เกาะติดวิกฤติโลกผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส(11-20)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2025 7:01 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม

ตอนที่​ (. 11. )
✴️ พระ​เยซู​มีหน้า​ตา​อย่าง​ไร? (B)​ ✴️
อวสานของโลกจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวสุดประมาณ แต่ยังจะไม่มาถึง​ ลูกรัก หลังจากที่ได้ยิน “สาร”
มากมายที่พูดถึงเหตุการณ์ที่น่าเศร้า ก็ยังเฉยๆ​ กันอยู่ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ เราปรารถนาที่จะให้
เสียงของเราที่แสนจะปวดร้าวไปถึงมุมหนึ่งของโลก และกล่าวซ้ำอย่างไม่หยุดหย่อนดังนี้ว่า ระวัง !
ถึงเวลาคิดบัญชีแล้ว บุญของคนที่ฟังเสียงเรา (เวลาตีสาม 23​ก.ย.​87)... “อิตาลี​ ชาติที่ได้รับการ
โปรดปรานจากพระเจ้าเป็นพิเศษ ทุกเขตแคว้นใช้ตราของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทรยศหัวใจของเรา​
นำวิญญาณมากมายไปสู่ความพินาศ​ ทำให้ลูกๆ ของเราที่ต้องการติดตามเรา ต้องเหินห่างไปจากเรา
ลูกรัก อย่ากลัวเลย​ อย่าปิดบังสิ่งซึ่งเรากำลังบอกลูกว่าเราไม่อาจจะรั้งพระหัตถ์พระบิดาเจ้าอีกต่อไปแล้ว
​ พระองค์ย้ำหลายครั้งแล้วว่า หลายชาติจะสูญหายไปจากแผ่นดิน ในระยะเวลาหนึ่ง​ ลัทธิคอมมิวนิสต์
จะชื่นชมที่ไม่ยอมรับนับถือพระเจ้า คนมากมายจะพินาศไป มีลัทธิฟรีเมซอนในพระศาสนจักร หัวใจอัน
ต่ำทรามทำให้เราขัดเคืองและทำให้พระบิดาเคืองพระทัยด้วย” (ตีสาม​ 11 ต.ค.​87)... “ลูก​รัก​ เรามา
เตือนใจคนบาป ให้เปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะว่าการลงทัณฑ์ใกล้เข้ามาแล้ว​ แผ่นดินจะลุกไหม้ และจะถูกคลุม
ด้วยควัน ถนนหนทางจะเต็มไปด้วยเลือด​ มนุษยชาติจะถูกคุกคามด้วยสงคราม ปีศาจก็จ้องจะตะครุบเหยื่อ
ของมัน​ พวกมิจฉาชีพจะเข้าร่วมกับกองทัพของปีศาจ พวกเขาจะขโมยศีลศักดิ์สิทธิ์​ พวกเขาจะขายเรา
เหมือนยูดาส ทั้งๆ ที่เรามาก็เพื่อจะช่วยพวกเขาให้รอด​ เวลาเข้ามาใกล้แล้ว ในอิตาลีจะมีการปฏิวัติทาง
การเมือง​ พระศาสนจักรจะถูกเหยียบย่ำด้วยความรุนแรงร้ายกาจ” (ตีสาม 18 ต.ค.​ 87)
พวกฟรีเมซอนกล่าวร้ายป้ายสีพระวรสารของเรา​! ความชั่วช้าสามานย์ของพวกเขาช่างน่าสะอิดสะเอียน
ยิ่งนัก พวกเขาร้องว่า “เราไม่ต้องการพระเจ้า”​ ซาตานได้ล่ามวิญญาณมากมายมิให้กระดิกกระเดี้ยไปไหน
ลูกรักจงผนึกหัวใจของลูกร่วมกับน้ำตาเป็นสายเลือดของเรา ลูกรู้รึเปล่าว่าการลงทัณฑ์มันทำให้เราปวดร้าว
สักแค่ไหน! พวกเขากำลังเตรียมเบียดเบียนด้วยมือของพวกเขาเอง และรู้หรือเปล่าว่าไฟนรกชั่วกัปชั่วกัลป์
กำลังคอยพวกเขาอยู่”​(เวลา 3.00 น. 12 พฤศจิกายน 1987)
เกี่ยวกับเรื่องหน้าตาของพระเยซู​จำได้ว่าเคยอ่านบทความที่ถือได้ว่าเป็นเกล็ดประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง
ถอดความโดยท่านผู้อาวุโสที่ผมเคารพนับถือ​ ซึ่งเพิ่งฉลองครบ​7 รอบไปหยกๆ ได้เคยใช้ชีวิตระหว่างสงคราม
โลกครั้งที่ 2 ในอิตาลีมาแล้วอย่างโชกโชน ท่านผู้นี้คือ บาทหลวงประชุม มินประพาฬ​ ลองติดตามดูซิครับ
ข้างล่างนี้เป็นจดหมายที่ปูบลีอูส เลนตูลูส จ้าวครองแควันยูเดีย (ก่อนปอนซีอูส ปีลาตูส) เขียนทูลเกล้าฯ
ถวาย ทีเบรีอูส เซซาร์ จักรพรรดิแห่งโรม​ ระหว่าง ค.ศ.​ 14 ถึง 37 บรรยายรูปร่างลักษณะของเยซู​คริสต์ ผู้ซึ่ง
เวลานั้นกำลังเริ่มออกประกาศสั่งสอนประชาชน ในแผ่นดินปาเลสไตน์
เซนาตูส ปูบลีอูส แคว้นยูเดียกราบบังคมทูลจักรพรรดิเซซาร์แห่งโรม
“เซซาร์ทราบว่าฝ่าพระบาททรงปรารถนาสดับข่าวที่กำลังทูลถวายอยู่นี้
ที่นี่มีชายคนหนึ่งชื่อ เยซู​คริสต์ ใครๆ​ เรียกท่านเป็น โปรเฟตา ทั้งนั้น​ บรรดาลูกศิษย์ยืนยันว่าท่านเป็น
ลูกพระเจ้า ผู้สร้างสวรรค์และแผ่นดินมาเกิด
แน่ละ เซซาร์ เรื่องเกี่ยวกับ คริสโต​ คนนี้เป็นข่าวประหลาดจริงๆ​ ขอกราบทูลไว้เพียงสองสามคำก่อน
ท่านทำให้คนตาบอดเห็นได้ คนเจ็บคนไข้หายโรค คนทั้งกรุงพากันพิศวง รูปร่างลักษณะของท่านงามเลิศ
ผิดมนุษย์​สามัญ​ ​ตัวกำยำสมบูรณ์เป็นสง่า​ ใครเห็นเข้าต้องหลงรักท่านทีเดียว​ มารยาทเสงี่ยมเจียมตน
วาระเดียวกันอ่อนโยนนิ่มนวล คนทั้งรักทั้งกลัวท่าน ไปไหนมาไหนไม่คลุมหัว, เดินเท้าเปล่า, สวมเสื้อทูนิก
(ทรงกระบอก) ขาวสะอาดรับรูปทรง
ผมสีรวงทองรับกรอบใบหน้า ราศีเด่นประดุจพระ สมกะอาจารย์หนุ่มหยักสลวยเป็นลอนคลุมลงมาบ่า​
มีประกายสุกใสบรรยายไม่ถูกคล้ายไวน์เหลืองอร่าม ท่านไว้เคราค่อนข้างสั้น สีเดียวกับผม แหยมแยกที่
ปลายคาง​ สายตาราบรื่น​ แต่มองใครแล้วซึ้ง เสียวแปลบตัดขั้วหัวใจ ไม่มีใครกล้าประสานตากับท่านได้
เพราะแวววาวราวแสงตะวัน
บุคลิกของท่านต่างกับของคนอื่นมาก​ มีเสน่ห์​ดึงดูดทุกคนให้เข้าหา​ มือแขวนเรียวงาม น่าพิสมัย มอง
ไม่เบื่อ คิดว่าไม่มีใครได้เจอมนุษย์คนไหนสวยเด่น ใจสูงอย่างท่านแน่ เป็นพิมพ์เดียวกับแม่ท่าน ผู้เลิศเลอ
เหนือหญิงใดในทั้งโลก ไม่เคยเห็นท่านยิ้มให้ใครเลย​ มีแต่ร้องไห้ในบางครั้ง ยังดีท่านคอยปลอบทุกข์
แบ่งสุขกับทุกคนอยู่เสมอ ท่านวางตัวเรียบๆ กลางชุมชน​ ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไรก็พูดก็ทำด้วยศักดิ์ศรี
มีศรัทธากล้าเป็นประจำ หากใครได้พูดได้คุยกับท่านแล้ว​ รับรองต้องคล้อยตามความคิดท่านแน่ๆ​ และ
บอกว่า​ “คุยเพลิน” เสียอีก พวกเกาะกลุ่มเที่ยวตาม มีทั้งยิว​ ทั้งชาวกัปปาโดเซีย อันฟีเลีย​ ซีเรนและคงจาก
ที่อื่นหลาแห่ง​ ท่านพูดได้ไพเราะจับใจอย่างประหลาด จนคนที่ได้ยิน ตะลึงพรึงเพริศ “นี่มันภาษาข้าเองนี่หว่า”​
ท่านเป็นคนที่พระเจ้าเจาะจงแน่ ดูในการพูดการจาเรื่องพระเรื่องเจ้าช่างทะมัดทะแมงฉะฉาน​ มีเสน่ห์​เร้ารึง
ดีแท้​ บรรดาสรรพสิ่งสรรพสัตว์ต่างนิยมชมชื่นในท่าน ประชาชนพากันลอกแบบอย่างท่าน​ ในความเลื่อม
ใสสุดขีด​ เกือบทุกคนต่างขอให้ได้ยื่นมือมาแตะเสื้อท่าน เพราะเชื่อว่ามีฤทธิ์ขนาดรักษาโรคภัยได้ชะงัด
ท่านช่วยสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพได้สูง ทุกคนที่คบกับท่านอาจลุถึงได้
บางทีมีคนเย้ยหยัน เมื่อเห็นท่านแต่ไกล​ ครั้นมาใกล้เผชิญกันต่อหน้าต่อตาเข้า​ ไอ้หมอนั่นกลับยืนขาสั่น
เอกลักษณ์นอกแบบทางความงามเลิศนี้ ต้องมีอะไรวิเศษถึงกระทำให้ประชาชนถูกนะจังงังไปก็ได้​ และเหล่านี้
กลายลดเสียงสงบราบลง เมื่อได้ยินท่านสัญญาอาณาจักรสวรรค์ให้​ พวกยิวบอกว่า ไม่เคยเห็นใครปราดเปรื่อง
เหนือมนุษย์ ซึ่งว่า ยอดแล้วเหมือนท่านคนนี้เลย ทั้งๆ​ ไม่ได้เรียนมา ท่านเป็นปราชญ์ของยอดปราชญ์​ พวกเขา
ไม่เคยได้ยินใครเตือน ใครสอนหลักธรรม ความสุภาพสุดเอื้อมและปฏิบัติความรักอย่างคริสตเจ้าคนนี้เลย
เวลาพูดด้วยคุยด้วย ก็น่ารัก อยู่ใกล้ท่านแล้ว สิ้นสงสัยหมดเคลือบแคลง ถึงยังงั้นท่านก็ยังแสดงความมั่นใจ
ในตัวเองออกมาอย่างสงบราบรื่น ท่านเป็นมนุษย์ที่ชาญฉลาดถ่อมตัวและบริสุทธิ์ยอดเยี่ยม พูดสั้นๆ ท่านเป็น
พระเจ้าสมบูรณ์ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าแอบอ้าง
ยิวหลายคนเชื่อในการเป็นพระเจ้าของท่าน แต่กลับตั้งข้อหาปรักปรำว่า​ ท่านเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่าพระบาท
โอ เซซาร์ เพราะยืนยันต่อหน้าพระเจ้าไม่ว่ามนุษย์หรือกษัตริย์เท่าเสมอกันหมด และบอกว่าพระเจ้าองค์หนึ่ง
องค์เดียวเท่านั้นทรงมหิทธิฤทธิ์บรรเทาคนสิ้นคิดและคนตกทุกข์ได้ยาก โอ เซซาร์​ เหนืออำนาจของฝ่าพระบาท
ข้าพเจ้าเดือดดาลยิวพวกเหล่านี้ ซึ่งพยายามยุแหย่ว่า ท่านเป็นมนุษย์มหาภัยต่อเรา ส่วนคนที่รู้จักท่าน
รับรองว่า ท่านไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครเลย มีแต่พยายามส่งเสริมให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขเท่านั้น
เซซาร์ ถ้าฝ่าพระบาทปรารถนาพบท่านแล้ว ขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงมีพระบัญชาไปยังข้าฯ
ข้าฯ จะส่งตัวท่านมาเฝ้า ข้าฯพร้อมที่จะสนองพระราชโองการทุกเมื่อ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 10, 2025 8:25 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 12. )

✴️ ท่องฟิลิปปินส์...จาก​อาโกโอสู่ลิปา​ (A) ✴️
มาฟิลิปปินส์คราวนี้อากาศเย็นสบาย​ พลอยทำให้อยากเขียนแบบสบายๆ ไปด้วย พอลงจาก
เครื่องลุฟฮันซ่าก็ตรงเข้าร้านอาหารจีน ทั้งๆ​ ที่รสไวน์เบอร์กันดียังไม่จางไปจากปลายลิ้นด้วยซ้ำ
อาหารค่ำนี้เป็นกุ้ง ปู ปลา ที่นี่สดจริงๆ จึงได้รสที่ “หวาน”​ กว่าที่กรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะมะนิลาอยู่
ติดทะเลมากกว่ากรุงเทพฯ ก็เป็นได้​ โรงแรมที่พักก็ที่เดิมคือ​ Manila Pavillion แต่ทว่านับตั้งแต่วันที่
1 มกราคม ได้เข้าสังกัดอยู่​ในเครือ Holiday Inn พนักงานก็คุ้นๆหน้า แต่พอเปิดทีวีกดรีโมทเปลี่ยน
ช่องไปเรื่อยๆ ก็ต้องประหลาดใจที่ได้ยินภาษาไทยของช่อง 7 คุณมณีรัตน์ที่พักข้างห้องดีใจรีบบอก
พวกพ้องว่า “เสรา ดารัล” ตามมาฟิลิปปินส์ด้วยค่อยยังชั่วหน่อย
วันรุ่งขึ้นก็เดินทางมุ่งสู่แคว้นลาอูนีออน La Union พักแรมกันที่บังกะโล บาลีไฮ อยู่ติดทะเลเมือง
Bauang มีบรรยากาศสงบ ร่มเย็น​เพราะปลูกต้นไม้ไว้เยอะ คล้ายแถวบางสะเหร่หรือระยองบ้านเรา​
ที่นี่มีฝรั่งอเมริกันมาพักกันมาก ทำให้นึกถึงพัทยาตอนสงครามเวียดนาม มี จี.ไอ.​มาพักผ่อน อย่างที่
ฐานทัพในฟิลิปปินส์ใช้เป็นเมือง R & R (Rest and Recreation) แต่เมืองที่ทหารอเมริกัน ครั้งที่มีฐาน
ทัพในฟิลิปปินส์ใช้เป็นเมือง R&R ก็คือ เมืองบาเกียว Baguio ซึ่งพวกเราไปชมมา นับว่าสวยงาม​ ร่ม
เย็น น่าอยู่มาก สมเป็นเมืองตากอากาศของเศรษฐีฟิลิปปินส์ มีสนามกอล์ฟชั้นหนึ่งติดอันดับโลก มีม้า
มากมายสำหรับขี่เล่นในปาร์ค ยอดสุดของเมืองบาเกียว คือ สักการะสถานแม่พระเมืองลูร์ด ซึ่งวันนั้น
เป็นวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ดพอดี คือวันที่ 11 กุมกาพันธ์ ชาวฟิลิปปินส์พากันไปไหว้แม่พระกันแน่นขนัด
แถวหน้าถ้ำแม่พระ มีชาวเขาเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมแต่งตัวด้วยชุดประจำเผ่า ใครอยากจะถ่ายรูปด้วย จะ
ต้องเสียเงิน​ 20 เปโซ ที่บาเกียวนี้พวกเราได้ไปชมบ้านพักตากอากาศของประธานาธิบดี นับว่าใหญ่โต
หรูหรา​ สร้างสมัยมาร์กอส ตามเส้นทางสู่บาเกียวนี้ จะมีภูเขาลูกหนึ่งถูกสลักเป็นหน้ามาร์กอส ไกด์จินนี่
เหน็บว่าผู้ว่าการท่องเที่ยวสมัยนั้นต้องการประจบมาร์กอส และว่ามาร์กอสมีที่ดินมากมายมหาศาลทาง
ภาคเหนือ และแถวบาเกียวนี้ นางอาคีโนก็มีไม่น้อยเหมือนกัน จินนี่ว่าเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์อยู่ในกำมือ
ของคนไม่กี่กลุ่ม แสดงว่ายังไม่มี สปก.4-01 เหมือนเมืองไทยว่างั้นเถอะ
แล้วคณะทัวร์ของเราก็มาพบ จูเดียล ที่เมืองอาโกโอ จูเดียลแจ้ง “สาร”​ ของแม่พระที่ให้แก่
ชาวฟิลิปปินส์ ไว้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ว่า ดัง​นี้​:-
1. ขอให้ลูกๆ รู้จักอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากในชีวิต แม่เองก็เคยลำบากมาแล้ว ไม่ว่าความหิว
ความกระหาย ความหนาว พายุฝน ความเหนื่อยยากจากการทำงาน และอื่นๆ ที่คนจนต้องประสบ
2. ลูกที่รักจงปฏิบัติคุณธรรรมแห่งความอดทนอดกลั้น ในชีวิตของลูก อย่าได้ท้อถอยเป็นอันขาด จงยืนหยัด
สู้ต่อไป อย่าหมดหวัง อย่าหมดความเชื่อมั่น เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ลูกจะต้องเพิ่มความเชื่อต่อพระ
บุตรของแม่​ แม่เองก็ได้ประสบมาแล้วที่เบทเลเฮม (ตำบลที่พระเยซู​ทรงบังเกิด) เมื่อแม่ถูกปฏิเสธจากทุกคน
ในการให้ที่พัก แม่ได้รับ การปฏิบัติ​เหมือนคนต่ำต้อยทั่วไป แต่สิ่งที่แม่ถือว่าปวดร้าวที่สุดคือ​การที่พระเยซู​
ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามใส่ร้ายป้ายสี ถูกข่มเหงด้วยการทรมานสารพัดชนิด​ ถึงแม้เดี๋ยวนี้ก็เถอะ คนในยุคนี้
ยังไม่เลิกเบียดเบียนพระเยซูและเลิกที่จะทำให้แม่ปวดร้าวใจ
3. ลูกที่รักขอให้ลูกเตรียมตัวไว้ให้ดี จะเกิดภัยพิบัติ (Catastrophe) ครั้งใหญ่ แต่ไม่ต้องกลัว สิ่งที่สำคัญที่สุด
ก็คือ ให้ลูกตระเตรียมวิญญาณ​ (หมายถึงชำระวิญญาณให้หมดจด) ถ้าลูกๆ รู้ว่าแม่รักลูกแค่ไหน ลูกจะต้องร้อง
ไห้ด้วยความยินดี ขอให้ดูน้ำตาแห่งความรักของแม่ซิ มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยโลก
และในคืนที่ 11 กุมภาพันธ์ อันเป็นวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ด​ เวลาประมาณ​ 21.00 น. แม่พระก็ปรากฏมา
ในนิมิตของจูเดียลอีก กลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่วบริเวณหน้าโบสถ์ที่กำลังก่อสร้าง แล้วพวกเราบางคนที่อยู่
ใกล้จูเดียล ก็ส่งลูกประคำใส่มือจูเดียลเพื่อให้แม่พระเสก พอรับกลับก็มีกลิ่นหอมเย็นของกุหลาบเจือกำยานติด
ลูกประคำ เมื่อจูเดียลสนทนากับแม่พระเรียบร้อยแล้ว จูเดียลก็กำทราย ให้กับชาวไทยบางคนที่ไม่อาจเบียดสู้
กับชาวฟิลิปปินส์ ก็ได้รับทรายหอมเต็มกำมือกลับมาฝากญาติมิตร สำหรับผมที่ไปพบจูเดียลมาหลายครั้ง รู้สึก
จะไม่ค่อยยึดติดกับ​ “กลิ่น”​ ที่หอมประหลาดอันเป็นเครื่องหมายที่พอจะยืนยันว่าเป็น​ “พรพิเศษ”​ ที่เบื้องบน
ประทานให้ แต่จะสนใจที่ฟัง “สาร”​ ที่แม่พระมอบผ่านจูเดียลมากกว่า ซึ่งครั้งนี้ก็มีย่อๆ ดังนี้ :-
1. ปีนี้เป็นปีแห่งวิปโยค ให้ลูกมอบความไว้วางใจแก่แม่ด้วยการบำเพ็ญภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน
(ให้ใจจดจ่ออยู่กับพระตลอดเวลา)
2. มิตรภาพระหว่างอเมริกาและรัสเซียนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว
3. ในปัจจุ​บัน​การ​ทำแท้งเป็น​อาชญากรรม​ เป็น​การ​ฆ่า​คน​ที่​มี​จำนวน​มากกว่า​ครั้ง​สงคราม​โลก​
4. ให้​แพร่​ข่าว​สารของ​แม่​อย่า​ได้​หยุด​ยั้ง​

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 10, 2025 8:31 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 13 )

✴️ ท่องฟิลิปปินส์...จาก​อาโกโอสู่ลิปา​ (B) ✴️
จากอาโกโอซึ่งอยู่เหนือมะนิลา 250​ ​ก.ม. พวกเราก็ล่องใต้ผ่านมะนิลามาสู่เมืองตาไกได (Tagaytai)
ห่างจากมะนิลาราว​ 80 ก.ม. พวกเรามาพักกันที่โรงแรม Vista Lodge เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่
บนปากภูเขาไฟที่ดับแล้ว ตรงบริเวณปากภูเขาไฟมีทะเลสาบ ในทะเลสาบนี้ยังมีภูเขาไฟลูกเล็กๆ อีก 19 ลูก
ส่วนใหญ่ดับแล้ว แต่ยังมีบางลูกที่ยังคุอยู่ (Active) ก่อนจะถึงห้องพัก จะต้องเดินผ่านบ่อนกาสิโน​ แต่ขอโทษ
คงไม่ได้กินเงินเปโซจากกระเป๋าของพวกเราหรอก เพราะพวกเราหันหลังให้อบายมุขกันหมดแล้วครับผม
พอเช็คอินเรียบร้อยก็ได้เวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งไกด์เตือนว่าอย่าลืมชมพระอาทิตย์ตกดินทางหน้าต่าง​ ก็ได้
ชม พระอาทิตย์ตก ไม่ใช่ ดิน​ แต่เป็นปากภูเขาไฟอีกด้านหนึ่ง นับว่า​“สวย” สมคำเล่าลือ อาหารค่ำวันนั้นก็
เป็นแบบฝรั่ง แต่เป็นปลาในทะเลสาบหน้าโรงแรมนั่นเองบ๋อยฝอยให้ฟัง แถมยังมีนักดนตรีวงเล็กมาขับกล่อม
ใกล้โต๊ะอาหาร วนเวียนไปเรื่อย พอมาถึงโต๊ะพวกเรา ผมก็ขอเพลง​ Happy Birthday ให้คุณป้าชำเลือง​ เจ้าของ
โรงเรียนพาณิชย์ขอนแก่น​ เป็นการเพิ่มบรรยากาศให้ครื้นเครงไม่น้อย คุณสำเร็จบอกว่าได้ฟังเพลงโปปูล่าร์
เมื่อ 20 ปีก่อน ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยนึกถึงวันเก่าๆ ไม่ว่าจะขอเพลงอะไรเป็นร้องได้หมด ยกเว้นเพลงไทย
หากคนไทยมาเที่ยวแถวนี้มากขึ้น ก็คงจะได้ยินเพลง “โลยกระโทง” ค่อนข้างแน่
จากตาไกไต สู่ทางตะวันออกราว 60 ก.ม. พวกเราก็มาถึงเมืองลิปา อันเป็นจุดหมายสุดท้ายของการท่อง
ฟิลิปปินส์ครั้งนี้​ลิปา ตามประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 จะมีชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากถูกทหารญี่ปุ่น
ฆ่าตัดหัวแล้วโยนศพลงบ่อซึ่งอยู่ในบริเวณสวนกุหลาบแห่งสายประคำแม่พระ เจ้าของสวนกุหลาบได้เล่าประวัติ
​ “บ่อ” ประวัติศาสตร์นั่นให้พวกเราฟัง ทำให้พวกเราขนหัวลุก จึงร่วมกันสวดให้วิญญาณเหล่านั้น​ หากยังต้อง
ทนทรมานในไฟชำระ​(Purgatory) ก็ขอให้พระเป็นเจ้าได้เมตตาให้พ้นจากไฟชำระโดยเร็ว
พวกเรามา ลิปา เพื่อมาคารวะแม่พระซึ่งเมื่อ 47 ปีที่เเล้วได้ปรากฏมาพบหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังฝึกตัว
(Postulant) เป็นนางชี (มืด) คณะคาร์เมลแบบเดียวกันกับที่ถนนคอนแวนต์ สีลม ชีมืด คณะนี้ใช้ชีวิตขังตัวเอง
อยู่ในอาราม เพื่อบำเพ็ญภาวนาให้บรรลุธรรมยิ่งทียิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มีรายได้จากการทำบุญของชาวบ้าน
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของแม่พระเมืองลิปา มีดังนี้:-
หญิงสาวผู้หนึ่งจากตระกูลผู้มีอันจะกิน ชื่อ เทเรซิตา กัสติโย Teresita Castilo แต่เพื่อนมักเรียกเธอตาม
สำเนียงฟิลิปปินส์ว่า Teresing เทเรซิ่ง​ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1948 ขณะมีอายุ 21 ปี ก่อนรับปริญญาทางวิชา
ดนตรีไม่กี่วัน ได้หนีพ่อแม่ไปเป็นชีมืดที่เมือง ลิปา ตามที่เธอเคยใฝ่ฝันตั้งแต่อายุ 10 ปี พ่อแม่ซึ่งมีฐานะดี
​(พ่อเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด) พยายามมาเกลี้ยกล่อมด้วยวิธีการต่างๆ ให้กลับบ้าน ขนาดพี่ชายคนหนึ่ง
ใช้ปืนขู่ก็ยังไม่สำเร็จ และในคืนวันที่​ 31 กรกฎาคม 1948 เธอได้ยินเสียงเคาะประตู 3 ครั้ง​ ได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง
ไปทั่วห้อง​ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงแหบๆ ห้าวๆ ทีแรกนึกว่าเป็นเสียงของพี่ชาย แต่มันไม่ใช่เสียงมนุษย์ เป็น
เสียงต่ำๆ​ อยู่ในลำคอ​ ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไร เธอคิดในใจว่ามันต้องเป็นปีศาจแน่ๆ มันค่อยๆ​ พูดว่า
“ให้เธอสงสารพ่อแม่ ลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่” เธอยืนตัวแข็งตัวชาไปหมด​ พอได้สติก็เริ่มคว้าลูกประคำออก
มาสวด​ ยื่นสายประคำให้มันดู​ แล้วมันก็หายไปจากห้อง เธอก้มมองดูที่พื้นก็เห็นรอยเท้าของมัน มีแค่ 2 นิ้ว
นิ้วหนึ่งเล็ก อีกนิ้วหนึ่งใหญ่​ แล้วรีบไปเรียกแม่อธิการเซซีเลีย มาดูด้วย​ แม่อธิการจึงรายงานให้บิชอป
Affredo Obviar ซึ่งเป็นบิชอปผู้​ช่วยแห่งเมืองลิปา​ และวิญญาณรักษ์ของคณะชีคาร์เมลด้วย​ เมื่อทั้ง 2 ท่าน
ได้สำรวจรอยเท้าประหลาดนั้นแล้ว ก็รีบรายงานให้อาร์คบิชอป​Verzosa ท่านแนะนำให้ชีฝึกหัดผู้นี้ได้รับ
การดูแลเพิ่มขึ้น ให้รับอาหารอย่างพอเพียง และให้พักผ่อนมากๆ แต่เธอก็ยิ่งถูกเจ้าปีศาจรังควานหนักมือขึ้น
เธอเห็นหน้าของมันด้วย เธอบอกว่า มันน่าเกลียดจริงๆ​ ที่หน้าของมันมีเปลวไฟหนาราว 1 นิ้วล้อมรอบ มัน
ไม่ยอมมองหน้าเธอตรงๆ​ มันชำเลืองตาไปทางซ้ายซึ่งเป็นทางออกของห้อง ครั้งหลังสุดมันปลุกเธอให้สะดุ้ง
ตื่นทำเสียงอึกทึกครึกโครม เธอเห็นมันกำลังเขย่าเตียงของเธอ​ เธอเล่าว่า เธอเห็นแขนข้างเดียวที่ใช้ชี้หน้า
มายังเธอ ส่วนอีกแขนมองไม่เห็นว่าเป็นอย่างไร พอเธอได้สติจึงคว้าลูกประคำออกมาสวด มันจึงอันตรธานไป​
เธอสารภาพว่า หากเธอรู้ว่าเข้าอารามแล้วจะต้องมาพบเรื่องขนหัวลุกเช่นนี้ คงจะไม่อยากหนีพ่อแม่มาเป็นแน่
เรื่องราวประหลาดเช่นนี้สำหรับคนยุคใหม่อาจคิดไปว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และบ่อยครั้งทีเดียวที่คนเรามัก
คิดว่า “นรก”​ เป็นเพียงการขู่ของพวกนักบวชนักพรตเหล่านั้น แต่ทว่าทั้งในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร
และชีวประวัติของนักบุญหลายท่านที่ต้องเผชิญกับปีศาจ ก็มีหลักฐานให้เห็นอยู่มากมาย อย่างกรณี
ของเทเรซิ่ง เป็นต้น
ในบ่ายวันที่ 18 สิงหาคม 1948 ขณะที่เธอกำลังเดินเข้าห้องของเธอ ตาเธอพร่าไปหมดมองไม่เห็นอะไร
เลย เพราะมีแสงจ้า​ เธอมองไม่เห็นกำแพงไม่เห็นเพดาน เธอเห็นสตรีงามนั่งอยู่บนเตียง​ของเธอ สตรีนั้นอยู่
ในชุดขาว ผมเป็นสีเงินแซมดำ เธอสวย​ สวย เป็นความงามที่เธอบอกว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ท่าทางอ่อน
หวาน โอ ! ชีวิตในอารามมันดียังงี้เองหรือ? เธอคิดในใจ​ ต้องไม่ใช่เจ้าปีศาจแน่ๆ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน
ปีศาจมีกลิ่น เหม็น กลิ่นไหม้ๆ เสียงแหบๆ ห้าวๆ แต่นี่ หอม หอม​ และหอม

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 10, 2025 8:40 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 14 )

✴️ ท่องฟิลิปปินส์...จาก​อาโกโอสู่ลิปา​ (C) ✴️
คำพูดครั้งแรกของแม่พระต่อเทเรซิ่งมีบันทึกไว้ดังนี้ “อย่ากลัวเลย ลูกรักของแม่​ พระองค์ผู้นั้นที่ลูกรัก
เหนือคนอื่นได้ส่งแม่มา แม่มาพร้อมกับ “สาร”​ ลูกได้ต่อสู้กับศัตรูมาอย่างดุเดือดและเป็นเวลานาน มันทำ
ให้แม่เจ็บปวดด้วย แต่มันจะไม่มารบกวนลูกอีกแล้ว จนกว่าจะถึงการจู่โจมครั้งสุดท้ายและรุนแรงที่สุด
ของมัน อย่ากลัวเลยลูก จงกล้าหาญ​ ศัตรู​ของลูกอิจฉาลูกเพราะลูกกำลังดำเนินชีวิตเพื่อเพิ่มพูนความรัก
ต่อพระเป็นเจ้ายิ่งทียิ่งมากขึ้น”​
หลังจากพิธีมิสซา​วันที่ 20 สิงหาคม​1948 ขณะที่เทเรซิ่งกำลังจัดเตียง​ เธอได้ยินเสียงเหมือนนกกระ
พือปีก พอมองขึ้นไปข้างบนก็เหมือนเห็นมีอะไรกำลังตกลงมา​ เป็นกลีบกุหลาบกำลังปลิวว่อนลงมา​ มัน
เป็นได้อย่างไร บนเพดานไม่มีช่องว่างอะไรเลย แล้วกลีบกุหลาบมากมายก็ตกลงมาบนพื้นจับกลุ่มกันเป็น
รูปกางเขน แล้วเธอก็รีบเรียกแม่อธิการให้ดูกองกลีบกุหลาบกางเขนนั้น
ประมาณ 5 โมงเย็นของวันที่ 2 กันยายน 1948 ขณะที่เทเรซิ่งกำลังสวดลูกประคำในสวน พอสวดไ
ด้สักครู่ก็ต้องชะงักด้วยความประหลาดใจที่เห็นอะไรไหวบนต้นองุ่นทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด แล้วในทันใด​ เธอก็
ได้ยินเสียงสตรีงามคนเดิมนั้นบอกเธอว่าอย่ากลัว ขอให้เธอจูบพื้นดินและให้ทำตามที่แม่บอก คือให้เธอ
มาที่นี่อีก 15 ครั้งติดต่อกันไม่ว่าฝนตกแดดจะออก
วันรุ่งขึ้นเธอไปที่จุดนัดพบ พอสวดไปได้ 5 นาที​ เถาองุ่นก็ไหวไปมา​ สตรีงามปรากฏมาในชุดขาวมือ
ประสานไว้ที่หน้าอก มีสายประคำทองห้อยที่มือขวา เทเรซิ่งรู้สึกประหม่าในความสง่างามของนาง​ และใช้
ความพยายามที่จะล้วงเอาความจริงจากสตรีงามนั้นให้ได้ เทเรซิ่งถามสตรีนั้นว่า “ท่านผู้หญิงแสนสวย
ท่านเป็นใคร?”​ สตรีงามตอบว่า “ฉันคือแม่ของเธอ และฉันก็เป็นแม่ของพระเยซูด้วย”​
ในการปรากฏ​มาครั้งนี้และครั้งต่อๆ​ ไป “สาร”​ ของแม่มุ่งเน้นเฉพาะเจาะจงสำหรับพระสงฆ์และนางชี
แม่พระเน้นถึงความจำเป็น​ที่​จะต้องสวดและทำกิจใช้โทษบาปสำหรับพวกท่าน แม่อธิบายว่ามีนักบวช
มากมาย เพราะความหยิ่งผยองเป็นอุปสรรคต่อพวกท่าน ที่จะหันกลับเข้าหมู่เหล่าที่แท้จริง และว่าความอาย
ทำให้ใจของพวกท่านยิ่งทียิ่งกระด้างขึ้น จงสวดให้พวกท่านมากๆ อย่างที่ไม่เคยสวดมาก่อน​พระหฤทัยของ
พระบุตรของแม่ต้องหลั่งโลหิตอีกทุกครั้งที่พระสงฆ์และนางชีต้องล้มลง (ก้าวพลาด)
เหตุการณ์ปรากฏมาของแม่พระที่อารามคาร์เมลนี้ทำให้ประชาชนแตกตื่นหลั่งไหลกันไปดูเหตุการณ์
ทางบ้านเมืองก็ดูแลเพื่อมิให้เกิดการต้มตุ๋น ได้ส่งเจ้าหน้าที่ขับเครื่องบิน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นเครื่องใบพัด​
บินขึ้นไปตรวจดูซิว่ามีใครแอบเอากลีบกุหลาบไปโปรยหรือไม่ นักบินพยายามบินให้สูงที่สุดเพื่อให้แน่ใจ
ว่าจะไม่มีใครเหาะขึ้นไปได้ นักบินต้องประหลาดใจที่บินสูงก็ยังมีกลีบกุหลาบปลิวเหนือเครื่องบิน มิหนำซ้ำ
แ​​​ทนที่ใบพัดเครื่องบินจะตีกุหลาบกระจุยกระจายไป กลีบกุหลายกลับพุ่งดิ่งลงมาเป็นแนวตรงต่อหน้าใบ
พัดเครื่องบิน
การปรากฏ​ของแม่พระครั้งต่อมา แม่พระเผยว่า แม่พระเป็นคนกลางผู้แจกจ่ายพระคุณอานิสงส์​ต่างๆ
(Mediatrix of all graces) หลายครั้งได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดพร้อมการปรากฏมาของแม่พระ​ เช่น
พระอาทิตย์หมุนหรือเดินหน้าถอยหลังสลับกันไป หรือคนป่วยหายจากโรคอย่างประหลาดอัศจรรย์ เป็นเหตุ
ให้ผู้ใหญ่ทางศาสนจักรหาทางระงับการแตกตื่นของผู้คน โดยให้เทเรซิ่งออกไปจากอาราม หาว่า กุเรื่อง
อยากดัง แม่อธิการเซซีลิอาถูกย้ายไปอยู่คอนแวนต์อื่น ให้รับหน้าที่เป็นคนล้างชามในครัว ท่านบิชอปผู้ช่วย
Obviar ถูกย้ายไปอยู่สังฆมณฑลอื่น​ มีคำสั่งให้เผากลีบกุหลาบทั้งหมด​ ให้ทำลายรูปปั้น กล่องใส่จดหมายที่
เขียนมาถึงแม่พระถูกทำลายหมด
แต่ในที่สุดความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น หลังจากสืบสวนมา 40 ปี​ พระศาสนจักรจึงได้อนุญาตให้
ประชาชนไปไหว้พระรูปแม่พระที่อารามคาร์เมลได้ และยอมรับว่าเป็นการปรากฏมาของแม่พระจริง ไม่มี
ใครกุ ขึ้นมาอย่างที่เข้าใจกัน ทั้งนี้โดยมีพระสงฆ์นักเทวศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการประจักษ์ของ
แม่พระ​ คือคุณพ่อ Rene Laurentin เป็นหัวเรือใหญ่ในการรื้อฟื้นการปรากฏมาของแม่พระเมืองลิปา
แล้วสำหรับเรื่องนี้จะถามหาว่า ใครหน้าแตก คงจะไม่ได้เพราะเป็นผู้ใหญ่ต้องรอบคอบไว้ก่อน แต่นักเขียน
มีชื่อชาวอเมริกัน Michael H. Brown ถามผู้อ่านว่า​ เรื่องนี้จะใช่ที่แม่พระฟาติมาพูดเอาไว้หรือเปล่าว่า Diabolical Disorientation การทำให้หลงทิศของปีศาจ ที่จ้องทำลายโลก​ หลอกลวงวิญญาณ และหว่านความวุ่นวายไป
ยังบุคคลมากมายที่มีตำแหน่งรับผิดชอบสูงๆ
แล้วสำหรับการปรากฏมาของแม่พระที่อาโกโอที่เริ่มเมื่อปี 1989 คงจะต้องรอถึง​40 ปี​ เพื่อพิสูจน์ว่า จริง
หรือเท็จ กว่าถั่วสุก​ งาก็ไหม้เสียแล้ว
ในเดือนมกราคม 1991 กลีบกุหลาบก็เริ่มโปรยปรายเหมือนสายฝนมาสู่เทเรซิ่งอีกครั้งหนึ่ง แล้วแม่พระก็
เริ่มพูดกับเทเรซิ่งเพื่อมอบสารต่างๆ​ ให้อีก แต่แม่พระมิได้ปรากฏให้เห็นรูปร่างเช่นแต่ก่อน เป็นเพียงเสียงพูด
ภายใน (Interior locution) และบางครั้งแม่พระก็โปรยมิใช่กลีบกุหลาบเท่านั้น แต่เป็นดอกกุหลาบทั้งดอกด้วย
เรื่องราวต่างๆ ที่เล่ามานี้ส่วนใหญ่ได้มาจากการเล่าโดยตรงจากเทเรซิ่ง กับคณะทัวร์ของเรา เธอเล่าว่าหลัง
จากถูกบังคับให้ออกจากอาราม​ เธอก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนกับอยู่ในอาราม​ ใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนยากจน​
และช่วยงานวัดคณะมหาไถ่ เธอน่ารักมาก พยายามถ่ายทอดสารของแม่พระให้พวกเราด้วยความเป็นห่วงเป็น
ใย อย่างเอาจริงเอาจัง เธอบอกพวกเราว่า “เวลาเหลือน้อยมากแล้ว ให้เรากลับเนื้อกลับตัวกลับใจ ทำพลีกรรม
​ (ข่มใจ) และสวดภาวนาตลอดเวลา โดยเฉพาะสวดสายประคำซ​​​​​ึ่งเธอได้มอบให้พวกเราคนละสายตา​พร้อม
ทั้งกลีบกุหลาบชิ้นเล็กๆ ซึ่งเธออัดติดรูปแม่พระให้พวกเราคนละ 2 รูป สุดท้ายเธอเตือนพวกเราว่า จากนี้ไปเรื่อยๆ
เราจะเห็นภัยธรรมชาตินี้ขึ้น อย่างเช่นที่โกเบถือเป็นการประเดิมของปีวิปโยค ด้วยอหังการของมนุษย์ มนุษย์มั่น
ใจว่าเทคโนโลยีสามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้ แต่แล้วเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวเมืองโกเบ
ยังกุมขมับอยู่อย่างเคร่งเครียดจนถึงเดี๋ยวนี้

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2025 11:39 pm

:s024: :s024: 🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (. 15. )

✴️ แม่พระหลั่งน้ำตาเป็นเลือด​ (A) ✴️
ตั่งแต่เดือนที่แล้ว มีข่าวแม่พระร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด เห็นแต่ภาพจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ในเมืองไทย แต่ยังไม่มีรายละเอียด​ มาวันนี้ได้รับรายละเอียดค่อนข้างยืดยาวจากหนังสือพิมพ์อิตาลี​
Avvenire จึงขอถ่ายทอดความเป็นมาเกี่ยวกับแม่พระร้องไห้ตามสมควร เรื่องมีอยู่ว่า​ เมื่อเดือนกันยายน
ปีที่แล้ว ซีญอร์ ฟาบิโอ​ เกรกอรี พนักงานไฟฟ้านครหลวงอิตาลี ได้รับของฝากจากบาทหลวงปาโบล​ มาร์ติน​
เจ้าอาวาสวัด ซานอาโกสติโน เขตปันตาโน เมือง ชีวีตะเวกเกีย เป็นรูปปั้น แม่พระเมดจูกอเรีย
(ชาวคาทอลิกเรียกแม่พระที่เคยปรากฏมาที่เมืองเมดจูกอเรีย บอสเนียว่าง​“แม่พระเมดจูกอเรีย” หรือ
แม่พระที่เคยปรากฏมาที่เมือง ฟาติมา ปอร์ตุเกส ว่า​“แม่พระฟาติมา”) เพราะท่านเพิ่งกลับจากการไป
จาริกแสวงบุญที่เมืองเมดจูกอเรีย​ แห่งบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา เมื่อนายเกรกอรีได้รับรูปปั้นแม่พระ ก็เอา
ไปตั้งไว้ที่สวนหลังบ้าน ครั้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ลูกสาวอายุ 5 ขวบ ของเขาไปไหว้แม่พระตามปกติ​
ก็เห็นรูปแม่พระมีน้ำตาไหลพรากเป็นสายเลือด จึงรีบไปบอกพ่อ และเมื่อเพื่อนบ้านรู้เข้าก็แตกตื่น พากัน
ไปดู เพราะความอยากรู้อยากเห็น แล้วในจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์​ รูปปั้นแม่พระก็เกิดหลั่งน้ำตาเป็นเลือดอีก
เดือดร้อนถึงครอบครัวเกรกอรีต้องจัดการสร้างกำแพงบ้านเป็นการด่วน​ แล้วรีบแจ้งให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ
ท่านเจ้าอาวาสก็รายงานถึงพระสังฆราช จีโรราโม​ กริลโล ท่านสังฆราชก็จัดการส่งน้ำตาที่เป็นเลือดนั้นไป
ให้สถาบัน medicina legal แห่งมหาวิทยาลัย​ Sacro cuore โดยศาสตราจารย์ จานการ์โล อูมานี รองกี
เป็นผู้รับผิดชอบ​ ท่านทั้งสองแถลงข้อเท็จจริงออกมาเป็นเอกฉันท์ว่า เลือดที่เอาไปวิเคราะห์นั้นเป็นเลือด
มนุษย์ และกำลังวิเคราะห์ต่อไปว่า เป็นเลือดของผู้หญิงหรือของผู้ชาย​ และจะเจาะลึกลงไปถึง DNA ด้วย
สำหรับพระสังฆราชกริลโลแห่งชีวีตะเวกเกียได้เดินทางไปพบ พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ พระสมณมนตรี
พระธรรมความเชื่อ ในสำนักวาติกัน​ เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
นายแพทย์ อุมแบร์โต นาตาลีนี และศาสตราจารย์ อันโจโล ฟีออรี แห่งสถาบัน​Medicina legale
ชี้แจงว่า เลือดเป็นเนื้อเยื่อที่ซับซ้อน​ ไม่ใช่จะทำขึ้นมาต้มตุ๋นกันง่ายๆ
เมื่อมีปรากฏการณ์เหนือธธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ไม่พ้นที่จะขอความกระจ่างจากบาทหลวงนักไล่ผี
(exorcist) คาบรีเอเล อามอร์ธ ท่านกล่าวว่า​ เรื่องที่กลัวว่าจะเป็นการหลอกของปีศาจให้ตัดออกไป
ได้เลยเด็ดขาด พูดได้คำเดียวว่า เป็นปาฏิหาริย์แน่นอน
ทำไมแม่พระจึงร้องไห้ คงมิใช่เรื่องลึกลับอะไรนักที่จะตีความ และเมือง ชีวีตะเวกเกีย ก็อยู่เหนือ
กรุงโรมราว 50-60 ก.ม.​คงจะต้องจับตามองว่าอะไรจะเกิดแถวกรุงโรมนั่นแหละ
แม่พระร้องไห้ที่ซีรากูซา
เกี่ยวกับปาฏิหาริย์รูปปั้นแม่พระร้องไห้​ เคยมีข่าวเกรียวกราวมาครั้งหนึ่ง​ เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว
ที่เมืองซีรากูซา​ เกาะชีชีลี อิตาลี เรื่องมีอยู่ว่า​ เมื่อปี ​1953 นาง อันโตนีนา ยานนูโช ได้รับของขวัญในวัน
แต่งงานเป็นรูปแม่พระเป็นปูนปั้นซึ่งชาวคาทอลิกเรียกกันว่า “ดวงหทัยนิรมของแม่พระ” คือเป็นรูปแม่พระ
สลักรูปหัวใจ เธอแขวนรูปแม่พระนี้บนหัวเตียง หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็ตั้งครรภ์ มีอาการแพ้ท้องอย่าง
หนัก ยิ่งวันยิ่งเจ็บปวดไปทั้งตัว​ ในที่สุดแพทย์ก็ลงความเห็นว่าอาจจะต้องเสียลูก ทั้งอันโตนีนา และอันเจโล
ผู้สามีต่างวิตกกังวล เพราะหวังจะได้เชยชมบุตรคนแรก นางอันโตนีนายังไม่หมดหวังคุกเข่าสวดต่อหน้ารูป
แม่พระที่หัวเตียงด้วยความวางใจว่า แม่พระจะต้องทำอัศจรรย์ให้บุตรในครรภ์ปลอดภัย พออธิษฐานไปสัก
พักใหญ่ เธอรู้สึกตัวชาวาบที่สันหลัง รู้สึกสบายตัว ความเจ็บปวดหายไปอย่างปลิดทิ้ง​ เงยหน้าดูรูปแม่พระ
ก็ เห็นตาแม่พระแจ่ม มีชีวิตชีวา ทีแรกก็เข้าใจว่าคงเป็นแสงที่ลอดจากมู่ลี่ทำให้เกิดแสงวาวที่ดวงตาของ
แม่พระ แต่พอจ้องดูใหม่ก็เห็นน้ำตาไหลรินจากดวงตาของรูปปั้นแม่พระ จึงขยับเข้าใกล้รูปแม่พระเห็นน้ำตา
ไหลพราก​ ตกลงเปียกหมอน เมื่ออันโตนีนาหายงงแล้ว จึงรีบไปบอกอันเจโล ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ แล้ว
ผู้คนก็แห่กันมาดู “ปาฏิหาริย์” อย่างมืดฟ้ามัวดิน ร้อนถึงตำรวจต้องมาดูแล ที่สุดต้องจัดการย้ายรูปแม่พระ
นั้นไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจเป็นการชั่วคราว น้ำตาแม่พระไหลรินอยู่ 4 วันจึงหยุด​ วิเคราะห์แล้วว่าเป็นน้ำตา
มนุษย์จริง และทางศาสนจักรก็แถลงออกมาว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ครั้นแล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม​1953
นางอันโตนีนาก็คลอดบุตรชายได้อย่างปลอดโปร่งโดยตั้งชื่อว่า Mariano เป็นการรำลึกถึงพระคุณของ
แม่พระ นางอันโตนีนายังมีบุตรอีก 3 คน คือ เอนโซ​ริตา และเอเลนา ขณะนี้มีอายุได้ 23 ปี​ คลอดตอน
นางอันโตนีนาอายุได้ 40 ปี ซึ่งปกติน่าจะมีปัญหา แต่นี้ไม่มี เพราะนางอันโตนีนาบอกว่ารู้สึกมั่นใจว่า
แม่พระคอยอยู่เคียงข้าง จึงไม่วิตกอย่างใดทั้งสิ้น บ้านของสองสามีภรรยาคู่นี้ได้กลายเป็นแหล่งแสวงบุญ
จากบรรดาผู้ที่ศรัทธาในแม่พระ
กลายเป็นสักการะสถานชั่วคราว แล้วสองสามีภรรยาต้องย้ายไปอยู่บริเวณใกล้เคียง และได้เริ่มก่อ
สร้างเป็นวัดสวยงามโดยสถาปนิกมีชื่อชาวฝรั่งเศส 2 ท่าน คือ Pierre Parat และ Michelle Andrault
และสถาปนิกชาวอิตาลี Ricardo Morandi เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสถานที่ที่สร้างเพราะขุดไปพบโบราณ
วัตถุจึงต้องเสีย เวลานานกว่า 40 ปีจึงแล้วเสร็จ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น​พอลที่ 2 ได้เสด็จไปเป็น
พิธีเปิด เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1994
นับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 1953 วันที่แม่พระหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน​ รูปแม่พระนี้มีการหลั่ง
น้ำตากว่า 300 ครั้ง​ แต่ละครั้งก็เป็นลางบอกเหตุ เหตุแห่งความเศร้าเสียใจซึ่งแม่พระต้องหลั่งน้ำตาครั้งหนึ่ง
ใน 300 ครั้งแห่งการหลั่งน้ำตาของแม่พระอาจจะได้แก่​ การที่นายจูเลียว อันเดร​ อ๊อตตี อดีตนายกรัฐมนตรี​
7 สมัย ที่กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็น​ “คุณลุงจูเลียว” คนนั้นที่ให้ท้ายพวกมาเฟียที่เกาะชีชีลี ข่าวนี้ทำให้คนอิตาลี​
“ช็อก”​ กันทั้งเมือง​ ฉะนั้น​การที่รูปปั้น​แม่พระหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด​ แถวกรุงโรมเมื่อต้นเดือนนี้คงทำให้คน
​ “ช็อก”​ ทั่วอิตาลีหรือทั่วทั้งโลกก็เป็นได้

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2025 11:48 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 16 )

✴️ แม่พระหลั่งน้ำตาเป็นเลือด​ (B) ✴️
ในบรรดาผู้ที่ได้รับพระพรจากแม่พระร้องไห้นี้ที่มีจำนวนมากมาย จะขอหยิบยกมาสักหนึ่งราย
คือ นาง เอนซา มอนกาดา​ อายุ 45 ปี ขณะที่เธอได้รับอัศจรรย์การรักษาโรคจากแม่พระนั้นเธอมีอายุ
แค่ 3 ขวบ เธอเล่าว่า​ เธอยังจำเหตุการณ์ได้ดีเพราะได้ยินพ่อแม่ของเธอเล่าให้คนอื่นฟังเป็นร้อยๆ​
ครั้งแล้วว่า นับตั้งแต่เธออายุได้​28 วัน มีไข้ขึ้นสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​ เธอร้องเพราะความเจ็บปวด
จนถึงกับชัก หมดความรู้สึก เป็นอัมพาตครึ่งตัว​ ต้องคำนึงด้วยว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เครื่องไม้เครื่องมือก็
ยังมีจำกัด หาหมอก็หลายราย อาการยิ่งทียิ่งแย่ลง แม่ของเธอแทบจะหมดหวังแล้ว​ ในที่สุดก็นึกขึ้นได้
ว่า รูปแม่พระของครอบครัว ยานนูโซเกิดปาฏิหาริย์เป็นที่เลื่องลือ แม่ของเธอจึงนำเธอเบียดเสียดฝูงชน
ปากก็พร่ำขอให้ผู้คนสงสารเธอ​ ที่สุดก็สามารถแหวกฝูงชนเข้าไปได้ แม่ของเธอก็อุ้มเธอชูแขนขวาที่เป็น
อัมพาตขอให้แม่พระช่วยรักษา พลางเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแม่พระซึ่งช่วงนั้นกำลังไหลพราก แม่ของเธอ
สั่นไปทั้งตัว และเธอเองก็มองไปที่แขนและขาข้างที่เป็นอัมพาตชักจะเริ่มรู้สึก และที่สุดเธอก็สามารถยก
แขนขวาของเธอได้​ แล้วให้แพทย์ตรวจ เดี๋ยวนี้ก็ลงความเห็นว่า​ เธอหายปกติดีแล้ว
ตอนนี้ช่างภาพต่างๆ ก็รุมถ่ายภาพเธอกันยกใหญ่ จนตาของเธอพร่าไปหมด
แรกทีเดียวเธอตั้งใจว่าโตขึ้นจะเข้าเป็นชี เพื่อเป็นการสัมนาคุณแม่พระ​ แต่ในที่สุดได้ตัดสินใจใช้
ชีวิตฆราวาส เพราะจะมีโอกาสแสดงกตัญญูกตเวทีได้กว้างไกลกว่าอยู่ในอาราม และในปี 1979 หลังจาก
แต่งงานมาได้ 3 ปี​ กับจูเซปเป ฟลอริดีอา เธอก็ตั้งครรภ์หลังจากรอคอยมาถึง 3 ปี แต่ความยินดีช่างสั้น
เหลือเกิน เธอมีการแพ้ท้องอย่างมาก มีอาการไอ และปวดท้องตลอดเวลา ในที่สุดนายแพทย์มีความเห็นว่า
ไม่ควรให้คลอดบุตร เพราะจะเป็นอันตรายทั้งแม่ทั้งลูก เธอไม่อยากเลือกสิ่งที่ทำให้เธอปวดร้าว และไม่
ยุติธรรม​ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉิน​ คุณหมอบอกสามีว่าไม่มีความหวังทั้งแม่
และเด็ก เธอมีอาการโคม่า 2-3 วัน แล้วในทันทีทันใดเธอเปิดตา งวยงงเห็นผนังขาวทั้ง 4 ด้าน เธอนึกว่า
เธอตายไปแล้ว ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง แล้วเธอก็มองไปรอบๆ เห็นแม่สามีกำลังสวดและร้องไห้
แล้วเธอก็พูดออกมาว่า “แม่! จูเซปเป​ หยุดร้องไห้เถอะฉันยังไม่ตาย​ แม่พระไม่ได้ทอดทิ้งฉัน​ แม่พระ
นำฉันกลับมาใหม่”​ คุณหมอไม่อาจอธิบายได้ตามวิชาแพทย์ถือว่า​ เธอตายไปแล้ว​ และลูกในท้องก็ตาย
ไปแล้วเช่นกัน และตามควาเห็นของนายแพทย์เธอไม่ควรมีลูกอีก แต่เอนซายังไม่หมดหวัง​ เธอเชื่อมั่นว่า
แม่พระจะปกป้องเธอ และรู้สึกว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง คือ ในปี 1980 เธอให้กำเนิดบุตรชายชื่อ ฟาบริซิโอ
และอีก 5 ปีต่อมาก็ยังได้ลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อ อันเดรอา และได้จัดการให้ลูกทั้งสองทำพิธีล้างบาป
ที่วัดแม่พระร้องไห้​ และยังมีชื่อ มารีอา​ ต่อท้ายทั้งสองคน
เมื่อวันศุกร์นี้ได้อ่านบทความ “ระหว่างบรรทัด” ของเปลว สีเงิน ในหัวข้อ “พ่อ” ของเราทุกคน คุณเปลว
สีเงิน เชิญชวนพุทธศาสนิกโนโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ร่วมทูลเกล้าฯ ถวาย
“ปฏิบัติบูชา” ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ในทันที กระผมจึงใคร่เชิญชวนคาทอลิก ร่วมใจกันทำ “พลีกรรม” คือ​
อดอาหาร หรืออดใจ ถวายแต่พระผู้เป็นเจ้า และอุทิศผลบุญแด่ “พ่อ” ของเราให้หายพระประชวรโดยเร็ว
นอกจากนี้คุณเปลว สีเงิน​ ย​ังแนะนำให้ชาวพุทธสวดมนต์ภาวนาในบท “โพชฌงคปริตร” กระผมก็เกิดความ
คิดว่าน่าจะสรรหาบทอธิษฐานภาวนาแด่ “พ่อ” ผู้ประเสริฐของเรา ก็พยายามเปิดพระคัมภีร์เพื่อดูว่าบทไหน
จะเหมาะที่สุด​ เพราะถ้าจะเทียบกับเปลว​ สีเงินแล้ว ความรู้เรื่องธรรมะ กระผมก็เป็นแค่เด็กอนุบาลปีแรกเท่านั้น​
กระผมได้เพียรเปิดพระธรรมเก่า (พระคัมภีร์ที่บันทึกตั้งแต่สร้างโลกจนถึงสมัย​ ค.ศ.​1) โดยเฉพาะบทสดุดี
150 บท ก็ยังไม่พบบทภาวนาที่ถูกใจ​ ที่สุดก็มาเปิดพระธรรมใหม่ (บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคือตั้งแต่
ค.ศ.1-ค.ศ.100) ในมัทธิว​ บทที่ 6 คราวที่บรรดาสานุศิษย์ของพระเยซู​ติดตามพระองค์ที่ทรงเทศนาบริเวณ
กรุงเยรูซาเลม ได้รบเร้าให้พระเยซูสอนให้รู้จักสวด แล้วพระเยซูก็ทรงสอนบรรดาสานุศิษย์ให้อธิษฐาน
ภาวนาเป็นภาษาละตินดังนี้ :
Pater noster qui est in coelis, sanctificetur nomen tuum, adveniat regnum tuum,
fiat voluntas tua sicut in coelo et in terra.
Panem nostrum quotidianum da nobis hodie, dimitte nobis debit nostra,
sicut et nos dimittimus debitoribus nostris.
Et ne nos inducat in tentationem, sed libera nos a malo.
“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย​ พระองค์สถิตในสวรรค์​ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ ขอประทาน
อาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดยกโทษข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น
อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าถูกผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นภัย
และเนื่องในวันที่ 25 มีนาคม ชาวคาทอลิกทำฉลองสำคัญเกี่ยวกับแม่พระก่อนที่ท่านจะได้เป็น
แม่พระของพวกเรา​ ท่านคือสาวพรหมจารี ตั้งปณิธานที่จะถวายความบริสุทธิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าไปชั่วชีวิต​
ครั้นมาวันหนึ่งทูตสวรรค์คาเบรียล นำสารจากพระเจ้าขอให้พรหมจารีมารีย์เป็นมารดาของพระผู้ไถ่
ผู้จะอวตารลงมาในครรภ์ของเธอ ทีแรกเธอก็ตกใจ แต่ได้รับคำชี้แจงจากทูตสวรรค์คาเบรียล ว่าเธอ
จะตั้งครรภ์ด้วยเดชะพระจิตของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์
วาทะของทูตสวรรค์ต่อพรหมจารีมารีย์ ที่มีบันทึกในพระวรสารนั้น​ ได้กลายเป็นบทสวดที่ติดปาก
ของชาวคาทอลิกเป็นภาษาละตินดังนี้
Ave Maria, gratia plena Dominus tecum benedicta tu in mulieribus, et benedictus
fructus ventris tui Jesus
วันทา มารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน​ พระสวามีสถิตกับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ​ และพระเยซู
โอรสของท่านทรงบุญนักหนา
แล้วพระศาสนจักรก็เติมวาทะของทูตสวรรค์ต่อดังนี้
Santa Maria, Mater Dei, ora pro nobis peccatoribus, nunc et in hora mortis nostrae, Amen
สันตะมารีอา มารดาพระเจ้าโปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้ และเมื่อจะตาย อาแมน

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 14, 2025 8:43 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 17 )
✴️ พยากรณ์​ระทึก​ใจของ​แม่พระคาราบันดัล (A) ✴️
ในระยะร้อยปีมานี้ แม่พระมารีอาได้ปรากฏ​มาประมาณ 300 แห่ง ในที่ต่างๆ​ กัน ผู้ทำสถิตินี้
คือท่านบาทหลวง Rene Laurentin ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปรากฏมาของแม่พระ (Mariologist)
ลักษณะการปรากฏมาของแม่พระจะเป็นการปรากฏมาในนิมิตของคนใดคนหนึ่ง​ หรือของหลายคน
ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่เห็นแม่พระในนิมิต​(Visionary) ถือว่าเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์จากเบื้องบนเฉพาะราย
มิใช่ทุกคนหรือฝูงชนที่อยู่ในบริเวณนั้นจะเห็นไปด้วย ทั้งนี้คงจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดความโกลาหล
เมื่อที่ใดมีเหตุการณ์ผิดธรรมดา หรือเหนือธรรมชาติ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้าของท้องที่ คือ
เจ้าอาวาสต้องแจ้งไปยังผู้ใหญ่ตามขั้นตอน เพื่อสวบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป ที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจ
ว่ามิใช่เป็นผลงานของปีศาจหรือมารร้าย
การปรากฏมาของแม่พระที่ได้รับการรับรองจากพระศาสนจักรคาทอลิกก็มีมากมาย แต่ที่ถือว่าดัง
ที่สุด ก็ได้แก่ที่ ลูร์ด ฝรั่งเศส แม่พระปรากฏมาเมื่อปี 1858 มาพบเด็กชื่อ แบร์นาแดตต์ และที่ ฟาติมา​
ปอร์ตุเกส ในปี 1917 มาพบเด็ก 3 คนคือ​ ฟรันซิสโก ยาชินทา และลูเซีย ลูเซียผู้นี้ยังมีชีวิตขณะนี้อายุ 88 ปี
นอกจากนี้ยังมีการปรากฏมาของแม่พระที่เมืองอื่นๆ​ อีก ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น แม่พระเหรียญ
อัศจรรรย์ (ปารีส) ปี 1830 แม่พระลาซาแรตต์ ปี 1846 แม่พระน้อค ปี 1879 แม่พระโปแลนด์ 1904 แม่พระ
พ่อปีโอ ปี 1918 แม่พระควีเบค ปี 1920 แม่พระตุย ปี 1925 แม่พระเบลเยี่ยม ปี 1933 แม่พระอัมสเตรดัม
ปี 1945 แม่พระเตรฟอนตาเน​ ปี 1947 แม่พระลิปา ปี 1948 แม่พระเซเรดเน ปี 1954 แม่พระโอไฮโอ​
ปี​ 1954 แม่พระคาราบันดัล ปี 1961 แม่พระซานดามีอาโน ปี 1964 พระเซยตุน (อียิปต์) ปี​1968 แม่พระ
อากีตะ (ญี่ปุ่น) ปี 1973 แม่พระบินลอย (เวียดนาม) ปี 1974 แม่พระเมดจูกอเรีย ปี 1981 แม่พระระวันดา
ปี​1981 แม่พระนาจู (เกาหลี) ปี 1985 แม่พระสวิส (วาสสุลา) 1985 แม่พระเอกวาดอร์ ป๊า​1987 แม่พระ
แคนาดา (จิม ซิงเกอร์) ป๊า​1989 แม่พระเดนเวอร์ (เทเรซา โลเปส) ปี​1990 การที่แม่พระปรากฏมาบนโลกนี้
ก็เพื่อมอบสารสำคัญต่างๆ แก่มนุษย์ เพราะมนุษย์กำลังถูกมารผจญขนานใหญ่ มนุษย์กำลังหลงใหลได้ปลื้ม
กับความเฟื่องฟูทางวัตถุ จนหลงลืมหรือห่างเหินไปจากพระผู้เป็นเจ้า ให้มีความเชื่อศรัทธาในองค์พระเป็นเจ้า
มิฉะนั้นจะถูกกระแสโลกพาดิ่งสู่ความนิพาศอย่างน่าสังเวชใจไปในที่สุด
ต่อไปนี้จะขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของการปรากฏมาของแม่พระที่ตำบลคาราบันดัล สเปน ซึ่งถือ
เป็นการปรากฏมาของแม่พระที่มีความสำคัญยิ่งยวด ในสารของแม่พระจะมีสัญญาณเตือนภัยหลายข้อ​
ขอเชิญติดตามครับ
ในวันที่ 18 มิถุนายน 1961 อัครเทวทูตไมเคิลปรากฏมาพบเด็กหญิง 4 คน คือ​Conchita Gozalez
อายุ 12 ปี Jacinta Gouzalez อายุ 12 ปี Mari Cruz อายุ 11 ปี และ Mari-Loli Mazon อายุ 12 ปี เด็กทั้ง
4 มิได้เป็นญาติกัน อัครเทวดาไมเคิลปรากฏมาพบเด็กทั้ง 4 แปดครั้งใน 12 วัน​ โดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร​
แล้วในวันที่​ 1 กรกฎาคม 1961 ก็ได้แจ้งแก่เด็กทั้ง 4 ว่าในวันรุ่งขึ้นแม่พระจะปรากฏมาหาพวกเขา
คาราบันดัล เป็นตำบลเล็กๆ มีประชากรประมาณ 300 คน ในจังหวัดซานตานเดร์ ประเทศสเปน
คาราบันดัล อยู่บนเทือกเขากันตาเบรียน ในหมู่บ้านบ้านนี้จะมีต้นสนขึ้นเรียงราย 9 ต้น เป็นจุดที่แม่พระ
ปรากฏพบเด็กหญิง 4 คนนี้นี้ ระหว่างปี​1961 ถึง 1965 แม่พระได้ปรากฏมาประมาณ 200 ครั้ง พวกเขา
บรรยายถึงแม่พระว่า เป็นหญิงงามมากอายุราว 18 ปี แม่พระสวมเสื้อชุดขาวมีผ้าคลุมสีน้ำเงิน และถือสาย
จำพวก (เหรียญห้อยคอแต่ใช้แถบผ้าแทนสร้อย) สีน้ำตาลในมือขวา​ แม่พระมงกุฎประดับด้วยดาว 12 ดวง
แม่พระมีผมสีน้ำตาลเข้ม และแสกผมตรงกลางศีรษะ​ ใบหน้ารูปไข่​ มีจมูกเรียวงาม พวกเด็กบรรยายเสริมว่า
“ไม่มีหญิงใดสวยเท่าแม่พระ”​
การปรากฏมาของแม่พระทุกๆ ครั้ง จะเป็นไปโดยเด็กทุกคนจะได้ยินเสียงเรียกภายในใจจะรู้สึกปีติยินดี
แล้วแม่พระจะเรียกเป็นครั้งที่ 3 แล้วต่างคนต่างออกจากบ้านของตัวเอง แล้ววิ่งมาพบแม่พระที่จุดเดียวกัน​
ตามที่แม่พระจะบอกว่าไปที่ไหน​ แล้วทุกคนจะคุกเข่าลงและรู้สึกแน่นิ่งเข้าสู่ภวังค์ ใครจะเอาไฟส่องหน้า
หรือเอาเข็มหมุดจิ้มก็จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ขณะที่เด็กกำลังอยู่ในภวังค์​
ขณะกำลังสนทนากับแม่พระมีผู้ใหญ่ 4 คน ไม่สามารถยกเด็กหญิงคนหนึ่งได้ แต่ทว่าเด็กเหล่านี้จะสามารถ
อุ้มอีกคนหนึ่งในพวกเขาให้จูบลาแม่พระได้อย่างสบายในระหว่างการปรากฏมาของแม่พระ​ จะมีปรากฏการณ์​
ประหลาดเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะฝืนกฎธรรมชาติ เช่น​ ขณะที่เด็กอยู่ในภวังค์ พวกเขาจะสามารถ
วิ่งไปข้างหน้า หรือวิ่งถอยหลังบนพื้นดินขรุขระได้อย่างน่าทึ่ง หรือระหว่างที่พวกเขาอยู่ในภวังค์สนทนากับ
แม่พระ จะมีฝูงชนยื่นรูปพระหรือสายประคำให้พวกเขาแล้วให้แม่พระเสก เมื่อแม่พระเสกแล้วก็จะส่งคืนให้
เจ้าของได้อย่างถูกต้อง ทั้งๆ​ ที่ปะปนอยู่เต็มมือของพวกเขา เด็กๆ บอกว่าแม่พระจะเป็นคนบอกว่าเป็นของใคร
สารของแม่พระคาราบันดัล
ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1961 แม่พระได้มอบสารฉบับแรกแก่โลก​ แม่พระบอกเด็กๆ​ ให้แจ้งแก่โลกในวันที่
16 ตุลาคม 1961 มีใจความว่า​ “มนุษย์จะต้องทำกิจใช้โทษบาป​และทำพลีกรรมให้มากๆ และต้องไปโบสถ์
เฝ้าศีลมหาสนิทบ่อยๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด จะต้องประกอบกรรมดี มิฉะนั้นการลงทัณฑ์จะคอยอยู่ข้าง
หน้าแน่นอน ถ้วย​(แห่งพระพิโรธ) เต็มแล้ว หากเรายังไม่เปลี่ยนก็จะต้องถูกลงโทษ
ในวันที่ 1 มกราคม 1965 แม่พระได้บอก คอนซิต้า คอนซาเลส ว่าเทวดาไมเคิลจะปรากฏ​มาพบเธอใน
วันที่ 18 มิถุนายน​ เพื่อแจ้งสารสุดท้ายของแม่พระแก่โลกทั้งมวล เพราะเหตุว่าสารฉบับแรกของแม่พระมิได้
รับความสนใจ แล้วอัครเทวทูตไมเคิลก็ปรากฏมาพบ คอนซิต้า มอบสารฉบับสุดท้ายของแม่พระให้เธอ
เพื่อประกาศให้โลกรู้ มีใจความดังนี้​ ก่อนหน้านี้ถ้วยกำลังเต็ม แต่เดี๋ยวนี้มันล้นออกมาแล้ว มีคาร์ดินัล
สังฆราช​ และสงฆ์มากมายกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งหายนะ พวกเขานำวิญญาณมากมายไปด้วย ศีล
มหาสนิทยิ่งทียิ่งขาดความสำคัญลงไป​ เราจะต้องหลีกเลี่ยงพระพิโรธของพระเจ้าที่จะมาสู่เรา
ด้วยความพยายามสุดกำลังของเรา

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 14, 2025 8:49 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 18 )

✴️ พยากรณ์​ระทึก​ใจของ​แม่พระคาราบันดัล (B) ✴️
เหตุการณ์สำคัญ 4 ประการกำลังมาถึง
เด็กหญิงทั้ง 4 ผู้เห็นแม่พระได้แจ้งให้เราทราบถึงเหตุการณ์สำคัญและเหนือธรรมชาติที่จะเกิดที่
คาราบันดัล ซึ่งถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงตามที่แม่พระบอกไว้ล่วงหน้าก็จะเป็นการยืนยันว่าแม่พระ
ได้ปรากฏมาที่คาราบันดัลจริง
1.) สัญญาณเตือน เหตุการณ์แรกจะเป็นการเตือนที่มาจากพระเจ้ามาสู่มนุษย์ทุกคนบนโลก คอนซิต้า
ได้บันทึกในจดหมายลงวันที่ 1 มกราคม​1965 ว่า “แม่พระบอกว่าการเตือนนี้จะมีไปถึงมนุษย์ทุกคน
ในโลก ก่อนจะเกิดอัศจรรย์เพื่อว่าโลกจะได้ปรับปรุงตัวเอง สัญญาณเตือนนี้จะมาโดยตรงจากพระผู้
เป็นเจ้าและจะมองเห็นได้ทั่วโลก​ เธอพยายามบอกใบ้ว่าอาจเกิดบนท้องฟ้า เช่นดาว 2 ดวงเกิดชนกัน
จะก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทก้องไปทั่วโลก​ เกิดแสงจ้าสว่างไสว แต่มันจะไม่ตกลงมา และจะไม่อาจยับยั้ง
สัญญาณเตือนนี้ได้ ขณะที่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดชะงักชั่ว 2-3 วินาที แม้กระทั่งเครื่องบินที่กำลังบิน
บนท้องฟ้า
คอนซิต้า บันทึกในวันที่ 2 มิถุนายน​1965 ว่า “การเตือนนี้เป็นเหมือนการลงโทษ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ทั้งสำหรับคนดีและสำหรับคนชั่ว​ มันเป็นการดึงคนดีให้ขยับเข้าใกล้พระ และเตือนคนชั่วให้รู้ว่าเวลา
เหลือน้อยแล้ว วันสิ้นยุค ใกล้เข้ามาแล้ว นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย คอนซิต้าอธิบายว่าการเตือนนี้เป็น
การชำระล้างชนิดหนึ่งเพื่อเตรียมรับอัศจรรย์​ เธอเชื่อว่าเมื่อการเตือนผ่านไปแล้ว เราก็จะใกล้สิ้นยุค​ มนุษย์
แต่ละคนจะมีประสบการณ์ภายในใจด้วยแสงสว่างของพระก็จะรู้ว่ามีบุญและบาปมากน้อยเพียงใด ไม่ว่า
ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า หรือผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า จะรู้ซึ้งถึงการเตือนอันนี้ มารีโลลี เป็นผู้ที่รู้ว่าการเตือนนี้จะเกิด
ในปีไหน”​ เธอกล่าวว่า “เราจะเห็นสัญญาณเตือนนี้ด้วยตัวของเราเอง และจะรู้สึกภายในตัวของเราเอง
เพราะมันจะกระจ่างแจ้งเลยทีเดียวว่ามาจากพระผู้เป็นเจ้า”
ยาซินทากล่าวว่า “การเตือนนี้เป็นอะไรที่จะเห็นในอากาศก่อนอื่นหมดทุกๆ​ แห่งทั่วโลก และในทันที
ทันใดก็ส่งต่อเข้าไปภายในจิตวิญญาณของเรา การเตือนนี้จะคงอยู่ไม่นานนัก แต่มันดูเหมือนว่าจะเป็นอยู่
นานทีเดียว ทั้งนี้เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกภายในใจเรา มันจะเป็นสิ่งดีสำหรับจิตวิญญาณของเรา เพื่อว่า
เราจะได้เห็นมโนธรรมของเราด้วยตัวของเราเอง...ความดีที่เราได้ละเลย และความชั่วที่เราได้กระทำ แล้ว
เราจะรู้สึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเรา และขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เราได้ทำให้ขัด
เคืองพระทัยพระองค์ การเตือนนี้จะเกิดขึ้นแก่ทุกคน เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้เราทุกคน
รอดไปสวรรค์​ เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องเตรียมตัวสำหรับวันนั้น​ แต่จะต้องไม่คอยมันด้วยความกลัว​ พระเจ้า
ไม่ต้องการส่งอะไรที่เป็นเหตุแห่งความกลัว​ แต่พระองค์จะส่งอะไรมาเพราะความรักและความยุติธรรม พระองค์
ทรงกระทำสิ่งนี้ก็เพื่อความดีของลูกๆ ทุกคนของพระองค์ เพื่อว่า ลูกๆ เหล่านี้จะได้เสวยสุขตลอดกาลนิรันดร
มิใช่พินาศไปชั่วนิรันดร
2. )มหัศจรรย์
แม่พระได้สัญญาว่า มหัศจรรย์ จะเกิดที่สวนสน มันจะเกิดใน วันพฤหัสบดี เวลา​20.30 น. ระหว่างวันที่
8-16 ระหว่างเดือนม​ มีนาคม​ เมษายน พฤษภาคม อัศจรรย์นี้จะประจวบกับเหตุการณ์สำคัญในพระศาสนจักร
คือเป็นวันฉลองมรณสักขีหนุ่มแห่งศีลมหาสนิท ทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านและอยู่รอบๆ ภูเขาจะเห็นอัศจรรย์นี้
คนป่วยที่อยู่ในบริเวณนั้นจะหายป่วย คนบาปและคนไม่เชื่อในพระเจ้าจะกลับใจ ในเหตุการณ์​นี้จะถ่ายรูป
หรือถ่ายวิดีโอก็ได้ รัสเซียจะกลับใจหลังจากอัศจรรย์นี้​ คอนซิต้า รู้ว่า วันไหน จะเกิดอัศจรรย์ ซึ่งเธอจะต้อง
แจ้งให้รู้ก่อน 8 วัน​ คอนซิต้าบอกพวกเราในบันทึกของเธอว่า โป๊ปจะเห็นอัศจรรย์นี้จากที่ที่พระองค์ประทับ
อยู่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม
มารีโลลี บอกว่าอัศจรรย์นี้จะเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากสัญญาณเตือน​ มารีโลลี ไม่รู้ว่าสัญญาณเตือนที่จะ
เกิดขึ้นวันไหน แต่จะรู้ว่า เกิดปีไหน​ แล้วเธอก็บอกว่าแม่พระให้สังเกตว่า “จะเป็นเวลาที่ดูเหมือนว่าพระ
ศาสนจักรทำท่าจะล่มสลาย เมื่อพระสงฆ์จะมีความยากลำบากในการถวายบูชามิสซา​ หรือในการพูดเรื่อง
ศักดิ์สิทธิ์เรื่องศรัทธา” เวลานั้นจะมาถึง เมื่อพระศาสนจักรให้ความรู้สึกว่า กำลังถึงจุดหายนะ จะต้องผ่าน
การทดลองที่น่ากลัว เมื่อเธอถามแม่พระว่า จะเกิดอย่างไร แม่พระก็ตอบแต่เพียงว่า​ “คอมมิวนิสต์”
3.) เครื่องหมายถาวร
เครื่องหมายถาวรนั้นจะคงอยู่ตลอดไป​ อันเป็นผลของอัศจรรย์นั้น​ มันจะเป็นเครื่องหมายที่มีกำเนิด
เหนือธรรมชาติ และเป็นอะไรที่ไม่มีใครเห็นมาก่อนในโลก คอนซิต้าได้บันทึกไว้ว่า “เครื่องหมายอัศจรรย์นี้​
เราจะสามารถถ่ายภาพหรือถ่ายวีดีโอได้​ มันจะคงอยู่ที่ต้นสนเหล่านั้น” ไม่มีใครสามารถจับต้องมันได้ คอนซิต้า
อธิบายเพิ่มเติมว่า “มันเป็นเหมือนกลุ่มควันรูปร่างคล้ายต้นเสา​ ซึ่งจะเป็นเครื่องหมายที่จะคงอยู่ตลอดไปบนต้
นสน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 1961 มีคนเห็นกลุ่มควันรูปร่างเป็นแท่งใหญ่คล้ายต้นเสาในเวลากลางวัน​
ส่วนในเวลากลางคืน เสาควันนั้นจะกลายเป็นเสาไฟลอยอยู่ระหว่างต้นเสาเหล่านั้น​Ramon Gonzalez
คนเลี้ยงแกะอายุ 20 ปี​ ซึ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะแถวนั้นได้สังเกตเห็นแท่งไฟหรือเสาไฟ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ 50 ซ.​ม. และระหว่าง 2-3 เดือนในฤดูใบไม้ร่วงปี 1962 มีคนเห็นเสาควันในเวลากลางวัน และเสาไฟ
ในเวลากลางคืน​ ซึ่งได้มีการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานแล้ว​ และในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1965
มีชาวฝรั่งเศส 4 คน ได้เห็นเสาไฟที่ใสสว่างอย่างชัดเจน

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2025 4:13 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ (. 19. )

✴️ พยากรณ์​ระทึก​ใจของ​แม่พระคาราบันดัล (C) ✴️
4. การลงโทษ
ระหว่างเดือนกรกฎาคม ปี 1962 คอนซิต้า มารีโลลี และ ยาชินทา​ ได้เห็นนิมิตว่าการลงโทษ
ที่จะเกิดนั้นมีสภาพอย่างไร​ แม่พระบอกเด็กทั้ง​ 3 นี้ว่า “ถ้าเราไม่เชื่อฟังการเตือนนี้ และมนุษยชาติ
ไม่เปลี่ยนหลังจากการเตือน และอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว พระเป็นเจ้าจะส่งการลงทัณฑ์มาแน่” และใน
บันทึกของคอนซิต้ามีกล่าวไว้ว่า “การลงทัณฑ์จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่ามนุษยชาติจะเชื่อฟัง สาร ของ
แม่พระมารีอาหรือไม่” คอนซิต้ากล่าวในบันทึกว่า​ “ถ้าโลกเปลี่ยน​ การลงทัณฑ์ก็จะถูกเพิกถอนไป
ในการพรรณนาถึงนิมิตของการลงทัณฑ์นั้น มารีโลลี กล่าวว่า “มันแย่ยิ่งกว่ามีไฟสุมหัวเราอีก ไฟข้าง
ใต้​ ไฟรอบตัวเรา เธอเห็นผู้คนทิ้งตัวเองไปในทะเล​ แต่แทนที่จะดับได้​ กลับดูเหมือนว่ายิ่งทำให้ไหม้หนักขึ้น”​
สัญญาณเตือนแห่งคาราบันดัล
บาทหลวงโยเซฟ เปเยตีเอร์ นักศึกษาเกี่ยวกับแม่พระผู้มีชื่อเสียงให้ถามคอนซิต้าหลายคำถาม
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่คาราบันดัล​ คำตอบของคาราบันดัล ลงวันที่ 19 มิถุนายน 1965 มีดังนี้
“การเตือนนี้มีบันทึกไว้ว่า แม่พระได้อธิบายถึงการเตือนนี้ ตอนที่หนูอยู่คนเดียวที่ต้นสนเมื่อวันที่
1 มกราคม 1965 การเตือนนั้นแม่พระบอกว่าเป็นเหมือนการลงโทษ มีจุดหมายที่จะดึงคนดีมาใกล้ชิด
พระ แล้วจะได้ไปเตือนคนอื่นด้วย​ หนูไม่สามารถเผยว่าการเตือนนี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แม่พระ
ไม่ได้บอกหนูให้บอกคนอื่น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น พระคงมีพระประสงค์ให้เราปรับปรุงตัวเองโดย
ใช้สัญญาณเตือน และทรงมีพระประสงค์จะให้เราทำบาปน้อยลง ท่านบาทหลวง ลาฟทิเนอร์​ นักศึกษา
เกี่ยวกับแม่พระคาราบันดัล ตั้งคำถามขึ้นมาว่า​ สัญญาณเตือนนี้อาจทำให้คนตายได้หรือไม่​ เธอก็ตอบว่า
“หากเราตาย คงมิใช่เพราะสัญญาณเตือนในตัวของมันเอง​ แต่อาจจะตายเพราะตกใจเพราะได้เห็นและ
รู้สึกในสัญญาณเตือนนั้น”​
ในวันที่ 13 กันยายน 1965 คอนซิต้าตอบคำถามจากชาวอเมริกันบางคนดังนี้
ถาม สัญญาณเตือนนี้จะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้หรือเป็นภายใจหรือเป็นทั้งสอง?
ตอบ สัญญาณเตือน เป็นสิ่งที่มาจากพระโดยตรง และจะมองเห็นได้ไปทั่วโลก​ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่
ไหนก็ตาม
ถาม สัญญาณเตือนนี้จะเผยบาปของแต่ละคนทั่วโลกที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้นหรือรวมทั้งคนที่ไม่เชื่อ
ในพระเจ้าด้วย?
ตอบ ใช่แล้ว สัญญาณเตือนนี้จะเป็นการเปิดเผยบาปของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้า
หรือคนในศาสนาไหนก็ตาม​ จะเห็นบาปของตัวเอง​ และรู้สึกถึงความน่าเกลียดของบาปเหมือนกันทุกคน
วันที่ 22 ตุลาคม 1965 มีบันทึกของคอนซิต้า ที่ตอบคำถามของหญิงสเปนเกี่ยวกับสัญญาณจะใช่
ดาวหางหรือไม่ คอนซิต้า ตอบว่า “หนูไม่รู้จักดาวหางว่าเป็นอะไร​ ถ้ามันเป็นอะไรที่ขึ้นกับการกระทำของคน​
คำตอบก็คือไม่ใช่ ถ้าเป็นอะไรที่พระจะกระทำก็เป็นไปได้ทีเดียว”​ แล้วหญิงนั้นก็แสดงความกลัวออกมา
ให้เห็น​ และขอให้คอนซิต้าสวดให้เธอด้วย​ คอนซิต้า ก็ตอบว่า “แน่นอนสัญญาณเตือนน่ากลัวมาก น่ากลัว
กว่าแผ่นดินไหวพันเท่า”​ มีคำถามอีกว่าธรรมชาติของสัญญาณเตือนเป็นอย่างไร​ คอนซิต้า ตอบว่า “มัน
เหมือนไฟ แต่มันไม่ไหม้เนื้อของเรา แต่เราจะรู้สึกทางร่างกายและภายในใจด้วย”​ ทุกคนทุกชาติจะสัมผัส
มันเช่นเดียวกันหมด​ ไม่มีเว้นใครเลย ถึงแม้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็จะรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้า​ แม้คุณจะซ่อน
ตัวเองในห้องหรือจะปิดม่าน คุณก็จะหลบไม่พ้น คุณจะรู้สึกและเห็นมันเหมือนกัน ใช่แล้ว มันเป็นของจริง
​ แม่พระได้บอกชื่อของปรากฏการณ์นั้นด้วย​ มันเริ่มด้วยอักษร "A" แต่แม่พระไม่ให้หนูเปิดเผยให้ใครรู้”
มีข้อสังเกตที่สำคัญที่จะเสริมว่าเมื่อคอนซิต้า พรรณนาถึงสัญญาณเตือนว่า​ “เหมือนไฟ”​ เธอคงหมายถึง
เหมือนไฟไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแต่ว่ามันไม่ใช่ไฟ
ตามความเห็นของ คอนซิต้า สัญญาณเตือน และ ไฟ มี 2 สิ่งที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ “เห็น”​ และ “รู้สึก”
​ ทั้งสองสิ่งนี้ “น่ากลัวมาก” ​สัญญาณเตือนจะ “เห็น”​ และ​ “รู้สึก”​ แก่ทุกคน และจะก่อให้เกิดความกลัวในใจ
ของทุกคน เป็นความกลัวที่ร้ายแรงมากอาจทำให้บางคนตายไปได้​ การพรรณนารายละเอียดเกี่ยวกับ
ปรากฏ​การณ์นี้ด้วยภาษามนุษย์คงเป็นไปไม่ได้ และคงไม่จำเป็นด้วย คงจะเป็นการเพียงพอที่จะเตรียมใจ
ให้พร้อมไว้สำหรับสัญญาณเตือนที่จะเกิดเมื่อไรก็เมื่อนั้น
จะมีโป๊ปอีก 3 พระองค์เท่านั้น
คอนซิต้า กล่าวว่า “แม่พระบอกว่าหลังจากจากโป๊ปจอห์นที่ 23 แล้ว จะยังมีโป๊ปอีก 3 พระองค์ จะมีองค์
หนึ่งที่ครองอาสน์เป็นเวลาสั้นๆ​ และเมื่อโป๊ป พอลที่ 6 ได้รับเลือกเป็นโป๊ป แม่พระก็บอกหนูว่า หลังจาก
โป๊ปองค์นี้ก็จะเหลือโป๊ปอีก 2 พระองค์ แล้วก็จะถึงกาลสิ้นยุค แต่ไม่ใช่สิ้นโลก”​ หลังจากโป๊ป พอลที่ 6 ก็มี
โป๊ปจอห์นพอลที่ 1 ซึ่งครองอาสน์แค่​ 33 วัน แล้วก็มาถึงโป๊ปองค์ปัจจุบัน คือ โป๊ปจอห์น​ พอลที่ 2 พระองค์
ครองอาสน์เป็นปีที่ 17 ตามสารของแม่พระที่ให้ไว้กับหนู คอนซิต้า​ คาราบันดัล นี้ ก็แปลว่าหลังจากโป๊ป
จอห์น​ พอลที่ 2 ก็จะถึง กาลสิ้นยุคแต่ไม่ใช่สิ้นโลก เราคงจะนิ่งนอนใจไม่ได้เสียแล้ว คงจะต้องทบทวนสาร
ของแม่พระที่ คาราบันดัล ให้เข้าใจท่องแท้ แต่ที่แน่ๆ จะต้องประกอบแต่กรรมดีตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วอะไรจะ
เกิดก็ให้มันเกิด Que sera sera.

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6646
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2025 4:23 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 20 )

✴️ ฉลองครบรอบ​ 17​ ปี​ วันคล้ายวันสมณาภิเษกของโป๊ป​ จอห์น​ พอล​ ที่​ 2 (A) ✴️
ในวันที่ 22 ตุลาคม​ 1995 นี้ เป็นวันขึ้นครองอาสน์ครบรอบ 17 ปีของสมเด็จพระสันตะปาปา
จอห์น​ พอลที่ 2 โป๊ป จอห์น​พอลที่ 2 ผู้มีชื่อเป็นภาษาโปแลนด์ว่า​ Karol Wojtila อ่านว่า คารอล​ วอยตีซา​
หรือมักได้ยิน วอยตัว​ อักษร L ในภาษาโปแลนด์จะออกเสียงตรงกับภาษาไทยเป็น ว. พระองค์มีชื่อเล่นว่า
“โลเลก” ในสมัยที่เด็กชายคารอลยังเล็กอยู่​ พระคาร์ดินัล ซาเฟียฮาได้สนทนากับเด็กๆ ผู้ช่วยมิสซากลุ่มหนึ่ง
ท่านถามคารอลว่า​ อยากบวชเป็นพระสงฆ์ไหม? เขาตอบว่า “ไม่ครับ ผมอยากเรียนวิชาวรรณคดีและการ
แสดงละครในมหาวิทยาลัย” พระคาร์ดินัลอุทานออกมาว่า “น่าเสียดาย”​ แต่ท่านได้จับตามองเด็กหนุ่มผู้มี
พรสวรรค์นี้ด้วยความสนใจ​ หวังจะให้เขาทำประโยชน์ให้พระศาสนจักรให้มากที่สุด
แต่ครั้นเขาเกิดมีพระกระแสเรียกจากพระผู้เป็นเจ้าให้เข้าเป็นนักบวชก็ไม่ตรงกับเป้าที่ท่านพระคาร์ดินัล
หมายตาเอาไว้ เขาอยากจะเป็นนักบวชแบบฤๅษีที่ถือกฎเคร่งครัด ใช้ชีวิตอยู่ในอาศรมบำเพ็ญภาวนา และ
เพ่งญาณเพื่อจะได้บรรลุถึงญาณขั้นสูง นั่นคือการสัมผัสพระเจ้า แต่พระคาร์ดินัลซาเฟียฮาปรารถนาให้เขา
เรียนเป็นพระสงฆ์ เป็นบาทหลวงที่ใช้ชีวิตอยู่กับสัตบุรุษ อยู่กับสังคม หลังจากที่หนุ่มคารอลถูกปฏิเสธใน
การเข้าเป็นฤๅษี​(Contemplative Friar) ถึง 3 ครั้งจากพระคาร์ดินัล ซาเฟียฮา หนุ่มคารอลก็หันเหมาทาง
ที่จะเป็นพระสงฆ์ธรรมดาๆ ที่จะต้องใช้ชีวิตในสังคม​ (Diocesan priest) และแล้วหนุ่มคารอลก็ได้รับศีล
บรรพชาเป็นพระสงฆ์ จากพระคาร์ดินัลาซาเฟียฮา ในปี​ 1946
และบัดนี้หนุ่ม คารอล วอยตัว ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นนักแสดงได้มาเป็นพระสงฆ์ พระสังฆราช พระคาร์ดินัล
และพระสันตะปาปา​มาได้ 17​ ปี​แล้ว​ ถือได้ว่าพระองค์เป็นผู้นำประชากรคาทอลิกเกือบหนึ่งพันล้านคน
เมื่อพระคาร์ดินัลวอยตัวได้รับเลือกเป็นสันตะปาปาแล้ว นักเสาะหาข่าวก็มุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของ
พระองค์ท่าน เพื่อจะเจาะข่าวตั้งแต่ทรงเป็นวัยรุ่น​ เป็นนักศึกษา​ และเป็นกรรมกรว่า เคยมีเพื่อนหญิงไหม?
ชื่ออะไร ที่สุดก็ได้ข่าวน่าสนใจว่า ท่านเคยมีเพื่อนหญิง เป็นนักแสดงด้วยกันมีชื่อว่า​Datuna Michalosvska
เคยร่วมแสดงละครใต้ดินระหว่างถูกนาซียึดครอง​ หลังจากที่พระองค์ได้รับเลือกเป็นโป๊ป เธอเขียนจดหมาย
ไปแสดงความยินดีโดยรำพันไปว่า เขาทั้งสองคงไม่มีโอกาสพบกันเป็นแน่ เนื่องจากเพราะตำแหน่งใหม่อัน
สูงส่งของพระองค์ แล้วเธอก็ได้รับโน้ตเป็นลายพระหัตถ์ของโป๊ปจอห์น พอล โดยทรงตำหนิเธออย่างสุภาพว่า
พระองค์จะไม่ทำหูทวนลมอย่างที่เธอคิดแน่นอน ฉะนั้นหลังจากเธอได้เขียนไปอีกเป็นสิบๆ​ ฉบับ และทุกฉบับ
จะได้รับการตอบรับ ถึงแม้จะเป็นแค่โน้ตสั้นๆ และด้วยลายพระหัตถ์หวัดๆ​ ก็ตาม
ขณะที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น​ คารอลสนใจในเรื่องการละครเป็นชีวิตจิตใจ ท่านได้แต่งหนังสือไว้
5 เล่ม​ เขียนเรื่องสั้นสำหรับนิตยสารและหนังสือพิมพ์​500 เรื่อง นอกจากนี้ยังแต่งบทกลอน และบทละครอีก
มากมายหลายเรื่อง
บทละครที่ท่านชอบที่สุดคือเรื่อง​ “เหมืองแร่” ที่พรรณนาถึงชีวิตกรรมกรที่ลำบากยากแค้นในเหมืองหินปูน
เป็นการสรรเสริญและเทิดเกียรติศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน
หนุ่มคารอลเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย Jagiellonian แห่งคราคอฟ​ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่
ผลิตศิษย์ผู้เก่งกล้าวิชามามากต่อมาก ในมหาวิทยาลัยนี้ได้มีนักศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายท่านได้ผ่าน
สถาบันนี้มาแล้ว อาทิ นิโคลัส คูเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ชื่อดังที่พบระบบสุริยะ
มาเรียน สโมลูโควสกี้ เจ้าของทฤษฎีความร้อนเกิดจากความเคลื่อนไหวของเซลล์ต่างๆ
และเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่รองจาก มาดามคูรี
วลาติมีร์ เลนิน ผู้นำรัสเซีย​ก็เคยมาศึกษาค้นคว้าที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อพระคาร์ดินัล คารอล วอยตัว เดินทางมาถึงกรุงโรมเมื่อต้นเดือนตุลาคม​ 1978 เพื่อเข้าประชุมเลือก
ตั้งพระสันตะปาปา (Conclave) มีพระสงฆ์อาวุโสชื่อ รูบิน ชาวโปแลนด์ได้ไปรับท่านที่สนามบินรู้สึกแปลกใจ
ที่เห็นกระเป๋า​ของพระคาร์ดินัลทั้งเล็กทั้งเบา ในกระเป๋า​มีเพียงเสื้อชุดนักบวช​ หนังสือ 2-3 เล่ม กระดาษ​ 2-3 แผ่น
รองเท้าแตะ 1 คู่ และชุดเสื้อผ้าชั้นใน​ บาทหลวงรูบินกล่าวว่า “ผมพกเงินมาเผื่อท่านคาร์ดินัลเสมอ เพราะรู้​ว่า​
ท่านมีเงินติดตัวไม่เกิน 10 ดอลลาร์” ทั้งนี้เพราะรัฐบาลคอมมิวนิสต์​โปแลนด์อนุญาตให้พกเงินอย่างมากไม่เกิน
10 ดอลลาร์
เมื่อใกล้วันเลือกตั้งโป๊ป นักข่าวก็วิ่งกันขวักไขว่เพื่อพบพระคาร์ดินัลที่เพิ่งมาถึงกรุงโรม โดยเฉพาะ
พระคาร์ดินัลที่ไม่ใช่ชาวอิตาลี ทั้งนี้เพราะมีเสียงโจษจันกันว่าครั้งนี้จะเป็นโป๊ปที่ไม่ใช่ชาวอิตาลี พระคาร์ดินัล
วอยตัว ถามช่างภาพพลางยิ้มว่า​ “ทำไมจึงถ่ายภาพอาตมาหลายภาพจัง”​ แล้วท่านก็วางมือบนไหล่ของช่างภาพ
ฟรัวโก เดเลโอ กล่าวว่า “คุณเชื่อหรือเปล่า​อาตมาอาจจะได้เป็นโป๊ปองค์ต่อไปก็ได้นะ!”​ “ผมไม่เชื่อหรอก”​
นักข่าวนั้นคิดว่าหนุ่มเกินไปที่จะเป็นโป๊ป (พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 58 พรรษา) และที่ถ่ายภาพไว้ก็เพราะ
เห็นเป็นชาวต่างชาติ ก็แค่นั้น
เขาคิดผิดถนัด เพราะพระคาร์ดินัลชาวต่างชาติที่เขาถ่ายภาพไว้นั้นได้เป็นพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2
เป็นปีที่ 17 แล้ว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อ่านทรรศนะจากต่างแดน ในหัวข้อ พระสันตะปาปา กับเลข​666 โดยบาทหลวงวิษณุ
ธัญญอนันต์ ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกที่ทำงานในตำแหน่งอันมีเกียรติแห่งวาติกัน ท่านทำงานเป็นเลขานุการ
พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศกรีซ ซึ่งเป็นดินแดนที่หนังสือวิวรณ์มีกำเนิดมา คือท่านนักบุญยอห์นได้
บันทึกนิมิตต่างๆ ที่ท่านเห็นระหว่างถูกเนรเทศไปอยู่เกาะพาสมอส ประเทสกรีซ ประมาณ​ค.ศ. 90
ท่านบาทหลวงวิษณุ เล่าให้ฟังว่า​ปัจจุบันท่ามกลางชาวคริสต์ไม่ว่านิกายไหนอ้างกันมากถึงเลข 666
ซึ่งมีการตีความกันหลากหลาย ต่างทฤษฎี​ และต่างท่าที เมื่อท่านไปถึงกรีซก็ได้เรียนรู้ทันทีว่าบัตรประจำตัว
ประชาชนห้ามพิมพ์หมายเลข 666 ขณะเดียวกันพวกคริสต์ออร์โธดอกซ์ก็พยายามโยงใยหมายเลขดังกล่าว
ให้เป็นเลขของพระสันตะปาปาที่กรุงโรม ยิ่งพระสันตะปาปามีผลงานดีเด่นมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งอยาก
“ยัดเยียด”​ ไปให้พระองค์มากเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ฝ่ายคริสต์คาทอลิกก็พยายามอธิบายให้บรรดา
ศาสนิกทั้งหลายได้เข้าใจความหมายอันแท้จริงของตำแหน่งสันตะปาปากับหมายเลข 666 ว่ามีภูมิหลัง
เป็นมาและเป็นไปอย่างไร​ หมายเลข 666​ มีเบื้องหลังมาจากหนังสือวิวรณ์ (พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่เขียน
โดยนักบุญยอห์นอัครสาวกที่เกาะพาสมอส) เขียนไว้ดังนี้ “ในเรื่องนี้จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ
ก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายตัวนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก”​
(วว.13:18) ตามธรรมเนียมคริสตชนตั้งแต่เดิมมีการอธิบายถึงเลข 666 ในลักษณะต่างๆ​ กันออก​ไป​
ก.​ เกี่ยวกับ “สัตว์ร้าย” ในหนังสือวิวรณ์ของนักบุญยอห์น บทที่ 13
1. สัตว์ร้ายตัวแรกคือ “มังกร”​ เป็นสัตว์ทะเล หน้าที่ของมันคือ กล่าวคำผรุสวาทต่อพระเป็นเจ้าและต่อ
พระนามของพระองค์ พยายามชักนำประชากรของพระให้ห่างเห็นจากความรักของพระองค์ และชักจูง
ล่อลวงศาสนิกชนให้ห่างเหินจาการกราบไหว้นมัสการพระองค์ (เทียบวิวรณ์ 13:1-10)
2. สัตว์ร้ายตัวที่สองคือ “สัตว์แห่งแผ่นดิน”​ มันโผล่มาจากใต้ดิน มันเป็นลูกสมุน หรือลิ่วล้อของสัตว์ตัวแรก
มันพยายามแผ่ขยายฤทธิ์อำนาจออกไปทุกแห่งในโลก หน้าที่สำคัญของมันคือ ชักจูง ล้างสมอง ประชากร
โลกให้ไปกราบไหว้เจ้านายของมันคือสัตว์ร้ายตัวแรก (เทียบ วิวรณ์ 13:11-17)
3. สัตว์ร้ายตัวแรก คือ “ปีศาจ”​ หรือ “ซาตาน” ที่อยู่นอกโลก ส่วนสัตว์ร้ายตัวที่สองคือ พลังแห่งความชั่วร้าย
ที่แผ่ขยายอยู่ในโลกนี้
ข.​ คำอธิบายจากนักเทววิทยาคาทอลิก
1. ความคิดเห็นจากนักวิทยารุ่นเก่าๆ​ ท่านเหล่านั้นคือ ปิตาจารย์ ในศตวรรษที่ 5 ตีความไว้ดังนี้:
ก.​ คำว่า “ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์”​ คือ​ “คนที่ทำบาป-คนใจบาป” หรือคนที่ชอบล้อเลียนลบหลู่ท้าทายพระคริสต์
ข.คำว่า “ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์”​ อาจจะประยุกต์ได้กับ ผู้ที่สอนศาสนา​ผิด​ๆ​ ไม่​ถูกต้อง​ตาม​สัจธรรม​ หรือ​
บุคคล​ที่​ทำให้ศาสนา​แตกแยก​ เช่น​ Heretic, Schismatic

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​---🔹
ตอบกลับโพส