ช่วงเวลาที่ถือว่ามีความสำคัญและมีความเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าพุทธศาสนามากที่สุดช่วงหนึ่งก็คือช่วงเวลาที่ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ทรงผนวชไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุตขึ้น หากแต่ยังทรงตั้งขนบธรรมเนียมทางวินัยปฏิบัติและการทำกิจวัตรต่างๆ หนึ่งในประเด็นหลักที่บทความนี้จะพูดถึงก็คือ “ธรรมเนียมการทำวัตร” ประเด็นนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือถกเถียงและอภิปรายกันเป็นวงกว้างเหมือนกับประเด็นอื่นๆ ในวงวิชาการเท่าไรนัก ทั้งยังถูกลดความสำคัญลงไม่เพียงแต่ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาที่เป็นคฤหัสถ์แต่ยังรวมไปถึง “คนใน” ที่เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาอีกด้วยความ (ไม่) รู้ และความ (ไม่) เข้าใจต่อธรรมเนียมการทำวัตรที่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของพุทธแบบไทยในเวลาต่อมา ประเด็นก็คือ หากมีการทำวัตรมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจริงรูปแบบการทำวัตรในสมัยนั้นมีลักษณะอย่างไร
ขอเริ่มต้นด้วยมโนทัศน์ที่เกี่ยวกับ “ศาสนา” ในสายตาของนักวิชาการตะวันตกและตะวันออก ประเด็นนี้มิได้เป็นประเด็นหลักของบทความ ทว่าความ (ไม่) รู้และความ (ไม่) เข้าใจกลับเป็นประเด็นที่สร้างปัญหาอยู่ไม่น้อย เช่นเป็นต้นว่า “ศาสนา” คืออะไรกันแน่? คำว่า “ศาสนา” ในภาษาไทยมาจากรากศัพท์ภาษาบาลี-สันสกฤตหมายถึงหลักคำสอนของพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ พุทธศาสนาในความรับรู้ของคนไทยจึงหมายถึงศาสนาที่แสดงด้วยคำสอนหรือการสอนที่มีแต่การเรียนรู้และการปฏิบัติที่มิได้มีนัยอะไรมากไปกว่านั้น
ในขณะที่ “religion” มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน “religio” คำนี้มีนัยของพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นสำคัญโดยที่แยกไม่ออกจากความศรัทธา (faith) ใน “พระผู้เป็นเจ้า” (God) religion ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า “lig” “legere” นั้น ย่อมหมายถึงการศึกษาและการอ่าน ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีตัวอักษร ศาสนาในความหมายแบบนี้จึงเป็นศาสนาในแบบของการอ่านตัวบท คำว่า religio จึงมีความสัมพันธ์กับศาสนาแบบเอกเทวนิยมที่เน้นความสำคัญของพระคัมภีร์เป็นอย่างยิ่ง (ธเนศ วงศ์ยานนาวา, 2562, น. 50)
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งพุทธและคริสต์ศาสนาต่างมีขนบธรรมเนียมการทำวัตร ขนบธรรมเนียมแม้ว่า กรอบคิดทางศาสนาจะแตกต่างกัน คำว่า “ทำวัตร” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึงกระทำกิจที่พึงกระทำตามหน้าที่หรือธรรมเนียม เช่น ไหว้พระสวดมนต์เช้า-ค่ำของพุทธบริษัท หรือทำวัตรพระและทำสามีจิกรรมตามธรรมเนียมของพระภิกษุ เช่น ก่อนเข้าพรรษาพระภิกษุต้องไปทำวัตรพระอุปัชฌาย์ ที่อยู่ ต่างจังหวัด คำว่า “สวด” เป็นคำกริยา หมายถึง ว่าหรือกล่าวเป็นทำนองอย่างพระสวดมนต์ เช่น สวดสังคหะ สวดพระอภิธรรม อีกความหมายหนึ่งคือ นินทาว่าร้ายดุด่าว่ากล่าวเช่น ถูกแม่สวด ส่วนคำว่า “มนต์” เป็นคำนาม หมายถึง คำศักดิ์สิทธิ์คำสำหรับสวดเพื่อเป็นสิริมงคล เช่น สวดมนต์คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ร่ายมนตร์ เวทมนตร์. (ป. มนุต; ส. มนุตร)
ในทางคริสตศาสนา การทำวัตรมีคำที่ใช้เรียกอยู่หลายคำในภาษาตะวันตกซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์หรืออิงแอบอยู่พระผู้เป็นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Liturgy of Hours หรือ Liturgia Horarum ในภาษาละติน หมายถึงรูปแบบการภาวนาหรือที่มีการกำหนดโมงยามที่ต้องสวดคำว่า Liturgy มาจากภาษากรีกหมายถึงการภาวนาร่วมกันเป็นหมู่คณะ คำว่า Work of God หรือ Opus Dei ในภาษาละติน หมายถึง งานของพระเจ้า คำว่า Divine Office หรือ Officium Divinum ในภาษาละติน หมายถึงสำนักงานพระเจ้าหรือการทำวัตร คำว่า Canonical Hours หมายถึง ชั่วโมงตามบัญญัติ (โปรดดูเพิ่มเติมใน Liturgy of hours)
การทำวัตรของคริสต์อาจเริ่มต้นจากอารามนักบวช มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 4 ในแถบดินแดนตะวันออกกลาง โดยการจำศีลภาวนาไม่ยุ่งกับผู้คน อยู่ในที่ห่างไกล ภาวนาโดยใช้หนังสือเพลงสดุดี ทั้งหมดของดาวิด (David) ในเวลาต่อมา ก็มีนักบุญเบเนดิกต์ (Saint Benedict) เริ่มศึกษารูปแบบอารามในตะวันออกกลาง แล้วสร้างอารามในยุโรป และได้เริ่มแต่งหนังสือสวดทำวัตร ซึ่งใช้กันแพร่หลายมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 10
ในสมัยพุทธกาลไม่ปรากฏหลักฐานการทำวัตร หากแต่ใน “สังคีติสูตร” (ทีฆนิกายปาฏิกวรรค ข้อ 221-363) ได้กล่าวเอาไว้ว่า ได้มีพระสาวกมาประชุมกันขบคิดที่จะรวบรวมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นพระสูตรต่างๆ เพื่อใช้ท่องและสวดก่อนที่พระองค์จะเสด็จปรินิพพานอย่างน้อยก็เพื่อรักษาพระพุทธวจนะของพระองค์ให้สืบไป ด้านหนึ่งก็เพื่อยืนกรานถึงความเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ ศาสนาที่มีพระศาสดาและคำสั่งสอน ซึ่งแตกต่างจากศาสนาอื่น (ในกรณีนี้คือ นิครนถ์นาฏบุตร) ที่เมื่อพระศาสดาสิ้นลง สาวกก็ได้ต่างพากันแตกแยก จนในที่สุดไม่มีหลักคำสอนที่จะสืบทอดไป อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในสังคีติสูตรก็อาจจะเกิดข้อสงสัยได้เหมือนกันว่าพระสูตรต่างๆ ที่ปรากฏนั้นมีการสวดกันในลักษณะใด หรือมีการปรับแต่งเพิ่มเติมหรือไม่ (ชวนให้คิดต่อไปได้เหมือนกันว่า อาจเป็นการอ้างพระไตรปิฎกที่มีมาเมื่อครั้งพุทธกาลก็เป็นได้)
อย่างไรก็ดี เมื่อพุทธศาสนาเดินทางมาเข้ายังดินแดนสุวรรณภูมิ ในสมัยอยุธยาตอนต้นหรือก่อนหน้านั้น วัดพุทธจะให้ความสำคัญกับพระสถูปหรือพระเจดีย์เป็นสำคัญซึ่งก็เหมือนกันกับในล้งแก ในแง่นี้ หากมีการสวดมนต์ทำวัตร (จริง) ก็ยิ่งชวนให้สงสัยว่าเราสวดเพื่อระลึกถึงใคร "พระผู้มีพระภาคเจ้า" หรือ "พระสถูปเจดีย์” กระทั่งเมื่อเข้าสู่สมัยอยุธยาตอนกลางเป็นต้นมา วัดพุทธหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธรูปแทน ทำให้พระเจดีย์ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นหัวใจหลักของการเคารพไหว้ กลายเป็นเพียงไม้ประดับที่มีประโยชน์เพียงเก็บพระอัฐิหรือเถ้ากระดูก แสดงให้เห็นถึงพลวัตของหลักคำสอนหรือความเชื่อที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเรื่อยมา
การสวดมนต์ในสมัยก่อน พระสงฆ์มักจะสวดในเวลาเย็นของทุกวัน โดยเริ่มตั้งเวลาเหนึ่งทุ่มครึ่ง เป็นต้นไป การสวดมนต์เวลาค่ำนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สวดสาธยายพระธรรม” นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมของสงฆ์อีกอย่างหนึ่งในเวลาเช้าของแต่ละวัน คือเมื่อพระสงฆ์ฉันอาหารเช้าเรียบร้อย ราวสองโมงครึ่งเช้า (08.30) พระสงฆ์และสามเณร “ทำวัตร” การทำวัตรเช้านี้มีบทสวดนอกจากบททำวัตรโดยเฉพาะ นั่นคือบทสวด “อภิณหปัจจเวกขณะ” เข้าต่อท้ายบททำวัตรทำนองสวดมนต์ (เริง อรรถวิบูลย์, 2514, น. 26 และ 30)
ในเอกสารตะวันตก ลา ลูแบร์ ได้กล่าวไว้ว่า “พระสงฆ์เมื่อตื่นจากจำวัดแล้ว พระภิกษุทั้งหลายก็ตามเจ้าอธิการ (เจ้าอาวาส) ไปลงพระอุโบสถเป็นเวลาสองชั่วโมง ที่นั่นท่านสวดมนต์เป็นภาษาบาลี และข้อความท่านสวดนั้นจารอยู่บนใบไม้ขนาดค่อนข้างยาว (ใบลาน) และผูกติดกันไว้ทางปลายด้านหนึ่ง ประชาชนไม่มีหนังสือสำหรับสวดมนต์วิงวอนพระเจ้า (เหมือนอย่างของฝรั่ง) เลย อิริยาบถของพระภิกษุเพลาสาธยายมนต์คือนั่งพับเพียบ และโบกตาลปัตรหรือพัดซึ่งโยกไปมาตามแต่พยางค์ที่ท่านกล่าวออกมา ท่านสวดพร้อมๆกันและด้วยระดับเสียงเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการสวดมนต์ในตอนเย็นเป็นเวลาสองชั่วโมงเหมือนกับตอนเช้า...”
ตามความเชื่อของคนโบราณถือกันว่าผู้ที่จะอุปสมบทใหม่จะต้องท่องจำบททำวัตรตามความเชื่อของพระ บทสวดมนต์อภิณหปัจจเวกขณะและท่องบทพระอภิธรรมให้ได้ก่อนในพรรษาที่ 1 และพรรษาที่ 2 ต้องท่องจำบทสวดมนต์ที่เรียกว่า “พระปริตร” ให้ได้และในพรรษาที่ 3-4 ต้อง ท่องจำบทสวดมนต์ที่เรียกว่า “ภาณวาร” รวมถึงบทสวดมนต์ที่เรียกกันว่า “ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร” และ “มหาสมัยสูตร” ได้ ในพรรษาที่ 5 จะต้องท่องจำสวดปาฏิโมกข์อันเป็นหลักพระวินัยของสงฆ์ให้ได้ ขนบดังกล่าวนี้ได้ใช้กันสืบมาเนืองๆ สวดมนต์ที่เรียกว่า “สวดบทภาณวาร” ลักษณะเฉพาะของการสวดภาณวารนั้นใช้พระสงฆ์จำนวน 5 รูป นั่งบนเตียงหรือตั่งเพียง 4 อีกรูปหนึ่งนั่งต่างหาก มิได้ออกเสียงสวด นั่งเป็นทำนองกำกับพระที่สวด 4 รูปนั้น อาการกิริยาที่นั่งแบบนี้ต่อมาภายหลังเรียกว่า “นั่งปรก” และถ้าเป็นงานพระราชพิธี พระสงฆ์ที่ที่อาราธนาสวดนั้นต้องมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ การสวดเดิมใช้เวลา 3 วัน วันละ 1 สำรับ ขึ้นนั่งสวด 4 รูป สวดครั้งละ 2 รูป ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไป (เชิงอรรถ วิบูลย์, 2514)
นอกจากนี้ ยังมีการสวดอีกอย่างหนึ่งคือนิมนต์พระจำนวน 5 รูปหรือ 7 รูปบ้าง ไปสวดมนต์เพื่อความคุ้มครองป้องกันอันตราย การสวดในลักษณะนี้เรียกว่า “สวดพระปริต” ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า ได้เกิดโรคห่าขึ้นในเมืองไพศาลี พระอานนท์จึงเข้าไปสวดสาธยายบทรัตนสูตร โรคนั้นก็หายไป” อาการที่พระสงฆ์สวดสวดบทรัตนสูตรนี้ก็หมายความว่าสวดสาธยายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวคือหากเจ้าภาพอาราธนาพระสงฆ์สวดมนต์ในงานมงคล พระสงฆ์ก็สวดสาธยายมงคลสูตร หากเจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์เกี่ยวกับการบำรุงขวัญคนเจ็บป่วย พระสงฆ์ก็ใช้บทสวดมนต์ที่เรียกว่า “โพชฌงค์” นอกจากนี้ ยังมีบทสวดมนต์ที่พระสงฆ์ใช้สวดอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการศพโดยเฉพาะแต่ไม่เรียกว่าสวดมนต์ นิยมเรียกว่า “สวดพระอภิธรรม” (เริง อรรถวิบูลย์, 2514)
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองคริสตศาสนาคาทอลิกเริ่มเข้ามาในสยามอันเป็นผลจากการที่ชาติต่างๆ ในยุโรปต่างพากันเข้าสำรวจ ยึดครองพื้นที่ และตั้งถิ่นฐาน ภายใต้ระบบอาณานิคม (colonialism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาทหลวงคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสจากฝรั่งเศส (Missions Etrangères de Paris) ที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนเพื่อเข้ามาเผยแผ่ศาสนาและต้องการปรับเปลี่ยนศาสนาของผู้คน รวมไปถึงสร้างพระศาสนจักรคาทอลิกในท้องถิ่นและบุคลากรพื้นเมือง
วิธีการเผยแผ่หลักคำสอนที่บรรดาบาทหลวงใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีนัยในช่วงเวลานี้ก็คือ การเข้าหากษัตริย์ เพราะมิชชันนารีฝรั่งเศสพยายามชักชวนพระนารายณ์ให้เปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิกทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าเฝ้า มิชชันนารีเหล่านี้ยอมเป็นสื่อทางการทูต เพราะคิดว่าถ้ามีการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสยามกับฝรั่งเศสน่าจะช่วยให้พระนารายณ์เอนเอียงเข้ามารับคาทอลิกง่ายขึ้น ในจดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวง ตาชารด์ ได้แสดงถึงเจตจำนงค์นี้ไว้อย่างชัดเจน ท่านบันทึกไว้เมื่อครั้งเดินทางมาถึงราชอาณาจักรสยามว่า
“ม.ก็องสตังซ์...มาพบ ฯพณฯ ตามพระกระแสรับสั่งใช้ หลังจากได้โอภาปราศรัยกัน ตามสมควรแล้ว ม.เดอ โชมองต์ก็หันไปสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการแปลงศาสนาของพระเจ้าแผ่นดิน อันเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการแต่งทูตมาในครั้งนี้” นอกจากนั้นความตั้งใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อของพระนารายณ์ให้เป็นคาทอลิก ยังปรากฏอย่างชัดเจนมากในคำกราบทูลของราชทูต เชอวาลิเอร์ เดอ โซมองต์ในปี ค.ศ. 1685 เพื่อชักชวนพระนารายณ์ให้เปลี่ยนศาสนา ส่วนหนึ่งมีใจความดังนี้ “หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) จักทรงเห็นพระผู้เป็นเจ้าได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ถ้าจะทรงพระกรุณารับคำชี้แจงสักไม่กี่เพลาจากบรรดามุขนายกมิซซัง และพระบาทหลวงมิซซังอื่นๆ ซึ่งอยู่ ณ ที่นี้ข่าวดีอันยอดยิ่ง ที่ข้าพระพุทธเจ้าจักพึงนำกลับไปกราบถวายบังคมทูลพระยาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวามินทร์ของข้าพระพุทธเจ้า (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ก็คือ ข่าวที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงมีความเชื่อถือในพระสัจจธรรม และทรงศึกษาพระคริสตศาสนาอยู่”
อีกวิธีการหนึ่งที่ใช้ก็คือการเข้าหาผู้คน มิชชันนารีฝรั่งเศสต่างพากันเข้าหาผู้คนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือการวิพากษ์พุทธศาสนา เพราะมองว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่งมงาย มิชชันนารีมักจะใช้เวลาถกเถียงเรื่องศาสนากับพระสงฆ์เสมอ แม้ว่า สมณะกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ แนะนำมิชชันนารีไม่ให้วิจารณ์วิถีชีวิตและความเชื่อของชาวพื้นเมือง แต่อนุญาตให้แปลหนังสือต่างๆของศาสนาคริสต์เป็นภาษาพื้นเมืองและให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาทั้งทางศาสนาและวิทยาการ ส่วนการเผยแพร่ทางอ้อม ก็คือ การตั้งโรงเรียนเพื่อสอนหลักคำสอนของคาทอลิก และวิชาดาราศาสตร์นอกจากนั้นมิชชันนารียังได้ตั้งโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนเจ็บโดยไม่คิดมูลค่าใดๆ มิชชันนารีได้สร้างโรงทานเพื่อเลี้ยงคนยากจน สร้างป้อมปราการตามรับสั่งของพระนารายณ์เนื่องจากมิชชันนารีฝรั่งเศสหลายท่านมีความชำนาญด้านวิศวกร และยังทำพันธกิจกับคนคุกด้วย การเผยแพร่ทางอ้อมโดยการช่วยเหลือสังคมไทยเป็นสิ่งที่พระนารายณ์และชาวสยามต่างชื่นชมและยอมรับ
หนึ่งในบาทหลวงของคณะมิสซังที่มีบทบาทสำคัญต่อการเผยแผ่คริสต์ศาสนาในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็คือบาทหลวงหลุยส์ ลาโน (Mgr. Louis Lanau) บทบาทที่โดดเด่นที่สุด คือ ท่านก็คือการแปลพระคัมภีร์และหนังสือสวดมนต์สำหรับทำวัตรสวดมนต์จากภาษาละตินเป็นภาษาสยามรวมไปถึงแต่งหนังสือคำสอน (catechism) ซึ่งได้ประยุกต์ให้เข้ากับ หลักความเชื่อของศาสนาดั้งเดิมของชาวสยาม นอกจากนี้ ยังได้แต่งหนังสือประเภทหลักภาษา ไวยากรณ์ และพจนานุกรม รวมทั้งสิ้น 26 เล่มอีก ด้วยความรู้และเข้าใจในภาษาสยามรวมถึงภาษาบาลีอย่างแตกฉาน ทั้งยังเป็น” หัวหอกหลัก” ของการเผยแผ่คริสตศาสนาคาทอลิกในดินแดนอื่นนอกจากราชอาณาจักรอยุธยา และยังเป็น “คนสนิท” ที่พระนารายณ์ทรงไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่งถึงกับให้เสด็จเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์บ่อยครั้งที่เมืองละโว้ ทำให้บาทหลวงลาโนได้รับสมณศักดิ์ ที่ “พระธรรมสาคร” นับเป็นบาทหลวงเพียงองค์แรกและองค์เดียวที่ได้รับสมณศักดิ์ในลักษณะเดียวกันกับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์สยาม
ความสนใจพระทัยต่อศาสนาคาทอลิกของพระนารายณ์ไม่เพียงแต่โปรดปรานบาทหลวงคณะมิสซังต่างประเทศ หากแต่ยังโปรดปรานวิทยาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในตอนนั้นอย่างดาราศาสตร์ ซึ่งบาทหลวงคณะเยซูอิตของฝรั่งเศสเป็นผู้ที่นำความรู้ดังกล่าวเข้ามาในสยาม พระนารายณ์ถึงกับพระราชทานที่ดินและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โปรดให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ละโว้ สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกในเอกสารชั้นต้นของฝรั่งเศสว่า “วิทยาลัยแห่งเมืองละโว้” ที่น่าสนใจก็คือที่หอดูดาวมีโรงสวดซึ่งเป็นสถานที่สำหรับสวดมนต์ทำวัตรของพวกบาทหลวง ยิ่งไปกว่านั้น พระนารายณ์ยังโปรดให้สร้างโบสถ์ขึ้นอีกหนึ่งหลังให้กับบาทหลวงใช้สำหรับปฏิบัติศาสนกิจอีกด้วย
นอกจากนี้ ในบันทึกของบาทหลวง ฌาคแตสซีเยร์เดอ เกราเลย์ ยังได้กล่าวว่า “มีชาวสยามบางคนสนใจศาสนาคริสต์ บาทหลวงเดอ ซีเซ เคยโปรดศีลล้างบาปให้บางคนอย่างลับๆ ในช่วง ค.ศ. 1668-1736 และยังมีเจ้าฟ้าชายและหญิงบางพระองค์มาดูการ สวดทำวัตรเย็นและพิธีอวยพรศีลมหาสนิทที่วัดนักบุญยอแซฟ ณ กรุงศรีอยุธยา เจ้าฟ้าพระองค์หนึ่งทรงขอยืมหนังสือที่ใช้สอนศาสนา ซึ่งในเวลานั้นมีเพียงหนังสือของคุณพ่อลาโน ทว่าคุณพ่อ เดอ เกราเลย์ไม่เต็มใจให้ยืม ทางราชสำนักได้ทำการยึดหนังสือไป ในจำนวนนั้นมีหนังสือโต้แย้งพุทธศาสนาอยู่ 2 เล่มนอกเหนือจากหนังสือภาวนาซึ่งเป็นหนังสือเล่มหลักที่บรรดาคริสตชนใช้สวดมนต์ทำวัตรเช้า-ค่ำ ทางราชสำนักได้อ่านแล้วทรงโกรธเคืองมากออกญาพระคลังได้เรียกคุณพ่อเดอ เกราเลย์ ไปยังราชสำนักและถามพระคุณเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยใยดีเสียเท่าไรนัก ในที่สุด ออกญาพระคลังในนามของพระเจ้าท้ายสระได้ประกาศข้อห้าม 4 ประการ ซึ่งต่อมาได้ติดประกาศไว้หน้าวัดที่กรุงศรีฯ ว่า
1. ห้ามเขียนหนังสือศาสนาโดยใช้อักษรสยามหรือบาลี
2. ห้ามเทศนาให้ชาวสยาม มอญ และลาว ฟัง
3. ห้ามเชิญชวนชาติเหล่านี้เข้าศาสนาคริสต์
4. ห้ามวิจารณ์ศาสนาของชาวสยาม
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อคุณพ่อเดอ เกราเลย์ได้ออกนอกราชอาณาจักรอยุธยา กิจการทางศาสนาคริสต์ก็ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่พบการแต่งหรือเขียนหนังสือที่ใช้สอนในมิสซัง แต่กลับพบใบลานที่จารด้วยภาษาสยามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำสวดบ้าง หรือพระสูตรบางบทที่พบในพระไตรปิฎกบ้าง รวมถึงบทสวดที่รำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับหนังสือสวดมนต์ของคริสต์ศาสนาเป็นอย่างมาก ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระเรื่อยไปจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ข้อห้ามที่กล่าวมาข้างต้นไม่เคยถูกถอน และยังมีผลบังคับใช้สืบเนื่องไปจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อห้ามที่มีผลสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ทว่าศาสนาคาทอลิกกลับทำหนังสือภาวนาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สวดมนต์ทำวัตร บ้างก็นำหนังสือสอนที่ใช้สั่งสอนคริสตศาสนามาปรับใช้กับการทำวัตร ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าบาทหลวงการ์โนลต์เป็นผู้แต่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่บาทหลวงปาเลอกัวซ์จะเป็นคนแรกที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวอย่างเปิดเผย
จะเห็นว่าการทำวัตรสวดมนต์ของศาสนาคริสต์ในสมัยอยุธยาแม้ไม่อาจทราบได้ว่า กระทำหรือปฏิบัติในช่วงใดบ้าง ทราบแต่เพียงกระทำกันภายในโบสถ์ และจากหลักฐานที่ปรากฏว่า มีการทำหนังสือสวดมนต์ด้วยภาษาสยามขึ้นแล้วนั้น เชื่อได้ว่าการทำวัตรสวดของศาสนาคริสต์ได้เริ่มขึ้นเมื่อครั้งที่บาทหลวงลาโนแปลและทำหนังสือสวดมนต์ภาษาสยามแล้วตรงข้ามกับการทำวัตรของศาสนาพุทธแม้จะพบว่ามีการสวดมนต์ที่เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสมัยอยุธยา แต่ก็เป็นเพียงรูปแบบการสวดต่างกรรมต่างวาระที่พระสงฆ์สวด หรือแม้แต่มีการสวดมนต์ในพระอุโบสถ ก็เป็นเพียงการท่องจำจากสิ่งที่ปรากฏในใบลานที่เขียนขึ้นด้วยภาษาบาลีซึ่งเป็นสิ่งเข้าใจได้ยากในหมู่ชาวบ้าน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีหนังสือสวดมนต์ที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
ความอิหลักอิเหลื่อของการทำวัตรสวดมนต์ยังปรากฏให้เห็นได้ในการสวดพระปริตร โดยที่คฤหัสถ์เป็นผู้นำสวดแตกต่างจากในอดีตเกิดขึ้นในสมัยสมัยรัชกาลที่ 2 ในจดหมายเหตุยุครัตนโกสินทร์ได้กล่าวว่า
“ณ วันศุกร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 6” ปัจจุบันกาล เกิดมรณะสงครามยุทธ เพียงแผ่นดินจะทรุดถล่มด้วยลมพายุไข้วิบัติเปลือง ฝุ่นเมืองม้วยพินาศ รอดชีวาตม์ด้วยเทววงศ์ ดำรงพระปัฐพินปิ่นสุธาโลก ดับโรคระงับเข็ญ กลับชุ่มเย็นระงับร้อน ผ่อนถึงพรหมลิขิต...”
ข้อความที่ปรากฏนี้คือเกิดเหตุการณ์อหิวาตกโรคอย่างรุนแรง บางแห่งว่าปีมะโรงต่อโยงกับปีมะเส็ง ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 เวลาค่ำยามเศษ ทิศพายัพเห็นเป็นแสงไฟจับอากาศ หมา คน เป็นโรคลงรากตายมาก พระยาสมุทร หนีจากเมือง วันจันทร์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 7 รับสั่งให้ยิงปืนอัตนา รุ่งขึ้นวันอังคาร แห่พระประน้ำประทราย คนแห่ตายมาก พระสงฆ์หนีจากวัด คฤหัสถ์หนีจากบ้าน ตาย 30,000 คน จึงมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้รื้อฟื้นยกสังคายนาสวดมนต์ ซึ่งเข้าใจว่าเปลี่ยนรูปแบบการสวดมนต์ โดยพระองค์ (รัชกาลที่ 2) โปรดให้ข้าราชการฝ่ายในสวดมนต์ที่หอพระและที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณทุกวัน สวดเหมือนอย่างที่พระสงฆ์สวดและให้สวดตั้งแต่ภาณต้นจนถึงอาฏานาฏิยสูตร ไม่เพียงแต่สวดธรรมดา แต่ยังมีสวดขัดตำนานด้วยจนถึงกับโปรดเกล้าฯ ให้สวดให้พระสงฆ์ฟังด้วย ทั้งยังรับสั่งให้สวดเพราะๆ ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบต่อไป อนึ่ง การให้คฤหัสถ์สวดมนต์มีจนถึงรัชกาล ที่ 3 (เริง อรรถวิบูลย์, 2514)
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตถึงการส่งผ่านความคิดที่มีความสืบเนื่องกันของบาทหลวงคาทอลิกฝรั่งเศสที่เข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยาเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นผลมาจากการแปลคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเดิมและใหม่ของศาสนาคริสต์ หนังสือสวดมนต์ที่ใช้สำหรับทำวัตร หนังสือประวัติศาสนาคริสต์ จากภาษาละตินเป็นภาษาสยาม รวมไปถึงการแต่งหนังสือคำสอนศาสนาคริสต์ที่ดัดแปลงให้เข้ากับผู้คนในสยาม รวมไปถึงการทำพจนานุกรม ถือเป็นการช่วงชิงนิยามและความหมายของคำที่ใช้ซึ่งถูกกำหนดโดยบรรดาบาทหลวง จนกลายเป็น “ขนบ” และระเบียบแบบแผนของบาทหลวงรุ่นหลังที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา
ในทางกลับกัน อย่างที่ทราบกันดี ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการสังคายนาพระไตรปิฎก บทสวดมนต์ต่างๆที่ใช้เมื่อครั้งสมัยอยุธยาก็ยังเป็นภาษามคธ ยังไม่มีการแปลการแปลพระไตรปิฎกหรือบทสวดมนต์ใดๆ จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย กระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเริ่มมีการแปลพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้ที่ศึกษาและสนใจ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นคณะสงฆ์ให้เอาใจใส่ในการศึกษาแปลคัมภีร์พระไตรปิฎก จึงทรงโปรดเกล้าฯให้วางฎีกาแก่พระเถระผู้ต้องถวายกัณฑ์เทศก์เป็นเวร กำหนดให้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นตอนๆ แล้วเทศก์ไปตามคัมภีร์ (ชคัตตรัย แสงอรุณ, 2561, น. 85) ในแง่นี้ ชวนให้คิดต่อไปได้อีกก็คือการที่ชนชั้นนำสยามหรือแม้แต่พระเถระที่มีความรู้ในภาษาบาลีไม่แปลพระไตรปิฎกหรือหนังสือสวดมนต์เป็นภาษาไทยนั้นมาจากสาเหตุใด อนึ่ง การสังคายนาหรือแต่งเติมพระไตรปิฎกตามอุดมการณ์ของการส่งเสริมพุทธศาสนายังสอดคล้องกับหลักการของ “คณะธรรมยุต”
ใครลอกใคร : พินิจธรรมเนียมทำวัตรของพุทธ-คริสต์ โดย สุรัตน์ สกุลคู
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสนอไว้ในงานชิ้นสำคัญ “ปากไก่และใบเรือ” ว่าการเปลี่ยนแปลงของขบวนการปฏิรูปศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นเกิดจากปัจจัยภายในของสังคมไทยเอง ไม่ได้เกิดจากการรับแนวคิดตะวันตก ในขณะที่พงศธรและชาญณรงค์ต่างให้ความสำคัญกับอีกปัจจัยหนึ่งที่นิธิไม่ได้กล่าวถึงคือความเชื่อในหมู่พระสงฆ์ของไทยเอง ถึงความสำคัญของศาสนวงศ์ของลังกาอันเป็นต้นทางของสมณวงศ์นิกายเถรวาท
ในแง่นี้ ผู้เขียนมิได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของ นิธิ ทั้งหมด ผู้เขียนยังกลับมองว่าปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกายขึ้นได้นั้นเป็นผลมาจากการรับแนวคิดตะวันตก โดยเฉพาะจากคณะบาทหลวงและคณะมิชชันนารีด้วย ข้อเท็จจริงในประเด็นนี้พิจารณาได้จากวชิรญาณภิกขุได้ทรงกล่าวกับมิชชันนารีที่พำนักอยู่ในสยามว่า “วัตรปฏิบัติของสงฆ์ ภายใต้การนำของพระองค์กับพระสงฆ์ที่มีอยู่เดิม หากนำมาเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์ก็อาจเปรียบได้กับนิกายโปรแตสแตนท์และนิกายคาทอลิก เนื่องจากฝ่ายโปรแตสแต้นท์ไม่เห็นด้วยกับการมุ่งหารายได้จากการขายบุญ-ไถ่บาป ทั้งยังปฏิรูปแนวคิดให้หันไปยึดพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลัก พร้อมกับมีการแปลข้อความในพระ คัมภีร์ไบเบิลจากภาษาละตินเป็นภาษาถิ่น เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงคำสอนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่วชิรญาณภิกขุเถระทรงปฏิบัติเช่นกัน คือทรงให้ความสำคัญต่อพระไตรปิฎกในฐานะที่เป็นแหล่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และในการสวดมนต์ของพระสงฆ์ก็ได้เพิ่มภาษาไทยเข้าไป ต่างจากแต่เดิมที่มีแต่ภาษาบาลี ผู้คนจึงสนใจฟังกันมากขึ้น (วิไลรัตน์ ยังรอด, ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์, 2559, น. 17)
ข้อเปรียบเทียบเทียบที่อ้างถึงคริสต์ศาสนาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าใจประวัติและคำสอนของคริสต์ศาสนาอันเป็นศาสนาหลักของชาวตะวันตกด้วย เพราะทรงอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลได้ ดังที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในบันทึกของหมอเฮาส์ที่ได้เคยเข้าเฝ้าพระองค์แล้วเล่าว่าเขาเห็นพระคัมภีร์ไบเบิลวางอยู่ในห้องที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ นอกจากนี้ ยังมีข้อความปรากฏอยู่ในพระราชหัตเลขาที่ส่งไปถึงมิสเตอร์และมิสซิสเอ็ดดี้ พระสหายชาวอเมริกัน ว่า
"We have heard most words of here missionaries both old and modern saying in various ways the Bible and it various Elements or commentaries are accustomed to read much..." (เรื่องเดียวกัน อ้างใน พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในงานฉลองครบ 84 ปี มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, 2521, น. 36-37)
ไม่เพียงแต่บันทึกของมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ ในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสก็ได้พูดถึงวชิรญาณภิกขุในทำนองที่ทรงสนพระทัยคริสต์ศาสนาเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ปรากฏในจดหมายของของคุณพ่อเอเตียน เรมงด์อัลบรังด์ (Etienne Raymond Albrand) อดีตมิชชันารีในสยาม ท่านได้เล่าถึงครั้งที่บาทหลวงปาเลอกัวซ์และบาทหลวงเกลมังโซ รวมถึงบาทหลวงพื้นเมืองอีก 2 ท่าน ไปเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสถึงความประพฤติของพระภิกษุในประเทศลาวให้ฟัง
“...พระองค์ทรงชี้นิ้วไปที่มิชชันนารีที่เข้าเฝ้าพลางตรัสว่า นี่คือพระภิกษุที่แท้จริง พวกเขาคือพวกที่ข้าพเจ้านับถือ และทรงย้ำหลายครั้งถึงความยิ่งใหญ่ในคริสตศาสนาที่ทรงรู้จักและทรงนับถือว่าเป็นศาสนาที่น่าเลื่อมใส ขณะทรงสนทนาอย่างเป็นกันเองกับบาทหลวงปัลเลอกัวซ์ พระองค์ตรัสถามท่านว่า ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ข้าพเจ้าจะเป็นพระสงฆ์หรือสังฆราชได้หรือไม่ คำตอบของบาทหลวงปาเลอกัวซ์เป็นในทางบวก พระองค์ทรงหันพระภักตร์ไปทางพระภิกษุและตรัสว่า พวกท่านเห็นความใจกว้างของศาสนานี้ไหม ที่ต้อนรับทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและไม่มองว่าเขามีคุณสมบัติอย่างไร...” (Audrien Launay, 1894, pp. 116-117)
พระองค์ทรงเริ่มเรียนภาษาละตินกับคุณพ่อดัต พระสงฆ์อาวุโสชาวเวียดนามที่มาจากโคชิจีนเข้ามาในสยาม ซึ่งดูแลคริสตังใหม่ในวัดที่อยู่ใกล้วัดสมอราย พระองค์ทรงให้คุณพ่อดัตมาสอนที่วัดสมอรายนานพอสมควร ก่อนที่จะหันมาศึกษากับบาทหลวงปาเลอกัวซ์ในเวลาต่อมา การที่พระองค์ทรงศึกษาภาษาละตินก็เพราะต้องการรับรู้และเข้าใจแนวคิดและหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา (สมศรี บุญอรุณรักษา, 2555, น. 82)
หนังสือที่เกี่ยวกับคริสต์ส่วนใหญ่ยังเขียนด้วยภาษาละติน ซึ่งปรากฏรายการสั่งซื้อสิ่งของของบาทหลวงปาเลอกัวซ์ที่ส่งไปกรุงปารีสมีดังนี้ “พระคัมภีร์เล่มใหญ่ พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ 2 เล่ม ปกหนัง สันหนังสือทาสีทอง สำหรับเจ้าฟ้ามงกุฎ” (เอกสารชั้นต้นที่มิได้ตีพิมพ์ AME. Vol. 890. p. 435)
ในเอกสารชั้นต้นชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจมากระหว่างบาทหลวงปาเลอกัวซ์กับวชิรญาณภิกขุซึ่งในตอนนั้นพระองค์ได้ย้ายจากวัดสมอรายมาพำนักที่วัดบวรแล้ว วชิร ญาณภิกขุเริ่มต้นบทสนทนา
- หนังสือที่พระคุณเจ้าให้อาตมานั้น อาตมาอ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มสุดท้าย … ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่คือความคิดเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
- หากทรงอ่านหนังสือเหล่านั้นทุกเล่ม บัดนี้พระองค์ทรงรู้จักศาสนาคริสต์แล้ว ไม่ทราบว่าทรงยอมรับคำสอนของศาสนาคริสต์หรือไม่ เช่น การสร้างโลก พระองค์ยังเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่
- อาตมาต้องการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้างอย่างแท้จริง เอาล่ะจงฟัง ... พระองค์ทรงเทศนาราว 8-10 นาที เกี่ยวกับการสร้างโลก ทรวงพระสรวล พลางหันพระภักตร์ไปทางคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่พร้อมกับตรัสว่า ดูซิ! เราสามารถเทศน์แบบบาทหลวงคริสต์ได้ แล้วทรงหันมาตรัสกับข้าพเจ้าว่าทำไมพวกท่านจึงฆ่าสัตว์ อาตมาอยากเชื่อว่า วิญญาณมนุษย์ไม่สามารถเข้าไปในร่างกายสัตว์ได้ แต่พวกมันก็มีชีวิต และถ้าเราตีมัน มันก็ร้องไห้ มันก็เจ็บปวด ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราฆ่ามัน การกระทำนี้ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายหรือ?
- บาทหลวงตอบว่า พระองค์ต้องแยกให้ออกว่าสัตว์ทั้งหลายถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์ หากเราทำมันด้วยความโหดร้ายหรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แน่นอนว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นถือว่าเป็นบาป สุดแต่ว่าจะเป็นบาปหนักหรือเบา แต่ถ้าเราฆ่ามันเพราะความจำเป็น และตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นไม่ถือว่าผิด เพราะพระผู้เป็นเจ้ารงเป็นเจ้าของสิ่งสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงมีสิทธิ์เหนือชีวิตของสิ่งสร้างทั้งปวง แม้แต่ชีวิตมนุษย์
จากนั้น ทั้งสองท่านจึงพักรับประทานอาหารกลางวัน ในขณะที่บาทหลวงปาเลอกัวซ์ กำลังดื่มกาแฟ และรับประทานผลไม้อยู่นั้น วชิรญาณภิกขุพร้อมภิกษุอีกราว 7-8 คน ทรงยกนมเหยือกหนึ่งให้ข้าพเจ้าดูพร้อมตรัสว่า “จงดูนมในเหยือกนี้สิ เจ้าชีวิตพระราชทานมาให้อาตมาทุกเช้า เชิญดื่มนมจากพระราชวัง...”
ทั้งสองท่านเริ่มสนทนากันอีกครั้ง วชิรญาณภิกขุทรงส่งห่อบรรจุหนังสือภาษาบาลีมาให้ข้าพเจ้า เป็นหนังสือที่จารลงใบลาน ทาด้วยทองและห่อด้วยผ้าเนื้อดี ทรงเริ่มอ่านด้วยกัน วชิรญาณภิกขุตรัสกับข้าพเจ้าว่า
- ดูสิว่ามีบางคำและบางส่วนคล้ายภาษาละติน
- พระองค์ทรงเก็บหนังสือเหล่านี้ไว้ที่ไหน ในวัดแห่งนี้กระนั้นๆ?
- พระองค์ตรัสตอบพร้อมกับทอดพระเนตรผ่านออกไปนอกหน้าต่าง “ท่านเห็นตึกใหญ่ที่มีหน้าต่างสีทองไหม ที่นั่นมีตู้สีทอง 20 ตู้ แต่ละตู้สามารถบรรจุหนังสือเหล่านี้ได้เป็นร้อยเล่ม”
หลังจากสนทนากันเป็นเวลานานพอสมควร บาทหลวงปาเลอกัวซ์บอกกับวชิรญาณภิกขุว่าอยากไปเดินชมบริเวณเขตพุทธาวาส เมื่อเดินผ่านกำแพงวัดที่ประดับประดาด้วยทอง วัดแห่งนี้สร้างเป็นรูปกางเขน (ในเอกสารชั้นต้นใช้คำว่า temple แต่ผู้เขียนเข้าใจ ว่าคงหมายถึงพระอุโบสถ) พระองค์ตรัสกับบาทหลวงปาเลอกัวซ์ว่า “ดูเหมือนโบสถ์คริสต์” บาทหลวงผู้นี้รู้สึกประหลาดใจที่เห็นรูปปั้นจักรพรรรดินโปเลียนตรงทางเข้า รูปปั้นนี้อยู่ตรงข้ามกับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง และยิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นรูปพระผู้เป็นเจ้าหลายรูปในกรอบสีทองแขวนอยู่ตามต้นเสาต่างๆ ด้วยความฉงน บาทหลวงจึงได้ถามวชิรญาณภิกขุว่า
- ทำไมจึงแขวนรูปพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางภาพวาดพระพุทธเจ้า?
- เพราะอาตมานับถือพระองค์เช่นกัน
ก่อนกลับ บาทหลวงปาเลอกัวซ์กราบทูลลา วชิรญาณภิกขุตอบกลับด้วยภาษาละติน “ Vale Joannes episcope” (เจริญพร เจ้าคุณสังฆราชยวง)” (เอกสารชั้นต้นที่ไม่ได้ตีพิมพ์ A.P.F. 1844, pp. 266-270)
จะเห็นได้ว่าอิทธิพลแนวคิดของคริสตศาสนาทั้งนิกายโปรเตสแตนต์และคาทอลิกมีส่วน “บงการ” การสถาปนาธรรมยุติกนิกายอย่างมีนัย นอกเหนือจากข้ออ้างที่ว่าความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์เพียงเหตุเดียว แนวความคิดดังกล่าวไม่เพียงแต่ “บงการ” การตั้งคณะสงฆ์ใหม่ขึ้นเท่านั้น หากแต่อิทธิพลของความคิดดังกล่าวยังส่งผลต่อการตั้งธรรมเนียมของวชิรญาณภิกขุอย่างเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะการที่พระองค์ทรงเรียนรู้ศิลปวิทยาการจากตะวันตกกับบาทหลวงคาทอลิกและมิชชันนารีจากโปรแตสแตนท์ก่อนที่พระองค์จะชำระสะสางกิจการพุทธศาสนาขนานใหญ่
สำหรับธรรมเนียมที่เพิ่งถูกสร้างภายใต้การสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุตนั้น วชิรญาณภิกขุได้ทำให้ “ศาสนาพุทธแบบชาวบ้าน” ซึ่งให้ความสำคัญกับพิธีกรรมของท้องถิ่นต่างๆ ที่มีความหลากหลายในช่วงเวลานั้น กลายเป็น “ศาสนาของรัฐหรือศาสนาทางการ” ที่วางอยู่บนหลักการใช้ตัวอักษรและวัฒนธรรมการเขียนเป็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางของรัฐจะมีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่หรือชนชั้นสูงที่มีอำนาจทางการเมือง ศาสนาแห่งรัฐจึงเป็นศาสนาที่มีรากฐานมาจากอำนาจทางการเมือง และผู้ที่มีความสำคัญหรือยิ่งใหญ่ทางการเมืองก็จะมีความหมายในทางศาสนาเช่นกัน
เป็นที่แน่ชัดว่าธรรมเนียมการทำวัตรสวดมนต์เวลาเช้า-ค่ำ เกิดขึ้นเป็นธรรมเนียมแรกตามที่ปรากฏในตำนานวัดบวรนิเวศวิหารภายหลังที่พระองค์เสด็จมาพำนักที่บวรนิเวศแล้ว ย่อมหมายความว่าพระองค์ทรงคิดที่จะตั้งธรรมเนียมนี้ขึ้นก่อนหน้าอย่างนี้เป็นแน่แท้ พระองค์เริ่มต้นตั้ง “ธรรมเนียมนมัสการพระเช้า-ค่ำ” สำหรับการนมัสการพระหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าทำวัตรเช้า-ค่ำ นั้น หมายถึงการนมัสการแลบูชาพระเจดีย์หรือวัตถุคือพระสถูป และพระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัยเพื่อให้เจริญความเชื่อ เป็นการบำเพ็ญภาวนา บุญ แต่เดิมคงไม่มีแบบที่กำหนดไว้แน่นอนว่าต้องปฏิบัติอย่างไร และเวลาใด (ประวัติคณะธรรมยุต, 2547, น. 380)
สำหรับการทำวัตรเช้า-ค่ำ นั้น พระองค์ทรงกำหนดให้เป็นกิจวัตรประจำวัน คือเช้าเวลาหนึ่งและเย็นเวลาหนึ่ง สำหรับที่วัดบวรฯ เวลาเข้ากำหนด 08.00 น. เวลาค่ำกำหนด 20.00 สำหรับคำนมัสการหรือบทสวดนั้น พระองค์ได้ทรงนิพนธ์ขึ้นใหม่เป็นภาษามคธ ทั้งคำนมัสการเช้าและค่ำ ซึ่งใช้ได้กับทั้งภิกษุและอุบาสกอุบาสิกา ธรรมเนียมนี้ พระองค์ทรงตั้งขึ้นเพื่อเป็นแบบแผนใช้ปฏิบัติกันในหมู่พระสงฆ์ธรรมยุต กระทั่งในเวลาต่อมาได้รับความนิยมและกลายเป็นขนบที่ใช้กันแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งที่มีความสืบเนื่องจากการทำวัตรค่ำก็คือการสวดมนต์ประจำวันหลังต่อจากทำวัตรค่ำโดยมีพระสูตรต่างๆ ในอังคุตรนิกายเป็นพื้นที่แสดงธรรมข้อปฏิบัติไว้สวดผลัดวันกันไป (เรื่องเดียวกัน, น. 381)
นอกจากธรรมเนียมการทำวัตรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นนั้น พระองค์ยังทรงตั้งโรงพิมพ์ขึ้นที่วัดบวรนิเวศเพื่อพิมพ์บทสวดมนต์และพระปาติโมกข์แจกจ่ายให้ผู้คนทั่วไป อย่างที่มิชชันารีมักแจกจ่ายคำสอนจากศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวบ้านอยู่เสมอ (วิไลรัตน์ ยังรอด, ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์, 2559, น. 21) รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการเทศนาสั่งสอนและการเผยแผ่ศาสนาใหม่ด้วยการเปลี่ยนการอ่านจากใบลานตามแบบที่เคยปฏิบัติกันมาโดยมีการใช้ปริศนาธรรมเปรียบเทียบให้ชาวบ้านเข้าใจและเข้าถึงหลักคำสอนได้ง่ายขึ้น (เรื่องเดียวกัน, น. 21) ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ทรงประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใหม่สำหรับใช้เขียนภาษาบาลี ตามอักขรวิธีแบบโรมัน เรียกว่า “หนังสืออริยกะ” มีทั้งแบบพิมพ์และแบบเขียนเพื่อให้ผู้เรียนปริยัติเข้าใจอักขรวิธีละเอียดว่าการใช้อักษรขอมที่ใช้กันแพร่หลายในสำนักวัดนี้ (ประวัติคณะธรรมยุต, 2547, น. 39 อ้างใน วชิรญาณวโรรส, 2465, น. 23) สำหรับตัวอักษรอริยกะไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระองค์ประดิษฐ์เมื่อใด แต่อนุมานได้ว่าน่าจะทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อตั้งโรงพิมพ์ขึ้นแล้ว (เรื่องเดียวกัน, น. 39)
หลักฐานชิ้นหนึ่งที่พอจะเชื่อได้ว่าการตั้งธรรมเนียมทำวัตรขึ้นนั้นพระองค์ทรงรับเอารูปแบบของศาสนาคริสต์มาปรับใช้ให้เข้ากับคณะสงฆ์ธรรมยุต ปรากฏในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสได้เอาไว้ว่า “...ไม่กี่ปีต่อมาธรรมยุตซึ่งเป็นนิกายใหม่ที่วชิรญาณทรงตั้งขึ้นมานั้นได้รับการเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง พระองค์ทรงใช้วิธีสวดมนต์ตอนเช้าและตอนเย็นตามแบบการทำวัตรในศาสนาคริสต์ รวมถึงมีการสารภาพความผิดด้วย...” (เอกสารชั้นต้นที่มิได้ตีพิมพ์ AME. Vol. 890. p. 623)
ไม่เพียงแต่ธรรมเนียมการทำวัตรที่ถูกปรับเปลี่ยนภายใต้อิทธิพลของแนวคิดคริสตศาสนา หากแต่คณะสงฆ์ธรรมยุตยังได้สร้างความหมายของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ “พระพุทธเจ้า” ถูกตีความและนิยามใหม่ว่าทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์และตรัสรู้ธรรมด้วยปัญญาจากการศึกษาด้วยพระองค์เองส่วน “พระธรรม” ถูกตีความใหม่ว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าสำหรับล้างความชั่ว มุ่งสู่นิพพาน ความเชื่อถือพระวจนะดั้งเดิม ส่วนอรรถกถาหรือฎีกาที่แต่งเพิ่มเติมในภายหลัง อาจมีความผิดพลาดได้ ในขณะที่ “พระสงฆ์” คือผู้ที่อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแนวทางอริยมรรค 8 ประการ (ศรีสุพร ช่วงสกุล, 2530, น. 24-26) อย่างไรก็ดี “จิตรกรรม” ฝาผนังที่ปรากฏอยู่ตามวัดธรรมยุตก็พอที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเบื้องหลังของวชิรญาณภิกขุและคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายได้อยู่ไม่น้อย
อ้างอิง
ซคัตตรัย แสงอรุณ. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2562). On Monotheism ว่าด้วยเอกเทวนิยม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ สมมติ.
ปรีชา จิตตเสรีวงศ์. (2531). เอกสารการวิจัยเรื่องแนวทางงานพัฒนาสังคมของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย. มปท.
ประวัติคณะธรรมยุต. (2547). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
เริง อรรถวิบูลย์. (2514). ความรู้เรื่องพิธีธรรมเนียมสงฆ์ เล่ม 1. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระสุทธรธรรมาจารย์ (บัว ธมฺมธโร) ณ วัดอรุณราชวราราม วันที่ 9 กรกฎาคม 2535.
วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. (2465). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
วิไลรัตน์ ยังรอด และ ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์. (2559). ถอดรหัส ภาพผนัง พระจอมเกล้า-ขลัวอินโข่ง, นนทบุรี : มิวเซียมเพรส.
ศรีสุพร ช่วงสกุล. (2530). ความเปลี่ยนแปลงของคณะสงฆ์: ศึกษากรณีธรรมยุติกนิกาย พ.ศ. 2368-2464. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมศรี บุญอรุณรักษา. (2555). พระสังฆราชปาเลอกัวซ์: มิตรที่ดี สนิทสนม และจริงใจ ในรัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย.
เอกสารชั้นต้นที่ยังไม่ตีพิมพ์, รายงานประจำปีของสมาคมเผยแผ่ความเชื่อ (A.P.F.) จากห้องเอกสารคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (A.Μ.Ε.).
ออเดรียน เลาเนย์. (พ.ศ. 2437) Histoire Générale des Missions Etrangères เล่มที่ 3 ปารีส
พอลล็อค เอส. (2549). ภาษาของเทพเจ้าในโลกของมนุษย์: สันสกฤต วัฒนธรรม และอำนาจในอินเดียก่อนสมัยใหม่ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
CR. : https://www.academia.edu/43223397/ใครลอ ... ุทธ_คริสต_
ในแง่นี้ ผู้เขียนมิได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของ นิธิ ทั้งหมด ผู้เขียนยังกลับมองว่าปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกายขึ้นได้นั้นเป็นผลมาจากการรับแนวคิดตะวันตก โดยเฉพาะจากคณะบาทหลวงและคณะมิชชันนารีด้วย ข้อเท็จจริงในประเด็นนี้พิจารณาได้จากวชิรญาณภิกขุได้ทรงกล่าวกับมิชชันนารีที่พำนักอยู่ในสยามว่า “วัตรปฏิบัติของสงฆ์ ภายใต้การนำของพระองค์กับพระสงฆ์ที่มีอยู่เดิม หากนำมาเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์ก็อาจเปรียบได้กับนิกายโปรแตสแตนท์และนิกายคาทอลิก เนื่องจากฝ่ายโปรแตสแต้นท์ไม่เห็นด้วยกับการมุ่งหารายได้จากการขายบุญ-ไถ่บาป ทั้งยังปฏิรูปแนวคิดให้หันไปยึดพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลัก พร้อมกับมีการแปลข้อความในพระ คัมภีร์ไบเบิลจากภาษาละตินเป็นภาษาถิ่น เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงคำสอนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่วชิรญาณภิกขุเถระทรงปฏิบัติเช่นกัน คือทรงให้ความสำคัญต่อพระไตรปิฎกในฐานะที่เป็นแหล่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และในการสวดมนต์ของพระสงฆ์ก็ได้เพิ่มภาษาไทยเข้าไป ต่างจากแต่เดิมที่มีแต่ภาษาบาลี ผู้คนจึงสนใจฟังกันมากขึ้น (วิไลรัตน์ ยังรอด, ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์, 2559, น. 17)
ข้อเปรียบเทียบเทียบที่อ้างถึงคริสต์ศาสนาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าใจประวัติและคำสอนของคริสต์ศาสนาอันเป็นศาสนาหลักของชาวตะวันตกด้วย เพราะทรงอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลได้ ดังที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในบันทึกของหมอเฮาส์ที่ได้เคยเข้าเฝ้าพระองค์แล้วเล่าว่าเขาเห็นพระคัมภีร์ไบเบิลวางอยู่ในห้องที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ นอกจากนี้ ยังมีข้อความปรากฏอยู่ในพระราชหัตเลขาที่ส่งไปถึงมิสเตอร์และมิสซิสเอ็ดดี้ พระสหายชาวอเมริกัน ว่า
"We have heard most words of here missionaries both old and modern saying in various ways the Bible and it various Elements or commentaries are accustomed to read much..." (เรื่องเดียวกัน อ้างใน พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในงานฉลองครบ 84 ปี มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, 2521, น. 36-37)
ไม่เพียงแต่บันทึกของมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ ในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสก็ได้พูดถึงวชิรญาณภิกขุในทำนองที่ทรงสนพระทัยคริสต์ศาสนาเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ปรากฏในจดหมายของของคุณพ่อเอเตียน เรมงด์อัลบรังด์ (Etienne Raymond Albrand) อดีตมิชชันารีในสยาม ท่านได้เล่าถึงครั้งที่บาทหลวงปาเลอกัวซ์และบาทหลวงเกลมังโซ รวมถึงบาทหลวงพื้นเมืองอีก 2 ท่าน ไปเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสถึงความประพฤติของพระภิกษุในประเทศลาวให้ฟัง
“...พระองค์ทรงชี้นิ้วไปที่มิชชันนารีที่เข้าเฝ้าพลางตรัสว่า นี่คือพระภิกษุที่แท้จริง พวกเขาคือพวกที่ข้าพเจ้านับถือ และทรงย้ำหลายครั้งถึงความยิ่งใหญ่ในคริสตศาสนาที่ทรงรู้จักและทรงนับถือว่าเป็นศาสนาที่น่าเลื่อมใส ขณะทรงสนทนาอย่างเป็นกันเองกับบาทหลวงปัลเลอกัวซ์ พระองค์ตรัสถามท่านว่า ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ข้าพเจ้าจะเป็นพระสงฆ์หรือสังฆราชได้หรือไม่ คำตอบของบาทหลวงปาเลอกัวซ์เป็นในทางบวก พระองค์ทรงหันพระภักตร์ไปทางพระภิกษุและตรัสว่า พวกท่านเห็นความใจกว้างของศาสนานี้ไหม ที่ต้อนรับทุกคนโดยไม่แบ่งแยกและไม่มองว่าเขามีคุณสมบัติอย่างไร...” (Audrien Launay, 1894, pp. 116-117)
พระองค์ทรงเริ่มเรียนภาษาละตินกับคุณพ่อดัต พระสงฆ์อาวุโสชาวเวียดนามที่มาจากโคชิจีนเข้ามาในสยาม ซึ่งดูแลคริสตังใหม่ในวัดที่อยู่ใกล้วัดสมอราย พระองค์ทรงให้คุณพ่อดัตมาสอนที่วัดสมอรายนานพอสมควร ก่อนที่จะหันมาศึกษากับบาทหลวงปาเลอกัวซ์ในเวลาต่อมา การที่พระองค์ทรงศึกษาภาษาละตินก็เพราะต้องการรับรู้และเข้าใจแนวคิดและหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา (สมศรี บุญอรุณรักษา, 2555, น. 82)
หนังสือที่เกี่ยวกับคริสต์ส่วนใหญ่ยังเขียนด้วยภาษาละติน ซึ่งปรากฏรายการสั่งซื้อสิ่งของของบาทหลวงปาเลอกัวซ์ที่ส่งไปกรุงปารีสมีดังนี้ “พระคัมภีร์เล่มใหญ่ พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ 2 เล่ม ปกหนัง สันหนังสือทาสีทอง สำหรับเจ้าฟ้ามงกุฎ” (เอกสารชั้นต้นที่มิได้ตีพิมพ์ AME. Vol. 890. p. 435)
ในเอกสารชั้นต้นชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจมากระหว่างบาทหลวงปาเลอกัวซ์กับวชิรญาณภิกขุซึ่งในตอนนั้นพระองค์ได้ย้ายจากวัดสมอรายมาพำนักที่วัดบวรแล้ว วชิร ญาณภิกขุเริ่มต้นบทสนทนา
- หนังสือที่พระคุณเจ้าให้อาตมานั้น อาตมาอ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มสุดท้าย … ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่คือความคิดเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
- หากทรงอ่านหนังสือเหล่านั้นทุกเล่ม บัดนี้พระองค์ทรงรู้จักศาสนาคริสต์แล้ว ไม่ทราบว่าทรงยอมรับคำสอนของศาสนาคริสต์หรือไม่ เช่น การสร้างโลก พระองค์ยังเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่
- อาตมาต้องการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้างอย่างแท้จริง เอาล่ะจงฟัง ... พระองค์ทรงเทศนาราว 8-10 นาที เกี่ยวกับการสร้างโลก ทรวงพระสรวล พลางหันพระภักตร์ไปทางคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่พร้อมกับตรัสว่า ดูซิ! เราสามารถเทศน์แบบบาทหลวงคริสต์ได้ แล้วทรงหันมาตรัสกับข้าพเจ้าว่าทำไมพวกท่านจึงฆ่าสัตว์ อาตมาอยากเชื่อว่า วิญญาณมนุษย์ไม่สามารถเข้าไปในร่างกายสัตว์ได้ แต่พวกมันก็มีชีวิต และถ้าเราตีมัน มันก็ร้องไห้ มันก็เจ็บปวด ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราฆ่ามัน การกระทำนี้ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายหรือ?
- บาทหลวงตอบว่า พระองค์ต้องแยกให้ออกว่าสัตว์ทั้งหลายถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์ หากเราทำมันด้วยความโหดร้ายหรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แน่นอนว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นถือว่าเป็นบาป สุดแต่ว่าจะเป็นบาปหนักหรือเบา แต่ถ้าเราฆ่ามันเพราะความจำเป็น และตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนั้นไม่ถือว่าผิด เพราะพระผู้เป็นเจ้ารงเป็นเจ้าของสิ่งสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงมีสิทธิ์เหนือชีวิตของสิ่งสร้างทั้งปวง แม้แต่ชีวิตมนุษย์
จากนั้น ทั้งสองท่านจึงพักรับประทานอาหารกลางวัน ในขณะที่บาทหลวงปาเลอกัวซ์ กำลังดื่มกาแฟ และรับประทานผลไม้อยู่นั้น วชิรญาณภิกขุพร้อมภิกษุอีกราว 7-8 คน ทรงยกนมเหยือกหนึ่งให้ข้าพเจ้าดูพร้อมตรัสว่า “จงดูนมในเหยือกนี้สิ เจ้าชีวิตพระราชทานมาให้อาตมาทุกเช้า เชิญดื่มนมจากพระราชวัง...”
ทั้งสองท่านเริ่มสนทนากันอีกครั้ง วชิรญาณภิกขุทรงส่งห่อบรรจุหนังสือภาษาบาลีมาให้ข้าพเจ้า เป็นหนังสือที่จารลงใบลาน ทาด้วยทองและห่อด้วยผ้าเนื้อดี ทรงเริ่มอ่านด้วยกัน วชิรญาณภิกขุตรัสกับข้าพเจ้าว่า
- ดูสิว่ามีบางคำและบางส่วนคล้ายภาษาละติน
- พระองค์ทรงเก็บหนังสือเหล่านี้ไว้ที่ไหน ในวัดแห่งนี้กระนั้นๆ?
- พระองค์ตรัสตอบพร้อมกับทอดพระเนตรผ่านออกไปนอกหน้าต่าง “ท่านเห็นตึกใหญ่ที่มีหน้าต่างสีทองไหม ที่นั่นมีตู้สีทอง 20 ตู้ แต่ละตู้สามารถบรรจุหนังสือเหล่านี้ได้เป็นร้อยเล่ม”
หลังจากสนทนากันเป็นเวลานานพอสมควร บาทหลวงปาเลอกัวซ์บอกกับวชิรญาณภิกขุว่าอยากไปเดินชมบริเวณเขตพุทธาวาส เมื่อเดินผ่านกำแพงวัดที่ประดับประดาด้วยทอง วัดแห่งนี้สร้างเป็นรูปกางเขน (ในเอกสารชั้นต้นใช้คำว่า temple แต่ผู้เขียนเข้าใจ ว่าคงหมายถึงพระอุโบสถ) พระองค์ตรัสกับบาทหลวงปาเลอกัวซ์ว่า “ดูเหมือนโบสถ์คริสต์” บาทหลวงผู้นี้รู้สึกประหลาดใจที่เห็นรูปปั้นจักรพรรรดินโปเลียนตรงทางเข้า รูปปั้นนี้อยู่ตรงข้ามกับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง และยิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นรูปพระผู้เป็นเจ้าหลายรูปในกรอบสีทองแขวนอยู่ตามต้นเสาต่างๆ ด้วยความฉงน บาทหลวงจึงได้ถามวชิรญาณภิกขุว่า
- ทำไมจึงแขวนรูปพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางภาพวาดพระพุทธเจ้า?
- เพราะอาตมานับถือพระองค์เช่นกัน
ก่อนกลับ บาทหลวงปาเลอกัวซ์กราบทูลลา วชิรญาณภิกขุตอบกลับด้วยภาษาละติน “ Vale Joannes episcope” (เจริญพร เจ้าคุณสังฆราชยวง)” (เอกสารชั้นต้นที่ไม่ได้ตีพิมพ์ A.P.F. 1844, pp. 266-270)
จะเห็นได้ว่าอิทธิพลแนวคิดของคริสตศาสนาทั้งนิกายโปรเตสแตนต์และคาทอลิกมีส่วน “บงการ” การสถาปนาธรรมยุติกนิกายอย่างมีนัย นอกเหนือจากข้ออ้างที่ว่าความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์เพียงเหตุเดียว แนวความคิดดังกล่าวไม่เพียงแต่ “บงการ” การตั้งคณะสงฆ์ใหม่ขึ้นเท่านั้น หากแต่อิทธิพลของความคิดดังกล่าวยังส่งผลต่อการตั้งธรรมเนียมของวชิรญาณภิกขุอย่างเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะการที่พระองค์ทรงเรียนรู้ศิลปวิทยาการจากตะวันตกกับบาทหลวงคาทอลิกและมิชชันนารีจากโปรแตสแตนท์ก่อนที่พระองค์จะชำระสะสางกิจการพุทธศาสนาขนานใหญ่
สำหรับธรรมเนียมที่เพิ่งถูกสร้างภายใต้การสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุตนั้น วชิรญาณภิกขุได้ทำให้ “ศาสนาพุทธแบบชาวบ้าน” ซึ่งให้ความสำคัญกับพิธีกรรมของท้องถิ่นต่างๆ ที่มีความหลากหลายในช่วงเวลานั้น กลายเป็น “ศาสนาของรัฐหรือศาสนาทางการ” ที่วางอยู่บนหลักการใช้ตัวอักษรและวัฒนธรรมการเขียนเป็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางของรัฐจะมีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่หรือชนชั้นสูงที่มีอำนาจทางการเมือง ศาสนาแห่งรัฐจึงเป็นศาสนาที่มีรากฐานมาจากอำนาจทางการเมือง และผู้ที่มีความสำคัญหรือยิ่งใหญ่ทางการเมืองก็จะมีความหมายในทางศาสนาเช่นกัน
เป็นที่แน่ชัดว่าธรรมเนียมการทำวัตรสวดมนต์เวลาเช้า-ค่ำ เกิดขึ้นเป็นธรรมเนียมแรกตามที่ปรากฏในตำนานวัดบวรนิเวศวิหารภายหลังที่พระองค์เสด็จมาพำนักที่บวรนิเวศแล้ว ย่อมหมายความว่าพระองค์ทรงคิดที่จะตั้งธรรมเนียมนี้ขึ้นก่อนหน้าอย่างนี้เป็นแน่แท้ พระองค์เริ่มต้นตั้ง “ธรรมเนียมนมัสการพระเช้า-ค่ำ” สำหรับการนมัสการพระหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าทำวัตรเช้า-ค่ำ นั้น หมายถึงการนมัสการแลบูชาพระเจดีย์หรือวัตถุคือพระสถูป และพระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัยเพื่อให้เจริญความเชื่อ เป็นการบำเพ็ญภาวนา บุญ แต่เดิมคงไม่มีแบบที่กำหนดไว้แน่นอนว่าต้องปฏิบัติอย่างไร และเวลาใด (ประวัติคณะธรรมยุต, 2547, น. 380)
สำหรับการทำวัตรเช้า-ค่ำ นั้น พระองค์ทรงกำหนดให้เป็นกิจวัตรประจำวัน คือเช้าเวลาหนึ่งและเย็นเวลาหนึ่ง สำหรับที่วัดบวรฯ เวลาเข้ากำหนด 08.00 น. เวลาค่ำกำหนด 20.00 สำหรับคำนมัสการหรือบทสวดนั้น พระองค์ได้ทรงนิพนธ์ขึ้นใหม่เป็นภาษามคธ ทั้งคำนมัสการเช้าและค่ำ ซึ่งใช้ได้กับทั้งภิกษุและอุบาสกอุบาสิกา ธรรมเนียมนี้ พระองค์ทรงตั้งขึ้นเพื่อเป็นแบบแผนใช้ปฏิบัติกันในหมู่พระสงฆ์ธรรมยุต กระทั่งในเวลาต่อมาได้รับความนิยมและกลายเป็นขนบที่ใช้กันแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งที่มีความสืบเนื่องจากการทำวัตรค่ำก็คือการสวดมนต์ประจำวันหลังต่อจากทำวัตรค่ำโดยมีพระสูตรต่างๆ ในอังคุตรนิกายเป็นพื้นที่แสดงธรรมข้อปฏิบัติไว้สวดผลัดวันกันไป (เรื่องเดียวกัน, น. 381)
นอกจากธรรมเนียมการทำวัตรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นนั้น พระองค์ยังทรงตั้งโรงพิมพ์ขึ้นที่วัดบวรนิเวศเพื่อพิมพ์บทสวดมนต์และพระปาติโมกข์แจกจ่ายให้ผู้คนทั่วไป อย่างที่มิชชันารีมักแจกจ่ายคำสอนจากศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวบ้านอยู่เสมอ (วิไลรัตน์ ยังรอด, ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์, 2559, น. 21) รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการเทศนาสั่งสอนและการเผยแผ่ศาสนาใหม่ด้วยการเปลี่ยนการอ่านจากใบลานตามแบบที่เคยปฏิบัติกันมาโดยมีการใช้ปริศนาธรรมเปรียบเทียบให้ชาวบ้านเข้าใจและเข้าถึงหลักคำสอนได้ง่ายขึ้น (เรื่องเดียวกัน, น. 21) ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ทรงประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใหม่สำหรับใช้เขียนภาษาบาลี ตามอักขรวิธีแบบโรมัน เรียกว่า “หนังสืออริยกะ” มีทั้งแบบพิมพ์และแบบเขียนเพื่อให้ผู้เรียนปริยัติเข้าใจอักขรวิธีละเอียดว่าการใช้อักษรขอมที่ใช้กันแพร่หลายในสำนักวัดนี้ (ประวัติคณะธรรมยุต, 2547, น. 39 อ้างใน วชิรญาณวโรรส, 2465, น. 23) สำหรับตัวอักษรอริยกะไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระองค์ประดิษฐ์เมื่อใด แต่อนุมานได้ว่าน่าจะทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อตั้งโรงพิมพ์ขึ้นแล้ว (เรื่องเดียวกัน, น. 39)
หลักฐานชิ้นหนึ่งที่พอจะเชื่อได้ว่าการตั้งธรรมเนียมทำวัตรขึ้นนั้นพระองค์ทรงรับเอารูปแบบของศาสนาคริสต์มาปรับใช้ให้เข้ากับคณะสงฆ์ธรรมยุต ปรากฏในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสได้เอาไว้ว่า “...ไม่กี่ปีต่อมาธรรมยุตซึ่งเป็นนิกายใหม่ที่วชิรญาณทรงตั้งขึ้นมานั้นได้รับการเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง พระองค์ทรงใช้วิธีสวดมนต์ตอนเช้าและตอนเย็นตามแบบการทำวัตรในศาสนาคริสต์ รวมถึงมีการสารภาพความผิดด้วย...” (เอกสารชั้นต้นที่มิได้ตีพิมพ์ AME. Vol. 890. p. 623)
ไม่เพียงแต่ธรรมเนียมการทำวัตรที่ถูกปรับเปลี่ยนภายใต้อิทธิพลของแนวคิดคริสตศาสนา หากแต่คณะสงฆ์ธรรมยุตยังได้สร้างความหมายของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ “พระพุทธเจ้า” ถูกตีความและนิยามใหม่ว่าทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์และตรัสรู้ธรรมด้วยปัญญาจากการศึกษาด้วยพระองค์เองส่วน “พระธรรม” ถูกตีความใหม่ว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าสำหรับล้างความชั่ว มุ่งสู่นิพพาน ความเชื่อถือพระวจนะดั้งเดิม ส่วนอรรถกถาหรือฎีกาที่แต่งเพิ่มเติมในภายหลัง อาจมีความผิดพลาดได้ ในขณะที่ “พระสงฆ์” คือผู้ที่อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแนวทางอริยมรรค 8 ประการ (ศรีสุพร ช่วงสกุล, 2530, น. 24-26) อย่างไรก็ดี “จิตรกรรม” ฝาผนังที่ปรากฏอยู่ตามวัดธรรมยุตก็พอที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเบื้องหลังของวชิรญาณภิกขุและคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายได้อยู่ไม่น้อย
อ้างอิง
ซคัตตรัย แสงอรุณ. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2562). On Monotheism ว่าด้วยเอกเทวนิยม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ สมมติ.
ปรีชา จิตตเสรีวงศ์. (2531). เอกสารการวิจัยเรื่องแนวทางงานพัฒนาสังคมของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย. มปท.
ประวัติคณะธรรมยุต. (2547). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
เริง อรรถวิบูลย์. (2514). ความรู้เรื่องพิธีธรรมเนียมสงฆ์ เล่ม 1. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระสุทธรธรรมาจารย์ (บัว ธมฺมธโร) ณ วัดอรุณราชวราราม วันที่ 9 กรกฎาคม 2535.
วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. (2465). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
วิไลรัตน์ ยังรอด และ ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์. (2559). ถอดรหัส ภาพผนัง พระจอมเกล้า-ขลัวอินโข่ง, นนทบุรี : มิวเซียมเพรส.
ศรีสุพร ช่วงสกุล. (2530). ความเปลี่ยนแปลงของคณะสงฆ์: ศึกษากรณีธรรมยุติกนิกาย พ.ศ. 2368-2464. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมศรี บุญอรุณรักษา. (2555). พระสังฆราชปาเลอกัวซ์: มิตรที่ดี สนิทสนม และจริงใจ ในรัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย.
เอกสารชั้นต้นที่ยังไม่ตีพิมพ์, รายงานประจำปีของสมาคมเผยแผ่ความเชื่อ (A.P.F.) จากห้องเอกสารคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (A.Μ.Ε.).
ออเดรียน เลาเนย์. (พ.ศ. 2437) Histoire Générale des Missions Etrangères เล่มที่ 3 ปารีส
พอลล็อค เอส. (2549). ภาษาของเทพเจ้าในโลกของมนุษย์: สันสกฤต วัฒนธรรม และอำนาจในอินเดียก่อนสมัยใหม่ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
CR. : https://www.academia.edu/43223397/ใครลอ ... ุทธ_คริสต_
พิธีกรรมทำวัตรคืออะไร (1174-1178, 1196)
พิธีกรรมทำวัตรซึ่งเป็นบทภาวนาโดยส่วนรวมและสามัญของพระศาสนจักร คือ บทภาวนาของพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระศาสนจักรพระกายของพระองค์ อาศัยพิธีกรรมทำวัตร ธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าที่เราเฉลิมฉลองในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ทำให้เวลาของแต่ละวันศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนแปลง พิธีกรรมทำวัตรประกอบด้วยบทเพลงสดุดีเป็นส่วนใหญ่ ตัวบทอื่นๆ จากพระคัมภีร์และบทอ่านจากบรรดาปิตาจารย์และอาจารย์ฝ่ายจิตทั้งหลาย
CR. : https://www.kamsonbkk.com/catholic-cate ... ัตรคืออะไร
พิธีกรรมทำวัตรซึ่งเป็นบทภาวนาโดยส่วนรวมและสามัญของพระศาสนจักร คือ บทภาวนาของพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระศาสนจักรพระกายของพระองค์ อาศัยพิธีกรรมทำวัตร ธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าที่เราเฉลิมฉลองในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ทำให้เวลาของแต่ละวันศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนแปลง พิธีกรรมทำวัตรประกอบด้วยบทเพลงสดุดีเป็นส่วนใหญ่ ตัวบทอื่นๆ จากพระคัมภีร์และบทอ่านจากบรรดาปิตาจารย์และอาจารย์ฝ่ายจิตทั้งหลาย
CR. : https://www.kamsonbkk.com/catholic-cate ... ัตรคืออะไร
พิธีกรรมทำวัตรคืออะไร
พิธีกรรมทำวัตร คือ การภาวนาที่เป็นสากล และสาธารณะของพระศาสนจักร การอ่านพระคัมภีร์นำบุคคลให้ภาวนาอย่างลึกซึ้งในธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตพระเยซูคริสตเจ้า การภาวนาพิธีกรรมทำวัตรเป็นการให้พระเจ้าพระตรีเอกภาพทรงมีโอกาสค่อยๆเปลี่ยนแปลงผู้ภาวนาและโลกของเราในทุกๆชั่วโมงของแต่ละวัน
พิธีกรรมทำวัตรเป็นการภาวนามิใช่สำหรับพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น คริสตชนจำนวนมากซึ่งดำเนินชีวิตตามความเชื่ออย่างจริงจัง ต่างร่วมเสี่ยงกับการสรรเสริญและการอ้อนวอนมากมายจากทั่วโลกที่ขึ้นไปถึงพระเจ้า (1174-1178, 1196)
“การสวดทำวัตร” ทั้ง 7 ครั้งเป็นขุมทรัพย์แห่งการภาวนาของพระศาสนจักร ซึ่งช่วยคลายลิ้นของเรา เมื่อเราจนด้วยคำพูดเพราะความสุข ความโศกเศร้า หรือ ความกลัว หลายครั้งที่เรารู้สึกประหลาดใจในขณะสวดทำวัตรเพราะบทอ่านทั้งหมดตรงกับสถานการณ์ของเรา “อย่างบังเอิญ” พระเจ้าทรงสดับฟังเราเมื่อเราเรียกหาพระองค์ พระองค์ทรงตอบเราในบทอ่านพระคัมภีร์ซึ่งบ่อยครั้งตรงและเหมาะเจาะอย่างน่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระองค์ทรงให้เรามีช่วงเวลาเงียบและแห้งแล้งที่ยาวนานเพื่อให้เราแสดงออกถึงความสัตย์ซื่อของเรา -> 473, 492
พิธีกรรมทำวัตร 7 ช่วงเวลา ได้แก่
• Matins (ทำวัตรภาคบทอ่าน เช้าตรู่)
• Lauds (ภาวนาเช้า)
• Terce (09:00 น. ภาวนาสาย)
• Sext (12:00 น. ภาวนาเที่ยง)
• None (15:00 น. ภาวนาบ่าย)
• Vesper (ภาวนาเย็น)
• Compline (ภาวนาค่ำ)
CR. : https://www.kamsonbkk.com/catholic-cate ... ัตรคืออะไร
พิธีกรรมทำวัตร คือ การภาวนาที่เป็นสากล และสาธารณะของพระศาสนจักร การอ่านพระคัมภีร์นำบุคคลให้ภาวนาอย่างลึกซึ้งในธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตพระเยซูคริสตเจ้า การภาวนาพิธีกรรมทำวัตรเป็นการให้พระเจ้าพระตรีเอกภาพทรงมีโอกาสค่อยๆเปลี่ยนแปลงผู้ภาวนาและโลกของเราในทุกๆชั่วโมงของแต่ละวัน
พิธีกรรมทำวัตรเป็นการภาวนามิใช่สำหรับพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น คริสตชนจำนวนมากซึ่งดำเนินชีวิตตามความเชื่ออย่างจริงจัง ต่างร่วมเสี่ยงกับการสรรเสริญและการอ้อนวอนมากมายจากทั่วโลกที่ขึ้นไปถึงพระเจ้า (1174-1178, 1196)
“การสวดทำวัตร” ทั้ง 7 ครั้งเป็นขุมทรัพย์แห่งการภาวนาของพระศาสนจักร ซึ่งช่วยคลายลิ้นของเรา เมื่อเราจนด้วยคำพูดเพราะความสุข ความโศกเศร้า หรือ ความกลัว หลายครั้งที่เรารู้สึกประหลาดใจในขณะสวดทำวัตรเพราะบทอ่านทั้งหมดตรงกับสถานการณ์ของเรา “อย่างบังเอิญ” พระเจ้าทรงสดับฟังเราเมื่อเราเรียกหาพระองค์ พระองค์ทรงตอบเราในบทอ่านพระคัมภีร์ซึ่งบ่อยครั้งตรงและเหมาะเจาะอย่างน่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระองค์ทรงให้เรามีช่วงเวลาเงียบและแห้งแล้งที่ยาวนานเพื่อให้เราแสดงออกถึงความสัตย์ซื่อของเรา -> 473, 492
พิธีกรรมทำวัตร 7 ช่วงเวลา ได้แก่
• Matins (ทำวัตรภาคบทอ่าน เช้าตรู่)
• Lauds (ภาวนาเช้า)
• Terce (09:00 น. ภาวนาสาย)
• Sext (12:00 น. ภาวนาเที่ยง)
• None (15:00 น. ภาวนาบ่าย)
• Vesper (ภาวนาเย็น)
• Compline (ภาวนาค่ำ)
CR. : https://www.kamsonbkk.com/catholic-cate ... ัตรคืออะไร