9 เกาะติดวิกฤติโลกผ่านทางพระคัมภึร์และนอสตาดามุส (81-90 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:37 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 81 )

✴️ สารล่าสุดของแม่พระ ​(A) ✴️
- ผมขอรวบรวมสารล่าสุดของบาทหลวง​กอบบี ระหว่างปี 1994 - 1995 ซึ่งได้ให้ความหวังไว้อย่างน่า
ชื่นชม ถึงแม้จะต้องผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญแห่งการชำระล้างครั้งใหญ่ก่อนก็ตาม
- (1 มกราคม 1994) ขอให้ลูกเปิดใจรอด้วยความหวัง เพราะในปีเหล่านี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการ​
เตรียม​ตัวรับเสด็จการกลับมาของพระเยซูพร้อมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์อลังการ นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ
พระผู้เป็นเจ้า
- ที่แม่ทำไปทุกวันนี้ก็เป็นการตระเตรียมการเสด็จกลับมาอย่างมีชัยของพระบุตร ตามที่ลูกๆ รู้ดีแล้วว่า
ในการมาครั้งแรกของพระองค์​ แม่เองได้เป็นแม่ที่ต่ำต้อยและยากจนเพียงใด ในการมาครั้งที่​ 2 ของพระองค์
​ แม่ก็ยิ่งจะเป็นแม่ที่มีอำนาจ​และมีสง่าราศีระหว่างลูกๆ เพียงนั้น
- ภารกิจของแม่ คือ เปิดประตูไปสู่ยุคใหม่ ที่กำลังรอพวกลูกๆ​ อยู่​ เพื่อจะนำไปยังฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่​
และเหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะที่เป็นแม่ของพระ (เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้า-สนธิ) แม่ได้รับมอบหมายให้พิชิต
ซาตานและอำนาจชั่วร้ายต่างๆ เพื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประสบชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ​เด็ดขาด​ในโลก
- ขอให้ลูกๆ เปิดใจรอด้วยความหวังเถอะ เพราะแม่เป็นแม่ของมนุษยชาติ และในฐานะแม่ แม่คอยติดตาม
ลูกๆ ด้วยความรักตลอดช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์​ และเหนือสิ่งใดในตอนสิ้นยุคนี้​ แม่รู้สึกว่าแม่
เป็นแม่ของมนุษยชาติ ซึ่งกำลังติดกับดัก กำลังถูกครอบงำจากจิตชั่ว ทุกวันนี้ซาตานกำลังประสบชัยชนะ มัน
กำลังนำมนุษย์ไปสู่การปฏิเสธ​พระผู้เป็นเจ้า​ และกำลังนำมนุษยชาติให้อยู่ใต้อาณาจักรอันชั่วร้ายของมัน
- ในฐานะที่เป็นแม่ของมนุษยชาติ​ แม่ได้รับมอบหมายให้ปลดปล่อยจากความเป็นทาสของซาตาน ฉะนั้น
จำเป็นเหลือเกินที่ลูกจะต้องติดตามแม่ในการประจัญบานอย่างเหี้ยมหาญ เพื่อว่าในบั้นปลายจะได้รับชัยชนะ
อย่างสิ้นสงสัย​ เพราะว่าแม่เองจะทำให้ซาตานหมดพลัง และแม่เองจะทำลายอำนาจชั่วร้ายให้มลายไปสิ้น
- และแล้วมนุษยชาติทั้งมวลก็จะกลับมาสู่การสมรสแห่งความรักครั้งใหม่ ต่อพระสวามีเจ้าของเขา
​ (มนุษยชาติ) พระสวามีผู้นี้จะนำมนุษยชาติเข้าสู่อ้อมกอด​ และนำไปสู่สวรรค์ ณ แผ่นดิน ซึ่งจะเป็นชีวิตที่สนิท
สนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์อย่างบริสุทธิ์เปี่ยมล้น
- จงเปิดใจรอคอยด้วยความหวังเถิด เพราะแม่เป็น “มารดาของพระศาสนจักร”​
- ตลอดห้วงเวลาแห่งปีเหล่านี้​ แม่จะอยู่ใกล้ชิดกับลูกสาวสุดที่รักคนนี้ (พระศาสนจักร) ด้วยความเป็นห่วง
เป็นใย และด้วยความอาทรร้อนใจเยี่ยงแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระสุดท้ายนี้ แม่จะอยู่ใกล้ชิดกับ
พระศาสนจักร เมื่อพระศาสนจักรจะมีชีวิตในชั่วโมงทรหดแห่งการชำระล้าง และแห่งมหาวิปโยค
- แผนการของพระบิดาเจ้าสวรรค์จะต้องดำเนินไป นั่นก็คือ พระศาสนจักรกำลังถูกเรียกให้ไต่ขึ้นเขา
กัลวารีโอ (ซึ่งพระเยซูถูกตรึงกางเขน-สนธิ) เป็นพลีบูชา ลูกสาวสุดที่รักของแม่คนนี้จะถูกเฆี่ยนและถูกทำ
ให้เป็นบาดแผล ถูกทรยศ ถูกฉุดกระชากลากถู ถูกทอดทิ้ง​ และถูกนำไปยังตะแลงแกง ณ สถานที่ที่เธอจะถูก
ตรึงกางเขน บุรุษแห่งความชั่วร้าย​ (แอนตี้ไคร้สต์-สนธิ) จะเข้าไปข้างในของเธอ (พระศาสนจักร) มันจะนำ
ความบัดสีบัดเถลิง ซึ่งจะก่อให้เกิดความวิบัติไปถึงขีดสูงสุด ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์
- อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ลูกๆ​ ที่รักยิ่งของแม่ ขอให้มีความมั่นใจ
- แม่ได้เกริ่นไว้ว่า จะมีการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่ ซึ่งจะกระหน่ำมนุษยชาติที่น่าสงสาร ซึ่งได้กลายเป็นคนไม่
เชื่อพระไม่เชื่อเจ้าอีกต่อไป​ แต่หันไปสร้างวัฒนธรรมใหม่โดยไม่มีพระ ซึ่งจะถูกคุกคามด้วยความรุนแรง​
ความเกลียดชัง​ และสงคราม​ ซึ่งจะเป็นการเสี่ยงที่จะทำลายตัวเองด้วยมือของตนเอง
- แม่ได้พยายามเข้ามาช่วยอนุเคราะห์ เพื่อจะนำมนุษยชาติกลับมาสู่หนทางแห่งการกลับใจที่จะ
หวนกลับมายังพระผู้เป็นเจ้าเสียใหม่​ แต่ก็ถูกปฏิเสธ และไม่ยอมเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง
- ขณะนี้ ขอให้ลูกรู้ไว้เถอะว่า ลูกกำลังอยู่ในวันสุกดิบแห่งการทดสอบครั้งใหญ่ ซึ่งแม่ได้เคยบอกไว้แล้ว
มันจะเป็นการสำแดงครั้งมโหฬารถึงพระเมตตา และพระยุติธรรมของพระเจ้า
- ไฟจะตกจากฟ้า และมนุษยชาติจะถูกชำระล้างให้หมดจด และจะกลายเป็นคนใหม่​ เพื่อพร้อมที่จะรับ
พระเยซูผู้จะเสด็จมาด้วยพระพระสิริอันรุ่งเรือง
- แม่ได้เคยบอกมาแล้วว่า จะเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในพระศาสนจักร​ เพราะจะเกิดการทิ้งศาสนาครั้ง
ใหญ่ ​ ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการแพร่ความหลงผิดที่จะขยายตัวยิ่งทียิ่งมากขึ้น จากการขัดแย้งกับโป๊ป​ หรือจาก
การปฏิเสธอำนาจการสอน (Magisterium) ของพระองค์​
- ลูกสาวสุดที่รัก (พระศาสนจักร) ของแม่คนนี้จะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเข้าตรีทูต และช่วงเวลาแห่ง
มหาทรมานอันแสนปวดร้าว​ เธอจะถูกทอดทิ้งจากลูกๆ ของเธอ พายุอันรุนแรงแห่งการเบียดเบียนจะกระหน่ำ
ใส่เธอ เธอจะต้องหลั่งเลือดแม้จากลูก​ๆ (ชาย) อันเป็นที่รักของเธอเอง
- แม่เป็นทุกข์และกังวลใจที่เห็นมนุษยชาติที่น่าสงสารนี้ช่างอยู่ห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาเสีย
จริงๆ มนุษยชาติซึ่งไร้ความรับผิดชอบ และไม่รู้สึกอินังขังขอบ​ กำลังเดินสู่เส้นทางแห่งความชั่ว​ แห่งความ
ไม่บริสุทธิ์ แห่งความเกลียดชัง และแห่งสงคราม
- ช่างเป็นภัยใหญ่หลวง​ มนุษยชาติที่กำลังมุ่งสู่ การทำลายตัวเองด้วยฝีมือของเขาเอง แม่เห็นหนทางที่
นองไปด้วยเลือด ในขณะที่ความรุนแรง ความเกลียดชัง​ กำลังม้วนตัวดุจพายุหมุนที่น่าขนหัวลุกกำลังพัดชีวิต
ของครอบครัวและของนานาชาติ
- แม่เป็นทุกข์ที่เห็นพระศาสนจักรลูกสาวสุดที่รักของแม่กำลังหมอบราบใต้กางเขนแห่งมหาทรมานอัน
แสนเจ็บปวด ช่างมีคนมากมายปฏิเสธเธอ และทรยศเธอ มีคนไม่น้อยที่ทอดทิ้งและประณามเธอ​ นอกจากนี้
ยังมีบางคนถึงกับใช้ถ้อยคำหยาบคาย และกระทำทารุณต่อเธอ ในระหว่างคนเหล่านี้มีบางคนในบรรดาลูก
ที่รักของแม่ด้วย ทั้งสังฆรา​ช​และสงฆ์ที่เลียนแบบการ​กระทำของ ยูดาส ซึ่งได้ทรยศ (พระเยซู โดยการมอบ
พระองค์ให้ศัตรู-สนธิ) หรือ อย่างเช่น เปโตรที่ได้ปฏิเสธ (พระเยซู ตอนที่พระองค์ถูกจับไปขังที่สำนักมหาปุโรหิต
ว่าตนเองมิใช่ศิษย์ของพระเยซู-สนธิ) หรืออย่างเช่นศิษย์บางคนของพระเยซูได้หลบหนีไปจากพระองค์​เ
พราะความขี้ขลาดตาขาว

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ ส.ค. 29, 2025 12:45 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:42 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 82 )

✴️ สารล่าสุด​ของ​แม่พระ​ (B) ✴️
- ลูกจะต้องเป็นเหมือน จอห์น​ คนใหม่ ซึ่งยืนหยัดจนนาทีสุดท้ายที่เชิงกางเขน ซึ่งขณะนี้พระศาสนจักร
กำลังถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นการพลีบูชาเพื่อความรอดพ้นของโลก
- 13 พ.ค. 94 วันครบรอบการปรากฏมาของแม่ที่ฟาติมา​ โปรตุเกส​ในปี 1917
- นี่คือ สารแห่งวิวรณ์ (Apocalypse หมายถึงนิมิตของเซนต์จอห์นเกี่ยวกับพระศาสนจักรตั้งแต่แรก
เริ่มไปจนวาระสุดท้ายว่าจะลงเอยอย่างไร-สนธิ)
- สารนี้บอกถึงอวสานแห่งยุค
- สารนี้ประกาศและเตรียมการเสด็จกลับมาของพระบุตรเยซูในสง่าราศี
- มนุษยชาตินี้ได้หันหน้าไปบูชาผีสางนางไม้ ถูกขังอยู่ในความหนาวเย็นโดยการปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า​
กบฏต่อกฎแห่งความรักของพระองค์ มนุษยชาตินี้ถูกทำให้เสื่อมทรามด้วยบาป ปีศาจมารร้ายทั้งปวงซึ่ง
เจ้าซาตานมีอำนาจเหนือพวกมัน ประดุจผู้พิชิตเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว​ แม่กำลังแผ่รังสีแห่งความรัก และ
แห่งแสงสว่างแห่งดวงใจอันบริสุทธิ์มายังลูกๆ ทุกคน
- รังสีนี้กำลังทอแสงมายังลูกๆ​ ระหว่างหนทางที่ลูกต้องเดิน และหันกลับมายังพระผู้เป็นเจ้าตามเส้นทาง
แห่งการกลับใจ สวดอธิษฐาน​ และการทำพลีกรรมใช้โทษบาป
- แม่กำลังแผ่รังสีแห่งความรักแห่งแสงสว่างจากดวงใจอันบริสุทธิ์ของแม่ มาสู่พระศาสนจักรซึ่งกำลัง
มัวหมอง กำลังละทิ้งความเชื่อไปอย่างกว้างขวาง เมื่อนั้นดวงใจอันบริสุทธิ์ของแม่จะรวบรวมกลุ่มคนเล็กๆ​
ที่ยังคงสัตย์ซื่อ ยอมสู้ทนความยากลำบาก​ หมั่นสวดสวดอธิษฐานภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งตาคอยด้วย
ความหวัง ในการเสด็จกลับมาของพระเยซู​
- ด้วยเหตุผลอันนี้ แม่จึงกระตุ้นลูกในวันนี้ให้มองดูแสงอันยิ่งใหญ่และสำคัญ ซึ่งได้ส่งประกายมาจาก
ฟาติมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ​ แห่งศตวรรษนี้ ซึ่งกำลังกลายเป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสในวันท้ายๆ​ เหล่านี้​
- สารของแม่ก็อยู่ในวิวรณ์นั่นเองที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระศาสนจักร เพราะว่าลูกๆ อยู่ในใจกลาง
ของสารนั้น แม่มอบความไว้วางใจแก่เทวทูต ที่จะนำแสงสว่างมายังลูกเพื่อให้ลูกเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ​ เหล่านี้
ว่า ขณะนี้แม่ได้เปิดหนังสือที่ถูกประทับตราไว้แก่ลูกๆ​(หมายความว่าแม่พระได้เปิดเผยข้อความในวิวรณ์ที่
ค่อนข้างลึกลับและเข้าใจยากให้พวกเรารู้อย่างกระจ่างแจ้ง ว่าจะเกิดอะไรขึ้น-สนธิ)
- การชำระล้างโลกจะเกิดขึ้นโดยการกระทำแห่งพระจิตแห่งความรัก ซึ่งพระองค์จะเทไฟที่ร้อนแรงจาก
ฟากฟ้าเพื่อเนรมิตผืนแผ่นดินเสียใหม่
- ทุกขเวทนาสารพัดอย่างที่พวกลูกไม่เคยพบพานมาก่อนกำลังคอยลูกอยู่ เพราะเรากำลังขยับเข้าใกล้ห้วงเ
วลาแห่งการฟื้นฟูโลก
ซาตาน จอมมาร จะถูกปราบ​ อำนาจแห่งความชั่วร้ายจะถูกทำลาย​ พระเยซูจะสถาปนาอาณาจักร​อัน
รุ่งโรจน์ของพระองค์ท่ามกลางพวกลูก​ และฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่จะถูกเนรมิตขึ้นมา
หากปราศจากการเข้ามาช่วยเหลือเป็นพิเศษด้วยความรักความห่วงใยของแม่แล้วไซร้ พวกลูกจะไม่
สามารถสู้ทนความยากลำบากแห่งการทดสอบครั้งใหญ่ที่จะมาถึงนี้ได้เลย
- ความลับของแม่เกี่ยวกับพระศาสนจักร
การทิ้งความเชื่อหรือการกบฏต่อพระเจ้าครั้งใหญ่จะบรรลุถึงจุดสุดยอดในพระศาสนา จะแพร่ไปทั่วโลก
การแตกแยกจะเกิดขึ้นโดยการเอาใจออกห่างจากพระวรสาร และจากความเชื่อที่แท้จริง บุรุษแห่งความชั่ว
ร้ายจะเข้าไปในพระศาสนจักร มันจะตั้งตัวเป็นพระคริสต์​ ซึ่งจะนำความอุบาทว์บัดสีบัดเถลิงไปถึงสุดยอด
แห่งการทุราจารอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งประกาศกดาเนียลได้เคยกล่าวไว้ (มัทธิว 24:15)
- ภาพลับของแม่เกี่ยวกับมนุษยชาติ
มนุษยชาติจะบรรลุถึงยอดสุดแห่งความเน่าเฟะ​ แห่งความชั่วช้า​ แห่งการกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า และแห่ง
การโต้แย้งอย่างเปิดเผยต่อกฎแห่งความรัก
มนุษยชาติจะสำเหนียกถึงห้วงเวลาแห่งการลงทัณฑ์ครั้งมโหฬาร​ ซึ่งประกาศกเศคาริยาได้ทำนายไว้แล้ว
(ศคย. 13:7-9)
ณ ห้วงเวลาสุดยอดแห่งมหาวิปโยคของลูกๆ ณ สถานที่นี้ การปรากฏมาของแม่ด้วยแสงสว่างเจิดจ้า
ซึ่งทุกคนจะมองเห็นได้
จากที่นี้แสงของแม่จะแผ่ไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลก และจากท่อธารนี้​ น้ำแห่งพระเมตตาจะพรั่งพรูออกมา
แล้วไหลลงมารดความแห้งแล้งของ​โลก ซึ่งในขณะนั้นได้กลายเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล​ ชัยชนะ
แห่งดวงหทัยนิรมลของสตรีผู้นั้น ซึ่งถูกแซ่ซ้องว่าเป็นพระมารดาแห่งพระเมตตา จะปรากฏให้ทุกคนเห็น
ในปฏิบัติการพิเศษแห่งความรักและแห่งความรอดพ้นของแม่
- แม่ขอยืนยันแก่พวกลูกว่า ในวโรกาสสมโภชครั้งมโหฬาร​ คริสต​ศักราช 2000 ดวงใจบริสุทธิ์ของแม่จะ
ประสบชัยชนะ​ (ต่อมารซาตาน​ซึ่งก่อนหน้านี้แม่พระต้องขับเคี่ยวกับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย แบบใครดีใครอยู่)
ซึ่งแม่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ปรากฏมาที่ฟาติมาแล้ว และเหตุการณ์​นี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเสด็จกลับมาของพระเยซู
ในสง่าราศี เพื่อจะตั้งอาณาจักรของพระองค์บนโลกนี้​ เพราะฉะนั้นลูกก็จะสามารถเห็นฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่
ด้วยตาของลูกเองในที่สุด
- ลูกจะเข้าใจว่า ในปีท้ายๆ​ ของศตวรรษนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลึกลับของพระเจ้า
ที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา กำลังจะถูกเปิดเผยเป็นขั้นเป็นตอน
- ขอให้ลูกเปิดใจคอยด้วยความหวังเถิด เพราะว่าโอกาสนั้นได้มาถึงแล้ว เมื่อแม่ฟ้าสวรรค์ของลูกจะ
สำแดงองค์ในมหิทธิศักดิ์ของพระนาง​ “แม่เป็นรุ่งอรุณ” ซึ่งจะนำหน้าวันอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็รเจ้า​ แม่
เป็นเสียงร้องเรียก ซึ่งจะดังขึ้นๆ ในวันเหล่านี้ เพื่อจะเผยแผ่คำประกาศเชิงพยากรณ์ไปสู่ทุกส่วนของโลกว่า :
จงเตรียมตัวให้ดี ในการต้อนรับพระเยซูพระบุตรของแม่​ ซึ่งขณะนี้กำลังใกล้จะเสด็จมาท่ามกลางลูก​ๆ แล้ว
พระองค์จะเสด็จมาบนหมู่เมฆเปี่ยมด้วยพระสิริโชติช่วงชัชวาลแห่งพระผู้เป็นเจ้า

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2025 7:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:47 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 83 )

✴️ พระธรรมวิวรณ์บทที่​ 13​ (A)​ ✴️
เนื่องจากพระธรรมวิวรณ์เป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่งซึ่งใช้ภาษาสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ จึงยากที่จะ
เข้าใจโดยเฉพาะบทที่ 13 นี้ ลองมาดูการไขความของแม่พระผ่านบาทหลวงกอบบี อาจจะทำให้เราเข้าใจ
เหตุการณ์ของโลกในปัจจุบันได้กระจ่างขึ้นก็เป็นได้
วันอาทิตย์อีสเตอร์ 26 มีนาคม​1981
(วันฉลองพระคริสต์คืนชีพ)
- วันนี้ลูกๆ กำลังรอคอยการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองของพระเยซู
- ลูกอย่าเพิ่งหมดกำลังใจในชัยชนะชั่วคราวของมารและของบาป
- ลูกอย่าเศร้าเสียใจในชัยชนะชั่วยาม​ ในการปฏิเสธอย่างดื้อรั้นต่อพระเจ้า​ ในการกบฏต่อกฎแห่ง
ความรัก ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกขณะนี้
- และอย่าได้แปลกใจหรือสงสัยในการเห็นพระศาสนจักร มีบาดแผลและสั่นสะท้าน อีกทั้งยังถูกหลอก
และถูกทรยศ
- พระคริสต์คืนชีพเป็นเรื่องน่าชื่นชม ท่ามกลางลูกๆ พระคริสต์คืนชีพเป็นสัญญาณบอกเหตุถึงชัยชนะต่อโลก
- พระคริสต์คืนชีพมีพระประสงค์จะสถาปนาอาณาจักรของพระองค์​ท่ามกลางลูกๆ เพื่อว่าอาณาจักรนี้จะ
ได้รับเกียรติจากจักรวาลทั้งหมดที่ถูกสร้างมา
- ขอให้ลูกๆ เจริญชีวิตในความชื่นชมยินดี และในความหวังอันมั่นคงในการรอคอยการเสด็จกลับมาอย่าง
รุ่งเรืองของพระองค์
14 พฤษภาคม 1989 (ฉลองพระจิตเจ้าเสด็จลงมา)
พญามังกรสีแดง
- ลูกๆ ที่รักยิ่ง วันนี้ลูกนมัสการและร้องหาพระจิตเจ้าให้เสด็จลงมาเหนือบรรดาสานุศิษย์ และแม่ในห้อง
อาหาร (เซนาเกิล) แห่งกรุงเยรูซาเล็ม
- ขอให้ลูกร้องเรียกอีกในยุคของลูกด้วยความไว้ใจ อย่าได้หยุดหย่อนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับแม่
ในเซนาเกิล ในการสวดภาวนาซึ่งขณะนี้กำลังแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
- พระจิตเจ้าเท่านั้น จะสามารถฟื้นฟูพระศาสนจักรด้วยแสงสว่างแห่งเอกภาพและความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์
- พระจิตเจ้าองค์เดียวเท่านั้นจะสามารถเอาชนะฤทธิ์และอำนาจของพญามังกรสีแดง ซึ่งในศตวรรษของ
ลูกนี้ กำลังเพ่นพ่านขนานใหญ่ เพื่อชักจูงและหลอกลวงมนุษยชาติอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
- พญามังกรสีแดง คือลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ไม่เอาพระไม่เอาเจ้าไม่เอาศาสนา ซึ่งได้แพร่ความหลงผิด
ในการปฏิเสธพระเจ้าอย่างดื้อรั้น ไปทุกส่วนของโลก
- พญามังกรสีแดง คือลัทธิ​อเทวนิยมแบบมาร์กซิสต์ซึ่งสำแดงด้วยเขาสัตว์ 10 เขา​ นั่นก็คือ ด้วยอำนาจ
ทางเครื่องไม้เครื่องมือ ในการสื่อสาร​ (เขาสัตว์) เพื่อจะชักจูงมนุษยชาติให้ละเมิดต่อพระบัญญัติ​10 ประการ
และการสำแดงด้วยหัว​ 7 หัว​ บนแต่ละหัวมีมงกุฎ​สวมอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจในการครอบครองหัว
ที่มีมงกุฎบ่งบอกถึงชาติต่างๆ ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์ได้รับการสถาปนาและครอบครองด้วยอำนาจทางอุดมการณ์
ทางการเมือง​ และทางการทหาร​ ความยิ่งใหญ่ของพญามังกรสำแดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งถึงความกว้างใหญ่​
ไพศาลแห่งแผ่นดินที่ถูกยึดครอง โดยอำนาจไร้เทียมทานของลัทธิอเทวนิยมคอมมิวนิสต์ สีของมันคือสีแดง
เพราะใช้สงครามและเลือดเป็นเครื่องมือในการพิชิต
- พญามังกรสีแดงในปีเหล่านี้สามารถพิชิตมนุษยชาติด้วยความหลงผิด ทางลัทธิอเทวนิยม ไม่ว่าทาง
ทฤษฎี และทางปฏิบัติ ซึ่งมันได้ชักจูงผู้คนทุกชาติในแผ่นดิน
- มันสามารถสร้างวัฒนธรรมใหม่โดยไม่มีพระผู้เป็นเจ้าได้สำเร็จ​ รวมไปถึงวัฒนธรรมแห่งวัตถุนิยม​
สุขนิยม ความเห็นแก่ตัว ความแล้งน้ำใจ​ และใจเย็นชาต่อเพื่อนพี่น้อง​ อันจะนำมาซึ่งเชื้อร้าย แห่งคอรัปชั่น​
และแห่งความตาย
- พญามังกรสีแดง มีภารกิจชั่วร้ายที่จะฉุดกระชากมนุษยชาติไปจากการครอบครองของพระผู้เป็นเจ้า
จาก การเทิดทูนพระตรีเอกภาพ​ จากการปฏิบัติตามแผนการของพระบิดาผ่านทางพระบุตร ซึ่งได้สรรสร้างไว้
เพื่อเกียรติมงคลของพระองค์
-​ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ปกคลุมแม่ด้วยแสงสว่างแห่งพระจิต และด้วยมหิทธิเดชานุภาพของพระองค์​ ฉะนี้
แม่จึงปรากฏในมหานิมิตบนท้องฟ้าดุจสตรีห่อหุ้มกายด้วยดวงอาทิตย์ เพราะว่าแม่มีภารกิจที่จะฉุดมนุษยชาติ
ภายใต้การครอบครองพญามังกรสีแดง แล้วนำกลับมายังการเทิดทูนองค์​พระตรีเอกภาพ
เพราะเหตุนี้ แม่จึงก่อตั้งกองทัพจากบรรดาลูกๆ ของแม่จากทุกส่วนของโลก และแม่ได้เรียกร้องให้ทุกคน
มอบกายถวายใจแก่แม่ และดังนี้​ แม่ก็นำพวกเขาให้มาใช้ชีวิตเพื่อเกียรติมงคลแด่พระเพียงอย่างเดียว​
โดยอาศัยความเชื่อและความรัก​ และนำพวกเขามาเพาะลงในสวนสวรรค์ของแม่อย่างหวงแหน
3 มิถุนายน 1989 วันฉลองดวงหทัยนิรมลของแม่พระ
สัตว์ร้ายคล้ายเสือดำ ลูกๆ ที่รัก​ วันนี้ขอให้ลูกๆ จงเข้ามารวมกันในห้องอาหารแห่งคำภาวนา เพื่อฉลอง
ดวงหทัยนิรมลของแม่เจ้าสวรรค์ของลูก​ ถึงเวลาแล้วที่ดวงหทัยนิรมลของแม่ต้องได้รับเกียรติจากพระศาสนจักร
และมวลมนุษย์​ เพราะในยุคนี้ที่จะมีการทิ้งศาสนา​ การชำระล้าง และมหาวิปโยค ดวงหทัยนิรมล ของแม่เป็น
ที่พำนักเพียงแห่งเดียว และเป็นหนทางที่จะนำลูกไปสู่พระผู้เป็นเจ้าแห่งความรอดพ้นและสันติสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงหทัยนิรมลวันนี้ได้กลายเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะอันเด็ดขาดของแม่ในการปะทะ
ครั้งใหญ่ ระหว่างบริวารของพญามังกรสีแดง และบริวารแห่งสตรีผู้มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์
- ในการปะทะอันน่ากลัวครั้งนี้​ มีสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่ง คล้ายเสือดำหากพญามังกรสีแดงคือ ลัทธิคอม​มิว​นิสต์
อเทวนิยมแบบมาร์กซิสต์​ สัตว์ร้ายสีดำอีกตัวหนึ่งก็คือ ลัทธิฟรีเมซอน
- พญามังกรสีแดงสำแดงในอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่สัตว์ร้ายสีดำ จะปฏิบัติงานในเงามืด ซ่อนเนื้อซ่อนตัว
มันจะพรางตัวแล้วแทรกซึมไปทั่ว มันมีอุ้งเท้าเหมือนหมี และมีปากเหมือนสิงโต ด้วยเล่ห์กระเท่ห์มารยาสาไถ
ด้วยเครื่องมือในการสื่อสารทางสังคม นั่นก็คือ ทางโฆษณาชวนเชื่อ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:52 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 84 )

✴️ พระธรรมวิวรณ์บทที่​ 13​ (B) ✴️
- หัว 7 หัว บ่งชี้ถึงสำนักต่างๆ​ มากมาย (7 เป็นเลขสมบูรณ์ คือมากมาย) ของพวกฟรีเมซอน
ซึ่งปฏิบัติการอยู่ทั่วทุกแห่ง ด้วยวิธีการอันชาญฉลาดและเป็นอันตรายอย่างที่สุด
- สัตว์ร้ายสีดำมีเขา 10 เขา บนแต่ละเขามีมงกุฎสวมอยู่ นี่ก็หมายถึงอำนาจในการครอบครอง
พวกฟรีเมซอนครอบครอง และปกครองไปทั่วโลก​ โดยอาศัยเขา 10 เขา เขาในภาษาพระคัมภีร์คือ
เครื่องมือต่างๆ​ ในการขยายเสียง เพื่อให้ทุกคนฟังเสียงของพวกเขา เป็นเครื่องมืออันทรงพลังใน
การสื่อสาร ด้วยเหตุนี้​ พระผู้เป็นเจ้าได้สื่อสารพระประสงค์ของพระองค์ไปยังประชากรของพระองค์
โดยอาศัยเขา 10 เขา ซึ่งจะทำให้ให้รู้จักพระบัญญัติของพระองค์ คือพระบัญญัติ 10 ประการ
ใครที่ได้รับพระบัญญัติและนำมาปฏิบัติระหว่างเดินทางบนเส้นทางตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
พี่ ก็จะได้รับความชื่นชมยินดี และประสบสันติสุข ใครปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา ก็ยินดีรับ
เอาพระวาจาของพระบุตรของพระองค์​ ก็จะมีส่วนในการไถ่กู้ของพระองค์​ พระเยซูจะประทานชีวิตพระ
แก่บรรดาวิญญาณโดยทางพระหรรษทาน ซึ่งพระองค์ทำให้เราพลอยมีสิทธิไปด้วย​ อาศัยการบูชา
พระองค์บนเขากัลวารีโอ
พระหรรษทานแห่งการไถ่จะถูกส่งมาโดยอาศัย ศีลศักดิ์สิทธิ์ 7​ประการ​ ด้วยพระหรรษทานนี้ เชื้อแห่ง
ชีวิตเหนือธรรมชาติ ซึ่งก็คือ​ ฤทธิ์กุศลต่างๆ​ ก็จะหลั่งลงมาในวิญญาณ ฤทธิ์กุศลเหล่านี้ก็คือ​ ความเชื่อ
ความไว้ใจ ความรัก​ ความรอบคอบ ความเข้มแข็ง​ ความยุติธรรม และความรู้จักประมาณตน
ภารกิจของสัตว์ร้ายสีดำ (พวกฟรีเมซอน) ก็คือ การต่อสู้ด้วยวิธีที่แยบยล แต่เหนียวแน่น เพื่อจะขัดขวาง
บรรดาวิญญาณของมนุษย์ ที่จะต้องเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมเหล่านี้ ซึ่งถูกชี้นำจากพระบิดา และจาก
พระบุตร​ และส่องสว่างจากพระจิต
ที่จริง หากพญามังกรสีแดงกระทำการใดที่จะนำมนุษยชาติให้ปรนนิบัติพระเจ้าน้อยลง หรือให้ปฏิเสธ
พระเจ้า นั่นก็แปลว่า มันแพร่ความหลงผิด แห่งลัทธิอเทวนิยม​ วัตถุประสงค์ของพวกฟรีเมซอน มิใช่การปฏิเสธ
พระเจ้าแต่เป็นการกล่าวผรุสวาทต่อพระองค์
สัตว์ร้ายเปิดปากเพื่อจะกล่าวคำผรุสวาทต่อพระเจ้า เพื่อประณามพระนามและที่ประทับของพระองค์และ
ประณามทุกคนที่อยู่บนสวรรค์
การประณามที่ยิ่งใหญ่ก็คือ​ การปฏิเสธการกราบไหว้บูชาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว แต่กลับไปกราบ
ไหว้บูชาสิ่งสร้าง หรือซาตาน
เพราะฉะนี้เอง ในยุคนี้ ภายใต้การบงการอันอุบาทว์ วิตถารของฟรีเมซอน จึงมีการแพร่พิธีบูชาซาตานและ
พิธีมิสซาดำ
หากพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประกาศพระบัญญัติ 10 ประการ​ พวกฟรีเมซอนก็จะแพร่บัญญัติ ซึ่งตรงกันข้าม
กับพระบัญญัติของพระ​ แต่โดยอาศัยอิทธิพลของเขา 10 เขา
พระบัญญัติข้อ 1 “จงนมัสการพระสวามีพระเป็นเจ้าของเจ้า” แต่พวกมันสร้างพระเจ้าจอมปลอม ซึ่งในสมัยนี้
ผู้คนมากมายยอมก้มกราบ
พระบัญญัติข้อ 2 “อย่าออกนามพระสวามีพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุ”​ พวกมันก็ทำตรงกันข้าม โดยกล่าว
ผรุสวาทต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า​ และพระคริสต์ของพระองค์ ด้วยวิธีการต่างๆ ที่แยบยลและชั่วช้า​ จนกระทั่งเอาชื่อ
พระองค์มาหาประโยชน์หรือสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวประวัติของพระองค์ไปในทางเสื่อมเสีย
พระบัญญัติข้อ 3 “วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์” แต่พวกมันแปลงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อการกีฬา
และการบันเทิง
พระบัญญัติข้อ 4 “จงนับถือบิดามารดา” พวกมันทำตรงกันข้าม​ ครอบครัวแบบใหม่ ตั้งมาจากการกินอยู่
ด้วยกัน โดยไม่มีพิธีแต่งงาน​ ​แม้กระทั่งรักร่วมเพศ
พระบัญญัติข้อ 5 “อย่าฆ่าคน” พวกมันสามารถนำออกมาใช้เป็นกฎหมายสำเร็จ คือ การทำแท้ง​ เมตตา
ฆาตกรรม
พระบัญญัติข้อ 6 “อย่าทำอุลามก” พวกมันเห็นดีเห็นงามไปหมด​ แถมยังโฆษณาประชาสัมพันธ์​ “ความลามก”
ในทุกรูปแบบ แม้ในเรื่องที่ผิดธรรมชาติ
พระบัญญัติข้อ 7 “อย่าลักขโมย” พวกมันปฏิบัติการยิ่งวันยิ่งมากขึ้น ในเรื่องโจรกรรม ข่มขืนอนาจาร และ
จับเรียกค่าไถ่
พระบัญญัติข้อ 8 “อย่าใส่ความนินทา” พวกมันกระทำเพื่อการแพร่บัญญัติแห่งการหลอกลวง โป้ปดมดเท็จ
และการตีสองหน้า
พระบัญญัติข้อ 9 “อย่าปลงในความอุลามก” พวกมันทำทุกอย่างเพื่อบั่นทอนเสียงมโนธรรม
พระบัญญัติข้อ 10 “อย่ามักได้ทรัพย์ของผู้อื่น” พวกมันพยายายามที่จะลวงจิตให้หลง ล่อใจให้พะวง
ในทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น
“และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาท พระเจ้าจารึกไว้ที่หัวของมัน”​
ในแต่ละกลุ่มของพวกฟรีเมซอนก็มีภารกิจที่จะกราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ​ เฉพาะกลุ่ม
หัวที่ 1 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “อหังการ”
หัวที่ 2 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “ลามก”
หัวที่ 3 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “ตระหนี่”
หัวที่ 4 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “โกรธ”​
หัวที่ 5 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “เกียจคร้าน”
หัวที่ 6 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “อิจฉา”​
หัวที่ 7 จารึกถ้อยคำหมิ่นพระเจ้าว่า “โลภ”
สัตว์ร้ายคล้ายลูกแกะ สัตว์ร้ายสีดำที่ขึ้นมาจากทะเลจะได้รับการช่วยเหลือจากสัตว์ร้ายที่มาจากแผ่นดิน
​ สัตว์ตนนี้มีเขาเล็ก 2 เขาคล้ายลูกแกะ มหาสมณะในพระธรรมเก่าสวมหมวกมียอดแหลมดูคล้ายเขา 2 เขา
พระสังฆราชในพระศาสนจักร ก็สวมหมวกทรงสูงมียอดแหลมคล้ายเขา 2 เขา เพื่อบ่งบอกถึงฐานันดรศักดิ์
สงฆ์เต็มยศ สัตว์ร้ายสีดำ คล้ายเสือดำหมายถึงลัทธิฟรีเมซอน สัตว์ร้ายกับเขาเล็ก 2 เขา คล้ายลูกแกะ​ หมาย
ถึงลัทธิฟรีเมซอนที่แทรกซึมเข้าไปในพระศาสนจักรซึ่งแพร่เข้าไปในระหว่างพระชั้นผู้ใหญ่
การแทรกซึมของลัทธิฟรีเมซอนนี้ แม่ได้ทำนายไว้แล้วที่ฟาติมา​ เมื่อแม่ได้ประกาศว่าซาตานจะถูกนำเข้า
ไปถึงสุดยอดของพระศาสนจักร
หากภารกิจของลัทธิฟรีเมซอนคือการชักจูงวิญญาณไปสู่ความพินาศ​ โดยนำวิญญาณเหล่านั้นไปนับถือ
พระเจ้าเทียม พระเจ้าเท็จ จุดมุ่งหมายของพวกฟรีเมซอนในพระศาสนจักรก็คือ นำไปสู่การทำลายพระเยซู
และพระศาสนจักรของพระองค์ โดยสร้างพระเจ้าจอมปลอมองค์ใหม่ นั่นคือพระคริสต์จอมปลอมและ
พระศาสนจักรจอมปลอม
พวกฟรีเมซอนที่แทรกชึมในพระศาสนจักร จะกระทำด้วยวิธีการที่แยบยล เพื่อจะนำทุกคนให้ทิ้งศาสนา​
ทิ้งความเชื่อ หลังจากได้ทำลายพระเยซูในแง่ที่ว่า ไม่มีบุคคลที่ชื่อพระเยซูในประวัติศาสตร์​ แล้วพวกมันจะ
พยายามทำลายพระกายทิพย์ของพระเยซู​ ซึ่งก็คือ พระศาสนจักร
พวกฟรีเมซอนที่แทรกซึมเข้าไปในพระศาสนจักร ยังพยายามจะทำลายพระศาสนจักรคาทอลิก​
ด้วยการชูศาสนสัมพันธ์จอมปลอม

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 25, 2025 8:57 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 85 )

✴️ ณานนิมิตเกี่ยวกับโป๊ป​ (A) ✴️
ไม่อยากให้เดือนสิงหาคมผ่านไปโดยไม่ได้รำลึกถึงคุณพ่อประชุม​ มินประพาฬ ผู้จากไปครบหนึ่งปีพอดี
คุณพ่อประชุมเป็นผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์​สุดท้ายของมนุษยชาติ​ บรรดาคำทำนายต่างๆ ที่คุณพ่อประชุมให้
ความสนใจเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะเป็นคำทำนายของบุญราศี​ อันนา คัทริน​ เอมเมอริก (Anna Katarina
Emmerick) เพราะเป็นคำทำนายเมื่อหนึ่งร้อยปีกว่าๆ มานี้เอง​ และกำลังเป็นจริงในยุคของเรานี้เอง
ก่อนจะไปดูคำทำนาย ลองมาดูประวัติของท่านสักเล็กน้อย ท่านเป็นซิสเตอร์คณะออคัสติเนีย ท่านเกิด
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 1774 ณ​ ตำบลฟลามสเก ใกล้เมืองเกิสเฟล์ด เวสฟาเลีย เยอรมนี ถึงแก่กรรม​ เมื่อวันที่
1 กุมภาพันธ์ 1824 การศึกษาแม้ผ่านแค่ระดับประถม แต่เธอมีจิตสำนึกสมบูรณ์ เธอสามารถเข้าใจพิธีกรรม
ภาษาลาติน ในพิธีมิสซาตลอดตอนปลายของชีวิต เธอรับประทานอาหารและเครื่องดื่มอะไรไม่ได้เลยจะอาเจียน
ออกมาหมด คงจิบได้แต่น้ำเปล่ากับศีลมหาสนิทเท่านั้น เธอมีพรสวรรค์สามารถมองเห็น อดีต​ ปัจจุบัน​ และ
อนาคต โดยอาศัยฌานนิมิต​ (Mystic Vision) เหนือกว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ที่มีพรสวรรค์เช่นเธอ​ ตั้งแต่ปี​ 1812
ไปจนถึงสิ้นอายุขัย​ เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 (หมายถึงรอยแผลของพระเยซูคราวถูกตอกและตรึงบน
ไม้กางเขน คือที่ข้อมือทั้งสอง ที่ฝ่าเท้าทั้งสอง และรอยหอกที่สีข้าง) เธอเจ็บปวดแสนสาหัสที่รอยแผลทั้ง 5
รวมทั้งรอยหนามบนศีรษะ เช่นเดียวกันกับที่พระเยซูถูกสวมมงกุฎหนาม ปีหลังๆ​ ร่างกายเกิดพิการ นอน
แบบติดเตียง​ ในพิธีฝังศพ​ ประชาชนหลั่งไหลกันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน อย่างไม่เคยมีมาก่อนในเมืองดุลเมน
เดลเมนซ์ เบรนตาโน เป็นผู้บันทึกจากปากเธอเล่าเองอย่างถี่ถ้วน​ ขณะเธอเข้าภวังค์ หลังมรณกรรมของเธอ
มีคนจัดพิมพ์การบันทึกเป็นหนังสือประเภท
1. ชีวิตพระเยซูแต่ละวัน กับการเผยให้เห็นชีวิตของบรรพบุรุษของพระองค์ มีความหนาถึง 2,088 หน้า
2. มหาทรมานของพระเยซู หนา 320 หน้า
3. ชีวิตของแม่พระ
4. ชีวิตของอันนา คัทริน เอมเมอริก หนา 1,297 หน้า รวมเหตุการณ์ที่ได้เห็นในอดีต ปัจจุบัน (ของเธอ)
และอนาคต ชีวิตของบรรดานักบุญ และเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย ทั้งหมดล้วนแต่ได้รับการ
รับรองจากพระศาสนจักร อนุญาตให้พิมพ์ได้ไม่ขัดข้อง และพระศาสนจักรยังยกย่องอยู่ในระดับ บุญราศี
(Blessed) อีกชั้นเดียวก็จะอยู่ในระดับ​นักบุญ​ (Saint)​
อันดับต่อไปนี้ คือ นิมิตต่างๆ​ ของอันนา อัมเมอริก มีผู้บันทึกไว้ดังนี้
13 พฤษภาคม 1820 : ฉันได้เห็นการติดต่อระหว่างโป๊ป 2 องค์ด้วย...เห็นแล้ว เศร้าใจนัก เพราะมันอาจ
เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาสนจักรจอมปลอมนี้ ฉันเห็นมันขยายตัวขึ้น​ เฮเรติก (พวกที่เชื่อบางข้อผิดไปจาก
ชาวคาทอลิก) ทุกพวกเข้ามาในนคร​(โรม) พระสงฆ์ตามท้องถิ่นเติบโตอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง และได้เห็นความ
มืดคลุมไว้มิด แล้วนิมิตดูแผ่ไปทั่ว​ มวลหมู่คาทอลิกถูกกดขี่ข่มเหง​ รบกวน​ จำกัด​เขต​ และถูก​ริด รอนเสรีภาพ​
ฉัน​เห็นบรรดาวัดปิดตายทุกหนทุกแห่ง​ มีแต่ความเดือดร้อน​ สงครามและนองเลือด มนุษย์ป่าเถื่อนและโง่เง่า​
แสดงกิริยาเกรี้ยวกราด แต่จะเป็นเช่นนี้ไม่นาน
ฉันได้เห็นองค์การลับวางแผนค่อยๆ​ ทำลายพระวิหารนักบุญเปโตร​ อีกครั้งหนึ่ง ขณะพายุโหมพัดเอาพัง
พินาศ เมื่อทุกข์ภัยถึงขีดสุดแล้ว​ ฉันยังเห็นความช่วยเหลือตามมาด้วย ฉันเห็นพระแม่พรหมจารีปรากฏมา
​ ณ วิหาร กางเสื้อของท่านคลุมมันไว้​ และทันทีที่ได้เห็นโป๊ปองค์หนึ่ง​ สุภาพหนักแน่นมาก มีการสร้างพระวิหาร
ใหม่สูงเทียมฟ้า
วิจารณ์​ คำทำนายจำนวนมากบอกถึงปรปักษ์โป๊ป (Antipope) และการแบ่งแยกไว้ล่วงหน้า หลายแห่ง
ทำนายถึง สงคราม การนองเลือด​ และการข่มเหงในวาติกัน อีกหลายรายว่า มันจะอยู่ไม่นาน และเมื่อทุก
อย่างดูหมดทางแก้จริงแล้ว ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากเบื้องบน
12 กันยายน 1820 : ฉันเห็นเขาสร้างวัดวิตถารขึ้น ผิดกฎเกณฑ์ทุกอย่าง...ไม่มีเทวดาเป็นที่ปรึกษา
ในนั้นจะหาอะไรมาจากเบื้องบนไม่ได้เลย มีแต่การแบ่งแยก ยุ่งเหยิง เห็นทีมันเป็นวัดสร้างขึ้นตามวิสัย
มนุษย์สมัยนิยมเจี๊ยบ ไม่ผิดกับวัดใหม่แหวกแนวในโรม ยังไงยังนั้นเทียว
10 สิงหาคม 1820 : ฉันเห็นพระสันตะปาปาปวดร้าวหทัยหนัก​ ทรงแปรพระราชฐาน โปรดให้คนเฝ้า
ใกล้ชิดเพียงไม่เท่าไร ฉันกลัวพระสันตะปาปาจะต้องทรมานมากก่อนสิ้นพระชนม์ ส่วนศาสนาเก๊ในเงามืด
กำลังเฟื่อง และเห็นมันแผ่อิทธิพลเข้าแทรกซึมประชาชนอย่างน่าวิตก​ พระสันตะปาปาและพระศาสนจักร
เวลานี้อยู่ในทุกข์ระทมแน่นอนแล้ว​ เราต้องวอนขอพระอย่าได้หยุด
คืนก่อน ฉันถูกพาตัวไปโรม​ ตรงที่พระสันตะปาปาจมอยู่ในกองทุกข์​ ทรงหลบภัยตามคำร้องขอ​ พระองค์
อ่อนกำลังลงมาก ความทุกข์ความกังวลทำให้สิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่สวด คนที่ซื่อสัตย์เหลืออยู่น้อยเต็มที​ นั่นแหละ
สาเหตุ ทำไมจึงต้องมาซ่อนพระองค์เสีย พระองค์ยังมีสงฆ์เฒ่าองค์เดียวอยู่ใกล้ชิด ท่านเป็นคนซื่อแก่ธัมมะธัมโม
ท่านคอยอยู่เป็นเพื่อน​ และเพราะเห็นว่าซื่อนี่แหละ จึงไม่มีใครคิดจะย้ายท่านไป​ แต่บุรุษผู้นี้ได้รับพระคุณจาก
พระมากมาย ท่านเห็นอะไร สังเกตอะไร​ ก็นำมาทูลพระสันตะปาปาทรงทราบด้วยสัตย์ซื่อ​ ฉันถูกเร่งเร้าให้
ไปแจ้งท่านเวลาสวดว่า : คนทรยศ คนคิดร้าย อยู่ในหมู่บรรดาบริพารชั้นสูงๆ​ ใกล้ท่านนี่เอง​ ระวังตัวไว้
25 สิงหาคม 1820 : คืนก่อนไม่รู้ว่าฉันถูกพาตัวมาที่โรมได้ยังไง​ ปรากฏว่า ฉันมาอยู่ใกล้วิหาร มารีอา
มัจจอเร เห็นคนจำนวนมากน่าสงสาร พากันห่วงใยเป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะไม่ทราบว่าองค์พระสันตะปาปา
ไปอยู่เสียที่ไหน ต่างทุรนทุราย โจษจันไปทั่วพระนคร​ พวกเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้มารอเข้าวัดหรอก เพียงแต่
อยากสวดกันอยู่ข้างนอก​ คนข้างในออกมาเร่งให้พวกเขาเข้าทีละคนๆ ส่วนฉันอยู่ข้างใน​ ช่วยเปิดประตูให้
ด้วย​ พวกเขาพรูเข้าวัดพลางแปลกใจและตกใจว่าไฉนวัดจึงเปิดได้​ ฉันดูเหมือนแอบอยู่หลังประตู ไม่มีใครเห็น
ในวัดไม่มีพิธีอะไร​ แต่ตะเกียงวัดจุดอยู่ ประชาชนยืนสวดอย่างสงบ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2025 7:15 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 86. )

✴️ ณานนิมิตเกี่ยวกับโป๊ป​ (B) ✴️
แล้วฉันเห็นแม่พระปรากฏมา​บอกว่าความเดือดร้อนจะยิ่งใหญ่ทีเดียวกับแถมว่า ให้พวกเขากางแขน
สวดด้วยใจร้อนรน นานพอ​ๆ กับสวด “ข้าแต่พระบิดา”​ ครบสามจบอย่างที่พระบุตรของท่านได้สวดเพื่อ
พวกเขาบนกางเขน เวลาเที่ยงคืน ให้พวกเขาขึ้นสวดในท่านี้ และไม่ต้องมาวัด จะต้องสวด
ให้พระศาสนจักรมืดสิ้นสุดไปเสียจากโรม
สมเด็จท่านยังได้พูดอะไรอีกมากแล้วมันปวดกะดองใจพิลึก ท่านว่าหากมีพระสงฆ์สักองค์ถวายบูชา
ได้อย่างเหมาะสม และสมัครใจอย่างพวกอัครสาวกแล้ว เขาจะสามารถยับยั้งภัยพิบัติทั้งมวล (ที่กำลังมา)
นี้ได้​ เท่าที่รู้ประชาชนในวัดไม่ได้เห็นแม่พระ แต่พวกเขาคงต้องถูกสิ่งเหนือธรรมชาติกระตุ้นแน่​ๆ​ เพราะ
เวลาแม่พระบอกว่า เขาต้องกางแขนสวด​ ทันใดทุกคนก็ทำกันพร้อมเพรียง พวกเขาเป็นคนดีและศรัทธา
ไม่รู้จะไปขอพึ่งใครที่ไหน พวกเขาไม่ใช่คนทรยศหักหลัง ในหมู่เขาไม่มีศัตรู แต่ก็ไม่ไว้ใจกัน เชิญพิจารณา
เองเถิดว่า สถานการณ์รอบข้างเป็นอย่างไร?
วิจารณ์ : ข้อแรกที่ต้องพิจารณา ณ ที่นี้เกี่ยวกับสาเหตุที่​ซิสเตอร์​ เอมเมอริก ถูกพาผ่านห้วงระยะเวลา
(คือจากเยอรมนีไปโรมจากสมัยของเธอเอง ไปสมัยอนาคต) เธอถูกพาไปด้วยวิธีใด เธอเองก็ไม่รู้​ นักบุญ
เปาโลเคยระลึกความทรงจำนี้ทำนองเดียวกัน แต่จะโดยสถานะใดก็ตาม​ ความรู้ทางเทวศาสตร์ลึกล้ำแล​ะ
ความเชื่อในสิ่งที่ชาวคาทอลิกปักใจมั่นในอานุภาพของพระจะต้องว่ามันเป็นไปได้ สาระดังกล่าว ท้าวถึง
ศาสนจักรเก๊ อันเป็นภัยมืดตั้งขึ้นที่โรมอีกวาระหนึ่ง และสาเหตุที่พระสันตะปาปาหายไปจากสายตาของปวง
ชนแล้ว ยังอ้างถึงภัยมหาพิบัติอื่นๆ​ ที่ตามมา การสับสนอลเวงของมวลสัตบุรุษ จนต้องเคว้งคว้างขาดที่พึ่งพิง
10 กันยายน 1820 : ฉันเห็นพระวิหารนักบุญเปโตรพังทลายลงแล้ว เหลือแต่สถานศักดิ์สิทธิ์ และพระแท่น
ใหญ่ นักบุญไมเกิ้ลมาในวัด​ สวมเสื้อเกราะชุดนักรบยืนกับนายชุมพาที่ไม่เหมาะสมทั้งหลายมิให้เข้าไป​ ส่วน
วิหารซึ่งถูกทำลายเขาใช้ท่อนไม้เบาๆ กั้นไว้ เพื่อประกอบพิธีของพระไปตามแกน แล้วพระสงฆ์และฆราวาส
จากทั่วโลกมาช่วยกันก่อกำแพงขึ้นใหม่ จนพวกอันธพาลหมดปัญญารื้อทิ้งได้
วิจารณ์ : การทำลายพระวิหารนักบุญเปโตรตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจตามตัวอักษร พระวิหารนักบุญเปโตร
ให้ถือเป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนาคาทอลิกจะถูกทำลายเกือบสิ้น แล้วจะก่อขึ้นใหม่ งามรุ่งเรืองกว่าเก่า
27 กันยายน 1820 : ฉันเห็นพวกชั่วช้าตั้งบ่อนพนัน ดื่มเหล้าเมายา​ เฮฮา เล่นชู้สู่สาวกันในวัด ล้วนแต่
อัปยศอดดูสิ้นดี น่าเศร้าใจเหลือเกิน​ สงฆ์ท่านก็อนุญาต เวลาประกอบพิธีมิสซา ขาดความเคารพเอามากทีเดียว​
ฉันเห็นพระสงฆ์ดีเหลืออยู่น้อยเต็มทีที่มีทัศนะดื่มด่ำในพระมีไม่กี่องค์​ ฉันยังเห็นพวกยิวยืนอยู่ที่ระเบียงด้วย โอย!
มันทำให้ฉันเป็นห่วงจริงๆ
1 ตุลาคม 1820 : พระศาสนจักรกำลังตกอยู่ในอันตรายมหันต์​ พวกเราต้องสวด ขออย่าให้พระสันตะปาปา

เสด็จไปจากโรมเลย ถ้าไปแล้วผลร้ายนานัปการจะติดตามมา พวกมันกำลังเรียกร้องบางอย่างจากพระองค์​ ที่นี่
(โรม) ฉันมองเห็นพระศาสนจักรกำลังโดนกับดักอย่างเชี่ยวชาญ จนจะหาพระสงฆ์ที่ไม่ถูกหลอกได้สักร้อยเดียว
เห็นจะหายากเต็มที ทั้งหมดแม้ในหมู่สงฆ์เองมีแต่จ้องทำลาย (พระศาสนา) เท่านั้น ภัยพิบัติใหญ่หลวงกำลังคืบ
ใกล้เข้ามาแล้ว
4 ตุลาคม 1820 : เมื่อฉันเห็นพระวิหารนักบุญเปโตรกำลังพังพินาศ และวิหารที่พวกสงฆ์กุลีกุจอหาทางทำ
ลายนั้น ไม่มีใครสักคนอยากทำอย่างออกหน้าออกตา ฉันร้อนใจมากถึงกับเรียกหาพระเยซูลั่น​ ร้องขอพระเมตตา
แล้วฉันก็ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏองค์มาสนทนาด้วยเป็นเวลานาน​ พระองค์ทรงดำรัสถึงหลายเรื่อง มีตอน
หนึ่งว่า การย้ายพระศาสนจักรที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ดูมีแนวโน้มอย่างแน่ชัดทีเดียว​ ไม่เป็นไร​ มันจะลุกขึ้นมาใหม่ แม้
คาทอลิกเหลือเพียงหยิบมือหนึ่ง นิมิตแสดงให้ฉันเห็นด้วยว่า​ เกือบไม่มีชาวคาทอลิกสักคนรักษาพระวาจาดั้งเดิมได้
7 ตุลาคม 1820 : ขณะฉัน​ นักบุญฟรัน​ ซิสโกกับนักบุญอีกองค์เดินผ่านโรม​ เห็นไฟไหม้มหาราชวังหลังหนึ่ง
ตั้งแต่ยอดจนสุดราก ฉันตกใจมาก คนในนั้นคงต้องตายหมดแน่เพราะไม่มีใครช่วยดับ พอมาใกล้ๆ​ ไฟสงบเห็น
ตึกเกรียมทั้งหลัง เราเข้าไปในห้องโถงจำนวนหนึ่ง (ไม่ไหม้ไฟ) แล้วที่สุดก็เจอพระสันตะปาปา​ พระองค์ประทับ
ในเงามืด บรรทมบนเก้าอี้​ท้าวแขนตัวใหญ่ ทรงพระประชวรมาก พลังอ่อนเปลี้ย ไปไหนไม่ไหว​ บรรดาสงฆ์วงใน
ดูไม่น่าไว้วางใจ ขาดความเลื่อมใส ฉันไม่ชอบเอาเสียเลย​ ฉันทูลโป๊ปถึงบรรดาพระสังฆราช ซึ่งจะต้องเลือกขึ้น
เร็วๆ นี้ และบอกพระองค์ด้วยว่าจะต้องไม่ไปจากโรม​ ขืนไปเรื่องจะยุ่งกันใหญ่ ฝ่ายพระองค์คิดว่า เลี่ยงไม่ได้ควร
ไปดีกว่า จะกู้อะไรไว้ได้หลายอย่างเว้นแต่พระองค์เอง พระองค์เลือกเอาทางไป เพราะถูกบีบบังคับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
​ พระสันตะปาปายังติดพระภารกิจในโลกหลายทาง
พระวิหารถูกตัดเชือกเด็ดขาด​ รกร้างเงียบเหงา ดูเหมือนต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด เห็นแล้วสังเวชใจนักหนา
มีแต่เกลียด ทรยศหักหลัง​ ขึ้งเคียด อลเวง และบอดมืดมิดทุกหนทุกแห่ง โอ นคร นคร อะไรมาขู่เข็ญเจ้า? ระวัง
วาตภัยกำลังมา
1820 - 1821 (ไม่บอกวัน) ฉันเห็นตามมุมโลกต่างๆ ด้วยผู้นำของฉัน (พระเยซู) ออกชื่อยุโรป และชี้ลง
ตรงแดนทรายเล็กๆ พระองค์ทรงเน้นคำเหล่านี้ชัดเทียวว่า “นี่ศัตรู ปรัสเซีย” แล้วเลื่อนไปชี้ที่อื่นทางเหนือ​ ตรัสว่า
“นั่นมอสโค ผืนแผ่นดินมอสโค ตัวนำมหาภัย”
วิจารณ์ : การออกชื่อ ปรัสเซีย​ ตรงนี้สะกิดใจบางท่านว่า คำทำนายนี้คงเจาะจงถึงเหตุการณ์ ในปี 1870
ละกระมัง? (พระสันตะปาปาสูญเสียอำนาจทางโลก และตกเป็นนักโทษโดยปริยาย​ เพราะทหารซึ่งฝรั่งเศสส่ง
มาควบคุม​ ถูกเรียกตัวกลับสมัยสงครามฝรั่งเศส - ปรัสเซีย) ถึงยังไง หากปรักปรำ รัสเซีย ก็ไม่ผิดตัวหรอก
นอกนั้นคำทำนายอื่นยังบอกอีกว่า ปรัสเซีย​ (เยอรมัน) จะเป็นชนวนก่อสงครามโลกครั้งที่ 3
1 มิถุนายน 1821 : ในวันเหล่านั้น ความเชื่อจะตกต่ำมาก​ เว้นแต่บางแห่ง​ บางกระท่อม บางครอบครัว
เท่านั้น พระจะคุ้มให้รอดจากภัยพิบัติและสงคราม
ผู้มีญาณทิพย์ชาวโปแลนด์ชื่อ​ Biernacki เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1922 ได้ทำนายไว้ว่า​ โป๊ป จอห์น
พอลที่ 2 จะหนีไปจากสันตะสำนักไปสู่ฝรั่งเศสก่อน แล้วก็โปแลนด์ พระองค์จะอยู่ต่อไปในโปแลนด์ที่เมือง
Czestochowo หรือเมืองอื่น เป็นการหลบซ่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2025 7:28 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 87 )

✴️ ความลับฟาติมาฉบับ​ทางการทูต​ (A)​ ✴️
เกี่ยวกับความลับแห่งฟาติมานั้น ยังคงถูกเก็บไว้เป็นความลับ ถึงแม้แม่พระต้องการให้เปิดเผยได้
ในปี​1960 แต่พระสันตะปาปาตั้งแต่ปีนั้นจนถึงปัจจุบันยังคงมีพระประสงค์มิให้เปิดเผย แต่ที่มีการแพร่
“ความลับฟาติมา” ออกมานั้น เรียกกันว่า “ฉบับทางการทูต” นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง​ ผมจึงขอนำมาแบ่งปัน
ซึ่งเป็นการเก็บความจากหนังสือ​“Lavenitaʼ sul segreto di Fatima” ความจริงเกี่ยวกับความลับฟาติมา
โดย Hellmuth Hoffmann
เมื่อหนังสือพิมพ์ NEUES EUROPAได้ลงบทความใช้หัวข้อว่า​ “สารข้อที่ 3 แห่งฟาติมา”​ เป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1963 บทความนี้ทำให้วงการคาทอลิก​ “สะดุ้ง” และทำให้วาติกัน “สะเทือน”
จนถึงวันนี้ยังไม่มีการแก้ข่าวอย่างเป็นทางการใดๆ เลย หากข้อความที่ร้ายแรงเช่นนี้ไม่ตรงกับความเป็น
จริง ก็คงจะมีการแก้ข่าวอย่างฉับพลันแน่นอน Louis Emrich บรรณาธิกาของหนังสือพิมพ์ NEUES EUROPA
ได้กล่าวว่า “ต้นฉบับของสารฟาติมา ได้เวียนไปในวงการทูต แห่งวอชิงตัน​ ลอนดอน และมอสโก ได้มีบทบาท
ขั้นพื้นฐาน ในการลงนามแห่งความตกลงให้ระงับการทดลองระเบิดปรมาณู ที่จะมีขึ้นเดือนสิงหาคม​1963”
ในการตีพิมพ์ วันที่ 1 ธันวาคม 1963 ได้ย้อนกลับมาพูดถึง “ความลับแห่งฟาติมา”​ อีกเพื่อจะได้ดูปฏิกิริยา
ของบทความที่ได้ลงไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม​ 1963 ดูเหมือนว่าส่วนหนึ่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ และเห็นด้วย แต่อีก
ส่วนหนึ่งกลับหาว่าโอ้อวด ไม่น่าเชื่อ หรือว่าเป็นเรื่องตลก หลังจากได้ตีพิมพ์บทความของ Emrich นี้แล้ว​ บางคน
ก็ได้สนับสนุนให้พระสันตะปาปาพอลที่​ 6 ซึ่งได้รับเลือกเมื่อวันที่ 21​มิถุนายน 1953 ช่วยเหลือเรื่องข้อตกลง
ในการระงับการทดลองระเบิดปรมาณู ด้วยการเรียกร้องเป็นการส่วนพระองค์แก่เคนเนดี้ และครุสช้อฟ โดยหยิย
ยกสาระสำคัญบางข้อของสารฟาติมา​ เพราะเหตุนี้เอง จึงมีสมาชิกมากมายของวงการทูตได้ล่วงรู้ส่วนหนึ่งของ
ความลับนี้ สารหรือความลับฟาติมาฉบับตัวจริงแตกต่างไปจากฉบับทางการทูต ฉะนั้น​Emrich ในระยะต่อๆ มา
ได้ย้ำหลายครั้งหลายหนว่าต้นฉบับตัวจริงของสารฟาติมา เป็นความลับของวาติกัน ซึ่งก็ยังคงเป็นความลับ
จนถึงทุกวันนี้
สารแห่งฟาติมาหรือส่วนหนึ่งของสารนี้ ได้แพร่สะพัดไป​ นอกเหนือจากฉบับของ Emrich ซึ่งตรงกับ
“ฉบับทางการทูต”​ ก็ยังมีอีกฉบับหนึ่ง ฉบับทางการทูตนี้ยืนยันว่า โป๊ปจอห์นที่ 23 ในขณะที่เกิดวิกฤติขั้นสุดยอด
ของคิวบา ในเดือนตุลาคม​1962 ได้ทรงส่งส่วนหนึ่งของสารฟาติมา (ซึ่งต่อมาได้ถูกตีพิมพ์โดย​Emrich) ผ่านผู้นำ
สารพิเศษไปยัง​ครุส​ช้อฟ และเคนเนดี้ นอกจากนี้​ นักการทูตชาวพม่า อูถั่น ซึ่งในขณะนั้นเป็นเลขาธิการ
สหประชาชาติชั่วคราว ดูเหมือนว่าก็ได้รับไปหนึ่งฉบับ
วิกฤตการณ์ได้ถูกท้าทายจากการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลของสหภาพโซเวียต ให้แก่ระบอบการปกครอง
ของคัสโตร​ และจากการสร้างแท่นสำหรับยิงจรวดให้แก่คิวบา การยั่วโทสะครั้งร้ายแรงนี้ได้เกิดขึ้น​ เมื่อเคนเนดี้
ได้ประกาศห้ามเรือทุกลำผ่านเกาะ​ โดยเจาะจงเรือรบติดธงโซเวียต​ และเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีการใช้
เรือรบอเมริกัน
คนทั้งโลกตอนนั้นมีอาการช็อกและตัวสั่นคอยดูปฏิกิริยาจาก​ครุส​ช้อฟด้วยใจจดจ่อ เพราะว่าท่าทีอันแข็ง
กร้าว ของเคนเนดี้ได้ถูกตีความโดยทั่วไปว่า เป็นการท้าท้ายอย่างโจ่งแจ้ง เพราะถูกท้าทายจากครุส​ช้อฟก่อน​
คนจำนวนมากเชื่อมั่นว่าจะมีคำตอบเพียงคำตอบเดียวจากโซเวียต คือ​ “ปรมาณู” แต่คนเหล่านั้นต้องเปลี่ยนใจ
มาเชื่อใหม่​ เพราะเช้าวันที่​ 28 ตุลาคม​ 1962 เสียงกริ่งโทรศัพท์ของเคนเนดี้ดังขึ้นเป็นโทรศัพท์สีแดงจากครุสช้อฟ​
ฝ่ายแนวร่วมแห่งผู้ทรงอิทธิพลแห่งเครมลิน ได้ประกาศในฉับพลันที่จะรื้อแท่นยิง และถอนจรวดจำนวนมาก
ที่ได้ติดตั้งไว้แล้วในคิวบา
แน่นอนละ อูถั่นจะเล่นบทเป็นผู้ชมการแสดงด้วยการหักนิ้วมือเล่นคงไม่ได้ โลกไม่อาจรู้ถึงความสำคัญแห่ง
ปฏิบัติการของเขาในการแก้ปัญหาวิกฤติคิวบา และต้นฉบับของความลับฟาติมาได้ไปมีบทบาทประการใดบ้าง
ในกรณีนี้ ความจริงมีอยู่ว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น อูถั่นได้รับเลือกจากอภิมหาอำนาจให้เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ
เป็นเวลา 5 ปี​ และยังได้รับเลือกเป็นวาระที่ 2 เป็นเวลาอีก 5 ปีในเดือนธันวาคม​ 1966
เบื้องหลังที่มาของความลับฟาติมา ฉบับทางการทูตในหนังสือพิมพ์​ NEUES EUROPAได้รับข้อมูลเป็นครั้ง
แรกจากศาสตราจารย์ Hans Bender เป็นการสนทนาระหว่างนาง​Hella Emrich ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิด​ จน
กระทั่งสามีเสียชีวิตในปี​ 1974 ผู้เป็นสามีคือ Louis Emrich รู้สึกสนใจมากจึงนำไปตีพิมพ์ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม
1963 ดังกล่าว​ นอกจากนี้ Louis Emrich ยังได้รับข่าวสาร ซึ่งอาจเป็น “ความลับแห่งรัฐ”​ ที่เก็บรักษาไว้ในวาติกัน
โดยมีบาทหลวงฤๅษี (Friar) บาทหลวงผู้นี้พยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่ามิได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการจากสันตะ
สำนัก การสนทนาระหว่าง​ Emrich บาทหลวงสองต่อสองเป็นเวลาครึ่งวันตอนเช้า Emrich ได้กล่าวแก่บาทหลวง
ว่า ตนเข้าใจดีที่ทางวาติกันพยายามเก็บเป็นความลับเพื่อมิให้ประชาชนวิตกกังวลเป็นสำคัญ
สิ่งที่คอยเราอยู่คงจะเป็นเรื่องร้ายแรงคือ “วิวรณ์” (Apocalypse หมายถึงคำทำนายมหาวิปโยคตอนสิ้นยุค)
ขณะนี้หน้าที่ของเขาคือ​ เขียนและเผยแพร่เหตุการณ์นี้เพราะว่า เขาได้รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ​
ไม่นานหลังจากนั้น​ Emrich จึงได้เรียบเรียง “สารฟาติมาฉบับทางการทูต”
หลังจากตีพิมพ์บทความดังนี้แล้ว​ ดูเหมือนว่าบาทหลวงอธิการอารามแห่งหนึ่ง ชื่อ Boyer ได้มาเยี่ยม Emrich
บาทหลวง Boyer เป็นผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศส เกี่ยวกับสารฟาติมา ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้จัดให้มีการเผยแพร่ฉบับ
ภาษาฝรั่งเศส​ แต่ว่าอะไรคือเหตุผลที่แท้จริงของการมาเยี่ยมของท่านบาทหลวง​ Boyer นาง Hella Emrich ตอบว่า
“ท่านบาทหลวงเป็นแฟนที่เหนียวแน่นของหนังสือพิมพ์ “NEUES EUROPA” และท่านได้เก็บสะสมนิตยสารมากมาย
ที่สามีดิฉันได้ทำนายถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านบาทหลวงรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปิดตาประชาชน และให้พวกเขา
เตรียมตัวเตรียมใจรับสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุผลข้อนี้​ ท่านบาทหลวง Boyer รู้สึกมีความจำเป็นที่จะ
พูดคุยกับสามีของดิฉัน” Hella Emrich จึงได้ยืนยันถึงการได้เสวนากับศาสตราจารย์ Bender และยังเสริมอีกว่า
ได้สนทนากับบาทหลวงฤๅษีแห่งกรุงโรมด้วยภาษาเยอรมัน​ บาทหลวงฤๅษีผู้ลึกลับ ไม่ได้ทิ้งร้องรอยอันได้ไว้เลย
และไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดเรียกชื่อท่านโดยเด็ดขาด
รายละเอียดเกี่ยวกับการบันทึกสารฟาติมาของลูเซีย หนูน้อยลูเซียได้เข้าอารามชี ซานตา โดโรเตอา ที่เมือง
โอปอร์โต ประเทศโปรตุเกส​ ณ​ อารามนี้ แม่พระยังได้ปรากฏมาพบเธอหลายครั้ง​ และในปี 1948 เธอได้เข้าอาราม
ชีมืดคณะคาร์เมไลต์ ที่เมืองโกอิมบรา โปรตุเกส จนถึงปัจจุบัน​ การใช้ชีวิตในอารามชีมืดคาร์เมไลต์ ก็แปลว่า วันๆ
หนึ่ง ก็มีแต่สวดภาวนา​ ทำงานเล็กน้อยๆ ปลูกผักปลูกหญ้าเลี้ยงตัวเอง​ หรืออาจมีชาวบ้านช่วยเหลือทางการเงินบ้าง
​ จะออกมาจากอาราม 2 ครั้ง คราวโป๊ป พอลที่ 6 และจอห์น​ พอลที่ 2 ทรงเสด็จเยี่ยมฟาติมา

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2025 7:34 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 88 )
✴️ ความลับฟาติมาฉบับ​ทางการทูต​ (B) ✴️
แม่ซีลูเซียได้บันทึก ความลับข้อที่ 3 ในปี 1943 ก็แปลว่า 26 ปี​ หลังจากที่แม่พระได้ปรากฏมา เธอยัง
สามารถจำได้ดีทั้งๆ ที่เป็นเรื่องราวที่เป็นวิชาการไม่ใช่จากแนวคิดของเด็กอายุ 10 ปี แม่ชีลูเซียสารภาพ
แก่เราว่า ขณะที่เธอบันทึกแม่พระก็ปรากฏมา ช่วยให้บันทึกทีละประโยค อย่างเช่น เธอให้สัมภาษณ์ครั้ง
หนึ่งว่า “ดิฉันได้บันทึกทุกๆ คำตามที่มีเสียงเปล่งออกมา” ระหว่างที่มีการสอบถาม ดิฉันรู้สึกว่ามีเสียงจาก
ภายในช่วยแนะคำตอบให้ “มีคนไม่น้อยที่แปลกใจในความจำที่พระเป็นเจ้าผู้มีพระทัยดีประทานพรนี้แก่
ดิฉัน”​...“ดิฉันรู้ตัวว่าดิฉันไม่สามารถเขียนหรือพูดอะไรลำพังตัวเองเลย​ และดิฉันขอขอบพระคุณพระเป็นเจ้า
ผู้ประทานพระจิตซึ่งจะทรงคอยสอดส่องดูแลภายในจิตใจของดิฉัน​ จะทรงดลใจดิฉันว่าจะต้องพูดหรือ
เขียนอะไร...”
ความลับข้อที่ 3 แม่ชีลูเซียร่างขึ้นมาเป็นภาษาโปรตุเกส ทางสำนักวาติกันให้มีการแปลโดยการจัดการ
ของเลขาธิการแห่งรัฐวาติกัน พระสังฆราช​ ​พอล โฮเซ่ ตาวาเรส เข้าใจว่าเป็นภาษาละติน และอิตาเลียน​ ฉบับ
ทางการทูตเป็นภาษาอังกฤษ​ และแน่นอน สำหรับครุสช้อฟเป็นภาษารัสเซีย​ ซึ่งเป็นข้อมูลเดียวกันกับที่
นาย Louis Emrich ได้มาจากการสนทนาครึ่งวันกับบาทหลวงฤๅษี ผู้ลึกลับแห่งวาติกัน จึงมิใช่เป็นสำเนา
หรือการแปลจากต้นฉบับตัวจริงของแม่ชีลูเซีย มีใจความดังนี้ :
“อย่ากลัวเลยลูก คนที่พูดนี้เป็นแม่ของพระเอง แม่ขอให้ลูกประกาศสารนี้ไปให้ทั่วโลก งานชิ้นนี้ลูกจะ
ได้รับการทัดทานอย่างหนัก ฉะนั้น​ ขอให้ลูกตั้งใจฟังตามที่แม่บอกให้ดี มนุษย์ต้องประประพฤติตัวให้ดีขึ้น​
ต้องสวดภาวนาด้วยใจสุภาพเพื่อขอขมาบาปที่ได้ทำมา และบาปที่อาจจะทำในอนาคต​ ลูกคงอยากมีอะไร
ไปแสดงให้มนุษย์เห็นเขาจะได้เชื่อตามคำที่แม่ฝากมากับลูกใช่ไหม?​ ลูกได้เห็นปาฏิหาริย์ของดวงอาทิตย์
แล้วมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ​ ชาวชนบท ชาวกรุง นักวิทยาศาสตร์ นักหนังสือพิมพ์ ฆราวาส พระสงฆ์​ ต่างได้
เห็นทั่วกันหมด ลูกเอาชื่อแม่ไปอ้างได้เลย
มนุษย์จะต้องได้รับการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่ไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ แต่ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 แม่ได้เคยเผย
เรื่องนี้ให้หนู เมลานี และมักซิแมง ที่ลาซาแลตต์รู้มาก่อนแล้ว วันนี้แม่ขอย้ำกับลูกอีก เพราะมนุษย์มิได้เดินอยู่
บนเส้นทางที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงชี้นำไว้​ มนุษย์ได้ทำบาปและเหยียบย่ำพระพรที่พระองค์ได้ทรงมอบให้ ไม่มี
ส่วนไหนของโลกจะอยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย​ ซาตานเข้ายึดตำแหน่งสูงๆ ไว้บริหารควบคุมเองทั้งหมด​
มันสามารถแม้กระทั่งแทรกตัวเข้าไปในระดับสูงของพระศาสนจักร มันสามารถปั่นหัวบรรดานักวิทยาศาสตร์
ให้คิดประดิษฐ์อาวุธที่สามารถทำลายครึ่งหนึ่งของมนุษย์โลกในเวลาไม่กี่นาที​ (บางฉบับว่า : สามารถทำลาย
ส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ บางฉบับก็ว่าสามารถทำลายมนุษยชาติทั้งหมด) มันสามารถชักจูงหัวหน้ารัฐบาลต่างๆ
ให้ผลิตอาวุธจำนวนมหาศาล​ หากคนชั้นผู้นำของโลก​ และของพระศาสนจักร และมวลมนุษษย์ไม่รวมใจกันทัด
ทานต่อต้าน แม่ก็จำเป็นจะต้องปล่อยแขนพระบุตรเยซูคริสต์ของแม่​ พระบิดาจะลงโทษมนุษย์รุนแรงกว่าคราว
น้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์เสียอีก​ แม้คนใหญ่คนโต คนมีอิทธิพลทั้งหลายก็จะพลอยพินาศไปพร้อมๆ
กับตาสีตาสาหรือคนง่อยเปลี้ยเสียขา
พระศาสนจักรก็เช่นกัน จะต้องผ่านการทดสอบที่หนักหนาสาหัสยิ่งยวด คาร์ดินัลจะแย้งกับคาร์ดินัล
สังฆราชจะขัดกับสังฆราช ซาตานจะเดินปนเปในระหว่างพวกเขา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกรุงโรม​
สิ่งที่เน่าเฟะจะร่วงหล่น สิ่งที่หล่นไปแล้วจะไม่ลุกขึ้นอีก พระศาสนจักรจะมัวหมอง​ และโลกจะตกอยู่ในความสิ้นห
วังครั้งใหญ่ สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 (บางฉบับที่...ตอนจะสิ้นศตรรษที่ 20 หรือก่อน
เปลี่ยนไปสู่ศตวรรษใหม่ จะมีอันตรายยิ่งใหญ่ในพระศาสนจักร จะเกิดแข็งข้อครั้งใหญ่ในบรรดานักบวช เปลวไฟ
สว่างไสวจะออกมาจากห้องพักหลายๆ ห้องของวาติกัน การแข็งข้อที่ทวีขึ้นชนิดที่ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้​ มิใช่
แต่วาติกันเท่านั้น แม้แต่ในระดับบนๆ ของบรรดานักบวชด้วย วิบัติที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้น ในระยะนั้นอิตาลีจะมี
แนวทางการเมืองอีกแบบหนึ่ง​ ในวาติกันจะเกิดสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 จะเกิดสงคราม
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นการเผชิญหน้ากันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก จะเกิดหายนะครั้งใหญ่แถบ
คลองสุเอส​ แล้วต่อมาจะเกิดการปะทะครั้งใหญ่ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก)
ไฟและควันจะตกมาจากฟากฟ้า น้ำทะเลจะกลายเป็นไอแล้วลอยขึ้นฟ้า ตึกรามบ้านช่องจะพังพินาศ​
คนจำนวนล้านๆ จะสูญเสียชีวิตไปในไม่กี่ชั่วโมง ใครที่รอดเหลือมาจะอิจฉาคนที่ตายแล้ว​ มองไปทางไหนหัวใจ
หดหู่​ เห็นแต่ภาพน่าอเนจอนาถแห่งมหาภัยพิบัติ ทุกแห่งพินาศแหลกลาญ​ ช่วงแรกแห่งอวสานใกล้เข้ามาแล้ว
ปากเหวยิ่งทียิ่งเปิดกว้างอย่างสิ้นหวัง​ คนดีจะตายไปพร้อมกับคนชั่ว คนใหญ่พร้อมกับคนเล็ก​ เจ้านายฝ่าย
พระศาสนจักรพร้อมกับสัตบุรุษของตน และเจ้าเหนือหัวพร้อมกับประชาราษฎรของเขา​ ความตายจะแผ่คลุมไปทั่ว
เพราะความผิดพลาดของคนสติเฟื่องและสมุนของซาตาน ซึ่งเวลานั้นและเฉพาะเวลาหนเดียวเท่านั้น จะครองโลก
เป็นต้นเหตุ
อนาคตซึ่งกำลังคอยเราอยู่ก็คือจะเป็นเวลาที่ไม่มีกษัตริย์จักรพรรดิ​ คาร์ดินัล หรือสังฆราชองค์ใดจะคาดคิด
แต่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเพื่อลงโทษคนเหล่านั้นที่สมควรจะต้องได้รับโทษตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
แต่ทว่า หลังจากนั้น เมื่อคนที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ที่สุดแสนวิปโยคแล้วยังมีชีวิตรอดเหลืออยู่ จะพากันร้องหา
องค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง​ และจะขอรับใช้พระองค์อย่างกาลก่อน เมื่อโลกยังไม่ตกอยู่ในสภาพวิปริตวิตถาร
เช่นนี้ แม่ขอเรียกร้องผู้สืบทอดเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระบุตรเยซู​คริสต์ของแม่ คริสตชนที่แท้จริงทุกคน และ
อัครสาวกแห่งยุคสุดท้ายทุกคน
วาระสุดท้ายและที่สุดแห่งที่สุดจะมาถึงแน่นอน หากมนุษย์ยังไม่กลับใจ และถ้าการกลับใจนี้มิได้มาจากระดับ
บนซึ่งครองโลกและพระศาสนจักร หากการกลับใจนี้ไม่เกิดขึ้น​ และหากทุกอย่างยังเหมือนเดิม​ หรือแย่กว่าเดิมละ
ก็ วิบัติแน่ๆ
ไปเถิดลูก ไปร้องประกาศแก่ทุกคน แม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยลูกตลอดเวลาในเรื่องนี้

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2025 7:41 pm

🕵️ เกาะติด​วิกฤติ​โลกผ่านทาง​พระคัมภีร์​และนอสตราดามุส 🕵️
โดย​ สนธิ​ สารธรรม
ตอนที่​ ( 89 )

✴️ สาส์น​แห่งฟาติมา​ (A)​ ✴️
เก็บความจากหนังสือ​ “Mankind's Final Destiny” ชะตากรรมสุดท้ายของมนุษยชาติ โดยเอกอัครราช
ทูตฟิลิปปินส์ประจำวาติกัน Howard Q. Dee ในปี 1981 ท่านเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับ “สาส์นแห่งฟาติมา”
ซึ่งท่านเปรียบเสมือนของกำนัลที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของพระต่อมนุษยชาติในสมัยของเรา ท่านเริ่มอารัมภบท
ดังต่อไปนี้
“ในระยะนี้ เราพบมนุษยชาติกำลังถูกตรึงด้วยความกลัวในการเผชิญหน้ากันทางทหารระหว่างอภิมหา
อำนาจ ซึ่งสามารถนำไปสู่การทำลายล้างไปทั้งโลก ด้วยสงครามนิวเคลียร์อย่างเหลือที่จะคาดคะเนได้​
ความกลัวนี้นำมาซึ่งความสิ้นหวังแก่คนจำนวนมาก ซึ่งรู้สึกว่าอนาคตของพวกเขา และของโลกนั้นขณะนี้อยู่
ไกลเกินการควบคุมเสียแล้ว วัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อจะนำเสนอแค่ประกายนิดหนึ่งแห่ง
ความหวัง​ เป็นการแสดงว่าชะตากรรมของเรา และจริงๆ แล้วก็คือ ชะตากรรมของมวลมนุษย์ ยังเป็นของเราที่
จะสามารถควบคุมหรือกำหนดมันได้ มิใช่โดยการตัดสินใจทางทหารหรือทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังทำอยู่​
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรต่างหาก นี่คือสาส์นแห่งฟาติมา”
ขณะนี้เพียง 20 ปีให้หลัง เราก็ประจักษ์แก่สายตาของเราแล้วว่าประกายนิดหนึ่งของความหวังนั้น ได่
ส่องแสงจากดวงหทัยของแม่พระทะลุก้อนเมฆดำทะมึนเหนือมนุษยชาติ ที่จะนำแสงแห่งความรอดพ้นและ
เปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนและประเทศชาติ จากฟิลิปปินส์สู่โปแลนด์​ ​เยอรมันตะวันออก​ ฮังการี โรมาเนีย
เชกโกสโลวาเกีย​ รัฐบอลติก และที่สุดรัสเซีย สหภาพโซเวียต​ ลมแห่งอิสรภาพได้กวาดเอาระบอบแห่งความ
กลัวไปแล้ว เป็นสัญญาณแห่งอวสานของลัทธิคอมมิวนิสต์​มาร์กซิสต์​ และระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จชนิด
ไม่เอาพระไม่เอาศาสนา
คำทำนายที่สำคัญยิ่งของแม่พระแห่งรัสเซียกลับใจ กำลังใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่สำคัญ
กว่าจะต้องมาอีก เพราะข้อนี้แหละเป็นแรงผลักดันให้ท่านทูต​ Dee เขียนผลที่ตามมา หลังจากได้ศึกษา
“สาส์นแห่งฟาติมา”
สาส์นแห่งฟาติมา บรรจุความลับ 3 ข้อ ซึ่งแม่พระได้สั่งให้เด็ก 3 คนแห่งฟาติมา คือ ลูเซีย ฟรันซิสโก​
และยาชินทา ในปี 1917 ไม่ให้เปิดเผยจนกว่าจะถึงวันที่จะกำหนดในอนาคต
ในปี 1941 ซิสเตอร์​ลูเซีย ผู้ยังมีชีวิตอยู่ได้เปิดเผยสาส์น 2 ข้อแรก
สาส์นข้อแรก ภาพอันน่ากลัวของวิญญาณที่กำลังทนทุกข์ทรมานในไฟนรก แล้วเด็กทั้งสามก็ได้รับคำแนะนำ
ให้มีความศรัทธาต่อแม่พระ​ จะได้ช่วยวิญญาณให้รอดจากไฟนรกและนำสันติภาพมาสู่โลก แล้วเด็กทั้งสามยัง
ได้ข้อมูลมาว่า รัสเซียจะแพร่ความหลงผิดไปทั่วโลก ก่อให้เกิดสงครามหลายแห่ง และจะเบียดเบียนพระศาสนา
และในบั้นปลายรัสเซียจะกลับใจ หลังจากที่พระสันตะปาปาจะถวายรัสเซียแก่แม่พระ โดยอาศัยการรับศีลมหาสนิท
ในวันเสาร์ต้นเดือนเป็นการชดเชยบาป แล้วแม่พระเสริมอีกว่า สงครามที่กำลังมีอยู่นั้น จะจะลงในไม่ช้า
​ (สงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่าง 1914 - 1918)
สาส์นข้อที่ 2 หากมนุษย์ยังขืนกระทำเป็นที่เคืองพระทัยพระเจ้าต่อไป สงครามที่รุนแรงกว่าจะเกิดขึ้นอีก
(สงครามโลกครั้งที่ 2 1939 - 1945) การลงโทษของพระจะเริ่มขึ้นเมื่อเห็นแสงประหลาดเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง​
และเ​ป็นความจริง ในวันที่​ 25 มกราคม 1938 ได้เกิดมีแสงลึกลับเหนือท้องฟ้าไปทางทิศเหนือ​ สามารถมองเห็น
ได้ไปทั่วโลก หนึ่งปีให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ระเบิดขึ้น ทำให้สูญเสียชีวิต 35 ล้านคน​ 1,700 หัวเมืองวอด
วายเป็นเถ้าถ่าน​ ขณะที่กำลังมอบสาส์นนี้แก่เด็กทั้งสาม แม่พระได้กางแขนออก ทำให้เด็กทั้ง 3 เห็นลำแสงออก
มาจากดวงหทัยของแม่พระพุ่งเข้าสู่หัวใจอันใสซื่อของเด็กทั้งสาม ก่อให้เกิดความชุ่มฉ่ำดื่มด่ำในความสงบสุข
ขึ้นมาอย่างประหลาด ทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงความรักที่แม่พระมีต่อมวลมนุษย์​ เด็กน้อย ยาชินทา ถึงกับอุทานออก
มาว่า “ผู้คนจะรู้สึกเช่นไรหนอ หากพวกเขารู้ว่าแม่พระได้เผยแสดงแสงสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในดวง
หทัยอันบริสุทธิ์ของแม่พระแก่พวกเราทั้ง 3 คน”​ หนูลูเซียย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า​ “ตั้งแต่วันนั้นเป็น
ต้นมา หัวใจของเราทั้งสาม ก็เต็มตื้นไปด้วยความรักอันเร่าร้อนยิ่งทียิ่งมากขึ้นต่อดวงหทัยของแม่พระ”
สาส์นข้อที่ 3 เนื่องจากเป็นคำสั่งของแม่พระให้ลูเซียเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงปี​ 1960 จึงจะเผยได้
จึงมักเรียกสาส์นข้อ 3 นี้ว่า​ “ความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา”​
ในปี 1960 โป๊ปจอห์นที่ 23 ได้ทรงเปิดอ่านความลับข้อที่ 3 แต่ก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่แพร่ความลับข้อนี้
ให้แก่มวลสัตบุรุษเช่นกัน แต่พระองค์ทรงตราพระสมณสาส์นเป็นการเตือนถึงสาระสำคัญบางอย่าง​ เช่น
ปรากฏการณ์ที่อาทิตย์หมุนแบบควงสว่าน และตกวูบไปชั่วขณะหนึ่ง​ ก็เป็นการเตือนถึงสงครามนิวเคลียร์ที่อาจ
จะเกิดขึ้น ถ้าหากมนุษย์ยังปฏิเสธที่จะกลับตัวกลับใจ​ พระองค์ตรัสว่า “สาส์นแห่งฟาติมาก็คือ สาส์นที่บ่งบอก
ชะตากรรมสุดท้ายของมนุษย์ เป็นการประกาศถึงฉากสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนรวมกัน”
ในวันฉลองครบรอบ 60 ปี ที่แม่พระปรากฏมาที่ฟาติมา คือในปี​1977 วาติกันก็ทำลายความเงียบด้วย
การออกข่าวจากสถานีวิทยุวาติกัน​ อ้างถึงสาส์นที่กำลังแพร่กระจายไปในยุโรปเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติ
ซึ่งถูกเผยแพร่จาก​ Neues Europa ซึ่งอ้างว่าเป็นความลับข้อ 3 แห่ง​ฟาติมา​ สาส์นนี้ได้ทำนายถึงการลงทัณฑ์
อันสาหัสสากรรจ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ใจความบางส่วนเป็นดังนี้
“พระเบื้องบนจะลงโทษมนุษยชาติด้วยความรุนแรงมากกว่าครั้งที่ได้เคยทำมาแล้วครั้งน้ำมหาวินาศ...
จะเป็นเวลาแห่งการทดสอบอันแสนสาหัสต่อพระศาสนจักร​ คาร์ดินัลจะขัดกับคาร์ดินัล สังฆราชจะแย้งกับ
สังฆราช ซาตานจะเดินปนเปในระหว่างพวกเขา... พระศาสนจักรจะถูกทำให้มัวหมอง โลกจะหวั่นไหวด้วย
ความน่ากลัว​ สงครามใหญ่จะระเบิดในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 และแล้วกลุ่มไฟและกลุ่มควันจะลิ่วละล่อง
จากท้องฟ้า น้ำในมหาสมุทรจะปั่นป่วนม้วนตัวเป็นคลื่นแล้วสลายกลายเป็นไอ... คนเป็นล้านๆ จะพินาศไป​
และคนที่ยังไม่ตายก็จะอิจฉาคนที่ตายไปแล้ว... และในที่สุดคนที่รอดชีวิตจะประกาศพระเกียรติมงคลของ
พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะปรนนิบัติพระเบื้องบนเฉกเช่นในอดีต เมื่อโลกยังไม่วิปริตปานนั้น... แม่กำลังประกาศ
ก้องมายังสานุศิษย์ที่มีความจริงใจต่อพระบุตรของแม่ ชาวคริสต์ที่แท้จริง และอัครสาวกแห่งยุคสุดท้ายทุกคน​
หากมนุษยชาติไม่กลับใจ​ เวลาท้ายๆ หรือที่สุดของที่สุดแห่งยุคจะมาถึงแน่ๆ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6790
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 29, 2025 12:44 pm

เกาะติดวิกฤติผโลกผ่านทางพระคัมภีร์ และนอสตาดามุส
ตอนที่​ ( 90. )

✴️ สาส์น​แห่งฟาติมา​ (B) ✴️
วาติกันยอมรับเป็นครั้งแรกว่าความลับข้อที่ 3 บรรจุข้อความที่หนักหนาสาหัสสำหรับมนุษยชาติ​
โดยไม่ยืนยันหรือปฏิเสธถึงความจริงแท้แห่งความลับนั้น วิทยุวาติกันกล่าวว่า ไม่ว่าโป๊ปจอห์น​ที่ 23
หรือโป๊ปพอลที่ 6 ต่างก็ทรงพินิจพิจารณาว่า ไม่เป็นสิ่งบังควรที่จะเปิดเผยความลึกลับแห่งฟาติมา
ให้แก่ชาวโลก สิ่งที่ได้ถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ของสต๊อกโฮม​ Neues Europa ในวันที่ 15 ตุลาคม 1963
นั้น ไม่เคยได้รับการยืนยันหรือปฏิเสธโดยตรงเลย​ อย่างไรก็ตาม​ ความจริงมีอยู่ว่าความลับข้อที่ 3 มี
ความหนักหน่วงเป็นพิเศษ ยืนยันได้จากความเป็นจริงอันเศร้าสลดว่า​ โลกทั้งโลกในวันเหล่านี้มีชีวิต
อยู่อย่างไร เรากำลังมีชีวิตในระยะเริ่มต้นแห่งวิวรณ์ของเซนต์จอห์นแล้วหรือ? (วิวรณ์คือพระคัมภีร์เล่ม
สุดท้ายที่เขียนโดยเซนต์จอห์น​ กล่าวถึงนิมิตแห่งพระศาสนจักร 7 ยุคที่ท่านจอห์นมองเห็น และในยุคสุ
ดท้ายนั้นจะเกิดมหาภัยพิบัติต่างๆ​ ชาวบ้านทั่วไปโดยเฉพาะนักหนังสือพิมพ์มักจะตีความของคำวิวรณ์ -
Apocalypse ในความหมายสุดท้าย คือ ภัยพิบัติตอนสิ้นยุค)
สมเด็จพระสันตะปาปาพอลที่​ 6 คงจะได้ทรงสังเกตเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกดำเนินไป จึงทรงรู้สึก
ถึงความจำเป็นที่จะได้ตักเตือนถึงความหนักหนาสาหัสแห่งกาลเวลาต่อมวลสัตบุรุษในปี​ 1977 ก่อนที่พระองค์
จะสิ้นพระชนม์เพียงหนึ่งปี​ พระองค์ได้ตรัสว่า “อาตมาภาพได้อ่านพระคัมภีร์ตอนสิ้นยุค อาตมาภาพขอให้
ความมั่นใจว่า ณ เวลานี้มีสัญญาณบางอย่างแห่งการสิ้นสุดแห่งกาลเวลากำลังปรากฏออกมาแล้ว”​
ในปี 1981 นับเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์แห่งเหตุการณ์เกี่ยวกับฟาติมาในเดือนกุมภาพันธ์​
โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 ได้เสด็จเยี่ยมเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิที่ถูกทำลายด้วยระเบิดนิวเคลียร์ จากสอง
เมืองนั้น​ พระองค์ได้ออกคำเตือนให้ทุกคนในโลก​ รำลึกถึงเหตุการณ์สยองขวัญนั้นทางวิทยุวาติกันว่า
“เวลาได้มาถึงแล้ว สำหรับสังคมของเราที่จะตระหนักว่าอนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเลือกทาง
จริยธรรมเป็นส่วนรวม ในอดีตนั้นเราอาจจะทำลายหมู่บ้านหนึ่ง​ เมืองหนึ่ง ภูมิภาคหนึ่ง หรือประเทศหนึ่งก็ได้​
แต่ในปัจจุบันโลกทั้งโลกกำลังถูกคุกคาม ความจริงข้อนี้ควรทำให้ทุกคนหันหน้ามาพิจารณาศีลธรรมขั้น
พื้นฐานของตัวเอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป​ มนุษยชาติจะรอดได้ก็โดยอาศัยการเลือกแห่งมโนธรรม​ หรือโดยอาศัย
ความตั้งใจอันอิสระแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อนาคตของเราบนโลกนี้ซึ่งกำลังจ่ออยู่กับความวอดวายแห่ง
นิวเคลียร์นั้น ขึ้นกับปัจจัยหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ มนุษย์ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหาศีลธรรม
วันที่ 13 พฤษภาคม 1981 วันครบรอบ 67 ปีที่แม่พระได้ปรากฏมาพบเด็ก 3 คนที่ฟาติมา วันนั้นไม่ใช่
เป็นเรื่องบังเอิญ ที่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ถูกลอบปลงประชนม์ที่ลานหน้าวิหารเซนต์ปีเตอร์
​ กรุงโรม นั่นเป็นการเตือนจากเบื้องบนว่าวันท้ายๆ แห่งวิวรณ์ซึ่งแม่พระได้ทำนายที่ฟาติมาได้เริ่มขึ้นแล้ว
เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ดวงอาทิตย์​ หรือที่นักข่าวฝรั่งใช้สำนวนว่า ดวงอาทิตย์เต้นระบำนั้น ผมเพิ่งอ่าน
บทความสั้นๆ เกี่ยวกับการกลับใจของท่านประธานาธิบดีฟรังชัวส์ ม​ิตเต​รองด์ และดวงอาทิตย์เต้นระบำ
จากนิตยสาร Inside The Vatican ในหัวข้อ “Will the sun again dance?” ใจความดังนี้
เมื่อวันที่ 25 มกราคม (1995) ที่กรุงโรม นิตยสารรายสัปดาห์​ LʼItalia Settimanale ได้ออกข่าวการ
สัมภาษณ์กับนักปรัชญาศาสตร์ชาวคาทอลิกชื่อ Jean Guitton อายุ​94 ปี เป็นพระสหายใกล้ชิดของ
โป๊ป​พอลที่​ 6 และเป็นฆราวาสแต่ผู้เดียวที่ได้ร่วมประชุมสังคายนา “วาติกันที่ 2” เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตตอง
เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะมีบทบาทสำคัญในการ​กลับใจสู่ศาสนาคริสต์คาทอลิก ของท่าน
ประธานาธิบดี ฟรังชัวส์​ มิตเตรองด์ แห่งพรรคสังคมนิยม ซึ่งกำลังจะสิ้นชีวิตด้วยโรคมะเร็ง​ กิตตอง มอง
เห็นเป็นโอกาสอันควรที่จะคาดคะเนถึงการคัดเลือกพระสันตะปาปาองค์ต่อไปว่า “โป๊ปองค์ต่อไปจะเป็น
ชาวแอฟริกัน” เขายังทำนายอีกว่า โลกเราในไม่ช้าจะต้องผ่านไปสู่วิกฤตการณ์อันน่าสยอง และแล้วเหตุการณ์
ไม่ธรรมดาจะเกิดขึ้น นั่นคือ​Theophany “ปรากฏการณ์ที่มาจากเบื้องบน”​ ที่สะท้านสะเทือนกว่าที่ดวงอาทิตย์
ได้เต้นระบำต่อหน้าผู้คนที่จ้องดูเป็นพันๆ หมื่นๆ ที่ฟาติมาเมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว เมื่อไรสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอีก?
กิตตองไม่ตอบ แต่เขาเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่ช้า​ ต่อไปนี้คือข้อความการสัมภาษณ์จากนักหนังสือพิมพ์อิตาลี
Marino Parodi ซึ่งได้ไปพบนายกิตตองที่ปารีส
ท่านศาสตราจารย์ กิตตอง​ ท่านมองเห็นสภาพความเป็นชาวคริสต์ในตะวันตกทุกวันนี้เป็นอย่างไร
ฌัง กิตตอง ชาวตะวันตกทุกวันนี้กำลังผ่านไปสู่วิกฤติการณ์ที่ลงต่ำถึงก้นบึ้งในทุกระดับ ผลแห่งวิกฤตการณ์
กำลังรู้สึกกันได้ถ้วนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยแม้ในพระศาสนจักรคาทอลิกด้วย อย่างไรก็ตาม ผมยังมั่นใจว่าพระ
ศาสนจักรจะประสบชัยชนะในที่สุด แต่พระศาสนจักรจะต้องสามารถที่จะแสดงออกซึ่งความเชื่อที่พระผู้เป็นเจ้า
ทรงบัญญัติ พระศาสนจักรคาทอลิกได้รับของขวัญชิ้นพิเศษแห่งสัจธรรม ถึงแม้จะผสมปนเปไปด้วยความผิด
พลาด ความไม่ซื่อตรง​ และความหลงผิดตลอดระยะเวลาหลายๆ ศตวรรษ​ และพระศาสนจักรมีหน้าที่ที่จะเผย
สัจธรรมนี้แก่มนุษยชาติ... ทำไมโป๊ป จอห์น พอลที่ 2 เป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนมาก
ที่สุดในโลก​ ถึงแม้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ แห่งกระแสสนุกนิยม เหตุผลอยู่ที่พลังอันทรงอิทธิพลแห่งสัจธรรม
ซึ่งพระองค์ทรงดูดซับรับเอาไว้จนเต็มพระบุคลิกภาพ

🔹---โปรดติดตามตอนต่อไป​-​--🔹
ตอบกลับโพส