็มแก่ เพื่อเงินไม่กี่มากน้อยก็ใช้เด็กมาเดินขายแบบแหกตา ทำให้เด็ก
ต้องมารับตราบาปไปเปล่าๆ คงต้องรณรงค์ให้คนทั้งซอยมาต่อต้านขบวน การแหกตาพวกนี้ให้ได้
กว่าจะเสร็จธุระก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง พอใกล้ถึงบ้านก็ยังเห็นเด็กน้อยยืนขายอยู่ แต่ห่างจากที่เดิม
พอสมควร สงสัยคงขายไม่ดี มองดูรู้สึกองุ่นยังเต็มเข่งอยู่ สีหน้าเขาหดหู่มาก พอเห็นฉันเดินมา เขารีบ
ยืนชิดกำแพง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาฉัน

เห็นสีหน้าที่เศร้าโศกขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าฉันก็รู้สึกย่ำแย่เหมือนกัน ถ้าเป็นวันอื่นๆ ฉันคงควักเงินเหมา
หมดเข่งไปแล้ว แต่วันนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะจะทำให้ได้ใจกันใหญ่ เกรงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะ
ได้แบกเอาส้มเอย แอปเปิ้ลเอย กล้วยเอยมาขายกันไม่หยุดไม่หย่อน
กลับถึงบ้านตรงขึ้นชั้นบน เตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จ เดินออกมากวาดระเบียง มองไปข้างล่าง เอ้า
เด็กน้อยคนเมื่อกี้อีกแล้ว กำลังแบกเข่งเดินลับๆ ล่อๆ เลี้ยวมาทางหลังบ้านฉัน หลังบ้านฉันเป็นที่ดิน
ที่ยังไม่พัฒนา มีแต่พงหญ้าที่รกรุงรังผืนใหญ่ แล้วนี่เขากำลังจะทำอะไร

ฉันเดินตามดูเด็กน้อยจากบนบ้าน พอเขาเดินมาถึงพงหญ้าก็เหลียวมองดูรอบข้างอีกครั้ง พอรู้ว่าปลอดคน
ก็ปลดเข่งจากข้างหลังแล้วย่อตัวลง ค่อยๆ หยิบเอาพวงองุ่นออกจากเข่งทีละพวง แล้ววางลงบนพงหญ้า
สุดท้ายเหลือองุ่นอยู่ประมาณครึ่งเข่งแล้วค่อยลุกขึ้นยืน เขาหยิบเอาเงินสี่สิบหยวนที่ได้จากการขายลูกแพร์
ออกจากกระเป๋า มองดูเงินในกำมือ ชั่งใจอยู่พักใหญ่ แบ่งออกมายี่สิบหยวน แล้วม้วนกำไว้ในกำมือ
หันกลับไปมองดูกององุ่นด้วยความเสียดาย แล้วเขาก็แบกเอาครึ่งเข่งที่เหลือเดินผ่านซอกเล็กๆ
ข้างบ้านฉัน แล้วเดินจากไป

ฉันงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เด็กน้อยคนนี้กำลังทำอะไร ทำไมต้องเอาองุ่นมาซ่อนไว้ในพงหญ้า
น่าสงสัยเหลือเกิน อยากรู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันก็ตัดสินใจวิ่งลงมาชั้นล่างสะกดรอยตามเขาไป

เด็กน้อยเดินตรงมาถึงปากซอย แล้วก็ยังเดินต่อไป ฉันเดินตามเขาอยู่ห่างๆ แล้วเขาก็เดินมาถึง
สวนสาธารณะของท้องถิ่น

ฉันเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่บนม้าหินที่อยู่หน้าสวน อายุคงจะพอๆ กัน ข้างหน้าเขามีเข่งเปล่าวางอยู่
ใบหนึ่ง พอเห็นเด็กผู้ชายกลับมา เธอดีใจรีบลุกขึ้นยืน

พอดีข้างๆ ม้านั่งเป็นกำแพงกั้นอยู่ ฉันเดินเลี้ยวไปหลบตัวอยู่หลังกำแพง ได้ยินเสียงเด็กชายพูดกับ
เด็กหญิงว่า “ขอโทษ องุ่นขายไปได้แค่ครึ่งเดียว สองหยวนต่อชั่ง นี่คือเงินยี่สิบหยวนของเธอ”

น้ำเสียงเธอดีใจ “ขอบคุณพี่มากๆ ถ้าไม่ได้พี่ช่วยขาย สงสัยครึ่งเข่งก็ยังขายไม่ได้ ใครจจะคิดว่า
ขาฉันเกิดแพลงขึ้นมาอย่างกระทันหัน”

เด็กชายพูดกับเธอด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ความจริงพี่น่าจะขายองุ่นได้หมดเข่งตั้งแต่แรกแล้ว
แต่พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น ก็เลยขายไม่ได้ แย่จริงๆ”
เด็กหญิงถาม “เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันเหรอ”

เด็กชายเล่าต่ออย่างหมดเรี่ยวแรง “ก็พอดีคุณน้าใจดีท่านที่เหมาลูกแพร์ของพี่ไปจนหมดในตอนแรก
กลับมาพบพี่ขายองุ่นอีก เลยคิดว่าพี่รับจ้างพวกพ่อค้าขายผลไม้มาเดินสายเร่ขายของแหกตาชาวบ้าน
พอคุณน้าโวยวายขึ้นมา ก็เลยไม่มีใครซื้อองุ่นของเราอีกเลย” พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฉันรู้ทันทีว่า
ฉันคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอน จึงเดินออกมาจากหลังกำแพง เด็กขายเห็นฉันอีกครั้งด้วยความตกใจ
พูดอะไรไม่ออก ฉันแกล้งตีหน้าบึ้ง “มันเรื่องอะไรกันแน่ เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถ้ามีอะไร
ไม่ชอบมาพากล ฉันจะคืนลูกแพร์ที่ซื้อทั้งหมด”

เด็กชายมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที คราวนี้พูดจาลิ้นพันกันจนฟังไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กหญิงที่มีฝีปาก
ฉะฉานตอบฉันว่า “คุณคือคุณน้าใจดีที่อุดหนุนลูกแพร์จนหมดใช่ไหมคะ เรื่องเป็นอย่างงี้ค่ะ เราสองคน
เป็นเพื่อนบ้านกัน บ้านของพี่เขามีต้นลูกแพร์อยู่ต้นหนึ่ง ส่วนที่บ้านหนูมีแปลงองุ่นอยู่แปลงหนึ่ง พอดี
ผลไม้ของเราสุกไล่ๆกัน เลยนัดกันเอามาขายพร้อมกันในเมือง ตั้งใจกันว่าพอได้เงินแล้ว พี่เขาจะเอา
เงินไปซื้อ “พจนานุกรมสำนวนจีน” ส่วนของหนูจะซื้อ “พจนานุกรมภาษาจีน” พวกเราทั้งคู่ใกล้จบมัธยม
ต้นแล้ว คุณครูบอกว่า นี่ล้วนเป็นหนังสือคู่มือที่จำเป็นสำหรับพวกเรา….. ระหว่างทางจากบ้านมาที่นี่
พวกเราเจอฝนที่หนักมาก หนูหกล้มขาแพลงระหว่างทาง เพราะเส้นทางลื่นมาก หนูถอดใจคิดว่าจะ
เดินกลับบ้านทันที แต่พี่เขาไม่ยอม เลยช่วยประคองหนูจนเดินทางมาถึงที่นี่ พอมาถึงพี่เขาก็ให้หนูนั่ง
พักอยู่ตรงนี้ แล้วพี่เขาก็นำเอาผลไม้ทั้งหมดไปขายแต่เพียงผู้เดียว……”

พอฟังมาถึงตรงนี้ ใจฉันเจ็บจี๊ดเหมือนโดนมีดกรีด เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว
มองดูก็รู้ว่าเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กดีแน่ๆ แต่ฉันกลับเอาเขาไปเปรียบเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ

ฉันยิ้มให้เด็กชาย “แล้วทำไมไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้าฟังตั้งแต่แรก ทำให้เข้าใจผิดไปหมด
องุ่นที่เหลือทั้งหมด น้าเหมาหมดละกัน”

เด็กสองคนดีใจมาก “คุณน้า องุ่นคงเหลือสักสิบกว่าชั่ง หนูคิดเงินคุณน้ายี่สิบหยวนก็พอค่ะ”

ฉันหยิบเงินจากกระเป๋ามาสี่สิบหยวน ยื่นให้ทั้งคู่คนละยี่สิบหยวน เด็กผู้ชายบอกว่า
“คุณน้าให้เกินมายี่สิบหยวนครับ”

ฉันยิ้ม “ให้เกินหรือเปล่า น้ารู้แก่ใจ แต่น้าซื้อองุ่นคราวนี้ มีข้อแม้อยู่นิดนึง ให้ทั้งคู่เดิน
ตามน้าไปข้างหน้าก่อน” เด็กหญิงถามว่า “เดินตามไปทำอะไรค่ะ”

ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องให้ทำอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ น้าเป็นคนขายหนังสือ น้าจะมอบ
หนังสือที่พวกหนูต้องการให้คนละเล่ม ส่วนเรื่องที่สองนั้น น้าจะพาพวกหนูไปดูความสุรุ่ยสุร่าย
ของเด็กคนหนึ่ง….” เด็กหญิงงุนงง “เด็กสุรุ่ยสุร่าย…..”

ฉันมองหน้าเด็กชาย “ใช่ เป็นเรื่องของเด็กสุรุ่ยสุร่ายคนหนึ่ง เที่ยวนำเอาองุ่นดีๆ ของชาวบ้านไป
เททิ้งไว้ในพงหญ้า ขอถามว่า ถ้าไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่ายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร…….ไป……ไปช่วยกัน
เก็บองุ่นพวกนั้นกลับมาดีกว่า”

พอเด็กผู้ชายฟังฉันพูดจนจบ เข้าใจทันทีว่าฉันคงเห็นเหตุการณ์ของการกระทำของเขาทั้งหมด
ที่เกิดขึ้น ด้วยความอายอีกครั้ง ใบหน้าที่สะท้อนแสงยามอาทิตย์อัศดงของเขา แดงน่ารัก

การเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม อย่าเอาความรู้สึกแว่บแรกเป็นแกนในการตัดสิน

เปลือกนอกของพิษภัยมักจะถูกตกแต่งให้สวยหรูชวนหลงไหล

ในขณะที่เปลือกนอกของสิ่งดีงามอาจไม่ได้ปรุงแต่งให้น่าสนใจนัก

พึงระวัง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น สังคมอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราเห็น

แต่บางมุมของสังคมก็อาจจะดีงามกว่าที่เราคิดอย่างคาดไม่ถึง

ควรศึกษาให้ถ่องแท้แล้วค่อยตัดสิน
บางสิ่งบางอย่างที่เห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่เข้าใจก็ได้


ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: Rensgeng5.com
賣水果-王兴菜作品
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 09, 2025 8:02 pm

( 12 )

ในช่วงสงคราม คนไทยอดอยากมาก เพราะเงินไทยใช้แลกกับชาวโลกไม่ได้ ไม่มีของเข้ามาขาย
ในประเทศ ไม่มีเสื้อผ้า ทำสบู่ใช้จากขี้เถ้า

มีเพียงอาชีพกักตุน เกิดเศรษฐีใหม่ นายทุนไทย ที่ต่อมาเข้ายึดธนาคาร


ในปี 2487-88 กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินราว 2,500 ลำ

สะพานพุทธฯสะพานเดียวที่เชื่อมกรุงเทพกับธนบุรีพัง ซ่อมเปิดใช้การได้ในปี 2493

สถานีรถไฟพังหมด ตั้งแต่หัวลำโพง ธนบุรี - โกโบริตายที่นี่ บางซื่อ ทุกแห่ง รวมถึงทางรถไฟไปพม่า

โรงไฟฟ้าวัดเลียบถูกระเบิด ไม่มีไฟฟ้าใช้กันซีครับ เรียกว่าระบบสาธารณูปโภค การขนส่งพังหมด

เรือจมไปร่วม 100 ลำ เครื่องบินของไทยปลอดภัย เพราะข้าศึกมองไม่เห็น

โดนทิ้งระเบิดข้างเดียวเพราะ ปตอ. ไทยยิงไม่ถึง บั้งไฟแสนก็ไปไม่ถึงเหมือนกัน

สงครามจบลงในปี 2488 ไทยยอมแพ้ ต้องทำสัญญากับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส
จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาล หนี้สงครามเยอะมาก
ต้องจ่ายข้าว ให้อังกฤษ 3 ล้านตัน

มีสัญญาห้ามขุด"คอคอดกระ"ด้วย ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก
สมัย ร.๔ หนึ่งบาทเท่ากับหนื่งปอนด์เชียวนาครับ

เอาว่าก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล
หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจาก

มีปัญหาว่าข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน

จากปี 2475-2500 ไม่มีประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มีเพียงประวัติบุคคล
ใครทะเลาะกับใคร

ประเทศเสียเวลา เสียโอกาสมาก ยุ่งอยู่กับการชำระหนี้ต่างชาติ

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ขึ้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก

อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก ทรัพย์สิน เช่น
ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน

สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเซีย ต่ำกว่า
มาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2,000 บาทต่อคนต่อปี
ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว

รัชกาลที่ ๙ ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ

สถานการณ์ยุคนั้นคือ ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้าน
ไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศึกษา โรงพยาบาล
ไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คน
ไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง
ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน

ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี
มี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วย

โชคดีของคนไทย

พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตรัสได้หลายภาษา อย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน เข้าใจขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก

ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น
การที่ทรงศึกษาที่สวิสนั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่าสุดยอดแห่งอารยธรรม
เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย
ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้านั้น
ได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย
ตอนนั้นผมเป็นเด็กภูมิใจมาก

ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด
ประสบการณ์นะครับ ทรงมีพระ nobility มาก การเสด็จเยือนจึงได้ความเคารพนับถือจาก
ประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาลต่างประเทศ และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ
ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์

จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุขและหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือน
ประเทศไทยอีก ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก

ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเซีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเซียก็ต้อนรับ
ยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย
ยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม

สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี กษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆจะมา เมืองไทยกันถี่ยิบ
สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่า "ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ"

พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง
ใครมากล่าวหาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแบบไม่รู้เรื่อง คนไทยโกรธ เพราะพวกเรา
ถือว่าเป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติที่ช่วยกันทำ

ประเทศไทยได้อะไร

ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น
เยอรมัน อิตาลี่ หายไป มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยา
ยุคนั้น 3,500 ล้านเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น
การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคนมาจนปัจจุบัน

เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมือง แพร่ไปทั่วโลก
เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก
เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลกครับ
คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ
เราจึงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ
สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลกนะครับ

ความลับ

ที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี เกิดอาเซียน 10 มั่นคงมานาน เพราะในหลวงครับ
จีนบอกว่าทรงเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน
พระจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้น ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ไทยมาก การลงทุนญี่ปุ่นจึงมากันเพียบ
ประธานบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นตัดสินใจลงทุนทันทีที่ได้เข้าเฝ้า

ทรงปิดทองหลังพระให้คนไทยมากมายจริงๆ ที่น่าประหลาด คือ ทั้งสองพระองค์ไม่เคย
พูดว่าทรงทำอะไรให้ประเทศมากมายมหาศาลขนาดไหน

ทรงปิดทองหลังพระ

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ กับการต่างประเทศ บุญวาสนาของคนไทยและประเทศไทย
ในสถานการณ์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจึงไม่ค่อยยิ้ม ทรงชี้ไปที่
สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า "That is my Smile"

เชิญแชร์ต่อ สร้างบุญร่วมกัน ……จากเพื่อนในไลน์ ส่งมา

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 09, 2025 8:05 pm

( 13 )

*สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู*

* น่าอ่าน*

นายเนธานยาฮูกล่าวว่า:
เมื่อ 70 ปีที่แล้ว! ชาวยิวถูกพาไปฆ่าเหมือนแกะ.
🔵 60 ปีมาแล้ว!
🔵 ไม่มีประเทศ. ไม่มีกองทัพ

เจ็ดประเทศอาหรับประกาศสงครามกับรัฐยิวเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการก่อตั้งรัฐนี้!
🔵 เราเป็นชาวยิว 650,000 คนต่อต้านหลายล้านคนในโลกอาหรับ!

ไม่มี IDF ที่แข็งแกร่ง (กองกำลังป้องกันอิสราเอล).

ไม่มีกองทัพอากาศที่มีอำนาจที่จะช่วยเรา แต่มีเพียงชาวยิวที่กล้าหาญไม่มีที่ไป
🔵ซีเรีย อิรัก จอร์แดน อียิปต์ ลิเบีย ซาอุดิอาระเบีย ทั้งหมดโจมตีพร้อมกัน
🔵 ประเทศที่สหประชาชาติให้เราคือทะเลทราย 65%

🔵 35 ปีมาแล้ว! เราสู้กับกองทัพที่มีอำนาจมากที่สุด 3 กองทัพในตะวันออกกลาง
และเรากวาดล้างพวกเขาใน 6 วัน

เราต่อสู้กับกลุ่มประเทศอาหรับหลายกลุ่มซึ่งมีกองทัพสมัยใหม่และอาวุธของโซเวียตมากมาย
และเราเอาชนะพวกเขาเสมอ!

วันนี้เรามี:

🔵 รัฐ (ประเทศ)
🔵 กองทัพ
🔵 กองทัพอากาศที่ทรงพลัง
🔵 เศรษฐกิจที่ทันสมัยพร้อมการส่งออกมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
🔵 อินเทล - ไมโครซอฟท์ - ไอบีเอ็มและบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูงจำนวนมากพัฒนาผลิตภัณฑ์
ที่ทันสมัยในอิสราเอล
🔵 แพทย์ของเราได้รับรางวัลสำหรับการวิจัยทางการแพทย์.
🔵 เราทำให้ทะเลทรายบานสะพรั่ง และขายส้ม ดอกไม้และผักทั่วโลก

🔵 อิสราเอลได้ส่งดาวเทียมของตนไปยังอวกาศ!

🔵 ดาวเทียมสามดวงในเวลาเดียวกัน!
🔵 เราภูมิใจที่ได้อยู่ในอันดับเดียวกันกับ:
🔵 สหรัฐซึ่งมีประชากร 250 ล้านคน
🔵 รัสเซียซึ่งมีประชากร 200 ล้านคน
🔵 จีนซึ่งมีประชากร 1.3 พันล้านคน;
🔵 ชาวยุโรป - ฝรั่งเศส, บริเตนใหญ่, เยอรมนี - ที่มีประชากร 350 ล้านคน.
🔵 ประเทศเดียวในโลกที่ส่งวัตถุไปยังอวกาศ!

🔵 และบอกว่าเมื่อ 60 ปีก่อน
🔵 เราถูกชักนำ, อับอายและสิ้นหวังให้สังหาร!
🔵 เราได้สัมผัสกับซากปรักหักพังของการสูบบุหรี่ในยุโรป
🔵 เราได้ชนะสงครามของเราที่นี่ในอิสราเอลที่มีน้อยกว่าไม่มีอะไร

🔵 เราสร้าง "จักรวรรดิ" เล็ก ๆ ของเราจากไม่มีอะไร

ใครคือฮามาสที่ทำให้ฉันกลัว
🔴 ทำให้ฉันกลัว?
🔴 คุณทำให้ฉันหัวเราะ!
🔴 มีการฉลองปัศ คา;

อย่าลืมว่าปัสกาคืออะไร:
🔴 เรารอดพ้นจากฟาโรห์
🔴 เรารอดชีวิตจากพวกกรีก
🔴 เรารอดชีวิตจากพวกโรมัน
🔴 เรารอดจากการสอบสวนในสเปน
🔴 เรามีโปเกมอนในรัสเซีย
🔴 เรารอดชีวิตจากฮิตเลอร์
🔴 เรารอดชีวิตจากพวกเยอรมัน
🔴 เรารอดจากการสังหารหมู่
🔴 เรารอดชีวิตจากกองทัพของเจ็ดประเทศอาหรับ
🔴 เรารอดชีวิตจากซัดดัม.
🔴 เราจะรอดชีวิตจากศัตรูที่มีอยู่

คิดถึงช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ⚠

ลองคิดดูสิ สำหรับพวกเรา คนยิว
🔷 สภาพ การณ์ไม่เคยดีขึ้นเลย!
🔷งั้นมาเผชิญหน้ากับโลกกันเถอะ

ให้เราจำไว้ว่า:
🔶 ทุกชาติ จักรวรรดิหรือวัฒนธรรม
🔶ผู้ที่เคยพยายามทำลายเรา
🔶 ปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว - ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่!
🔶 อียิปต์?
🔶 บา บิ โลนหรือ?
🔶 ชาวกรีก?
🔶 อะเล็กซานเดอร์แห่งมา ซิ โด เนีย?
🔶 พวกโรมัน? (ทุกวันนี้ยังมีใครพูดลาตินอยู่ไหม? )
🔶 รัชกาลที่สาม?

แล้วดูเราสิ

🔵 ทาสแห่งอียิปต์
🔵 ชนชาติโมเซ
🔵 ชาติแห่งคัมภีร์ไบเบิล
🔵 เรายังอยู่ที่นี่

และภาษาฮีบรูยังคงเป็นภาษาราชการของรัฐอิสราเอลในปัจจุบัน:

🚩 ตั้งแต่สมัยคัมภีร์ไบเบิลจนถึงปัจจุบัน!
🚩 ชาวอาหรับยังไม่รู้
🚩 แต่พวกเขาจะเรียนรู้ว่ามีพระเจ้า.
🚩 ตราบใดที่เรายังรักษาเอกลักษณ์ของเรา เราก็คงอยู่ตลอดไป.

ดังนั้น ยกโทษให้เราด้วย ที่ไม่ต้องกังวล
🔶 ไม่ร้องไห้
🔶 ไม่ต้องกลัว.
🔶 ที่นี่อากาศดี.
🔶 พวกเขาคงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม:
🔴 อย่าเชื่อสื่อ
🔴 พวกเขาไม่ได้บอกคุณถึงสิ่งดี ๆ มากมายเกี่ยวกับอิสราเอล
🔴 การฉลองยังคงจัดขึ้นในอิสราเอล
🔴 ผู้คนยังคงมีชีวิตอยู่
🔴 ผู้คนออกมาเรื่อยๆ
🔴 ผู้คนยังคงเห็นเพื่อน ๆ.

บางคนอ้างว่ากำลังใจเราต่ำ
🔵 แล้วไง?

เพียงเพราะเราเสียใจกับการตายของเรา ในขณะที่ศัตรูของเราชื่นชมยินดี ในสงครามนองเลือด

🔵 นั่นคือเหตุผลที่ในที่สุดเราจะชนะ.

พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงสร้างสวรรค์และโลก
ผู้พิทักษ์แห่งอิสราเอลไม่เคยหลับไม่นอน! พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ

ส่งต่อสุนทรพจน์นี้ให้กับชุมชนทั้งหมด
💙 และต่อผู้คนทั่วโลก.
💜 พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของเรา

แบ่งปันโพสต์นี้ให้กับครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงานของคุณ
💞💟💖🇮🇱🇮🇱💓💓💓🇮🇱🇮🇱💓 𷰽𷐊
พระเจ้าอวยพรคุณ!
🇮🇱🇮🇱🇮🇱🇮🇱🇮🇱🇮🇱🇮🇱🇮 򌐼򋠼򌐊
อธิษฐานเพื่อชาติอิสราเอล

และเพื่อสันติสุขของโลก
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 09, 2025 8:07 pm

14 )

“การให้อภัย… ไม่ได้เปลี่ยนอดีต แต่เปลี่ยน ‘ภายใน’ ของเราให้กลับมาเบาสบาย”

มีหลายครั้งที่เรารู้สึกว่า… การให้อภัยคือการ “ยอมแพ้”
แต่ในทางกลับกัน — การให้อภัยต่างหาก… คือชัยชนะของจิตวิญญาณ

การให้อภัย “ผู้อื่น” ไม่ใช่เพราะเขาสมควรได้รับ
แต่เพราะ เรา สมควรได้รับความสงบในใจ 🤍

หลายคนยังติดอยู่กับความโกรธ ความเจ็บปวด ความไม่ยุติธรรม
แต่สุดท้าย… สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำร้ายใครเท่าตัวเราเอง

และบางครั้งสิ่งที่เราต้องให้อภัยมากที่สุด คือ “ตัวเอง” 🫶🏻

ให้อภัยในวันที่ไม่เข้มแข็ง
ให้อภัยความผิดพลาดที่ย้อนกลับไปแก้ไม่ได้
ให้อภัยความรู้สึกผิดที่เราเผลอเก็บไว้เป็นสิบปี

เพราะการให้อภัย
คือการ “ปลดปล่อย”
คือการ “คืนพลังชีวิต”
ให้กับจิตใจที่เหนื่อยล้าได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ให้อภัย… ไม่ใช่เพื่อลืม แต่เพื่อเยียวยา
เพื่อให้ตัวเรา… ไม่ต้องจมอยู่กับอดีต
และเดินต่อไปในปัจจุบัน… อย่างสง่างามและเป็นอิสระ ✨🍃
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 09, 2025 8:11 pm

( 15 )

“วิกฤตการณ์”ที่รุนแรงที่สุดของประเทศไทย
🌐 คนไทยรู้ตัวกันบ้างไหม?ธุรกิจดีๆในไทยส่วนใหญ่ถูกคนจีนยึดไปแล้ว
🌐-โรงสี ห้องเย็น โรงแรม ท่องเที่ยว คอนโด-อสังหา บ้านจัดสรร ร้านอาหาร ทุเรียน ข้าวโพด
กล้วย ข้าว ผลไม้อื่นๆ อาหารทะเล โรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ตลาดขายส่ง ฯลฯ
🌐เมื่อเขายึดได้เขากลับเอาคนจีนเขาเข้ามาทำงาน งานของคนไทยที่อยู่เดิมค่อยๆ"หลุดจากวงโคจร“
🌐คนไทยเกือบครึ่งของคนที่มีงานทำวันนี้ กำลังจะตกงานในปี 2570*คนไทย*เจ้าของแผ่นดินกำลัง
จะไม่มีกิน
🌐เดิมผมเคยเขียนเรื่อง…เอไอ…แย่งงานคนไทย วันนี้ ผมเจอเรื่องที่เร็ว แรง และชัดเจนกว่านั้นคือ…
“คน และ ทุนจีน”….กำลังกลืนประเทศไทย
🌐โรงสีใหญ่ในหกจังหวัดภาคกลางกว่าครึ่ง …จีนซื้อไปแล้ว…!!!
🌐โรงแรมเกือบครึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย“เป็นของคนจีน”
🌐คอนโดเปิดใหม่ในทำเลทองหลายแห่ง ลูกค้ารายใหญ่คือ….“คนจีน”
🌐ห้องเย็นรายเล็ก ที่มหาชัย เป็นของคนจีนเกือบร้อยแห่ง
🌐ตลาดสำเพ็ง พันทิพย์ สี่มุมเมือง ตลาดไท ฯลฯ “เจ้าของร้าน”หน้าใหม่เป็นคนจีน
🌐โรงแรม ในพัทยา ภูเก็ต สุราษฎร์ฯ ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย"ก็เสร็จ คนจีน” “ทุเรียน”วันนี้
ที่จันทบุรีไปดูเอาเองครับ
🌐ฟาร์มกล้วยไม้ ผลไม้ กุ้ง ปลา.... จาระไนไม่หมด….
🌐เขามาซื้อแพงกว่าราคาปกติ แผงเซ้งกัน 30,000 เขามาบอกขอเซ้ง 50,000 เป็นเรายอมไหม…?
-คอนโดขายกัน 2 ล้าน คนไทยต่อเหลือล้านแปด เขามาบอกให้….สองล้านห้า….
🌐นโยบาย และแผนงานรัฐบาลจีน“ไม่ได้น่ากลัว”แต่เป็นความขยันและพลังทุนมหาศาลของ
"นักธุรกิจจีน”ต่างหาก...
🌐รัฐบาลจีนคงไม่มีนโยบายรุกรานเบียดเบียนใคร…??? แต่…“คนจีน”พร้อมไปทุกที่ ที่มีโอกาส
🌐คนจีนรุ่นนี้ต่างกับรุ่นเก่าที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นแต่เขาออกมาแสวงหาความมั่งคั่ง
ฉะนั้น….การทะนุถนอมดูแลแผ่นดินที่เข้าไปทำมาหากินจะต่างกัน...
ทราบมาว่า...ผู้คนในจีนที่ประสงค์ออกทำมาหากินต่างแดนมีแหล่งเงินกู้ระดับสิบล้านให้เข้าถึงได้เสมอ….!!!
🌐คนจีน
-ไม่กลัวการไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่กลัวการไปยังดินแดนใหม่ ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวขาดทุน
พร้อมออกไปแสวงหาโอกาสตลอดเวลา…..“ที่สำคัญยังไม่กลัวกฎหมายประเทศนั้นๆ”
🌐นศ.จีน ที่ได้ทุนที่รัฐบาลให้ไปเรียนต่างแดน ถ้าไม่กลับบ้านและทำงานอยู่กินในดินแดนนั้นๆต่อ….
ไม่ต้องใช้ทุน แถมมีทุนเพิ่ม"ให้ประกอบอาชีพ”
🌐ถ้าเรามีตาทิพย์ มองเห็น….คนจีนเป็นสีมองไปทั้งโลก เราจะเห็นว่า….ตอนนี้….สีนั้นกำลังเข้มขึ้น
ในทุกที่อย่างรวดเร็ว
🌐ฟังเรื่องราวการเข้าแทรกซึมทางการค้าในระดับรากหญ้าของประเทศเพื่อนบ้าน มาตั้งแต่ช่วง
สองปีก่อน ที่ลาว พม่า มาเลย์ อินโด เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์ ได้ยินเรื่องปัญหาความกระทบกระทั่ง
แย่งงานคนท้องถิ่น เข้าซื้อกิจการ การนำสินค้ามาขายแข่งในราคาต่ำกว่า...
🌐ด้วยความที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ เพิ่งมีโอกาสได้มองสถานการณ์ไทยอย่างจริงจัง
จึงได้เห็นว่าไม่ต่างกัน
🌐ที่จะต่างกันบ้างคือของเรายังไม่เคยเป็นเรื่องเป็นราวรัฐบาล” ไม่เคยออกมาทำอะไร….???“คนไทย”
ยังไม่เคยโวยวายเหมือนเวียดนาม มาเล อินโดฯ ส่วนลาว เขมร พม่า ฟิลิปปินส์ยังไม่เคยได้ยิน
นี่ว่ากัน…เฉพาะในเอเชีย นะครับ...เพราะมอง
ทางไกลไม่เป็น….ยังนับถือแค่….“เศษเงิน”
🌐เรารู้สึกว่าเงินฝืด แต่เคยมองไปรอบๆไหมว่า...เงินไปไหน….!!!
🌐คนไทยที่ยากจนกำลังโดนขึงพืดรุมโทรม..
🌐เอไอแย่งงาน นายทุนทำธุรกิจสะดวกซื้อครบวงจร ทุนต่างชาติเข้ามายึดแย่งสูบความมั่งคั่ง
และทรัพยากร
🌐รัฐบาลบริหารไม่เฉียบขาดรวมทั้งประชาชนคนไทยเห็นแก่ตัว
🌐การเรียนการศึกษา ไม่มีคุณภาพ เป็นพานิชย์
🌐ค่ารักษาแพงโหด คุณภาพห่วย ของมอมเมาล่อลวงเยาวชนและคนไม่มีสติมีให้เข้าถึงได้ง่ายดาย
🌐ยาเสพติดอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ฯลฯ
🌐คนไทยอยากรอดต้องคิดสร้างสรรค์ ลงมือทำ…ไม่ขายตัวเองและทรัพย์สิน ทำตัวดี อดทน
หนักเอา เบาสู้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่สร้างเรื่อง ช่วยกัน สามัคคีกัน คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
🌐แต่หากยังเอื่อย ไม่พร้อมก็รอรับชะตากรรมได้ ผมขอบอกให้ปี 2570“คนไทย” รอตกงาน
600,000 คน รู้เรื่องแน่นอน….!!!!
🌐แต่ในทุกวิกฤติ มีโอกาส มองดีๆ ก็จะพบว่ายังพอมีหนทางอยู่รอดได้ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกัน
และกล้าลงมือทำกันเถอะครับ….!!!
-> ผมขอเพิ่ม
-> สารเคมี วัสดุอุปกรณ์ ของใช้ไร้คุณภาพจากจีนมหาศาล กลายเป็นขยะพิษ ทำลายสิ่งแวดล้อม
คนไทยรับผลกระทบโดยตรง ต่อไปนอกจากจะตกงาน ชีวิตไร้คุณภาพแล้ว โรคภัยต่างๆน่าจะรุมเร้า ด้วย
🌎กล้าๆหน่อยครับ..คนไทย.!!!บอกตามตรง ….เมื่อนึกถึง….อนาคตของไทยผมแอบเช็ดน้ำตา...


(ไม่มีชื่อผู้เขียน แต่เห็นว่ามีข้อที่น่าคิด ร่วมกันก็อบปี้ ส่งต่อครับ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 11, 2025 6:29 pm

( 16 )

#การระดมสมองด้วยพลังอธิษฐาน
เพื่อนคนหนึ่งของผมอยู่ในวงการธุรกิจและเป็นหัวหน้าของผู้บริหารอีกสี่คน เขาชอบเรียกประชุม
ลูกน้องเป็นครั้งคราว พวกเขาเรียกการประชุมนั้นว่า เป็นการประชุมเพื่อ "#ระดมความคิดด้วยพลัง
ของพระเจ้า" เป้าหมายก็คือ การที่จะระดมความคิดสร้างสรรค์ออกมาจากสมองของชายทั้งสี่คน
การประชุมนี้จะมีขึ้นในห้องที่ไม่มีโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สำนักงานใด ๆ ทั้งสิ้นประตูหน้าต่างจะปิดไว้
หมดเพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอก
#ก่อนที่จะเริ่มประชุมทุกคนจะยืนนิ่งสงบใจอธิษฐานเป็นเวลา10 นาที พวกเขายอมรับว่า
#พระเจ้าคือผู้ประทานความคิดสร้างสรรค์ให้มนุษย์
แต่ละคนจะอธิษฐานตามแนวทางของตนเองอยู่ในใจเงียบ ๆ ยืนยันว่าพระเจ้า
กำลังจะทรงนำพาให้มีความคิดที่ถูกต้องเหมาะสม สำหรับธุรกิจของเขาเกิดขึ้น
ภายในสมอง #หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบและการอธิษฐานแล้ว ทุกคนต่างก็พรั่งพรู
ความคิดออกมา
มีการทำบันทึกความคิด ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้วิจารณ์ความคิดของบุคคลอื่นด้วยเกรงว่า
การโต้แย้งจะทำให้ความคิดต่าง ๆ ที่หลั่งไหลออกมาจากสมองนั้นเกิดสะดุดเข้าด้วยกัน
ในที่สุดก็จะมีการรวบรวมบันทึกความคิดสร้างสรรค์ในตัวมนุษย์นี่คือ #การกระตุ้นความคิด
หรือ #การระดมความคิดที่มีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์

เมื่อเริ่มมีการประชุมแบบนี้ใหม่ ๆ ปรากฏว่า ความคิดส่วนใหญ่ไม่มีคุณค่าพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่พอประชุมกันต่อมาเรื่อยๆความคิดดี ๆ ที่มีคุณค่าค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้คำแนะนำมี
คุณค่าในตัวของมันเองเมื่อได้นำไปปฏิบัตินั้นมาจากการประชุม "ระดมความคิด" ทั้งนั้น
ผู้บริหารคนหนึ่ง ได้อธิบายว่า "นอกจากที่สามารถทำให้งบดุลของเราลงตัวแล้ว เรา
ยังได้รับความรู้สึกใหม่ ๆ ความรู้สึกมั่นใจด้วย
#ในปัจจุบันนี้นักธุรกิจที่มีความสามารถสูงและประสบ
ความสำเร็จ จะต้องใช้วิธีการล่าสุดในการผลิต การจำหน่ายและการบริหาร
และหลายๆคนต่างก็คันพบว่าวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ การใช้พลังอำนาจ
ของการอธิษฐาน
#พลังอำนาจของการอธิษฐานทำให้เขามีความรู้สึกดีขึ้นทำงานได้ดีขึ้นนอนหลับสนิท
และดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆด้าน

เครดิต หนังสือจินตนานุภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 07, 2025 9:15 pm

( 17 )


🌿 22 วิธี ฝึกตนให้เป็น “คนใจกว้าง” 🌿
1️⃣ อย่ายึดติดเรื่องเล็กน้อย 🚫🧐 จบได้ก็จบไป อย่าเสียเวลาหมกมุ่น
2️⃣ ลดอัตตาในตัวเอง ✨ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของ “ความถูกต้อง”
3️⃣ อดทน ไม่ใช่อ่อนแอ 💪 ความอดกลั้นคือพลังที่ยิ่งใหญ่
4️⃣ ลดการตำหนิผู้อื่น 🗣️ ให้โอกาสมากกว่าการตัดสิน
5️⃣ อย่าคาดหวังให้ทุกคนเป็นไปตามใจเรา 🤷‍♂️ ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง
6️⃣ อ่อนน้อมถ่อมตน 🙇‍♀️ คุณสมบัติของ “คนใจกว้าง”
7️⃣ อย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบตัดสินเรื่องต่าง ๆ 🌊 สงบก่อนแล้วค่อยคิด
8️⃣ ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบจากทุกสิ่ง ❌🌟 เพราะมันไม่มีอยู่จริง
9️⃣ ฝึกการลืมให้เป็น 🧠 การปล่อยวางคืออิสระ
🔟 การลืมเรื่องเล็กน้อย คือ “การให้อภัย” 🤝
1️⃣1️⃣ ให้อภัยคนอื่น ก็เท่ากับให้อภัยตัวเอง 💖 ไม่ต้องแบกความโกรธไว้
1️⃣2️⃣ มองผู้อื่นด้วยความเข้าใจ 🧐 ลองแทนตัวเองเป็นเขา
1️⃣3️⃣ คิดว่า…ถ้าเราเป็นเขา เราต้องการอะไร? 🤔 แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
1️⃣4️⃣ ให้โอกาสคนพลาด ได้ปรับปรุงตัว 🔄 ทุกคนมีสิทธิ์แก้ไข
1️⃣5️⃣ อย่าผูกใจเจ็บเป็นเรื่องใหญ่โต 🛑 ปล่อยวางได้ ใจเราก็เบาสบาย
1️⃣6️⃣ มองหาข้อดีของผู้อื่นให้มากขึ้น 👀 อย่ามองแต่จุดด้อย
1️⃣7️⃣ หยุดพูดซ้ำเติมข้อผิดพลาดของคนอื่น ❌🔁 ไม่มีใครอยากถูกขุดอดีต
1️⃣8️⃣ ลดความอยาก ลดความอิจฉา 🍃 ความมักมากนำพาความทุกข์
1️⃣9️⃣ ส่งเสริมเมื่อผู้อื่นทำดี 👍 ชื่นชมอย่างจริงใจ
2️⃣0️⃣ มีความสุขกับความสำเร็จของผู้อื่น 🎉 เพราะความสุขไม่ใช่ของใครคนเดียว
2️⃣1️⃣ ให้อภัย = ลดความระแวง = ชีวิตสงบ 🕊️
2️⃣2️⃣ ไม่เห็นด้วยก็แค่สงบนิ่ง 🤫 บางเรื่องเงียบไว้ดีกว่าพูด
🌟 ใจกว้างขึ้น… ชีวิตก็เบาขึ้น 🌟
ฝึกทุกวัน… ใจเราจะเป็นสุข 💖✨
เรียบเรียง โดย #ฟังนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 14, 2025 8:31 pm

. ( 18 )


นิทาน เรื่อง จดหมายจากครู

วันหนึ่ง...ในวัยเด็ก ท่ามกลางแสงสีทองของยามเย็น เด็กชายกลับมาถึงบ้าน พร้อมจดหมาย
จากครู มือน้อยๆ ของเขาสั่นเล็กน้อย ขณะยื่นจดหมายให้แม่ "แม่ครับ ครูบอกว่าจดหมายฉบับนี้
แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เปิดอ่าน ครูเขียนว่าอะไรหรอครับแม่?" พอแม่ได้เปิดจดหมายออก
สักพักหนึ่ง ก็เกิดสะอึกสะอื้นและน้ำตาคลอขึ้นมา หลังจากนั้นแม่ของเด็กชาย ได้อ่านจดหมาย
ฉบับนั้น ด้วยเสียงที่หนักแน่นให้ลูกฟังว่า..
"ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีพอจะ
สอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง"
ตั้งแต่นั้นมา...
แม่จึงสอนเด็กชายที่บ้านด้วยตัวเอง ทุ่มเททั้งหัวใจให้กับการสอนลูกชาย จนกระทั่งเธอล้มป่วย
และจากไป หลายปีผ่านไป...เด็กชายเติบโตขึ้น เป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แห่งศตวรรษ
ผู้สร้างแสงสว่างให้โลกด้วยหลอดไฟฟ้า และก่อตั้ง General Electric บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
จนวันหนึ่ง
เขาบังเอิญพบจดหมายฉบับนั้น อีกครั้งหนึ่ง ความจริงที่ซ่อนอยู่ก็คือ ครูเขียนว่า...
"ลูกชายของคุณ มีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียน
อีกต่อไปได้" เมื่อเขารู้ความจริง เขาจึงเขียนมันลงในไดอารี่ว่า... "โทมัส เอดิสัน
คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขา คือผู้พลิกชีวิต
ให้เขากลายเป็นอัจฉริยะแห่งศตวรรษ"
--------------------------
คำพูดเชิงบวกเพียงประโยคเดียว ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังเปลี่ยนแปลง
ชีวิตคนได้ทั้งชีวิต เหมือนดั่งเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง ที่งอกงามในใจ ไม่ว่าวันนี้
ชีวิตของคุณมันจะแย่แค่ไหน เจออุปสรรคท้อแท้มากมายเพียงใด จงพูดกับตัวเองว่า
"ชีวิตเราต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน เราจะสำเร็จอย่างแน่นอน" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
--------------------------
เกร็ดประวัติศาสตร์น่าเรียนรู้
-โทมัส เอดิสัน
เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1847
-เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียน ตอนอายุเพียง 7 ขวบ
-แม่ของเขาชื่อ Nancy Matthews Edison
เป็นครูมาก่อน
-เธอสอนเขาที่บ้านเป็นเวลา 12 ปี จนเขาอายุ 19 ปี
-เอดิสันประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำเร็จ ในปี 1879
.
ผลงานสำคัญ ✨
.
-จดสิทธิบัตรกว่า 1,093 ชิ้น
-ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงรายแรกของโลก
-พัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
-คิดค้นกล้องถ่ายภาพยนตร์ต้นแบบ
.
คำคมที่น่าจดจำของเขา "ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่พบวิธีที่ไม่ได้ผล 10,000 วิธี"
"พรสวรรค์หรืออัจฉริยะ คือ 1% ความพยายาม และหยาดเหงื่อ คือ 99%" ✨
Cr : Fw Line
~~~~~~~~~~~~~~~~~
วันนี้เป็นวันก่อนวันขึ้นปีใหม่ไทย
ป้าขอนำนิทานประวัติบุคคลสำคัญของโลก
คือ Thomas Edison มาฝาก เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
แก่คนที่ยังอยู่ในวังวนของความล้มเหลว ได้มีแรงสู้ต่อนะคะ
ไม่ว่าใครจะมองเราอย่างไร แต่ถ้าตัวเรามองว่า...
"ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะยังอยู่ในเส้นทาง
ของการเรียนรู้วิธีที่ไม่ได้ผล ก็เท่านั้นเอง
ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่ล้มเลิก ก็มีโอกาสได้พบวิธีการที่ได้ผล
และนั่นคือ จุดที่จะได้พบความสำเร็จ" และถ้าเราเป็นคนสำคัญในชีวิต
ของใครบางคน จงใช้คำพูด ที่เป็นกำลังใจ และสร้างสรรค์ ให้คนๆ นั้น
ประสบความสำเร็จในชีวิต อย่าตัดสินใครง่ายๆ จากสายตา
ที่มองเห็นเพียงภายนอก จะดีแค่ไหนที่คำพูดของเรา
ช่วยขับเคลื่อนชีวิตคนหนึ่งคน ให้ประสบความสำเร็จ
และเขาจดจำคำพูดของเราได้ ว่าเพราะคำพูดของเรา
ทำให้เขามีแรงใจแรงกายต่อสู้ จนสำเร็จได้
**อย่ายอมจำนน เพราะคำพูดของใคร และไม่ใช้คำพูดใด ไปตัดสินใคร**

#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 16, 2025 7:33 pm

( 19 )

"คุณแม่ครับ ทำไมต้นไม้ใหญ่ที่หน้าบ้านเราถึงหายไปล่ะครับ?" เด็กชายวัยห้าขวบถามแม่
ขณะที่เขากำลังจ้องมองพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าบ้าน 👦
"เพราะว่า... มันแก่แล้วลูก พ่อเลยต้องตัดมันทิ้ง" แม่ตอบเบาๆ พลางลูบศีรษะลูกชาย
"แต่มันเป็นบ้านของนกตัวน้อยนะครับ" เด็กน้อยน้ำตาเริ่มคลอเบ้า "แล้วตอนนี้พวกมัน
จะไปอยู่ที่ไหน?" 🐦💔

คำถามของลูกทำให้หญิงสาวชะงัก เธอนึกถึงเสียงร้องของฝูงนกที่บินวนเวียนอยู่หลาย
ชั่วโมงหลังจากต้นไม้ถูกโค่น

...คืนต่อมา ขณะที่แม่กำลังเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง จู่ๆ เด็กชายก็พูดขึ้นว่า 📖✨
"แม่ครับ เมื่อคืนผมฝันว่าต้นไม้ใหญ่มาคุยกับผม" "มันพูดว่ายังไงเหรอจ๊ะ?"
"มันบอกว่า... มันไม่เคยโกรธที่เราตัดมันลง เพราะมันเข้าใจว่าคนเราต้องการพื้นที่"
เด็กชายเล่าเสียงเบา "แต่มันอยากฝากบอกว่า ถ้าเราตัดต้นไม้หนึ่งต้น เราควรปลูก
อีกสองต้นแทน" 🌱🌱

...แม่นิ่งไป เธอนึกถึงคำพูดของสามีที่บอกว่าต้องการพื้นที่จอดรถเพิ่ม
"แล้วต้นไม้พูดอะไรอีกไหมลูก?"
"มันบอกว่า... มันอยู่ตรงนี้มานานมาก ตั้งแต่คุณยายยังเด็กๆ มันเห็นทุกคนเติบโต
เห็นบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้น" เด็กชายหยุดคิด "มันบอกว่ามันไม่เคยเรียกร้องอะไร
นอกจากขอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา" 👨‍👩‍👦
น้ำตาของแม่เริ่มไหล เธอกอดลูกชายแน่น 🤗

...วันรุ่งขึ้น แม่พาลูกชายไปที่สวนพฤกษศาสตร์ เลือกต้นไม้พันธุ์พื้นเมืองสองต้น 🌿

"เราจะปลูกต้นไม้พวกนี้ที่สวนหลังบ้านนะลูก" เธอบอก "แม่อยากให้ลูกโตขึ้น
มาพร้อมกับพวกมัน" "แล้วพ่อจะว่าไหมครับ?"
"ไม่หรอกจ้ะ" เธอยิ้ม "พ่อแค่ต้องการที่จอดรถ แต่เราก็ต้องการออกซิเจนหายใจเหมือนกัน" 😊

...ขณะที่ทั้งสองช่วยกันปลูกต้นไม้ ฝูงนกกลุ่มเล็กๆ บินวนเวียนมาเกาะที่กิ่งไม้ใกล้ๆ 🐦✨
"แม่ครับ ดูนกพวกนั้นสิ!" เด็กชายชี้ขึ้นไป "ผมว่าพวกมันมาขอบคุณเราที่สร้างบ้านใหม่ให้"
แม่มองตามนิ้วชี้ของลูก เห็นนกตัวน้อยกำลังคาบกิ่งไม้บินวนไปมา เธอนึกถึงคำที่เคยได้ยินว่า
"ธรรมชาติไม่เคยทวงคืน แต่เราต่างหากที่ควรรู้จักการให้กลับ" 🌿💝

...ผ่านไปสิบปี ต้นไม้ทั้งสองต้นเติบใหญ่ กิ่งก้านแผ่ขยายให้ร่มเงา มีรังนกหลายรังอยู่บนนั้น
เด็กชายคนเดิมที่ตอนนี้โตเป็นหนุ่มน้อยชอบนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้พวกนั้น 📚🌳
วันหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเหล่านกที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข แล้วพูดเบาๆ ว่า
"บางทีการที่เราให้พื้นที่เล็กๆ แก่ธรรมชาติ ก็เหมือนการที่เรากำลังสร้างพื้นที่ในหัวใจ
ให้กับความเมตตา" 💚

...เสียงหัวเราะของแม่ดังมาจากระเบียง "นั่นเป็นคำพูดที่สวยงามมากลูก"
"ผมเรียนรู้มันจากแม่นะครับ" เขายิ้ม "จากวันที่แม่สอนว่า บางครั้งการสูญเสียอะไรไป
ก็อาจนำมาซึ่งการได้บางสิ่งที่มีค่ากว่ากลับคืนมา" ✨ลมพัดผ่านกิ่งไม้ ใบไม้ไหวเอน
คล้ายกำลังพยักหน้าเห็นด้วย ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนสดใสด้วยแสงแดดอ่อนๆ
และเสียงร้องของนกน้อย... เหมือนทุกอย่างกำลังกระซิบบอกว่า 🍃☀️

ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง มีแต่สิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติ และหน้าที่
ของเราคือการดูแลรักษามันไว้ให้ดีที่สุด เผื่อแผ่ความรักและความเมตตาไปยังทุกสรรพชีวิต 🌏💫

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสายใยชีวิตอันยิ่งใหญ่เดียวกัน 🌈✨

นิทานใจ.
ตอบกลับโพส