เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )
( 1 )
เรื่องสั้น คนตัดฟืนและสัตว์ต่างๆ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Woodcutter and the Animals”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่น้อยที่สวยงามมากมาย สัตว์ต่าง ๆ
พากันเข้ามาอาศัยอยู่ในร่มไม้ของต้นไม้โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ 2 ต้นที่ชื่อ’สัก’ และ ‘มะค่า’
สัตว์ที่มาอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ทั้งสองมีทั้งฝูงลิง หมาป่าที่ฉลาด และหมีตัวโต พวกมันอาศัยอยู่
ใต้ต้นไม้ทั้งสองอย่างมีความสุขและรักกันเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน
วันหนึ่ง ขณะที่สัตว์เหล่านี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น สักและมะค่า
สังเกตเห็นคนตัดฟืนเดินเข้ามาที่มันแต่ไกล สักและมะค่ารู้ดีว่ามันมีรากติดอยู่กับพื้นดินและ
หนีไปไหนไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากเห็นเพื่อนสัตว์ถูกจับหรือถูกทำร้ายไปด้วยจึงส่งเสียงร้องขึ้นว่า
"ผู้ที่อาศัยอยู่กับเราทั้งหลาย ขอให้รีบหนีไปโดยเร็ว เพราะคนตัดไม้กำลังมาใกล้พวกเราแล้ว"
แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดที่นั่นตื่นตระหนกหรือขยับตัวหนีไปเลย
สักและมะค่าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดวิ่งหนีเอาตัวรอดไปเลย และเมื่อถามว่า
"ทำไมพวกท่านจึงไม่หนีไปกัน?" ก็ได้คำตอบว่า "ท่านให้ที่พักพิงแก่เรา รวมทั้งอาหารและ
อากาศบริสุทธิ์ แล้วเราจะทิ้งให้ท่านตายตามลำพังได้อย่างไร"
สักและมะค่ารู้สึกสะเทือนใจมากเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ขณะเดียวกันเหล่าสัตว์ที่นั่นโดยเฉพาะ
หมาป่าที่ฉลาดก็คิดวางแผนอย่างรวดเร็วและขอให้สัตว์ทุกตัวลงมือปฏิบัติามแผนของมันทันที
เริ่มจากให้สัตว์ทั้งหลายรีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้หรือตามกิ่งไม้ที่มีใบหนาทึบ เมื่อคนตัดฟืน
เดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ทั้งสอง คนตัดฟืนก็หยิบขวานออกมา แต่ก่อนจะทันได้เหวี่ยงขวานฟันต้นไม้
เป็นครั้งแรก สัตว์ทุกตัวก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนของหมาป่าพร้อมกันทันที
ดังนั้น ขณะที่คนตัดฟืนเริ่มเงื้อขวานขึ้น สัตว์ที่นั่นทุกตัวก็ต่างก็พุ่งตัวออกจากซ่อนเข้าโจมตี
คนตัดฟืนจากทุกด้าน ขณะเดียวกันหมาป่าผู้วางแผนก็ไม่เสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว มันวิ่ง
สุดชีวิตไปหาสิงโตราชาแห่งป่า และขอให้สิงโตช่วยรักษาชีวิตของสักและมะค่าไว้ให้ได้
สิงโตเมื่อรับทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ก็ส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัวดังก้องไปทั่วป่าทันที คนตัดฟืน
ตกใจกลัวมากทิ้งขวานและวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต หลังจากสักและมะค่ารอดพ้นจากอันตรายถึงชีวิต
อย่างหวุดหวิดแล้ว สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งสักและมะค่าขอบคุณสิงโตและหมาป่าเป็นพิเศษ
หลังจากเหตุการณ์เฉียดตายในวันนั้น คนตัดฟืนก็เข้าใจถึงความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย
รวมทั้งมวลมนุษย์ เขาตัดสินเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยการเปิดเรือนเพาะชำต้นไม้และปลูกต้นไม้มากมาย
ในหมู่บ้านที่เขาอยู่ และไม่นานต่อมาก็มีสัตว์ต่าง ๆ พากันเข้ามาร่วมอาศัยอยู่ด้วยความสงบสุข
ข้อคิด : จงช่วยกัน “อนุรักษ์ต้นไม้และปกป้องสิ่งแวดล้อม”
: Save trees and protect the environment.
------------------------------
เรื่องสั้น คนตัดฟืนและสัตว์ต่างๆ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Woodcutter and the Animals”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่น้อยที่สวยงามมากมาย สัตว์ต่าง ๆ
พากันเข้ามาอาศัยอยู่ในร่มไม้ของต้นไม้โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ 2 ต้นที่ชื่อ’สัก’ และ ‘มะค่า’
สัตว์ที่มาอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ทั้งสองมีทั้งฝูงลิง หมาป่าที่ฉลาด และหมีตัวโต พวกมันอาศัยอยู่
ใต้ต้นไม้ทั้งสองอย่างมีความสุขและรักกันเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน
วันหนึ่ง ขณะที่สัตว์เหล่านี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น สักและมะค่า
สังเกตเห็นคนตัดฟืนเดินเข้ามาที่มันแต่ไกล สักและมะค่ารู้ดีว่ามันมีรากติดอยู่กับพื้นดินและ
หนีไปไหนไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากเห็นเพื่อนสัตว์ถูกจับหรือถูกทำร้ายไปด้วยจึงส่งเสียงร้องขึ้นว่า
"ผู้ที่อาศัยอยู่กับเราทั้งหลาย ขอให้รีบหนีไปโดยเร็ว เพราะคนตัดไม้กำลังมาใกล้พวกเราแล้ว"
แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดที่นั่นตื่นตระหนกหรือขยับตัวหนีไปเลย
สักและมะค่าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดวิ่งหนีเอาตัวรอดไปเลย และเมื่อถามว่า
"ทำไมพวกท่านจึงไม่หนีไปกัน?" ก็ได้คำตอบว่า "ท่านให้ที่พักพิงแก่เรา รวมทั้งอาหารและ
อากาศบริสุทธิ์ แล้วเราจะทิ้งให้ท่านตายตามลำพังได้อย่างไร"
สักและมะค่ารู้สึกสะเทือนใจมากเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ขณะเดียวกันเหล่าสัตว์ที่นั่นโดยเฉพาะ
หมาป่าที่ฉลาดก็คิดวางแผนอย่างรวดเร็วและขอให้สัตว์ทุกตัวลงมือปฏิบัติามแผนของมันทันที
เริ่มจากให้สัตว์ทั้งหลายรีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้หรือตามกิ่งไม้ที่มีใบหนาทึบ เมื่อคนตัดฟืน
เดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ทั้งสอง คนตัดฟืนก็หยิบขวานออกมา แต่ก่อนจะทันได้เหวี่ยงขวานฟันต้นไม้
เป็นครั้งแรก สัตว์ทุกตัวก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนของหมาป่าพร้อมกันทันที
ดังนั้น ขณะที่คนตัดฟืนเริ่มเงื้อขวานขึ้น สัตว์ที่นั่นทุกตัวก็ต่างก็พุ่งตัวออกจากซ่อนเข้าโจมตี
คนตัดฟืนจากทุกด้าน ขณะเดียวกันหมาป่าผู้วางแผนก็ไม่เสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว มันวิ่ง
สุดชีวิตไปหาสิงโตราชาแห่งป่า และขอให้สิงโตช่วยรักษาชีวิตของสักและมะค่าไว้ให้ได้
สิงโตเมื่อรับทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ก็ส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัวดังก้องไปทั่วป่าทันที คนตัดฟืน
ตกใจกลัวมากทิ้งขวานและวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต หลังจากสักและมะค่ารอดพ้นจากอันตรายถึงชีวิต
อย่างหวุดหวิดแล้ว สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งสักและมะค่าขอบคุณสิงโตและหมาป่าเป็นพิเศษ
หลังจากเหตุการณ์เฉียดตายในวันนั้น คนตัดฟืนก็เข้าใจถึงความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย
รวมทั้งมวลมนุษย์ เขาตัดสินเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยการเปิดเรือนเพาะชำต้นไม้และปลูกต้นไม้มากมาย
ในหมู่บ้านที่เขาอยู่ และไม่นานต่อมาก็มีสัตว์ต่าง ๆ พากันเข้ามาร่วมอาศัยอยู่ด้วยความสงบสุข
ข้อคิด : จงช่วยกัน “อนุรักษ์ต้นไม้และปกป้องสิ่งแวดล้อม”
: Save trees and protect the environment.
------------------------------
( 2 )
เรื่องสั้น ปลา 3 ตัว
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Three Different Fish”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
มีปลา 3 ตัวอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง ถึงแม้ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันแต่ก็มีนิสัย
แตกต่างกัน ปลาตัวแรกชื่อเดซี่เป็นปลาที่ฉลาดและคอยดูแลเพื่อน ๆ ของเธออยู่เสมอ
ปลาอีกสองตัวชื่อทิวลิปกับลิลลี่ ทั้งสองเป็นปลาที่สวยงามที่สุดในทะเลสาบ ทิวลิปเป็น
ปลาที่น่ารักและฉลาดมาก ส่วนลิลลี่เชื่อในโชคชะตาและมีนิสัยดื้อรั้น เดซี่ปลาตัวแรกและ
ทิวลิปมักจะตัดสินใจหลังจากได้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบแล้ว
วันหนึ่ง มีชาวประมงกับเพื่อน เดินสำรวจปลาอยู่ริมทะเลสาบแห่งนั้นและพบว่าในทะเลสาบ
มีปลาชุม พวกเขาจึงวางแผนจะมาจับปลาในวันรุ่งชึ้น ยิ่งกว่านั้นเพื่อนของชาวประมงยังได้ชี้ไปที่
ทิวลิปและลิลลี่พร้อมกับบอกว่าพวกเขาจะจับปลา 2 ตัวนี้ไปด้วยเพราะเป็นปลาที่สวยงามมาก
เดซี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชาวประมงได้ยินการสนทนาทั้งหมดของพวกเขา
หลังจากนั้นเดซี่ก็ว่ายไปหาเพื่อนทั้งสองและเล่าทุกอย่างที่ได้ยินมาโดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขา
จะมาจับทิวลิปและลิลลี่ เดซี่ขอให้เพื่อนทั้งสองออกไปจากทะเลสาบพร้อมกับตัวเธอก่อนจะถูก
ชาวประมงจับในวันรุ่งขึ้น
ทิวลิปและลิลลี่รู้สึกหวาดกลัว แต่ทั้งคู่ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน คือทิวลิปเห็นด้วยกับเดซี่
และพร้อมที่จะออกจากทะเลสาบโดยจะว่ายไปอยู่ในคลองที่เป็นสายน้ำเล็กแยกออกจากทะเลสาบนั้น
ส่วนลิลลี่จะไม่ไปด้วย เธอให้เหตุผลว่า “ฉันจะไม่ไปจากทะเลสาบนี้เพราะนี่คือบ้านเกิดของฉัน ฉันจะ
ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เพื่อนของลิลลี่ทั้งสองพยายามพูดโน้มน้าวเธอ เดซี่ถึงกับบอกเธอว่า “ถ้าเธอมากับเรา เราจะ
สร้างบ้านใหม่ให้ และเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันกับเธอตลอดไป” ทิวลิปพยักหน้าพร้อมกับพูดเสริม
อย่างหนักแน่นว่า “ใช่แล้ว เราจะดูแลกันและกันให้มากขึ้น นอกจากนั้น คลองที่เราจะย้ายไปอยู่ใหม่
ยังเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกด้วย” อย่างไรก็ตาม ลิลลี่ที่มีนิสัย
ดื้อรั้นยังคงยืนกรานเหมือนเดิม อีกทั้งยังโกรธเพื่อนทั้งสองที่กำลังจะทิ้งเธอไว้ให้อยู่ตามลำพัง แล้วเธอ
ก็ไล่ให้เพื่อนทั้งสองไปจากเธอ
เมื่อจนปัญญา เดซี่และทิวลิปจึงตัดสินใจว่ายออกไปจากทะเลสาบและย้ายไปอยู่ในคลองใหม่ตาม
แผนที่คิดไว้ ขณะกำลังว่ายจากทะเลสาบไปทั้งสองพูดกันว่า “น่าเศร้านะ ที่เราถูกสถานการณ์บังคับให้
ลิลลี่ต้องเผชิญกับชะตากรรมตามลำพัง”
วันรุ่งขึ้นชาวประมงกับเพื่อนก็มาที่ทะเลสาบ พวกเขาเหวี่ยงแหและวางอวนจับปลาไปได้มากรวมทั้ง
ลิลลี่ด้วย เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหนีออกจากอวนแต่ไม่สำเร็จ และเพิ่งคิดได้ว่าเธอน่าจะไปกับเพื่อนก่อน
หน้านั้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว”
ข้อคิด : ความสุขุมรอบคอบและการมีไหวพริบเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เพราะการวางแผนล่วงหน้าจะทำ
ให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้เรียบง่ายขึ้น! : It's always good to be thoughtful or at least intelligent
and resourceful because Planning ahead makes life easier!
----------------------
เรื่องสั้น ปลา 3 ตัว
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Three Different Fish”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
มีปลา 3 ตัวอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง ถึงแม้ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันแต่ก็มีนิสัย
แตกต่างกัน ปลาตัวแรกชื่อเดซี่เป็นปลาที่ฉลาดและคอยดูแลเพื่อน ๆ ของเธออยู่เสมอ
ปลาอีกสองตัวชื่อทิวลิปกับลิลลี่ ทั้งสองเป็นปลาที่สวยงามที่สุดในทะเลสาบ ทิวลิปเป็น
ปลาที่น่ารักและฉลาดมาก ส่วนลิลลี่เชื่อในโชคชะตาและมีนิสัยดื้อรั้น เดซี่ปลาตัวแรกและ
ทิวลิปมักจะตัดสินใจหลังจากได้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบแล้ว
วันหนึ่ง มีชาวประมงกับเพื่อน เดินสำรวจปลาอยู่ริมทะเลสาบแห่งนั้นและพบว่าในทะเลสาบ
มีปลาชุม พวกเขาจึงวางแผนจะมาจับปลาในวันรุ่งชึ้น ยิ่งกว่านั้นเพื่อนของชาวประมงยังได้ชี้ไปที่
ทิวลิปและลิลลี่พร้อมกับบอกว่าพวกเขาจะจับปลา 2 ตัวนี้ไปด้วยเพราะเป็นปลาที่สวยงามมาก
เดซี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชาวประมงได้ยินการสนทนาทั้งหมดของพวกเขา
หลังจากนั้นเดซี่ก็ว่ายไปหาเพื่อนทั้งสองและเล่าทุกอย่างที่ได้ยินมาโดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขา
จะมาจับทิวลิปและลิลลี่ เดซี่ขอให้เพื่อนทั้งสองออกไปจากทะเลสาบพร้อมกับตัวเธอก่อนจะถูก
ชาวประมงจับในวันรุ่งขึ้น
ทิวลิปและลิลลี่รู้สึกหวาดกลัว แต่ทั้งคู่ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน คือทิวลิปเห็นด้วยกับเดซี่
และพร้อมที่จะออกจากทะเลสาบโดยจะว่ายไปอยู่ในคลองที่เป็นสายน้ำเล็กแยกออกจากทะเลสาบนั้น
ส่วนลิลลี่จะไม่ไปด้วย เธอให้เหตุผลว่า “ฉันจะไม่ไปจากทะเลสาบนี้เพราะนี่คือบ้านเกิดของฉัน ฉันจะ
ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เพื่อนของลิลลี่ทั้งสองพยายามพูดโน้มน้าวเธอ เดซี่ถึงกับบอกเธอว่า “ถ้าเธอมากับเรา เราจะ
สร้างบ้านใหม่ให้ และเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันกับเธอตลอดไป” ทิวลิปพยักหน้าพร้อมกับพูดเสริม
อย่างหนักแน่นว่า “ใช่แล้ว เราจะดูแลกันและกันให้มากขึ้น นอกจากนั้น คลองที่เราจะย้ายไปอยู่ใหม่
ยังเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกด้วย” อย่างไรก็ตาม ลิลลี่ที่มีนิสัย
ดื้อรั้นยังคงยืนกรานเหมือนเดิม อีกทั้งยังโกรธเพื่อนทั้งสองที่กำลังจะทิ้งเธอไว้ให้อยู่ตามลำพัง แล้วเธอ
ก็ไล่ให้เพื่อนทั้งสองไปจากเธอ
เมื่อจนปัญญา เดซี่และทิวลิปจึงตัดสินใจว่ายออกไปจากทะเลสาบและย้ายไปอยู่ในคลองใหม่ตาม
แผนที่คิดไว้ ขณะกำลังว่ายจากทะเลสาบไปทั้งสองพูดกันว่า “น่าเศร้านะ ที่เราถูกสถานการณ์บังคับให้
ลิลลี่ต้องเผชิญกับชะตากรรมตามลำพัง”
วันรุ่งขึ้นชาวประมงกับเพื่อนก็มาที่ทะเลสาบ พวกเขาเหวี่ยงแหและวางอวนจับปลาไปได้มากรวมทั้ง
ลิลลี่ด้วย เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหนีออกจากอวนแต่ไม่สำเร็จ และเพิ่งคิดได้ว่าเธอน่าจะไปกับเพื่อนก่อน
หน้านั้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว”
ข้อคิด : ความสุขุมรอบคอบและการมีไหวพริบเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เพราะการวางแผนล่วงหน้าจะทำ
ให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้เรียบง่ายขึ้น! : It's always good to be thoughtful or at least intelligent
and resourceful because Planning ahead makes life easier!
----------------------
( 3 )
นิทาน เรื่อง พรวิเศษ
ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงชื่อ "เมษา" เธอเป็นนักเรียนเรียนดี แต่มักเลือกทางลัด
ด้วยการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น "แค่โกหกนิดหน่อย ไม่เห็นเป็นไร"
เธอมักบอกตัวเอง
...
วันหนึ่ง ขณะที่เมษากำลังโกหกครูว่า ทำการบ้านหาย ทั้งที่ความจริงยังไม่ได้ทำ
เธอได้ยินเสียงแปลกๆ "เจ๊าว..." แมวลายสีรุ้งตัวหนึ่ง นั่งมองเธออยู่ ดวงตาของมัน
เรืองแสงประหลาด "เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่โกหก มีบางอย่างในตัวเธอกำลังแตกสลาย"
แมวพูดขึ้น "ฉันจะให้พรวิเศษเธอ - ตั้งแต่นี้ เธอจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกครั้งที่โกหก"
...
เย็นนั้น เมื่อเธอโกหกแม่ว่าทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอเห็นภาพที่น่าตกใจ เซลล์เม็ดเลือดขาว
ในร่างกายกำลังอ่อนแรงลง เหมือนทหารที่หมดเรี่ยวแรง เธอเห็นสมองของตัวเอง
ทำงานหนักเกินไป มีควันลอยออกมา เหมือนเครื่องจักรที่ร้อนเกิน และที่น่ากลัวที่สุด
หัวใจของเธอมีรอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้น "นี่หรือคือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่โกหก?" เมษาถามแมว
"ใช่ และยังมีอีก" แมวตอบ "ลองสังเกตคนรอบข้างดูสิ"
...
คืนนั้น เมื่อเมษาอยู่คนเดียวในห้อง เสียงความคิดก็ดังขึ้นไม่หยุด "แย่จัง ถ้าใครรู้ความจริง
เราเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครรักเราหรอก" เธอพยายามเปิดเพลงดังๆ เล่นเกม ดูคลิปตลก แต่เสียง
เหล่านั้น ก็ยังดังก้องอยู่ในหัว แม้ตอนนอน ก็ยังต้องเปิดคลิปวิดีโอ ทิ้งไว้ เพราะความเงียบทำ
ให้เธอ ได้ยินเสียงความคิดที่คอยกัดกินหัวใจ "ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?" แมวสีรุ้งปรากฏตัว
ข้างเตียง "หนูอยู่กับความเงียบไม่ได้" เมษาตอบเสียงสั่น "มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
คอยบอกว่าหนูแย่แค่ไหน..."
...
กลางวันก็ไม่ดีขึ้น เมื่อต้องอยู่กับเพื่อนๆ เมษาแทบฟัง ที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง
สมองของเธอวุ่นวายกับการนึก ว่าเมื่อวานโกหกอะไรใครไว้บ้าง
วันนี้ต้องพูดอะไร ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องการบ้าน หัวใจเธอจะเต้นแรง เหงื่อซึม
กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผย แต่เธอก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะต้องการให้คนอื่นชื่นชม
ต้องการได้ยินว่า เธอเก่ง เธอดี แม้จะรู้ว่าคำชมเหล่านั้น เกิดจากภาพลวงตาที่เธอสร้างขึ้น
แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกมีค่า
...
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น
เมื่อครูถามถึงการบ้านที่หายไป เมษายืนอยู่หน้าห้อง สมองกำลังจะสร้างคำโกหกอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นภาพเซลล์ในร่างกายอกำลังจะตายไปอีกกลุ่ม เธอตัดสินใจพูดความจริง
"หนูขอโทษค่ะ ที่จริง หนูยังไม่ได้ทำการบ้าน และที่ผ่านมา หนูโกหกครูมาตลอด"
แทนที่จะโดนลงโทษอย่างที่คิด ครูกลับยิ้มและชมเธอที่กล้าพูดความจริง
"ครูรู้มาตลอดว่าหนูโกหก แต่ครูรอให้หนูพร้อมที่จะยอมรับ เพราะนั่นคือก้าวแรก
ของการเปลี่ยนแปลง" เมษาตัดสินใจ สารภาพความจริงกับทุกคน แม้บางคนจะผิดหวัง
แต่ทุกคนให้อภัยและชื่นชม ความกล้าหาญของเธอ เธอเห็นรอยร้าวในหัวใจ
ค่อยๆ สมานตัว เซลล์ในร่างกายแข็งแรงขึ้น และเงาดำที่เคยกลืนกินตัวตนของเธอ
ก็จางหายไป "เห็นไหม" แมวสีรุ้งปรากฏตัว "ความเจ็บปวดจากการพูดความจริงนั้น
เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ความทุกข์ทรมานจากการโกหก จะกัดกินเธอไปทีละน้อย
จนไม่เหลือตัวตน" อ"แล้วพรวิเศษของฉันล่ะ?" เมษาถาม
"เธอยังต้องการมันอีกหรือ?" แมวยิ้ม "ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นคนพูดความจริงแล้ว"
...
"เธอรู้ไหม" แมวสีรุ้งกล่าวในคืนสุดท้าย"คำชมที่ได้จากความจริงแม้จะเล็กน้อย แต่มีค่า
มากกว่าคำชมมากมายที่ได้จากการหลอกลวง เพราะมันทำให้เราภูมิใจในตัวเอง
ได้อย่างแท้จริง" เมษาพบว่าแมวพูดถูก เมื่อเธอเลิกโกหก เธอไม่ต้องคอยระแวงหรือกังวล
จิตใจโปร่งเบา เธอฟังคนอื่นพูดได้อย่างตั้งใจ เข้าใจและรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจากคน
รอบข้าง ความเงียบกลายเป็นเพื่อนที่แสนสงบ และที่สำคัญที่สุด - เธอรักและภูมิใจในตัวเองได้
โดยไม่ต้องพึ่งพาคำชมจากใคร "ความจริงใจ ไม่เพียงทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
แต่มันทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองด้วยและนั่นคือรากฐานของความสุขที่แท้จริง
Cr : นิทานใจ
Cr ; Fw ĺine
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
นิทานสอนให้รักตัวเอง ให้เป็น
เมื่อรักตัวเองเป็น ก็จะไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเอง ต้องเป็นทุกข์ใจ อย่างเช่นในนิทาน
กล่าวถึงการโกหก เพื่อให้คนมารักและชื่นชมตัวเอง แต่เมื่อใดที่รักตัวเองได้
นั่นคือการได้รับพรวิเศษ อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะเราจะไม่ต้องการ...
เรียกร้องความรักจากใครโดยมีความสุขได้ด้วยตัวเอง แล้วยังแบ่งปันแก่ผู้อื่นได้ด้วย
และเราจะไม่สร้างปัญหาใดๆ เพราะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันจะนำพาความทุกข์กลับมาสู่
ตนเอง นอกจากนี้ การรักตัวเองเป็น จะนำพาให้ตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัว และเดินทาง
ไปสู่หนทางที่ดีมีอนาคตที่เป็น..ของจริง..!ไม่ใช่จากการหลอกผู้อื่น
สรุปว่า....
ถ้ายังไม่รักตัวเอง ไม่เป็น เราอาจหลงทางทำอะไรผิดๆ
การสร้างความทุกข์ให้ตัวเองในที่สุด มารักตัวเองกันค่ะ
#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
นิทาน เรื่อง พรวิเศษ
ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงชื่อ "เมษา" เธอเป็นนักเรียนเรียนดี แต่มักเลือกทางลัด
ด้วยการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น "แค่โกหกนิดหน่อย ไม่เห็นเป็นไร"
เธอมักบอกตัวเอง
...
วันหนึ่ง ขณะที่เมษากำลังโกหกครูว่า ทำการบ้านหาย ทั้งที่ความจริงยังไม่ได้ทำ
เธอได้ยินเสียงแปลกๆ "เจ๊าว..." แมวลายสีรุ้งตัวหนึ่ง นั่งมองเธออยู่ ดวงตาของมัน
เรืองแสงประหลาด "เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่โกหก มีบางอย่างในตัวเธอกำลังแตกสลาย"
แมวพูดขึ้น "ฉันจะให้พรวิเศษเธอ - ตั้งแต่นี้ เธอจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกครั้งที่โกหก"
...
เย็นนั้น เมื่อเธอโกหกแม่ว่าทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอเห็นภาพที่น่าตกใจ เซลล์เม็ดเลือดขาว
ในร่างกายกำลังอ่อนแรงลง เหมือนทหารที่หมดเรี่ยวแรง เธอเห็นสมองของตัวเอง
ทำงานหนักเกินไป มีควันลอยออกมา เหมือนเครื่องจักรที่ร้อนเกิน และที่น่ากลัวที่สุด
หัวใจของเธอมีรอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้น "นี่หรือคือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่โกหก?" เมษาถามแมว
"ใช่ และยังมีอีก" แมวตอบ "ลองสังเกตคนรอบข้างดูสิ"
...
คืนนั้น เมื่อเมษาอยู่คนเดียวในห้อง เสียงความคิดก็ดังขึ้นไม่หยุด "แย่จัง ถ้าใครรู้ความจริง
เราเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครรักเราหรอก" เธอพยายามเปิดเพลงดังๆ เล่นเกม ดูคลิปตลก แต่เสียง
เหล่านั้น ก็ยังดังก้องอยู่ในหัว แม้ตอนนอน ก็ยังต้องเปิดคลิปวิดีโอ ทิ้งไว้ เพราะความเงียบทำ
ให้เธอ ได้ยินเสียงความคิดที่คอยกัดกินหัวใจ "ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?" แมวสีรุ้งปรากฏตัว
ข้างเตียง "หนูอยู่กับความเงียบไม่ได้" เมษาตอบเสียงสั่น "มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
คอยบอกว่าหนูแย่แค่ไหน..."
...
กลางวันก็ไม่ดีขึ้น เมื่อต้องอยู่กับเพื่อนๆ เมษาแทบฟัง ที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง
สมองของเธอวุ่นวายกับการนึก ว่าเมื่อวานโกหกอะไรใครไว้บ้าง
วันนี้ต้องพูดอะไร ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องการบ้าน หัวใจเธอจะเต้นแรง เหงื่อซึม
กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผย แต่เธอก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะต้องการให้คนอื่นชื่นชม
ต้องการได้ยินว่า เธอเก่ง เธอดี แม้จะรู้ว่าคำชมเหล่านั้น เกิดจากภาพลวงตาที่เธอสร้างขึ้น
แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกมีค่า
...
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น
เมื่อครูถามถึงการบ้านที่หายไป เมษายืนอยู่หน้าห้อง สมองกำลังจะสร้างคำโกหกอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นภาพเซลล์ในร่างกายอกำลังจะตายไปอีกกลุ่ม เธอตัดสินใจพูดความจริง
"หนูขอโทษค่ะ ที่จริง หนูยังไม่ได้ทำการบ้าน และที่ผ่านมา หนูโกหกครูมาตลอด"
แทนที่จะโดนลงโทษอย่างที่คิด ครูกลับยิ้มและชมเธอที่กล้าพูดความจริง
"ครูรู้มาตลอดว่าหนูโกหก แต่ครูรอให้หนูพร้อมที่จะยอมรับ เพราะนั่นคือก้าวแรก
ของการเปลี่ยนแปลง" เมษาตัดสินใจ สารภาพความจริงกับทุกคน แม้บางคนจะผิดหวัง
แต่ทุกคนให้อภัยและชื่นชม ความกล้าหาญของเธอ เธอเห็นรอยร้าวในหัวใจ
ค่อยๆ สมานตัว เซลล์ในร่างกายแข็งแรงขึ้น และเงาดำที่เคยกลืนกินตัวตนของเธอ
ก็จางหายไป "เห็นไหม" แมวสีรุ้งปรากฏตัว "ความเจ็บปวดจากการพูดความจริงนั้น
เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ความทุกข์ทรมานจากการโกหก จะกัดกินเธอไปทีละน้อย
จนไม่เหลือตัวตน" อ"แล้วพรวิเศษของฉันล่ะ?" เมษาถาม
"เธอยังต้องการมันอีกหรือ?" แมวยิ้ม "ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นคนพูดความจริงแล้ว"
...
"เธอรู้ไหม" แมวสีรุ้งกล่าวในคืนสุดท้าย"คำชมที่ได้จากความจริงแม้จะเล็กน้อย แต่มีค่า
มากกว่าคำชมมากมายที่ได้จากการหลอกลวง เพราะมันทำให้เราภูมิใจในตัวเอง
ได้อย่างแท้จริง" เมษาพบว่าแมวพูดถูก เมื่อเธอเลิกโกหก เธอไม่ต้องคอยระแวงหรือกังวล
จิตใจโปร่งเบา เธอฟังคนอื่นพูดได้อย่างตั้งใจ เข้าใจและรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจากคน
รอบข้าง ความเงียบกลายเป็นเพื่อนที่แสนสงบ และที่สำคัญที่สุด - เธอรักและภูมิใจในตัวเองได้
โดยไม่ต้องพึ่งพาคำชมจากใคร "ความจริงใจ ไม่เพียงทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
แต่มันทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองด้วยและนั่นคือรากฐานของความสุขที่แท้จริง
Cr : นิทานใจ
Cr ; Fw ĺine
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
นิทานสอนให้รักตัวเอง ให้เป็น
เมื่อรักตัวเองเป็น ก็จะไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเอง ต้องเป็นทุกข์ใจ อย่างเช่นในนิทาน
กล่าวถึงการโกหก เพื่อให้คนมารักและชื่นชมตัวเอง แต่เมื่อใดที่รักตัวเองได้
นั่นคือการได้รับพรวิเศษ อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะเราจะไม่ต้องการ...
เรียกร้องความรักจากใครโดยมีความสุขได้ด้วยตัวเอง แล้วยังแบ่งปันแก่ผู้อื่นได้ด้วย
และเราจะไม่สร้างปัญหาใดๆ เพราะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันจะนำพาความทุกข์กลับมาสู่
ตนเอง นอกจากนี้ การรักตัวเองเป็น จะนำพาให้ตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัว และเดินทาง
ไปสู่หนทางที่ดีมีอนาคตที่เป็น..ของจริง..!ไม่ใช่จากการหลอกผู้อื่น
สรุปว่า....
ถ้ายังไม่รักตัวเอง ไม่เป็น เราอาจหลงทางทำอะไรผิดๆ
การสร้างความทุกข์ให้ตัวเองในที่สุด มารักตัวเองกันค่ะ
#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
( 4 )
หญิงล้างถ้วยชามผู้หนึ่ง แปรเปลี่ยนวิถีชีวิต ของท่านประธานกรรมการหลายร้อยล้าน
ป้าซี..เป็นคุณป้าอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่ง หลังค่อมนิดหน่อย มีความสูงเพียง140 กว่าเซ็น
ไม่รู้จัก หนังสือสักตัว ทำได้แต่งานที่ใช้แรงงาน อย่างเช่นล้างถ้วยชาม
ป้าซี..เคยรับจ้างล้างถ้วยชาม ให้กับหลายภัตตาคาร ทว่า ไม่เคยเลยที่จะได้รับเงินค่าจ้าง
เต็มจำนวน พวกหัวหน้ามักจะมองดูว่า กลั่นแกล้งเธอได้ง่าย จึงมักจะตะคอกใส่เธอ
อีกทั้ง..หาเหตุผลต่างๆนานา หักเงินค่าแรงของเธอ ที่จริงแล้ว ต้องจ่าย200 กลับโยน
ให้เธอ 100 จากนั้น ก็ขับไสไล่ส่งเธอ ผู้หญิงที่น่าเวทนาคนนี้..ภายในหัวใจเจ็บปวด
รวดร้าวยิ่ง กลับ รู้สึกว่า ตนเองเป็นคนจน ชีวิตราคาถูก ไม่เคยเลยที่จะโต้เถียงตอบกลับ
ได้แต่ยอมรับ อย่างเงียบๆ เหมือนดั่งเป็นใบ้
วันนี้..ป้าซีได้สมัครเข้าทำงานที่ภัตตาคารแห่งใหม่ เธอทำเหมือนดั่งที่เคยทำมา เขย่ง
ปลายเท้า ด้วยความยากลำบาก ล้างจานชามอยู่ในห้องครัว ม่านประตูถูกแหวกออกกะทันหัน..
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง..แต่งตัวด้วยขุดสูทเดินเข้ามา ข้างกายยังห้อมล้อมด้วยระดับหัวหน้า
พนักงาน ตามติดเข้ามาหลายคน..
" ท่านประธานฯ นี่คือห้องครัว " ท่านประธาน..ป้าซีตื่นตกใจ เธอคิดขึ้นมาได้กะทันหัน ก่อนหน้า
พวกที่ดุด่าเธอโดยไร้สาเหตุ พวกที่หักค่าจ้างเธอโดยไร้เหตุผล คล้ายดั่งทุกคนก็เรียกเขาว่า
" ท่านประธานฯ " " สวัสดี..ทุกคน ผมคือจ้ายเซื่นอี้ " ชายวัยกลางคนทักทายทุกคน ที่อยู่ใน
ห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ป้าซี ลุกลี้ลุกลน ซุกซ่อนสองมือที่เปียกปอนไว้ภายใต้ผ้ากันเปื้อน
หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเงยหน้า ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ ได้รับความสนใจจากท่านประธานฯ
" เธอทำงานที่หวังพิ่ง นานเท่าไหร่แล้ว "
" ฉัน....ฉัน...."
" ไม่เป็นไร ค่อยๆพูด.."
ป้าซีรู้สึกว่า " ท่านประธานฯ " ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คล้ายดั่งไม่เหมือนท่านประ-ธานฯ ทั่วๆไป
ที่เคยพบเจอ ท่านนี้ใส่ใจเธอเป็นพิเศษ เธอจึงเล่าสิ่งที่เธอเคยประสบพบเจอด้วยความหวาดหวั่น
ที่แท้..ป้าซีทำงานวันละสี่ชั่วโมง ค่าแรงรายวันสี่ร้อยเหรียญ(ไต้หวัน) เดือนหนึ่งเธอจึงได้ประมาณ
หมื่นเหรียญ ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวทั้งครอบครัว เพื่อเสริมรายได้ไว้ใช้จ่ายในครอบครัว
หลังเลิกงาน สี่ทุ่ม ยามที่ทุกคนล้วนดีใจได้กลับบ้าน ป้าซีกลับยังต้องแบกกระสอบผ้าใบใหญ่
ที่สามารถจุคนได้ทั้งคน เก็บขวดเปล่าเพื่อขายให้ได้เงินมา การดิ้นรนในวิถีของชีวิต ก่อนหน้านี้
ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนเคยถามถึง มีแต่คิดจะเอารัดเอาเปรียบเธอ หักเงินของเธอที่ได้มาด้วย
ความเหนื่อยยาก ตั้ง-แต่เข้ามาทำงานในหวังพิ่ง ป้าซีจึงเป็นครั้งแรก ที่ได้รับเงินค่าแรงที่ตนเอง
สมควรจะได้ ฟังเรื่องราวชีวิตที่ขมขื่น ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจ้ายเซิ่นอี้
ทั้งเห็นใจและเสียใจ ตัดสินใจควักเงินตนเองเดือนละ5000เหรียญโอนเข้าบัญชีธนาคารของป้าซี
เข้าใจถึงความเป็นคนตัวเตี้ยของเธอ กำชับเป็นพิเศษ ให้ผู้จัดการสั่งซื้อเก้าอี้เล็กไว้ในห้องครัว
เพื่อให้เธอสะดวกในการล้างถ้วยชาม
" ขอบคุณ..ขอบคุณ..ชั่วชีวิตของของฉัน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าคล้าย "คน"คนหนึ่ง " ป้าซีพูดด้วย
อาการสะอึกสะอื้นกับ " ท่านประธานฯ ที่ไม่เหมือนกับท่านประธานฯทั่วๆไป "ขอบคุณ ขอบคุณ..."
เงินห้าพันเหรียญ..จึงได้โอนเข้าบัญชีของเธอทุกเดือน...หลายเดือน ทว่าจากนั้นไม่ได้ข่าวคราวของ
ป้าซีอีกเลย จ้ายเซิ่นอี้..ทนไม่ไหว จึงได้สอบถามพนักงานภายในภัตตาคาร
" เธอเสียชีวิตแล้ว จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ " พนักงานบอกกับจ้ายเซิ่นอี้ หลังจากที่เขาและเธอ
ทั้งสองได้พูดคุยกันในคืนหนึ่ง เมื่อหลายเดือนก่อน
ป้าซี..เพื่อต้องการเก็บขวดเปล่าบนทางด่วน ถูกรถบรรทุกชนจนเสียชีวิต ข่าวอุบัติเหตุ " บึ้ม "
ได้ระเบิดในหัวของจ้ายเซิ่นอี้ เขามองดูชุดสูทราคาหมื่นกว่าเหรียญ จมปลักกับความรู้สึกผิด
และบาปของตนเองอย่างลึกซึ้ง
ภาพเหตุการณ์หนึ่งในอดีต วนเวียนอยู่ในใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คืนนั้น หลังเลิกงาน เขากับป้าซี
เดินออกจากร้านพร้อมกัน จ้ายเซิ่นอี้..เถ้าแก่ใหญ่ผู้หนึ่งที่มีกำไรต่อปีหลายล้าน สวมชุดสูทที่งามสง่า
ยืนอยู่ริมถนนรอโชเฟอร์ขับรถ เบนซ์มารับ...
ป้าซี...ผู้ที่เสื้อผ้า เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน น้ำสกปรกจากการล้างถ้วยชามเริ่มโค้งงอเอวด้วย
ความยากลำบาก เก็บกระป๋องและขวดพลาสติก จากถัง-ขยะ..
ผมมักจะพูดว่า.." พวกเราเหมือนดั่งคนในครอบครัวเดียวกัน " หากใส่ใจพนักงานเหมือนดั่งคนใน
ครอบครัวจริงๆ เพราะเหตุใด เธอหลังเลิกงานแล้ว ยังต้องไปเก็บของเก่าขาย จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้
หากเถ้าแก่..พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พนักงานจะมองเราเป็นคนอย่างไร?
ยามนั้น..จ้ายเซิ่นอี้ ธุรกิจการงาน เพิ่งจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย กำลังเพลิดเพลินกับชีวิต
" ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ " ไปไหนมาไหนด้วยรถเบนซ์ ค่าบำรุงรักษา อีกทั้งจ้างพนักงาน
ขับรถ ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำเดือนละแสนห้าหมื่นเหรียญ
งานอดิเรก..คือ เข้าร่วมงานทางสังคม เขาสมัครเข้าร่วมกลุ่มสมาคมทั้งสิ้นสี่แห่ง จ่ายค่าสมาชิก
แต่ละสมาคมปีละสองแสนอีกทั้งยังต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าหนึ่งล้าน เป็นค่าใช้จ่ายของสมาคม
ที่เพื่อการบริจาค ทุกวัน เป๋าฮื้อ..หูฉลาม ไวน์แดงไม่เคยขาด ของกินของใช้..ล้วนต้องปราณีต
บุคคลิกภาพย่อมประมาทไม่ได้ เขาสวมใส่ชุดสูท ที่สั่งตัดเป็นพิเศษ ชุดละสามหมื่นกว่าเหรียญ
เข้าคู่กับเสื้อเชิ๊ตตัวละเจ็ดพันกว่าเหรียญ ทำผมเสริมหล่อ..ครั้งละสี่พันเหรียญ อีกทั้งแทบจะเหมือน
กับประธานาธิบดีมีครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ต่อฤดูกาลช็อบปิ้งสองครั้ง ราคา75,000เหรียญ
จ่ายเป็นค่าปรึกษา
หลังจากป้าซีเสียชีวิตแล้ว จ้ายเซิ่นอี้ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาทำการเลิกจ้างคนขับรถ และ
ครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ขายรถเบนซ์ไปเปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อเชิ๊ต สามตัวหนึ่งพันเหรียญ
ผูกเน็คไทหนึ่งพันเหรียญสี่เส้น เพื่อบรรลุแผนการณ์เพื่อสุขภาพ ด้วยการเดินวันละหมื่นก้าว หลายปี
มานี้จ้านเซิ่นอี้ไม่ว่าออกงานอะไร ล้วนสวมใส่เสื้อยืดคอโปโล กางเกงสบายๆสีดำรองเท้าผ้าใบสีดำ
กับกระเป๋าสะพายหลังที่หนักอึ้ง แต่งตัวด้วยชุดคล้ายดั่ง พร้อมที่จะไปออกกำลังกาย ชุดเหล่านี้
ราคารวมกันไม่ถึงห้าพันเหรียญ ท่ามกลางในหมู่ผู้คน ที่ล้วนสวมใส่สูทสั่งตัดพิเศษ แสดงถึงความ
ขัดนัยตาผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
แรกเริ่ม..จ้ายเซิ่นอี้ก็ไม่สามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่กระทำอยู่ ยามที่ประชุมร่วมกับเถ้าแก่ใหญ่
คนอื่นๆ ต้องรอให้ผู้อื่นลุกจากไปก่อน ตนเองค่อยค่อยแอบๆไปโบกรถรับจ้าง
แต่..ธุรกิจค่อยๆเจริญเติบโต จนเข้ารูปเข้ารอย เป้าหมายของชีวิตโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มมั่นใจ
ยิ่งขึ้นว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารถหรู ของแบรนด์เนม นอกกาย เพื่ออวดอ้างฐานะของตนเอง
มีครั้งหนึ่ง..เขากับเถ้าแก่ใหญ่กลุ่มใหญ่ ไปประชุมในสถานที่ของทางราช-การ หลังเลิกการประชุม
ออกจากตึกใหญ่ ปากประตูจอดเรียงรายด้วยรถหรูมากมาย เถ้าแก่ใหญ่..ท่านหนึ่ง ถามเขาเป็นพิธีว่า
" ท่านประธานจ้าย รถของคุณ คือคันไหน ?"
" คันที่เป็นสีเหลืองไง "จ้ายเซิ่นอี้ยิ้มๆ แล้วมุดเข้าไปในรถรับจ้างคันหนึ่ง ที่จอดเรียงรายไว้หลายคัน
* นี่คือ..ความเรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจและ ความเป็นอิสระของจ้ายเซิ่นอี้ *
ที่มา :Niwat Rungvicha
หญิงล้างถ้วยชามผู้หนึ่ง แปรเปลี่ยนวิถีชีวิต ของท่านประธานกรรมการหลายร้อยล้าน
ป้าซี..เป็นคุณป้าอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่ง หลังค่อมนิดหน่อย มีความสูงเพียง140 กว่าเซ็น
ไม่รู้จัก หนังสือสักตัว ทำได้แต่งานที่ใช้แรงงาน อย่างเช่นล้างถ้วยชาม
ป้าซี..เคยรับจ้างล้างถ้วยชาม ให้กับหลายภัตตาคาร ทว่า ไม่เคยเลยที่จะได้รับเงินค่าจ้าง
เต็มจำนวน พวกหัวหน้ามักจะมองดูว่า กลั่นแกล้งเธอได้ง่าย จึงมักจะตะคอกใส่เธอ
อีกทั้ง..หาเหตุผลต่างๆนานา หักเงินค่าแรงของเธอ ที่จริงแล้ว ต้องจ่าย200 กลับโยน
ให้เธอ 100 จากนั้น ก็ขับไสไล่ส่งเธอ ผู้หญิงที่น่าเวทนาคนนี้..ภายในหัวใจเจ็บปวด
รวดร้าวยิ่ง กลับ รู้สึกว่า ตนเองเป็นคนจน ชีวิตราคาถูก ไม่เคยเลยที่จะโต้เถียงตอบกลับ
ได้แต่ยอมรับ อย่างเงียบๆ เหมือนดั่งเป็นใบ้
วันนี้..ป้าซีได้สมัครเข้าทำงานที่ภัตตาคารแห่งใหม่ เธอทำเหมือนดั่งที่เคยทำมา เขย่ง
ปลายเท้า ด้วยความยากลำบาก ล้างจานชามอยู่ในห้องครัว ม่านประตูถูกแหวกออกกะทันหัน..
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง..แต่งตัวด้วยขุดสูทเดินเข้ามา ข้างกายยังห้อมล้อมด้วยระดับหัวหน้า
พนักงาน ตามติดเข้ามาหลายคน..
" ท่านประธานฯ นี่คือห้องครัว " ท่านประธาน..ป้าซีตื่นตกใจ เธอคิดขึ้นมาได้กะทันหัน ก่อนหน้า
พวกที่ดุด่าเธอโดยไร้สาเหตุ พวกที่หักค่าจ้างเธอโดยไร้เหตุผล คล้ายดั่งทุกคนก็เรียกเขาว่า
" ท่านประธานฯ " " สวัสดี..ทุกคน ผมคือจ้ายเซื่นอี้ " ชายวัยกลางคนทักทายทุกคน ที่อยู่ใน
ห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ป้าซี ลุกลี้ลุกลน ซุกซ่อนสองมือที่เปียกปอนไว้ภายใต้ผ้ากันเปื้อน
หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเงยหน้า ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ ได้รับความสนใจจากท่านประธานฯ
" เธอทำงานที่หวังพิ่ง นานเท่าไหร่แล้ว "
" ฉัน....ฉัน...."
" ไม่เป็นไร ค่อยๆพูด.."
ป้าซีรู้สึกว่า " ท่านประธานฯ " ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คล้ายดั่งไม่เหมือนท่านประ-ธานฯ ทั่วๆไป
ที่เคยพบเจอ ท่านนี้ใส่ใจเธอเป็นพิเศษ เธอจึงเล่าสิ่งที่เธอเคยประสบพบเจอด้วยความหวาดหวั่น
ที่แท้..ป้าซีทำงานวันละสี่ชั่วโมง ค่าแรงรายวันสี่ร้อยเหรียญ(ไต้หวัน) เดือนหนึ่งเธอจึงได้ประมาณ
หมื่นเหรียญ ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวทั้งครอบครัว เพื่อเสริมรายได้ไว้ใช้จ่ายในครอบครัว
หลังเลิกงาน สี่ทุ่ม ยามที่ทุกคนล้วนดีใจได้กลับบ้าน ป้าซีกลับยังต้องแบกกระสอบผ้าใบใหญ่
ที่สามารถจุคนได้ทั้งคน เก็บขวดเปล่าเพื่อขายให้ได้เงินมา การดิ้นรนในวิถีของชีวิต ก่อนหน้านี้
ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนเคยถามถึง มีแต่คิดจะเอารัดเอาเปรียบเธอ หักเงินของเธอที่ได้มาด้วย
ความเหนื่อยยาก ตั้ง-แต่เข้ามาทำงานในหวังพิ่ง ป้าซีจึงเป็นครั้งแรก ที่ได้รับเงินค่าแรงที่ตนเอง
สมควรจะได้ ฟังเรื่องราวชีวิตที่ขมขื่น ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจ้ายเซิ่นอี้
ทั้งเห็นใจและเสียใจ ตัดสินใจควักเงินตนเองเดือนละ5000เหรียญโอนเข้าบัญชีธนาคารของป้าซี
เข้าใจถึงความเป็นคนตัวเตี้ยของเธอ กำชับเป็นพิเศษ ให้ผู้จัดการสั่งซื้อเก้าอี้เล็กไว้ในห้องครัว
เพื่อให้เธอสะดวกในการล้างถ้วยชาม
" ขอบคุณ..ขอบคุณ..ชั่วชีวิตของของฉัน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าคล้าย "คน"คนหนึ่ง " ป้าซีพูดด้วย
อาการสะอึกสะอื้นกับ " ท่านประธานฯ ที่ไม่เหมือนกับท่านประธานฯทั่วๆไป "ขอบคุณ ขอบคุณ..."
เงินห้าพันเหรียญ..จึงได้โอนเข้าบัญชีของเธอทุกเดือน...หลายเดือน ทว่าจากนั้นไม่ได้ข่าวคราวของ
ป้าซีอีกเลย จ้ายเซิ่นอี้..ทนไม่ไหว จึงได้สอบถามพนักงานภายในภัตตาคาร
" เธอเสียชีวิตแล้ว จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ " พนักงานบอกกับจ้ายเซิ่นอี้ หลังจากที่เขาและเธอ
ทั้งสองได้พูดคุยกันในคืนหนึ่ง เมื่อหลายเดือนก่อน
ป้าซี..เพื่อต้องการเก็บขวดเปล่าบนทางด่วน ถูกรถบรรทุกชนจนเสียชีวิต ข่าวอุบัติเหตุ " บึ้ม "
ได้ระเบิดในหัวของจ้ายเซิ่นอี้ เขามองดูชุดสูทราคาหมื่นกว่าเหรียญ จมปลักกับความรู้สึกผิด
และบาปของตนเองอย่างลึกซึ้ง
ภาพเหตุการณ์หนึ่งในอดีต วนเวียนอยู่ในใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คืนนั้น หลังเลิกงาน เขากับป้าซี
เดินออกจากร้านพร้อมกัน จ้ายเซิ่นอี้..เถ้าแก่ใหญ่ผู้หนึ่งที่มีกำไรต่อปีหลายล้าน สวมชุดสูทที่งามสง่า
ยืนอยู่ริมถนนรอโชเฟอร์ขับรถ เบนซ์มารับ...
ป้าซี...ผู้ที่เสื้อผ้า เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน น้ำสกปรกจากการล้างถ้วยชามเริ่มโค้งงอเอวด้วย
ความยากลำบาก เก็บกระป๋องและขวดพลาสติก จากถัง-ขยะ..
ผมมักจะพูดว่า.." พวกเราเหมือนดั่งคนในครอบครัวเดียวกัน " หากใส่ใจพนักงานเหมือนดั่งคนใน
ครอบครัวจริงๆ เพราะเหตุใด เธอหลังเลิกงานแล้ว ยังต้องไปเก็บของเก่าขาย จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้
หากเถ้าแก่..พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พนักงานจะมองเราเป็นคนอย่างไร?
ยามนั้น..จ้ายเซิ่นอี้ ธุรกิจการงาน เพิ่งจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย กำลังเพลิดเพลินกับชีวิต
" ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ " ไปไหนมาไหนด้วยรถเบนซ์ ค่าบำรุงรักษา อีกทั้งจ้างพนักงาน
ขับรถ ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำเดือนละแสนห้าหมื่นเหรียญ
งานอดิเรก..คือ เข้าร่วมงานทางสังคม เขาสมัครเข้าร่วมกลุ่มสมาคมทั้งสิ้นสี่แห่ง จ่ายค่าสมาชิก
แต่ละสมาคมปีละสองแสนอีกทั้งยังต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าหนึ่งล้าน เป็นค่าใช้จ่ายของสมาคม
ที่เพื่อการบริจาค ทุกวัน เป๋าฮื้อ..หูฉลาม ไวน์แดงไม่เคยขาด ของกินของใช้..ล้วนต้องปราณีต
บุคคลิกภาพย่อมประมาทไม่ได้ เขาสวมใส่ชุดสูท ที่สั่งตัดเป็นพิเศษ ชุดละสามหมื่นกว่าเหรียญ
เข้าคู่กับเสื้อเชิ๊ตตัวละเจ็ดพันกว่าเหรียญ ทำผมเสริมหล่อ..ครั้งละสี่พันเหรียญ อีกทั้งแทบจะเหมือน
กับประธานาธิบดีมีครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ต่อฤดูกาลช็อบปิ้งสองครั้ง ราคา75,000เหรียญ
จ่ายเป็นค่าปรึกษา
หลังจากป้าซีเสียชีวิตแล้ว จ้ายเซิ่นอี้ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาทำการเลิกจ้างคนขับรถ และ
ครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ขายรถเบนซ์ไปเปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อเชิ๊ต สามตัวหนึ่งพันเหรียญ
ผูกเน็คไทหนึ่งพันเหรียญสี่เส้น เพื่อบรรลุแผนการณ์เพื่อสุขภาพ ด้วยการเดินวันละหมื่นก้าว หลายปี
มานี้จ้านเซิ่นอี้ไม่ว่าออกงานอะไร ล้วนสวมใส่เสื้อยืดคอโปโล กางเกงสบายๆสีดำรองเท้าผ้าใบสีดำ
กับกระเป๋าสะพายหลังที่หนักอึ้ง แต่งตัวด้วยชุดคล้ายดั่ง พร้อมที่จะไปออกกำลังกาย ชุดเหล่านี้
ราคารวมกันไม่ถึงห้าพันเหรียญ ท่ามกลางในหมู่ผู้คน ที่ล้วนสวมใส่สูทสั่งตัดพิเศษ แสดงถึงความ
ขัดนัยตาผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
แรกเริ่ม..จ้ายเซิ่นอี้ก็ไม่สามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่กระทำอยู่ ยามที่ประชุมร่วมกับเถ้าแก่ใหญ่
คนอื่นๆ ต้องรอให้ผู้อื่นลุกจากไปก่อน ตนเองค่อยค่อยแอบๆไปโบกรถรับจ้าง
แต่..ธุรกิจค่อยๆเจริญเติบโต จนเข้ารูปเข้ารอย เป้าหมายของชีวิตโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มมั่นใจ
ยิ่งขึ้นว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารถหรู ของแบรนด์เนม นอกกาย เพื่ออวดอ้างฐานะของตนเอง
มีครั้งหนึ่ง..เขากับเถ้าแก่ใหญ่กลุ่มใหญ่ ไปประชุมในสถานที่ของทางราช-การ หลังเลิกการประชุม
ออกจากตึกใหญ่ ปากประตูจอดเรียงรายด้วยรถหรูมากมาย เถ้าแก่ใหญ่..ท่านหนึ่ง ถามเขาเป็นพิธีว่า
" ท่านประธานจ้าย รถของคุณ คือคันไหน ?"
" คันที่เป็นสีเหลืองไง "จ้ายเซิ่นอี้ยิ้มๆ แล้วมุดเข้าไปในรถรับจ้างคันหนึ่ง ที่จอดเรียงรายไว้หลายคัน
* นี่คือ..ความเรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจและ ความเป็นอิสระของจ้ายเซิ่นอี้ *
ที่มา :Niwat Rungvicha
( 5 )
เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
เรื่องราวต่อไปนี้ดูเหมือนจะเป็นนิยายเชยๆ แต่อยากเชิญชวนอ่านให้จบ มันคือศาสตร์
และศิลป์แบบง่ายๆที่มักถูกมองข้าม
***************
พรุ่งนี้เขาจะไปร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าสมัยเรียนประถมด้วยกัน ก็เลยซื้อกางเกงขายาวตัวใหม่
จากแผงริมฟุตบาท พอกลับถึงบ้านลองใส่ดู ปรากฏว่าขากางเกงยาวไปร่วม 10 ซม.
จึงไปขอร้องให้แม่ช่วยแก้ขากางเกงให้สั้นหน่อย แต่แม่บอกเขาว่า
"วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย อยากพักผ่อนเช้าหน่อย ไว้วันหลังค่อยแก้ให้นะ"
เขาไปขอร้องภรรยา แต่ภรรยาก็บอกเขาว่า
"วันนี้งานบ้านล้นมือจริงๆ คงไม่มีเวลาแก้ให้หรอก"
ในที่สุดก็ต้องไปไหว้วานลูกสาว แต่ลูกสาวก็จำต้องปฏิเสธเช่นกัน
"เดี๋ยวหนูกำลังจะออกไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนชาย กลับถึงบ้านคงดึกมาก
ต้องขอโทษพ่อด้วย คงแก้ให้ไม่ไหวค่ะ"
เขานั่งคิดๆดู ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็ใส่มันไปแบบนี้เลย อย่างมากก็พับขากางเกงให้มัน
สั้นหน่อยก็พอ คืนนั้น แม่ไม่ค่อยสบายใจ คิดทบทวนอยู่ในใจว่า
"ปกติลูกก็เป็นคนกตัญญูมากๆ ขอร้องให้ลูกทำอะไรก็ไม่เคยปฏิเสธ"
เลยตัดสินใจลุกจากเตียง หยิบกางเกงลูกมาแก้ให้สั้นไป 10 ซม. ตามที่ขอร้อง
ตอนดึกหน่อย พอภรรยาเสร็จงานบ้าน คิดถึงเรื่องที่สามีไหว้วานไว้
"ปกติสามีก็เป็นคนแสนขยัน ช่วยเหลือทุกๆเรื่อง แต่เพราะเขาไม่มีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย
จึงต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เรื่องแค่นี้จะปฏิเสธเขาได้ไง"
เลยรีบไปหยิบเอากางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.
ตอนดึกสงัด เมื่อลูกสาวกลับถึงบ้าน คิดในใจว่า
"พ่อไม่ได้ห้ามปรามไม่ให้เราไปงานปาร์ตี้ ปกติก็เป็นพ่อที่แสนดี แล้วจะไม่ยอมทำ
ให้เลยเหรอ" ว่าแล้วก็ไปหยิบกางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.
วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงทั้งสามคนก็ทยอยบอกเรื่องแก้ขากางเกงให้เขาทราบ พอเขาไปหยิบเอากางเกง
มาใส่ ปรากฏว่าขากางเกงลอยสูงอยู่บริเวณหน้าแข้ง จะไปหากางเกงขายาวตัวอื่นๆที่พอใส่ได้
ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเพิ่งถูกโยนเข้าเครื่องซักผ้าไปทั้งหมด
ปฏิกิริยาจากเขาก็คือ.......หัวเราะชอบใจ พร้อมบอกทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกว่า
"ผมจะใส่กางเกงตัวนี้ไปงานชุมนุมศิษย์เก่าวันนี้ แล้วถ้าใครถามผมว่าทำไมขากางเกงจึงสั้นเต่อ
ได้ขนาดนี้ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆฟัง”
ในงานเลี้ยง เพื่อนๆทุกคนแซวเขาว่า นุ่งกางเกงขาเต่อ ช่างเข้ายุคเข้าสมัยแบบเดียวกับที่วัยรุ่น
กำลังนิยมเปี๊ยบ เขาได้แต่ยิ้ม แต่พอโดนแซวหนักๆเข้า สุดท้ายเขาก็ต้องลุกขึ้นเล่าเรื่องราวที่มา
ที่ไปของกางเกงขาเต่อตัวนี้ให้ทุกคนฟัง แล้วเขาสรุปตอนท้ายไว้ว่า
“สมาชิกในครอบครัวผม ไม่ว่าจะเป็นผม แม่ ภรรยา หรือลูก ล้วนอยู่กันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน
ห่วงใยถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน มีอะไรผิดพลาดก็พยายามแก้ไขไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน
มีความรักที่คอยเติมเต็มกันตลอดเวลา อยู่กันอย่างมีความสุขที่เรียบง่ายในแบบฉบับของ
ครอบครัวของพวกเราทุกคน ผมสบายใจและภูมิใจครับ”
ปรากฏว่า เพื่อนๆทุกคนต่างปรบมือชื่นชมถึงศิลปการอยู่กันอย่างมีความสุขของชีวิต
ครอบครัวของเขา เขากลับออกจากงานเลี้ยงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก
เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในงานเลี้ยงให้ทุกคนที่บ้านฟังอีกครั้ง ทุกคนที่บ้านล้วนโล่งอก
และดีใจกับเหตุการณ์ที่จบได้อย่างน่าประทับใจ
****************
หากคุณเป็นเจ้าของกางเกงในเรื่องนี้ คุณจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
"หัวเราะชอบใจ" หรือ "อารมณ์เสียเป็นฟืนเป็นไฟ"
คนส่วนใหญ่ เวลาเจอเหตุการณ์แย่ๆ อาจจะมากบ้างหรือน้อยบ้าง ถ้าอยู่กับคนอื่น มักจะ
แสดงออกถึงความใจกว้าง ใจเย็น ให้อภัยกันแบบง่ายดาย แต่พอเกิดกับคนใกล้ตัวหรือคน
ในบ้าน ก็มักหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์เสีย หรือผรุสวาทด้วยถ้อยคำที่ไม่ยอมถนอมน้ำใจกันเลย
ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมากับคนใกล้ตัว ลองนิ่งสักครู่ ปรับสภาพจิตใจให้เย็นลง ให้รู้จักอดทน
ให้อภัย หรือแสดงออกด้วยอารมณ์ขันให้พวกเขา อย่าเอาแต่อารมณ์เสีย เพราะถ้าคุณทุกข์
ไม่ใช่คุณทุกข์คนเดียว แต่คนรอบข้างก็พลอยทุกข์ไปด้วย สู้ยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตอยู่กับ
ความสุขสันต์ไม่ดีกว่าเหรอ
เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
ปล. ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบ !!! ส่วนตัวผมอ่านแล้วชอบมาก เลยขออนุญาตนำมาแชร์ต่อ
ยกเครดิตให้กับเจ้าของเรื่องด้วยครับ !!!
เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
เรื่องราวต่อไปนี้ดูเหมือนจะเป็นนิยายเชยๆ แต่อยากเชิญชวนอ่านให้จบ มันคือศาสตร์
และศิลป์แบบง่ายๆที่มักถูกมองข้าม
***************
พรุ่งนี้เขาจะไปร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าสมัยเรียนประถมด้วยกัน ก็เลยซื้อกางเกงขายาวตัวใหม่
จากแผงริมฟุตบาท พอกลับถึงบ้านลองใส่ดู ปรากฏว่าขากางเกงยาวไปร่วม 10 ซม.
จึงไปขอร้องให้แม่ช่วยแก้ขากางเกงให้สั้นหน่อย แต่แม่บอกเขาว่า
"วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย อยากพักผ่อนเช้าหน่อย ไว้วันหลังค่อยแก้ให้นะ"
เขาไปขอร้องภรรยา แต่ภรรยาก็บอกเขาว่า
"วันนี้งานบ้านล้นมือจริงๆ คงไม่มีเวลาแก้ให้หรอก"
ในที่สุดก็ต้องไปไหว้วานลูกสาว แต่ลูกสาวก็จำต้องปฏิเสธเช่นกัน
"เดี๋ยวหนูกำลังจะออกไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนชาย กลับถึงบ้านคงดึกมาก
ต้องขอโทษพ่อด้วย คงแก้ให้ไม่ไหวค่ะ"
เขานั่งคิดๆดู ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็ใส่มันไปแบบนี้เลย อย่างมากก็พับขากางเกงให้มัน
สั้นหน่อยก็พอ คืนนั้น แม่ไม่ค่อยสบายใจ คิดทบทวนอยู่ในใจว่า
"ปกติลูกก็เป็นคนกตัญญูมากๆ ขอร้องให้ลูกทำอะไรก็ไม่เคยปฏิเสธ"
เลยตัดสินใจลุกจากเตียง หยิบกางเกงลูกมาแก้ให้สั้นไป 10 ซม. ตามที่ขอร้อง
ตอนดึกหน่อย พอภรรยาเสร็จงานบ้าน คิดถึงเรื่องที่สามีไหว้วานไว้
"ปกติสามีก็เป็นคนแสนขยัน ช่วยเหลือทุกๆเรื่อง แต่เพราะเขาไม่มีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย
จึงต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เรื่องแค่นี้จะปฏิเสธเขาได้ไง"
เลยรีบไปหยิบเอากางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.
ตอนดึกสงัด เมื่อลูกสาวกลับถึงบ้าน คิดในใจว่า
"พ่อไม่ได้ห้ามปรามไม่ให้เราไปงานปาร์ตี้ ปกติก็เป็นพ่อที่แสนดี แล้วจะไม่ยอมทำ
ให้เลยเหรอ" ว่าแล้วก็ไปหยิบกางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.
วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงทั้งสามคนก็ทยอยบอกเรื่องแก้ขากางเกงให้เขาทราบ พอเขาไปหยิบเอากางเกง
มาใส่ ปรากฏว่าขากางเกงลอยสูงอยู่บริเวณหน้าแข้ง จะไปหากางเกงขายาวตัวอื่นๆที่พอใส่ได้
ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเพิ่งถูกโยนเข้าเครื่องซักผ้าไปทั้งหมด
ปฏิกิริยาจากเขาก็คือ.......หัวเราะชอบใจ พร้อมบอกทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกว่า
"ผมจะใส่กางเกงตัวนี้ไปงานชุมนุมศิษย์เก่าวันนี้ แล้วถ้าใครถามผมว่าทำไมขากางเกงจึงสั้นเต่อ
ได้ขนาดนี้ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆฟัง”
ในงานเลี้ยง เพื่อนๆทุกคนแซวเขาว่า นุ่งกางเกงขาเต่อ ช่างเข้ายุคเข้าสมัยแบบเดียวกับที่วัยรุ่น
กำลังนิยมเปี๊ยบ เขาได้แต่ยิ้ม แต่พอโดนแซวหนักๆเข้า สุดท้ายเขาก็ต้องลุกขึ้นเล่าเรื่องราวที่มา
ที่ไปของกางเกงขาเต่อตัวนี้ให้ทุกคนฟัง แล้วเขาสรุปตอนท้ายไว้ว่า
“สมาชิกในครอบครัวผม ไม่ว่าจะเป็นผม แม่ ภรรยา หรือลูก ล้วนอยู่กันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน
ห่วงใยถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน มีอะไรผิดพลาดก็พยายามแก้ไขไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน
มีความรักที่คอยเติมเต็มกันตลอดเวลา อยู่กันอย่างมีความสุขที่เรียบง่ายในแบบฉบับของ
ครอบครัวของพวกเราทุกคน ผมสบายใจและภูมิใจครับ”
ปรากฏว่า เพื่อนๆทุกคนต่างปรบมือชื่นชมถึงศิลปการอยู่กันอย่างมีความสุขของชีวิต
ครอบครัวของเขา เขากลับออกจากงานเลี้ยงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก
เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในงานเลี้ยงให้ทุกคนที่บ้านฟังอีกครั้ง ทุกคนที่บ้านล้วนโล่งอก
และดีใจกับเหตุการณ์ที่จบได้อย่างน่าประทับใจ
****************
หากคุณเป็นเจ้าของกางเกงในเรื่องนี้ คุณจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
"หัวเราะชอบใจ" หรือ "อารมณ์เสียเป็นฟืนเป็นไฟ"
คนส่วนใหญ่ เวลาเจอเหตุการณ์แย่ๆ อาจจะมากบ้างหรือน้อยบ้าง ถ้าอยู่กับคนอื่น มักจะ
แสดงออกถึงความใจกว้าง ใจเย็น ให้อภัยกันแบบง่ายดาย แต่พอเกิดกับคนใกล้ตัวหรือคน
ในบ้าน ก็มักหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์เสีย หรือผรุสวาทด้วยถ้อยคำที่ไม่ยอมถนอมน้ำใจกันเลย
ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมากับคนใกล้ตัว ลองนิ่งสักครู่ ปรับสภาพจิตใจให้เย็นลง ให้รู้จักอดทน
ให้อภัย หรือแสดงออกด้วยอารมณ์ขันให้พวกเขา อย่าเอาแต่อารมณ์เสีย เพราะถ้าคุณทุกข์
ไม่ใช่คุณทุกข์คนเดียว แต่คนรอบข้างก็พลอยทุกข์ไปด้วย สู้ยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตอยู่กับ
ความสุขสันต์ไม่ดีกว่าเหรอ
เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
ปล. ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบ !!! ส่วนตัวผมอ่านแล้วชอบมาก เลยขออนุญาตนำมาแชร์ต่อ
ยกเครดิตให้กับเจ้าของเรื่องด้วยครับ !!!
( 6 )
นิทาน เรื่อง เงาของต้นไม้สุดท้าย
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายชราเป็นช่างไม้ผู้มีชื่อเสียง |เขาสร้างโต๊ะ เก้าอี้ และบ้าน
ให้ผู้คนมานานหลายสิบปี แต่สิ่งหนึ่งที่เขารักมากที่สุด คือการปลูกต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน
วันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่าน| และถามว่า “ตาแก่ครับ ทำไมท่าน ยังปลูกต้นไม้อีกล่ะ?
ท่านก็คงไม่ได้อยู่ถึงวันที่ มันเติบโตเป็นร่มเงาหรอก” \ชายชรายิ้มและตอบว่า
“เจ้าหนู ตอนข้ายังเด็ก ข้าก็ได้นั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ ที่ไม่ได้ปลูกโดยมือตัวเอง
.แล้วเหตุใดข้าจะไม่ปลูก ให้คนรุ่นหลังล่ะ?” เด็กชายทำหน้าสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
กาลเวลาผ่านไป… ชายชรานั่งมองต้นไม้ ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันหนึ่ง เขารู้สึกอ่อนล้า
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหลับตา เขามองต้นไม้ที่สูงใหญ่ และคิดว่า “เมื่อถึงเวลา
ของข้า เงาของมันก็จะยังคงอยู่”
หลายปีต่อมา ชาวบ้านมักมานั่งใต้ต้นไม้นั้น หลายคนไม่เคยรู้ว่าใครเป็นคนปลูก
แต่พวกเขายังคงได้รับร่มเงา และผลไม้ของมัน ข้อคิดจากนิทาน:
1. ชีวิตเปรียบเสมือนต้นไม้
– เราปลูกบางสิ่ง แม้อาจไม่ได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาตัวเอง แต่สิ่งที่เราทำจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง
2. ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด
– ร่างกายอาจดับสูญ แต่สิ่งที่เราสร้างไว้ ยังคงอยู่ ในความทรงจำของผู้คน
3. จงทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
– บางสิ่งที่เราทำในวันนี้ อาจกลายเป็นร่มเงาให้คน ในวันข้างหน้า
เพราะสุดท้าย…
เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อให้บางสิ่งยังคงอยู่ แม้เมื่อเราจากไปแล้ว
Cr : Fw Line
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ที่ป้าทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คิดเช่นนี้แหละค่ะ ไม่ว่าจะเหลือเวลาในชีวิตกี่วัน ก็อยากช่วยเหลือ
คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ให้อยู่อย่างเข้าใจ คลายทุกข์ มีความสุขเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลของชีวิตมนุษย์ จะดี - จะร้าย จะสุข - จะทุกข์ จะเจริญ - จะตกต่ำ
ก็อยู่ที่การมี mindset ที่ถูกต้อง
ป้าจึงส่งมอบ "หลักคิด ที่เป็น Mindset" แบบ Growth Mindset ไว้ในเพจนี้
ทุกวันมาหลายปีแล้ว และเชื่อว่า....
แม้ตัวป้าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลักคิดที่ป้าส่งมอบไว้นี้ จะยังคงอยู่
และได้ช่วยผู้คนต่อไป
ส่วนท่านผู้อ่าน ก็สามารถส่งมอบในแบบที่เป็นตัวตนของท่านนะคะ อะไรก็ได้
แม้แต่เรื่องง่ายๆ ตรงตามนิทาน
เช่น
การปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้น ก็ยังได้ เพราะเมื่อต้นไม้เติบใหญ่ ก็จะให้ร่มเงา
ให้เป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ ให้อากาศบริสุทธิ์ แก่มนุษย์และสัตว์ หยั่งรากลึก
ยึดผืนดินไว้ให้คงอยู่ และยังช่วยดูดซึมน้ำที่มากเกินไป ในบางฤดูกาล ไม่ให้ท่วม
ซึ่งเป็นคุณแก่มนุษย์ อีกชั้นหนึ่ง เพียง 1 สิ่ง ที่เราส่งมอบกับโลกไว้ ยังให้คุณประโยชน์
มากมายถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราได้ทำหลายๆ สิ่งทิ้งไว้ จะเป็นอย่างไร
ร่วมด้วยช่วยกัน แบ่งปัน ดูแล โลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกัน
อย่างปลอดภัยดีงาม มีความสุขนะคะ
#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
นิทาน เรื่อง เงาของต้นไม้สุดท้าย
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายชราเป็นช่างไม้ผู้มีชื่อเสียง |เขาสร้างโต๊ะ เก้าอี้ และบ้าน
ให้ผู้คนมานานหลายสิบปี แต่สิ่งหนึ่งที่เขารักมากที่สุด คือการปลูกต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน
วันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่าน| และถามว่า “ตาแก่ครับ ทำไมท่าน ยังปลูกต้นไม้อีกล่ะ?
ท่านก็คงไม่ได้อยู่ถึงวันที่ มันเติบโตเป็นร่มเงาหรอก” \ชายชรายิ้มและตอบว่า
“เจ้าหนู ตอนข้ายังเด็ก ข้าก็ได้นั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ ที่ไม่ได้ปลูกโดยมือตัวเอง
.แล้วเหตุใดข้าจะไม่ปลูก ให้คนรุ่นหลังล่ะ?” เด็กชายทำหน้าสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
กาลเวลาผ่านไป… ชายชรานั่งมองต้นไม้ ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันหนึ่ง เขารู้สึกอ่อนล้า
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหลับตา เขามองต้นไม้ที่สูงใหญ่ และคิดว่า “เมื่อถึงเวลา
ของข้า เงาของมันก็จะยังคงอยู่”
หลายปีต่อมา ชาวบ้านมักมานั่งใต้ต้นไม้นั้น หลายคนไม่เคยรู้ว่าใครเป็นคนปลูก
แต่พวกเขายังคงได้รับร่มเงา และผลไม้ของมัน ข้อคิดจากนิทาน:
1. ชีวิตเปรียบเสมือนต้นไม้
– เราปลูกบางสิ่ง แม้อาจไม่ได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาตัวเอง แต่สิ่งที่เราทำจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง
2. ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด
– ร่างกายอาจดับสูญ แต่สิ่งที่เราสร้างไว้ ยังคงอยู่ ในความทรงจำของผู้คน
3. จงทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
– บางสิ่งที่เราทำในวันนี้ อาจกลายเป็นร่มเงาให้คน ในวันข้างหน้า
เพราะสุดท้าย…
เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อให้บางสิ่งยังคงอยู่ แม้เมื่อเราจากไปแล้ว
Cr : Fw Line
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ที่ป้าทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คิดเช่นนี้แหละค่ะ ไม่ว่าจะเหลือเวลาในชีวิตกี่วัน ก็อยากช่วยเหลือ
คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ให้อยู่อย่างเข้าใจ คลายทุกข์ มีความสุขเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลของชีวิตมนุษย์ จะดี - จะร้าย จะสุข - จะทุกข์ จะเจริญ - จะตกต่ำ
ก็อยู่ที่การมี mindset ที่ถูกต้อง
ป้าจึงส่งมอบ "หลักคิด ที่เป็น Mindset" แบบ Growth Mindset ไว้ในเพจนี้
ทุกวันมาหลายปีแล้ว และเชื่อว่า....
แม้ตัวป้าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลักคิดที่ป้าส่งมอบไว้นี้ จะยังคงอยู่
และได้ช่วยผู้คนต่อไป
ส่วนท่านผู้อ่าน ก็สามารถส่งมอบในแบบที่เป็นตัวตนของท่านนะคะ อะไรก็ได้
แม้แต่เรื่องง่ายๆ ตรงตามนิทาน
เช่น
การปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้น ก็ยังได้ เพราะเมื่อต้นไม้เติบใหญ่ ก็จะให้ร่มเงา
ให้เป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ ให้อากาศบริสุทธิ์ แก่มนุษย์และสัตว์ หยั่งรากลึก
ยึดผืนดินไว้ให้คงอยู่ และยังช่วยดูดซึมน้ำที่มากเกินไป ในบางฤดูกาล ไม่ให้ท่วม
ซึ่งเป็นคุณแก่มนุษย์ อีกชั้นหนึ่ง เพียง 1 สิ่ง ที่เราส่งมอบกับโลกไว้ ยังให้คุณประโยชน์
มากมายถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราได้ทำหลายๆ สิ่งทิ้งไว้ จะเป็นอย่างไร
ร่วมด้วยช่วยกัน แบ่งปัน ดูแล โลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกัน
อย่างปลอดภัยดีงาม มีความสุขนะคะ
#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
( 7 )
แก่แล้ว ใครๆ ก็เหมือนกัน...
ไอน์สไตน์นั่งรถไฟ ขณะนั้นพนักงานตรวจตั๋วเดินมาตรวจตั๋ว เขาหาตั๋วไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ
พนักงานตรวจตั๋วพูดกับเขาอย่างสุภาพว่า:
“ศาสตราจารย์ ไม่ต้องหาแล้วครับ ผมรู้ว่าคุณคือใคร”
พูดจบ พนักงานก็เดินไปตรวจตั๋วคนอื่นต่อ
หลังจากตรวจตั๋วคนในตู้เสร็จแล้ว เขากำลังจะเดินไปยังตู้ถัดไป
แต่พอหันกลับมา เห็นไอน์สไตน์ยังคงหาตั๋วอยู่ ถึงขนาดคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อหามัน
พนักงานรีบพูดด้วยความห่วงใยว่า:
“ศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์! คุณไม่ต้องหาแล้วจริงๆ ครับ ผมรู้จักคุณดี คุณคือไอน์สไตน์
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผมเชื่อว่าคุณซื้อตั๋วแน่นอน”
ไอน์สไตน์เงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยความเขินอายและลำบากใจว่า:
“ผมก็รู้ว่าผมเป็นใคร แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมจะต้องลงสถานีไหน ผมต้องหาตั๋วให้เจอ
จะได้รู้ว่าต้องลงที่ไหน!”
แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ยังเป็นเช่นนี้
ดังนั้นคุณและฉัน หากหลงลืมอะไรบ้างเป็นบางครั้ง ก็ไม่ต้องเศร้าใจ
ทำใจให้สบายเถอะนะ!
*************
แก่ คือช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่าน ในวันที่เราค่อยๆ แก่ลง ขอให้เราใช้ใจที่มองโลกในแง่ดี
เผชิญกับทุกวันอย่างสงบ และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า อย่าให้ชีวิตต้องเสียดายภายหลังเลย !

แก่แล้ว ใครๆ ก็เหมือนกัน...
ไอน์สไตน์นั่งรถไฟ ขณะนั้นพนักงานตรวจตั๋วเดินมาตรวจตั๋ว เขาหาตั๋วไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ
พนักงานตรวจตั๋วพูดกับเขาอย่างสุภาพว่า:
“ศาสตราจารย์ ไม่ต้องหาแล้วครับ ผมรู้ว่าคุณคือใคร”
พูดจบ พนักงานก็เดินไปตรวจตั๋วคนอื่นต่อ
หลังจากตรวจตั๋วคนในตู้เสร็จแล้ว เขากำลังจะเดินไปยังตู้ถัดไป
แต่พอหันกลับมา เห็นไอน์สไตน์ยังคงหาตั๋วอยู่ ถึงขนาดคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อหามัน
พนักงานรีบพูดด้วยความห่วงใยว่า:
“ศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์! คุณไม่ต้องหาแล้วจริงๆ ครับ ผมรู้จักคุณดี คุณคือไอน์สไตน์
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผมเชื่อว่าคุณซื้อตั๋วแน่นอน”
ไอน์สไตน์เงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยความเขินอายและลำบากใจว่า:
“ผมก็รู้ว่าผมเป็นใคร แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมจะต้องลงสถานีไหน ผมต้องหาตั๋วให้เจอ
จะได้รู้ว่าต้องลงที่ไหน!”
แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ยังเป็นเช่นนี้
ดังนั้นคุณและฉัน หากหลงลืมอะไรบ้างเป็นบางครั้ง ก็ไม่ต้องเศร้าใจ
ทำใจให้สบายเถอะนะ!
*************
แก่ คือช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่าน ในวันที่เราค่อยๆ แก่ลง ขอให้เราใช้ใจที่มองโลกในแง่ดี
เผชิญกับทุกวันอย่างสงบ และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า อย่าให้ชีวิตต้องเสียดายภายหลังเลย !

( 8 )
มีอะไรอยากให้ได้อ่านกันสักนิด "ต่ำต้อยจมดิน…ดี 5 ข้อ"
โลกมักยกย่องความสูงส่ง แต่มองข้าม “ความต่ำต้อย” ว่าไร้ค่า ในขณะที่หลายคนพยายาม
ปีนขึ้นไปเพื่อให้คนมอง บางคนกลับเลือก อยู่ต่ำ...แต่มั่นคงและนี่คือ 5 ข้อดีของการ “ต่ำต้อยจมดิน”
อย่างสง่างาม
1. ไม่สะดุดล้มแรง เพราะอยู่ใกล้พื้นอยู่แล้ว
คนที่ยิ่งสูง พอล้มจะเจ็บ แต่คนที่รู้จักวางตัว รู้จักถ่อมตน ไม่ทะนง ไม่ยกตนเหนือใคร
จะไม่เจ็บจากความคาดหวัง เพราะเขาไม่เคยหลอกใครว่าตัวเองสูงส่ง
2. เรียนรู้ได้ตลอด เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้หมด
ความต่ำต้อยทำให้ใจ “เปิดรับ” กล้ายอมรับว่าตัวเองยังไม่เก่ง จึงเรียนรู้ได้จากทุกคน
ทุกเรื่อง แม้จากคนที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง
3. เป็นที่รัก เพราะไม่ทำให้ใครรู้สึกด้อย คนต่ำต้อยถ่อมตน มักไม่อวดเก่ง
ไม่เอาความสำเร็จไปกดใคร จึงอยู่กับใครก็สบายใจ ไม่สร้างศัตรู ไม่แข่งขัน ไม่กดทับใคร
4. สุขง่าย เพราะไม่ต้องใช้พลังสร้างภาพ ไม่ต้องทำตัวหรู ไม่ต้องรักษาหน้าตา
ไม่ต้องวิ่งตามคำชม ไม่ต้องกลัวคำวิจารณ์ อยู่แบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยอิสระใจ
5. มั่นคงในชีวิต เพราะยืนบนความจริง ไม่ใช่ภาพลวง คนที่อยู่ติดดิน รู้ว่าตัวเองมาจากไหน
จึงไม่หลง ไม่หลอก ไม่หวือหวา ชีวิตแบบนี้อาจไม่เปรี้ยง แต่ “อยู่ได้นาน” และ “สบายกว่า” มาก
**จำไว้...
ต่ำต้อยไม่ใช่ต่ำค่า จมดินไม่ใช่ไร้ศักดิ์ศรี
แต่คือรากฐานที่มั่นคงของคนที่เข้าใจโลกและใจตัวเอง**
เขียนโดย:จานอาม
“ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องดัง แค่อยู่ในที่ของเราอย่างถ่อมตน…ก็เป็นที่จดจำในแบบที่ไม่ต้องอวดอะไรเลย”
มีอะไรอยากให้ได้อ่านกันสักนิด "ต่ำต้อยจมดิน…ดี 5 ข้อ"
โลกมักยกย่องความสูงส่ง แต่มองข้าม “ความต่ำต้อย” ว่าไร้ค่า ในขณะที่หลายคนพยายาม
ปีนขึ้นไปเพื่อให้คนมอง บางคนกลับเลือก อยู่ต่ำ...แต่มั่นคงและนี่คือ 5 ข้อดีของการ “ต่ำต้อยจมดิน”
อย่างสง่างาม
คนที่ยิ่งสูง พอล้มจะเจ็บ แต่คนที่รู้จักวางตัว รู้จักถ่อมตน ไม่ทะนง ไม่ยกตนเหนือใคร
จะไม่เจ็บจากความคาดหวัง เพราะเขาไม่เคยหลอกใครว่าตัวเองสูงส่ง
ความต่ำต้อยทำให้ใจ “เปิดรับ” กล้ายอมรับว่าตัวเองยังไม่เก่ง จึงเรียนรู้ได้จากทุกคน
ทุกเรื่อง แม้จากคนที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง
ไม่เอาความสำเร็จไปกดใคร จึงอยู่กับใครก็สบายใจ ไม่สร้างศัตรู ไม่แข่งขัน ไม่กดทับใคร
ไม่ต้องวิ่งตามคำชม ไม่ต้องกลัวคำวิจารณ์ อยู่แบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยอิสระใจ
จึงไม่หลง ไม่หลอก ไม่หวือหวา ชีวิตแบบนี้อาจไม่เปรี้ยง แต่ “อยู่ได้นาน” และ “สบายกว่า” มาก
**จำไว้...
ต่ำต้อยไม่ใช่ต่ำค่า จมดินไม่ใช่ไร้ศักดิ์ศรี
แต่คือรากฐานที่มั่นคงของคนที่เข้าใจโลกและใจตัวเอง**
“ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องดัง แค่อยู่ในที่ของเราอย่างถ่อมตน…ก็เป็นที่จดจำในแบบที่ไม่ต้องอวดอะไรเลย”
( 9 )
อาแปะมีแผงขายไข่ไก่ โดยขายไข่ฟองละ 2 บาทมานาน
มีลูกค้าประจำมากมาย เพราะ มีลุงขายอยู่แผงเดียว
.
อยู่มาวันหนึ่ง.. มีอาหมวยคนหนึ่งเห็นว่าอาแปะขายไข่ไก่รายได้ดี จึงคิดขายบ้าง
อาหมวยตั้งแผงขายไข่ไก่ฝั่งตรงข้ามอาแป่ะ โดยขายตัดราคาฟองละ 1 บาท
.
เป็นดังคาด...!! ลูกค้าแผงอาแปะหลั่งไหลมาซื้อไข่ไก่แผงอาหมวยล้นหลาม
จนอาแป่ะเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปแย่แน่ๆ
จึงลดราคาไข่ไก่ลงเหลือฟองล่ะ 1 บาทเท่าอาหมวย
.
สมใจอาแปะ...!! ลูกค้าแผงอาหมวยเริ่มหันมาซื้ออาแป่ะมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ราคาจะเท่ากัน แต่เชื่อถือคุณภาพไข่ไก่ที่อาแป่ะขายมานาน
.
อาหมวยเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจลดราคาไข่ไก่ ตั้งใจว่าคราวนี้จะไม่ให้อาแป่ะ
ลดราคาแข่งได้เลย จึงตัดสินใจลดราคาจาก 1 บาทเหลือเพียง 25 สตางค์...!!
.
ลูกค้าจากแผงอาแป่ะและหลายๆ ที่แห่มาซื้อไข่ไก่อาหมวยกันหนาตา
อาหมวยรู้สึก กระหยิ่มในใจยิ่งนัก ดูซิ...!! อาแป่ะจะลดราคาสู้ไปอีกได้ไหม
.
จนเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่านานเป็นเดือน อาแป่ะยังคงขายไข่ไก่ฟองละ 1 บาทอยู่
เรื่อยๆ มีลูกค้าบ้างประปรายแต่เรื่อยๆ ฝั่งแผงอาหมวยเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว
ฟองละ 25 สตางค์ แทบไม่เห็นกำไร
.
แต่ก็เกิดความประหลาดใจยิ่งนักว่าทำไมอาแป่ะ จึงยังขายฟองละ 1 บาท
ทำไมไม่แข่งลดราคากันอีก แล้วอยู่ได้ยังไงในเมื่อลูกค้าอยู่ที่แผงอาหมวยหมด
.
วันหนึ่งอาหมวยทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินไปถามอาแป่ะด้วยสีหน้าฉงนว่า..
อาหมวย : อาแป่ะ !! ลื้อทำไมไม่ลดราคาแข่งกับอัวอีกหล่ะ ในเมื่อเราแข่งกันมาตลอด
มาแข่งกันต่อสิแล้วลื้ออยู่ได้ยังไงขายฟองละ 1 บาท
อาแป่ะ : ชำเลืองมองอาหมวยเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อั๊วอยู่ได้สิ ก็อั๊วซื้อไข่ไก่ลื้อมาขายไง”
----------------------------
“เพราะมัวแต่ต้องการเอาชนะ จนลืมมองย้อนหลังที่ผ่านมาว่าเราพลาดเพราะสิ่งใด
ไม่มีใครทำตัวเราให้พ่ายแพ้ ทุกอย่างล้วนเกิดจากตนเองทั้งนั้น”
#ที่ว่าการคำคม
อาแปะมีแผงขายไข่ไก่ โดยขายไข่ฟองละ 2 บาทมานาน
มีลูกค้าประจำมากมาย เพราะ มีลุงขายอยู่แผงเดียว
.
อยู่มาวันหนึ่ง.. มีอาหมวยคนหนึ่งเห็นว่าอาแปะขายไข่ไก่รายได้ดี จึงคิดขายบ้าง
อาหมวยตั้งแผงขายไข่ไก่ฝั่งตรงข้ามอาแป่ะ โดยขายตัดราคาฟองละ 1 บาท
.
เป็นดังคาด...!! ลูกค้าแผงอาแปะหลั่งไหลมาซื้อไข่ไก่แผงอาหมวยล้นหลาม
จนอาแป่ะเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปแย่แน่ๆ
จึงลดราคาไข่ไก่ลงเหลือฟองล่ะ 1 บาทเท่าอาหมวย
.
สมใจอาแปะ...!! ลูกค้าแผงอาหมวยเริ่มหันมาซื้ออาแป่ะมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ราคาจะเท่ากัน แต่เชื่อถือคุณภาพไข่ไก่ที่อาแป่ะขายมานาน
.
อาหมวยเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจลดราคาไข่ไก่ ตั้งใจว่าคราวนี้จะไม่ให้อาแป่ะ
ลดราคาแข่งได้เลย จึงตัดสินใจลดราคาจาก 1 บาทเหลือเพียง 25 สตางค์...!!
.
ลูกค้าจากแผงอาแป่ะและหลายๆ ที่แห่มาซื้อไข่ไก่อาหมวยกันหนาตา
อาหมวยรู้สึก กระหยิ่มในใจยิ่งนัก ดูซิ...!! อาแป่ะจะลดราคาสู้ไปอีกได้ไหม
.
จนเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่านานเป็นเดือน อาแป่ะยังคงขายไข่ไก่ฟองละ 1 บาทอยู่
เรื่อยๆ มีลูกค้าบ้างประปรายแต่เรื่อยๆ ฝั่งแผงอาหมวยเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว
ฟองละ 25 สตางค์ แทบไม่เห็นกำไร
.
แต่ก็เกิดความประหลาดใจยิ่งนักว่าทำไมอาแป่ะ จึงยังขายฟองละ 1 บาท
ทำไมไม่แข่งลดราคากันอีก แล้วอยู่ได้ยังไงในเมื่อลูกค้าอยู่ที่แผงอาหมวยหมด
.
วันหนึ่งอาหมวยทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินไปถามอาแป่ะด้วยสีหน้าฉงนว่า..
อาหมวย : อาแป่ะ !! ลื้อทำไมไม่ลดราคาแข่งกับอัวอีกหล่ะ ในเมื่อเราแข่งกันมาตลอด
มาแข่งกันต่อสิแล้วลื้ออยู่ได้ยังไงขายฟองละ 1 บาท
อาแป่ะ : ชำเลืองมองอาหมวยเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อั๊วอยู่ได้สิ ก็อั๊วซื้อไข่ไก่ลื้อมาขายไง”
----------------------------
“เพราะมัวแต่ต้องการเอาชนะ จนลืมมองย้อนหลังที่ผ่านมาว่าเราพลาดเพราะสิ่งใด
ไม่มีใครทำตัวเราให้พ่ายแพ้ ทุกอย่างล้วนเกิดจากตนเองทั้งนั้น”
#ที่ว่าการคำคม
( 10 )
อย่าไปเถียงกับ ผู้หญิงที่อ่านหนังสือ (#นิทานก่อนนอน)
เช้าวันหนึ่ง
สามีกลับมาที่กระท่อมหลังจากออกไปตกปลาหลายชั่วโมง และตัดสินใจจะงีบพัก
แม้จะไม่คุ้นเคยกับทะเลสาบเท่าไหร่ ภรรยาก็คิดจะพายเรือออกไป เพราะอากาศ
วันนี้ช่างสดใส
เธอขับเรือออกไปไกลเล็กน้อย แล้วทอดสมอเรือ อ่านหนังสือเงียบ ๆ อย่างมีความสุข
ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ ดูแลทรัพยากรสัตว์น้ำ ขับเรือเข้ามาใกล้ ๆ
เขาจอดเรือข้างหญิงสาวแล้วพูดว่า
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?”
หญิงสาวตอบว่า “อ่านหนังสือค่ะ” (ในใจคิด …..“ ไม่เห็นเหรอ?” )
เจ้าหน้าที่พูดว่า “คุณอยู่ในเขตหวงห้ามการตกปลา”
เธอตอบว่า “ขอโทษค่ะคุณตำรวจ แต่ฉันไม่ได้ตกปลา ฉันแค่อ่านหนังสือ”
เขาพูดว่า “ก็จริง แต่คุณมีอุปกรณ์ตกปลาครบหมด ผมจำเป็นต้องออกใบสั่งปรับให้คุณ”
หญิงสาวถามว่า “เพราะฉันอ่านหนังสือน่ะเหรอคะ?”
เขาตอบว่า “คุณอยู่ในเขตหวงห้ามการตกปลา”
หญิงสาวย้ำอีกครั้งว่า“แต่ฉันไม่ได้ตกปลา ฉันแค่อ่านหนังสือ”
เจ้าหน้าที่ตอบว่า
“ใช่ครับ แต่คุณมีอุปกรณ์ครบหมด ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเริ่มตกปลาเมื่อไหร่ ผมต้องออกใบสั่งปรับ
และคุณจะต้องจ่ายค่าปรับ”
หญิงสาวจ้องหน้าเขา แล้วพูดว่า“ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันจะกล่าวหาคุณว่าล่วงละเมิดทางเพศ”
เจ้าหน้าที่ตกใจ “แต่ผมยังไม่ได้แตะต้องคุณเลยนะครับ!”
หญิงสาวยิ้ม“ใช่ค่ะ แต่คุณก็มีอุปกรณ์ครบเหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณจะเริ่มเมื่อไหร่”
เจ้าหน้าที่รีบตอบ“ขอให้คุณผู้หญิงมีวันที่ดีครับ” แล้วก็ขับเรือจากไปทันที
ข้อคิด
อย่าไปเถียงกับผู้หญิงที่อ่านหนังสือ… …. เพราะเธออาจจะคิดเก่งกว่าคุณ!
#เจาะเวลาหาอดีต(fire) #Ws(flower)
อย่าไปเถียงกับ ผู้หญิงที่อ่านหนังสือ (#นิทานก่อนนอน)
เช้าวันหนึ่ง
สามีกลับมาที่กระท่อมหลังจากออกไปตกปลาหลายชั่วโมง และตัดสินใจจะงีบพัก
แม้จะไม่คุ้นเคยกับทะเลสาบเท่าไหร่ ภรรยาก็คิดจะพายเรือออกไป เพราะอากาศ
วันนี้ช่างสดใส
เธอขับเรือออกไปไกลเล็กน้อย แล้วทอดสมอเรือ อ่านหนังสือเงียบ ๆ อย่างมีความสุข
ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ ดูแลทรัพยากรสัตว์น้ำ ขับเรือเข้ามาใกล้ ๆ
เขาจอดเรือข้างหญิงสาวแล้วพูดว่า
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?”
หญิงสาวตอบว่า “อ่านหนังสือค่ะ” (ในใจคิด …..“ ไม่เห็นเหรอ?” )
เจ้าหน้าที่พูดว่า “คุณอยู่ในเขตหวงห้ามการตกปลา”
เธอตอบว่า “ขอโทษค่ะคุณตำรวจ แต่ฉันไม่ได้ตกปลา ฉันแค่อ่านหนังสือ”
เขาพูดว่า “ก็จริง แต่คุณมีอุปกรณ์ตกปลาครบหมด ผมจำเป็นต้องออกใบสั่งปรับให้คุณ”
หญิงสาวถามว่า “เพราะฉันอ่านหนังสือน่ะเหรอคะ?”
เขาตอบว่า “คุณอยู่ในเขตหวงห้ามการตกปลา”
หญิงสาวย้ำอีกครั้งว่า“แต่ฉันไม่ได้ตกปลา ฉันแค่อ่านหนังสือ”
เจ้าหน้าที่ตอบว่า
“ใช่ครับ แต่คุณมีอุปกรณ์ครบหมด ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเริ่มตกปลาเมื่อไหร่ ผมต้องออกใบสั่งปรับ
และคุณจะต้องจ่ายค่าปรับ”
หญิงสาวจ้องหน้าเขา แล้วพูดว่า“ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันจะกล่าวหาคุณว่าล่วงละเมิดทางเพศ”
เจ้าหน้าที่ตกใจ “แต่ผมยังไม่ได้แตะต้องคุณเลยนะครับ!”
หญิงสาวยิ้ม“ใช่ค่ะ แต่คุณก็มีอุปกรณ์ครบเหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณจะเริ่มเมื่อไหร่”
เจ้าหน้าที่รีบตอบ“ขอให้คุณผู้หญิงมีวันที่ดีครับ” แล้วก็ขับเรือจากไปทันที
ข้อคิด
อย่าไปเถียงกับผู้หญิงที่อ่านหนังสือ… …. เพราะเธออาจจะคิดเก่งกว่าคุณ!
#เจาะเวลาหาอดีต(fire) #Ws(flower)
( 11 )
………ตอนที่ยายจันทร์เจอ “เจ้าบุญทิ้ง” เป็นครั้งแรก มันยังเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ ที่นั่งสั่นอยู่
ใต้สะพานไม้เก่า พร้อมกับเสียงร้องครวญครางของหมาน้อยที่หวาดกลัวกับพายุฝน
“มาจากไหนกันล่ะนี่…” ยายจันทร์เอ่ยถาม ด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวเองห่อตัวมัน
เอาไว้ หมาน้อยไม่เห่า ไม่ดิ้น มันแค่สบตา แล้วพิงตัวเองกับอกยายจันทร์ ซึ่งยายจันทร์ก็ไม่เคยเลี้ยง
หมามาก่อนในชีวิต
เธอตั้งชื่อมันว่า “บุญทิ้ง” เพราะมันเป็นหมาที่ใครบางคนทิ้งมัน … แต่เธอกลับรู้สึกเหมือน ใครคนนั้น
ทิ้งมันเพื่อเป็นของขวัญให้เธอ
บุญทิ้งโตขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของยายจันทร์ กับลูกชายของเธอที่ชื่อ “ตั้ม” เด็กหนุ่มช่างยนต์
ที่ใจดีและชอบพูดกับหมาเหมือนพวกเค้าเข้าใจความหมายซึ่งกันและกัน
“แกนี่มันเหมือนคนเลยนะ รู้จักฟัง ไม่ขัด ไม่เถียง” เขาหัวเราะแล้วเกาหูมัน บุญทิ้งไม่ตอบ แต่หาง
กระดิกอย่างมีความสุข ตั้มพามันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปส่งของที่ตลาด พามันไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น
ริมทุ่ง และในคืนหนึ่งที่ตั้มแอบร้องไห้เพราะอกหัก บุญทิ้งก็ทำได้แค่ปลอบ และวางหัวไว้บนตักของเขา
อยู่ข้างๆเขา แต่แล้ววันหนึ่ง… ตั้มไม่กลับมาหาบุญทิ้ง
อุบัติเหตุพรากชีวิตตั้มไปจากบุญทิ้งและยายจันทร์ เขาเสียชีวิตในเช้าวันที่ฝนตกหนัก ยายจันทร์ทรุด
ลงตรงหน้าศพของลูก ส่วนบุญทิ้ง…มันนั่งอยู่ข้างโลงทั้งคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน
หลังจากวันนั้น ยายจันทร์เศร้าซึม จนแทบจะไม่พูดอะไรกับใครอีก เธอปิดร้านโชว์ห่วยของเธอไป
หลายเดือน จนเพื่อนบ้านเริ่มเป็นห่วง
บุญทิ้งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียว ที่ยังเดิน วนเวียนอยู่ในร้าน ให้ยายจันทร์ได้รู้ว่า ยายจันทร์ยังมีมัน
อยู่นะ มันคอยเลียน้ำตาให้ยายทุกคืน
วันเวลาผ่านไป ยายจันทร์เริ่มกลับมาเปิดร้าน เริ่มทำใจได้ เริ่มเดินหน้าและดำเนินชีวิตตามปกติ
อีกครั้ง และอาบน้ำให้เจ้าบุญทิ้งซะที หลังจากที่ต่างคนต่างไม่มีกะใจจะทำอะไรเลย
การกลับมาคราวนี้ของยายจันทร์ ยาย อยากทำประโยชน์ให้กับสังคมและชุมชนที่ยายอยู่ โดยยาย
เปิดสอนอาชีพให้เด็กๆที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ได้มีอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัว เธอสอนเด็กๆ ในหมู่บ้าน
ให้อาบน้ำ ตัดขน และดูแลสุนัขเป็น ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากในยุค
ปัจจุบันนี้ โดยใช้หมาจรจัดในชุมชนเป็นหุ่นทดลองและเรียนรู้ แม้กระทั่งเจ้าบุญทิ้งก็เช่นกัน เค้าคือหนึ่ง
ในหุ่นทดลอง เพื่อเด็กๆได้เรียนรู้
บุญทิ้งกลายเป็นครูฝึกจำเป็น มันนั่งนิ่งให้เด็กฝึกอาบน้ำ หรือลองตัดขนให้ มันนั่งนิ่งและรู้งานทุกอย่าง
เย็นวันนั้น ฝนตกหนักอีกครั้ง… เหมือนความทรงจำที่ไม่น่าจดจำในครั้งก่อนๆ ครั้งที่มันถูกทิ้ง และครั้งที่มัน
เสียตั้มไป เด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ “น้องใบตอง” เดินข้ามถนนกลับบ้านจากโรงเรียน ขณะเดียวกัน รถจักรยานยนต์
คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว และกำลังจะปะทะกับร่างของเด็กน้อย เจ้าบุญทิ้งวิ่งพรวดออกไป… มันใช้ตัวเอง
ผลักเด็กให้พ้นเส้นทางทางจนปลอดภัย แต่ตัวมันเอง… ถูกเฉี่ยวล้มลงกับพื้น
มันเลือดออกบริเวณจมูกและขา ยายจันทร์วิ่งตามออกมาด้วยความตกใจ ยายจันทร์เห็นมันหายใจหอบ
และบาดเจ็บจากการที่โดนรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน
เด็กหญิงคนนั้นรีบวิ่งมาดูมัน และพูดว่า “ยายคะ หนูหมาตัวนี้ช่วยชีวิตหนู หนูอยากจะกอดมัน”
น้องใบตองพูดด้วยเสียงสั่น และเหมือนจะร้องไห้ เพราะถ้าไม่ได้บุญทิ้ง เธออาจจะตายไปแล้วก็ได้ และที่มาก
ไปกว่านั้น เธอร้องไห้ไม่หยุด ที่เจ้าบุญทิ้งมารับเคราะห์แทนเธอ เธอขออย่าให้บุญทิ้งตาย เธอสัญญาว่า
เธอจะรักบุญทิ้ง และจะมาเล่นกับมันทุกวัน มันคือเพื่อนที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่า บุญทิ้งจะทำตามคำขอ
มันไม่ตาย เมื่อยายจันทร์พามันไปหาหมอ และหมอพูดว่า ดีนะที่มันแค่โดนเฉี่ยว และโดนกระแทกเพียง
แค่เล็กน้อย มันจึงบาดเจ็บไม่มาก และไม่นานมันจะหายดี
หลังจากนั้นเมื่อเจ้าบุญทิ้งหาย มันได้ใช้ชีวิตตามปกติ มันยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ยายไม่เหงา
และโดดเดี่ยว มันไม่ทิ้งยาย มันได้เล่นกับเด็กน้อยทุกวัน มันยังทำให้คนในชุมชนมีอาชีพที่สร้างรายได้
มันสร้างความสุขให้ทุกคน
“บางครั้งสิ่งที่มีค่าที่สุด อาจจะไม่ใช่คำพูดที่ดีที่สุด หรือมีเงินทองมากมาย แต่มันอาจจะเป็นหัวใจที่
ยิ่งใหญ่ของสุนัขตัวเล็กๆตัวนึงก็ได้ และเจ้า “บุญทิ้ง” ที่ใครหลายคนในหมู่บ้าน เรียกมันใหม่ว่า “บุญรักษา”
ที่ช่วยรักษาแผลใจ แผลกาย และขัดเกลาจิตใจใครบางคนที่อาจจะเคยคิดว่า มันก็แค่ “หมาตัวหนึ่ง”
. - - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
………ตอนที่ยายจันทร์เจอ “เจ้าบุญทิ้ง” เป็นครั้งแรก มันยังเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ ที่นั่งสั่นอยู่
ใต้สะพานไม้เก่า พร้อมกับเสียงร้องครวญครางของหมาน้อยที่หวาดกลัวกับพายุฝน
“มาจากไหนกันล่ะนี่…” ยายจันทร์เอ่ยถาม ด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวเองห่อตัวมัน
เอาไว้ หมาน้อยไม่เห่า ไม่ดิ้น มันแค่สบตา แล้วพิงตัวเองกับอกยายจันทร์ ซึ่งยายจันทร์ก็ไม่เคยเลี้ยง
หมามาก่อนในชีวิต
เธอตั้งชื่อมันว่า “บุญทิ้ง” เพราะมันเป็นหมาที่ใครบางคนทิ้งมัน … แต่เธอกลับรู้สึกเหมือน ใครคนนั้น
ทิ้งมันเพื่อเป็นของขวัญให้เธอ
บุญทิ้งโตขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของยายจันทร์ กับลูกชายของเธอที่ชื่อ “ตั้ม” เด็กหนุ่มช่างยนต์
ที่ใจดีและชอบพูดกับหมาเหมือนพวกเค้าเข้าใจความหมายซึ่งกันและกัน
“แกนี่มันเหมือนคนเลยนะ รู้จักฟัง ไม่ขัด ไม่เถียง” เขาหัวเราะแล้วเกาหูมัน บุญทิ้งไม่ตอบ แต่หาง
กระดิกอย่างมีความสุข ตั้มพามันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปส่งของที่ตลาด พามันไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น
ริมทุ่ง และในคืนหนึ่งที่ตั้มแอบร้องไห้เพราะอกหัก บุญทิ้งก็ทำได้แค่ปลอบ และวางหัวไว้บนตักของเขา
อยู่ข้างๆเขา แต่แล้ววันหนึ่ง… ตั้มไม่กลับมาหาบุญทิ้ง
อุบัติเหตุพรากชีวิตตั้มไปจากบุญทิ้งและยายจันทร์ เขาเสียชีวิตในเช้าวันที่ฝนตกหนัก ยายจันทร์ทรุด
ลงตรงหน้าศพของลูก ส่วนบุญทิ้ง…มันนั่งอยู่ข้างโลงทั้งคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน
หลังจากวันนั้น ยายจันทร์เศร้าซึม จนแทบจะไม่พูดอะไรกับใครอีก เธอปิดร้านโชว์ห่วยของเธอไป
หลายเดือน จนเพื่อนบ้านเริ่มเป็นห่วง
บุญทิ้งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียว ที่ยังเดิน วนเวียนอยู่ในร้าน ให้ยายจันทร์ได้รู้ว่า ยายจันทร์ยังมีมัน
อยู่นะ มันคอยเลียน้ำตาให้ยายทุกคืน
วันเวลาผ่านไป ยายจันทร์เริ่มกลับมาเปิดร้าน เริ่มทำใจได้ เริ่มเดินหน้าและดำเนินชีวิตตามปกติ
อีกครั้ง และอาบน้ำให้เจ้าบุญทิ้งซะที หลังจากที่ต่างคนต่างไม่มีกะใจจะทำอะไรเลย
การกลับมาคราวนี้ของยายจันทร์ ยาย อยากทำประโยชน์ให้กับสังคมและชุมชนที่ยายอยู่ โดยยาย
เปิดสอนอาชีพให้เด็กๆที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ได้มีอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัว เธอสอนเด็กๆ ในหมู่บ้าน
ให้อาบน้ำ ตัดขน และดูแลสุนัขเป็น ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากในยุค
ปัจจุบันนี้ โดยใช้หมาจรจัดในชุมชนเป็นหุ่นทดลองและเรียนรู้ แม้กระทั่งเจ้าบุญทิ้งก็เช่นกัน เค้าคือหนึ่ง
ในหุ่นทดลอง เพื่อเด็กๆได้เรียนรู้
บุญทิ้งกลายเป็นครูฝึกจำเป็น มันนั่งนิ่งให้เด็กฝึกอาบน้ำ หรือลองตัดขนให้ มันนั่งนิ่งและรู้งานทุกอย่าง
เย็นวันนั้น ฝนตกหนักอีกครั้ง… เหมือนความทรงจำที่ไม่น่าจดจำในครั้งก่อนๆ ครั้งที่มันถูกทิ้ง และครั้งที่มัน
เสียตั้มไป เด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ “น้องใบตอง” เดินข้ามถนนกลับบ้านจากโรงเรียน ขณะเดียวกัน รถจักรยานยนต์
คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว และกำลังจะปะทะกับร่างของเด็กน้อย เจ้าบุญทิ้งวิ่งพรวดออกไป… มันใช้ตัวเอง
ผลักเด็กให้พ้นเส้นทางทางจนปลอดภัย แต่ตัวมันเอง… ถูกเฉี่ยวล้มลงกับพื้น
มันเลือดออกบริเวณจมูกและขา ยายจันทร์วิ่งตามออกมาด้วยความตกใจ ยายจันทร์เห็นมันหายใจหอบ
และบาดเจ็บจากการที่โดนรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน
เด็กหญิงคนนั้นรีบวิ่งมาดูมัน และพูดว่า “ยายคะ หนูหมาตัวนี้ช่วยชีวิตหนู หนูอยากจะกอดมัน”
น้องใบตองพูดด้วยเสียงสั่น และเหมือนจะร้องไห้ เพราะถ้าไม่ได้บุญทิ้ง เธออาจจะตายไปแล้วก็ได้ และที่มาก
ไปกว่านั้น เธอร้องไห้ไม่หยุด ที่เจ้าบุญทิ้งมารับเคราะห์แทนเธอ เธอขออย่าให้บุญทิ้งตาย เธอสัญญาว่า
เธอจะรักบุญทิ้ง และจะมาเล่นกับมันทุกวัน มันคือเพื่อนที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่า บุญทิ้งจะทำตามคำขอ
มันไม่ตาย เมื่อยายจันทร์พามันไปหาหมอ และหมอพูดว่า ดีนะที่มันแค่โดนเฉี่ยว และโดนกระแทกเพียง
แค่เล็กน้อย มันจึงบาดเจ็บไม่มาก และไม่นานมันจะหายดี
หลังจากนั้นเมื่อเจ้าบุญทิ้งหาย มันได้ใช้ชีวิตตามปกติ มันยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ยายไม่เหงา
และโดดเดี่ยว มันไม่ทิ้งยาย มันได้เล่นกับเด็กน้อยทุกวัน มันยังทำให้คนในชุมชนมีอาชีพที่สร้างรายได้
มันสร้างความสุขให้ทุกคน
“บางครั้งสิ่งที่มีค่าที่สุด อาจจะไม่ใช่คำพูดที่ดีที่สุด หรือมีเงินทองมากมาย แต่มันอาจจะเป็นหัวใจที่
ยิ่งใหญ่ของสุนัขตัวเล็กๆตัวนึงก็ได้ และเจ้า “บุญทิ้ง” ที่ใครหลายคนในหมู่บ้าน เรียกมันใหม่ว่า “บุญรักษา”
ที่ช่วยรักษาแผลใจ แผลกาย และขัดเกลาจิตใจใครบางคนที่อาจจะเคยคิดว่า มันก็แค่ “หมาตัวหนึ่ง”
. - - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
( 12 )
…ทุกเช้า เจ้าทอง หมาสีน้ำตาลแสนรู้ จะคาบถุงอาหารจากแกร็บที่มาส่งตรง หน้าบ้านให้กับ
ยายสมหญิง ยายผู้ชราผู้อาศัยอยู่ตัวคนเดียว หลังจากที่สามีของเธอ จากไปเมื่อหลายปีก่อน
ลูกๆของเธอมีหน้าที่สั่งอาหารให้ยายครบ 3 มื้อ แต่พวกเค้าไม่มีเวลากลับมาหายาย ทุกครั้งที่
ทองคาบถุงอาหารมาถึง ยายสมหญิงจะยิ้มกว้าง สายตาที่เคยอ่อนแรงกลับมีประกายสดใสขึ้น
มาทันที ทองคือสิ่งเดียวที่ทำให้ยายรู้สึกว่าชีวิตยังมีค่าและมีคนห่วงใย
แต่แล้ววันหนึ่ง ทองไม่กลับมาพร้อมอาหารเช่นเคย ยายสมหญิงรออย่างกระวนกระวาย
นั่งมองประตูบ้านทั้งวัน สายตาที่เคยมีประกายกลับมืดมน น้ำตาไหลเงียบๆ หัวใจที่แสนเจ็บปวด
เริ่มนึกถึงวันที่เคยอบอุ่น ทองเคยเป็นเหมือนลูกหลานที่เธอรักที่สุด ยายเดินออกจากบ้านทั้งที่ยัง
ปวดข้อเข่า ค้นหาทองจนทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา จนดึกดื่น ยายกลับมานั่งรอที่หน้าบ้าน
อีกครั้ง น้ำตายายยังไหลไม่หยุด
“ทองไปไหนลูก…ยายคิดถึง กลับมาเถอนะ…” เธอเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ
ในขณะที่ยายเริ่มสิ้นหวัง เสียงเห่าคุ้นเคย
ก็ดังขึ้นมาแต่ไกล เจ้าทองวิ่งเข้ามาด้วยถุงอาหารในปาก สภาพเปียกโชกด้วยฝน
แต่สายตาของมันเต็มไปด้วยความดีใจที่เห็นยายอีกครั้ง ยายสมหญิงโผเข้ากอดทอง ร้องไห้
สะอึกสะอื้นด้วยความโล่งอก
ยายพบว่าทองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่ขา แต่มันกลับยังดื้อดึงคาบถุงอาหารกลับมาให้ยาย
ให้ได้ สาเหตุเพราะทองถูกรถเฉี่ยวชนขณะวิ่งข้ามถนน แต่โชคดีที่คนขับคือชายหนุ่มใจดีที่รีบ
พามันไป รักษาทันที
ชายหนุ่มคนนั้นมาปรากฏตัวในตอนเช้าวันถัดมา พร้อมกับยารักษาและอาหารเพิ่มเติม เขาบอก
ยายสมหญิงว่า “ทองคือวีรบุรุษสี่ขานะครับยาย มันไม่ยอมปล่อยถุงอาหารเลย จนกว่ามันจะมั่นใจว่า
จะได้เอากลับมาให้ยายแน่ๆ”
ยายสมหญิงยิ้มทั้งน้ำตา กอดทองแน่น “ยายรักทองที่สุด…ทองเป็นของขวัญจากฟ้า
ที่แท้จริง”
จากวันนั้น ชายหนุ่มก็แวะเวียนมาเยี่ยมยายกับทองบ่อยขึ้น ความเหงาของยายค่อยๆ
เลือนหายไป สิ่งที่ทองทำไม่ใช่แค่การนำอาหารมาให้ แต่มันได้นำหัวใจที่อบอุ่นและความห่วงใย
กลับคืนสู่ชีวิต ยายอีกครั้ง
.
หมา…มันกตัญญูเสมอ ทุกลมหายใจ…
- - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
…ทุกเช้า เจ้าทอง หมาสีน้ำตาลแสนรู้ จะคาบถุงอาหารจากแกร็บที่มาส่งตรง หน้าบ้านให้กับ
ยายสมหญิง ยายผู้ชราผู้อาศัยอยู่ตัวคนเดียว หลังจากที่สามีของเธอ จากไปเมื่อหลายปีก่อน
ลูกๆของเธอมีหน้าที่สั่งอาหารให้ยายครบ 3 มื้อ แต่พวกเค้าไม่มีเวลากลับมาหายาย ทุกครั้งที่
ทองคาบถุงอาหารมาถึง ยายสมหญิงจะยิ้มกว้าง สายตาที่เคยอ่อนแรงกลับมีประกายสดใสขึ้น
มาทันที ทองคือสิ่งเดียวที่ทำให้ยายรู้สึกว่าชีวิตยังมีค่าและมีคนห่วงใย
แต่แล้ววันหนึ่ง ทองไม่กลับมาพร้อมอาหารเช่นเคย ยายสมหญิงรออย่างกระวนกระวาย
นั่งมองประตูบ้านทั้งวัน สายตาที่เคยมีประกายกลับมืดมน น้ำตาไหลเงียบๆ หัวใจที่แสนเจ็บปวด
เริ่มนึกถึงวันที่เคยอบอุ่น ทองเคยเป็นเหมือนลูกหลานที่เธอรักที่สุด ยายเดินออกจากบ้านทั้งที่ยัง
ปวดข้อเข่า ค้นหาทองจนทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา จนดึกดื่น ยายกลับมานั่งรอที่หน้าบ้าน
อีกครั้ง น้ำตายายยังไหลไม่หยุด
“ทองไปไหนลูก…ยายคิดถึง กลับมาเถอนะ…” เธอเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ
ในขณะที่ยายเริ่มสิ้นหวัง เสียงเห่าคุ้นเคย
ก็ดังขึ้นมาแต่ไกล เจ้าทองวิ่งเข้ามาด้วยถุงอาหารในปาก สภาพเปียกโชกด้วยฝน
แต่สายตาของมันเต็มไปด้วยความดีใจที่เห็นยายอีกครั้ง ยายสมหญิงโผเข้ากอดทอง ร้องไห้
สะอึกสะอื้นด้วยความโล่งอก
ยายพบว่าทองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่ขา แต่มันกลับยังดื้อดึงคาบถุงอาหารกลับมาให้ยาย
ให้ได้ สาเหตุเพราะทองถูกรถเฉี่ยวชนขณะวิ่งข้ามถนน แต่โชคดีที่คนขับคือชายหนุ่มใจดีที่รีบ
พามันไป รักษาทันที
ชายหนุ่มคนนั้นมาปรากฏตัวในตอนเช้าวันถัดมา พร้อมกับยารักษาและอาหารเพิ่มเติม เขาบอก
ยายสมหญิงว่า “ทองคือวีรบุรุษสี่ขานะครับยาย มันไม่ยอมปล่อยถุงอาหารเลย จนกว่ามันจะมั่นใจว่า
จะได้เอากลับมาให้ยายแน่ๆ”
ยายสมหญิงยิ้มทั้งน้ำตา กอดทองแน่น “ยายรักทองที่สุด…ทองเป็นของขวัญจากฟ้า
ที่แท้จริง”
จากวันนั้น ชายหนุ่มก็แวะเวียนมาเยี่ยมยายกับทองบ่อยขึ้น ความเหงาของยายค่อยๆ
เลือนหายไป สิ่งที่ทองทำไม่ใช่แค่การนำอาหารมาให้ แต่มันได้นำหัวใจที่อบอุ่นและความห่วงใย
กลับคืนสู่ชีวิต ยายอีกครั้ง
.
หมา…มันกตัญญูเสมอ ทุกลมหายใจ…
- - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
( 13 )
…บิลลี่ไม่เคยคิดว่าเขาจะรักสุนัขตัวไหน ได้ขนาดนี้ วันแรกที่เขาได้รับเจ้าแบล็คจากหน่วยฝึก K9
มันยังเป็นแค่หมาเด็ก ดื้อเงียบ ชอบหลบไปนอนใต้โต๊ะ ไม่กินข้าว จนถูกแซวว่า เอ็งจะเป็นหมา K9
หรือเป็นหมาซึมเศร้าวะ?” ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่บิลลี่มองตาแบล็ค… และมองเห็น
“บาดแผล” บางอย่างที่ไม่มีใครพูดถึง เพราะนั่นมันอาจจะอยู่ลึกจนเกินไป ที่อยู่ภายในหัวใจ
บิลลี่พูดกับมันว่า ไม่ต้องรีบทำตัวตามสบาย ให้แกสบายใจก่อน แกไว้ใจฉันได้นะ…
ฉันก็เคยถูกทิ้งมาก่อน แกไว้ใจฉันได้ เขาพูดกับมันเบาๆ ในคืนนั้น และวันนั้น ก็เป็นวันแรกที่แบล็ค
กระดิกหางใส่เขา
แบล็คเคยเป็นหมาจรจัดที่มูลนิธิสงเคราะห์ได้นำมันไปรับเลี้ยง มันจึงเติบโตขึ้นในมูลนิธิแห่งนั้น
ความเข้าใจของมัน มันรับรู้แค่ว่า ที่นั่นคือบ้านของมัน ผู้ดูแลให้ข้าวให้น้ำ คือพ่อและแม่ของมันที่มัน
รักอย่างไม่มีข้อสงสัย มันมีความสุขและผูกพันกับที่นั่น และเช่นกันที่หน่วยก้านของมัน บังเอิญ
เข้าตาครูฝึกK9 ที่กำลังเฟ้นหาK9รุ่นใหม่ เพื่อมาแทนรุ่นเก่าๆ ที่อายุเยอะและปลดระวางแล้ว แต่มัน
ไม่เข้าใจหรอก ว่าอะไรเป็นอะไร มันแค่น้อยใจ ว่าทำไม พ่อกับแม่ ถึงยกมันให้คนอื่นอย่างง่ายดาย
พ่อแม่ไม่รักมันหรอกหรือ มันคิดถึงพี่น้องผองเพื่อนของมัน เมื่อมันมาถึงศูนย์ฝึกK9. จึงไม่มีใครทำ
ให้มันกระเตื้อง ขึ้นมาได้
จนกระทั่งมันมาเจอบิลลี่ ที่มันเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่เข้าอกเข้าใจกัน จนยากที่จะอธิบาย
ส่วนบิลลี่นั้น เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นกัน เขาจึงเข้าใจอะไรๆบางอย่าง
ในตัวของเจ้าแบล็ค และตอนนี้พวกเขาเข้ากันได้ดีและเป็นคู่หูกันโดยปริยาย
1 ปีผ่านไป…
ทั้งคู่ผ่านภารกิจค้นหาระเบิด, จับผู้ต้องหา, ปะทะกลางคืน และเดินตามหาศพไปหลายร่าง ในทุกครั้ง
แบล็คไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว�และในทุกครั้ง บิลลี่จะตบหลังแบล็คเบาๆ
แล้วกระซิบบอกมันว่า “เก่งมากเจ้าแบล็ค ”
ภารกิจหลายๆภารกิจ ที่บิลลี่กับแบล็คทำร่วมกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย และในภารกิจครั้งนี้...
แบล็คทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจใช้แรงทั้งหมด เพื่อดันเด็กคนหนึ่งออกมาจากช่องแคบๆ ก่อนที่
จะถูกคานเหล็กทับลงไป มันหายใจแทบไม่ออก บิลลี่เห็นว่า สภาวะที่ดูคับขัน และแบล็คเอง
อาจจะหมดแรงและได้รับอันตรายไปพร้อมกับเด็กด้วย บิลลี่จึงเรียกมันออกมา เพื่อปรับเปลี่ยนวิธี
ที่ทุกคนต้องปลอดภัย แต่ แบล็ค มันไม่ยอมถอยกลับ ออกมา มันรู้ว่าถ้ามันออกมาจะไม่ทันการ
คานเหล็กอาจจะหล่นลงมาทับเด็กก็ได้ มันกำลังจะหมดแรงแล้ว มันฮึดครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะหัน
กลับไปมองบิลลี่ในเสี้ยววินาที ราวกับจะพูดว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น แปลว่าฉันทำจนสุดความสามารถแล้ว”
เด็กออกมาจากช่องแคบอย่างปลอดภัย ทุกคนปรบมือกันเกรียวกราว แต่…เจ้าแบล็ค ยังไม่ออกมา
บิลลี่รีบเดินไปหาเจ้าแบล็ค แต่ในวินาทีนั้น คานปูนได้หล่นทับลงมา ฝุ่นตลบอบอวลจนมองแทบจะไม่เห็น
อะไร บิลลี่ร้องเรียกเจ้าแบล็คจนสุดเสียง เค้าคุกเข่าร้องไห้อย่างไม่อายใคร จนเค้าได้ยินและเห็นบาง
อย่างเคลื่อนไหวตรงปากทางช่องแคบ
“แบล็คยังไม่ตาย” เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำสิ่งกีดขวางที่ทับตัวมันอยู่ออก และรีบนำตัวมันส่งโรงพยาบาล
ทันที จริงๆแล้ว ก่อนคานเหล็กจะพังลงมา มันคงพยามนำร่างของตัวเองที่กำลังหมดแรงออกมา หลังจาก
ช่วยชีวิตเด็กได้แล้ว แต่มันคงจะออกมาช้าไปหน่อยเพราะแรงหมด และโชคดีที่มันเดินมาถึงปากทางช่องนั้น
จึงสามารถช่วยมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการของมัน…ก็ไม่สู้ดีนัก
ณ ห้องพักฟื้น
แบล็คนอนนิ่งในผ้าห่มสีกรม บิลลี่นั่งอยู่ข้างเตียง แม้แขนของบิลลี่จะยังใส่เฝือกอยู่ แต่ก็เขายังยืนยันที่
จะนั่งเฝ้ามันเอง “ ฟื้นเถอะ… เดี๋ยวเราจะไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะกันอีก”
บิลลี่พูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตากำลังจะเอ่อล้น
หมอบอกว่ามันมีโอกาสที่จะรอดน้อย แต่มันก็ไม่ต่างกับคน กำลังใจ คือสิ่งเดียวที่อาจจะทำให้มี
ปาฏิหาริย์ได้ บิลลี่นั่งฟุบเฝ้าเจ้าแบล็ค อยู่อย่างนั้นทั้งคืน บิลลี่หารู้ไม่ว่า 1 ชีวิต ที่กำลังพยายามลืมตา
ขึ้นมา เพื่อมองเค้า
เช้าวันต่อมา
เสียงเล็บขูดเบาๆ บนเตียงบิลลี่ลืมตาขึ้น เห็นแบล็คค่อยๆ พยุงตัว… หัวโน้มลงมาหาเขา น้ำตาของ
ตำรวจหนุ่มไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขากอดแบล็คแน่น แล้วพูดเสียงเครือว่า “เจ้าแบล็คเอ้ย… ข้าคิดว่า
ข้าจะขาดคู่หูแล้วรู้มั้ย แบล็คครางหงิงๆเบาๆ เหมือนปลอบใจบิลลี่
แต่หลังภารกิจสุดท้ายสำเร็จ และหลัง แบล็คได้ออกมาจากโรงพยาบาล แบล็คเงียบลงกว่าปกติ
มันไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนเดิมเหมือนเวลาเล่นที่เคยเล่นกัน มันไม่ได้วิ่งไปรับลูกบอลที่บิลลี่โยนให้
เหมือนก่อน ไม่ได้ลุกขึ้นทุกครั้งที่มีเสียงไซเรนอย่างทุกที ไม่ได้เห่า ใส่แมวเพื่อนบ้านที่ชอบแอบมาเดิน
บนรั้ว มันใช้เวลานอนมากขึ้น... หายใจแผ่วลง... เหมือนไม่อยากจะหายใจอีก
บิลลี่เริ่มรู้อะไรบางอย่าง... แต่เขาไม่กล้าพูด คืนนั้นที่โรงพยาบาล บิลลี่บอกหมอว่า ปาฏิหาริย์
เกิดขึ้นแล้ว แบล็คฟื้น แบล็คตื่นและผ่านคืนนั้นมาได้ แต่หมอบอกว่า ให้ทำใจไว้บ้าง แบล็คจะไม่เหมือนเ
ดิมอีก
วันหนึ่ง เขาพาแบล็คกลับไปที่ “สนามเปล่า” ที่พวกเขาเคยฝึกกันวันแรก เขาปูผ้าผืนหนึ่งให้เจ้าแบล็ค
นอนกลางสนาม และเปิดกล่องเหรียญทั้งหมดที่แบล็คเคยได้รับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจแล้วบิลลี่ก็
นั่งข้างๆมันเงียบๆ “เอ็งเคยช่วยชีวิตข้า... ตอนนี้ข้าอยากให้เอ็งได้พัก เอ็งไม่ต้องฝืนเพื่อข้าหรอก ข้ารู้ว่า
เอ็งเหนื่อยมากแล้ว”เสียงของเขาสั่น น้ำตาคลอ แต่ยังฝืนยิ้ม แบล็คหันมามองหน้าบิลลี่... ขยับหัว มานอน
บนตักของบิลลี่ดวงตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยน้ำใสๆ เหมือนมันรู้ว่า บิลลี่ทำใจได้แล้ว บิลลี่อนุญาตให้มันไปแล้ว
มันไม่ต้องฝืนร่างกายของมันอีกต่อไป แล้ว... มันก็หายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยลมหายใจยาวออกมา...
พร้อมกับเปลือกตา ที่ค่อยๆหลับลงไป…ตลอดกาล
บิลลี่ร้องไห้โฮออกมา เขากอดร่างของมันแน่น กดหน้าผากลงบนขนของมัน แล้วพูดว่า
“ไม่ต้องเป็นฮีโร่แล้วนะ… พอแล้วลูกรัก” เสียงสั่นปนสะอื้น ไม่ได้ดังออกไปนอกสนาม
แต่คนทั้งกรมตำรวจรู้... ว่าฮีโร่ตัวหนึ่งได้จากไปแล้ว
หลังสิ้นลมหายใจของแบล็ค
บิลลี่ทำเรื่องขอให้ฝังแบล็คที่สนามฝึกจุดที่มันเคยวิ่งฝึกฝน จนคุ้นตาทุกคนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขา
นั่งพักด้วยกันเสมอ เขาทำป้ายไม้เล็กๆ แกะชื่อด้วยมือของเค้าเองว่า
“BLACK – K9 UNIT” เพื่อน คนรัก ครอบครัว และหัวใจของฉัน
หลายปีผ่านไป
ตำรวจนายหนึ่งมักจะกลับมาที่สนามฝึก นั่งลงใต้ต้นไม้ และเล่าเรื่องราวในแต่ละวัน
ให้ใครบางคนฟังเสมอแม้จะไม่มีเสียงเห่าตอบรับแต่เขายังรู้สึก... ว่ามีหางที่ยังสะบัดเบาๆ
อยู่ข้างๆ
.
.โลกนี้อาจมีหมาหลายพันตัว แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันเรียกว่า... เพื่อนรัก”
- - - - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
…บิลลี่ไม่เคยคิดว่าเขาจะรักสุนัขตัวไหน ได้ขนาดนี้ วันแรกที่เขาได้รับเจ้าแบล็คจากหน่วยฝึก K9
มันยังเป็นแค่หมาเด็ก ดื้อเงียบ ชอบหลบไปนอนใต้โต๊ะ ไม่กินข้าว จนถูกแซวว่า เอ็งจะเป็นหมา K9
หรือเป็นหมาซึมเศร้าวะ?” ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่บิลลี่มองตาแบล็ค… และมองเห็น
“บาดแผล” บางอย่างที่ไม่มีใครพูดถึง เพราะนั่นมันอาจจะอยู่ลึกจนเกินไป ที่อยู่ภายในหัวใจ
บิลลี่พูดกับมันว่า ไม่ต้องรีบทำตัวตามสบาย ให้แกสบายใจก่อน แกไว้ใจฉันได้นะ…
ฉันก็เคยถูกทิ้งมาก่อน แกไว้ใจฉันได้ เขาพูดกับมันเบาๆ ในคืนนั้น และวันนั้น ก็เป็นวันแรกที่แบล็ค
กระดิกหางใส่เขา
แบล็คเคยเป็นหมาจรจัดที่มูลนิธิสงเคราะห์ได้นำมันไปรับเลี้ยง มันจึงเติบโตขึ้นในมูลนิธิแห่งนั้น
ความเข้าใจของมัน มันรับรู้แค่ว่า ที่นั่นคือบ้านของมัน ผู้ดูแลให้ข้าวให้น้ำ คือพ่อและแม่ของมันที่มัน
รักอย่างไม่มีข้อสงสัย มันมีความสุขและผูกพันกับที่นั่น และเช่นกันที่หน่วยก้านของมัน บังเอิญ
เข้าตาครูฝึกK9 ที่กำลังเฟ้นหาK9รุ่นใหม่ เพื่อมาแทนรุ่นเก่าๆ ที่อายุเยอะและปลดระวางแล้ว แต่มัน
ไม่เข้าใจหรอก ว่าอะไรเป็นอะไร มันแค่น้อยใจ ว่าทำไม พ่อกับแม่ ถึงยกมันให้คนอื่นอย่างง่ายดาย
พ่อแม่ไม่รักมันหรอกหรือ มันคิดถึงพี่น้องผองเพื่อนของมัน เมื่อมันมาถึงศูนย์ฝึกK9. จึงไม่มีใครทำ
ให้มันกระเตื้อง ขึ้นมาได้
จนกระทั่งมันมาเจอบิลลี่ ที่มันเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่เข้าอกเข้าใจกัน จนยากที่จะอธิบาย
ส่วนบิลลี่นั้น เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นกัน เขาจึงเข้าใจอะไรๆบางอย่าง
ในตัวของเจ้าแบล็ค และตอนนี้พวกเขาเข้ากันได้ดีและเป็นคู่หูกันโดยปริยาย
1 ปีผ่านไป…
ทั้งคู่ผ่านภารกิจค้นหาระเบิด, จับผู้ต้องหา, ปะทะกลางคืน และเดินตามหาศพไปหลายร่าง ในทุกครั้ง
แบล็คไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว�และในทุกครั้ง บิลลี่จะตบหลังแบล็คเบาๆ
แล้วกระซิบบอกมันว่า “เก่งมากเจ้าแบล็ค ”
ภารกิจหลายๆภารกิจ ที่บิลลี่กับแบล็คทำร่วมกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย และในภารกิจครั้งนี้...
แบล็คทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจใช้แรงทั้งหมด เพื่อดันเด็กคนหนึ่งออกมาจากช่องแคบๆ ก่อนที่
จะถูกคานเหล็กทับลงไป มันหายใจแทบไม่ออก บิลลี่เห็นว่า สภาวะที่ดูคับขัน และแบล็คเอง
อาจจะหมดแรงและได้รับอันตรายไปพร้อมกับเด็กด้วย บิลลี่จึงเรียกมันออกมา เพื่อปรับเปลี่ยนวิธี
ที่ทุกคนต้องปลอดภัย แต่ แบล็ค มันไม่ยอมถอยกลับ ออกมา มันรู้ว่าถ้ามันออกมาจะไม่ทันการ
คานเหล็กอาจจะหล่นลงมาทับเด็กก็ได้ มันกำลังจะหมดแรงแล้ว มันฮึดครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะหัน
กลับไปมองบิลลี่ในเสี้ยววินาที ราวกับจะพูดว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น แปลว่าฉันทำจนสุดความสามารถแล้ว”
เด็กออกมาจากช่องแคบอย่างปลอดภัย ทุกคนปรบมือกันเกรียวกราว แต่…เจ้าแบล็ค ยังไม่ออกมา
บิลลี่รีบเดินไปหาเจ้าแบล็ค แต่ในวินาทีนั้น คานปูนได้หล่นทับลงมา ฝุ่นตลบอบอวลจนมองแทบจะไม่เห็น
อะไร บิลลี่ร้องเรียกเจ้าแบล็คจนสุดเสียง เค้าคุกเข่าร้องไห้อย่างไม่อายใคร จนเค้าได้ยินและเห็นบาง
อย่างเคลื่อนไหวตรงปากทางช่องแคบ
“แบล็คยังไม่ตาย” เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำสิ่งกีดขวางที่ทับตัวมันอยู่ออก และรีบนำตัวมันส่งโรงพยาบาล
ทันที จริงๆแล้ว ก่อนคานเหล็กจะพังลงมา มันคงพยามนำร่างของตัวเองที่กำลังหมดแรงออกมา หลังจาก
ช่วยชีวิตเด็กได้แล้ว แต่มันคงจะออกมาช้าไปหน่อยเพราะแรงหมด และโชคดีที่มันเดินมาถึงปากทางช่องนั้น
จึงสามารถช่วยมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการของมัน…ก็ไม่สู้ดีนัก
ณ ห้องพักฟื้น
แบล็คนอนนิ่งในผ้าห่มสีกรม บิลลี่นั่งอยู่ข้างเตียง แม้แขนของบิลลี่จะยังใส่เฝือกอยู่ แต่ก็เขายังยืนยันที่
จะนั่งเฝ้ามันเอง “ ฟื้นเถอะ… เดี๋ยวเราจะไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะกันอีก”
บิลลี่พูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตากำลังจะเอ่อล้น
หมอบอกว่ามันมีโอกาสที่จะรอดน้อย แต่มันก็ไม่ต่างกับคน กำลังใจ คือสิ่งเดียวที่อาจจะทำให้มี
ปาฏิหาริย์ได้ บิลลี่นั่งฟุบเฝ้าเจ้าแบล็ค อยู่อย่างนั้นทั้งคืน บิลลี่หารู้ไม่ว่า 1 ชีวิต ที่กำลังพยายามลืมตา
ขึ้นมา เพื่อมองเค้า
เช้าวันต่อมา
เสียงเล็บขูดเบาๆ บนเตียงบิลลี่ลืมตาขึ้น เห็นแบล็คค่อยๆ พยุงตัว… หัวโน้มลงมาหาเขา น้ำตาของ
ตำรวจหนุ่มไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขากอดแบล็คแน่น แล้วพูดเสียงเครือว่า “เจ้าแบล็คเอ้ย… ข้าคิดว่า
ข้าจะขาดคู่หูแล้วรู้มั้ย แบล็คครางหงิงๆเบาๆ เหมือนปลอบใจบิลลี่
แต่หลังภารกิจสุดท้ายสำเร็จ และหลัง แบล็คได้ออกมาจากโรงพยาบาล แบล็คเงียบลงกว่าปกติ
มันไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนเดิมเหมือนเวลาเล่นที่เคยเล่นกัน มันไม่ได้วิ่งไปรับลูกบอลที่บิลลี่โยนให้
เหมือนก่อน ไม่ได้ลุกขึ้นทุกครั้งที่มีเสียงไซเรนอย่างทุกที ไม่ได้เห่า ใส่แมวเพื่อนบ้านที่ชอบแอบมาเดิน
บนรั้ว มันใช้เวลานอนมากขึ้น... หายใจแผ่วลง... เหมือนไม่อยากจะหายใจอีก
บิลลี่เริ่มรู้อะไรบางอย่าง... แต่เขาไม่กล้าพูด คืนนั้นที่โรงพยาบาล บิลลี่บอกหมอว่า ปาฏิหาริย์
เกิดขึ้นแล้ว แบล็คฟื้น แบล็คตื่นและผ่านคืนนั้นมาได้ แต่หมอบอกว่า ให้ทำใจไว้บ้าง แบล็คจะไม่เหมือนเ
ดิมอีก
วันหนึ่ง เขาพาแบล็คกลับไปที่ “สนามเปล่า” ที่พวกเขาเคยฝึกกันวันแรก เขาปูผ้าผืนหนึ่งให้เจ้าแบล็ค
นอนกลางสนาม และเปิดกล่องเหรียญทั้งหมดที่แบล็คเคยได้รับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจแล้วบิลลี่ก็
นั่งข้างๆมันเงียบๆ “เอ็งเคยช่วยชีวิตข้า... ตอนนี้ข้าอยากให้เอ็งได้พัก เอ็งไม่ต้องฝืนเพื่อข้าหรอก ข้ารู้ว่า
เอ็งเหนื่อยมากแล้ว”เสียงของเขาสั่น น้ำตาคลอ แต่ยังฝืนยิ้ม แบล็คหันมามองหน้าบิลลี่... ขยับหัว มานอน
บนตักของบิลลี่ดวงตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยน้ำใสๆ เหมือนมันรู้ว่า บิลลี่ทำใจได้แล้ว บิลลี่อนุญาตให้มันไปแล้ว
มันไม่ต้องฝืนร่างกายของมันอีกต่อไป แล้ว... มันก็หายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยลมหายใจยาวออกมา...
พร้อมกับเปลือกตา ที่ค่อยๆหลับลงไป…ตลอดกาล
บิลลี่ร้องไห้โฮออกมา เขากอดร่างของมันแน่น กดหน้าผากลงบนขนของมัน แล้วพูดว่า
“ไม่ต้องเป็นฮีโร่แล้วนะ… พอแล้วลูกรัก” เสียงสั่นปนสะอื้น ไม่ได้ดังออกไปนอกสนาม
แต่คนทั้งกรมตำรวจรู้... ว่าฮีโร่ตัวหนึ่งได้จากไปแล้ว
หลังสิ้นลมหายใจของแบล็ค
บิลลี่ทำเรื่องขอให้ฝังแบล็คที่สนามฝึกจุดที่มันเคยวิ่งฝึกฝน จนคุ้นตาทุกคนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขา
นั่งพักด้วยกันเสมอ เขาทำป้ายไม้เล็กๆ แกะชื่อด้วยมือของเค้าเองว่า
“BLACK – K9 UNIT” เพื่อน คนรัก ครอบครัว และหัวใจของฉัน
หลายปีผ่านไป
ตำรวจนายหนึ่งมักจะกลับมาที่สนามฝึก นั่งลงใต้ต้นไม้ และเล่าเรื่องราวในแต่ละวัน
ให้ใครบางคนฟังเสมอแม้จะไม่มีเสียงเห่าตอบรับแต่เขายังรู้สึก... ว่ามีหางที่ยังสะบัดเบาๆ
อยู่ข้างๆ
.
.โลกนี้อาจมีหมาหลายพันตัว แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันเรียกว่า... เพื่อนรัก”
- - - - - - - - - -
The end
Cr.Tangkwa
หลอนจากเรื่องจริงStoryDog
#story #dog #กดติดตาม #share
( 14 )
คุณครูวินสตัน เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในรัฐเคนตักกี้
เขาได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตครูซึ่งสอนมานานกว่า 12 ปี - -
.
ในการสอบวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อสงครามโลกครั้งที่ 2 นักเรียนชายที่เขาไม่เปิดเผยชื่อได้ทำ
คะแนนสอบสูงสุดถึง 94 คะแนน ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนชาย
คนนี้เรียนเก่งมาก แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ตรงด้านล่างกระดาษคำตอบ- - นักเรียนคนนี้ได้
เสนอคะแนนโบนัส 5 คะแนน ที่เขาจะได้รับพิเศษจากการทำคะแนนสอบสูงสุด มอบให้กับนักเรียน
คนไหนก็ได้ที่ทำคะแนนสอบต่ำสุด!
.
คุณครูวินสตันเล่าว่า ปกตินักเรียนชายคนนี้มีจิตใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า เขาจะ
ยอมสละ 5 คะแนนนั้น เพราะถ้าเก็บไว้เอง ก็จะทำให้เขาได้คะแนนรวมถึง 99 คะแนน ซึ่งเป็นที่ทราบกัน
ดีว่า-โดยทั่วไป ธรรมชาติของเด็กเรียนเก่ง มักจะยึดติดกับเรื่องคะแนนมาก และอยากได้เป็นที่หนึ่งสูง
สุดเสมอ! .แต่ไม่ใช่นักเรียนคนนี้ เขากลับเสียสละได้อย่างง่ายดาย และให้โดยไม่สนใจว่าคนที่ได้รับ
คะแนนพิเศษนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา, เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาให้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ไม่เกี่ยงด้วยซ้ำ
ว่านักเรียนคนนั้นจะขี้เกียจ เกเร หรือสมควรได้รับคะแนนพิเศษหรือไม่
.คุณครูวินสตันทำตามที่เขาขอ - - และปรากฏว่า 5 คะแนนนั้น ได้ช่วยนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งสอบไม่ผ่าน
เพราะได้เพียง 58 คะแนน กลับกลายเป็นสอบผ่านด้วยคะแนน 63 จากคะแนนโบนัสที่นักเรียนชายใจดี
สละให้! แน่นอน, คุณครูวินสตันไม่บอกทั้งสองฝ่ายว่าใครเป็นคนได้คะแนน และใครเป็นคนให้คะแนน
พิเศษนั้น...
.
หลังจากที่คุณครูวินสตันได้แบ่งปันเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย มีคนพูดถึงและส่งต่อกันไปเป็นจำนวนมาก
จนกลายเป็นกระแส - - หลายคนชื่นชม ในขณะที่อีกหลายคนตำหนิคุณครูว่าไม่ควรทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผล
ต่าง ๆ นานา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว คุณครูวินสตันกับทางโรงเรียนก็ยังยืนยันและมองเห็นตรงกันว่าได้ผ
ลดีมากกว่าผลเสีย!
. . . . .
.เราเกิดมาในระบบของการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นความเป็นที่หนึ่งมาตลอด ไม่ต้องดูอื่นไกล ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน
ชั้นอนุบาล เราก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับเกมยอดนิยม”เก้าอี้ดนตรี”ที่เล่นกันมาทุกยุคทุกสมัย เล่นได้ตั้งแต่
เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เกมนี้ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เน้นความบันเทิงอย่างเดียว แต่ลองคิดดูดี ๆ ว่าเกมนี้
บอกอะไรกับเราบ้าง - -
. เพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับการเป็น “ที่หนึ่ง” ไม่ว่าในเรื่องการเรียน เกมหรือแม้แต่กีฬา ชีวิตตั้งแต่
เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จึงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เรากำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเกือบทุกประเภทจนถือเป็น
มาตรฐานว่า ผู้ชนะคือผู้ที่เก่งกว่า, ฉลาดกว่า, แข็งแรงกว่า, ตัวใหญ่กว่า, หรือรวดเร็วกว่าเท่านั้น และแน่นอน
ผู้แพ้ที่ถูกคัดออก ก็คือผู้ที่อ่อนแอ ตัวเล็ก ไม่ฉลาด หรือช้านั่นเอง - - โลกทุกวันนี้ จึงมีแต่ผู้ที่มุ่งมั่นต้องการ
เป็นที่หนึ่ง ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว...
. ผมนึกถึงคุณพ่อวิลเลี่ยมเคยพูดที่โบสถ์ St. Therese Parish (แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย) ถึงเกม 'เก้าอี้
ดนตรี"นี้ไว้อย่างน่าฟังเมื่อนานมาแล้ว... ท่านบอกว่า ถ้ากติกาการเล่นเกมนี้เปลี่ยนไป - - เก้าอี้มีน้อยกว่า
จำนวนผู้เล่นเหมือนเดิม แต่เมื่อเสียงดนตรีหยุดลง กติกาใหม่กำหนดว่า ผู้เล่นทุกคนต้องมีที่นั่งเสมอ นั่น
หมายความว่าใครบางคนต้องแบ่งที่นั่งร่วมกับคนอื่น หรือให้ใครอีกคนนั่งตัก ลองนึกภาพดูสิว่า
มันจะเป็นอย่างไร?
.
เมื่อกติกาเปลี่ยนไปอย่างนี้ การเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันจะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำ เด็กตัวเล็ก บอบบาง จะไม่ถูกผลัก
ออกไปเป็นคนแรกอย่างที่เคยเป็น แต่กลับถูกดึงให้มานั่งร่วมเก้าอี้ตัวเดียวกัน เพราะเด็กตัวเล็กจะกินเนื้อที่
น้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่าหากจำเป็นต้องให้นั่งตัก เมื่อเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เกมจะสนุกมากยิ่งขึ้นตรงที่พวก
เขาต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้นั่งในขณะที่จำนวนเก้าอี้เหลือน้อยลงทุกที... จนในที่สุดเด็ก
ทุกคนต่างนั่งซ้อนตักต่อ ๆ กันไปบนเก้าอี้ตัวเดียวกันครบทุกคน ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ที่ถูกคัดออก- -
.ชัยชนะเป็นของทุกคน ชัยชนะที่ได้มาจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่”ที่หนึ่ง”ของใครเพียงคนเดียว
ทุกคนล้วนเป็นที่หนึ่ง!
. . . . .
. เรื่องของคุณครูวินสตันกับนักเรียนเก่งคนนี้ก็เช่นกัน - - สะท้อนให้เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และ
สามารถ มองได้หลายมุม แต่มุมหนึ่งที่สำคัญ- - คุณครูวินสตันต้องการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอก
เห็นใจและรู้จัก ช่วยเหลือของเด็กนักเรียนคนนี้ ที่เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องคะแนนที่ต้องสูงสุดเป็นที่หนึ่งเสมอ!
.
เพราะที่ผ่านมา เราต่างเห็นผลร้ายจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวมามากมายแล้ว... บางครั้ง, การสอบผ่านหรือ
ไม่ผ่าน เก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่สาระของชีวิตเลย เมื่อเราออกมาใช้ชีวิตนอกโรงเรียน เราจึงรู้ว่าความรัก,
การเห็นอกเห็นใจ, เสียสละ, แบ่งปัน ถึงจะทำให้โลกนี้อบอุ่น สวยงาม และยังคงน่าอยู่ต่อไป...
.
ปะการัง
คุณครูวินสตัน เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในรัฐเคนตักกี้
เขาได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตครูซึ่งสอนมานานกว่า 12 ปี - -
.
ในการสอบวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อสงครามโลกครั้งที่ 2 นักเรียนชายที่เขาไม่เปิดเผยชื่อได้ทำ
คะแนนสอบสูงสุดถึง 94 คะแนน ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนชาย
คนนี้เรียนเก่งมาก แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ตรงด้านล่างกระดาษคำตอบ- - นักเรียนคนนี้ได้
เสนอคะแนนโบนัส 5 คะแนน ที่เขาจะได้รับพิเศษจากการทำคะแนนสอบสูงสุด มอบให้กับนักเรียน
คนไหนก็ได้ที่ทำคะแนนสอบต่ำสุด!
.
คุณครูวินสตันเล่าว่า ปกตินักเรียนชายคนนี้มีจิตใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า เขาจะ
ยอมสละ 5 คะแนนนั้น เพราะถ้าเก็บไว้เอง ก็จะทำให้เขาได้คะแนนรวมถึง 99 คะแนน ซึ่งเป็นที่ทราบกัน
ดีว่า-โดยทั่วไป ธรรมชาติของเด็กเรียนเก่ง มักจะยึดติดกับเรื่องคะแนนมาก และอยากได้เป็นที่หนึ่งสูง
สุดเสมอ! .แต่ไม่ใช่นักเรียนคนนี้ เขากลับเสียสละได้อย่างง่ายดาย และให้โดยไม่สนใจว่าคนที่ได้รับ
คะแนนพิเศษนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา, เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาให้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ไม่เกี่ยงด้วยซ้ำ
ว่านักเรียนคนนั้นจะขี้เกียจ เกเร หรือสมควรได้รับคะแนนพิเศษหรือไม่
.คุณครูวินสตันทำตามที่เขาขอ - - และปรากฏว่า 5 คะแนนนั้น ได้ช่วยนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งสอบไม่ผ่าน
เพราะได้เพียง 58 คะแนน กลับกลายเป็นสอบผ่านด้วยคะแนน 63 จากคะแนนโบนัสที่นักเรียนชายใจดี
สละให้! แน่นอน, คุณครูวินสตันไม่บอกทั้งสองฝ่ายว่าใครเป็นคนได้คะแนน และใครเป็นคนให้คะแนน
พิเศษนั้น...
.
หลังจากที่คุณครูวินสตันได้แบ่งปันเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย มีคนพูดถึงและส่งต่อกันไปเป็นจำนวนมาก
จนกลายเป็นกระแส - - หลายคนชื่นชม ในขณะที่อีกหลายคนตำหนิคุณครูว่าไม่ควรทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผล
ต่าง ๆ นานา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว คุณครูวินสตันกับทางโรงเรียนก็ยังยืนยันและมองเห็นตรงกันว่าได้ผ
ลดีมากกว่าผลเสีย!
. . . . .
.เราเกิดมาในระบบของการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นความเป็นที่หนึ่งมาตลอด ไม่ต้องดูอื่นไกล ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน
ชั้นอนุบาล เราก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับเกมยอดนิยม”เก้าอี้ดนตรี”ที่เล่นกันมาทุกยุคทุกสมัย เล่นได้ตั้งแต่
เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เกมนี้ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เน้นความบันเทิงอย่างเดียว แต่ลองคิดดูดี ๆ ว่าเกมนี้
บอกอะไรกับเราบ้าง - -
. เพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับการเป็น “ที่หนึ่ง” ไม่ว่าในเรื่องการเรียน เกมหรือแม้แต่กีฬา ชีวิตตั้งแต่
เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จึงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เรากำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเกือบทุกประเภทจนถือเป็น
มาตรฐานว่า ผู้ชนะคือผู้ที่เก่งกว่า, ฉลาดกว่า, แข็งแรงกว่า, ตัวใหญ่กว่า, หรือรวดเร็วกว่าเท่านั้น และแน่นอน
ผู้แพ้ที่ถูกคัดออก ก็คือผู้ที่อ่อนแอ ตัวเล็ก ไม่ฉลาด หรือช้านั่นเอง - - โลกทุกวันนี้ จึงมีแต่ผู้ที่มุ่งมั่นต้องการ
เป็นที่หนึ่ง ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว...
. ผมนึกถึงคุณพ่อวิลเลี่ยมเคยพูดที่โบสถ์ St. Therese Parish (แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย) ถึงเกม 'เก้าอี้
ดนตรี"นี้ไว้อย่างน่าฟังเมื่อนานมาแล้ว... ท่านบอกว่า ถ้ากติกาการเล่นเกมนี้เปลี่ยนไป - - เก้าอี้มีน้อยกว่า
จำนวนผู้เล่นเหมือนเดิม แต่เมื่อเสียงดนตรีหยุดลง กติกาใหม่กำหนดว่า ผู้เล่นทุกคนต้องมีที่นั่งเสมอ นั่น
หมายความว่าใครบางคนต้องแบ่งที่นั่งร่วมกับคนอื่น หรือให้ใครอีกคนนั่งตัก ลองนึกภาพดูสิว่า
มันจะเป็นอย่างไร?
.
เมื่อกติกาเปลี่ยนไปอย่างนี้ การเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันจะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำ เด็กตัวเล็ก บอบบาง จะไม่ถูกผลัก
ออกไปเป็นคนแรกอย่างที่เคยเป็น แต่กลับถูกดึงให้มานั่งร่วมเก้าอี้ตัวเดียวกัน เพราะเด็กตัวเล็กจะกินเนื้อที่
น้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่าหากจำเป็นต้องให้นั่งตัก เมื่อเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เกมจะสนุกมากยิ่งขึ้นตรงที่พวก
เขาต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้นั่งในขณะที่จำนวนเก้าอี้เหลือน้อยลงทุกที... จนในที่สุดเด็ก
ทุกคนต่างนั่งซ้อนตักต่อ ๆ กันไปบนเก้าอี้ตัวเดียวกันครบทุกคน ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ที่ถูกคัดออก- -
.ชัยชนะเป็นของทุกคน ชัยชนะที่ได้มาจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่”ที่หนึ่ง”ของใครเพียงคนเดียว
ทุกคนล้วนเป็นที่หนึ่ง!
. . . . .
. เรื่องของคุณครูวินสตันกับนักเรียนเก่งคนนี้ก็เช่นกัน - - สะท้อนให้เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และ
สามารถ มองได้หลายมุม แต่มุมหนึ่งที่สำคัญ- - คุณครูวินสตันต้องการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอก
เห็นใจและรู้จัก ช่วยเหลือของเด็กนักเรียนคนนี้ ที่เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องคะแนนที่ต้องสูงสุดเป็นที่หนึ่งเสมอ!
.
เพราะที่ผ่านมา เราต่างเห็นผลร้ายจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวมามากมายแล้ว... บางครั้ง, การสอบผ่านหรือ
ไม่ผ่าน เก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่สาระของชีวิตเลย เมื่อเราออกมาใช้ชีวิตนอกโรงเรียน เราจึงรู้ว่าความรัก,
การเห็นอกเห็นใจ, เสียสละ, แบ่งปัน ถึงจะทำให้โลกนี้อบอุ่น สวยงาม และยังคงน่าอยู่ต่อไป...
.
ปะการัง
( 15 )
# พ ลั ง...แ ห่ ง ชี วิ ต ... #
.
“พลังงานของคนข้างกาย” กำหนดโลกทั้งใบของเรา !
โลกนี้มีทั้งคนที่ “ให้พลังบวก” และคนที่ “ดูดพลังชีวิต”
คุณอาจเคยเจอคนบางประเภท… ที่เพียงแค่ได้พูดคุยด้วยไม่กี่ประโยค คุณกลับรู้สึกหนักใจ เครียดลง
และหมดแรง. นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือพลังลบที่เขาแบกมาทั้งชีวิต...แล้วโยนใส่คุณโดยไม่รู้ตัว !
คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น พวกเขาอาจมองว่า... การวิจารณ์คนอื่นคือ
“การวิเคราะห์” การตั้งข้อสงสัยไปทุกเรื่องคือ “ความรอบคอบ”
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเขากำลังทำ คือการปล่อยคำพูดที่สร้างความกังวล ตีกรอบชีวิตคนอื่น
จากมุมมองแคบ ๆของตัวเอง แล้วพาให้ผู้คนรอบตัวจมลงไปในบ่อน้ำที่ชื่อว่า “ความเครียด”
พวกเขาอาจไม่ได้ตั้งใจให้คุณรู้สึกแย่ แต่ทุกครั้งที่ได้ฟัง…ใจของผู้ฟังก็พลอยหม่นตามลงไปด้วย
อย่างช่วยไม่ได้
... ชีวิตสั้นเกินไปที่จะอยู่ใกล้คนแบบนั้น หากทุกบทสนทนาทำให้เกิดความอึดอัด คับข้องใจ.
หากการอยู่ร่วมกันทำให้รู้สึกหมดไฟในการดำเนินชีวิต. หากคำพูดของเขาทำให้คุณสงสัย
ในตัวเอง ทุกครั้ง ขอจงอย่าลังเลที่จะ “ก้าวเดินออกมา”
โลกใบนี้ ยังมีคนที่ทำให้เราสบายใจ มีคนที่เข้าใจในสถานการณ์โดยไม่มีการตัดสิน. มีคนที่
ช่วยร่วมมองปัญหาในมุมมองที่สร้างสรรค์ และยังมีคนที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า…
“แม้โลกจะโหดร้าย แต่เราก็ยังโชคดี ที่มีผู้สร้างพลังใจให้ได้พึ่งพิงกัน”
ต้องการจะเป็นคนแบบไหน? ก็ขอให้เลือกอยู่กับคนแบบนั้น. ถ้าอยากเป็นคนคิดบวก
ขอให้เลือกอยู่ใกล้คนที่มองปัญหาเป็นบทเรียน
ถ้าอยากมีชีวิตที่โล่งเบาสบาย ขอให้เลือกอยู่กับคนที่ร่วมรับฟังปัญหา โดยไม่พิพากษาทุกการ
เติบโต และการดำรงอยู่ ล้วนเกิดจากการช่วยยกระดับให้จิตใจ ไม่ใช่การเหยียบย่ำซ้ำเติม ...
และที่สำคัญ… อย่าเผลอกลายเป็น “คนคิดลบ” ในแบบที่เราเองก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้. เพราะเมื่อใด
ก็ตามที่เรากลายเป็นคนแบบนั้น โลกทั้งใบของเราก็จะค่อย ๆ หม่นมัวลงไป... โดยที่เราเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า: คำพูดคือพลัง !. พลังที่สามารถทำลาย หรือพลังที่ช่วยเยียวยา
ขอให้เลือกเป็นผู้ส่งที่ดี และเลือกอยู่ใกล้ผู้ส่งที่ดีด้วยเช่นกัน ...
# พ ลั ง...แ ห่ ง ชี วิ ต ... #
.
“พลังงานของคนข้างกาย” กำหนดโลกทั้งใบของเรา !
โลกนี้มีทั้งคนที่ “ให้พลังบวก” และคนที่ “ดูดพลังชีวิต”
คุณอาจเคยเจอคนบางประเภท… ที่เพียงแค่ได้พูดคุยด้วยไม่กี่ประโยค คุณกลับรู้สึกหนักใจ เครียดลง
และหมดแรง. นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือพลังลบที่เขาแบกมาทั้งชีวิต...แล้วโยนใส่คุณโดยไม่รู้ตัว !
คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น พวกเขาอาจมองว่า... การวิจารณ์คนอื่นคือ
“การวิเคราะห์” การตั้งข้อสงสัยไปทุกเรื่องคือ “ความรอบคอบ”
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเขากำลังทำ คือการปล่อยคำพูดที่สร้างความกังวล ตีกรอบชีวิตคนอื่น
จากมุมมองแคบ ๆของตัวเอง แล้วพาให้ผู้คนรอบตัวจมลงไปในบ่อน้ำที่ชื่อว่า “ความเครียด”
พวกเขาอาจไม่ได้ตั้งใจให้คุณรู้สึกแย่ แต่ทุกครั้งที่ได้ฟัง…ใจของผู้ฟังก็พลอยหม่นตามลงไปด้วย
อย่างช่วยไม่ได้
... ชีวิตสั้นเกินไปที่จะอยู่ใกล้คนแบบนั้น หากทุกบทสนทนาทำให้เกิดความอึดอัด คับข้องใจ.
หากการอยู่ร่วมกันทำให้รู้สึกหมดไฟในการดำเนินชีวิต. หากคำพูดของเขาทำให้คุณสงสัย
ในตัวเอง ทุกครั้ง ขอจงอย่าลังเลที่จะ “ก้าวเดินออกมา”
โลกใบนี้ ยังมีคนที่ทำให้เราสบายใจ มีคนที่เข้าใจในสถานการณ์โดยไม่มีการตัดสิน. มีคนที่
ช่วยร่วมมองปัญหาในมุมมองที่สร้างสรรค์ และยังมีคนที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า…
“แม้โลกจะโหดร้าย แต่เราก็ยังโชคดี ที่มีผู้สร้างพลังใจให้ได้พึ่งพิงกัน”
ต้องการจะเป็นคนแบบไหน? ก็ขอให้เลือกอยู่กับคนแบบนั้น. ถ้าอยากเป็นคนคิดบวก
ขอให้เลือกอยู่ใกล้คนที่มองปัญหาเป็นบทเรียน
ถ้าอยากมีชีวิตที่โล่งเบาสบาย ขอให้เลือกอยู่กับคนที่ร่วมรับฟังปัญหา โดยไม่พิพากษาทุกการ
เติบโต และการดำรงอยู่ ล้วนเกิดจากการช่วยยกระดับให้จิตใจ ไม่ใช่การเหยียบย่ำซ้ำเติม ...
และที่สำคัญ… อย่าเผลอกลายเป็น “คนคิดลบ” ในแบบที่เราเองก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้. เพราะเมื่อใด
ก็ตามที่เรากลายเป็นคนแบบนั้น โลกทั้งใบของเราก็จะค่อย ๆ หม่นมัวลงไป... โดยที่เราเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า: คำพูดคือพลัง !. พลังที่สามารถทำลาย หรือพลังที่ช่วยเยียวยา
ขอให้เลือกเป็นผู้ส่งที่ดี และเลือกอยู่ใกล้ผู้ส่งที่ดีด้วยเช่นกัน ...