เรื่องสั้นสอนใจ (ชุดที่ 11)
( 1 )
----》เรื่องสั้น
หมาป่าในชุดแกะ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Wolf in Sheep's Clothing”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
รุ่งอรุณที่สดใสในเช้าวันหนึ่ง มีหมาป่าตัวหนึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงแกะแห่งหนึ่ง
มันเห็นคนเลี้ยงแกะและสุนัขเลี้ยงแกะเฝ้าระวังดูฝูงแกะอย่างใกล้ชิด หมาป่าคิดหาวิธีกินแกะ
อยู่นานแต่ก็คิดไม่ออก ล่วงมาจนถึงค่ำวันนั้น หมาป่าพบหนังแกะที่เจ้าของเพิ่งถลกหนังออกมา
จากแกะที่เขาฆ่าเพื่อนำเนื้อไปทำอาหาร และเจ้าของแกะคงลืมเก็บหนังแกะที่วางอยู่นอกบ้านตัวนั้น
หมาป่าจึงคิดแผนที่แยบยลได้อย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หมาป่าสวมหนังแกะที่เจ้าของลืมทิ้งไว้นอกบ้านในคืนก่อน จากนั้นมันก็เดินเข้าไปรวม
อยู่ในฝูงแกะโดยไม่เป็นที่สังเกต และขณะที่คนเลี้ยงแกะกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ค่อนข้างไกลจากฝูงแกะ
หมาป่าก็รีบขม้ำลูกแกะตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันดีใจมากที่แผนชั่วร้ายของมันประสบผลสำเร็จ
ตามแผน หลังจากนั้นมันก็เดินปะปนอยู่กับฝูงแกะนั้นต่อไป
เย็นวันนั้นหมาป่าเดินเข้าคอกพร้อมฝูงแกะอย่างแนบเนียน อย่างไรก็ตาม วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิด
ของลูกชายคนหนึ่งของคนเลี้ยงแกะ เขาจึงออกไปเลือกแกะตัวหนึ่งในคอกเพื่อทำอาหารเลี้ยงใหญ่
และโชคร้ายก็เกิดกับหมาป่าที่ปลอมตัวเป็นแกะเมื่อคนเลี้ยงแกะลากมันไปตัดหัวทำอาหาร
โดยไม่ได้เฉลียวใจว่ามันเป็นหมาป่าในชุดแกะ
ข้อคิด: “คนทำชั่วมักได้รับผลกรรมจากเล่ห์กลที่ตนเองเป็นต้นคิด”
: The evil doer often comes to harm through his own deceit.
---------------------------------------
----》เรื่องสั้น
หมาป่าในชุดแกะ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Wolf in Sheep's Clothing”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
รุ่งอรุณที่สดใสในเช้าวันหนึ่ง มีหมาป่าตัวหนึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงแกะแห่งหนึ่ง
มันเห็นคนเลี้ยงแกะและสุนัขเลี้ยงแกะเฝ้าระวังดูฝูงแกะอย่างใกล้ชิด หมาป่าคิดหาวิธีกินแกะ
อยู่นานแต่ก็คิดไม่ออก ล่วงมาจนถึงค่ำวันนั้น หมาป่าพบหนังแกะที่เจ้าของเพิ่งถลกหนังออกมา
จากแกะที่เขาฆ่าเพื่อนำเนื้อไปทำอาหาร และเจ้าของแกะคงลืมเก็บหนังแกะที่วางอยู่นอกบ้านตัวนั้น
หมาป่าจึงคิดแผนที่แยบยลได้อย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หมาป่าสวมหนังแกะที่เจ้าของลืมทิ้งไว้นอกบ้านในคืนก่อน จากนั้นมันก็เดินเข้าไปรวม
อยู่ในฝูงแกะโดยไม่เป็นที่สังเกต และขณะที่คนเลี้ยงแกะกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ค่อนข้างไกลจากฝูงแกะ
หมาป่าก็รีบขม้ำลูกแกะตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันดีใจมากที่แผนชั่วร้ายของมันประสบผลสำเร็จ
ตามแผน หลังจากนั้นมันก็เดินปะปนอยู่กับฝูงแกะนั้นต่อไป
เย็นวันนั้นหมาป่าเดินเข้าคอกพร้อมฝูงแกะอย่างแนบเนียน อย่างไรก็ตาม วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิด
ของลูกชายคนหนึ่งของคนเลี้ยงแกะ เขาจึงออกไปเลือกแกะตัวหนึ่งในคอกเพื่อทำอาหารเลี้ยงใหญ่
และโชคร้ายก็เกิดกับหมาป่าที่ปลอมตัวเป็นแกะเมื่อคนเลี้ยงแกะลากมันไปตัดหัวทำอาหาร
โดยไม่ได้เฉลียวใจว่ามันเป็นหมาป่าในชุดแกะ
ข้อคิด: “คนทำชั่วมักได้รับผลกรรมจากเล่ห์กลที่ตนเองเป็นต้นคิด”
: The evil doer often comes to harm through his own deceit.
---------------------------------------
( 2 )
เรื่องสั้น เศรษฐีนิสัยไม่ดีกับคนรับใช้ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “A Rich Man's Bad Habit and His Servant”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีนิสัยไม่ดีคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาด่าว่าพระเจ้า
ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เขากลับไม่เคยขอบคุณพระเจ้าเลยที่ตนเกิดมาโชคดี
มีฐานะร่ำรวย มีคนรับใช้ที่ขยันขันแข็งและจงรักภักดีต่อเขา
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังกินแตงกวาอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ เกิดมีแตงกวาลูกหนึ่งเมื่อเขากัดกินไป
คำหนึ่งก็พบว่าแตงกวามีรสขม เขาร้องโวยวายเรียกคนรับใช้ทันทีและสั่งให้คนรับใช้กินแตงกวา
ลูกนั้นต่อ คนรับใช้ก็รับไปกินต่อด้วยสีหน้าที่มีความสุขมากราวกับกำลังกินแตงกวาที่มีรสหวานอร่อย
เศรษฐีประหลาดใจมากที่เห็นคนรับใช้กินแตงกวาขมอย่างมีความสุขจึงถามว่าเขากินแตงกวาขม
ได้อย่างไร คนรับใช้ตอบว่า “เพราะทุกวันท่านให้แต่อาหารอร่อยกับผม ดังนั้น ถ้าหากมีวันหนึ่ง
อาหารที่ได้รับเกิดมีรสขมไปบ้าง ผมก็ควรกินต่อไปอย่างมีความสุขซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายนี่ครับ”
เมื่อฟังคำตอบของคนรับใช้ เศรษฐีก็ตระหนักได้ว่าตนผิดเอง และเริ่มคิดได้ว่าที่จริงพระเจ้าได้ประทาน
สิ่งที่ดีให้เขามากมาย ดังนั้นหากบางครั้งเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกใจบ้าง เขาก็ควรยอมรับ
ด้วยความยินดีเสมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้าเช่นกัน
ข้อคิด: พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์สุขแก่เรา เราจึงควรยอมรับแผนการของพระองค์
และดำเนินชีวิตที่สงบสุข : God does everything for our benefit. We should accept
his plans and live a peaceful and happy life.
------------------------------------
เรื่องสั้น เศรษฐีนิสัยไม่ดีกับคนรับใช้ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “A Rich Man's Bad Habit and His Servant”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีนิสัยไม่ดีคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาด่าว่าพระเจ้า
ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เขากลับไม่เคยขอบคุณพระเจ้าเลยที่ตนเกิดมาโชคดี
มีฐานะร่ำรวย มีคนรับใช้ที่ขยันขันแข็งและจงรักภักดีต่อเขา
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังกินแตงกวาอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ เกิดมีแตงกวาลูกหนึ่งเมื่อเขากัดกินไป
คำหนึ่งก็พบว่าแตงกวามีรสขม เขาร้องโวยวายเรียกคนรับใช้ทันทีและสั่งให้คนรับใช้กินแตงกวา
ลูกนั้นต่อ คนรับใช้ก็รับไปกินต่อด้วยสีหน้าที่มีความสุขมากราวกับกำลังกินแตงกวาที่มีรสหวานอร่อย
เศรษฐีประหลาดใจมากที่เห็นคนรับใช้กินแตงกวาขมอย่างมีความสุขจึงถามว่าเขากินแตงกวาขม
ได้อย่างไร คนรับใช้ตอบว่า “เพราะทุกวันท่านให้แต่อาหารอร่อยกับผม ดังนั้น ถ้าหากมีวันหนึ่ง
อาหารที่ได้รับเกิดมีรสขมไปบ้าง ผมก็ควรกินต่อไปอย่างมีความสุขซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายนี่ครับ”
เมื่อฟังคำตอบของคนรับใช้ เศรษฐีก็ตระหนักได้ว่าตนผิดเอง และเริ่มคิดได้ว่าที่จริงพระเจ้าได้ประทาน
สิ่งที่ดีให้เขามากมาย ดังนั้นหากบางครั้งเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกใจบ้าง เขาก็ควรยอมรับ
ด้วยความยินดีเสมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้าเช่นกัน
ข้อคิด: พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์สุขแก่เรา เราจึงควรยอมรับแผนการของพระองค์
และดำเนินชีวิตที่สงบสุข : God does everything for our benefit. We should accept
his plans and live a peaceful and happy life.
------------------------------------
( 3 )
เรื่องสั้น การต่อสู้ของเด็กชายคนหนึ่งกับการใช้แรงงานเด็กในอินเดีย
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A Boy’s Struggle Against Child Labour”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘ราม’ เป็นเด็กชายอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กับพ่อแม่และน้องสาวคนหนึ่ง เนื่องจากพ่อ
ของเขามีปัญหาด้านสุขภาพจึงไม่สามารถไปทำงานหรือดูแลครอบครัวได้ ส่วนแม่เคยเป็น
ขอทานขอเงินตามถนน รามซึ่งมีอายุราว 10 ขวบจึงต้องไปทำงานใกล้หมู่บ้าน น้องสาว
ของรามชอบเรียนหนังสือมากแต่ก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะที่บ้านไม่มีเงินพอ รามจึงต้องทำ
งานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและไม่เคยหมดหวังกับการที่จะมีอนาคตที่ดี หลายปีผ่านไป
แต่สภาพความเป็นอยู่ของทุกคนที่บ้านของรามยังคงเหมือนเดิม
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่รามเดินไปทำงานเช่นทุกวัน เขาเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังไออย่างหนักอยู่
ข้างถนน ชายชรารูปร่างผอมโซไอจนร่างเซไปเซมาจวนเจียนจะล้มลง ด้วยความสงสารราม
ตรงเข้าไปช่วยพยุงชายชรา และทันทีที่รามสัมผัสร่างของชายชรา ร่างของเขาก็แปลงเป็นพระเจ้า
ในบัดดลและพูดกับรามว่าจะให้พรพิเศษถ้ารามผ่านการทดสอบเรื่องความเมตตาสงสารอีก 2 ครั้ง
พูดเสร็จก็หายตัวไปทันที
วันรุ่งขึ้นขณะที่รามเดินกลับบ้าน เขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
รามจึงถามสาเหตุก็ได้คำตอบว่า เธออยากกินช็อกโกแลตมากแต่มีเงินไม่พอ วันนั้นรามเพิ่งรับ
เงินเดือนจึงมีเงินติดกระเป๋าและได้ซื้อช็อกโกแลตให้หนูน้อย
ทันใดนั้นชายชราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แสดงความยินดีกับรามที่ผ่านการทดสอบครั้งแรกได้
ก่อนจากไปชายชรายังบอกให้รามเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งต่อไปด้วย
สองวันต่อมา รามเห็นหนูน้อยผอมโซเนื้อตัวสกปรกนอนตัวสั่นอยู่ข้างถนนด้วยความหิวโหย
รามรู้สึกสงสารหนูน้อยมาก วันนั้นรามกำลังเดินไปชำระเงินค่าไฟฟ้าที่สำนักงานไฟฟ้าซึ่งอยู่ถัดไป
ไม่ไกล รามจึงรีบไปจ่ายเงินค่าไฟฟ้าและมีเงินเหลืออีกเล็กน้อยซึ่งเขารีบวิ่งไปหาซื้ออาหารและ
นำมาให้หนูน้อยที่นอนหิวโซอยู่ เขาป้อนอาหารหนูน้อยด้วยมือของเขาเอง และเมื่อป้อนอาหารเสร็จ
ชายชราก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งและให้พรรามสำหรับความมีน้ำใจงามของเขา ชายชราบอก
ให้รามอธิษฐานขออะไรก็ได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รามจึงอธิษฐานขอให้เด็กทุกคนในอินเดียไม่ต้องทำงาน
และได้เรียนหนังสือในโรงเรียน
เช้าวันรุ่งขึ้น รามพบว่าเพื่อนของเขาทุกคนที่ปกติเป็นเด็กทำความสะอาดในโรงแรม ร้านค้า และ
โรงงานต่าง ๆ กำลังเดินไปโรงเรียนกัน พ่อของพวกเขาทุกคนต่างก็มีงานทำ และพ่อแม่ของพวกเขา
ที่เคยป่วยอยู่ทุกคนก็กลับมีสุขภาพแข็งแรง ยิ่งกว่านั้นในวันเดียวกัน รัฐบาลอินเดียออกประกาศว่า
จะไม่มีการใช้แรงงานเด็กอีกต่อไปและให้เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน หลังจากต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี
ในที่สุดทั้งรามและน้องสาวก็ได้ไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ด้วย
ข้อคิด: การทำงานหนักนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ : Hard work always brings success.
-------------------------------------
เรื่องสั้น การต่อสู้ของเด็กชายคนหนึ่งกับการใช้แรงงานเด็กในอินเดีย
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A Boy’s Struggle Against Child Labour”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘ราม’ เป็นเด็กชายอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กับพ่อแม่และน้องสาวคนหนึ่ง เนื่องจากพ่อ
ของเขามีปัญหาด้านสุขภาพจึงไม่สามารถไปทำงานหรือดูแลครอบครัวได้ ส่วนแม่เคยเป็น
ขอทานขอเงินตามถนน รามซึ่งมีอายุราว 10 ขวบจึงต้องไปทำงานใกล้หมู่บ้าน น้องสาว
ของรามชอบเรียนหนังสือมากแต่ก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะที่บ้านไม่มีเงินพอ รามจึงต้องทำ
งานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและไม่เคยหมดหวังกับการที่จะมีอนาคตที่ดี หลายปีผ่านไป
แต่สภาพความเป็นอยู่ของทุกคนที่บ้านของรามยังคงเหมือนเดิม
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่รามเดินไปทำงานเช่นทุกวัน เขาเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังไออย่างหนักอยู่
ข้างถนน ชายชรารูปร่างผอมโซไอจนร่างเซไปเซมาจวนเจียนจะล้มลง ด้วยความสงสารราม
ตรงเข้าไปช่วยพยุงชายชรา และทันทีที่รามสัมผัสร่างของชายชรา ร่างของเขาก็แปลงเป็นพระเจ้า
ในบัดดลและพูดกับรามว่าจะให้พรพิเศษถ้ารามผ่านการทดสอบเรื่องความเมตตาสงสารอีก 2 ครั้ง
พูดเสร็จก็หายตัวไปทันที
วันรุ่งขึ้นขณะที่รามเดินกลับบ้าน เขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
รามจึงถามสาเหตุก็ได้คำตอบว่า เธออยากกินช็อกโกแลตมากแต่มีเงินไม่พอ วันนั้นรามเพิ่งรับ
เงินเดือนจึงมีเงินติดกระเป๋าและได้ซื้อช็อกโกแลตให้หนูน้อย
ทันใดนั้นชายชราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แสดงความยินดีกับรามที่ผ่านการทดสอบครั้งแรกได้
ก่อนจากไปชายชรายังบอกให้รามเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งต่อไปด้วย
สองวันต่อมา รามเห็นหนูน้อยผอมโซเนื้อตัวสกปรกนอนตัวสั่นอยู่ข้างถนนด้วยความหิวโหย
รามรู้สึกสงสารหนูน้อยมาก วันนั้นรามกำลังเดินไปชำระเงินค่าไฟฟ้าที่สำนักงานไฟฟ้าซึ่งอยู่ถัดไป
ไม่ไกล รามจึงรีบไปจ่ายเงินค่าไฟฟ้าและมีเงินเหลืออีกเล็กน้อยซึ่งเขารีบวิ่งไปหาซื้ออาหารและ
นำมาให้หนูน้อยที่นอนหิวโซอยู่ เขาป้อนอาหารหนูน้อยด้วยมือของเขาเอง และเมื่อป้อนอาหารเสร็จ
ชายชราก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งและให้พรรามสำหรับความมีน้ำใจงามของเขา ชายชราบอก
ให้รามอธิษฐานขออะไรก็ได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รามจึงอธิษฐานขอให้เด็กทุกคนในอินเดียไม่ต้องทำงาน
และได้เรียนหนังสือในโรงเรียน
เช้าวันรุ่งขึ้น รามพบว่าเพื่อนของเขาทุกคนที่ปกติเป็นเด็กทำความสะอาดในโรงแรม ร้านค้า และ
โรงงานต่าง ๆ กำลังเดินไปโรงเรียนกัน พ่อของพวกเขาทุกคนต่างก็มีงานทำ และพ่อแม่ของพวกเขา
ที่เคยป่วยอยู่ทุกคนก็กลับมีสุขภาพแข็งแรง ยิ่งกว่านั้นในวันเดียวกัน รัฐบาลอินเดียออกประกาศว่า
จะไม่มีการใช้แรงงานเด็กอีกต่อไปและให้เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน หลังจากต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี
ในที่สุดทั้งรามและน้องสาวก็ได้ไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ด้วย
ข้อคิด: การทำงานหนักนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ : Hard work always brings success.
-------------------------------------
( 4 )
เรื่องสั้น คนสวนโง่เขลา จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Foolish Gardener”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นเจ้าของสวนขนาดใหญ่มากติดกับชายป่า
คนสวนที่เขาจ้างเป็นคนขยันดูแลพืชผลในสวนเป็นอย่างดีและจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก
ในฤดูร้อนคนสวนต้องรดน้ำต้นไม้ในสวนทุกวันโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งคนสวนก็ทราบดีว่า
ถ้าเขาไม่รดน้ำแม้แต่หนึ่งวัน ต้นไม้ก็จะเหี่ยวเฉาตาย ทุกครั้งที่เขาขอลาหยุด เจ้านายจะ
ถามเขาว่า “ฉันไม่รู้จะหาใครมาทำงานแทนคุณได้ บอกมาสิว่าจะให้ใครรดน้ำต้นไม้แทนคุณ?”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเจ้านายเช่นนี้ คนสวนก็จนมุมและดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีวันหยุดเลย
เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
วันหนึ่งในหมู่บ้านที่เจ้าของสวนอาศัยอยู่กำลังจะมีงานรื่นเริงประจำปีที่วัดประจำหมู่บ้าน
คนสวนอยากพาครอบครัวไปร่วมงานนี้เป็นที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะต้องไปร่วมงานรื่นเริงนี้ให้ได้ไ
ม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น คนสวนจึงวางแผนโดยจะไปขอความร่วมมือจากฝูงลิงที่อาศัยอยู่ในป่า
ที่อยู่ติดกับสวนที่เขาทำงาน จากนั้นเขาก็ไปหา“ราชาลิง” และพูดอย่างนิ่มนวลกับราชาลิงว่า
“ผมเป็นคนสวนให้เศรษฐีเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ผืนที่อยู่ติดกับป่านี้ เขาเป็นเจ้านายใจร้ายมาก
ไม่เคยให้ผมมีวันหยุดพักผ่อนเลยแม้แต่วันเดียว”
ราชาลิงและลิงที่อยู่รอบๆ ผงกหัวรับทราบสิ่งที่เขาพูดแล้ว คนสวนก็พูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้จะมี
งานรื่นเริงประจำปีที่วัดของหมู่บ้าน และถ้าผมขอลาหยุด เจ้านายจะไม่ยอมให้ผมหยุดอย่างแน่นอน
ขอท่านราชาลิงได้โปรดช่วยผมด้วยครับ”
ราชาลิงจึงถามว่า “แล้วเราหรือฝูงลิงของเราจะช่วยท่านได้อย่างไรล่ะ พวกเราไม่ใช่คนสวนนะ”
คนสวนจึงพูดต่อไปว่า สิ่งที่พวกท่านจะต้องทำก็คือช่วยรดน้ำต้นไม้ทุกต้นในสวนเท่านั้น ผมจะ
จัดหากระป๋องและภาชนะรดน้ำไว้ให้พร้อม ขอให้พวกท่านช่วยกันเอากระป๋องและภาชนะเหล่านั้น
ไปตักน้ำที่แม่น้ำที่ข้างป่านี้แล้วก็รดน้ำต้นไม้ทุกต้นในสวนของเจ้านายครับ”
ราชาลิงตอบว่า “อ๋อ แค่นี้เอง! ไม่ต้องห่วง ท่านพาทุกคนในครอบครัวไปเที่ยวงานรื่นเริงที่วัดได้
ตามสบาย พวกเราจะจัดการเรื่องรดน้ำต้นไม้ให้อย่างเรียบร้อย”
คนสวนโล่งใจมากเมื่อได้ยินคำตอบของราชาลิงเพราะตอนนี้เขาสามารถพาภรรยาและลูกๆ
ไปเที่ยวงานวัดได้แล้ว เช้าวันงานคนสวนพาสมาชิกครอบครัวทุกคนไปเที่ยวงานวัดอย่างสนุกสนาน
ทั้งวันโดยไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เช้าตรู่วันนั้น หลังจากพวกลิงตักน้ำและขนน้ำไปที่ต้นไม้แล้วพวกมันก็รู้สึก
สับสนเพราะไม่รู้วิธีการรดน้ำที่ถูกต้อง คือไม่รู้ว่าต้องรดน้ำมากน้อยแค่ไหน และต้องรดน้ำตรงส่วน
ไหนของต้นไม้... พวกมันจึงถามราชาลิงซึ่งตรัสตอบว่า “ให้รดน้ำแต่ละต้นที่รากของต้นไม้”
พวกลิงยังถามต่ออีกว่า “แล้วจะหารากของต้นไม้ได้อย่างไรครับ”
ราชาลิงก็ตอบว่า “ก็แค่ดึงต้นไม้ขึ้นมา แล้วก็ราดน้ำลงไปที่รากเท่านั้นเอง”
ในที่สุดพวกลิงก็จัดการถอนต้นไม้ทุกต้นจนหมดสวน แล้วรดน้ำไปที่ราก จากนั้นก็พยายามนำ
ต้นไม้แต่ละต้นกลับไปปลูกคืนไว้ที่เดิม แต่ก็ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวตั้งอยู่ในสภาพเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเจ้าของสวนเดินตรวจต้นไม้ในสวนตอนเช้า ก็พบว่าต้นไม้ทุกต้นเริ่มแห้งเหี่ยว
เขาโกรธจัดและไล่คนสวนออกจากงานทันที
ข้อคิด : จงอย่าพึ่งใครมาทำงานของคุณ : Do not depend on anyone to do your work.
---------------------------------------
เรื่องสั้น คนสวนโง่เขลา จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Foolish Gardener”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นเจ้าของสวนขนาดใหญ่มากติดกับชายป่า
คนสวนที่เขาจ้างเป็นคนขยันดูแลพืชผลในสวนเป็นอย่างดีและจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก
ในฤดูร้อนคนสวนต้องรดน้ำต้นไม้ในสวนทุกวันโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งคนสวนก็ทราบดีว่า
ถ้าเขาไม่รดน้ำแม้แต่หนึ่งวัน ต้นไม้ก็จะเหี่ยวเฉาตาย ทุกครั้งที่เขาขอลาหยุด เจ้านายจะ
ถามเขาว่า “ฉันไม่รู้จะหาใครมาทำงานแทนคุณได้ บอกมาสิว่าจะให้ใครรดน้ำต้นไม้แทนคุณ?”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเจ้านายเช่นนี้ คนสวนก็จนมุมและดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีวันหยุดเลย
เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
วันหนึ่งในหมู่บ้านที่เจ้าของสวนอาศัยอยู่กำลังจะมีงานรื่นเริงประจำปีที่วัดประจำหมู่บ้าน
คนสวนอยากพาครอบครัวไปร่วมงานนี้เป็นที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะต้องไปร่วมงานรื่นเริงนี้ให้ได้ไ
ม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น คนสวนจึงวางแผนโดยจะไปขอความร่วมมือจากฝูงลิงที่อาศัยอยู่ในป่า
ที่อยู่ติดกับสวนที่เขาทำงาน จากนั้นเขาก็ไปหา“ราชาลิง” และพูดอย่างนิ่มนวลกับราชาลิงว่า
“ผมเป็นคนสวนให้เศรษฐีเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ผืนที่อยู่ติดกับป่านี้ เขาเป็นเจ้านายใจร้ายมาก
ไม่เคยให้ผมมีวันหยุดพักผ่อนเลยแม้แต่วันเดียว”
ราชาลิงและลิงที่อยู่รอบๆ ผงกหัวรับทราบสิ่งที่เขาพูดแล้ว คนสวนก็พูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้จะมี
งานรื่นเริงประจำปีที่วัดของหมู่บ้าน และถ้าผมขอลาหยุด เจ้านายจะไม่ยอมให้ผมหยุดอย่างแน่นอน
ขอท่านราชาลิงได้โปรดช่วยผมด้วยครับ”
ราชาลิงจึงถามว่า “แล้วเราหรือฝูงลิงของเราจะช่วยท่านได้อย่างไรล่ะ พวกเราไม่ใช่คนสวนนะ”
คนสวนจึงพูดต่อไปว่า สิ่งที่พวกท่านจะต้องทำก็คือช่วยรดน้ำต้นไม้ทุกต้นในสวนเท่านั้น ผมจะ
จัดหากระป๋องและภาชนะรดน้ำไว้ให้พร้อม ขอให้พวกท่านช่วยกันเอากระป๋องและภาชนะเหล่านั้น
ไปตักน้ำที่แม่น้ำที่ข้างป่านี้แล้วก็รดน้ำต้นไม้ทุกต้นในสวนของเจ้านายครับ”
ราชาลิงตอบว่า “อ๋อ แค่นี้เอง! ไม่ต้องห่วง ท่านพาทุกคนในครอบครัวไปเที่ยวงานรื่นเริงที่วัดได้
ตามสบาย พวกเราจะจัดการเรื่องรดน้ำต้นไม้ให้อย่างเรียบร้อย”
คนสวนโล่งใจมากเมื่อได้ยินคำตอบของราชาลิงเพราะตอนนี้เขาสามารถพาภรรยาและลูกๆ
ไปเที่ยวงานวัดได้แล้ว เช้าวันงานคนสวนพาสมาชิกครอบครัวทุกคนไปเที่ยวงานวัดอย่างสนุกสนาน
ทั้งวันโดยไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เช้าตรู่วันนั้น หลังจากพวกลิงตักน้ำและขนน้ำไปที่ต้นไม้แล้วพวกมันก็รู้สึก
สับสนเพราะไม่รู้วิธีการรดน้ำที่ถูกต้อง คือไม่รู้ว่าต้องรดน้ำมากน้อยแค่ไหน และต้องรดน้ำตรงส่วน
ไหนของต้นไม้... พวกมันจึงถามราชาลิงซึ่งตรัสตอบว่า “ให้รดน้ำแต่ละต้นที่รากของต้นไม้”
พวกลิงยังถามต่ออีกว่า “แล้วจะหารากของต้นไม้ได้อย่างไรครับ”
ราชาลิงก็ตอบว่า “ก็แค่ดึงต้นไม้ขึ้นมา แล้วก็ราดน้ำลงไปที่รากเท่านั้นเอง”
ในที่สุดพวกลิงก็จัดการถอนต้นไม้ทุกต้นจนหมดสวน แล้วรดน้ำไปที่ราก จากนั้นก็พยายามนำ
ต้นไม้แต่ละต้นกลับไปปลูกคืนไว้ที่เดิม แต่ก็ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวตั้งอยู่ในสภาพเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเจ้าของสวนเดินตรวจต้นไม้ในสวนตอนเช้า ก็พบว่าต้นไม้ทุกต้นเริ่มแห้งเหี่ยว
เขาโกรธจัดและไล่คนสวนออกจากงานทันที
ข้อคิด : จงอย่าพึ่งใครมาทำงานของคุณ : Do not depend on anyone to do your work.
---------------------------------------
( 5 )
เรื่องสั้น ฝันที่เป็นจริง จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A dream comes true”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สาวน้อยจัสมินผู้ร่าเริงวัย 16 ปีอาศัยอยู่ในฟาร์มเล็กๆ กับลุคผู้เป็นบิดา
และลิลี่มารดา นอกจากนั้นก็ยังมีลุงเดฟและป้าโจเซฟินที่อยู่ในบ้านเดียวกัน บริเวณรอบฟาร์มเป็นท้องไร่
ในเขตรัฐอลาบามา ทุกคนใช้นามสกุลเดียวกันคือ”เบลล์” พวกเขามีอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์และขายน้ำนมวัว
แม้ว่าพวกเขามีฐานะค่อนข้างยากจนแต่ก็มีความสุขสบายกับชีวิตความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมตาม
ธรรมชาติ จัสมินมีส่วนช่วยการทำฟาร์มมาก เธอชอบขี่ม้าและเลี้ยงม้าโดยเฉพาะม้าที่ชื่อแมเดอลีน (
Madeline) ซึ่งเป็นแม่ม้าสีขาวสดใสและมีแผงคอเป็นเงาประกาย นอกจากนั้นแมเดอลีนยังเป็นม้าที่วิ่ง
เร็วมากอีกด้วย จัสมินจึงตั้งความหวังว่า วันหนึ่งเธอจะควบม้าแมเดอลีนคว้าแชมป์ในสนามแข่งให้จงได้
ปัญหาใหญ่เฉพาะหน้าของพวกเขาคือการชำระค่าเช่าที่ดินซึ่งมีนายดั๊ก สมิธ (Doug Smith) เจ้าของที่ดิน
ซึ่งเรียกร้องให้พวกเขาชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนแทนที่จะเป็นรายปีตามที่เคยตกลงกันไว้ก่อนการเช่าที่ดิน
ทำฟาร์มเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเริ่มต้นทำฟาร์มนั้น จัสมินเป็นเพียงทารกแรกเกิด เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขา
ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนน นายดั๊กพบพวกเขาและแสดงความเมตตาโดยเสนอให้เช่าที่ดินแปลงหนึ่ง
ของเขาเพื่อให้พวกเขาทำฟาร์ม และตกลงจะเก็บค่าเช่าที่ดินหลังจากทำฟาร์มครบหนึ่งปี
สมาชิกสกุลเบลล์เป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาทำงานหนักเพื่อหาเงินเป็นค่าเช่าที่ดินให้ได้ภายในกำหนดเวลา
หนึ่งปี สิ้นปีแรกพวกเขาสามารถชำระค่าเช่าที่ดินได้ตามกำหนดเวลา แต่หลังจากที่ดั๊กรู้ว่าพวกสกุลเบลล์
เป็นคนใจดีและเป็นคนซื่อไม่ประสีประสา ดั๊กก็ออกลายแสดงตัวตนที่แท้จริงโดยเริ่มเรียกร้องจาก
พวกเขามากขึ้น
ต่อมาในวันหนึ่ง ดั๊กมาพบพวกเขาและบอกให้ชำระค่าเช่าที่ดินทุกเดือน วันนั้นพวกเขาแทบจะไม่มีเงินติด
บ้านเลยเพราะฤดูทำฟาร์มก่อนหน้านั้นเกิดภัยพิบัติ พวกเขาจึงไม่มีเงินค่าเช่าให้ดั๊กและคิดจะให้ม้าใน
คอกตัวหนึ่งเป็นค่าเช่าแทน แต่จัสมินคัดค้านความคิดนี้อย่างสุดฤทธิ์
จัสมินหันหน้าไปทางดั๊กและตะโกนสุดเสียงด้วยความหงุดหงิดว่า “ทำไมคุณยังจะมาเก็บค่าเช่า
ที่ดินอีก เราเพิ่งจ่ายค่าเช่าให้คุณไปตั้งเยอะเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่หรือ”
“มันไม่เกี่ยวกับเธอเลยนะ แม่หนูน้อย นี่เป็นเรื่องของเราผู้ใหญ่จะตกลงกัน...”
“ฉันไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ! พวกเราจะไม่จ่ายเงินอะไรทั้งนั้น คุณออกไปได้แล้ว...ไปเลย!
ที่สุดดั๊กก็จนมุม และก้มหน้าคอตกเดินจากไป
เมื่อดั๊กไปแล้ว จัสมินก็เริ่มคิดหนักว่าจะหาทางออกกับปัญหานี้ได้อย่างไร หลังจากนั้นเธอก็พลิก
หนังสือพิมพ์ไปที่หน้าเรื่องการแข่งม้าในเมืองซึ่งมีรางวัลจูงใจเป็นเงินสดสูงถึง 10,000 ดอลลาร์สำหรับ
ผู้ชนะ! เธอตัดสินใจทันทีว่าเธอจะขี่ม้าแมเดอลีนเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย เธอบอกทุกคนในบ้าน
เกี่ยวกับเรื่องนี้และทุกคนก็เห็นดีด้วย หลังจากนั้นเธอก็เข้าเมืองและลงทะเบียนที่สถานที่จัดแข่งม้าโดย
ใส่ชื่อของเธอและม้าแมเดอลีน เจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันบอกเธอว่าการแข่งขันจะจัดขึ้นในอีกสิบเอ็ดวัน
ในวันแข่งม้า ทุกคนที่ฟาร์มต่างตื่นเต้นและพากันไปดูการแข่งม้าที่สนามม้าในเมืองที่มีผู้คน
ซื้อบัตรเข้าดูการแข่งขันเต็มทุกที่นั่ง
ทันทีที่ได้ยินสัญญาณปล่อยตัว จัสมินก็ควบม้ามาเดอลีนออกนำม้าตัวอื่นทั้งหมดและเข้าเส้นชัยอย่าง
ขาวสะอาด และในที่สุดความฝันของจัสมินก็เป็นจริง เงินรางวัลก้อนโตที่เธอได้รับช่วยให้สมาชิก
สกุลเบลล์ที่ฟาร์มมีชีวิตที่สะดวกสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
------------------------------------
เรื่องสั้น ฝันที่เป็นจริง จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A dream comes true”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สาวน้อยจัสมินผู้ร่าเริงวัย 16 ปีอาศัยอยู่ในฟาร์มเล็กๆ กับลุคผู้เป็นบิดา
และลิลี่มารดา นอกจากนั้นก็ยังมีลุงเดฟและป้าโจเซฟินที่อยู่ในบ้านเดียวกัน บริเวณรอบฟาร์มเป็นท้องไร่
ในเขตรัฐอลาบามา ทุกคนใช้นามสกุลเดียวกันคือ”เบลล์” พวกเขามีอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์และขายน้ำนมวัว
แม้ว่าพวกเขามีฐานะค่อนข้างยากจนแต่ก็มีความสุขสบายกับชีวิตความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมตาม
ธรรมชาติ จัสมินมีส่วนช่วยการทำฟาร์มมาก เธอชอบขี่ม้าและเลี้ยงม้าโดยเฉพาะม้าที่ชื่อแมเดอลีน (
Madeline) ซึ่งเป็นแม่ม้าสีขาวสดใสและมีแผงคอเป็นเงาประกาย นอกจากนั้นแมเดอลีนยังเป็นม้าที่วิ่ง
เร็วมากอีกด้วย จัสมินจึงตั้งความหวังว่า วันหนึ่งเธอจะควบม้าแมเดอลีนคว้าแชมป์ในสนามแข่งให้จงได้
ปัญหาใหญ่เฉพาะหน้าของพวกเขาคือการชำระค่าเช่าที่ดินซึ่งมีนายดั๊ก สมิธ (Doug Smith) เจ้าของที่ดิน
ซึ่งเรียกร้องให้พวกเขาชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนแทนที่จะเป็นรายปีตามที่เคยตกลงกันไว้ก่อนการเช่าที่ดิน
ทำฟาร์มเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเริ่มต้นทำฟาร์มนั้น จัสมินเป็นเพียงทารกแรกเกิด เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขา
ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนน นายดั๊กพบพวกเขาและแสดงความเมตตาโดยเสนอให้เช่าที่ดินแปลงหนึ่ง
ของเขาเพื่อให้พวกเขาทำฟาร์ม และตกลงจะเก็บค่าเช่าที่ดินหลังจากทำฟาร์มครบหนึ่งปี
สมาชิกสกุลเบลล์เป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาทำงานหนักเพื่อหาเงินเป็นค่าเช่าที่ดินให้ได้ภายในกำหนดเวลา
หนึ่งปี สิ้นปีแรกพวกเขาสามารถชำระค่าเช่าที่ดินได้ตามกำหนดเวลา แต่หลังจากที่ดั๊กรู้ว่าพวกสกุลเบลล์
เป็นคนใจดีและเป็นคนซื่อไม่ประสีประสา ดั๊กก็ออกลายแสดงตัวตนที่แท้จริงโดยเริ่มเรียกร้องจาก
พวกเขามากขึ้น
ต่อมาในวันหนึ่ง ดั๊กมาพบพวกเขาและบอกให้ชำระค่าเช่าที่ดินทุกเดือน วันนั้นพวกเขาแทบจะไม่มีเงินติด
บ้านเลยเพราะฤดูทำฟาร์มก่อนหน้านั้นเกิดภัยพิบัติ พวกเขาจึงไม่มีเงินค่าเช่าให้ดั๊กและคิดจะให้ม้าใน
คอกตัวหนึ่งเป็นค่าเช่าแทน แต่จัสมินคัดค้านความคิดนี้อย่างสุดฤทธิ์
จัสมินหันหน้าไปทางดั๊กและตะโกนสุดเสียงด้วยความหงุดหงิดว่า “ทำไมคุณยังจะมาเก็บค่าเช่า
ที่ดินอีก เราเพิ่งจ่ายค่าเช่าให้คุณไปตั้งเยอะเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่หรือ”
“มันไม่เกี่ยวกับเธอเลยนะ แม่หนูน้อย นี่เป็นเรื่องของเราผู้ใหญ่จะตกลงกัน...”
“ฉันไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ! พวกเราจะไม่จ่ายเงินอะไรทั้งนั้น คุณออกไปได้แล้ว...ไปเลย!
ที่สุดดั๊กก็จนมุม และก้มหน้าคอตกเดินจากไป
เมื่อดั๊กไปแล้ว จัสมินก็เริ่มคิดหนักว่าจะหาทางออกกับปัญหานี้ได้อย่างไร หลังจากนั้นเธอก็พลิก
หนังสือพิมพ์ไปที่หน้าเรื่องการแข่งม้าในเมืองซึ่งมีรางวัลจูงใจเป็นเงินสดสูงถึง 10,000 ดอลลาร์สำหรับ
ผู้ชนะ! เธอตัดสินใจทันทีว่าเธอจะขี่ม้าแมเดอลีนเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย เธอบอกทุกคนในบ้าน
เกี่ยวกับเรื่องนี้และทุกคนก็เห็นดีด้วย หลังจากนั้นเธอก็เข้าเมืองและลงทะเบียนที่สถานที่จัดแข่งม้าโดย
ใส่ชื่อของเธอและม้าแมเดอลีน เจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันบอกเธอว่าการแข่งขันจะจัดขึ้นในอีกสิบเอ็ดวัน
ในวันแข่งม้า ทุกคนที่ฟาร์มต่างตื่นเต้นและพากันไปดูการแข่งม้าที่สนามม้าในเมืองที่มีผู้คน
ซื้อบัตรเข้าดูการแข่งขันเต็มทุกที่นั่ง
ทันทีที่ได้ยินสัญญาณปล่อยตัว จัสมินก็ควบม้ามาเดอลีนออกนำม้าตัวอื่นทั้งหมดและเข้าเส้นชัยอย่าง
ขาวสะอาด และในที่สุดความฝันของจัสมินก็เป็นจริง เงินรางวัลก้อนโตที่เธอได้รับช่วยให้สมาชิก
สกุลเบลล์ที่ฟาร์มมีชีวิตที่สะดวกสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
------------------------------------
( 6 )
เรื่องสั้น ชาร์ลี – ไดโนเสาร์คอยาว จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “Charlie – The Long-necked Dinosaur”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่ง มีไดโนเสาร์ตัวหนึ่งชื่อชาร์ลี มันเป็นไดโนเสาร์ที่มีนิสัยดีต่อเพื่อนสัตว์ทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม มีอย่างหนึ่งที่มันไม่ชอบเลยคือการมีคอที่ยาวมาก เพราะเพื่อนๆ มักจะล้อเรื่อง
คอยาวของมันอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง เพื่อนของชาร์ลีชวนไปงานปาร์ตี้ที่บ้าน ชาร์ลีตื่นเต้นมาก
และแต่งตัวเต็มยศสำหรับงานนี้เป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดี ขณะที่ชาร์ลีกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านเพื่อน หัวของมันก็เกิดไปชนเข้ากับประตูบ้าน
อย่างจังและไม่สามารถจะหดคอเพื่อเข้าไปในบ้านได้ สัตว์ที่ได้รับเชิญทุกตัวที่มองมาที่ชาร์ลีและ
ส่งเสียงหัวเราะล้อเลียน
ชาร์ลีเริ่มร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจและวิ่งออกจากงานไปอย่างไร้จุดหมายพลางพูดกับตัวเองว่า
“ฉันเกลียดคอที่ยาวของฉันจัง เพราะมันทำให้ฉันดูงี่เง่า คิดดูสิ คอของฉันไม่เคยเป็นประโยชน์
กับสัตว์ตัวอื่นเลย”
และเนื่องจากชาร์ลีวิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าไปในป่าอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าหลงทางก็สายเสียแล้ว ที่สุด
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งและร้องไห้ฟูมฟาย ชาร์ลีก็ม่อยหลับไปข้างต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา ชาร์ลีได้ยินเสียงร้องไห้ในบริเวณนั้น และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่
เห็นสิ่งมีชีวิตใด ๆ ชาร์ลีจึงร้องถามออกไปว่า “มีใครร้องไห้อยู่หรือ ช่วยบอกด้วย!" จากนั้นก็มี
เสียงตอบเบาๆ ว่า “อยู่ที่นี่ไง ตัวฉันเอง! ฉันอยู่ที่พื้นดินที่ข้างขาของเธอ เธอก้มคอลงมาดูสิ!”
เมื่อชาร์ลีก้มลงมองก็เห็นต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งที่ขา และเมื่อถามว่าทำไมถึงร้องไห้ ต้นไม้เล็กก็
ตอบว่า “ก็เพราะฉันไม่สามารถจะโตได้อีกน่ะสิ เพราะต้นไม้สูงใหญ่ต้นนี้บดบังแสงแดดไปหมด
จนไม่เหลือแสงแดดให้ฉันเลย ฉันก็อยากจะเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่เหมือนกัน และที่จริงไม่ใช่แค่ฉัน
ต้นเดียวเท่านั้นนะที่ไม่สามารถจะโตได้อีก เพื่อนข้างๆ อีกหลายต้นก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน”
หลังจากได้ฟังเรื่องของต้นไม้เล็กต้นนั้นแล้วชาร์ลีก็รู้สึกเศร้าใจไปกับต้นไม้เล็กเหล่านั้นด้วยและ
คิดหาวิธีช่วยพวกเขา แล้วชาร์ลีก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว มันยืดคอที่ยาวออกไปจนถึง
กิ่งก้านของต้นไม้สูงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มเคี้ยวกินใบไม้พุ่มนั้นจนเกิดเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ทำ
ให้แสงแดดส่องลงมาที่พื้นดินได้ อย่างไรก็ตามชาร์ลีไม่ได้กินใบไม้จนหมดต้นเพราะชาร์ลีรู้ว่า
ต้นไม้สูงก็ต้องอาศัยใบเพื่อความอยู่รอดของมันเช่นเดียวกับต้นไม้เล็กๆ เช่นกัน
บัดนี้ชาร์ลีมีความสุขมากที่สามารถใช้คอที่ยาวของมันเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ชาร์ลีถึง
กับร้องเพลงอย่างสนุกสนานท่ามกลางแสงแดด ต้นไม้ทั้งเล็กและใหญ่ในบริเวณนั้นต่างกล่าวขอบคุณ
สำหรับความช่วยเหลือของชาร์ลีและนับแต่นั้นมาชาร์ลีก็มีเพื่อนใหม่และภูมิใจกับการมีคอยาวของมัน
ข้อคิด: มนุษย์ทุกคนมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกันซ่อนอยู่ แต่ละคนจึงควรเรียนรู้จักพรสวรรค์ของตนและ
นำออกใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันของเราทุกคน
-------------------------------------
เรื่องสั้น ชาร์ลี – ไดโนเสาร์คอยาว จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “Charlie – The Long-necked Dinosaur”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่ง มีไดโนเสาร์ตัวหนึ่งชื่อชาร์ลี มันเป็นไดโนเสาร์ที่มีนิสัยดีต่อเพื่อนสัตว์ทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม มีอย่างหนึ่งที่มันไม่ชอบเลยคือการมีคอที่ยาวมาก เพราะเพื่อนๆ มักจะล้อเรื่อง
คอยาวของมันอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง เพื่อนของชาร์ลีชวนไปงานปาร์ตี้ที่บ้าน ชาร์ลีตื่นเต้นมาก
และแต่งตัวเต็มยศสำหรับงานนี้เป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดี ขณะที่ชาร์ลีกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านเพื่อน หัวของมันก็เกิดไปชนเข้ากับประตูบ้าน
อย่างจังและไม่สามารถจะหดคอเพื่อเข้าไปในบ้านได้ สัตว์ที่ได้รับเชิญทุกตัวที่มองมาที่ชาร์ลีและ
ส่งเสียงหัวเราะล้อเลียน
ชาร์ลีเริ่มร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจและวิ่งออกจากงานไปอย่างไร้จุดหมายพลางพูดกับตัวเองว่า
“ฉันเกลียดคอที่ยาวของฉันจัง เพราะมันทำให้ฉันดูงี่เง่า คิดดูสิ คอของฉันไม่เคยเป็นประโยชน์
กับสัตว์ตัวอื่นเลย”
และเนื่องจากชาร์ลีวิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าไปในป่าอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าหลงทางก็สายเสียแล้ว ที่สุด
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งและร้องไห้ฟูมฟาย ชาร์ลีก็ม่อยหลับไปข้างต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา ชาร์ลีได้ยินเสียงร้องไห้ในบริเวณนั้น และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่
เห็นสิ่งมีชีวิตใด ๆ ชาร์ลีจึงร้องถามออกไปว่า “มีใครร้องไห้อยู่หรือ ช่วยบอกด้วย!" จากนั้นก็มี
เสียงตอบเบาๆ ว่า “อยู่ที่นี่ไง ตัวฉันเอง! ฉันอยู่ที่พื้นดินที่ข้างขาของเธอ เธอก้มคอลงมาดูสิ!”
เมื่อชาร์ลีก้มลงมองก็เห็นต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งที่ขา และเมื่อถามว่าทำไมถึงร้องไห้ ต้นไม้เล็กก็
ตอบว่า “ก็เพราะฉันไม่สามารถจะโตได้อีกน่ะสิ เพราะต้นไม้สูงใหญ่ต้นนี้บดบังแสงแดดไปหมด
จนไม่เหลือแสงแดดให้ฉันเลย ฉันก็อยากจะเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่เหมือนกัน และที่จริงไม่ใช่แค่ฉัน
ต้นเดียวเท่านั้นนะที่ไม่สามารถจะโตได้อีก เพื่อนข้างๆ อีกหลายต้นก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน”
หลังจากได้ฟังเรื่องของต้นไม้เล็กต้นนั้นแล้วชาร์ลีก็รู้สึกเศร้าใจไปกับต้นไม้เล็กเหล่านั้นด้วยและ
คิดหาวิธีช่วยพวกเขา แล้วชาร์ลีก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว มันยืดคอที่ยาวออกไปจนถึง
กิ่งก้านของต้นไม้สูงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มเคี้ยวกินใบไม้พุ่มนั้นจนเกิดเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ทำ
ให้แสงแดดส่องลงมาที่พื้นดินได้ อย่างไรก็ตามชาร์ลีไม่ได้กินใบไม้จนหมดต้นเพราะชาร์ลีรู้ว่า
ต้นไม้สูงก็ต้องอาศัยใบเพื่อความอยู่รอดของมันเช่นเดียวกับต้นไม้เล็กๆ เช่นกัน
บัดนี้ชาร์ลีมีความสุขมากที่สามารถใช้คอที่ยาวของมันเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ชาร์ลีถึง
กับร้องเพลงอย่างสนุกสนานท่ามกลางแสงแดด ต้นไม้ทั้งเล็กและใหญ่ในบริเวณนั้นต่างกล่าวขอบคุณ
สำหรับความช่วยเหลือของชาร์ลีและนับแต่นั้นมาชาร์ลีก็มีเพื่อนใหม่และภูมิใจกับการมีคอยาวของมัน
ข้อคิด: มนุษย์ทุกคนมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกันซ่อนอยู่ แต่ละคนจึงควรเรียนรู้จักพรสวรรค์ของตนและ
นำออกใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันของเราทุกคน
-------------------------------------
( 7 )
------》เรื่องสั้น
ชายชราและชายฉกรรจ์ 3 คน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Old Man Meets the Three Young Men”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายฉกรรจ์ผู้เกียจคร้าน 3 คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกเขา
นอกจากไม่ชอบทำงานใดๆ แล้วยังชอบล้อเลียนคนอื่นที่ทำงานหนักอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคย
ฟังคำเตือนของผู้ใด ผู้คนในหมู่บ้านรู้สึกรำคาญทั้งสามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกเขา
ทั้งวันพวกเขาได้แต่นั่งเฉยๆ และพูดจาหยอกล้อกันโดยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสามตระเวนเที่ยวไปในหมู่บ้านและสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังขุดดินใน
สวนอย่างหนักเพื่อปลูกต้นไม้ ทั้งสามประหลาดใจมากที่เห็นชายชรามุ่งมั่นในการทำงานอย่างหนัก
และเริ่มล้อเลียนชายชรา หนึ่งในนั้นพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย อายุปานนี้แล้วยังมาขุดดินปลูกต้นไม้อีก
ท่านโง่หรือฉลาดเลยไม่รู้หรือว่าจะต้องตายจากไปก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล?”
แต่ชายชราไม่สนใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูดและและทำงานต่อไป
ชายอีกคนหนึ่งพูดว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่จะปลูกต้นไม้ตอนนี้ในเมื่อท่านจะไม่ได้ลิ้มรสผลไม้จาก
ต้นไม้ที่อุตส่าห์ลงแรงปลูก” แต่ชายชรายังคงเพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและทำงานปลูกต้นไม้ต่อไป
เพราะชายชราเข้าใจดีว่า คนขี้เกียจเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนักและการฝากผลงาน
ไว้ให้ผู้อื่นได้เก็บเกี่ยวผลในภายหลัง
คนขี้เกียจคนที่สามพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ต้นไม้ผลยืนต้นกว่าจะออกดอกออกผลต้องใช้เวลา
หลายปี และเมื่อถึงตอนนั้นท่านจะไม่ได้อยู่ดูโลกแล้ว”
หลังจากชายชราได้ยินคำพูดจากชายขี้เกียจทั้งสามมามากพอแล้ว ท่านชราก็หันหน้าไปยิ้มให้
พวกเขา พูดตอบว่า “ฉันรู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล แต่ฉัน
ไม่ได้ปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนรุ่นหลังที่ตามมาภายหลัง”
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่พูด ท่านจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “คนรุ่นหลังที่ตามมาจะได้ลิ้มรส
ผลไม้รสดีจากต้นไม้ผลเหล่านี้ จากนั้นพวกเขาก็จะระลึกถึงตัวฉันและสิ่งที่ฉันได้ทำเพื่อพวกเขา และ
ดังนั้น การทำงานหนักของฉันก็จะเกิดผลอย่างแน่นอน และผลดีที่เกิดตัวฉันจะอยู่ในความคิดและหัวใจ
ของพวกเขา พวกเขาจะขอบคุณสำหรับผลไม้ที่ฉันเป็นคนปลูก แต่พวกคุณทั้งสามที่ยังแข็งแรงอยู่กลับ
ไม่คิดจะทำอะไรกันบ้างเลย แล้วผู้คนจะคิดถึงพวกคุณในแง่ดีกันได้อย่างไร?”
ในที่สุด ชายฉกรรจ์ทั้งสามก็เข้าใจวัตถุประสงค์การทำงานของชายชราแล้ว
จากนั้นทั้งสามก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตและไม่เกียจคร้านอีกต่อไป
------------------------------------
------》เรื่องสั้น
ชายชราและชายฉกรรจ์ 3 คน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Old Man Meets the Three Young Men”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายฉกรรจ์ผู้เกียจคร้าน 3 คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกเขา
นอกจากไม่ชอบทำงานใดๆ แล้วยังชอบล้อเลียนคนอื่นที่ทำงานหนักอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคย
ฟังคำเตือนของผู้ใด ผู้คนในหมู่บ้านรู้สึกรำคาญทั้งสามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกเขา
ทั้งวันพวกเขาได้แต่นั่งเฉยๆ และพูดจาหยอกล้อกันโดยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสามตระเวนเที่ยวไปในหมู่บ้านและสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังขุดดินใน
สวนอย่างหนักเพื่อปลูกต้นไม้ ทั้งสามประหลาดใจมากที่เห็นชายชรามุ่งมั่นในการทำงานอย่างหนัก
และเริ่มล้อเลียนชายชรา หนึ่งในนั้นพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย อายุปานนี้แล้วยังมาขุดดินปลูกต้นไม้อีก
ท่านโง่หรือฉลาดเลยไม่รู้หรือว่าจะต้องตายจากไปก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล?”
แต่ชายชราไม่สนใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูดและและทำงานต่อไป
ชายอีกคนหนึ่งพูดว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่จะปลูกต้นไม้ตอนนี้ในเมื่อท่านจะไม่ได้ลิ้มรสผลไม้จาก
ต้นไม้ที่อุตส่าห์ลงแรงปลูก” แต่ชายชรายังคงเพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและทำงานปลูกต้นไม้ต่อไป
เพราะชายชราเข้าใจดีว่า คนขี้เกียจเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนักและการฝากผลงาน
ไว้ให้ผู้อื่นได้เก็บเกี่ยวผลในภายหลัง
คนขี้เกียจคนที่สามพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ต้นไม้ผลยืนต้นกว่าจะออกดอกออกผลต้องใช้เวลา
หลายปี และเมื่อถึงตอนนั้นท่านจะไม่ได้อยู่ดูโลกแล้ว”
หลังจากชายชราได้ยินคำพูดจากชายขี้เกียจทั้งสามมามากพอแล้ว ท่านชราก็หันหน้าไปยิ้มให้
พวกเขา พูดตอบว่า “ฉันรู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานก่อนที่ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกออกผล แต่ฉัน
ไม่ได้ปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนรุ่นหลังที่ตามมาภายหลัง”
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่พูด ท่านจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “คนรุ่นหลังที่ตามมาจะได้ลิ้มรส
ผลไม้รสดีจากต้นไม้ผลเหล่านี้ จากนั้นพวกเขาก็จะระลึกถึงตัวฉันและสิ่งที่ฉันได้ทำเพื่อพวกเขา และ
ดังนั้น การทำงานหนักของฉันก็จะเกิดผลอย่างแน่นอน และผลดีที่เกิดตัวฉันจะอยู่ในความคิดและหัวใจ
ของพวกเขา พวกเขาจะขอบคุณสำหรับผลไม้ที่ฉันเป็นคนปลูก แต่พวกคุณทั้งสามที่ยังแข็งแรงอยู่กลับ
ไม่คิดจะทำอะไรกันบ้างเลย แล้วผู้คนจะคิดถึงพวกคุณในแง่ดีกันได้อย่างไร?”
ในที่สุด ชายฉกรรจ์ทั้งสามก็เข้าใจวัตถุประสงค์การทำงานของชายชราแล้ว
จากนั้นทั้งสามก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตและไม่เกียจคร้านอีกต่อไป
------------------------------------
( 8 )
หน้าหนาวที่แล้วฉันถูกเลิกจ้าง
เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว จึงหางานทำชั่วคราว งานส่งหนังสือพิมพ์
มีบ้านหนึ่ง ที่ฉันไปส่งฯ แต่ตู้รับ นสพ. กลับถูกปิดตาย ฉันต้องเคาะประตู และรออยู่นาน
จนชายชราคนหนึ่งก้าวเดินมาเปิดประตู ช้า ๆ
ฉันถาม: "ลุง
ทำไม ตู้ของลุงถึงถูกปิดตายไว้ ล่ะ?"
ชายชราตอบ :
"ฉันตั้งใจปิด"
ก่อนพูดว่า: " ฉันแค่อยากจะได้คุยอะไรกับคุณ ตอนที่คุณมาส่ง นสพ.ให้ฉันทุกเช้า
ช่วยเคาะประตูเรียก เพื่อส่งให้ฉันกับมือด้วย"
ฉันสงสัย - แต่มันจะลำบาก/กินเวลาของเราทั้ง 2 ฝ่าย
ลุงขอร้อง ว่า "ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณ ฉันอยู่บ้านทุกวัน เอาเป็น ว่า ฉันยินดีจะจ่าย
เพิ่ม 500 บาท/เดือนในการเคาะประตู"
แต่ถ้าวันไหน ฉันไม่เดินมารับ นสพ. ก็ให้โทรแจ้งตำรวจ! ”ฉันอยู่ตัวคนเดียว
ภรรยาฉันจากไปก่อนแล้ว ส่วนลูกชายก็อยู่ต่างประเทศ ใครจะรู้ เกิดวันหนึ่งฉันตาย!"
ฉันถาม: "คุณไม่ได้สั่งหนังสือพิมพ์มาอ่านหรือ?"
ลุงตอบในน้ำตารื้นว่า: "ฉันไม่เคยอ่านมันหรอก ฉันแค่สั่งให้คนส่งนสพ. เคาะประตู!"
"ช่วยฉันทีนะ! นี่คือหมายเลขโทรศัพท์ต่างประเทศ ของลูกชายฉัน ถ้าวันนั้นมาถึง
ช่วยโทรแจ้งลูกชายของฉันที. ”
หลังจากอ่านเนื้อหาข้างต้นแล้ว เชื่อว่าในหมู่เพื่อนๆ ของเรา จะต้องมีผู้สูงอายุที่โสด,
โดดเดี่ยว และเหงาอยู่ อย่างแน่นอน
บางครั้งคุณอาจรำคาญ คิดว่า: คุณเกษียณแล้ว ทำไมยังส่งสวัสดีตอนเช้า
ราตรีสวัสดิ์ ผ่าน Line ได้ทุกวัน?
จริงๆ แล้ว ความหมายของมันก็เหมือนการ “เคาะประตู” เพื่อแสดงความห่วงใยกันและกัน
หากวันหนึ่งคุณไม่ได้รับคำทักทายตอนเช้า บทความ คลิป vdo. จากอีกฝ่าย
บางทีเขาอาจจะป่วย หรือเกิดอะไรขึ้น
จริง ๆ แล้ว คำทักทายสวัสดีในแต่ละวัน แค่จะบอกให้รู้ว่า ฉันสบายดี เธอล่ะสบายดีไหม??
หน้าหนาวที่แล้วฉันถูกเลิกจ้าง
เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว จึงหางานทำชั่วคราว งานส่งหนังสือพิมพ์
มีบ้านหนึ่ง ที่ฉันไปส่งฯ แต่ตู้รับ นสพ. กลับถูกปิดตาย ฉันต้องเคาะประตู และรออยู่นาน
จนชายชราคนหนึ่งก้าวเดินมาเปิดประตู ช้า ๆ
ฉันถาม: "ลุง
ทำไม ตู้ของลุงถึงถูกปิดตายไว้ ล่ะ?"
ชายชราตอบ :
"ฉันตั้งใจปิด"
ก่อนพูดว่า: " ฉันแค่อยากจะได้คุยอะไรกับคุณ ตอนที่คุณมาส่ง นสพ.ให้ฉันทุกเช้า
ช่วยเคาะประตูเรียก เพื่อส่งให้ฉันกับมือด้วย"
ฉันสงสัย - แต่มันจะลำบาก/กินเวลาของเราทั้ง 2 ฝ่าย
ลุงขอร้อง ว่า "ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณ ฉันอยู่บ้านทุกวัน เอาเป็น ว่า ฉันยินดีจะจ่าย
เพิ่ม 500 บาท/เดือนในการเคาะประตู"
แต่ถ้าวันไหน ฉันไม่เดินมารับ นสพ. ก็ให้โทรแจ้งตำรวจ! ”ฉันอยู่ตัวคนเดียว
ภรรยาฉันจากไปก่อนแล้ว ส่วนลูกชายก็อยู่ต่างประเทศ ใครจะรู้ เกิดวันหนึ่งฉันตาย!"
ฉันถาม: "คุณไม่ได้สั่งหนังสือพิมพ์มาอ่านหรือ?"
ลุงตอบในน้ำตารื้นว่า: "ฉันไม่เคยอ่านมันหรอก ฉันแค่สั่งให้คนส่งนสพ. เคาะประตู!"
"ช่วยฉันทีนะ! นี่คือหมายเลขโทรศัพท์ต่างประเทศ ของลูกชายฉัน ถ้าวันนั้นมาถึง
ช่วยโทรแจ้งลูกชายของฉันที. ”
หลังจากอ่านเนื้อหาข้างต้นแล้ว เชื่อว่าในหมู่เพื่อนๆ ของเรา จะต้องมีผู้สูงอายุที่โสด,
โดดเดี่ยว และเหงาอยู่ อย่างแน่นอน
บางครั้งคุณอาจรำคาญ คิดว่า: คุณเกษียณแล้ว ทำไมยังส่งสวัสดีตอนเช้า
ราตรีสวัสดิ์ ผ่าน Line ได้ทุกวัน?
จริงๆ แล้ว ความหมายของมันก็เหมือนการ “เคาะประตู” เพื่อแสดงความห่วงใยกันและกัน
หากวันหนึ่งคุณไม่ได้รับคำทักทายตอนเช้า บทความ คลิป vdo. จากอีกฝ่าย
บางทีเขาอาจจะป่วย หรือเกิดอะไรขึ้น
จริง ๆ แล้ว คำทักทายสวัสดีในแต่ละวัน แค่จะบอกให้รู้ว่า ฉันสบายดี เธอล่ะสบายดีไหม??
( 9 )
------》เรื่องสั้น
เด็กใช้ไหวพริบปราบโจร
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Amazing Short Story on Robbery”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันหนึ่ง วิชัยวัย 12 ขวบตั้งใจจะเปิดบัญชีเงินฝากประจำเป็นครั้งแรกที่สำนักงานใหญ่
ธนาคารที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เมื่อเข้าไปในธนาคารก็พบว่าเป็นอาคารตึกใหญ่และมีหลายชั้น
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้ว วิชัยก็ทราบว่าจะต้องขึ้นไปกรอกแบบฟอร์มซึ่งอยู่ที่ชั้น 3
เมื่อได้รับแบบฟอร์มแล้ว วิชัยก็เริ่มกรอกรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมกับสังเกตุมองสิ่งที่แปลกหูแปลกตา
โดยรอบด้วยความตื่นเต้น
@การปล้นธนาคาร
ครู่ต่อมา วิชัยสังเกตเห็นผู้ชายรูปร่างกำยำ 3 คนเข้ามาในห้องที่ตนกำลังกรอกแบบฟอร์มอยู่
วิชัยไม่ได้คิดอะไรมากเพราะทั้งสามสวมเสื้อผ้าธรรมดาเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป แต่เมื่อเขา เกือบ
จะกรอกรายละเอียดเสร็จอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“ทุกคนยกมือขึ้น นี่เป็นการปล้น” วิชัยหันไปมองตามเสียงและพบว่าเป็นเสียงตะโกนของหนึ่ง
ในสามคนที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง แต่ขณะนี้ทั้งสามคนถือปืนสั้นอยู่ในมือ
หัวหน้าโจรสั่งพนักงานรับฝากเงินให้ส่งกุญแจตู้นิรภัยไปให้ ขณะที่โจรอีกสองคนเดินไปยัง
แต่ละคนในห้องและเริ่มยึดโทรศัพท์มือถือและของมีค่าของพวกเขาใส่กระเป๋า
“ส่งเงินและของมีค่าทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้ถ้ายังไม่อยากตาย” โจรคนหนึ่งออกคำสั่ง และเตือนว่า
“หากมีใครพยายามแจ้งตำรวจ ทุกคนจะถูกฆ่า” ขณะนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ
ธนาคารซึ่งอยู่ชั้นล่างยังไม่ทราบถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องทำงานที่อยู่ชั้น 3
@แผนหยุดพวกโจร
วิชัยตกใจมากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อหน้า เขาทราบดีว่าตำรวจคงยังไม่ทราบเรื่อง
และคงจะมาช่วยพวกเขาไม่ทัน เขาจึงวางแผนหลอกพวกโจร... และดังนั้นเมื่อโจรคนหนึ่งเดินมา
ที่เขาเพื่อจะยึดโทรศัพท์มือถือ เขาก็แสร้งทำเป็นว่ากำลังส่งสัญญาณมือห้ามคนที่อยู่ใกล้หน้าต่าง
คนหนึ่งอยู่ เมื่อโจรเห็นการทำไม้ทำมือเป็นเชิงห้ามของเขา ก็ถามขึ้นว่า “แกส่งสัญญาณมือไปให้ใครหรือ ?”
วิชัยตอบว่า “เมื่อกี้ผมเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าต่างบานนั้น ส่งสัญญาณมือมาให้เข้าใจว่า เขากำลัง
จะไปแจ้งตำรวจอยู่ ผมจึงพยายามส่งสัญญาณมือตอบกลับไปว่า “อย่าทำ” มิฉะนั้นพวกเราทุกคนที่นี่จะถูกฆ่า”
เมื่อพวกโจรทราบว่า คงมีคนแจ้งตำรวจเรื่องการปล้นธนาคารแล้ว โจรทั้งสามก็รีบเผ่นออกจากธนาคารไป
โดยเร็วโดยไม่ได้ทำร้ายผู้ใด
วิชัยจึงได้ใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์ร้ายแรงได้อย่างแนบเนียน
ข้อคิด : เราสามารถแก้ปัญหาที่คับขันในชีวิตได้เสมอหากเรามีสติ :
We can always get out of any difficult situation in life if we are smart about it.
--------------------------------------
------》เรื่องสั้น
เด็กใช้ไหวพริบปราบโจร
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Amazing Short Story on Robbery”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันหนึ่ง วิชัยวัย 12 ขวบตั้งใจจะเปิดบัญชีเงินฝากประจำเป็นครั้งแรกที่สำนักงานใหญ่
ธนาคารที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เมื่อเข้าไปในธนาคารก็พบว่าเป็นอาคารตึกใหญ่และมีหลายชั้น
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้ว วิชัยก็ทราบว่าจะต้องขึ้นไปกรอกแบบฟอร์มซึ่งอยู่ที่ชั้น 3
เมื่อได้รับแบบฟอร์มแล้ว วิชัยก็เริ่มกรอกรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมกับสังเกตุมองสิ่งที่แปลกหูแปลกตา
โดยรอบด้วยความตื่นเต้น
@การปล้นธนาคาร
ครู่ต่อมา วิชัยสังเกตเห็นผู้ชายรูปร่างกำยำ 3 คนเข้ามาในห้องที่ตนกำลังกรอกแบบฟอร์มอยู่
วิชัยไม่ได้คิดอะไรมากเพราะทั้งสามสวมเสื้อผ้าธรรมดาเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป แต่เมื่อเขา เกือบ
จะกรอกรายละเอียดเสร็จอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“ทุกคนยกมือขึ้น นี่เป็นการปล้น” วิชัยหันไปมองตามเสียงและพบว่าเป็นเสียงตะโกนของหนึ่ง
ในสามคนที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง แต่ขณะนี้ทั้งสามคนถือปืนสั้นอยู่ในมือ
หัวหน้าโจรสั่งพนักงานรับฝากเงินให้ส่งกุญแจตู้นิรภัยไปให้ ขณะที่โจรอีกสองคนเดินไปยัง
แต่ละคนในห้องและเริ่มยึดโทรศัพท์มือถือและของมีค่าของพวกเขาใส่กระเป๋า
“ส่งเงินและของมีค่าทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้ถ้ายังไม่อยากตาย” โจรคนหนึ่งออกคำสั่ง และเตือนว่า
“หากมีใครพยายามแจ้งตำรวจ ทุกคนจะถูกฆ่า” ขณะนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ
ธนาคารซึ่งอยู่ชั้นล่างยังไม่ทราบถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องทำงานที่อยู่ชั้น 3
@แผนหยุดพวกโจร
วิชัยตกใจมากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อหน้า เขาทราบดีว่าตำรวจคงยังไม่ทราบเรื่อง
และคงจะมาช่วยพวกเขาไม่ทัน เขาจึงวางแผนหลอกพวกโจร... และดังนั้นเมื่อโจรคนหนึ่งเดินมา
ที่เขาเพื่อจะยึดโทรศัพท์มือถือ เขาก็แสร้งทำเป็นว่ากำลังส่งสัญญาณมือห้ามคนที่อยู่ใกล้หน้าต่าง
คนหนึ่งอยู่ เมื่อโจรเห็นการทำไม้ทำมือเป็นเชิงห้ามของเขา ก็ถามขึ้นว่า “แกส่งสัญญาณมือไปให้ใครหรือ ?”
วิชัยตอบว่า “เมื่อกี้ผมเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าต่างบานนั้น ส่งสัญญาณมือมาให้เข้าใจว่า เขากำลัง
จะไปแจ้งตำรวจอยู่ ผมจึงพยายามส่งสัญญาณมือตอบกลับไปว่า “อย่าทำ” มิฉะนั้นพวกเราทุกคนที่นี่จะถูกฆ่า”
เมื่อพวกโจรทราบว่า คงมีคนแจ้งตำรวจเรื่องการปล้นธนาคารแล้ว โจรทั้งสามก็รีบเผ่นออกจากธนาคารไป
โดยเร็วโดยไม่ได้ทำร้ายผู้ใด
วิชัยจึงได้ใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์ร้ายแรงได้อย่างแนบเนียน
ข้อคิด : เราสามารถแก้ปัญหาที่คับขันในชีวิตได้เสมอหากเรามีสติ :
We can always get out of any difficult situation in life if we are smart about it.
--------------------------------------
( 10 )
------》เรื่องสั้น
หมาป่ากับสิงโต
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Wolf and the Lion”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หมาป่าตัวหนึ่งหากินใกล้ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ข้างป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มันอดทนรอจังหวะที่เหมาะสม
ก่อนจะบุกเข้าไปจับแกะที่มีคนเลี้ยงเฝ้าดู วันหนึ่งมันคาบลูกแกะตัวหนึ่งได้และจัดการฆ่าอย่างรวดเร็ว
แต่ขณะที่กำลังอ้าปากจะกินเนื้อลูกแกะเป็นคำแรกอยู่นั้น ก็มีสิงโตตัวหนึ่งผ่านมาและตะปบเอาลูกแกะ
ตัวนั้นคาบไว้ในปากต่อหน้าต่อตาหมาป่า แล้วสิงโตก็เยื้องย่างเดินจากไปอย่างใจเย็น หมาป่าไม่
สามารถทำอะไรได้เลยเพราะสิงโตเป็นสัตว์ที่มีกระดูกคนละเบอร์กับหมาป่า และหากหมาป่าคิดสู้
ชีวิตของมันก็จะถึงจุดจบเช่นเดียวกับลูกแกะอย่างแน่นอน
หลังจากเสียลูกแกะไป หมาป่าก็ถอยหลังไป 4-5 ก้าวก่อนจะพูดเปรย ๆ ขึ้นว่า “ท่านอาจเป็นเจ้าป่าก็จริง
แต่ใครให้สิทธิท่านยึดสมบัติของผู้อื่นไม่ทราบ ฉันฆ่าลูกแกะได้หลังจากอดทนเฝ้ารออยู่นานนับชั่วโมง
กว่าจะได้ลูกแกะตัวนี้มา ท่านไม่มีสิทธิ์จะแย่งอาหารของฉันไปนะ”
สิงโตจึงตอบโต้หมาป่าว่า “ลูกแกะตัวนี้เป็นสมบัติของแกหรือ...ใครให้แก...แกเองก็ขโมยมาจากคนเ
ลี้ยงแกะไม่ใช่หรือ แล้วที่จริงแกก็ขโมยลูกแกะตัวนี้มาจากแม่ของมันด้วย ดังนั้นทั้งแกกับฉัน เราต่าง
ก็เป็นขโมยเหมือนกัน แต่ฉันแข็งแกร่งกว่าแกนะ รู้ไว้ซะด้วย”
เมื่อถูกสิงโตตอกกลับเช่นนี้ หมาป่าก็จนมุมด้วยเหตุผล เพราะมันก็เป็นขโมยด้วยเหมือนกัน
มันได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองดูสิงโตกินอาหารของมันด้วยความเสียดาย
ข้อคิด :
1) การขโมยของจากคนร้ายไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายหรือถือเป็นความผิด :
Stealing from a criminal is not evil or an offense.
2) คนขโมยไม่ชอบถูกขโมยของที่ขโมยมาได้ :
Thieves do not like to get robbed either.
3) คนขโมยไม่คิดว่าอาชีพของเขาชั่วร้าย แต่จะเปลี่ยนความคิดเมื่อของที่ขโมยมาได้
ถูกขโมยไป
: Thieves do not think that their profession is evil but will not feel the same
when their loot is robbed.
-------------------------------
------》เรื่องสั้น
หมาป่ากับสิงโต
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Wolf and the Lion”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
หมาป่าตัวหนึ่งหากินใกล้ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ข้างป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มันอดทนรอจังหวะที่เหมาะสม
ก่อนจะบุกเข้าไปจับแกะที่มีคนเลี้ยงเฝ้าดู วันหนึ่งมันคาบลูกแกะตัวหนึ่งได้และจัดการฆ่าอย่างรวดเร็ว
แต่ขณะที่กำลังอ้าปากจะกินเนื้อลูกแกะเป็นคำแรกอยู่นั้น ก็มีสิงโตตัวหนึ่งผ่านมาและตะปบเอาลูกแกะ
ตัวนั้นคาบไว้ในปากต่อหน้าต่อตาหมาป่า แล้วสิงโตก็เยื้องย่างเดินจากไปอย่างใจเย็น หมาป่าไม่
สามารถทำอะไรได้เลยเพราะสิงโตเป็นสัตว์ที่มีกระดูกคนละเบอร์กับหมาป่า และหากหมาป่าคิดสู้
ชีวิตของมันก็จะถึงจุดจบเช่นเดียวกับลูกแกะอย่างแน่นอน
หลังจากเสียลูกแกะไป หมาป่าก็ถอยหลังไป 4-5 ก้าวก่อนจะพูดเปรย ๆ ขึ้นว่า “ท่านอาจเป็นเจ้าป่าก็จริง
แต่ใครให้สิทธิท่านยึดสมบัติของผู้อื่นไม่ทราบ ฉันฆ่าลูกแกะได้หลังจากอดทนเฝ้ารออยู่นานนับชั่วโมง
กว่าจะได้ลูกแกะตัวนี้มา ท่านไม่มีสิทธิ์จะแย่งอาหารของฉันไปนะ”
สิงโตจึงตอบโต้หมาป่าว่า “ลูกแกะตัวนี้เป็นสมบัติของแกหรือ...ใครให้แก...แกเองก็ขโมยมาจากคนเ
ลี้ยงแกะไม่ใช่หรือ แล้วที่จริงแกก็ขโมยลูกแกะตัวนี้มาจากแม่ของมันด้วย ดังนั้นทั้งแกกับฉัน เราต่าง
ก็เป็นขโมยเหมือนกัน แต่ฉันแข็งแกร่งกว่าแกนะ รู้ไว้ซะด้วย”
เมื่อถูกสิงโตตอกกลับเช่นนี้ หมาป่าก็จนมุมด้วยเหตุผล เพราะมันก็เป็นขโมยด้วยเหมือนกัน
มันได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองดูสิงโตกินอาหารของมันด้วยความเสียดาย
ข้อคิด :
1) การขโมยของจากคนร้ายไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายหรือถือเป็นความผิด :
Stealing from a criminal is not evil or an offense.
2) คนขโมยไม่ชอบถูกขโมยของที่ขโมยมาได้ :
Thieves do not like to get robbed either.
3) คนขโมยไม่คิดว่าอาชีพของเขาชั่วร้าย แต่จะเปลี่ยนความคิดเมื่อของที่ขโมยมาได้
ถูกขโมยไป
: Thieves do not think that their profession is evil but will not feel the same
when their loot is robbed.
-------------------------------
. ( 11 )
-------》เรื่องสั้น
สุนัขบ้านกับสุนัขข้างถนน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Tom and Stray Dogs Story”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ทอมเป็นสุนัขเลี้ยงอยู่ในบ้านของคอนนี่ผู้มีฐานะดีและดูแลให้อาหารทอมเป็นอย่างดี
ทอมจึงจงรักภักดีต่อนายหญิงอย่างสุดใจ ทอมเฝ้าคฤหาสน์ของนายหญิงมิให้ขโมยเข้ามา
กล้ำกรายทั้งกลางวันและกลางคืน
ขณะเดียวกัน พวกสุนัขข้างถนนในละแวกบ้านของคอนนี่ต่างอิจฉาในความมีโชคดีของทอม
เพราะพวกมันไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารดี ๆ เลย ส่วนทอมได้กินอิ่มหมีพีมันตรงเวลาทุกวัน บ่อยครั้ง
พวกสุนัขข้างถนนถึงกับมาเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ข้างคฤหาสน์ของคอนนี่และเห่าหอนอยู่ด้านนอก
ประตูด้วยความอิจฉา แต่ทอมก็ไม่ได้ใส่ใจกับก่อกวนของพวกมันเพราะทอมเข้าใจถึงชะตากรรม
ของสุนัขที่ต้องดิ้นรนหาอาหารอยู่ทุกวันและไม่มีชีวิตที่สุขสบายเช่นเดียวกับมัน
วันหนึ่ง ขณะที่นายหญิงพาทอมไปเดินเล่นนอกคฤหาสน์ ทอมเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งขว้างปา
ก้อนหินใส่สุนัขข้างถนน และมีหลายตัวได้รับบาดเจ็บจนถึงกับเลือดออก ทอมซึ่งมีร่างกายบึกบึน
และมีเสียงเห่าที่ดังมากตัดสินใจช่วยสุนัขเหล่านี้จากพวกเด็กเกเร ทอมสบัดสายจูงจนหลุดจากมือ
ของนายหญิงและวิ่งเห่ากระโจนเข้าใส่กลุ่มเด็กเกเร จนพวกเด็กวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไปหมด
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกสุนัขข้างถนนที่ทอมเข้าช่วยเหลือได้มารวมตัวกันข้างคฤหาสน์ของคอนนี่
เพื่อแสดงความขอบใจและเป็นแสดงความเป็นมิตรกับทอมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
---------------------------------------
-------》เรื่องสั้น
สุนัขบ้านกับสุนัขข้างถนน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Tom and Stray Dogs Story”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ทอมเป็นสุนัขเลี้ยงอยู่ในบ้านของคอนนี่ผู้มีฐานะดีและดูแลให้อาหารทอมเป็นอย่างดี
ทอมจึงจงรักภักดีต่อนายหญิงอย่างสุดใจ ทอมเฝ้าคฤหาสน์ของนายหญิงมิให้ขโมยเข้ามา
กล้ำกรายทั้งกลางวันและกลางคืน
ขณะเดียวกัน พวกสุนัขข้างถนนในละแวกบ้านของคอนนี่ต่างอิจฉาในความมีโชคดีของทอม
เพราะพวกมันไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารดี ๆ เลย ส่วนทอมได้กินอิ่มหมีพีมันตรงเวลาทุกวัน บ่อยครั้ง
พวกสุนัขข้างถนนถึงกับมาเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ข้างคฤหาสน์ของคอนนี่และเห่าหอนอยู่ด้านนอก
ประตูด้วยความอิจฉา แต่ทอมก็ไม่ได้ใส่ใจกับก่อกวนของพวกมันเพราะทอมเข้าใจถึงชะตากรรม
ของสุนัขที่ต้องดิ้นรนหาอาหารอยู่ทุกวันและไม่มีชีวิตที่สุขสบายเช่นเดียวกับมัน
วันหนึ่ง ขณะที่นายหญิงพาทอมไปเดินเล่นนอกคฤหาสน์ ทอมเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งขว้างปา
ก้อนหินใส่สุนัขข้างถนน และมีหลายตัวได้รับบาดเจ็บจนถึงกับเลือดออก ทอมซึ่งมีร่างกายบึกบึน
และมีเสียงเห่าที่ดังมากตัดสินใจช่วยสุนัขเหล่านี้จากพวกเด็กเกเร ทอมสบัดสายจูงจนหลุดจากมือ
ของนายหญิงและวิ่งเห่ากระโจนเข้าใส่กลุ่มเด็กเกเร จนพวกเด็กวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไปหมด
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกสุนัขข้างถนนที่ทอมเข้าช่วยเหลือได้มารวมตัวกันข้างคฤหาสน์ของคอนนี่
เพื่อแสดงความขอบใจและเป็นแสดงความเป็นมิตรกับทอมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
---------------------------------------
( 12 )
วันโกหก
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “April Fools' Day”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กัลยาตื่นนอนตอน 7 โมงเช้าและพบว่าศีรษะเธอมี‘หมวกวันเกิด’สวมอยู่ นอกจากนั้นยังมี
ลูกโป่งหลากสีพร้อมกับกระดาษสายรุ้งห้อยประดับตกแต่งอยู่ทั่วห้องนอนของเธอ ที่ผนังห้อง
มีป้าย “สุขสันต์วันเกิด” เธอรู้สึกประหลาดใจและสับสน กัลยาพูดกับตัวเองว่า
“วันนี้วันเกิดของฉันเหรอ? มันยังอีกตั้งหลายเดือนไม่ใช่หรือ ฉันเกิดวันที่ 27 สิงหาคมนี่”
กัลยารู้สึกสับสนมากขึ้นเพราะขณะที่กำลังคิดว่ายังไม่ถึงวันเกิดของเธออยู่นั้น ทั้งคุณพ่อคุณแม่
รวมทั้งพี่ชายของเธอก็เดินเข้ามาในห้องฉีดสเปรย์หิมะไปรอบ ๆ ยิ่งกว่านั้นในมือของพ่อมีเค้กกล่อง
ใหญ่และทุกคนก็เริ่มร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เธอจึงเริ่มมั่นใจว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอจริง ๆ และ
เธอคงคิดสับสนไปเองเกี่ยวกับวันเกิดที่ยังมาไม่ถึง
กัลยาหยิบมีดที่อยู่ในมือของพี่ชายเตรียมพร้อมจะตัดเค้กในกล่อง แต่ทันทีที่เธอเปิดฝากล่อง
เธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ในกล่องมีหน้ากากของตัวตลกเขียนคำว่า "April Fool!" (วันโกหก)
ทุกคนในห้องหัวเราะพร้อมกันอย่างสนุกสนาน เธอจึงรู้ว่าเธอถูกหลอกเข้าเต็มเปาแล้ว และนี่ก็คือ
วิธีการเริ่มต้นวันโกหกตามธรรมเนียม ตอนนี้กัลยาได้รับรางวัล “เจ้าทึ่มแห่งปี” (FOOL OF THE YEAR!)
และถ้าเธอไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ เธอจะต้องส่งต่อให้คนอื่น
ระหว่างทางไปโรงเรียน กัลยาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาเหยื่อมาแทนตำแหน่ง “เจ้าทึ่มแห่งปี”
ที่เธอได้รับมาได้อย่างไร ไม่นานเธอก็มาถึงโรงเรียนและเข้าห้องเรียน มานะเป็นนักเรียนชาย
ไร้เดียงสา เขานั่งอยู่บนม้านั่งประจำข้างที่นั่งของเธออยู่แล้ว เธอรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเพราะเธอ
ไม่อยากหลอกเพื่อนชายที่เพื่อนทั้งห้องรู้ดีว่าเป็นคนที่มีจิตใจใสซื่อ เป็นเพื่อนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับ
เพื่อน ๆ แล้วเธอก็คิดต่อไปว่า “แต่นี่ก็เป็นแค่เกมสนุก ๆ เท่านั้น คงไม่ผิดหรอกนะที่จะเล่นกับ
ใครสักคนก็ได้”
จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับมานะว่า "หวัดดี มานะ! หัวหน้าห้องไม่ได้บอกเธอหรือว่า ครูประจำชั้น
เรียกเธอไปพบที่ห้องพักครู"
มานะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันทีพร้อมกับพูดด้วยความตกใจว่า “ไม่เห็นรู้เลย ทำไมเหรอ
ครูบอกหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”
กัลยาพูดต่อทันทีว่า “จริง ๆ นะ ดูเหมือนครูจะบอกว่าจะให้เธอเป็นหัวหน้าชั้นคนใหม่น่ะ”
มานะรู้สึกตื่นเต้นมากพร้อมกับรีบวิ่งไปที่ห้องพักครู และไม่กี่นาทีต่อมา กัลยาก็เห็นมานะเดินหน้าจ๋อย
เพราะถูกครูดุและกลับมานั่งข้างเธอ
กัลยารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ก่อนหน้านั้นเธอคิดว่าการพูดโกหกในวันนั้นเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
แต่กลับกลายเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเพื่อนรัก และที่แย่กว่านั้นคือ คนที่ถูกเธอหลอกเป็นเพื่อนที่ใสซื่อ
ไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย
จากนั้นมานะก็หยิบกระเป๋านักเรียนของเขาและย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากกัลยา
แน่นอนมานะคงต้องโกรธเธอมากเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้น กัลยาก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินตรงไป
เพื่อไปขอโทษมานะ
ทันใดนั้น ระฆังบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น กัลยารีบพูดกับมานะว่า “ฉันขอโทษเธอจริง ๆ นะ ฉันไม่น่า
หลอกเธอเลย ฉันแค่อยากจะส่งต่อตำแหน่ง 'เจ้าทึ่มแห่งปี' ให้คนอื่นเท่านั้น แต่ฉันนึกไม่ถึงว่า
มันจะทำให้เธอโดนครูดุว่า"
แล้วมานะก็พูดตอบอย่างงง ๆ ว่า “เออ แล้วตำแหน่ง 'เจ้าทึ่มแห่งปี’น่ะ มันคืออะไรเหรอ?” มานะถาม
ด้วยความสงสัย
คราวนี้กัลยาอดขำไม่ได้ในความใสซื่อของเพื่อน เธอระเบิดเสียงหัวเราะลั่น แล้วมานะซึ่งก็ยังคงไม่สู้
เข้าใจอะไรนักก็หัวเราะตามเธอด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้เป็น 'เจ้าทึ่มแห่งปี' เพียงสองคน
และทั้งคู่ก็ดูมีความสุขดีกับตำแหน่งนี้และเป็นเพื่อนที่ดีกันต่อไป
-------------------------------------
วันโกหก
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “April Fools' Day”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กัลยาตื่นนอนตอน 7 โมงเช้าและพบว่าศีรษะเธอมี‘หมวกวันเกิด’สวมอยู่ นอกจากนั้นยังมี
ลูกโป่งหลากสีพร้อมกับกระดาษสายรุ้งห้อยประดับตกแต่งอยู่ทั่วห้องนอนของเธอ ที่ผนังห้อง
มีป้าย “สุขสันต์วันเกิด” เธอรู้สึกประหลาดใจและสับสน กัลยาพูดกับตัวเองว่า
“วันนี้วันเกิดของฉันเหรอ? มันยังอีกตั้งหลายเดือนไม่ใช่หรือ ฉันเกิดวันที่ 27 สิงหาคมนี่”
กัลยารู้สึกสับสนมากขึ้นเพราะขณะที่กำลังคิดว่ายังไม่ถึงวันเกิดของเธออยู่นั้น ทั้งคุณพ่อคุณแม่
รวมทั้งพี่ชายของเธอก็เดินเข้ามาในห้องฉีดสเปรย์หิมะไปรอบ ๆ ยิ่งกว่านั้นในมือของพ่อมีเค้กกล่อง
ใหญ่และทุกคนก็เริ่มร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เธอจึงเริ่มมั่นใจว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอจริง ๆ และ
เธอคงคิดสับสนไปเองเกี่ยวกับวันเกิดที่ยังมาไม่ถึง
กัลยาหยิบมีดที่อยู่ในมือของพี่ชายเตรียมพร้อมจะตัดเค้กในกล่อง แต่ทันทีที่เธอเปิดฝากล่อง
เธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ในกล่องมีหน้ากากของตัวตลกเขียนคำว่า "April Fool!" (วันโกหก)
ทุกคนในห้องหัวเราะพร้อมกันอย่างสนุกสนาน เธอจึงรู้ว่าเธอถูกหลอกเข้าเต็มเปาแล้ว และนี่ก็คือ
วิธีการเริ่มต้นวันโกหกตามธรรมเนียม ตอนนี้กัลยาได้รับรางวัล “เจ้าทึ่มแห่งปี” (FOOL OF THE YEAR!)
และถ้าเธอไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ เธอจะต้องส่งต่อให้คนอื่น
ระหว่างทางไปโรงเรียน กัลยาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาเหยื่อมาแทนตำแหน่ง “เจ้าทึ่มแห่งปี”
ที่เธอได้รับมาได้อย่างไร ไม่นานเธอก็มาถึงโรงเรียนและเข้าห้องเรียน มานะเป็นนักเรียนชาย
ไร้เดียงสา เขานั่งอยู่บนม้านั่งประจำข้างที่นั่งของเธออยู่แล้ว เธอรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเพราะเธอ
ไม่อยากหลอกเพื่อนชายที่เพื่อนทั้งห้องรู้ดีว่าเป็นคนที่มีจิตใจใสซื่อ เป็นเพื่อนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับ
เพื่อน ๆ แล้วเธอก็คิดต่อไปว่า “แต่นี่ก็เป็นแค่เกมสนุก ๆ เท่านั้น คงไม่ผิดหรอกนะที่จะเล่นกับ
ใครสักคนก็ได้”
จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับมานะว่า "หวัดดี มานะ! หัวหน้าห้องไม่ได้บอกเธอหรือว่า ครูประจำชั้น
เรียกเธอไปพบที่ห้องพักครู"
มานะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันทีพร้อมกับพูดด้วยความตกใจว่า “ไม่เห็นรู้เลย ทำไมเหรอ
ครูบอกหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”
กัลยาพูดต่อทันทีว่า “จริง ๆ นะ ดูเหมือนครูจะบอกว่าจะให้เธอเป็นหัวหน้าชั้นคนใหม่น่ะ”
มานะรู้สึกตื่นเต้นมากพร้อมกับรีบวิ่งไปที่ห้องพักครู และไม่กี่นาทีต่อมา กัลยาก็เห็นมานะเดินหน้าจ๋อย
เพราะถูกครูดุและกลับมานั่งข้างเธอ
กัลยารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ก่อนหน้านั้นเธอคิดว่าการพูดโกหกในวันนั้นเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
แต่กลับกลายเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเพื่อนรัก และที่แย่กว่านั้นคือ คนที่ถูกเธอหลอกเป็นเพื่อนที่ใสซื่อ
ไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย
จากนั้นมานะก็หยิบกระเป๋านักเรียนของเขาและย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากกัลยา
แน่นอนมานะคงต้องโกรธเธอมากเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้น กัลยาก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินตรงไป
เพื่อไปขอโทษมานะ
ทันใดนั้น ระฆังบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น กัลยารีบพูดกับมานะว่า “ฉันขอโทษเธอจริง ๆ นะ ฉันไม่น่า
หลอกเธอเลย ฉันแค่อยากจะส่งต่อตำแหน่ง 'เจ้าทึ่มแห่งปี' ให้คนอื่นเท่านั้น แต่ฉันนึกไม่ถึงว่า
มันจะทำให้เธอโดนครูดุว่า"
แล้วมานะก็พูดตอบอย่างงง ๆ ว่า “เออ แล้วตำแหน่ง 'เจ้าทึ่มแห่งปี’น่ะ มันคืออะไรเหรอ?” มานะถาม
ด้วยความสงสัย
คราวนี้กัลยาอดขำไม่ได้ในความใสซื่อของเพื่อน เธอระเบิดเสียงหัวเราะลั่น แล้วมานะซึ่งก็ยังคงไม่สู้
เข้าใจอะไรนักก็หัวเราะตามเธอด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้เป็น 'เจ้าทึ่มแห่งปี' เพียงสองคน
และทั้งคู่ก็ดูมีความสุขดีกับตำแหน่งนี้และเป็นเพื่อนที่ดีกันต่อไป
-------------------------------------
( 13 )
ทำดีต่อศัตรู ตอนที่ (one)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Be Good To Your Enemies”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
@แซมมี่กับทิมมี่
แซมมี่เป็นนักเรียนดีในทุกเรื่อง ทั้งเรียนเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่และใจดีกับทุกคน ผู้ใหญ่ทุกคน
รักเขา แต่ก็มีเด็กหลายคนอิจฉาเขาโดยเฉพาะเพื่อนนักเรียนที่ชื่อทิมมี่ซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน
ทิมมี่ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบเล่นและไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หลายครั้งทิมมี่พูดจาว่าร้ายแซมมี่ต่อหน้า
เพื่อน ๆ แต่แซมมี่ก็ไม่เคยโต้ตอบหรือถือโกรธ
เมื่อแซมมี่อายุได้แปดขวบ พ่อแม่ซื้อปากกาสวยมากด้ามหนึ่งให้เขาเป็นของขวัญ แซมมี่นำปากกา
ที่เขียนได้ลื่นมากด้ามนี้มาใช้ในห้องเรียน ทิมมี่เห็นปากกาใหม่ของแซมมี่ก็วางแผนจะขโมย และ
ระหว่างที่แซมมี่ออกไปทานอาหารกลางวัน ทิมมี่ก็ขโมยปากกาจากกระเป๋าหนังสือของแซมมี่ เมื่อ
แซมมี่พบว่าปากกาของเขาหายไป ก็ไปแจ้งให้ครูประจำชั้นทราบ
ครูประจำชั้นให้หัวหน้าห้องค้นกระเป๋าหนังสือของนักเรียนทั้งห้องและก็พบปากกาที่หายไปในกระเป๋า
ของทิมมี่ เมื่อถูกจับได้ ทิมมี่เริ่มร้องไห้จนแซมมี่รู้สึกสงสารและขอร้องครูไม่ต้องทำโทษทิมมี่เพราะเขา
แค่อยากได้ปากกาคืนเท่านั้นแต่ไม่อยากให้ทิมมี่ถูกลงโทษ ทิมมี่รู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของแซมมี่มาก
และตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักกันและเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน
โปรดติดตามตอนที่ (two)ในวันพรุ่งนี้
ทำดีต่อศัตรู ตอนที่ (one)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Be Good To Your Enemies”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
@แซมมี่กับทิมมี่
แซมมี่เป็นนักเรียนดีในทุกเรื่อง ทั้งเรียนเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่และใจดีกับทุกคน ผู้ใหญ่ทุกคน
รักเขา แต่ก็มีเด็กหลายคนอิจฉาเขาโดยเฉพาะเพื่อนนักเรียนที่ชื่อทิมมี่ซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน
ทิมมี่ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบเล่นและไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หลายครั้งทิมมี่พูดจาว่าร้ายแซมมี่ต่อหน้า
เพื่อน ๆ แต่แซมมี่ก็ไม่เคยโต้ตอบหรือถือโกรธ
เมื่อแซมมี่อายุได้แปดขวบ พ่อแม่ซื้อปากกาสวยมากด้ามหนึ่งให้เขาเป็นของขวัญ แซมมี่นำปากกา
ที่เขียนได้ลื่นมากด้ามนี้มาใช้ในห้องเรียน ทิมมี่เห็นปากกาใหม่ของแซมมี่ก็วางแผนจะขโมย และ
ระหว่างที่แซมมี่ออกไปทานอาหารกลางวัน ทิมมี่ก็ขโมยปากกาจากกระเป๋าหนังสือของแซมมี่ เมื่อ
แซมมี่พบว่าปากกาของเขาหายไป ก็ไปแจ้งให้ครูประจำชั้นทราบ
ครูประจำชั้นให้หัวหน้าห้องค้นกระเป๋าหนังสือของนักเรียนทั้งห้องและก็พบปากกาที่หายไปในกระเป๋า
ของทิมมี่ เมื่อถูกจับได้ ทิมมี่เริ่มร้องไห้จนแซมมี่รู้สึกสงสารและขอร้องครูไม่ต้องทำโทษทิมมี่เพราะเขา
แค่อยากได้ปากกาคืนเท่านั้นแต่ไม่อยากให้ทิมมี่ถูกลงโทษ ทิมมี่รู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของแซมมี่มาก
และตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักกันและเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน
โปรดติดตามตอนที่ (two)ในวันพรุ่งนี้
( 14 )
ทำดีต่อศัตรู ตอนที่ (two)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Be Good To Your Enemies”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
@สมศักดิ์กับสมาน
สมศักดิ์เป็นชาวนาที่มีอัธยาศัยดี เขาเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ แปลงหนึ่งและทำงานหนักเพื่อ
หาเลี้ยงครอบครัว เขาชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่ยากจนกว่าเขา นอกจากนั้นเขายังไปเยี่ยม
เพื่อนบ้านที่เจ็บป่วย ทุกคนที่รู้จักสมศักดิ์ต่างชื่นชอบเพราะนิสัยเป็นคนโอบอ้อมอารีของเขายกเว้น
สมานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนเดียวที่อิจฉาเขาและมีที่ดินติดกับที่ดินของสมศักดิ์ นอกจากนั้น สมาน
ยังเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงานหนักและดังนั้นพืชผลที่ผลิตได้ในที่ดินของเขาจึงแทบไม่คุ้มทุน
วันหนึ่งใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว สมานเห็นพืชไร่ของสมศักดิ์เจริญงอกงามผลิตดอกออกผลดีมากก็รู้สึก
อิจฉาจนถึงกับแอบไปเผาพืชผลในที่ดินของสมศักดิ์ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเพื่อนบ้าน
อีกคนหนึ่งที่เห็นเปลวไฟตั้งแต่เริ่มลุกโพลงขึ้น เพื่อนบ้านคนนี้รีบไปปลุกสมศักดิ์และเพื่อนบ้านใน
ละแวกซึ่งต่างก็รีบมาช่วยกันดับไฟก่อนจะเสียหายมากไปกว่านั้น และเมื่อตรวจสอบดูต้นเพลิงและ
ทิศทางของลม สมศักดิ์ก็รู้ว่าสมานเป็นคนจุดไฟเผาและตั้งใจจะลงโทษสมานหากเขาทำซ้ำอีก
อย่างไรก็ตามไม่กี่วันต่อมา ลูกชายของสมานเกิดล้มป่วยหนัก หมอในละแวกบ้านไม่สามารถรักษาได้
เมื่อสมศักดิ์ทราบข่าวก็รีบขี่ม้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเพื่อไปรับหมอที่เก่งมาที่บ้านของสมาน และ
ที่สุดก็ช่วยรักษาลูกชายของสมานจนหายเป็นปกติ สมานทึ่งมากกับการกระทำของสมศักดิ์ทั้งที่รู้ว่า
เขาเป็นต้นเหตุจุดไฟเผาพืชผลในคืนก่อนนั้น เขาถึงกับถามสมศักดิ์ว่า “คุณไปได้จิตวิญญาณที่ดี
เช่นนี้ มาจากไหนหรือ จิตวิญญาณที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้แม้แต่ผู้ที่ทำร้ายตน”
สมศักดิ์ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพถ่อมตนว่า เขาเพียงพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอกับทุกคนไม่ว่า
ผู้นั้น จะมีอดีตเป็นอย่างไร นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา สมศักดิ์และสมานก็เป็นเพื่อนรักกัน และนิสัยของ
สมานก็ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน สมานเริ่มทำงานหนักและไม่นานต่อมาก็มีฐานะดีขึ้น
ทุกคนในครอบครัว ของสมานมีความสุขและไม่ลำบากอีกต่อไป
-----------------------------------'
ทำดีต่อศัตรู ตอนที่ (two)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Be Good To Your Enemies”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
@สมศักดิ์กับสมาน
สมศักดิ์เป็นชาวนาที่มีอัธยาศัยดี เขาเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ แปลงหนึ่งและทำงานหนักเพื่อ
หาเลี้ยงครอบครัว เขาชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่ยากจนกว่าเขา นอกจากนั้นเขายังไปเยี่ยม
เพื่อนบ้านที่เจ็บป่วย ทุกคนที่รู้จักสมศักดิ์ต่างชื่นชอบเพราะนิสัยเป็นคนโอบอ้อมอารีของเขายกเว้น
สมานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนเดียวที่อิจฉาเขาและมีที่ดินติดกับที่ดินของสมศักดิ์ นอกจากนั้น สมาน
ยังเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงานหนักและดังนั้นพืชผลที่ผลิตได้ในที่ดินของเขาจึงแทบไม่คุ้มทุน
วันหนึ่งใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว สมานเห็นพืชไร่ของสมศักดิ์เจริญงอกงามผลิตดอกออกผลดีมากก็รู้สึก
อิจฉาจนถึงกับแอบไปเผาพืชผลในที่ดินของสมศักดิ์ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเพื่อนบ้าน
อีกคนหนึ่งที่เห็นเปลวไฟตั้งแต่เริ่มลุกโพลงขึ้น เพื่อนบ้านคนนี้รีบไปปลุกสมศักดิ์และเพื่อนบ้านใน
ละแวกซึ่งต่างก็รีบมาช่วยกันดับไฟก่อนจะเสียหายมากไปกว่านั้น และเมื่อตรวจสอบดูต้นเพลิงและ
ทิศทางของลม สมศักดิ์ก็รู้ว่าสมานเป็นคนจุดไฟเผาและตั้งใจจะลงโทษสมานหากเขาทำซ้ำอีก
อย่างไรก็ตามไม่กี่วันต่อมา ลูกชายของสมานเกิดล้มป่วยหนัก หมอในละแวกบ้านไม่สามารถรักษาได้
เมื่อสมศักดิ์ทราบข่าวก็รีบขี่ม้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเพื่อไปรับหมอที่เก่งมาที่บ้านของสมาน และ
ที่สุดก็ช่วยรักษาลูกชายของสมานจนหายเป็นปกติ สมานทึ่งมากกับการกระทำของสมศักดิ์ทั้งที่รู้ว่า
เขาเป็นต้นเหตุจุดไฟเผาพืชผลในคืนก่อนนั้น เขาถึงกับถามสมศักดิ์ว่า “คุณไปได้จิตวิญญาณที่ดี
เช่นนี้ มาจากไหนหรือ จิตวิญญาณที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้แม้แต่ผู้ที่ทำร้ายตน”
สมศักดิ์ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพถ่อมตนว่า เขาเพียงพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอกับทุกคนไม่ว่า
ผู้นั้น จะมีอดีตเป็นอย่างไร นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา สมศักดิ์และสมานก็เป็นเพื่อนรักกัน และนิสัยของ
สมานก็ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน สมานเริ่มทำงานหนักและไม่นานต่อมาก็มีฐานะดีขึ้น
ทุกคนในครอบครัว ของสมานมีความสุขและไม่ลำบากอีกต่อไป
-----------------------------------'
( 15 )
โดเรม่อน อยู่กับโนบิตะ มา 80ปี ก่อนที่จะตาย…โนบิตะพูดกับโดเรม่อนว่า
"หลังจากที่ฉันไปแล้ว เธอควรกลับไปยังที่ที่ของเธอนะ“ ไม่นานต่อมา โนบิตะ
ก็ตายจากไป แต่โดเรม่อน ไม่ได้กลับไปในอนาคต แต่กลับใช้ไทม์แมชชีน
ย้อนกลับไปในวันแรกที่พบเจอโนบิตะ และพูดกับ โนบิตะในวัยเด็กว่า"สวัสดี
โนบิตะฉันชื่อโดเรม่อน" "โอกาสจะมีอีกสักกี่ครั้ง ฉันก็ยังอยากเจอเธอ
เพราะที่ที่เธออยู่ คือ ที่ที่ฉันควรอยู่ๆ" หาก...เหนื่อยล้ากันแล้ว พวกเราก็ย้อนเวลา
กลับไป คิดถึงความรู้สึก ความเข้าใจกันในการ พบเจอกันครั้งแรก…มันจะทำให้การ
คบหากันเป็น เวลานานจะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทำให้เกิดแต่ความรัก พบกันชาตินี้วาสนา
ได้มาไม่ง่าย หากชีวิตนี้ มีเพียง ความรู้สึกเหมือนดั่งเจอะเจอครั้งแรกแล้วละก็
คงจะดีไม่น้อย …เป็นเพื่อนก็ดีเป็นคนรักก็ช่าง จงหวงแหนทะนุ ถนอมกันและกันไว้
…บทเรียนชีวิต…
ไม่มีใครสอนแทนกันได้ ถ่ายทอดให้กันก็ไม่ได้ รู้สึกแทนกันยิ่งไม่มีทาง เหมือนกับที่เรา…
กินข้าวแทนใครไม่ได้ ให้คนอื่นป่วยแทน เศร้าแทน หรือมีความสุขแทนเราก็ไม่ได้
บทเรียนชีวิต…
ต้องเจอเอง ต้องเรียนรู้เองล้วน ๆ และบทเรียนเหล่านั้น… มักต้องจ่ายอะไรบางอย่างเสมอ
บางคน…จ่ายเป็นเงิน บางคน…จ่ายด้วยเวลา บางคน…จ่ายด้วยน้ำตา
และบางคน…จ่ายทั้ง 3 อย่างในบทเดียว
โดเรม่อน อยู่กับโนบิตะ มา 80ปี ก่อนที่จะตาย…โนบิตะพูดกับโดเรม่อนว่า
"หลังจากที่ฉันไปแล้ว เธอควรกลับไปยังที่ที่ของเธอนะ“ ไม่นานต่อมา โนบิตะ
ก็ตายจากไป แต่โดเรม่อน ไม่ได้กลับไปในอนาคต แต่กลับใช้ไทม์แมชชีน
ย้อนกลับไปในวันแรกที่พบเจอโนบิตะ และพูดกับ โนบิตะในวัยเด็กว่า"สวัสดี
โนบิตะฉันชื่อโดเรม่อน" "โอกาสจะมีอีกสักกี่ครั้ง ฉันก็ยังอยากเจอเธอ
เพราะที่ที่เธออยู่ คือ ที่ที่ฉันควรอยู่ๆ" หาก...เหนื่อยล้ากันแล้ว พวกเราก็ย้อนเวลา
กลับไป คิดถึงความรู้สึก ความเข้าใจกันในการ พบเจอกันครั้งแรก…มันจะทำให้การ
คบหากันเป็น เวลานานจะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทำให้เกิดแต่ความรัก พบกันชาตินี้วาสนา
ได้มาไม่ง่าย หากชีวิตนี้ มีเพียง ความรู้สึกเหมือนดั่งเจอะเจอครั้งแรกแล้วละก็
คงจะดีไม่น้อย …เป็นเพื่อนก็ดีเป็นคนรักก็ช่าง จงหวงแหนทะนุ ถนอมกันและกันไว้
…บทเรียนชีวิต…
ไม่มีใครสอนแทนกันได้ ถ่ายทอดให้กันก็ไม่ได้ รู้สึกแทนกันยิ่งไม่มีทาง เหมือนกับที่เรา…
กินข้าวแทนใครไม่ได้ ให้คนอื่นป่วยแทน เศร้าแทน หรือมีความสุขแทนเราก็ไม่ได้
บทเรียนชีวิต…
ต้องเจอเอง ต้องเรียนรู้เองล้วน ๆ และบทเรียนเหล่านั้น… มักต้องจ่ายอะไรบางอย่างเสมอ
บางคน…จ่ายเป็นเงิน บางคน…จ่ายด้วยเวลา บางคน…จ่ายด้วยน้ำตา
และบางคน…จ่ายทั้ง 3 อย่างในบทเดียว
( 16 )
เด็กน้อยคนนึงไปเตะฟุตบอล ที่สนามหญ้าท้ายหมู่บ้าน เขาลงสนาม เตะฟุตบอลกับเพื่อน
ด้วยเท้าเปล่า โดยถอดรองเท้านักเรียนไว้ข้างสนาม เพราะ มีเพียงคู่เดียว ที่ทั้งใส่ไปโรงเรียน
และใส่ไปช่วยพ่อเขา เก็บของเก่า หาเงินจุนเจือครอบครัว หลังเตะบอลเสร็จ
เขาก็พบว่า รองเท้าของเขาหายไป โดยไม่รู้ว่าใครเอาไป เขาเสียใจ ปนกับหวาดกลัว
ที่อาจจะโดนพ่อเขาดุด่า ว่ากล่าว จิตใจของเขาสับสน กังวล ว่าพรุ่งนี้ จะใส่อะไรไปโรงเรียน
เขาเดินตีนเปล่ากลับบ้าน โดยมือทั้งสองข้าง ปาดน้ำตามาตลอดทาง ถึงบ้าน คราบน้ำตายังคง
อาบสองแก้ม เขาเดินไปบอกเรื่องราวต่างๆกับพ่อ ด้วยอาการประหม่า และเตรียมใจ
ที่จะโดนตำหนิ พ่อวางมือจากงานตรงหน้า แล้วบอกกับลูกชายว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่
ลูกยังเหลือตีนสองข้าง พาตัวเองกลับมาบ้านได้ นั่นถือเป็น เรื่องที่ดีแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก
เก็บน้ำตาไว้เสียใจกับเรื่องอื่นดีกว่า วันนึง มีเรื่องที่ลูกจะต้องพบเจอ สูญเสีย ผิดหวัง อีกมากมาย
และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าวันนี้ ไปเถอะ ไปอาบน้ำ แล้วมากินข้าวกับพ่อ พรุ่งนี้เราไป ซื้อรองเท้าใหม่กัน
ถึงพ่อของเขาจะยากจน แต่ร่ำรวย ความคิดดีๆมาก แล้วก็เป็นเช่นนั่นจริงๆ
เมื่อเขาเติบโต ออกไปทำงาน ออกไปอยู่ในสังคม เขาพบว่า เขาต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไป
เลิกกับแฟน หมาที่รักมากตายไป และอีกมากมายในชีวิต เขาไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะคิดถึง
คำสอนพ่อว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่ ไม่ว่าเขาจะสูญเสียอะไรไป เขายังเหลือ ลมหายใจ
สองมือ สองขา เหลือความรู้ เหลือสติปัญญา ใช้มันสร้างสิ่งใหม่ได้ และครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้
คือวันที่เขา เสียพ่อเขาไป วันนั้น เป็นวันที่เขาเข้าใจความหมาย ที่พ่อเคยสอนอย่าง ถ่องแท้ว่า
ต่อให้ไม่มีพ่อ เขาต้องอยู่ให้ได้ ชีวิตเราก็เช่นกัน
เรื่องบางเรื่อง มันก็เหมือนรองเท้าที่หายไป แต่อย่าลืม เรายังเหลืออะไรมากมายให้ชีวิต…ก้าวต่อไป
ขอบคุณบทความจาก สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
#ที่ว่าการคำคม
เด็กน้อยคนนึงไปเตะฟุตบอล ที่สนามหญ้าท้ายหมู่บ้าน เขาลงสนาม เตะฟุตบอลกับเพื่อน
ด้วยเท้าเปล่า โดยถอดรองเท้านักเรียนไว้ข้างสนาม เพราะ มีเพียงคู่เดียว ที่ทั้งใส่ไปโรงเรียน
และใส่ไปช่วยพ่อเขา เก็บของเก่า หาเงินจุนเจือครอบครัว หลังเตะบอลเสร็จ
เขาก็พบว่า รองเท้าของเขาหายไป โดยไม่รู้ว่าใครเอาไป เขาเสียใจ ปนกับหวาดกลัว
ที่อาจจะโดนพ่อเขาดุด่า ว่ากล่าว จิตใจของเขาสับสน กังวล ว่าพรุ่งนี้ จะใส่อะไรไปโรงเรียน
เขาเดินตีนเปล่ากลับบ้าน โดยมือทั้งสองข้าง ปาดน้ำตามาตลอดทาง ถึงบ้าน คราบน้ำตายังคง
อาบสองแก้ม เขาเดินไปบอกเรื่องราวต่างๆกับพ่อ ด้วยอาการประหม่า และเตรียมใจ
ที่จะโดนตำหนิ พ่อวางมือจากงานตรงหน้า แล้วบอกกับลูกชายว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่
ลูกยังเหลือตีนสองข้าง พาตัวเองกลับมาบ้านได้ นั่นถือเป็น เรื่องที่ดีแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก
เก็บน้ำตาไว้เสียใจกับเรื่องอื่นดีกว่า วันนึง มีเรื่องที่ลูกจะต้องพบเจอ สูญเสีย ผิดหวัง อีกมากมาย
และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าวันนี้ ไปเถอะ ไปอาบน้ำ แล้วมากินข้าวกับพ่อ พรุ่งนี้เราไป ซื้อรองเท้าใหม่กัน
ถึงพ่อของเขาจะยากจน แต่ร่ำรวย ความคิดดีๆมาก แล้วก็เป็นเช่นนั่นจริงๆ
เมื่อเขาเติบโต ออกไปทำงาน ออกไปอยู่ในสังคม เขาพบว่า เขาต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไป
เลิกกับแฟน หมาที่รักมากตายไป และอีกมากมายในชีวิต เขาไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะคิดถึง
คำสอนพ่อว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่ ไม่ว่าเขาจะสูญเสียอะไรไป เขายังเหลือ ลมหายใจ
สองมือ สองขา เหลือความรู้ เหลือสติปัญญา ใช้มันสร้างสิ่งใหม่ได้ และครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้
คือวันที่เขา เสียพ่อเขาไป วันนั้น เป็นวันที่เขาเข้าใจความหมาย ที่พ่อเคยสอนอย่าง ถ่องแท้ว่า
ต่อให้ไม่มีพ่อ เขาต้องอยู่ให้ได้ ชีวิตเราก็เช่นกัน
เรื่องบางเรื่อง มันก็เหมือนรองเท้าที่หายไป แต่อย่าลืม เรายังเหลืออะไรมากมายให้ชีวิต…ก้าวต่อไป
ขอบคุณบทความจาก สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
#ที่ว่าการคำคม
( 17 )
เรื่องสั้น เมล็ดต้นไม้ 2 เมล็ด
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Two Seeds” แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ
นานมาแล้วมีชาวสวนคนหนึ่งปลูกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ 2 เมล็ดบนพื้นดินที่ดี เขาใส่ปุ๋ยและรดน้ำ
ทุกวัน เมล็ดพันธุ์ทั้งสองประทับใจในความเอาใจใส่ดูแลของชาวสวน แต่เมล็ดพันธุ์ทั้งสองมี
ความคิดเห็นต่างกันในเรื่องการเจริญเติบโต
เมล็ดพันธุ์แรกอยากเติบโตเร็วและมีลำต้นสูงเสียดฟ้า ขณะที่อีกเมล็ดหนึ่งกลัวการงอกของ
รากและคิดว่าถ้ามันเริ่มแตกรากและเติบโตเป็นต้นไม้อ่อน มันจะถูกหอยทากเขมือบไปกิน
หลังจากเวลาผ่านไป เมล็ดพันธุ์แรกบัดนี้กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ มันเริ่มจากหยั่งรากกระจาย
ออกจากเมล็ดและฝังรากลึกลงไปในดิน และที่สุดก็ผลิดอกไม้ที่บานเบ่งสวยงาม ผู้คนที่สัญจรผ่าน
ไปมาพากันชื่นชมโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นหยาดน้ำค้างตามกลีบดอกที่เป็นประกายสวยงาม
เมื่อต้องแสงแดด
ในทางกลับกัน เมล็ดพันธุ์ที่สองที่มีทัศนคติลบ มันกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า หากมันเริ่มแตกรากงอก
มันก็จะมีลำต้นที่บอบบาง ดินที่แข็งกระด้างอยู่โดยรอบจะกระแทกลำต้นของมันจนบอบช้ำ และถ้ามัน
แตกรากออกไปอีก รากที่อ่อนแอเป็นเส้นไหมก็จะชนเข้ากับก้อนหินจนขาดกระจุย และดังนั้นเมื่อวัน
เวลาผ่านไป มันก็ยังคงรักษาสภาพเมล็ดพันธุ์อยู่อย่างเดิม
วันหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ที่บัดนี้กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ถามเมล็ดพันธุ์ที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมว่า “ทำไม
เธอถึงไม่ยอมโตซักทีล่ะ ? เป็นเวลานานมากแล้วนะที่คนสวนดูแลเราทั้งสองเป็นอย่างดี หากมีอะไรที่
ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เถิด ฉันยินดีช่วยเต็มที่” แต่เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ยอมโตไม่สนใจเพื่อนต้นไม้ที่
สูงใหญ่และตอบว่า “ถ้าฉันขืนหยั่งรากลงไปในดิน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรในความมืดมิด และ
ถ้าฉันโตใหญ่จนมีดอกบานสะพรั่ง พวกเด็ก ๆ ก็จะพากันมาเด็ดดอกไม้ของฉันไปฉีกเล่น ฉันคิดว่าฉัน
จะรอต่อไปจนกว่าจะรู้สึกปลอดภัยดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยงอก”
อย่างไรก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้นต่อมานั้นเอง มีแม่ไก่ตัวหนึ่งพาลูก ๆ ออกหาอาหาร และเมื่อมันผ่านมา
พบเมล็ดพืชรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ยังคงสภาพเป็นเมล็ดที่ดีอยู่ มันก็จัดการจิกกินทันที
ข้อคิด : ผู้ที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิตและฝันที่จะเติบโตจะประสบความสำเร็จ ในขณะที่ผู้ที่มีทัศนคติ
เชิงลบและไม่ยอมเสี่ยงใด ๆ จะมีชีวิตที่ล้มเหลวในที่สุด : Those who have a positive attitudeง
towards life and dream to grow will prosper, whilst those who carry negative attitudes
and refuse to take risks will eventually fail.
ท่านทราบหรือไม่ ?
• สิ่งใดเกิดก่อน พืชหรือเมล็ดพืช? นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากกล่าวว่า พืชเกิดก่อน
• ต้นสนบริสเทิล (The Great Basin Bristlecone Pine) เป็นต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมี
อายุ 4,855 ปี อยู่ในสถานที่ไม่เปิดเผยในป่าสงวนแห่งชาติ Inyo White Mountains ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
. กรมป่าไม้ของสหรัฐฯ ไม่เปิดเผยสถานที่อยู่ที่แน่ชัดและไม่เผยแพร่รูปถ่ายของต้นไม้โบราณนี้เพื่อปกป้อง
ต้นไม้จากนักท่องเที่ยว
----------------------
เรื่องสั้น เมล็ดต้นไม้ 2 เมล็ด
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Two Seeds” แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ
นานมาแล้วมีชาวสวนคนหนึ่งปลูกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ 2 เมล็ดบนพื้นดินที่ดี เขาใส่ปุ๋ยและรดน้ำ
ทุกวัน เมล็ดพันธุ์ทั้งสองประทับใจในความเอาใจใส่ดูแลของชาวสวน แต่เมล็ดพันธุ์ทั้งสองมี
ความคิดเห็นต่างกันในเรื่องการเจริญเติบโต
เมล็ดพันธุ์แรกอยากเติบโตเร็วและมีลำต้นสูงเสียดฟ้า ขณะที่อีกเมล็ดหนึ่งกลัวการงอกของ
รากและคิดว่าถ้ามันเริ่มแตกรากและเติบโตเป็นต้นไม้อ่อน มันจะถูกหอยทากเขมือบไปกิน
หลังจากเวลาผ่านไป เมล็ดพันธุ์แรกบัดนี้กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ มันเริ่มจากหยั่งรากกระจาย
ออกจากเมล็ดและฝังรากลึกลงไปในดิน และที่สุดก็ผลิดอกไม้ที่บานเบ่งสวยงาม ผู้คนที่สัญจรผ่าน
ไปมาพากันชื่นชมโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นหยาดน้ำค้างตามกลีบดอกที่เป็นประกายสวยงาม
เมื่อต้องแสงแดด
ในทางกลับกัน เมล็ดพันธุ์ที่สองที่มีทัศนคติลบ มันกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า หากมันเริ่มแตกรากงอก
มันก็จะมีลำต้นที่บอบบาง ดินที่แข็งกระด้างอยู่โดยรอบจะกระแทกลำต้นของมันจนบอบช้ำ และถ้ามัน
แตกรากออกไปอีก รากที่อ่อนแอเป็นเส้นไหมก็จะชนเข้ากับก้อนหินจนขาดกระจุย และดังนั้นเมื่อวัน
เวลาผ่านไป มันก็ยังคงรักษาสภาพเมล็ดพันธุ์อยู่อย่างเดิม
วันหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ที่บัดนี้กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ถามเมล็ดพันธุ์ที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมว่า “ทำไม
เธอถึงไม่ยอมโตซักทีล่ะ ? เป็นเวลานานมากแล้วนะที่คนสวนดูแลเราทั้งสองเป็นอย่างดี หากมีอะไรที่
ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เถิด ฉันยินดีช่วยเต็มที่” แต่เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ยอมโตไม่สนใจเพื่อนต้นไม้ที่
สูงใหญ่และตอบว่า “ถ้าฉันขืนหยั่งรากลงไปในดิน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรในความมืดมิด และ
ถ้าฉันโตใหญ่จนมีดอกบานสะพรั่ง พวกเด็ก ๆ ก็จะพากันมาเด็ดดอกไม้ของฉันไปฉีกเล่น ฉันคิดว่าฉัน
จะรอต่อไปจนกว่าจะรู้สึกปลอดภัยดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยงอก”
อย่างไรก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้นต่อมานั้นเอง มีแม่ไก่ตัวหนึ่งพาลูก ๆ ออกหาอาหาร และเมื่อมันผ่านมา
พบเมล็ดพืชรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ยังคงสภาพเป็นเมล็ดที่ดีอยู่ มันก็จัดการจิกกินทันที
ข้อคิด : ผู้ที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิตและฝันที่จะเติบโตจะประสบความสำเร็จ ในขณะที่ผู้ที่มีทัศนคติ
เชิงลบและไม่ยอมเสี่ยงใด ๆ จะมีชีวิตที่ล้มเหลวในที่สุด : Those who have a positive attitudeง
towards life and dream to grow will prosper, whilst those who carry negative attitudes
and refuse to take risks will eventually fail.
ท่านทราบหรือไม่ ?
• สิ่งใดเกิดก่อน พืชหรือเมล็ดพืช? นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากกล่าวว่า พืชเกิดก่อน
• ต้นสนบริสเทิล (The Great Basin Bristlecone Pine) เป็นต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมี
อายุ 4,855 ปี อยู่ในสถานที่ไม่เปิดเผยในป่าสงวนแห่งชาติ Inyo White Mountains ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
. กรมป่าไม้ของสหรัฐฯ ไม่เปิดเผยสถานที่อยู่ที่แน่ชัดและไม่เผยแพร่รูปถ่ายของต้นไม้โบราณนี้เพื่อปกป้อง
ต้นไม้จากนักท่องเที่ยว
----------------------
( 18 )
เรื่องสั้น กาโลภมาก จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Greedy Crow”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่ง…มีกาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า มันเป็นกาที่โลภมากและชอบนินทาสัตว์หรือ
นกตัวอื่นเสมอจึงไม่มีสัตว์หรือนกตัวใดในป่าชอบมัน
วันหนึ่งกาตัวนี้พบเนื้อชิ้นหนึ่งบนพื้นดิน มันรีบบินโฉบชิ้นเนื้อและคาบไว้ในปากก่อน
จะบินขึ้นไปเกาะบนต้นไม้
ขณะที่มันกำลังจะจิกกินชิ้นเนื้อนั้น มันเห็นนกกระเต็นตัวหนึ่งคาบเขียดอยู่ในปากกำลังบิน
ผ่านไป กาจึงร้องถามนกกระเต็นว่า “แกไปได้เจ้าเขียดมาจากไหนหรือ ?” แต่นกกระเต็นไม่สนใจ
คำถามของมัน และบินต่อไป
เมื่อกาไม่ได้คำตอบ มันก็โกรธและตะโกนถามซ้ำว่า “แกหยุดเดี๋ยวนี้นะและตอบฉันมาว่าแก
ไปได้เขียดที่ไหน ถ้าแกไม่ตอบฉันจะบินไปเอาเขียดจากปากของแกนะ!” อย่างไรก็ตาม นกกระเต็น
ยังคงทำหูทวนลมและบินต่อไป
ถึงตอนนี้กาที่สำคัญตนเองว่าเป็นนกที่มีร่างใหญ่และแข็งแรงโกรธจัด และต้องการจะแย่งเอา
เขียดจากปากของนกกระเต็น จึงรีบออกบินตามนกกระเต็นไปโดยวางชิ้นเนื้อที่กำลังจะกินไว้บนกิ่งไม้
โดยหารู้ไม่ว่านกกระเต็นบินเร็วกว่ามัน
ขณะที่กาเร่งความเร็วเต็มที่เพื่อจะบินให้ทันนกกระเต็นอยู่นั้น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินอยู่เหนือต้นไม้
ที่กาวางชิ้นเนื้อไว้และเมื่อมันสังเกตเห็นชิ้นเนื้อ มันก็เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกากับนกกระเต็น
จากนั้นมันก็โฉบลงมาใช้กรงเล็บขยุ้มชิ้นเนื้อของกาไปกินด้วยความยินดี
หลังจากกาพยายามบินตามนกกระเต็นอยู่พักใหญ่ ในที่สุดมันก็ยอมแพ้เพราะนกกระเต็นบิน
เร็วกว่ามากและบินไปไกลจนลับตา กาจึงจำต้องบินกลับไปที่ต้นไม้ที่ทิ้งชิ้นเนื้อไว้ และก็ต้องตกใจ
เมื่อไม่มีชิ้นเนื้ออยู่ที่นั้นแล้ว กาผู้หิวโหยและหมดแรงทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งกว่านั้น เหยี่ยว
ที่ขโมยเอาชิ้นเนื้อของกาไปยังบินวกกลับมาที่ต้นไม้ที่กาเกาะอยู่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงร้องว่า
“ชิ้นเนื้ออร่อยมาก ฉันกินไปแล้ว... ขอบใจนะเจ้ากาผู้โลภมาก”
----------------------
เรื่องสั้น กาโลภมาก จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Greedy Crow”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่ง…มีกาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า มันเป็นกาที่โลภมากและชอบนินทาสัตว์หรือ
นกตัวอื่นเสมอจึงไม่มีสัตว์หรือนกตัวใดในป่าชอบมัน
วันหนึ่งกาตัวนี้พบเนื้อชิ้นหนึ่งบนพื้นดิน มันรีบบินโฉบชิ้นเนื้อและคาบไว้ในปากก่อน
จะบินขึ้นไปเกาะบนต้นไม้
ขณะที่มันกำลังจะจิกกินชิ้นเนื้อนั้น มันเห็นนกกระเต็นตัวหนึ่งคาบเขียดอยู่ในปากกำลังบิน
ผ่านไป กาจึงร้องถามนกกระเต็นว่า “แกไปได้เจ้าเขียดมาจากไหนหรือ ?” แต่นกกระเต็นไม่สนใจ
คำถามของมัน และบินต่อไป
เมื่อกาไม่ได้คำตอบ มันก็โกรธและตะโกนถามซ้ำว่า “แกหยุดเดี๋ยวนี้นะและตอบฉันมาว่าแก
ไปได้เขียดที่ไหน ถ้าแกไม่ตอบฉันจะบินไปเอาเขียดจากปากของแกนะ!” อย่างไรก็ตาม นกกระเต็น
ยังคงทำหูทวนลมและบินต่อไป
ถึงตอนนี้กาที่สำคัญตนเองว่าเป็นนกที่มีร่างใหญ่และแข็งแรงโกรธจัด และต้องการจะแย่งเอา
เขียดจากปากของนกกระเต็น จึงรีบออกบินตามนกกระเต็นไปโดยวางชิ้นเนื้อที่กำลังจะกินไว้บนกิ่งไม้
โดยหารู้ไม่ว่านกกระเต็นบินเร็วกว่ามัน
ขณะที่กาเร่งความเร็วเต็มที่เพื่อจะบินให้ทันนกกระเต็นอยู่นั้น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินอยู่เหนือต้นไม้
ที่กาวางชิ้นเนื้อไว้และเมื่อมันสังเกตเห็นชิ้นเนื้อ มันก็เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกากับนกกระเต็น
จากนั้นมันก็โฉบลงมาใช้กรงเล็บขยุ้มชิ้นเนื้อของกาไปกินด้วยความยินดี
หลังจากกาพยายามบินตามนกกระเต็นอยู่พักใหญ่ ในที่สุดมันก็ยอมแพ้เพราะนกกระเต็นบิน
เร็วกว่ามากและบินไปไกลจนลับตา กาจึงจำต้องบินกลับไปที่ต้นไม้ที่ทิ้งชิ้นเนื้อไว้ และก็ต้องตกใจ
เมื่อไม่มีชิ้นเนื้ออยู่ที่นั้นแล้ว กาผู้หิวโหยและหมดแรงทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งกว่านั้น เหยี่ยว
ที่ขโมยเอาชิ้นเนื้อของกาไปยังบินวกกลับมาที่ต้นไม้ที่กาเกาะอยู่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงร้องว่า
“ชิ้นเนื้ออร่อยมาก ฉันกินไปแล้ว... ขอบใจนะเจ้ากาผู้โลภมาก”
----------------------
( 19 )
เรื่องสั้น ‘คุณดี’ผู้สุขสันต์ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Happy Letter D Stories” แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘คุณดี’ ผู้สุขสันต์เป็นคนที่ยิ้มเสมอและมีความสุขตลอดเวลา คุณดีมีเพื่อนรักคนหนึ่งชื่อ
‘คุณบี’ ซึ่งมักจะสงสัยว่า ทำไม คุณดีจึงมีความสุขและยิ้มได้ทั้งวัน และไม่นานคุณบีก็พบว่า
คุณดีมองทุกอย่างแตกต่างไม่เหมือนเขา คุณดีชื่นชมทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาไม่ว่า
สิ่งนั้นจะสำคัญมากน้อยเพียงใด แต่คุณบีไม่เข้าใจในเรื่องนี้ และดังนั้นในวันหนึ่ง คุณบีจึง
ถามคุณดีว่าทำไมเขาจึงมีความสุขอยู่เสมอ
คุณดีตอบง่ายๆ ว่า “เพราะฉันหาความสุขได้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันน่ะสิ!”
คุณบีข้องใจกับคำตอบและคิดอยู่ในใจว่า “ฉันพนันได้เลยว่าฉันสามารถทำให้เขาหยุดยิ้มได้”
แล้วคุณบีก็วางแผนทดสอบคุณดีขึ้นมาโดยพูดกับคุณดีว่า “ไปดูละครด้วยกันไหมล่ะ”
คุณดีตอบว่า “ฟังดูน่าสนุกนะ!”
จากนั้นคุณบีก็พาคุณดีไปดูละครเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยดูละครมา
คุณบีคิดในใจว่า “ละครเรื่องนี้จะทำให้คุณดีต้องรู้สึกเศร้าอย่างแน่นอน” ... หลังจากดูละครจบ
ปรากฏว่าทั้งสองร้องไห้ในตอนท้ายของเรื่อง อย่างไรก็ตามคุณดียังคงยิ้มได้ขณะเดินออกจาก
โรงละคร ต่อจากนั้นคุณดีก็ถามคุณบีว่า “เราจะไปไหนต่อกันดี” คุณบีตอบว่า “ไปร้านไอศครีม
แล้วกินไอศครีมแข่งกัน” ทั้งนี้เพราะคุณบีรู้ว่าการรีบกินไอศครีมเร็ว ๆ จะทำให้คนที่กินรู้สึกปวดหัว
อย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังจากที่คุณดีกินไอศครีมแข่งกับคุณบีได้ไม่นาน คุณดีก็เริ่ม
รู้สึกปวดหัวแต่คุณดีก็ยังคงยิ้มอยู่ได้
สุดท้ายคุณบีก็พูดกับคุณดีว่า “เรามาเล่นวูซูแข่งกันไหมล่ะ” การที่คุณบีชวนเล่นเกมนี้เพราะเขา
เป็นแชมป์วูซูและไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย และคุณบีก็รู้ด้วยว่า วิสัยของผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน
อยากเป็นผู้ชนะและจะรู้สึกเศร้าเสียใจเมื่อเป็นผู้แพ้ อย่างไรก็ตามหลังจากทั้งสองเล่นวูซูแข่งกันเสร็จ
ปรากฏว่าคุณดียังคงยิ้มอยู่ได้ ทั้งที่คุณบีได้คะแนนเต็มและชนะเขาชนิดขาดลอย
หลังจากคุณบีทดสอบ’คุณดี’มาครบ 3 อย่างแล้ว คุณบีก็พบว่าคุณดียังคงยิ้มได้เสมอไม่ว่าจะเกิด
เรื่องเศร้าเพียงใดกับเขา คุณบีจึงพูดกับคุณดีว่า “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมเธอถึงยิ้มได้เสมอไม่ว่า
จะเกิดอะไรขึ้น”
คุณดีพูดตอบอย่างมีความสุขว่า “คิดดูสิ ตอนแรกฉันมีโอกาสได้ไปดูละครกับเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน
หลังจากนั้นเราก็ไปกินไอศครีมที่อร่อยด้วยกัน แถมยังได้เล่นเกมกับเพื่อนรักอีกด้วย นี่คือวันที่วิเศษที่สุด
ในชีวิตของฉันเลยนะ!”
เมื่อคุณดีอธิบายวิธีการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว คุณบีก็ตระหนักได้ว่า อันที่จริงตัวเขาเองก็มี
ความสุขเหมือนกันในวันนั้น เพราะได้ไปดูละคร กินไอศครีม และเล่นเกมที่เขาเป็นผู้ชนะ! แล้วคุณบีก็เริ่ม
ยิ้มอย่างมีความสุขนับจากวันนั้นเป็นต้นมา บัดนี้คุณบีเลิกสนใจแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะเขารู้จัก
วิธีการคิดของคุณดีแล้วและคิดตามวิธีของคุณดีทุกครั้งทำให้ตัวเขาเองก็กลายเป็นคนที่มีความสุขทุกวันเช่นกัน!
ข้อคิด : เราควรคิดบวกและยิ้มอยู่เสมอแม้ในช่วงเวลาคับขัน :
We should always stay positive and keep smiling even during our difficult times.
----------------------
เรื่องสั้น ‘คุณดี’ผู้สุขสันต์ จาก Inspirational Moral Stories
เรื่อง “The Happy Letter D Stories” แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘คุณดี’ ผู้สุขสันต์เป็นคนที่ยิ้มเสมอและมีความสุขตลอดเวลา คุณดีมีเพื่อนรักคนหนึ่งชื่อ
‘คุณบี’ ซึ่งมักจะสงสัยว่า ทำไม คุณดีจึงมีความสุขและยิ้มได้ทั้งวัน และไม่นานคุณบีก็พบว่า
คุณดีมองทุกอย่างแตกต่างไม่เหมือนเขา คุณดีชื่นชมทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาไม่ว่า
สิ่งนั้นจะสำคัญมากน้อยเพียงใด แต่คุณบีไม่เข้าใจในเรื่องนี้ และดังนั้นในวันหนึ่ง คุณบีจึง
ถามคุณดีว่าทำไมเขาจึงมีความสุขอยู่เสมอ
คุณดีตอบง่ายๆ ว่า “เพราะฉันหาความสุขได้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันน่ะสิ!”
คุณบีข้องใจกับคำตอบและคิดอยู่ในใจว่า “ฉันพนันได้เลยว่าฉันสามารถทำให้เขาหยุดยิ้มได้”
แล้วคุณบีก็วางแผนทดสอบคุณดีขึ้นมาโดยพูดกับคุณดีว่า “ไปดูละครด้วยกันไหมล่ะ”
คุณดีตอบว่า “ฟังดูน่าสนุกนะ!”
จากนั้นคุณบีก็พาคุณดีไปดูละครเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยดูละครมา
คุณบีคิดในใจว่า “ละครเรื่องนี้จะทำให้คุณดีต้องรู้สึกเศร้าอย่างแน่นอน” ... หลังจากดูละครจบ
ปรากฏว่าทั้งสองร้องไห้ในตอนท้ายของเรื่อง อย่างไรก็ตามคุณดียังคงยิ้มได้ขณะเดินออกจาก
โรงละคร ต่อจากนั้นคุณดีก็ถามคุณบีว่า “เราจะไปไหนต่อกันดี” คุณบีตอบว่า “ไปร้านไอศครีม
แล้วกินไอศครีมแข่งกัน” ทั้งนี้เพราะคุณบีรู้ว่าการรีบกินไอศครีมเร็ว ๆ จะทำให้คนที่กินรู้สึกปวดหัว
อย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังจากที่คุณดีกินไอศครีมแข่งกับคุณบีได้ไม่นาน คุณดีก็เริ่ม
รู้สึกปวดหัวแต่คุณดีก็ยังคงยิ้มอยู่ได้
สุดท้ายคุณบีก็พูดกับคุณดีว่า “เรามาเล่นวูซูแข่งกันไหมล่ะ” การที่คุณบีชวนเล่นเกมนี้เพราะเขา
เป็นแชมป์วูซูและไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย และคุณบีก็รู้ด้วยว่า วิสัยของผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน
อยากเป็นผู้ชนะและจะรู้สึกเศร้าเสียใจเมื่อเป็นผู้แพ้ อย่างไรก็ตามหลังจากทั้งสองเล่นวูซูแข่งกันเสร็จ
ปรากฏว่าคุณดียังคงยิ้มอยู่ได้ ทั้งที่คุณบีได้คะแนนเต็มและชนะเขาชนิดขาดลอย
หลังจากคุณบีทดสอบ’คุณดี’มาครบ 3 อย่างแล้ว คุณบีก็พบว่าคุณดียังคงยิ้มได้เสมอไม่ว่าจะเกิด
เรื่องเศร้าเพียงใดกับเขา คุณบีจึงพูดกับคุณดีว่า “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมเธอถึงยิ้มได้เสมอไม่ว่า
จะเกิดอะไรขึ้น”
คุณดีพูดตอบอย่างมีความสุขว่า “คิดดูสิ ตอนแรกฉันมีโอกาสได้ไปดูละครกับเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน
หลังจากนั้นเราก็ไปกินไอศครีมที่อร่อยด้วยกัน แถมยังได้เล่นเกมกับเพื่อนรักอีกด้วย นี่คือวันที่วิเศษที่สุด
ในชีวิตของฉันเลยนะ!”
เมื่อคุณดีอธิบายวิธีการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว คุณบีก็ตระหนักได้ว่า อันที่จริงตัวเขาเองก็มี
ความสุขเหมือนกันในวันนั้น เพราะได้ไปดูละคร กินไอศครีม และเล่นเกมที่เขาเป็นผู้ชนะ! แล้วคุณบีก็เริ่ม
ยิ้มอย่างมีความสุขนับจากวันนั้นเป็นต้นมา บัดนี้คุณบีเลิกสนใจแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะเขารู้จัก
วิธีการคิดของคุณดีแล้วและคิดตามวิธีของคุณดีทุกครั้งทำให้ตัวเขาเองก็กลายเป็นคนที่มีความสุขทุกวันเช่นกัน!
ข้อคิด : เราควรคิดบวกและยิ้มอยู่เสมอแม้ในช่วงเวลาคับขัน :
We should always stay positive and keep smiling even during our difficult times.
----------------------
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 7:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
( 20 )
เรื่องสั้น เสือกับนกหัวขวาน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Tiger And The Woodpecker”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่งมีเสือดุร้ายมากตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งมันรู้สึกหิวมากจึงมองไป
รอบ ๆ เพื่อหาเหยื่อและไม่นานมันก็ล่าหมูป่าใหญ่ตัวหนึ่งได้ แต่ขณะที่มันกำลังเคี้ยวหมูป่าอยู่นั้น
มันรู้สึกว่ามีบางอย่างติดคอและเจ็บคอมาก และที่สุดมันก็รู้ว่ามีกระดูกชิ้นใหญ่ติดคอของมันอยู่
มันพยายามไออย่างแรงอยู่หลายครั้งเพื่อให้กระดูกที่ติดคอหลุดแต่ไม่เป็นผล กระดูกยังคงติดแน่นที่คอ
เกือบหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปที่มันไม่ได้ออกล่าเหยื่อและไม่ได้ดื่มน้ำเลยเพราะกระดูกชิ้นโตยังคงติด
คออยู่ ขณะนี้สภาพของมันดูไร้เรี่ยวแรงและหิวโซ มันเริ่มคิดว่าวาระสุดท้ายของมันคงมาถึงแล้ว
จากนั้นมันก็ล้มตัวลงนอนหมดอาลัยตายอยากโดยที่อ้าปากค้างอยู่
ไม่นานต่อมา นกหัวขวานตัวหนึ่งผ่านมาเห็นมันในสภาพใกล้ตายจึงถามขึ้นว่า “ทำไมท่านเสือจึง
นอนหลับตาอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นล่ะ”
เสือส่งเสียงอู้อี้ตอบพอจับใจความได้ว่า “มีกระดูกชิ้นโตติดคออยู่หลายวันแล้ว ทำให้กินอาหาร
และดื่มน้ำไม่ได้ และคงจะตายเร็ว ๆ นี้”
นกหัวขวานผู้อารีจึงยื่นข้อเสนอว่า “ฉันจะช่วยเอากระดูกออกจากคอให้ แต่ท่านต้องสัญญาว่า
ต่อไปเมื่อท่านล่าเหยื่อได้แล้ว ท่านจะต้องแบ่งเหยื่อที่ล่าได้ให้ฉันกินด้วย”
เสือรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นและตกลงตามเงื่อนไขของนกหัวขวานโดยดี และไม่นานต่อมานกหัวขวาน
ก็สามารถคาบกระดูกที่ติดแน่นอยู่ในคอเสือออกได้เรียบร้อย เสือถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะ
รีบวิ่งไปดื่มน้ำดับกระหายที่แอ่งน้ำใกล้ ๆ และกลับมานอนพัก
วันรุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ เสือออกล่าเหยื่อและจับเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนกหัวขวานก็บินเข้ามา
ขอส่วนแบ่งตามสัญญา แต่เสือไม่ยอมแบ่งให้เพราะคิดว่า แค่นกหัวขวานตัวหนึ่งคงไม่สามารถมาตอแย
กับมันได้ นกหัวขวานเมื่อถูกเสือตระบัดสัตย์รู้สึกโกรธและพูดเตือนเสือให้ระลึกถึงข้อตกลงก่อนหน้านั้น
เสือพูดด้วยน้ำเสียงโอหังว่า “แกควรจะขอบคุณฉันนะที่ไม่ได้เห็นแกเป็นเหยื่อเหมือนกระต่ายตัวนี้
เพราะนกก็เป็นอาหารของฉันเหมือนกันนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นกหัวขวานไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ก่อนที่เสือจะได้ทันตั้งตัว มันก็จิกเข้าที่
ตาข้างหนึ่งของเสือ เสือรู้สึกเจ็บมากที่ตาและเข้าใจทันทีถึงวิธีการที่นกสามารถจัดการกับมันได้
จากนั้นนกหัวขวาน ก็สอนว่า “ท่านควรจะขอบคุณที่ฉันยังไม่ได้จิกตาอีกข้างหนึ่งของท่านนะ
ท่านควรเรียนรู้การรักษาสัญญาได้แล้ว” ทันทีที่นกหัวขวานพูดจบ มันก็บินจากไป
ข้อคิด : ถ้าเราปฏิบัติต่อผู้อื่นดี เราก็จะได้รับความเมตตา แต่หากเราทำร้ายและหลอกลวงผู้อื่น
เราก็อาจจะถูกทำร้ายและถูกหลอกได้เช่นกัน : If we treat others kindly we will receive kindness
whereas if we are hurtful and deceiving to the people around us we might also end up
getting hurt and deceived.
----------------------
เรื่องสั้น เสือกับนกหัวขวาน
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Tiger And The Woodpecker”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
กาลครั้งหนึ่งมีเสือดุร้ายมากตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งมันรู้สึกหิวมากจึงมองไป
รอบ ๆ เพื่อหาเหยื่อและไม่นานมันก็ล่าหมูป่าใหญ่ตัวหนึ่งได้ แต่ขณะที่มันกำลังเคี้ยวหมูป่าอยู่นั้น
มันรู้สึกว่ามีบางอย่างติดคอและเจ็บคอมาก และที่สุดมันก็รู้ว่ามีกระดูกชิ้นใหญ่ติดคอของมันอยู่
มันพยายามไออย่างแรงอยู่หลายครั้งเพื่อให้กระดูกที่ติดคอหลุดแต่ไม่เป็นผล กระดูกยังคงติดแน่นที่คอ
เกือบหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปที่มันไม่ได้ออกล่าเหยื่อและไม่ได้ดื่มน้ำเลยเพราะกระดูกชิ้นโตยังคงติด
คออยู่ ขณะนี้สภาพของมันดูไร้เรี่ยวแรงและหิวโซ มันเริ่มคิดว่าวาระสุดท้ายของมันคงมาถึงแล้ว
จากนั้นมันก็ล้มตัวลงนอนหมดอาลัยตายอยากโดยที่อ้าปากค้างอยู่
ไม่นานต่อมา นกหัวขวานตัวหนึ่งผ่านมาเห็นมันในสภาพใกล้ตายจึงถามขึ้นว่า “ทำไมท่านเสือจึง
นอนหลับตาอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นล่ะ”
เสือส่งเสียงอู้อี้ตอบพอจับใจความได้ว่า “มีกระดูกชิ้นโตติดคออยู่หลายวันแล้ว ทำให้กินอาหาร
และดื่มน้ำไม่ได้ และคงจะตายเร็ว ๆ นี้”
นกหัวขวานผู้อารีจึงยื่นข้อเสนอว่า “ฉันจะช่วยเอากระดูกออกจากคอให้ แต่ท่านต้องสัญญาว่า
ต่อไปเมื่อท่านล่าเหยื่อได้แล้ว ท่านจะต้องแบ่งเหยื่อที่ล่าได้ให้ฉันกินด้วย”
เสือรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นและตกลงตามเงื่อนไขของนกหัวขวานโดยดี และไม่นานต่อมานกหัวขวาน
ก็สามารถคาบกระดูกที่ติดแน่นอยู่ในคอเสือออกได้เรียบร้อย เสือถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะ
รีบวิ่งไปดื่มน้ำดับกระหายที่แอ่งน้ำใกล้ ๆ และกลับมานอนพัก
วันรุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ เสือออกล่าเหยื่อและจับเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนกหัวขวานก็บินเข้ามา
ขอส่วนแบ่งตามสัญญา แต่เสือไม่ยอมแบ่งให้เพราะคิดว่า แค่นกหัวขวานตัวหนึ่งคงไม่สามารถมาตอแย
กับมันได้ นกหัวขวานเมื่อถูกเสือตระบัดสัตย์รู้สึกโกรธและพูดเตือนเสือให้ระลึกถึงข้อตกลงก่อนหน้านั้น
เสือพูดด้วยน้ำเสียงโอหังว่า “แกควรจะขอบคุณฉันนะที่ไม่ได้เห็นแกเป็นเหยื่อเหมือนกระต่ายตัวนี้
เพราะนกก็เป็นอาหารของฉันเหมือนกันนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นกหัวขวานไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ก่อนที่เสือจะได้ทันตั้งตัว มันก็จิกเข้าที่
ตาข้างหนึ่งของเสือ เสือรู้สึกเจ็บมากที่ตาและเข้าใจทันทีถึงวิธีการที่นกสามารถจัดการกับมันได้
จากนั้นนกหัวขวาน ก็สอนว่า “ท่านควรจะขอบคุณที่ฉันยังไม่ได้จิกตาอีกข้างหนึ่งของท่านนะ
ท่านควรเรียนรู้การรักษาสัญญาได้แล้ว” ทันทีที่นกหัวขวานพูดจบ มันก็บินจากไป
ข้อคิด : ถ้าเราปฏิบัติต่อผู้อื่นดี เราก็จะได้รับความเมตตา แต่หากเราทำร้ายและหลอกลวงผู้อื่น
เราก็อาจจะถูกทำร้ายและถูกหลอกได้เช่นกัน : If we treat others kindly we will receive kindness
whereas if we are hurtful and deceiving to the people around us we might also end up
getting hurt and deceived.
----------------------